Canabusiness

‘เสรีกัญชา’ โอกาสหรือกับดักทางธุรกิจของคนไทยในมุมมองของ Alex Haze เจ้าของเพจ High Thailand

หลังจากกัญชาถูกกฎหมาย หลายคนก็เริ่มกล้าพูดเรื่องกัญชามากขึ้น หัวข้อเกี่ยวกับกัญชากลายเป็นบทสนทนาระดับทอล์กออฟเดอะทาวน์ในสังคมไทยทั้งฝ่ายที่เห็นข้อดีและข้อเสีย

แน่นอน การที่กัญชาถูกกฎหมายช่วยปลดล็อกให้ธุรกิจด้านกัญชาในไทยผุดจากใต้ดินขึ้นมาอยู่บนดิน แต่การผ่านของกฎหมายแบบฉับพลันทันที ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าขอบเขตของการซื้อ ขาย และใช้งานอยู่ตรงไหน รวมไปถึงข้อกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้ใช้งานในสังคมด้วย

ย้อนกลับไปเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว ในวันที่กัญชาในประเทศไทยยังผิดกฎหมาย คนสายเขียวตัวจริงอย่าง Alex Haze ลูกครึ่งไทย-ฟินแลนด์ที่ใช้ชีวิตในทวีปยุโรป ผู้ตกหลุมรักกัญชามานับสิบปีจึงลุกขึ้นมารันเพจเฟซบุ๊กชื่อ High Thailand เพื่อให้ความรู้เรื่องกัญชาที่ถูกต้องกับคนไทย ด้วยหวังว่าทุกคนจะเห็นกัญชาในมุมที่มีประโยชน์ ไม่ใช่เพียงยาเสพติด

เมื่อเปิดเสรีกัญชาไทย ประเด็นเรื่องธุรกิจกัญชาจึงถูกจับตามองความเป็นไปมากเป็นพิเศษ ในวันที่ระบบการจัดการกัญชาไทยยังไม่ชัดเจน นี่คือโอกาสของนักธุรกิจหรือกับดักทางธุรกิจของคนไทย อเล็กซ์พร้อมตอบคำถามให้หายสงสัย

อะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณลุกขึ้นมาให้ความรู้เรื่องกัญชา

ตอนที่เรียนจบเราย้ายไปสวีเดน ตัดสินใจไม่ทำงานที่ไทย ผมเป็นลูกครึ่งฟินแลนด์ แต่ถือสัญชาติสวีเดน ช่วงที่ย้ายไปยุโรปก็ยังว่าง ตอนนั้นไทยยังไม่มีเพจให้ความรู้เกี่ยวกับกัญชา ยังไม่มีเพจที่ทำให้การสูบกัญชาเป็นเรื่องโอเค เพราะยังมีความเป็นขี้ยาอยู่ เราเคยลองแล้วชอบก็ตั้งคำถามว่า ทำไมถึงผิดกฎหมาย ทำไมรัฐบาลไม่ให้พูดถึง ทำไมเราเรียนหนังสือที่มีการพูดถึงกัญชาแค่ 2 ประโยค ทำไมข้อมูลพวกนี้ไม่มีให้อ่าน

 เรารู้สึกว่า เฮ่ย ถ้างั้นเริ่มทำดีกว่า เพื่อนรอบข้างไม่มีใครอินกับเรา ก็เลยคิดว่าทำคนเดียวก็ได้ เพราะเราเชื่อตรงนี้มาก

ย้อนกลับไปเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ข้อมูลกัญชาในอินเทอร์เน็ตมีน้อยมาก ถึงจะหาในเน็ตได้แต่ก็ไม่ใช่เชิงลึก ต้องหาหนังสืออ่านเพิ่ม เลยไปที่ห้องสมุดสาธารณะในสตอกโฮล์ม ไปบอกเขาว่าฉันอยากอ่านเรื่อง Cannabis บรรณารักษ์ถามว่าทำไมอยากอ่านเรื่องนี้ เพราะคนทั่วไปเข้าหาหนังสือพวกนี้ไม่ได้ ยิ่งสะกิดต่อมความสงสัยเลยว่า ทำไมข้อมูลทุกอย่างถูกล็อกไปหมดเลยวะ นี่ขนาดประเทศสวีเดน ที่เขามีความเปิดกว้างนะ เราเลยรู้สึกว่าความรู้ควรเปิดกว้างให้ทุกคน

เลยเข้าไปยื่นเรื่องว่าจะเอาข้อมูลนี้ไปทำอะไร สุดท้ายเข้าถึงจุดข้างในสุด เจอหนังสือเยอะ และมีโอกาสได้อ่านเยอะมากๆ ซึ่งสิ่งที่ผมได้อ่านมันตีพิมพ์มานานแล้ว แต่แค่กฎหมายปิดไว้ ไม่ให้คนรู้และเข้าถึง ผมว่า เฮ่ย ไม่ได้แล้ว เรื่องพวกนี้ต้องเขียนว่ะ โดยเฉพาะเมืองไทยที่เขาไม่ให้เรารู้อะไรเลย ก็ต้องหาความรู้ด้วยตัวเองให้มากที่สุด เพื่อให้รู้เท่าทันคนอื่น

เราเลยทำเพจให้ความรู้เรื่องนี้ ส่วนมากจะเป็นข่าวเรื่องกฎหมายกัญชา มีแนะนำวิธีใช้กัญชา แนะนำกัญชารูปแบบต่างๆ เน้นเป็นข่าววัฒนธรรมกัญชา เป็นข่าวจากสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ผมชอบวัฒนธรรมกัญชาที่อยู่ในหนัง ดนตรี และการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ซึ่งเนื้อหาเราจะแปลและเขียนเองทั้งหมด

ต้องบอกว่า 9 ปีที่แล้ว การโพสต์คอนเทนต์กัญชาเป็นเรื่องที่ยังน่าช็อกกันอยู่ ไม่มีใครกล้าโพสต์รูปดอก, พันลำ (Joint), เครื่องบดกัญชา (Grinder) เป็นข้อห้าม (taboo) ไปหมด ทุกคนมีความกลัว เพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมาย 

จากที่คุณศึกษากัญชามีประโยชน์ยังไง 

เราอ่านหนังสือเกี่ยวกับกัญชาในด้านร่างกายด้วย เพราะการเข้าถึงกัญชาไม่ใช่แค่การสูบ คุณต้องเข้าใจว่าสารพวกนี้มีปฏิกิริยากับร่างกายของคุณยังไง และส่งผลกระทบกับแต่ละคนแตกต่างกัน tolerance (การตอบสนองต่อยา) ของแต่ละคนเป็นยังไง กัญชามีหลายรูปแบบและหลายที่มา 

สิ่งที่เราช็อกมากที่สุดคือสารในกัญชาอย่าง Cannabinoid  ร่างกายเรามีระบบที่เรียกว่า endocannabinoid system (ระบบ endocannabinoid คือระบบที่เจอในร่างกายของสัตว์มีกระดูกสันหลัง ทำหน้าที่ปรับระบบภายในของร่างกายให้สมดุล มีเซลล์ประสาทรับสารแคนนาบินอยด์ (cannabinoid) และเอนโดแคนนาบินอยด์ (endocannabinoids))

แล้วบังเอิญว่าระบบนี้กับสารตัวนี้มันลงล็อกกันได้พอดี ผมขนลุกตั้งแต่ครั้งแรกที่อ่านเจอประเด็นนี้ ทำไมร่างกายของเราถึงสร้างระบบนี้เพื่อรองรับสารที่มีอยู่ในกัญชา เหมือนมันถูกสร้างมาเพื่อกันและกัน 

ผมเชื่อว่ากัญชาถูกสร้างมาเพื่อให้มนุษย์ใช้ สัตว์ป่าจำพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็มีระบบนี้ หมาก็มีระบบนี้เหมือนกัน แต่อาจไม่ได้มีมากเท่ากับมนุษย์ อย่างอาหารหมาปัจจุบันก็มีการใส่สาร CBD แล้ว เพราะหมามีความวิตกกังวลเวลาพาไปหาสัตวแพทย์ ก็จะให้น้ำมันกัญชาหมา เพื่อลดความวิตกกังวลลง ทำให้เอาหมาไปฝึกและเอาหมาไปเข้าสังคมได้ กลายเป็นว่าทุกคนได้รับประโยชน์จากกัญชาได้ พ่อและคุณยายเราก็ใช้ในเชิงสุขภาพได้

หลังจากศึกษาเรื่องกัญชาและอยู่ต่างประเทศมานาน คุณคิดว่าธุรกิจกัญชาในต่างประเทศน่าสนใจยังไง

จากที่เห็นมา ธุรกิจจะเกิดขึ้นได้ก็เมื่อกฎหมายเปิด ความจริงธุรกิจพวกนี้มีในใต้ดินอยู่แล้ว ทั้งคนปลูก คนสูบ หรือคนป่วยที่ใช้กัญชารักษา แค่ทุกอย่างไม่ได้เดินหน้าต่อเพราะกฎหมาย ถ้ามีกฎหมายปุ๊บ ธุรกิจในสเกลใหญ่เกิดทันที อย่างตอนนี้ที่น่าสนใจมากๆ คือด้านสายพันธุ์ที่อเมริกา สมัยยุค 80s เวลาเขาแข่งขันสายพันธุ์กันมันจะมีแค่ Sativa, Indica และ Hybrid ต่อมาสักพักก็เริ่มแบ่ง catagory มีสายพันธุ์อินดอร์กับเอาต์ดอร์เพิ่มขึ้นมา

อย่างเมื่อ 2 ปีที่แล้วในรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ได้เริ่มมีการผลักดันกัญชา Sun-Grown ซึ่งเป็นสายพันธุ์ประเภทที่ปลูกในดินและแดดธรรมชาติ และสายพันธุ์นี้เกิดขึ้นได้เต็มตัวเพราะกฎหมายที่เปิดเสรีเต็มตัว ซึ่ง Sun-Grown จะเป็นสายพันธุ์ที่มาแรงมากในอนาคต เพราะด้วยเทรนด์ที่หลายคนต้องการสิ่งที่เฮลตี้และออร์แกนิก ซึ่งจะมีอะไรเฮลตี้ไปกว่าสิ่งที่มาจากดินและน้ำ 

แล้วนี่ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจนะ เพราะไทยเรามีพร้อมทั้งดิน น้ำและสายพันธุ์พื้นเมืองของเราเอง ผมเลยคิดว่าถ้าจับจุดเรื่องการปลูกกลางแจ้งได้ แล้วทำผลิตภัณฑ์ตัวเองให้ดี ถ้าตีโจทย์ตรงนี้ได้ ก็จะเป็นตลาดอีกอันหนึ่งได้เลย

อันที่สอง ที่ผมเห็นแล้วสนใจมาก คือที่แคนาดามีบริษัทที่ชื่อว่า ‘Canopy Growth’ เป็นบริษัทที่ใหญ่มาก เป็นสถานที่ที่เอาไว้ศึกษาวิจัยเรื่องกัญชา ครอบคลุมด้านการค้นคว้าและพัฒนา และให้คนมาซื้อหุ้นได้

ชาวแคนาดาที่ไม่ได้สูบกัญชาก็ซื้อ เพราะมองว่าอีก 10 ปี บริษัทนี้ไปไกลแน่ เขาไม่ได้ผลักดันแค่ธุรกิจขายของเฉยๆ แต่เขามองการรีเสิร์ชและพัฒนาผลิตภัณฑ์กัญชา เขาพาร์ตเนอร์กับศิลปินดังระดับโลกอย่าง Snoop Dogg และ Seth Rogan และพวกค่ายสายพันธุ์ใหญ่ในทวีปยุโรปอย่าง Green House (เจ้าของ Strain Hunters ค่ายเมล็ดกัญชาและร้าน Cannabis Club ในอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ และบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ซึ่งทำสารคดีเกี่ยวกับกัญชาไปในเวลาเดียวกัน) 

Canopy Growth น่าสนใจเพราะเขากำลังจะร่วมงานกับ Constellation Brands เป็นบริษัทเครื่องดื่ม ที่มีทั้งไวน์ เหล้า และเบียร์ ซึ่งยี่ห้อดังๆ ที่หลายคนรู้จัก เช่น เบียร์ Corona และ Modelo สองบริษัทจะมารวมตัวกัน แต่ยังรอกฎหมายอยู่ ถ้ากฎหมายลงตัวทุกอย่างก็จะปล่อยออกมา ซึ่งผมว่าน่าจะใหญ่มาก และเขาบอกว่าภายในปี 2025 มูลค่าของตลาดกัญชาทั่วโลกน่าจะทำเงินได้สูงถึง 30-33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

อย่างต่อมาคือร้าน Dispensary (เจ้าของสถานที่ปลูกและขายกัญชา) ในรัฐที่ถูกกฎหมายอย่าง MedMen ซึ่งเป็นเหมือน Apple Store ในสหรัฐอเมริกาเลย เป็นหนึ่งในร้านแรกๆ ที่ขายประสบการณ์การซื้อ-ขายกัญชาเพื่อตีตลาด luxury cannabis ที่มาพร้อมกับเทรนด์สายพันธุ์ exotic ในเวลานี้ เทรนด์ธุรกิจนี้จะเริ่มมีพาร์ตเนอร์ในวงการดาราและศิลปินฮิปฮอปเพื่อขยายสาขาและแบรนด์ของตัวเองออกไป นับว่าเป็นอีกตลาดที่น่าจับตามอง

ในฝั่งยุโรปอาจจะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก อย่างอัมสเตอร์ดัมที่คนมักเข้าใจผิด เพราะกัญชาไม่ได้ถูกกฎหมาย เขาเป็น ‘Tolerance Policy’ คือให้ปลูกกัญชาได้ พกพาได้ และมีการอนุญาตได้ เปิดให้มีการค้าขายแบบถูกกฎหมาย แต่ยังไม่มีการเก็บภาษีตรงไปตรงมา แต่ในด้านค่ายเมล็ดก็มีการพัฒนาสายพันธุ์แคนนาบินอยด์เด่นอย่าง THCV และ CBG จากค่ายของ Dutch Passion ที่เป็นผู้นำด้านการพัฒนาเมล็ด Feminized และ Autoflower 

ส่วนประเทศเยอรมนี มีการเซ็น Legalize Recreational (กัญชาเพื่อการสันทนาการ) กับ Medical Cannabis (การใช้กัญชาทางการแพทย์) ไปแล้ว แต่ยังไม่ดำเนินการ ซึ่งอาจเกิดขึ้นจริงในปี 2023-2024 ถ้าเยอรมนีเปิดประตูนี้ปุ๊บ ทุกอย่างจะเซ็นผ่านทั้งยุโรปจะวิ่งตามอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ 

สำหรับประเทศอังกฤษที่ผมอยู่ตอนนี้ มีกัญชาทางการแพทย์ที่ถูกกฎหมายเท่านั้น เราจะเห็นผลิตภัณฑ์ CBD เช่น เครื่องดื่ม CBD สกัดเยอะมาก หรือมี tincture สำหรับหยอดก็มีขายในร้านขายยา 

ส่วนที่สวิตเซอร์แลนด์ มีการลดทอนความเป็นอาชญากรรม (decriminalize) และกัญชาทางการแพทย์ถูกกฎหมายแล้ว มีการซื้อ-ขายดอกและผลิตภัณฑ์กัญชง THC ต่ำกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ได้และกำลังรอให้ตลาดสันทนาการเปิด ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นภายใน 1-2 ปีนี้ 

ถ้ามีการวางระบบและการจัดการภาษีธุรกิจก็จะมีการควบคุมด้านของผู้บริโภค ตอนนี้คนเลยเหมือนโดนอั้น เพราะรอสัญญาณไฟเขียวที่จะเปิดธุรกิจ จะมีความแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเราเปรียบเทียบกฎหมายยุโรป สหรัฐอเมริกากับไทยไม่ได้ 

เปรียบเทียบกฎหมายไม่ได้เพราะอะไร

เพราะเมืองไทยเรากระโดดจากกัญชาทางการแพทย์มา มาเป็นการลดทอนความเป็นอาชญากรรม พร้อมกับปลดกัญชาทั้งต้นออกจากยาเสพติด แต่เราไม่ได้ทำให้ถูกกฎหมายเสรีร้อยเปอร์เซ็นต์ไง อย่างลดทอนความเป็นอาชญากรรมที่ยุโรป เขาขายได้แต่ก็ยังต้องมีการควบคุมที่เข้มงวด แต่ไม่ได้ปล่อยขายแบบเรา ตอนนี้เมืองไทยเราไม่จำกัดจำนวนต้นและจำนวนการขาย ยังไม่ต้องมีใบอนุญาต ชาวไร่สามารถเก็บจากหลังบ้านแล้วเอามาขายได้เลย เด็กมหาวิทยาลัยที่ปลูกในห้องนอนก็เอามาขายได้เลย  

การลดทอนความเป็นอาชญากรรมในต่างประเทศ ไม่ได้หมายความว่าเราขายได้เสมอไป เราแค่พกพาได้ เจอตำรวจเขาไม่จับเรา อย่างโปรตุเกส คุณพกพากัญชาแล้วบินเข้าประเทศเขาได้ ถ้าไปอัมสเตอร์ดัม ซื้อกัญชาถุงใหญ่แล้วสูบไม่หมดก็ไปโปรตุเกสต่อได้เลย แต่โปรตุเกสไม่เปิดให้มีการซื้อ-ขายในตลาดอย่างที่ไทยทำ เมืองไทยนี่ปล่อยสุดๆ ซึ่งแต่ละที่เขาปล่อยไม่เท่ากัน มันขึ้นอยู่กับกฎหมาย เมืองไทยยังไม่เสรีอย่างเต็มที่ ยังไม่โปร่งใส ซึ่งเมื่อ legalize (ถูกกฎหมาย) เต็มตัวแล้วทุกอย่างต้องมีระบบ ต้องระบุว่าใครมีใบอนุญาตได้ ใครซื้อ-ขายได้ ซื้อ-ขายได้ในจำนวนเท่าไหร่ เมืองไทยยังไม่มีตรงนี้ เราจึงยังคงครึ่งทางอยู่ แต่กลับขายของกันได้และหาเงินได้แล้ว

การที่กัญชาในประเทศไทยยังไม่มีการจัดระบบที่ดีพอ มีข้อดีหรือข้อเสียยังไง

ข้อเสียแน่ๆ เลยคือ ทุกคนเริ่มถามรัฐบาลว่า ทำไมไม่วางระบบก่อนแล้วค่อยปล่อยกฎหมาย แต่อย่างที่รู้กันว่าเมืองไทยไม่เคยให้ความรู้ประชาชนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พอเขาปล่อยขายปุ๊บ คุณยังไม่เคยสอนเลยว่ากัญชาคืออะไร ดอกกัญชาหน้าตาเป็นยังไง เมาแล้วเป็นยังไง เมืองไทยไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการให้ความรู้ประชาชน 

เมื่อประชาชนไม่มีความรู้ นายทุนพวกนี้ เขาก็มีโอกาสหากินจากพวกเราได้ ถ้าประชนเขารู้และฉลาด นายทุนหลอกขายน้ำ ‘กลิ่นกัญชา’ ขวดละ 20-30 บาทไม่ได้หรอก มันเมคเซนส์ที่ไม่ต้องให้ความรู้อีกอย่างคือกฎหมายที่อาจเปลี่ยนตลอดเวลา ซึ่งสำหรับคนที่เป็นเจ้าของสถานที่ปลูกและขายกัญชา ในตอนนี้มันยังไม่มีกฎหมายจำกัดจำนวน คุณขายได้ แต่พรุ่งนี้ รัฐอาจจะบอกว่าไม่ได้ คุณต้องมีใบอนุญาตเปิด คุณต้องมีใบประกอบการเพื่อส่งขายจำนวนเท่านี้ๆ เอ้า ฉิบหายแล้ว ไอ้พวกพ่อค้าตัวเล็กๆ จะวิ่งไปทางไหนล่ะ เงินก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี มีโอกาสถูกจับอีก อย่างที่รัฐโคโรลาโด ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาทำให้ถูกกัญชากฎหมายตั้งแต่ปี 2012 เปิดให้ใช้เพื่อการสันทนาการ (Recreational) ซึ่งทุกคนไม่คิดว่าปัญหาที่ตามมาสำหรับธุรกิจคือระเบียบข้อบังคับที่เปลี่ยนตลอดเวลา กฎเปลี่ยนตลอดเวลา คนก็ยังไม่รู้ว่านี่คือครั้งสุดท้ายแล้วหรือเปล่าวะ ธุรกิจเราจะรันแบบไหนดี นั่นคือสิ่งที่เมืองไทยควรระวัง

สิ่งที่ทำได้ก็คือการที่เตรียมทำเอกสารอนุญาตให้ครบและเลือกทำงานเป็นพาร์ตเนอร์กับคนในวงการเดียวกันไว้ เมืองไทยตอนนี้คนก็เริ่มวิ่งจับมือกันแล้ว เพราะถ้าพาร์ตเนอร์กับคนที่มีอิทธิพลได้มาก ธุรกิจของคุณก็ยิ่งวิ่งเอกสารได้เร็วและราบรื่น ไม่มีใครมาสั่นสะเทือน 

ซึ่งการเปิดกัญชาเสรีครั้งนี้ดีต่อการท่องเที่ยวของไทยด้วย

กัญชาเสรีของไทยมีข้อดีต่อเรื่องการท่องเที่ยวอย่างสุดๆ แน่ๆ อันนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เมื่อก่อนผมทำงานกับบริษัททัวร์กัญชาและเป้าหมาย ที่ประเทศไทยกำลังมุ่งคือ Cannabis Destination ให้คนสามารถเที่ยวและสูบกัญชาบินไปเที่ยวได้ เช่น มาลิ้มลองกัญชาริมทะเล Medical Wellness ในอเมริกาตอนนี้มีทัวร์กัญชาและ Bed & Breakfast เยอะมากแล้ว และตอนนี้มีหลายประเทศที่กัญชาถูกลดทอนความเป็นอาชญากรรมและสามารถพกพากัญชาได้ เช่น บางรัฐในอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ แคนาดา เนเธอร์แลนด์ หรือโปรตุเกส สามารถบินไปมากับเมืองไทยได้ เป็น Cannabis Trip ได้ แวะมาสูบกัญชาให้คนฮอปปิ้งและเดินทางต่อได้ เราเตรียมขาย Amazing Thailand และ Amazing Weed ด้วย รวมถึงการทำ Sandbox และเป็น recreational spot โซนสีเขียวสำหรับกัญชาตามแต่ละจุดยอดนิยมในประเทศได้

ในอนาคตอาจมีเส้นทางของตลาดกัญชา เห็ดเมา และกระท่อมสำหรับเทรนด์ plant-based medicine (การกินพืชเพื่อสุขภาพเป็นอาหารหลัก) เปิดโอกาสให้คนมารักษาและใช้ยาพวกนี้ได้ มีคนมาเที่ยว มาสูบ หรืออาจจะมาซื้อยาด้วย มุมมองของคนใช้ยารวมถึงคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไปเยอะมาก ผมคิดว่าไม่ว่าวันนี้หรือวันข้างหน้ามันจะต้องเกิดขึ้นแน่ ๆ

ถ้าอย่างนั้นคุณคิดเห็นยังไงกับกัญชาในไทย ทั้งในแง่กฎหมาย ธุรกิจ และผู้บริโภค

ตอนแรกที่เห็นกฎหมาย ผมว่าไม่ใช่แล้ว มันต้องมีอะไรทะแม่งๆ ซ่อนอยู่ คือมันน่ายินดีที่ทุกคนปลูกได้และขายดอกได้ แต่ว่ากฎหมายมีข้อจำกัดเรื่องสารสกัดจากกัญชาหลายคนอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร สารสกัดคือสิ่งที่เอามาใส่ในในพวกครีมทาหน้า เครื่องสำอาง และเครื่องดื่ม ผมเลยเอะใจตรงนี้นิดนึงว่า ทุกคนสามารถปลูกดอกได้ แต่จะมีสักกี่คนที่นำใบอนุญาตมาทำผลิตภัณฑ์ขายต่อได้ แล้วใครจะมีสิทธิ์ได้ใบอนุญาต 

อย่างตอนแรกผมคิดว่า เจ้าของสถานที่ปลูกและขายกัญชาต้องมีใบอนุญาต แต่ปรากฏว่าไม่ เขาปล่อยให้คนขายได้เต็มที่ 

เหมือนกับรัฐบาลบอกว่ากูให้มึงเท่านี้ก็แฮปปี้มากๆ แล้ว ให้เราปลูก ขายดอกได้ และสูบได้ แค่นี้ก็พอแล้วมึงจะเอาอะไรอีก กฎหมายมันต้องมีการควบคุมบางอย่างมากกว่านี้ ผมเลยมองว่า คนที่ได้ผลประโยชน์สูงสุดอาจเป็นแค่นักธุรกิจนายทุนที่เข้าถึงสิทธิใบอนุญาตธุรกิจเครื่องดื่มและเครื่องสำอางได้ แต่คนทั่วไปอาจจะมีโอกาสขายได้แค่ดอก

ใครจะมีโอกาสเข้าไปถึงธุรกิจเครื่องสำอาง เครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ และยา เมื่อพูดถึงเหล้าปุ๊บเราก็รู้เลยว่าธุรกิจในไทยไม่ได้ปล่อยให้ใครเข้าไป ผมกลัวที่สุดว่ามันจะเป็น Monopoly กับพวกเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนของกัญชามากกว่า 0.2 เปอร์เซ็นต์มีแค่กลุ่มพวกเขาที่ขายได้ นักธุรกิจตัวเล็กจะไม่มีโอกาสในการทำพวกนี้ หรือถ้ามี คุณอาจต้องเป็นพาร์ตเนอร์กับนายทุนหรือมาเฟียเพื่อที่จะได้เข้าไปสู่ธุรกิจ ถ้าเกิดกฎหมายยังเป็นแบบนี้ ก็พอจะมองเห็นได้ว่าใครจะได้ประโยชน์

สมมติในเวลานี้ 6 เดือนเขาอาจจะปล่อยให้ทุกคนปลูกได้ไม่อั้น ให้ดอกท่วมตลาด แล้วพอท่วมตลาด โรงงานก็สามารถรับเอาดอกมาสกัดใส่พวกเครื่องดื่ม ใส่ยา และเครื่องสำอาง พอไม่มีระบบและการควบคุมราคาจากรัฐบาล ในอนาคตคนที่จะควบคุมตลาดคือนายทุน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจ

ตอนแรก จำได้ไหมที่เขาปล่อยให้คนปลูก แต่ว่าคนที่ปลูกต้องเป็นวิสาหกิจชุมชนที่เกิดจากการรวมคน 7-10 คนเท่านั้น คุณ (เน้นเสียง) แล้วรัฐวิสาหกิจมันไม่ได้รวมตัวง่ายนะ เราต้องมีโรงเรือน มีแผนผังไปยื่น ต้องติดตั้งระบบความปลอดภัย เอาง่ายๆ วิสาหกิจชุมชนต้องมีทุนเป็นสิบล้าน ก็เลยกลายเป็นว่าตัดวงจรชาวนาเล็กๆ ไปเลย ถ้าอยากปลูกก็ปลูกไม่ได้หรอก ถ้าสังเกตช่วงนั้น ผู้ปลูกวิ่งหานายทุน นายทุนวิ่งหามาเฟีย ชาวบ้านหาพื้นที่กัน ทุกคนรวมตัวกันหมด เลยเป็นแต้มต่อให้นายทุน เพราะนายทุนก็มีโรงเรือน มีเวลา และมีคนปลูกให้ แค่นี้ก็นำหน้าคนอื่นไปแล้ว เพราะฉะนั้นวันที่เขาออกกฎหมายเมื่อเดือนที่แล้ว นายทุนมีของเตรียมไว้แล้ว เพื่อเอามาใช้งานได้ต่อ อย่างเครื่องดื่มที่เซเว่นก็เริ่มออกมาแล้วไง และใครมีสิทธิ์ที่จะได้ใบอนุญาตมากกว่ากัน พอมองแบบนี้ก็จะเริ่มเห็น

ส่วนธุรกิจใหญ่ เท่าที่ผมเห็นข้อเสียจะมีเจ้าใหญ่บางร้านที่ไปเหมาซื้อจากผู้ปลูกรายเล็ก อาจเหมาซื้อด้วยการกดราคาต่ำลง เอามาขายหน้าร้านตัวเองและปรับราคาขึ้น และอาจทำให้คนอื่นไม่มีโอกาสได้ขาย คงมีหลายร้านที่ทำแบบนี้ แต่อาจดูไม่แฟร์กับคนกลุ่มผู้ปลูกรายเล็กๆ โดยเฉพาะร้านที่มีชื่อเสียงที่มีคอนเนกชั่นพวกนี้ ซึ่งอาจกลายเป็นตลาดที่โตเฉพาะกลุ่มในอนาคต 

แล้วในแง่ของผู้บริโภค ผมมองว่าที่แย่คือการถูกเอาเปรียบ เมื่อเราไม่มีข้อมูลความรู้พวกนี้จะโดนหลอกขายได้ง่ายๆ อย่างน้ำมันกัญชาหลอดละ 2,500 ขายให้กับอีโหน่อีเหน่เขาไม่รู้ เขาก็ซื้อ พอมาเล่าและให้ผมดูยา โดยเฉพาะน้ำมันที่ได้มาแบบไม่รู้ที่มาที่ไป อีกทั้งเป็นคุณภาพที่ไม่ควรขาย 2,500 ผมบอกว่าแบบนี้ไม่ใช่แล้ว ผมคุยกับลุงดำ (อร่าม ลิ้มสกุล) ที่อยู่เกาะเต่า เขาเป็น breeder (คนปลูกกัญชา) ทำยาและสอนชาวบ้าน ยาของเขาใสเป็นทองคำ เขาจะช่วยคนป่วยในราคาทำบุญหลักร้อยบาท

ถ้าผู้บริโภคไม่มีความรู้จะเสียเปรียบตรงนี้ แต่ข้อได้เปรียบของคนที่มีความรู้ คือยิ่งมีโอกาสได้เลือกซื้อของเยอะขึ้น ทำให้มีอิสระในการเลือก กลายเป็นว่าเชียงใหม่ก็มีคนขาย พัทยาก็มีคนขาย หรือถ้าไปกรุงเทพฯ ก็มีตั้งหลายร้านให้เลือกซื้อจะว่าไปตลาดออนไลน์ก็คึกคักใช่เล่น

คุณคิดว่าสิ่งสำคัญสำหรับผู้คนในการเตรียมรับมือกับเสรีกัญชาคืออะไร

สุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือความรู้ ในฐานะที่เราเป็น journalist หรือนักเขียน เราอยากให้ความรู้คนให้มากที่สุด อยากให้คนเท่าทัน และอยากให้ทุกคนขยายความรู้ตัวเองที่สุด หาเพจที่เราไว้ใจได้ สื่อที่เรารู้ว่า เขาพูดเรื่องจริงแน่ แต่มันก็ต้องทำการบ้านของตัวเองด้วย ไม่งั้นเราก็จะได้รับข้อมูลผิดๆ

เอฟเฟกต์ของกัญชาที่รัฐไม่เคยบอก คนต้องหากันเอาเอง และมันน่ากลัว เพราะกลายเป็นว่ารัฐโยนความรับผิดชอบให้คนขาย เมื่อไม่มีความรู้ให้ ประชาชนก็ต้องเลือกเอง อาจกลายเป็นว่า ชาวบ้านต้องช่วยกันอีกแล้ว อย่างพวกสมาพันธ์กัญชาก็ต้องรวมตัวกันเอง ถ้าอยากได้ regulation ก็ต้องรวมตัวกันทำ 

คุณคาดหวังอะไรกับวงการกัญชาไทย

ตอนนี้ทุกคนเปิดขายดอกหลายชื่อและหลายแบบ ทั้งออร์แกนิก อินเดอร์ เอาต์ดอร์ และหลายสายพันธุ์ แต่ว่าคุณภาพอาจจะไม่ได้ดีทุกคน ซึ่งหลังจากคนมีความรู้และมีประสบการณ์มากขึ้น คุณภาพของดอกในตลาดน่าจะเริ่มชัดเจนขึ้น 

ยิ่งนับวันมีข่าวจากสื่อว่า กัญชาแย่ คนที่ทำงานกันตรงนี้ในสื่อก็ยิ่งต้องช่วยกันสร้างและแชร์คอนเทนต์ให้ความรู้มากขึ้นว่า กัญชาใช้ให้ถูกควรทำยังไง เท่าที่เห็นพวกเพจธุรกิจหลายๆ ที่ก็เริ่มให้ความรู้ของตัวเองแล้ว เพราะพึ่งพาใครไม่ได้

เราหวังว่าการใช้กัญชาในวงกว้างจะปลอดภัยมากขึ้น เพราะว่าในเชิงของธุรกิจสิ่งที่สำคัญคือการสร้างมาตรฐานที่ดีให้ตัวเอง เพื่อที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและขายของได้ ที่คาดหวังมากที่สุดคือการเปลี่ยนมุมมองการใช้ยาของคนไทย โดยเฉพาะกัญชาไม่ใช่ขี้ยาแล้ว คุณสามารถเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วใช้กัญชาทุกวันได้

อย่างที่รู้กันว่าประเทศไทยเรามีกัญชาสายพันธุ์พื้นเมืองเยอะ แต่แค่ไม่ได้รับการพัฒนาให้สายพันธุ์แข็งแรงและยังไม่มีการสนับสนุนจากรัฐบาล ผมเลยหวังว่าเราจะมีผู้ปลูกที่มาเล่นสายพันธุ์ไทยกันมากขึ้น เราต้องเพิ่มความรู้และพัฒนาฝีมือการทำกิ่งชำ ยกระดับตัวกัญชาที่เรามีอยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันสายพันธ์ุไทยโดนถอนทิ้งไปเยอะมาก 

ไทยมี 77 จังหวัด อย่างสายพันธุ์ทางภาคใต้กับภาคเหนือก็ให้เอฟเฟกต์ที่แตกต่างกันออกไป เราอาจจะมีเป็นแสนสายพันธุ์ เราต้องไปเสาะหา ผมคาดหวังว่าจะมีการใช้และพัฒนาสายพันธ์ุของเรามากขึ้น 

รวมถึงการศึกษาวิจัยของบุคลากรทางการแพทย์และนักศึกษา เพราะในเมื่อกฎหมายเปิดแล้วเราก็สามารถมีวิจัยได้มากขึ้น ทั้งการทำรีเสิร์ชกับคนทั่วไปและผู้ป่วย ผมหวังว่าจะมีการศึกษามากขึ้น และเกิดการสนับสนุนผู้ผลิตรายเล็ก ซึ่งก็คือชาวนาชาวไร่  เพราะวงการกัญชาต้องจับมือกันทุกฝ่าย ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็บอกแล้วว่าเราทำกันแค่กลุ่มเดียวไม่ได้ และจะให้คนกลุ่มเดียวรวยไม่ได้ คุณต้องจับมือคนทุกคนในสังคมไปด้วยกัน ไม่งั้นกัญชาก็จะไปต่อไม่ได้ เราต้องผลักดันผู้ปลูกรายเล็กด้วย

ในเมื่อรัฐบาลบอกแล้วว่า กัญชาจะเป็นสิ่งที่ทำให้ชาวนามีเงินมากขึ้น คุณก็ต้องมีองค์กรมารองรับเขาด้วย ตอนนี้เรามีกลุ่มคนไทยที่ทำสมาพันธ์ เพราะตั้งใจจะไปรับดอกจากพวกชาวนา เพราะชาวนาเขายังเข้าไม่ถึงในส่วนนี้ เขาเป็นคนปลูก แต่ไม่มีหน้าร้าน และไม่ได้เล่นโซเชียลมีเดีย ซึ่งต้องทำให้โปร่งใสและช่วยคนทุกคนจริงๆ

Writer

ชื่อเล่นเมฆ เป็นลูกครึ่งอุบลราชบุรี

Illustrator

Just another graphic designer

You Might Also Like