การเดินทางที่ทั้งสนุกและสะดุดของ ‘ปู่นิน’ จากคนทำไพ่ดอกไม้สู่ค่ายเกมยักษ์ใหญ่ระดับโลก

แม้ไม่ได้ติดตามวงการเกมอย่างใกล้ชิด แต่เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นตากับคาแร็กเตอร์ของ ‘Mario’ ชายมีหนวดชุดแดงกระโดดเก็บเห็ดในตำนาน ที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย ตัวละครตัวนี้ก็ยังเป็นภาพจำในวงการเกมทั่วโลกเสมอ 

สิ่งนี้เป็นผลงานชิ้นสำคัญจาก ‘Nintendo’ ค่ายผลิตเกมยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่นที่เดินทางมามากกว่าหนึ่งศตวรรษ หรือที่สาวกเกมคอนโซลชาวไทยเรียกติดปากกันว่า ‘ปู่นิน’ ตามเลขอายุขวบปีที่มีมากที่สุดในอุตสาหกรรมเกมจากทั่วโลก

ถึงจะเก่า แต่ก็ยังเก๋าอยู่ นอกจาก Nintendo จะนำด้วยเลขอายุที่แสดงถึงความเก๋าเกมแบบพี่อยู่มาทุกยุคในวงการนี้แล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่การันตีความเจ๋ง คือยอดขายจากผลงานชิ้นล่าสุดที่วางจำหน่ายในปี 2017 อย่าง ‘Nintendo Switch’ ที่ทำยอดขายไปได้มากถึง 150.86 ล้านเครื่องทั่วโลก จัดอยู่ในอันดับที่ 3 ของเครื่องเกมคอนโซลที่ขายดีที่สุดในโลก เป็นรอง PlayStation 2 (วางขายในปี 2000) ที่ทำยอดขายได้ 160 ล้านชุด และ Nintendo DS (วางขายในปี 2004) ที่ทำยอดขายได้ 154 ล้านชุด

แต่รู้ไหมว่า Nintendo ที่เป็นเจ้าแห่งคอนโซลเกมและวิดีโอเกมอันดับต้นๆ ของโลกนั้น ไม่ได้เกิดและฉายแววการทำเครื่องเล่นเกมมาตั้งแต่แรก พวกเขาเคยผ่านการเดินทางมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนกับธุรกิจผลิตไพ่และของเล่น ที่กว่าจะมาถึงวันนี้ก็ผ่านความล้มเหลวและผิดหวังมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

นี่เป็นการเดินทางอย่างยาวนานร่วม 136 ปีที่นับได้ว่าเป็นอีกพาร์ตหนึ่งของประวัติศาสตร์แห่งธุรกิจเกมที่ส่งผลไปทั่วโลก จนเกิดเป็นชื่อของ Nintendo ที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้

แม้ปลายทางความสำเร็จของ Nintendo จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนในปัจจุบัน แต่ในจุดสตาร์ทและระหว่างทางนั้นก็มีด่านที่ต้องผ่านไปให้ได้เสมือนเกมชีวิตเกมหนึ่งที่ไม่ได้เรียบง่ายและสวยงาม 

คอลัมน์ Biztory ครั้งนี้ ถือโอกาสที่ Nintendo Switch 2 ที่เหล่าคอเกมทุกคนตั้งตารอได้วางจำหน่ายทั่วโลกไปแล้วเมื่อวันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา ขอพาทุกคนร่วมเดินทางพิชิตแต่ละด่านกับ Nintendo ค่ายเกมในตำนานที่ครองใจเหล่าเกมเมอร์ทั่วโลกไปด้วยกัน

กดปุ่ม Game Start!

หากพูดไปคงจะไม่เชื่อว่าการเดินทางในครั้งแรกก่อนจะมาเป็นตำนานแห่งเกมคอนโซลและวิดีโอเกมระดับโลกของปู่นินนั้น ไม่ได้มาจากการเริ่มต้นด้วยปุ่มสตาร์ทบนจอยเกม หรือเทคโนโลยีน่าทึ่งล้ำสมัยเหมือนในปัจจุบัน แต่มาจากการทำ ‘ไพ่ฮานาฟุดะ’ (Hanafuda cards) ซึ่งเป็นไพ่แฮนด์เมดที่ทำจากเปลือกต้นหม่อนและถูกแต่งเติมความสวยงามด้วยศิลปะการวาดภาพจากฝีมือชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า ‘ฟูซาจิโร ยามาอุจิ’ (Fusajiro Yamauchi)

นับตั้งแต่ยุคเอโดะเป็นต้นมา (ช่วงศตวรรษที่ 16-18) การพนันทุกชนิดในประเทศญี่ปุ่นถูกควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อความสงบเรียบร้อยและสร้างความปลอดภัยในแต่ละพื้นที่ ทำให้การเล่นไพ่แบบตะวันตกที่มีสัญลักษณ์ตัวเลขบนหน้าไพ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมคลายเครียดของชาวญี่ปุ่น ก็ได้ถูกสั่งห้ามไปด้วย

แต่ชาวญี่ปุ่นกลับแก้เกมด้วยการสร้างและดัดแปลงไพ่จากตะวันตก จึงเกิดเป็นไพ่ฮานาฟุดะ เพื่อหลบหลีกข้อกฎหมายจากรัฐบาลและยังสามารถเล่นไพ่ได้เหมือนเดิมอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งไพ่สำรับนี้ก็ถูกยกเว้นจากรัฐบาล เพราะเป็นไพ่ที่มีรูปลักษณ์ไม่เข้าข่ายการเป็นไพ่พนัน ไม่มีตัวเลขแบบไพ่ตะวันตก มีเพียงภาพของดอกไม้ สัตว์ และธรรมชาติ ไพ่ฮานาฟุดะจึงถูกกฎหมาย แต่ก็ยังไม่ได้เป็นที่นิยมในกลุ่มชาวญี่ปุ่นมากนัก เพราะมักถูกนำมาเล่นอย่างลับๆ เฉพาะคนบางกลุ่มในวงใต้ดินเท่านั้น

ด้วยสายตาอันเฉียบคมของฟูซาจิโรที่มองเห็นถึงศักยภาพความนิยมในอนาคตของไพ่ฮานาฟุดะ จึงได้ริเริ่มพัฒนาไพ่ชนิดนี้ให้มีคุณภาพที่สูงขึ้นกว่าไพ่ฮานาฟุดะที่มีในปัจจุบันและผสมผสานฝีมือการวาดภาพของตนเองลงไปบนหน้าไพ่ ไม่นานชื่อของบริษัท Nintendo Koppai ภายใต้การดูแลของฟูซาจิโรก็ได้ถือกำเนิดขึ้นกลางเมืองเกียวโต ในวันที่ 23 กันยายน ปี 1889

ถึงจะ AFK แต่ก็ยัง GG 

ถึงแม้ในระยะแรกที่เปิดตัวและวางขาย ไพ่ฮานาฟุดะจะได้รับความนิยมมาก แต่ก็ไม่ได้ราบรื่นสวยงามเท่าที่ฟูซาจิโรวาดฝันเอาไว้ เพราะหลังจากเปิดตัวไม่นาน ไพ่ฮานาฟุดะก็กลับถูกรัฐบาลต่อต้าน เพราะกลุ่มผู้ซื้อหลักๆ คือกลุ่มยากูซ่า และไพ่นี้ก็เริ่มถูกนำไปเล่นเป็นการพนัน แต่ธุรกิจของเขาก็ยังคงต้องเดินหน้าต่อไป จึงเลือกที่จะพัฒนาไพ่ฮานาฟุดะให้มีความหลากหลายมากขึ้นแทน

กระทั่งในปี 1907 Nintendo Koppai ได้ร่วมมือกับบริษัทญี่ปุ่น Japan Tobacco & Salt Corporation ทำให้ Nintendo สามารถขายการ์ดของตนเองในร้านขายบุหรี่ทั่วประเทศญี่ปุ่นได้ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์การกระจายสินค้าให้ทั่วถึงในทุกพื้นที่ได้อย่างน่าสนใจ เพราะในยุคสมัยนั้น ร้านบุหรี่ในประเทศญี่ปุ่นเปรียบเสมือนเป็นโชห่วยศูนย์กลางชุมชนที่มีสินค้าหลากหลายรวบรวมเอาไว้ และผู้คนทุกเพศทุกวัยมักจะแวะเวียนมาเสมอ ทำให้สินค้าที่เขาพัฒนาขึ้นได้แพร่หลายไปทุกพื้นที่ในญี่ปุ่น

หลังจากปลุกปั้น Nintendo Koppai มาครึ่งชีวิต ฟูซาจิโรก็ได้เกษียณตนเอง และเปลี่ยนผู้เล่นในเกมนี้ด้วยการส่งไม้ต่อให้กับลูกเขยของเขา ‘เซกิเรียว คาเนดะ’ (Sekiryo Kaneda) ตามธรรมเนียมของญี่ปุ่นในปี 1929

สามปีถัดมาหลังจากที่เซกิเรียวเข้ามาบริหารงานต่ออย่างเต็มตัว ชื่อของบริษัทที่คุ้นเคยทั่วญี่ปุ่นก็ได้ถูกเปลี่ยนใหม่จากการร่วมทุนกับบริษัทนิรนามด้วยชื่อ Yamauchi Nintendo & Company โดยเขามีจุดประสงค์การขยายกิจการที่มีขนาดเล็กให้เติบโตขึ้นเป็นบริษัทอย่างสมบูรณ์ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของธุรกิจและการเตรียมพร้อมในการเข้าสู่ตลาดเศรษฐกิจในอนาคต

New Player, New Root แต่ไม่ New Game

ความตั้งใจนี้ได้ส่งต่อมาสู่อีกรุ่น ในปี 1949 ‘ฮิโรชิ ยามาอุจิ’ (Hiroshi Yamauchi) หลานชายของเซกิเรียวได้เข้ามานั่งเก้าอี้เป็นผู้ดำเนินกิจการรุ่นที่ 3 ผู้ซึ่งเป็นหัวเรือสำคัญในการเปิดเส้นทางใหม่ของ Nintendo

ก้าวแรกที่มั่นคงของฮิโรชิได้เริ่มขึ้นในปี 1959 จากการร่วมมือกับวอลต์ ดิสนีย์ โปรดักชั่นส์ (Walt Disney Productions) ผ่านการทำข้อตกลงร่วมกัน ทำให้ Nintendo สามารถนำลิขสิทธิ์คาแร็กเตอร์ต่างๆ จากดิสนีย์มาสร้างสรรค์ผลงานลงบนไพ่ของตนเองได้

ไม่ว่าจะเป็นตัวละครไอคอนิกอย่าง Mickey Mouse, เจ้ากวางน้อยน่ารัก Bambi หรือเจ้าตูบคู่รัก Lady and the Tramp นอกจากนี้ Nintendo ยังได้ลงทุนเพิ่มเติมกับการจัดทำคู่มือการเล่นไพ่ฮานาฟุดะ (playing guides) เข้าไปในคอลเลกชั่นนี้อีกด้วย

ความพยายามไม่เคยทำร้ายใคร การลงทุนลงแรงในครั้งนี้เกิดการประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของ Nintendo ที่ขายไพ่คอลเลกชั่นนี้ไปถึง 600,000 สำรับในเวลาเพียงหนึ่งปีเท่านั้น ส่งผลให้ในเวลาถัดมา ฮิโรชิก็ได้พา Nintendo เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โอซากะได้ในที่สุด

ฮิโรชิยังคงมุ่งมั่นถึงความสำเร็จในอนาคตเสมอ เขาจึงได้เปลี่ยนชื่อบริษัทอีกครั้งเป็น ‘Nintendo Co., Ltd.’ เพื่อที่จะได้ไม่เป็นการสร้างข้อจำกัดในการผลิตไพ่แค่เพียงอย่างเดียว และพร้อมเปิดเส้นทางใหม่ในการริเริ่มลองทำสิ่งอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

ด่านที่ต้องกด Restart ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เพราะอาจจะไม่ใช่ทางของ Nintendo ธุรกิจที่ลงทุนนับตั้งแต่เซตเป้าหมายของบริษัทใหม่จึงไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งผลิตภัณฑ์ข้าวสำเร็จรูป โรงแรมรัก บริการแท็กซี่ เครื่องดูดฝุ่น และสวนสนุก ที่ไม่ว่าจะวางแผนธุรกิจให้มีความแตกต่างไปจากเดิม และไม่ทับไลน์ธุรกิจกันเท่าไหร่ ก็ยังไม่มีธุรกิจไหนที่ดูจะเวิร์กเท่ากับไพ่ที่เขาเคยทำมา

ความจริงของโลกที่ว่า ‘มีเกิดก็ต้องมีดับ’ กำลังเกิดขึ้นกับธุรกิจของ Nintendo เพราะหลังจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่โตเกียวในปี 1964 ความนิยมของไพ่ที่เขาผลิตเริ่มน้อยลง บริษัทไม่ได้รับผลดีจากการจัดการแข่งขันนี้เหมือนกับธุรกิจอื่น ทำให้ต้องลดราคาสินค้าจาก 900 เยนเหลือเพียง 60 เยน ฮิโรชิเริ่มมองเห็นถึงปัญหาที่ว่า สิ่งที่ประสบความสำเร็จที่สุดนั้นอาจจะไปต่อไม่รอดในอนาคต

แน่นอนว่าการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งคงจะไม่เป็นผลดีตามสภาพความเป็นจริงของบริษัทในตอนนั้นสักเท่าไหร่ ฮิโรชิมองเห็นถึงเส้นทางลับที่ซ่อนอยู่ในเส้นทางเดิมที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วจากที่ผ่านมา คือการขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดของเล่น ต่อยอดจากธุรกิจไพ่ที่เขาทำได้ดี โดยเริ่มพัฒนาและวิจัยจนเกิดเป็นของเล่นชิ้นแรกที่วางขายในญี่ปุ่น ชื่อว่า ‘Rabbit Coaster’

ความสำเร็จได้เกิดขึ้นอีกครั้งในยุคของฮิโรชิ เพราะหลังจากที่ได้ ‘กุนเป โยโกอิ’ (Gunpei Yokoi) วิศวกรและผู้ออกแบบมือดีเข้ามาร่วมทำงานด้วย ทำให้เกิดสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นความสำเร็จครั้งแรกของ Nintendo ในธุรกิจของเล่น นั่นคือ ‘Ultra Hand’ ที่ได้เข้ามาช่วยกอบกู้วิกฤตทางการเงินของบริษัทด้วยยอดขาย 1.2 ล้านชุดทั่วญี่ปุ่น เกิดเป็นกระแสของเล่นยอดนิยมที่ฟื้นคืนชีวิต Nintendo ให้ได้กลับมายืนในตลาดธุรกิจอย่างสง่างาม

ตามมาด้วยผลงานของเล่นยอดนิยมที่ปล่อยออกมาเพื่อสานต่อความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ทั้ง ‘Love Tester’ ของเล่นทดสอบความโรแมนติกระหว่างผู้เล่นที่เล่นด้วยกัน หรือ ‘Ultra Machine’ ของเล่นที่สามารถขว้างลูกเบสบอลและตีได้จริง เหล่านี้มาจากความคิดของกุนเปที่ออกแบบและพัฒนาจนทำให้ Nintendo ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของอุตสาหกรรมในเวลาถัดมา

สู่ Level up

หลังจากธุรกิจของเล่นของ Nintendo ติดตลาดในญี่ปุ่น ฮิโรชิและกุนเปจึงเริ่มทดลองพัฒนาของเล่นที่มีการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีมากขึ้น โดยได้ชักชวน ‘มาซายูกิ อูเอมูระ’ (Masayuki Uemura) อดีตพนักงานบริษัท Sharp เข้าร่วมทีมเพื่อเดินหน้าธุรกิจในครั้งนี้ จึงเกิดเป็น ‘Nintendo Beam Gun’ ที่ถือได้ว่าเป็นการบุกเบิกตลาดเกมวิดีโอครั้งแรกของ Nintendo และเป็นต้นแบบการสร้างเกมในอนาคตของ Nintendo อีกด้วย

Nintendo ก้าวขาเข้าสู่วงการเกมอย่างจริงจัง ผ่านการเปิดตัวเครื่องเล่นเกมอย่าง Game & Watch เครื่องเล่นเกมพกพา ต่อด้วย Color TV Game ฮาร์ดแวร์วิดีโอเกมสำหรับเล่นในบ้านตัวแรกของบริษัท ตามมาติดๆ ด้วยเกมอาร์เคดอย่าง EVR Race และไปแตะจุดสูงสุดอีกครั้งด้วยเกม Donkey Kong ต้นกำเนิด Mario ที่เรารู้จักเป็นอย่างดีในปัจจุบัน

และเกมนี้เองที่ทำให้ Nintendo ได้ขยายความยิ่งใหญ่สู่การเป็นบริษัทผลิตเครื่องเล่นเกมไปยังสหรัฐอเมริกา ภายใต้ชื่อ ‘Nintendo of America’ ไปในที่สุด

เวลาถัดมา Nintendo เริ่มเดินทางเข้าสู่สนามเกมคอนโซลอย่างจริงจัง และเปิดตัว ‘Famicom’ เครื่องเล่นเกมแนวครอบครัวที่เปลี่ยนตลับเกมในเครื่องได้ ไม่ใช่การฝังเกมลงไปในเครื่องเหมือนครั้งก่อนที่เคยได้ผลิตมา พร้อมกับวางจำหน่ายเกม Donkey Kong, Donkey Kong Jr., และ Popeye ในเวลาเดียวกัน

แม้ช่วงแรกของการวางขายจะเกิดปัญหาต้องเรียกคืนเครื่อง Famicom ทั้งหมด แต่ Ninetendo ก็รีบจัดการแก้ปัญหาด้วยการใช้เงินครึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐเรียกคืนเครื่องและเปลี่ยนด้วยชิปที่ปรับปรุงใหม่อย่างรวดเร็ว และเมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เครื่อง Famicom ก็นำกลับมาวางในตลาดอีกครั้ง และเปิดตัวในอเมริกาด้วยชื่อ Nintendo Entertainment System (NES)

เครื่อง Famicom มีกระแสที่ดีมากหลังจากการปรับปรุงและพัฒนาใหม่ ทำให้กุนเปได้วางแผนพัฒนาเครื่องเล่นเกมแบบใหม่ที่ผสมผสานระหว่าง Game & Watch กับ NES ซึ่งเป็นสองเกมที่ประสบความสำเร็จอย่างมากของ Nintendo เข้าด้วยกัน Game Boy จึงมีคุณสมบัติพกพาสะดวกเหมือน Game & Watch และคุณสมบัติตลับเกมแบบเปลี่ยนได้เหมือน NES 

Nintendo เห็นถึงความนิยมของเกม Tetris จึงคิดกลยุทธ์การขาย Game Boy แบบแถมเกม Tetris ไปในเครื่องด้วย ทำให้เป็นที่ฮือฮาและประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม

กว่าจะเป็นผู้เล่น MVP

นับตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา คงพูดได้เต็มปากว่านี่คือยุคทองของ Nintendo เพราะไม่ว่าจะปล่อยเกมหรือเครื่องเล่นเกมชิ้นไหนออกมาก็ได้รับความนิยมติดตลาดไปทั้งหมด โดยเฉพาะการเปิดตัวเครื่องเล่นใหม่อย่าง Super Famicom ที่มาพร้อมกับภาคต่อในซีรีส์เกม Super Mario อย่าง Super Mario World ที่ใช้เวลาแค่เพียง 3 วันก็ขายจนหมดเกลี้ยงแผง

ไม่เพียงเท่านั้น ตัวเกม Super Mario World ได้มีบทเปิดตัวเจ้าไดโนเสาร์สีเขียวคู่ใจชายหนวดมาริโออย่าง ‘Yoshi’ ที่ทำให้เกมดังกล่าวได้รับคำชมถึงความสมบูรณ์แบบ และกลายเป็นวิดีโอเกมที่ได้รับคะแนนสูงสุดติดท็อป 5 ใน GameRankings.com อีกด้วย

เส้นทางของ Nintendo ในเกมนี้ดูเหมือนจะราบรื่นดี แต่อุปสรรคก็เกิดขึ้นได้เสมอ เพราะหากย้อนไปในปี 1988 เกิดการร่วมมือกันของบริษัทยักษ์ใหญ่ 2 แห่งในญี่ปุ่นระหว่าง Nintendo และ Sony ในการนำจุดแข็งของแต่ละฝั่งมาผสมผสานกันเพื่อเกิดเป็นเครื่องเล่นและเกมตัวใหม่ 

แต่แล้วในปี 1991 ดีลนี้กลับไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะ Nintendo เลือกที่จะหันหลังให้กับ Sony เนื่องจากรายละเอียดของสัญญาที่รู้สึกเสียเปรียบ เพราะฝั่งตนเองไม่มีส่วนร่วมในสิทธิ์การผลิตและวางจำหน่ายซีดีเกมในอนาคต จากนั้นจึงเปลี่ยนพาร์ตเนอร์ใหม่ในตลาดธุรกิจซีดีเดียวกันกับ Sony เป็น Philips แทน ทำให้ความสัมพันธ์อันดีระหว่าง Nintendo และ Sony ขาดสะบั้น เปลี่ยนจากคู่คิดเป็นคู่แข่งจนถึงปัจจุบัน

ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ Sony ได้นำสิ่งที่สั่งสมมาตลอดการพัฒนาผลงานในช่วงเวลานั้นมาเริ่มใหม่และพัฒนาต่อจนกลายเป็น PlayStation ที่แม้แต่ Nintendo ในตอนนั้นก็ยังหักล้างกระแสของเครื่องเล่นเกมนี้ไม่ได้ ทำให้อุตสาหกรรมเกมคอนโซลเริ่มดุเดือดและเกิดการแข่งขันในตลาดขึ้นอย่างสมบูรณ์

Continue ที่ไม่มีปุ่ม Pause

Nintendo ยังคงพัฒนาและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการปล่อยเครื่องเล่นเกมที่ใส่ลูกเล่นของความล้ำสมัยในทุกครั้งที่วางจำหน่าย รวมถึงเรียนรู้จุดผิดพลาดของสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าและปรับปรุงให้ตามทันกระแสของโลกที่เปลี่ยนไปเสมอ

ไม่ว่าจะเป็นการอัพเดตระบบกราฟิกจาก 8 bit มาเป็น 16 bit ในเครื่อง Super Famicom, การเปิดตัว Nintendo 64 เครื่องเล่นที่รองรับระบบ 3D ตัวแรกของบริษัท, การวางจำหน่าย Game Cube กับจอยเกมที่ถูกออกแบบมาให้ผู้เล่นจับถนัดมือที่สุด และ Wii ที่ใส่ความแปลกใหม่ผ่านฟังก์ชั่นการเล่นที่ใช้การเคลื่อนไหวของร่างกาย ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากการวิเคราะห์กระแสในตลาดวิดีโอเกม และพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนไปถึงเส้นชัยแห่งความสำเร็จได้

อีกหนึ่งสิ่งที่ Nintendo ให้ความสนใจไม่แพ้เครื่องเล่นเกมของเขา คือการเปิดตัวเกมต่างๆ ที่วางสตอรีให้มีเรื่องราวน่าติดตาม ทำให้เกิดการสร้างภาคต่อในเวลาต่อมาได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้คอเกมที่ได้มีประสบการณ์กับตัวเกมนั้นรอติดตามเนื้อเรื่องถัดไปของเกมเสมอ

ทั้ง The Legend of Zelda, Splatoon, Pokémon และ Super Mario ที่ไม่ว่าจะเป็นจริงจังเกมเมอร์หรือคนทั่วไปก็ต้องเคยได้รู้จักเรื่องราวในเกมและตัวละครบางตัวมาบ้าง โดยเฉพาะตัวละครจาก Pokémon และ Super Mario ที่รู้จักกันทั่วโลก ทำให้กลายเป็นภาพจำของ Nintendo ไปโดยปริยาย

ไม่ใช่เพียงแค่ระบบฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์เท่านั้นที่ Nintendo ให้ความสำคัญ เพราะอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้พวกเขาก้าวสู่บันไดแห่งความสำเร็จในโลกของเกมคอนโซลและวิดีโอเกม คือการไม่ตีกรอบความคิดคนทำงาน และให้ความสำคัญกับจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์ เพราะการจะสร้างสิ่งแปลกใหม่ได้ต้องมาจากความคิดที่ไม่เหมือนใคร และต้องยืดหยุ่นไปตามยุคสมัยที่เกิดขึ้น

ดังที่ ‘ซาโตรุ อิวาตะ’ (Satoru Iwata) อดีตประธาน Nintendo เคยกล่าวไว้ว่า 

“Nintendo จะไม่มีการกำหนดแนวทางหรือค่านิยมของบริษัท เพราะการ ‘ไม่มี’ นี่แหละที่คือความเป็น Nintendo อย่างแท้จริง ถ้าบริษัททำงานตามแนวทางนั้นๆ คนทำงานก็จะรู้สึกเบื่อหน่ายได้”

จากวันแรกถึงวันนี้ Nintendo เดินทางมาอย่างยาวนานถึง 136 ปี แม้บางเส้นทางจะต้องฝ่าด่านฝ่าอุปสรรคมากมาย แต่ก็ทำให้เกิดเป็นความสำเร็จของ Nintendo มาได้ถึงทุกวันนี้

แน่นอนว่าเกมแห่งธุรกิจของ Nintendo ยังคงไม่มีฉากจบ เพราะพวกเขายังคงมีแพสชั่นในการเปิดด่านใหม่ของเกมนี้อยู่เสมอ ด้วยความตั้งใจที่จะยืนหยัดเดินหน้าสร้างสรรค์ความบันเทิงผ่านวิดีโอเกมกับผู้คนทั่วโลกต่อไปเช่นเดิม

อ้างอิง

‘ห้องน้ำชา’ จุดเริ่มต้นของผู้ประกอบการหญิงที่เปลี่ยนบ้านเป็นร้านอบอุ่น และงานการต้อนรับขับสู้

ในคอลัมน์ทรัพย์คัลเจอร์ เราชอบเรื่องราวการก่อร่างธุรกิจและกิจการของผู้หญิงเป็นพิเศษ 

เราพูดถึงผู้หญิงในการตั้งสมาคมการอ่าน พูดถึงการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกิจการทัปเปอร์แวร์ในฐานะนักขาย พูดถึงการเข้าสู่พื้นที่เหล้าเบียร์ในจังหวะที่อเมริกาแบนเหล้า ไปจนถึงการใช้ทักษะเย็บปักถักร้อยในการทำแบรนด์ตุ๊กตายัดนุ่นที่กลายเป็นไอคอนของโลก

ความพิเศษของกิจการผู้หญิง คือกิจการของพวกเธอมักก่อตัวขึ้นในบริบทที่ไม่เป็นมิตร ยังไม่มีแนวคิดเรื่องความเสมอภาค ผู้หญิงไม่ได้มีอิสรภาพมากนัก แต่หลายครั้งการดิ้นรนเหล่านั้นก็นำพาความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ซึ่งนอกจากจะเป็นใบเบิกทางให้พวกเธอได้ใช้ความสามารถแล้ว ยังเป็นการให้อำนาจในการใช้ชีวิต พร้อมทั้งเป็นการรวมพลังของผู้หญิงเพื่อเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจด้วย

และในครั้งนี้เราจะชวนย้อนกลับไปดูอีกห้วงเวลาที่ผู้หญิงเริ่มสร้างงาน สร้างรายได้ ก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ประกอบการ ด้วยบริบทเดียวกันกับที่เราเคยพูดถึงในการแบนเหล้าของสหรัฐฯ ผู้หญิงเปิดบ้านเป็นร้านน้ำชาทางเลือก ร้านที่สุภาพสตรีทำ ขาย และเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจ จิบชากินอาหาร และในบรรยากาศของการพักผ่อนนี้เอง การพูดคุยในเรื่องจริงจังเช่นเรื่องสิทธิ การต่อสู้ ก็เกิดขึ้นรอบๆ ถ้วยน้ำชาและร้านของพวกเธอ 

กิจการร้านน้ำชาจริงจังถึงขนาดมีตำราแนะนำการเปิดและบริหาร มีสูตรอาหารที่อร่อย มีหลักการบริการที่ประทับใจ เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มของการเป็นเจ้าของกิจการตั้งแต่ยุคทศวรรษ 1900 เป็นจุดเริ่มหนึ่งทั้งของการทำร้านให้อบอุ่นเหมือนบ้าน บริการแบบมืออาชีพ และเป็นการให้อำนาจผู้หญิงผ่านการทำมาหากิน

ทำชาหากิน

กิจการห้องน้ำชาก่อตัวขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกันคือแถวๆ ปลายศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะช่วง 1900 ที่อังกฤษเป็นช่วงเวลาที่เราเรียกหลวมๆ ว่ายุควิกตอเรียน ส่วนอเมริกาเป็นช่วงเวลาที่ต่อเนื่องคือยุคแบนเหล้าในทศวรรษ 1920 

ยุคนั้นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในความทันสมัย เกิดพื้นที่เมือง เกิดกิจการร้านค้า เกิดชนชั้นกลาง ผู้คนเริ่มมีอำนาจจับจ่าย บางส่วนมีเวลาว่าง แต่ในยุคนั้นผู้หญิงยังอยู่ในกรอบ อยู่ในระเบียบ หนึ่งในนั้นคือการที่ผู้หญิงยังไม่มีพื้นที่ชัดเจนในพื้นที่สาธารณะ

เช่นว่าการที่ผู้หญิงจะออกไปนอกบ้าน ก็ต้องมีสุภาพบุรุษไปเป็นเพื่อน แน่นอนว่าพื้นที่กินดื่มสำคัญๆ เช่นร้านเหล้าประเภท tavern ไม่ใช่ที่ที่ทั้งผู้หญิงจะไปกินดื่มหรือทำงานได้อย่างเปิดเผย กล่าวคือร้านเหล้ามีผู้หญิงทำงานก็จริง แต่พวกเธอจะต้องอยู่ในส่วนที่ลับตาลูกค้าเพศชายทั้งหลาย

ในจังหวะนี้เอง ทั้งในอังกฤษและอเมริกาจึงเริ่มมีร้านน้ำชา ที่ในภาพรวมเป็นพื้นที่พักผ่อน กินดื่มน้ำชาและอาหารเบาๆ เป็นพื้นที่ที่เฉพาะผู้หญิงจะเข้าใช้บริการได้ สำหรับอังกฤษ ร้านน้ำชามักเป็นพัฒนาการจากกิจการที่เกี่ยวข้องอย่างร้านใบชาหรือร้านขนม ที่จัดพื้นที่นั่งเฉพาะไว้บริการ 

สำหรับสตรี แน่นอนว่าก็เป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้าพูดคุยกัน และเป็นพื้นที่ที่ผู้หญิงสามารถเข้าทำงานและหารายได้ได้

ความพิเศษของประวัติศาสตร์ร้านน้ำชาอยู่ที่ ในมุมที่เกี่ยวข้องกับการเป็น ‘กิจการของผู้หญิง’ โดยผู้หญิง เพื่อผู้หญิง และกลายเป็นศาสตร์ เป็นเทรนด์การประกอบกิจการ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสำคัญในสหรัฐอเมริกา 

T for Temperance 

กิจการร้านน้ำชาในอเมริกามีลักษณะไม่ต่างกับร้านน้ำชาในอังกฤษ คือเสิร์ฟชา ซึ่งรวมเครื่องดื่มอื่นๆ พร้อมกับขนม เช่น เค้ก ขนมจุกจิก รวมถึงอาหารเบาๆ แต่ร้านน้ำชาในอเมริกาไม่ได้แค่คิดและบริการลูกค้าผู้หญิงเท่านั้น แต่ร้านน้ำชาที่เกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ต่อเนื่องถึงต้นศตวรรษที่ 20 เกือบทั้งหมดเป็นร้านที่ผู้หญิงเปิดเอง 

ลักษณะร้านน้ำชาหรือห้องน้ำชา มักเป็นการที่สุภาพสตรีชนชั้นกลางเปิดสวน ห้องนั่งเล่น หรือบางส่วนของครัวและของบ้านเป็นพื้นที่ต้อนรับ พวกเธอจะบริการน้ำชาเครื่องดื่ม แสดงฝีมือทำขนมต่างๆ ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่แม่บ้านเปิดพื้นที่บ้านเป็นพื้นที่กิจการเพื่อหารายได้เสริม

นอกจากห้องบริการชาที่เปิดในพื้นที่บ้านแล้ว สุภาพสตรีหลายท่านเลือกที่จะใช้หรือเช่าพื้นที่อื่นๆ เช่น อาคารที่ไม่ได้ใช้ โรงเลี้ยงม้า ตึกที่อยู่ติดกับปั๊มน้ำมัน รวมถึงโรงโม่เก่า พวกเธอเข้าไปเนรมิตแปลงโฉม แม้แต่บางพื้นที่พวกเธอต้องนำกระทั่งน้ำสะอาดไปเอง ขนมและอาหารเป็นสิ่งที่พวกเธอจะทำไปจากบ้าน หรืออาจพกเตาเล็กๆ ไปใช้เพื่อต้มน้ำและปรุงอาหารเรียบง่าย

ในช่วงทศวรรษ 1900 กิจการห้องน้ำชาเป็นพื้นที่โอกาสในการหารายได้ของทั้งสาวโสด แม่ม่าย และภรรยาที่อยากช่วยหารายได้เข้าบ้าน 

ในสมัยนั้น พื้นที่กินดื่มนอกบ้านมักแบ่งเป็นพื้นที่ร้านอาหารประเภท tavern และร้านในโรงแรม ซึ่งแน่นอนว่าเป็นพื้นที่ของผู้ชาย สิ่งที่น่าสนใจคือห้องน้ำชาถูกออกแบบให้ตรงข้ามและเหมาะกับผู้หญิง ซึ่งกลายมาเป็นต้นแบบร้านคาเฟ่และเทรนด์สำคัญที่เราเจอในร้านอาหารปัจจุบัน คือร้านอาหารของผู้ชายมักจะเสิร์ฟอาหารหนักๆ ส่วนร้านชามักเสิร์ฟอาหารเบาๆ 

ร้านชาในยุคนั้น สุภาพสตรีผู้เป็นเจ้าของมักตกแต่งร้านให้มีบรรยากาศสบายๆ ซึ่งมักจะเน้นออกแบบให้ ‘เหมือนกับบ้าน’ คือเป็นบ้านที่สวยงาม เป็นระเบียบ กระทั่งตกแต่งด้วยข้าวของที่อาจชวนให้คิดถึงความอบอุ่นของบ้านในอดีต ผ้าลูกไม้ เครื่องถ้วยชาม เก้าอี้สาน ร้านชาสะท้อนความเป็นอุดมคติ บ้างก็เป็นพื้นที่ที่ชวนให้คิดถึงคฤหาสน์ในชนบทของยุคก่อนหน้า หลายร้านมักตกแต่งด้วยของเก่าซึ่งบางครั้งก็ขายของตกแต่งเหล่านั้นให้ลูกค้าด้วย

ในบางมุมมองระบุว่า การเริ่มทำให้ร้านน้ำชาดูเป็นบ้าน มีบรรยากาศเหมือนบ้าน แต่เป็นเวอร์ชั่นที่เป็นอุดมคติ บ้างก็สะท้อนค่านิยมหรือให้ภาพบ้านในยุควิกตอเรียนที่มีความเนี้ยบ สวยงาม ประณีต และโหยหาอดีตเล็กน้อย แต่การทำให้ร้านเหมือนบ้านก็เป็นการลดคำครหาในการเป็นพื้นที่นอกบ้านของผู้หญิง คือทำให้เป็นเหมือนบ้านซะ จะได้ไม่ถูกตำหนิ

จุดเปลี่ยนสำคัญของห้องน้ำชาของสุภาพสตรีคือการเฟื่องฟูขึ้นจากการมาถึงของยุคแบนเหล้า การแบนเหล้าเกิดจากกระแสและการเคลื่อนไหวเพื่อการอดเหล้า (temperance) เมื่อสังคมงดเหล้า ร้านอาหารไม่มีเหล้าขาย ผู้คนก็หันไปหาร้านน้ำชา 

ครั้งนี้ T-Room ไม่ได้หมายถึงแค่ชา แต่หมายถึง temperance คือเข้าไปดื่มเครื่องดื่มทดแทนการดื่มเหล้า ซึ่งในยุคนั้นในห้องน้ำชาจะมีบริการเครื่องจ่ายน้ำโซดา จุดนี้เองที่เริ่มเกิดพื้นที่ร้านแบบใหม่ที่เข้าไปกิน แต่ไม่ดื่ม กินของเบาๆ แฮงเอาต์แทนการดื่มเหล้าในบาร์แบบเดิม

ตำราผู้ประกอบการ และตำราอาหารเพื่อกิจการ

ความเท่ของกิจการน้ำชาของผู้หญิงคือ แง่หนึ่ง สิ่งที่พวกเธอทำในร้านเป็นสิ่งที่พวกเธอก็ทำอยู่แล้ว คือการดูแลบ้าน บริการอาหารเครื่องดื่ม จัดเลี้ยง ต้อนรับแขก แต่ครั้งนี้พวกเธอลงมือทำจากที่เคยทำเปล่าๆ กลายเป็นทำแล้วได้รายได้

ทีนี้ กิจการในยุคนั้นรุ่งเรืองแค่ไหน หลายครั้งมีความยืดหยุ่นเช่นเปิดบ้านเป็นช่วงเวลา หรือการตั้งร้านตามจุดสำคัญ บ้างก็เป็นระยะเวลาสั้นๆ หมายความว่าไม่จำเป็นต้องทำร้านถาวร อาจเป็นเทรนด์อย่างหนึ่ง 

หลักฐานความฮิตในยุคนั้น คือการมีหนังสือว่าด้วยการประกอบการ โดยมีตั้งแต่บทความในปี 1905 และปี 1910 หลังจากนั้นในทศวรรษ 1920 มีหนังสือว่าด้วยการเปิดร้านน้ำชา มีคอลัมน์ บทความว่าด้วยการเปิดร้าน รวมถึงแนะนำเมนูสำหรับการปรุงอาหารมากมาย

ถ้าเราเปิดดูตำราในขณะนั้น ถือว่าเป็นจริงเป็นจังมาก และข้อแนะนำแนวทางในการทำร้านในยุคนั้นค่อนข้างเคร่งครัด คือเป็นการวางมาตรการการบริการอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่การเปิดร้านแบบมือสมัครเล่น เช่นในหนังสือชื่อ Tea Room Business โดย Ida Lee Cary ที่ตีพิมพ์ในปี 1920 

สิ่งที่น่ารักคือ ในคำนำของคุณไอด้า บอกว่าการเปิดกิจการห้องน้ำชาเป็นสิ่งที่ดึงดูดและทำเงินที่สุดสำหรับผู้หญิงที่ทำได้ที่บ้านตัวเอง และเมื่อทำกิจการก็จะหาซื้อของสำหรับตัวเองและครอบครัวได้ ในหนังสือจะอธิบายแนวทางการเปิดบ้านเป็นห้องน้ำชาโดยละเอียด การเลือกห้องที่เหมาะสม การทำความสะอาด รูปแบบการจัดวางโต๊ะและจานชาม 

ที่สำคัญ มีแนวทางการบริการที่แทบไม่ต่างกับระบบในร้านอาหารที่ได้รับการฝึกฝนแบบที่เราเห็นในโรงเรียนการโรงแรมในปัจจุบัน บนโต๊ะต้องมีอะไรบ้าง ผ้าเช็ดปากต้องพับแล้ววางไว้ยังไง การเสิร์ฟอาหารต้องอ้อมเข้าทางซ้ายและวางไว้ขวามือของแขกเสมอ แก้วกาแฟก็ต้องวางไว้ขวามือ บอกกระทั่งลำดับการเก็บจานออกจากโต๊ะตามลำดับจากจาน แก้ว อุปกรณ์อื่นๆ และจบด้วยการเก็บเศษอาหารที่หล่นบนโต๊ะ 

นอกจากหนังสือว่าด้วยการเปิดห้องน้ำชา เธอยังออกตำราอาหารที่เกี่ยวกับการที่เธอเปิดห้องน้ำชาเอง โดยแนะนำว่าวาฟเฟิลเป็นอาหารที่คนนิยม ส่วนตำราอีกเล่มชื่อ Cook Book of Tested Receipes เป็นอาหารเรียบง่ายแต่ครอบคลุมทั้งของคาว ของหวาน ขนมปัง เค้ก พุดดิ้ง ไปจนถึงเคล็ดลับงานครัวและงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ

นอกจากตำราของคุณไอด้าแล้ว ยังมีตำราที่เกี่ยวข้องอีกหลายเล่ม ทั้งหนังสือว่าด้วยการบริหารร้าน ตำราเมนู และสูตรอาหารสำหรับกิจการห้องน้ำชา บางตำรากล่าวว่าหัวใจของความสำเร็จคือชาดีและอาหารอร่อย (คล้ายกับบางช่วงของกิจการคาเฟ่สมัยใหม่) แต่เงื่อนไขแรกของร้านที่จะสำเร็จคือการบริการ ลำดับต่อไปคือคุณภาพอาหาร  

นอกจากการเป็นพื้นที่ทำมาหากินของผู้หญิง เป็นพื้นที่พักผ่อน กินดื่มอาหารที่เหมาะกับผู้หญิง ในบรรยากาศที่ cozy ร้านน้ำชาเหล่านี้ยังมีบทบาทในการเป็นพื้นที่พบปะพูดคุย นอกจากการนินทา-วิพากษ์วิจารณ์ความเป็นไป เสียงที่ดังขึ้นในหมู่สุภาพสตรีกลายเป็นเสียงของการถกเถียง เรียกร้อง นำไปสู่การเรียกร้องสิทธิสตรีในเวลาต่อมา

หลังจากทศวรรษ 1920 การเรียกร้องสิทธิของผู้หญิงเริ่มได้ผลเป็นรูปธรรม มีสิทธิเลือกตั้งและต่อสู้ไปถึงสิทธิอื่นๆ พื้นที่นอกบ้านเริ่มผ่อนคลายกลายเป็นพื้นที่ของทั้งชายและหญิง ทั้งพื้นที่การทำงานและพื้นที่กินดื่ม ในช่วงทศวรรษ 1950 ห้องน้ำชาในฐานะกิจการของผู้หญิงในสหรัฐอเมริกาจึงค่อยๆ ทยอยปิดตัวลงจนหมด

ประวัติศาสตร์ในห้องน้ำชา จึงเป็นอีกหนึ่งการเปิดพื้นที่ให้กับผู้หญิง การมีพื้นที่ที่พวกเธอได้ทำมาหากิน ได้นั่งลงกินอาหาร พูดคุย ได้มีอำนาจต่อรองและมีอิสระมากขึ้น ซึ่งค่อยๆ สอดแทรกตัวเข้าสู่พื้นที่สาธารณะ เป็นพื้นที่ของการเปล่งเสียง ที่สำคัญคือเป็นร่องรอยสำคัญของผู้หญิงในการเข้าสู่กิจการที่เกี่ยวกับอาหาร เครื่องดื่ม และธุรกิจของการจัดเลี้ยงและการบริการที่มีมาตรฐาน มีระบบระเบียบแบบแผน 

กิจการเหล่านี้เป็นอิฐก้อนหนึ่งที่พวกเธอร่วมกันปูไปสู่ปลายทางของความเท่าเทียม

อ้างอิงข้อมูลจาก

42 ปีแห่งตำนาน ‘มาม่าฟ้าธานี’ เชียงใหม่ กับการกระจายความเสี่ยงธุรกิจอาหารสู่น้ำพริกสูตรเด็ด

เส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ใส่ลงในหม้อต้มซุปร้อนๆ เคี่ยวกับปลาหมึกแห้งทำให้หอมและมีรสกลมกล่อม เมื่อได้ที่จึงนำขึ้นมาสะเด็ดน้ำลงชาม เคียงด้วยหมูสับ ไข่ต้ม ปลาหมึก และผักกาดกวางตุ้งที่สดกรอบ ราดซุปร้อนๆ และปิดท้ายด้วยน้ำพริกสูตรพิเศษเฉพาะของทางร้านที่ทำให้ทั้งชามเผ็ดนัวยิ่งขึ้น จนต้องซดให้หมดถึงหยดสุดท้าย

ที่ร้าน ‘มาม่าฟ้าธานี’ แห่งนี้ ไม่ได้ทำให้เมนูที่ทุกคนมองว่าทำง่ายกินง่ายอย่าง ‘มาม่า’ เป็นเพียงเส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใส่ซุปและเครื่องปรุงธรรมดา แต่นำมาบรรจงปรุงอย่างใส่ใจ พร้อมเติมแต่งด้วยรสชาติลับจากน้ำพริกที่เป็นเหมือน ‘กิมมิก’ ของชาม ข้อพิสูจน์คือการที่มาม่าฟ้าธานีกลายเป็นที่ฝากท้องของนักชิมท้องถิ่น สายดื่ม และนักท่องเที่ยวย่านสันติธรรมในเชียงใหม่มายาวนานกว่า 42 ปี

หลังเปิดมาตั้งแต่ พ.ศ. 2526 ปัจจุบันมาม่าฟ้าธานีกำลังค่อยๆ ส่งไม้ต่อให้กับรุ่นถัดไปในการดูแลบริหาร พร้อมกับเป้าหมายในอนาคตที่เปลี่ยนไป พร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ทั้งในแง่ความคาดหวังของผู้บริโภค รวมถึงร้านอาหารใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นและพร้อมดึงดูดนักกินตลอดเวลา

ความน่าสนใจคือ มาม่าฟ้าธานี มองความเสี่ยงและพร้อมปรับตัวยังไง ในขณะที่การรักษาความดั้งเดิมของสูตรเมนูที่ถูกใจลูกค้ามายาวนานก็เป็นเรื่องต้องขบคิด 

Capital มีโอกาสได้พูดคุยกับ ณภัทร ศิวเวธานนท์ ที่เรียกได้ว่าเป็นรุ่นหลานของร้าน ซึ่งจับมือกับคุณแม่ในการรับไม้ต่อการบริหารร้านระดับตำนานของเชียงใหม่แห่งนี้ ว่ามีแนวคิดยังไงบ้าง

เล่าจุดเริ่มต้นของมาม่าฟ้าธานีให้ฟังหน่อย

จุดเริ่มต้นมาจากคุณตา (บุญช่วย ยวงขาว) กับคุณยาย (เรียง ยวงขาว) เคยขายของอยู่ที่ถนนศิริมังคลาจารย์เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน ใกล้โรงหนังฟ้าธานีเก่า ตอนนั้นท่านขายลูกชิ้นเป็นรถเข็น ซึ่งบริเวณนั้นก็จะมีตึกคอมเพลกซ์ที่ในตึกมีออฟฟิศ ร้านนวด 

ขณะเดียวกัน ร้านรถเข็นที่อยู่ข้างกันคือคุณลุงคนหนึ่งที่ขายมาม่า ซึ่งเขามีน้ำพริกสูตรหนึ่งที่ลูกค้าชอบซื้อไปใส่ในน้ำแกงหรือมาม่าเพื่อเพิ่มรสชาติ แต่หลังจากนั้น เขาต้องการเลิกกิจการ คุณตาจึงเซ้งรถเข็นขายมาม่ารวมถึงสูตรน้ำพริกมาในราคา 3,000 บาท ซึ่งในยุคนั้นถือว่าแพง

พอเปลี่ยนมาขายมาม่า คนแถวนั้นรวมถึงพนักงานออฟฟิศในตึกคอมเพลกซ์ที่มีร้านนวดก็มากิน ยิ่งดึกคนยิ่งมา เพราะไม่มีอะไรแถวนั้นให้กิน จนเขาเรียกติดปากว่า ‘มาม่าหมอนวด’ ก็เปิดขายอยู่ตรงนั้นมาสิบกว่าปี กระทั่งคุณตาไม่สบาย จึงย้ายกลับมาตรงซอยสันติธรรม ซึ่งเป็นที่อยู่ร้านปัจจุบัน เป็นบ้านของเราด้วย และเปิดขายที่นี่มาจนถึงทุกวันนี้

จำบรรยากาศของร้านตอนที่ย้ายกลับมาที่บ้านได้ไหม

ตอนนั้นเราน่าจะประมาณประถม จำบรรยากาศไม่ค่อยได้ เพราะกว่าแม่จะไปรับที่โรงเรียนกลับมาก็ดึกมากแล้ว และเมื่อก่อนไม่ได้สนใจจะมาทำธุรกิจที่ร้านเลย ความจริงเมื่อก่อนเราไม่กล้าบอกคนอื่นว่าที่ร้านขายมาม่าด้วย เพราะไม่รู้ว่าร้านตัวเองดังหรือเป็นยังไง พอคนอื่นถาม ก็บอกว่าบ้านมีธุรกิจแค่นั้น 

แต่พอแม่กับเราเข้ามาช่วย มีการพัฒนาสูตรน้ำพริก ทำให้ร้านที่ขายดีอยู่แล้วมีกลุ่มคนกินขยายขึ้นอีก จนตอนนี้คนอื่นอาจจะบอกว่าก็แค่มาม่าเอง แต่เรามองว่ามันทำให้เรามีอะไรเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

ทำไมคุณกับคุณแม่ถึงเริ่มเข้ามาช่วย และมองการรับช่วงต่อร้านยังไง

ตอนนี้เรายังเรียนอยู่ ส่วนก่อนหน้านี้คุณแม่ขายเสื้อผ้า ขายของตามตลาดนัด หลังจากคุณตาเสีย แม่ก็เข้ามาช่วย และมีการปรับหลายอย่าง ตอนแรกมีพนักงาน 3 คน แต่ไม่พอ เพราะหนึ่งคนต้องต้ม หนึ่งคนต้องอยู่ช่วยหน้าเตา ทั้งเสิร์ฟด้วย ล้างจาน เก็บโต๊ะ เลยเพิ่มพนักงานเข้ามา พอลูกค้าเยอะขึ้น ก็มีระบบคิวให้

เมื่อก่อนตอนย้ายร้านกลับมา มีลูกค้ามารีวิว ร้านก็เริ่มดัง มีดารามา คุณแม่ก็อยากพัฒนาร้านให้มันดี ตรงที่ต้มมาม่าที่เคยเป็นรถเข็นพ่วง ก็ก่อเป็นบาร์ขึ้นมา ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไป เพราะบ้านก็ค่อนข้างเก่า แม่เคยบอกว่า พอรับช่วงต่อร้านแล้วก็ต้องพัฒนาร้านในเรื่องของบริการลูกค้าให้ดีขึ้น เช่นเดียวกับการเอาเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วยบริหารร้าน 

จากที่คุณเล่า เท่ากับว่าจุดเด่นของมาม่าฟ้าธานีอย่าง ‘น้ำพริก’ ก็เริ่มมาพร้อมกับคุณลุงรถเข็นใช่ไหม

ใช่ เริ่มแรกเป็นสูตรที่มาพร้อมกับรถเข็นคุณลุงที่เซ้งมา แต่คุณยายนำมาปรับสูตรเพิ่มให้มีรสชาติที่ครบรสมากขึ้นและเข้มข้นขึ้น เพราะน้ำพริกเดิมค่อนข้างเหลวเป็นน้ำ ไม่ได้มีความเข้มข้นเท่าน้ำพริกปัจจุบัน 

ยายจะแบ่งขายน้ำพริกใส่ถุง แต่พอแม่เห็นว่ามีลูกค้ามาถามซื้อเยอะเลยทำเพิ่ม จากที่เคยทำหม้อเดียวที่ร้าน ก็ย้ายไปทำที่โรงงานที่อำเภอสันทรายได้วันละ 5 หม้อ ก่อนหน้านี้บรรจุภัณฑ์ใส่น้ำพริกเป็นแก้ว พอเริ่มลงโซเชียลฯ ก็มีลูกค้าถามว่าขายส่งไหม แต่ปัญหาคือพอส่งแล้วขวดมันแตก เราก็ต้องเคลมให้ลูกค้า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าที่ส่งเคลมไปจะแตกอีกไหม 

ตอนนั้นขายแบบขวดแก้วมาสองสามปี จนเปลี่ยนมาเป็นกระปุกพลาสติก ลูกค้าก็เริ่มออร์เดอร์เข้ามาเรื่อยๆ มีลูกค้าต่างประเทศที่ทำร้านอาหารไทยสั่งมาเยอะ จนทุกวันนี้มีรูปแบบแกลลอนด้วย สำหรับลูกค้าที่ทำร้านอาหาร 

มองการต่อยอดน้ำพริกยังไง

ตอนนี้เรามีน้ำพริกสองสูตร คือ น้ำพริกต้นตำรับ กับ น้ำพริกกากหมูโบราณ ในตลาดสินค้า ณ เวลานี้ เรายังมั่นใจว่าน้ำพริกของเราที่เป็นรสชาติแบบนี้มีเพียงหนึ่งเดียว ตอนนี้เราต่อยอดธุรกิจโดยกระจายสินค้าไปทางช่องทางออนไลน์ ตามแพลตฟอร์มต่างๆ อนาคตถ้าเป็นไปได้ เราจะสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขึ้นมา โดยอิงจากน้ำพริกดั้งเดิมที่เรามี อาจกระจายสินค้าฝากขายไปยังซูเปอร์มาร์เก็ต หรือหากทำได้ก็ส่งออกไปยังต่างประเทศ เพราะตอนนี้เราเพิ่งขอ อย. ผ่าน

เราว่าน้ำพริกนี้เป็นตัวชูรสของมาม่าให้มีรสจัดจ้านขึ้น หอม และเผ็ดสะใจ ด้วยความที่พริกเผามีความหอม พอต้มกับมาม่าก็จะหอมพริกเผาขึ้น

ในแง่ของน้ำพริก มีความเสี่ยงในตลาดนี้บ้างไหม

ความเสี่ยงคือมันไม่ได้ทำยาก อาจเกิดการเลียนแบบได้ การแข่งขันทางตลาดมันสูง ในช่องทาง TikTok ไปทางไหนก็เห็นคนขายน้ำพริก เคยมีช่องหนึ่งพยายามทำคอนเทนต์เลียนแบบน้ำพริกที่ร้าน คือมันไม่ได้เหมือนนะ แต่เราก็มองว่ามันเกิดขึ้นได้เหมือนกัน กับการที่เขาจะมาเอาสูตรเราไปได้ ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงคนที่รู้สูตรมีแค่ยาย แม่ และเราก็ตาม

มุมผู้บริโภคปัจจุบันอาจต้องการอะไรใหม่ๆ ขณะที่มาม่าฟ้าธานียังเลือกขายเมนูจากต้นตำรับเดิม มองเรื่องนี้ยังไง

เคยมีลูกค้าบอกว่า ‘ก็แค่มาม่าเอง’ แต่ก็มีลูกค้าบางกลุ่มที่ชอบน้ำพริกเรา มันก็เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล แต่พูดตามตรงมันก็เป็นสิ่งที่เรากังวลมากที่สุด ถ้าลูกค้าที่มากิน มารีวิว มีความคิดว่า ‘ก็แค่มาม่าเอง’ เยอะขึ้น เราจะไปต่อยังไง 

คือมันก็จริงที่บอกว่ามันคือมาม่า แต่ถามว่ากับตัวเราเองยังต้มไม่ได้เหมือนที่พนักงานต้มเลย มันยากนะ ต้องรู้ว่าเส้นลงไปตอนไหน กี่นาที เราคิดว่ามันเป็นปัจจัยหลักที่คนอื่นอาจจะไม่เห็นความแตกต่าง แต่เราอยู่กับมันทุกวัน เราเห็นว่าเป็นยังไง 

แล้วถ้าเราลองเปรียบเทียบ มาม่าใส่ผงธรรมดา แต่เรามีน้ำพริกที่เป็นกิมมิก และเครื่องอื่นๆ อีก มันก็ต่างกันนะ เราเลยคิดว่าอีกหน่อยถ้าปรับปรุงร้านดีขึ้นแล้ว ก็จะเพิ่มเมนูด้วย อยากให้มีรสชาติอื่นที่ทำให้คนว้าวขึ้น

มองคู่แข่งในตลาดร้านมาม่ายังไง

เมื่อก่อนเชียงใหม่มีร้านมาม่าอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาบูมมาก เพราะมีหลายสาขา แต่ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรเขาถึงปิดไป เขาเหมือนเป็นคู่แข่งเลย แต่เรามองว่าเราก็มีสิ่งที่แตกต่างคือน้ำพริก คือวัตถุดิบอย่างเช่นผักกวางตุ้งที่ทุกวันนี้คุณยายยังค่อยๆ บรรจงตัด น้ำซุปเรามีเบสเป็นปลาหมึกแห้ง หอม ยิ่งใส่น้ำพริกก็ยิ่งกลมกล่อม

แต่ความเสี่ยงที่เรามองตอนนี้คือ เรื่องของร้านค้าที่มีหน้าร้าน และแม้แต่ร้านค้าออนไลน์เกิดขึ้นใหม่มากมาย มีตัวเลือกอาหาร มีสินค้าให้เลือกหลากหลายมากขึ้น ทำให้เกิดการกระจายผู้ซื้อไปยังร้านต่างๆ ก็อาจจะทำให้ลูกค้าที่ร้านเราน้อยลง

ช่วงนี้ที่คนบ่นว่าเศรษฐกิจไม่ดี มาม่าฟ้าธานีได้รับผลกระทบบ้างไหม

มีบ้าง แต่โชคดีที่ฐานลูกค้าเก่าเราเยอะ บางคนกินตั้งแต่ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย แล้วก็มีกลุ่มใหม่ๆ มาลองบ้าง ต่างชาติมีประปราย จีน เกาหลี ฝรั่ง มียูทูบเบอร์ที่มารีวิว คนก็มาตาม แต่มีบางวันที่ลูกค้าน้อย บางวันลูกค้าก็จะมาตอนร้านเปิด ไปเรื่อยๆ ทุ่ม สองทุ่ม สามทุ่ม ก็เบาลง บางทีเที่ยงคืนก็เงียบเลย 

อะไรคือสิ่งที่ทำให้มาม่าฟ้าธานีเปิดมาได้ถึง 42 ปี

เราคิดว่าเป็นเพราะลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มเดิม เราต้องขอบคุณลูกค้าเก่าจริงๆ ที่ยังมากิน รวมถึงคนที่มารีวิวร้าน ทำให้ร้านโด่งดังในโซเชียลฯ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ร้านยังต่อยอดไปได้ รวมถึงลูกค้าสายดื่มที่รู้กันอยู่ว่าดื่มเสร็จก็มากิน เป็นเพราะลูกค้าจริงๆ ที่ทำให้ร้านมาถึงตอนนี้และยังไปต่อได้

เราอยากให้ร้านอยู่ต่อไปเรื่อยๆ แต่ถ้าอีกหน่อยร้านมาม่าไปต่อไม่ได้ เราก็ยังมีน้ำพริกที่เราจะทำเพิ่มหลายสูตร อาจจะรับผลิตเพิ่ม หรือรับทำขายเองเกี่ยวกับน้ำพริก เหมือนกระจายความเสี่ยงไปที่น้ำพริก ไม่ได้ฝากไว้ที่ร้านอย่างเดียว 

เราต้องทำทั้งร้านและน้ำพริกให้ดี และความมั่นคงของเราต้องอยู่ที่ทั้งสองอย่าง

‘คำโตๆ’ มิติใหม่ของเอเจนซีที่ปั่น ทันกระแส ตามสไตล์ของเพจเนื้อแท้ที่หยิบจับอะไรก็ไวรัล

‘เจอบังโตที่เซเว่น’

โฆษณาสุดปั่นที่ทำให้คนไปตามล่าแซนด์วิชเนื้อแท้กันทั่วบ้านทั่วเมือง และสร้างปรากฏการณ์ยอดชม 1 ล้านวิวภายใน 9 ชั่วโมง นี่เป็นผลงานชิ้นแรกของเอเจนซีน้องใหม่อย่าง ‘คำโตๆ’

หลังจากเมื่อกลางปี 2024 ที่ผ่านมา โต–วีรชน ศรัทธายิ่ง ได้ประกาศเปิดตัวธุรกิจใหม่ในชื่อ ‘คำโตๆ’ บริษัทเอเจนซีและคอนเทนต์ออนไลน์ ที่ทำโปรดักชั่นได้ด้วย พร้อมนั่งแท่นเป็น Chairman หรือประธานกรรมการให้กับคำโตๆ

ที่สำคัญยังได้ดึง DNA ความปั่น ทันกระแส และสนุกในแบบของเนื้อแท้มาระเบิดความคิดสร้างสรรค์ ภายใต้การบริหารงานของ คิง อลังการ Managing Director และ Creative Director ของคำโตๆ หรือที่รู้จักกันในฐานะแอดมินเพจเนื้อแท้ที่ฝากคอนเทนต์ไวรัลไว้เต็มหน้าฟีด

“ผมอยากสร้างมิติใหม่ของการทำโฆษณาที่สะอาด แล้วก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ทำให้สังคมเสื่อม แล้วก็หาเงินได้ด้วย” โตพูดถึงหัวใจสำคัญในการปั้นคำโตๆ 

ตลอดการสนทนาในครั้งนี้ เรามักจะได้ยินคำว่า ‘มิติใหม่’ และ ‘เส้นตรงกลาง’ อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งมักถูกใช้อธิบายว่าคำโตๆ จะคงสไตล์ของตัวเองที่แตกต่าง ไม่เหมือนใครเอาไว้ และถ้าลูกค้าอยากได้งานที่ผิดกับตัวตนของพวกเขา ก็จะไม่ทำ

ด้วยแนวคิดที่สวนทางกับเอเจนซีอื่นๆ ที่เราเคยรู้จัก บวกกับฝีไม้ลายมือที่ไม่ว่าเนื้อแท้จะหยิบจับอะไรก็กลายเป็นไวรัลอยู่เสมอ เช้าตรู่วันธรรมดาวันหนึ่ง เราจึงนัดโตและคิงมาที่ร้านเนื้อแท้ สาขาหนองจอก ซึ่งถือเป็นสาขาแรกของเนื้อแท้เพื่อย้อนความหลัง พูดคุยกันถึง DNA ของเนื้อแท้ตั้งแต่ day 1 มาจนถึงจุดเริ่มต้นในการทำคำโตๆ แนวคิดการบริหารธุรกิจด้วยความจริงใจ พร้อมเจาะเบื้องหลังโฆษณาที่หลายคนได้ชมกัน 

ขอเตือนไว้คำโตๆ ว่าเตรียมหัวเราะไปกับคำตอบสุดกวนชวนปั่นในสไตล์เนื้อแท้กันได้เลย

อย่างที่รู้กันว่าคอนเทนต์ในเพจเนื้อแท้เต็มไปด้วยความครีเอทีฟและกลายเป็นไวรัลตลอด ส่วนนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้อยากเปิดเอเจนซีคำโตๆ ด้วยไหม

โต : ใช่ครับ เพราะตอนแรกที่คิดคอนเซปต์ของเนื้อแท้ คืออยากทำเพจให้สนุก ให้คนมาตามที่เพจ ไม่ได้ตามเพราะเนื้อ ทีนี้ก็มาเจอคิง เขาเป็นลูกค้าประจำเราที่ร้าน The Beef Master แล้วเขาก็บอกว่าเรียนจบนิเทศศาสตร์มา ผมก็เลยให้คิงมารับผิดชอบดูเพจเนื้อแท้

คิง : ช่วงแรกผมขายของแบบฮาร์ดเซลอย่างเดียวเลย แล้วรู้สึกเริ่มจะหมดไฟ เพราะขายของแล้วไม่มีรีแอกต์จากคนดู คนกดไลก์ก็น้อย เลยลองหาอะไรที่สนุกๆ ทำ ช่วงแรกลองเอาข่าวมาเล่น หลังๆ ก็เริ่มเอาพี่โตมาเล่นนู่นเล่นนี่ โดยที่บางทีพี่โตก็ไม่รู้ตัว แล้วก็เป็นไวรัลไปเลย

โต : พอทำไปทำมาเขาก็เจอเส้นของตัวเองอย่างที่เราเห็นกันในเพจเนื้อแท้ตอนนี้ แล้วเขาก็เอาผมมาเล่นคอนเทนต์ยับไปหมด (หัวเราะ) ผมก็คิดว่าต่อไปมันน่าจะแตกแขนงได้อีก เลยบอกคิงว่าอยากแยกบริษัทเลยไหม แล้วก็เอาจริงทางด้านนี้เลย เพราะว่าทำให้เนื้อแท้อย่างเดียวมันเสียดายโอกาส ถ้าขยายได้จะสนุกกว่านี้

คิงรู้สึกยังไงที่ได้มาเป็นผู้บริหารของคำโตๆ

คิง : ตอนนั้นผมทำเพจเนื้อแท้อยู่ประมาณ 3 ปี ก็อยากหลุดจากกรอบของการทำคอนเทนต์ร้านอาหาร อยากไปทำอย่างอื่น อยากเปิดโลกกว้างมากกว่านี้ ใจหนึ่งเราก็กลัวนะ กลัวว่าจะทำไม่ได้ แต่อีกใจเราก็อยากเป็นผู้กำกับโฆษณาตั้งแต่เรียน พอเรียนจบก็มาทำงานกับพี่โตยาวๆ ตอนที่พี่โตชวนให้มาทำเอเจนซีด้วยกัน ผมคิดว่าเป็นจุดที่ช่วยสานฝันในการอยากทำสื่อโฆษณาของผมเลย

แล้วพวกคุณแบ่งหน้าที่กันยังไง

โต : ผมให้คิงบริหารไปเลย ผมให้อิสระคิงตั้งแต่ตอนทำเพจเนื้อแท้ คิงเขาคิดแล้วเริ่มหมดทุกอย่าง ผมแทบไม่ยุ่งเลย คิงก็จะให้ดูว่าเสียภาพลักษณ์หรือเปล่า ขัดกับหลักศาสนาไหม เขาอยู่กับเรามาตั้งแต่ยังเป็นร้านเล็กๆ ตั้งแต่ day 1 ของร้านเนื้อแท้เลยด้วยซ้ำ เขาก็รู้ทุกอย่างอยู่แล้ว

พอมาเปิดคำโตๆ ผมก็ทำตัวเป็นมือที่ 3 มองมาจากข้างนอก เหมือนตอนที่ผมทำเพลง โปรดิวเซอร์ก็จะมองเห็นในมิติที่คนเขียนงานมองไม่เห็น เวลาที่ผมอัดเพลงอะไร โปรดิวเซอร์ก็จะเตือนผม ผมก็เปลี่ยนตาม งานนี้ก็เหมือนกัน บางทีพวกเขาไปดูงานข้างนอกมา แล้วรู้สึกว่างานเขามันดิบขนาดนี้อาจจะไม่ดี ผมบอกไม่เป็นไร ดิบไปเลย มันมีคนที่ชอบความดิบแบบนี้แหละ แล้วผมก็ชอบความดิบที่ไม่มีใครสอน มันเป็นสิ่งที่ดีนะ 

คิง : อันนี้ชมหรือด่า (หัวเราะ)

โต : เป็นสิ่งที่ดี ถ้ามันไม่ใช่เรื่องบาปก็ดีหมดแหละ

คอนเทนต์ที่จะได้เห็นจากคำโตๆ เหมือนหรือต่างจากที่เห็นในเพจเนื้อแท้ยังไง

คิง : เรายก DNA ของเนื้อแท้ออกมาใช้เลย เราอยากทำให้แบรนด์มีความน่าสนใจอย่างที่เนื้อแท้เคยเป็น เนื้อแท้มีความปั่น มีความสนุก มีความติดกระแส เราอยากให้แบรนด์อื่นๆ ที่มาจ้างเรามี DNA ตรงนั้นไปด้วย

คำโตๆ มองว่าตัวเองอยากเป็นเอเจนซีสไตล์ไหน

โต : ผมอยากสร้างมิติใหม่ของการทำโฆษณาที่สะอาด แล้วก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ทำให้สังคมเสื่อม แล้วก็หาเงินได้ด้วย เรื่องนี้ผมเองก็คิดไม่ตกเหมือนกัน เพราะผมก็ทำสื่อมาก่อน ผมคิดว่าจะทำยังไงให้สื่อมันสะอาดได้บ้าง

ในบริษัทของเราทั้งหมดจะอิงหลักการศาสนาหมดเลย อย่างหนึ่งในหลักการอิสลามก็คือ ถ้าเป็นการโฆษณาชวนเชื่อเกินควรไม่ได้ ใช้ผู้หญิงหรือเรื่องทางเพศมาดึงดูดความสนใจไม่ได้ วิธีที่คิงเลือกใช้ทำให้โฆษณามันสะอาดได้ ผมว่ามีหลายคนอยากจะทำนะ แต่ทำไม่ได้ สุดท้ายก็ยังมีความไม่ถูกต้องออกมา เช่น โฆษณาแบบเว่อร์ แต่จริงๆ ตัวสินค้าไม่ได้ขนาดนั้น

อันนี้เป็นอีกสิ่งที่ซีเรียสในศาสนาอิสลามมากคือ พูดโกหกไม่ได้ ซึ่งเราก็ไม่จำเป็นต้องโกหก เราแค่ทำให้คนสนุกแล้วจำได้ โฆษณาก็มีหลายประเด็นให้เอามาเล่น อย่างที่คิงชอบทำก็คือหยิบสถานการณ์ปัจจุบันหรือสิ่งที่เป็นกระแสมาทำ ผมว่าคิงทำถึงเส้นตรงนี้ ซึ่งกว่าจะหาเส้นตรงกลางได้แบบนี้มันยากนะ

ผมก็อยากให้เด็กรุ่นใหม่มีองค์กรที่เขาเข้ามาทำงานแล้วเห็นว่ามันมีทางเลือกนี้ที่สะอาดอยู่นะ มันเป็นงานที่อิ่มใจ แล้วทำให้เขาอิ่มท้องด้วย ไม่ใช่อิ่มแต่ท้องแล้วใจมันสกปรก ซึ่งทางคำโตๆ เราพยายามปกป้องคนเสพคอนเทนต์โดยที่เขาไม่รู้ตัว ที่บอกว่าไม่รู้ตัวเพราะบางทีคิงเขาทำโฆษณาแบบเนียนมาก ระวังเรื่องการใช้ภาษา การใช้คำหยาบคาย

บางทีคนไม่คิดถึงเด็กที่เขาเข้าถึงสื่อได้ง่าย แล้วถ้าไม่ระวังเรื่องพวกนี้ เราต้องโทษตัวเองแล้วที่ทำให้สังคมมันเสื่อม แล้วพอเรามาเจอคนที่เข้าใจหลักการทุกอย่าง ทีมทุกคนเข้าใจหมดโดยที่ผมไม่ต้องเหนื่อยบอก เหมือนเราเจอคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันหมด

คิง : ถ้าสังเกตตอนนี้คอนเทนต์ขยะในยูทูบ เต็มไปหมด เวลาเด็กดู เขาสกรีนไม่ได้ ก็กลายเป็นความเคยชินว่าคำหยาบอันนี้พูดได้ แต่ถ้ามาดูคำโตๆ จะรู้สึกว่าเป็นคอนเทนต์ที่ทุกคนดูได้

แล้วถ้าลูกค้าอยากได้ผลงานสไตล์อื่นต่างจากที่คุณวางไว้ล่ะ

โต : ถ้ามันผิดกับตัวตนที่เราวางไว้ ผมไม่ทำ เพราะว่าแต่ละเอเจนซีก็ต้องมีสไตล์ บางคนอาจทำได้หลายสไตล์ แต่ว่าถ้าเราทำสไตล์ของเราอย่างนี้ไปเลย แล้วก็พัฒนาสไตล์ให้มันแหลมคมขึ้น คนก็จะมองเห็นเรา

คิง : ถ้าลูกค้าอยากได้งานที่ success เขาต้องเข้าใจงานของเรา หน้าที่ของลูกค้าคือโยนงานมาให้เราคิด แล้วก็เปิดโอกาสให้เรา หน้าที่ของเอเจนซีคือคิดงานให้ครีเอทีฟ ให้สนุก อันนี้เป็น key message ในการทำงานด้วยกันเลย คือต่างคนต่างไว้ใจซึ่งกันและกัน

โต : ผมขยายที่คิงพูดนิดหนึ่ง คือผมเป็นคนทำงานศิลปะมาก่อน แล้วผมไม่ได้เป็นคนที่ทำศิลปะจ๋าๆ แล้วคนฟังไม่รู้เรื่อง ผมเป็นคนทำงานศิลปะด้วย แล้วก็แมสด้วย ถ้าทำแล้วคนฟังไม่รู้เรื่องจะทำไปทำไม นั่งเล่นคนเดียวอยู่ในบ้านก็ได้

เพราะฉะนั้นตอนรับงานลูกค้าผมจะสกรีนความตรงกันของหัวใจก่อน แล้วให้เขาบอกมาเลยว่า 1 2 3 4 5 อยากได้อะไร อยากให้คนรู้จักหรืออะไร บอกความต้องการมาได้ อันนั้นเป็นสิทธิ์ของลูกค้า เดี๋ยวผมจะทำให้ติ๊กถูกทุกข้อแน่นอน แต่ถ้าคุณมาบอกว่าต้องทำอย่างโน้น อย่างนี้ อันนั้นคุณไปทำเองดีกว่า ถ้าคุณมาทำงานกับเราก็ต้องเชื่อใจเรา

มีวิธีสกรีนลูกค้ายังไงให้คลื่นหัวใจตรงกัน

โต : ผมต้องดูก่อนว่าผมโอเคกับแบรนด์หรือเปล่า สินค้าดีจริงไหม ผู้บริหารเขาตั้งใจหรือเปล่า เป็นคนที่รักในงานของตัวเองจริงๆ ไม่ได้ทำเพราะเป็นนักธุรกิจ ผมอยากสนับสนุนคนที่จริงจังกับลูกค้า จริงใจกับลูกค้า เพราะว่าผมก็เป็นคนแบบนี้เหมือนกัน ก็อยากได้คนที่เป็นคอเดียวกันมาทำงานร่วมกัน

สมมติว่าในอนาคตมีบริษัทที่ใหญ่มากๆ มาจ้างงาน ผมก็จะถามว่าเขาต้องการอะไร แล้วเราก็อาจจะทำงานเล็กๆ ด้วยกันครั้งแรกก่อน ถ้าทำแล้วไม่ใช่ ผมก็บอกว่าไม่รับต่อแล้วนะ เพราะผมว่าลึกๆ ของทุกคนก็ต้องการความจริงใจ แค่เราถูกสังคมทำให้เราลืมตรงนี้ไป แล้วก็จะมาทำฉาบฉวย แต่ถ้ามาด้วยความจริงใจก็จะอยู่ไปตลอด

ตอนนี้คำโตๆ ให้บริการอะไรบ้าง

คิง : เราเป็นบริษัทเอเจนซีที่ดูแลเพจแล้วก็ผลิตสื่อ อีกขาหนึ่งที่เริ่มทำเมื่อต้นปีที่ผ่านมาก็คือโปรดักชั่นเฮาส์ ทำโฆษณา ลูกค้าหลักของเราตอนนี้ก็คือเพจเนื้อแท้ และอีกอย่างคือทำรายการคำโตๆ เป็นรายการที่ให้พี่โตเอาสินค้ามารีวิว แล้วในอนาคตอาจจะมีรายการพอดแคสต์ เพื่อให้ช่องมีอะไรรันตลอดเวลา

ความยากหรือความท้าทายของการหันมาทำเอเจนซีคืออะไร

คิง : คือสิ่งที่เราไม่รู้นี่แหละ เพราะผมดึงทีมงานที่ทำเพจเนื้อแท้ด้วยกันมาทำคำโตๆ ด้วย แล้วพวกเราไม่ได้เป็นสายเอเจนซีมาก่อน พอเราเริ่มทำจากสิ่งที่ไม่รู้ เราก็ต้องหาทางเองหมดเลย

โต : การไม่รู้เป็นข้อดีที่ผมชอบนะ เพราะว่าลายเส้นมันจะมีเอกลักษณ์ จะหาตัวตนของตัวเองง่าย คนชอบบอกว่าทำไมเนื้อแท้เป็นมิติใหม่ของสื่อ มีวิธีการโปรโมตในช่องทางออนไลน์ที่ไม่เหมือนใคร เพราะเราไม่มีต้นแบบไง 

มันเหนื่อยไหม เหนื่อยนะ แต่ทำให้เรามีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง จากนั้นถ้าคนจะเลียนแบบเราก็ไม่เป็นไร เพราะเขาจะรู้ว่าใครเป็นออริจินอลจริงๆ ซึ่งส่วนใหญ่คนชอบทำเหมือนกันหมดเลย แต่ผมไม่ค่อยชอบเหมือนใครเท่าไหร่

อย่างเรื่องการตัดต่อ ถ้าไปดูที่ช่องคำโตๆ เรื่องการตัดต่อนี่จะไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา ที่จะตัดเรียงๆ ไป แต่เราไม่ได้ไปตามกฎว่ามันต้องมีคำนำ เนื้อเรื่อง แล้วก็สรุป ผมคิดว่าเราอย่าไปยึดกับกรอบเพราะว่ามนุษย์เป็นคนสร้างกรอบกันเอง เราก็สร้างกรอบใหม่เลย เราดึงสรุปขึ้นมาก่อนหรือดึงเนื้อเรื่องขึ้นมาก่อนแล้วค่อยมาเป็นคำนำ พอมันเจอเส้นตรงนี้ ดูแล้วก็สนุก เราก็คงวิธีตัดแบบนี้ไว้เรื่อยๆ จนเป็นสไตล์เรา

เห็นว่าผลงานชิ้นแรกของคำโตๆ คือโฆษณาเจอบังโตที่เซเว่น ตอนนั้นคุณได้รับโจทย์มาว่ายังไง และเจออุปสรรคอะไรบ้างไหม

คิง : CEO ของ Company B เขาอยากโปรโมตสินค้าแซนด์วิชเนื้อแท้ อันที่เป็นเนื้อย่างซอสแจ่วชีสโทสต์แซนด์วิช ที่จะวางขายในเซเว่น โจทย์แรกที่ได้มาคือทำยังไงให้คลิปนี้เป็นไวรัลให้ได้ เราก็พยายามคิดให้มีความเป็นเนื้อแท้อยู่ในนั้น ก็คือดึงเอาความกวนตีน ความปั่นประสาทมาใส่ในนี้ ดึงเอามีมมาใส่ด้วย

แต่ตอนนั้นเรามีเวลาแค่ 2 สัปดาห์ในการเตรียมงานสร้าง เพราะสินค้าจะวางขายแล้ว มันใกล้เวลามากจริงๆ เป็นช่วงชุลมุนที่เราต้องทำนู่นนี่นั่นหลายอย่าง และด้วยความที่เรากับเนื้อแท้เป็นพาร์ทเนอร์กัน เราก็ไม่กล้าเรียกเงินเขาเยอะ ก็โดนจำกัดด้วยงบประมาณอีก

ด้วยเวลาแค่ 2 สัปดาห์กับงบที่จำกัด คุณมีวิธีการทำงานยังไงให้ทัน

คิง : เราไม่มีเวลาแคสต์นักแสดงด้วยซ้ำ คนที่เป็นนักแสดงหลัก 2 คนคืออีฟกับอ้น เขาเป็นลูกค้าของ The Beef Master มาก่อน ผมได้ไปเจอกับเขาก็รู้สึกว่า 2 คนนี้มีความกวนตีนหน่อยๆ มีความเป็นลูกเล่นอะไรบางอย่าง เลยมั่นใจในคาแร็กเตอร์ของ 2 คนนี้ แล้วพวกเขาเป็นลูกค้าประจำมีความผูกพันกับแบรนด์ เราคิดว่าสิ่งนี้มันมีอิมแพกต์ดี แล้ว 2 คนนี้ไม่เคยเล่นโฆษณามาก่อน ยิ่งทำให้มีความสดใหม่กับโฆษณาของเรา 

โต : ตอนแรก 2 คนนี้จะหนีกระเจิงกลับบ้านตั้งแต่เห็นกองถ่ายแล้วนะ เขากลัวมาก ไม่คิดว่ากองใหญ่ขนาดนี้ ผมก็บอกว่าเขากลับตัวไม่ทันแล้ว มาถึงที่นี่แล้ว ขนาดตัวผมเองคิงยังไม่บอกโจทย์อะไรเลย อยู่ดีๆ ก็ดึงมาถ่าย และไม่จ่ายค่าตัวผมด้วย (หัวเราะ)

คิง : ด้วยความที่ยังไม่เคยทำมาก่อน ผมก็ไม่คิดว่ากองใหญ่ขนาดนี้ คิดแค่ว่าใช้กล้องตัวใหญ่เฉยๆ พอมาถึงหน้ากองเห็นคนเต็มเลย มีทีมงานเบื้องหลังเยอะไปหมด งานนี้ผมเป็นครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ แล้วก็มีผู้อำนวยการอีกคนหนึ่ง ตอนคุยงานกันเราก็โยนไอเดียกันไปมา ก็รู้สึกสนุก เป็นมิติใหม่ที่เราไม่เคยทำมาก่อน 

คิดว่าอะไรที่ทำให้โฆษณานี้มียอดชมถึง 1 ล้านวิวภายใน 9 ชั่วโมง

คิง : ผมว่าคนน่าจะชอบความปั่นที่มันมาจาก DNA ของทีมงานเนื้อแท้ พอเราใส่ลูกเล่นเข้าไป ดึงเอาพี่โตในยุคต่างๆ มาเล่น ตอนนั้นมีกระแสเรื่องเพลงพี่โตด้วย อันนี้ก็เป็นตัวปั่นให้โฆษณานี้เป็นไวรัลขึ้นไปอีก จากตอนแรกที่คิดว่างานนี้อาจจะต้องยิงแอดฯ เราวางงบประมาณยิงแอดฯ ไว้เรียบร้อย แต่พอวันเดียวไปถึง 1 ล้านวิว แล้วขยับขึ้นไป 2 ล้านกว่าๆ เราก็เลยปล่อยให้มันรันแบบออร์แกนิกไปเลย

ถ้าไม่นับต้นทุนที่เป็นเม็ดเงิน คิดว่าต้นทุนที่สำคัญของคำโตๆ คืออะไร

โต : ต้นทุนก็มีผมเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ฟรี อันนี้เป็นต้นทุนใหญ่เลยนะ ถ้าเป็นคนอื่นใช้ผมมาเล่นขนาดนี้เจ๊งไปแล้ว (หัวเราะ) 

ต้นทุนเริ่มต้นผมว่าคือความเป็นเอกลักษณ์ เหมือนกับเนื้อแท้ที่เราสามารถพูดให้คนรู้จักเราได้ แล้วเราค่อยๆ ขยับทิศทางให้ชัดเจนขึ้น

คิง : ต้นทุนที่ผมคิดก็คือเรื่องคน โดยเฉพาะคนที่มีความครีเอทีฟนี่หาได้ยาก แล้วเราก็ยังหาอยู่ด้วย สัก 100 คนจะมีคนแบบนี้อยู่แค่คนเดียว อย่างเปิดบริษัทมานี่มีอยู่แค่คนเดียวที่มีไอเดียคล้ายๆ กัน แล้วก็คิดไปในทางเดียวกันได้ เรื่องความครีเอทีฟผมจะให้ความสำคัญเป็นเรื่องหลัก แต่เรื่องการได้รับคำสั่งแล้วทำเลย อันนี้ผมเฉยๆ เพราะว่าใครๆ ก็ทำได้ แต่ถ้าเขามีไอเดีย มีความเป็นตัวตนชัดเจน แล้วก็เข้าใจในแบรนด์ เข้าใจในตัวคำโตๆ จริงๆ อันนั้นหายาก

คุณมองภาพในอนาคตของคำโตๆ ไว้ยังไงบ้าง

โต : ผมอยากให้มันมีสตอรีภาพความเป็นเนื้อแท้อยู่ในคำโตๆ อย่างนี้แหละ แต่เรื่องยอดขายก็ต้องมาด้วย

คิง : ตอนนี้เราดูแลเพจของเนื้อแท้อย่างเดียว ในอนาคตถ้ามีลูกค้าที่จะให้เราดูแลเพจหรือทำคอนเทนต์อะไรประมาณนี้ ถ้าเขาชอบในสไตล์เรา ก็จะไปในทางนั้นด้วย แต่ตอนนี้ก็พยายามศึกษาแนวทางการเป็นเอเจนซี ส่วนอีกขาหนึ่งก็อยากเป็นโปรดักชั่นเฮาส์ ต่อไปในอนาคตอาจจะมีเฟสติวัลหรืออะไรที่ต่อยอดจากการเป็นคำโตๆ ได้

Krins เครื่องประดับเพื่อชาวแซฟฟิก กับกลยุทธ์ที่ทำให้ถูกเอฟจนเกลี้ยงทุกครั้งที่พรีออร์เดอร์

ในช่วง 2-3 ปีมานี้ หลายคนคงได้ยินคำว่า ‘แซฟฟิก’ (Sapphic) กันบ่อยขึ้น จริงๆ คำว่าแซฟฟิกถูกใช้มานานมากแล้ว มีความหมายถึงกลุ่มผู้หญิงที่ชอบผู้หญิงด้วยกัน โดยเป็นร่มใหญ่ของอีกหลายรสนิยม เช่น เลสเบี้ยน หรือไบเซ็กชวล และต่อมาคำนี้ได้ถูกนำมาใช้มากขึ้นในซีรีส์แนวโรแมนติก รวมไปถึงวงการภาพยนตร์ไทย อย่าง URANUS2324 ที่ออกฉายเมื่อปีที่ผ่านมา 

อย่างไรก็ดี ตัวตนของชาวแซฟฟิกไม่ได้ถูกถ่ายทอดผ่านซีรีส์หรือในโลกภาพยนตร์เท่านั้น แต่ยังถูกถ่ายทอดผ่านแว่นธุรกิจ ซึ่งหนึ่งในแบรนด์ที่หยิบจับความต้องการสะท้อนตัวตนของชาวแซฟฟิกมาทำเป็นสินค้า ก็คือ ‘Krins’ แบรนด์เครื่องประดับที่อยากช่วยสร้างความประทับใจแรก เป็นตัวช่วยเรื่องความรัก และบอกชาวแซฟฟิกว่าคุณไม่ได้โดดเดี่ยว แต่ยังมีผู้คนที่เหมือนคุณอยู่มากมาย

น่าสนใจเหลือเกินว่า Krins มีกลยุทธ์และวิธีการสื่อสารแบบไหน ถึงสามารถกลายเป็นแบรนด์ขวัญใจชาวแซฟฟิก ที่ไม่ว่าจะออกสินค้าแบบใดออกมาก็ถูกเอฟจนขาดตลาด คอลัมน์ Recap ตอนนี้ จะขอพาไปทำความรู้จักแบรนด์เครื่องประดับนี้ให้มากขึ้นกว่าเดิม

• จุดเริ่มต้นของ Krins เครื่องประดับที่เป็นดังตัวแทนชาวแซฟฟิก

Krins ก่อตั้งโดยคู่รักชาวแซฟฟิกอย่าง ‘แนท–ณิชกานต์ วรกิตติคุณ’ และ ‘แบม–ลลิตา แซ่อึ่ง’ ที่จับมือกันสร้างแบรนด์เพื่อชาวแซฟฟิกขึ้นมา โดย Krins เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม 2567 ด้วยแอคเคาต์อินสตาแกรม ที่มีชื่อว่า krins.officials 

สินค้าชิ้นแรก คือสร้อยข้อมือสีเงินประดับด้วยจี้ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ เน้นความเรียบหรู ใส่ได้ในชีวิตประจำวัน มาพร้อมกับคอนเซปต์ ‘กำไลตัวแทนหญิงรักหญิง’ เพื่อสื่อสารว่าเป็นสินค้าสำหรับชาวแซฟฟิกซึ่งได้รับกระแสตอบรับดีเกินคาด สินค้าหมดสต็อกอย่างรวดเร็วจนแบรนด์ต้องเปิดให้พรีออร์เดอร์อีกครั้ง

ส่วนกำไลรุ่นที่ 2 มีรูปลักษณ์ต่างจากเดิมเล็กน้อย แต่ยังคงเป็นสร้อยข้อมือสีเงินที่มีจี้อันเดิม ก็ได้เปิดตัวตามมาและต้องเปิดพรีออร์เดอร์อีก 2 รอบ กับจำนวนผลโหวตผ่านโพลในอินสตาแกรมว่ามีผู้สนใจจะสั่งซื้อกว่า 2,000 คน

แต่นอกจากจะเน้นว่าเป็นกำไลหญิงรักหญิงเพื่อเจาะกลุ่มชาวแซฟฟิกแล้ว Krins ยังมีโปรดักต์อย่างกำไล Lakshmi ที่หยิบจับเรื่องมูฯ มาเข้ากับคอนเซปต์การเป็นตัวช่วยเรื่องให้ได้ทำความรู้จักกันและยังเสริมดวงความรักขึ้นไปอีก

• เน้นเรื่องตัวตน ความรัก และความเป็นคอมมิวนิตี้

อย่างที่เกริ่นนำในช่วงต้นว่า Krins ไม่ได้โดดเด่นแค่เรื่องดีไซน์ของกำไล เพราะแบรนด์ยังหยิบเอา pain point ของกลุ่มเป้าหมายที่มักจะมีการพูดคุยกันในโลกออนไลน์ ว่าเป็นเรื่องยากที่จะแยกว่าผู้หญิงคนไหนชอบผู้หญิงเหมือนกัน ทำให้เกิดอุปสรรคเรื่องความรักที่ยากตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม สร้อยข้อมือของ Krins จึงเป็นสัญลักษณให้ชาวแซฟฟิกได้ประกาศตัวตน และมอบโอกาสที่จะได้เริ่มต้นความสัมพันธ์ด้วยนั่นเอง 

ต่อมา Krins เปิดตัวสินค้าตัวใหม่อย่างชิปมิลูวี่ (Miluvy) ให้คนได้ตื่นตาตื่นใจ เพราะเป็นชิปที่ใส่ข้อมูลโซเชียลมีเดียของผู้ใช้ เช่น อินสตาแกรม และเมื่อนำไปแตะที่โทรศัพท์ก็สามารถแลกคอนแทกต์โซเชียลฯ กันได้อย่างง่ายดาย นำไปใช้เพื่อเริ่มทำความรู้จักกันทั้งในแง่ความรักความสัมพันธ์ หรือการหาเพื่อนใหม่ที่เข้าใจกัน เมื่อชาวแซฟฟิกรับรู้การมีอยู่ของกันและกันมากขึ้น และมีช่องทางการติดต่อให้ได้ทำความรู้จักกัน ก็นับเป็นส่วนหนึ่งของการเริ่มต้นสร้างคอมมิวนิตี้ชาวแซฟฟิกแล้ว

การสร้างโปรดักต์ที่เป็นสัญลักษณ์ของชาวแซฟฟิกทำให้เกิดความต้องการเป็นส่วนหนึ่งกับคอมมิวนิตี้ที่มีผู้คนแบบเดียวกัน คล้ายกับเสื้อสีในงานกีฬาสีสมัยมัธยม สิ่งที่สวมใส่ทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์เพื่อแสดงสถานะและสร้างความเป็นกลุ่มก้อน เช่นเดียวกับกำไลหญิงรักหญิงของ Krins ที่มีฟังก์ชั่นเป็นป้ายบอก ว่าผู้ใส่เป็นชาวแซฟฟิกอย่างเปิดเผย คนที่รู้จักกำไล Krins ก็จะรู้กันว่าถ้าใส่กำไลนี้แปลว่าเป็นชาวแซฟฟิกเหมือนกัน  

• ใช้คอนเทนต์เป็นเครื่องมือเจาะกลุ่มเจนฯ Z และจุดยืนในการเป็นแบรนด์เพื่อชาว LGBTQIA+

นอกเหนือจากการขายสินค้าเครื่องประดับ TikTok ก็เป็นอีกจุดเด่นของ Krins ที่เป็นตัวช่วยให้แบรนด์และสินค้าเป็นที่รู้จักโดยใช้เนื้อหาที่ดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย มีคอนเทนต์หลักเป็นการสัมภาษณ์วัยรุ่นที่เดินเที่ยวในสยามสแควร์เรื่องความรัก ซึ่งได้ยอดการรับชมแตะหลักหมื่นอยู่เสมอ 

ชัดเจนว่านอกจากเป็นกลุ่มหญิงรักหญิง กลุ่มเป้าหมายหลักของ Krins ยังเป็นชาวเจนฯ Zด้วย ซึ่งดูเหมือนว่า Krins จะมาถูกทาง เพราะยอดขายของสร้อยข้อมือที่เปิดให้สั่งซื้อได้ตลอดทาง TikTok Shop มากกว่าในช้อปปี้ที่เปิดขายแบบเดียวกันหลายสิบเท่า  

นอกจากการสัมภาษณ์วัยรุ่นเจนฯ Z เนื้อหาของ Krins มีการให้ความรู้แทรกอยู่ด้วย เช่นเรื่องราวของแซฟฟิกในประเทศไทยในอดีต หรือคลิปที่เล่าถึงประวัติศาสตร์ของกลุ่ม LGBTQIA+ ซึ่งเป็นข้อบ่งบอกว่าแบรนด์ยังยึดมั่นในจุดยืนที่ตั้งต้นไว้ในตอนแรก กับประโยค “Gender equality is something we support.” ที่ Krins ยังใช้มาจนถึงตอนนี้ และยังได้นำหลักการที่สนับสนุนความเท่าเทียมไปขยายต่อในสินค้าที่มีด้วย

ตัวชิปมิลูวี่ที่ Krins ทำออกมาก่อนหน้านี้ แม้จะมีการโปรโมตที่เน้นกลุ่มแซฟฟิก แต่ก็ยังขยายกลุ่มเป้าหมายไปถึงกลุ่มชายรักชาย เควียร์ และกลุ่มคนที่ซัพพอร์ต LGBTQIA+ ด้วยการทำชิปออกมา 3 ลายสำหรับคนกลุ่มต่างๆ อย่างครอบคลุม และยังมีชิปสำหรับใช้งานทั่วไปในกรณีที่ต้องการใช้เพื่อแลกคอนแทกต์ทางธุรกิจหรืออื่นๆ ด้วย ถือเป็นการต่อยอดจากคุณสมบัติของสินค้าให้คนทั่วไปสามารถใช้ได้ ช่วยขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น และสร้างความน่าสนใจให้สินค้า ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของ Krins มาตั้งแต่ต้น

สิ่งที่ทำให้กำไลของ Krins ได้รับความสนใจในช่วงต้น คือความใหม่ของโปรดักต์และการมองเห็นกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ แต่ที่มากไปกว่านั้นคือ Krins มองเห็น pain point ของกลุ่มเป้าหมาย เข้าใจความต้องการของคนโดยหยิบเรื่องความรัก การหาคู่ และความต้องการแสดงตัวตนของชาวแซฟฟิกขึ้นมาตั้งต้น 

อย่างสุดท้ายคือ ผสมรวมความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย เช่น การรวมความต้องการของกลุ่มแซฟฟิกกับความเป็นสายมูฯ ของเจนฯ Z ออกมาเป็นสินค้าแต่ละชิ้นที่ตอบสนองความต้องการในแบบที่แตกต่างกัน แต่ยังคงอยู่ภายใต้คอนเซปต์ของแบรนด์

จากตัวอย่างของ Krins นับเป็นโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจในการหยิบ pain point และความต้องการของคนเพศหลากหลายมาทำความเข้าใจ และสร้างโปรดักต์สำหรับคนเฉพาะกลุ่มขึ้นมา เพื่อเสิร์ฟความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและหาจุดยืนที่ชัดเจนของธุรกิจ

อ้างอิง

หลัก 4P+1 ของ Daddy Finger กระเป๋าแม่ลูกอ่อนที่คุณพ่อทำ คุณพ่อถือ

ถึงจะยังไม่เคยมีลูก แต่ถ้าหากคุณได้เห็นกระเป๋าของ Daddy Finger ที่ไหน เราว่าคุณก็ต้องเตะตา ต้องใจ แล้วอาจจะหยุดดูบ้างแหละ

เพราะแม้จะถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาให้เป็น ‘กระเป๋าแม่ลูกอ่อน’ แต่กระเป๋าทุกใบของ Daddy Finger ก็มีหน้าตาที่ห่างไกลจากกระเป๋าแม่ลูกอ่อนในภาพจำอยู่มากโข ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด เพราะนั่นคือสิ่งที่ โยพุฒิพัฒน์ และ บายภัทรานิษฐ์ กีรติทวีพงศ์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ตั้งใจลบภาพจำกระเป๋าคุณแม่ที่มักจะแต้มด้วยลายการ์ตูนน่ารัก กลายเป็นกระเป๋าหลากสีสันดีไซน์สวย ให้ทุกคนในครอบครัวถือไปไหนมาไหนได้ทุกโอกาส แถมยังอัพเกรดคุณภาพการตัดเย็บให้ทนทานยิ่งขึ้น หากก็ยังไม่ทิ้งฟังก์ชั่นการเป็นกระเป๋าใบใหญ่ จุของได้เยอะ แบบที่กระเป๋าแม่ลูกอ่อนควรจะเป็น 

คอลัมน์ 5P วันนี้ เราพาไปนั่งคุยกับโย–คุณพ่อผู้สร้าง Daddy Finger ขึ้นมาด้วยสิบนิ้วและสองมือของตัวเอง สนทนากันถึง 4P+1 เบื้องหลังแบรนด์กระเป๋าแม่ลูกอ่อนที่ทุกคนในครอบครัวตกหลุมรัก 

PRODUCT
กระเป๋าของคุณพ่อ

ถ้าจะเปรียบเทียบเป็นเด็กสักคน แบรนด์ Daddy Finger ตอนนี้ก็คือเด็กอายุ 3 ขวบที่กำลังซน สนุกกับการเขย่งเท้า กระโดดไกล ฝึกทรงตัวให้ไม่ล้ม กำลังมีพัฒนาการที่ดีและน่าเอาใจช่วยทีเดียว

ย้อนกลับไปก่อนแบรนด์จะตั้งไข่ พุฒิพัฒน์ทำธุรกิจโรงงานเย็บกระเป๋าตามสั่ง (OEM) ให้แบรนด์และภาคเอกชนในรูปแบบต่างๆ มานานกว่า 30 ปี เมื่อกลายเป็นหัวหน้าครอบครัวและมีลูกคนแรก เขาซื้อกระเป๋าใส่ของสำหรับคุณแม่จากแบรนด์ต่างๆ มาใช้ แต่ก็ไม่มีแบรนด์ไหนถูกใจ

“ส่วนมากกระเป๋าสำหรับแม่จะเป็นลายการ์ตูนที่ดูน่ารัก เพราะคนทำคิดเชื่อมไปถึงเด็ก เป็นกระเป๋าที่ทำมาเพื่อลูก แต่คุณแม่เลือก และสุดท้ายคุณพ่อจะเป็นคนถือ เราเลยอยากมีกระเป๋าสำหรับคนที่ไม่ได้ชอบความน่ารักบ้าง แต่มันก็ไม่ค่อยมี เราเลยทำขึ้นมาเอง” คุณพ่ออธิบาย กระเป๋าใบแรกที่เขาทำจึงเป็นกระเป๋าสีเขียวเรียบๆ ที่คนไม่ได้ชอบความแบ๊วก็ถือได้ 

มากกว่านั้น กระเป๋ายังมีฟังก์ชั่นแบบที่กระเป๋าแม่ลูกอ่อนหรือ diaper bag ควรจะเป็นจริงๆ เพราะมันไม่ได้มีช่องใส่ของแค่ช่องเดียวแบบกระเป๋าที่ขายทั่วไป แต่มีช่องใส่ของขนาดใหญ่ถึง 3 ช่อง ใช้ใส่ผ้าอ้อม ทิชชู่ ขนมจุกจิก ของเล่นเด็ก ไปจนถึงสิ่งของส่วนตัว เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และสมุดโน้ต ทั้งยังแบ่งเป็นสัดส่วนให้หยิบจับได้ง่าย

เมื่อมีลูกคนที่ 2 พุฒิพัฒน์ก็ทำกระเป๋าเพิ่มอีก คราวนี้ได้ส่งให้ญาติๆ และเพื่อนๆ ที่มีลูกเหมือนกันได้ลองใช้ ฟีดแบ็กที่ได้กลับมาก็น่าชื่นใจ

ตอนนั้นเองที่เขาคิดถึงการขาย

กระเป๋าของคนทำกระเป๋า

“ตอนแรกยังไม่คิดจะทำแบรนด์ เพราะไม่อยากยุ่งกับ ‘การสร้างแบรนด์’” พุฒิพัฒน์บอก แต่ก็มีจุดที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจ 

“ก่อนหน้านี้ เราไม่ค่อยเห็นแบรนด์ไทยที่ทำกระเป๋าแม่ลูกอ่อนอย่างจริงจัง ส่วนมากจะเป็นแบรนด์กระเป๋าทั่วไปที่โปรโมตว่าคุณแม่ก็ใช้ได้ ทำให้ต้องสั่งจากเมืองนอก ซึ่งคุณภาพการตัดเย็บไม่ได้ดีมาก แต่ราคา ค่าส่ง และภาษีกลับสูง เราเลยคิดว่าเราทำดีกว่านี้ได้” 

เพราะคลุกคลีอยู่กับโรงงานกระเป๋ามากว่า 30 ปี เขาจึงรู้เรื่องคุณภาพของวัสดุ วิธีการเย็บให้ประณีต และจุดที่ควรระวัง นั่นคือจุดที่ทำให้พุฒิพัฒน์ตัดสินใจเปิดแบรนด์ของตัวเอง

ชื่อ Daddy Finger มาจากเพลง Finger Family ที่ร้องว่า “Daddy Finger, Daddy Finger, where are you?” ซึ่งลูกๆ ของเขาเปิดกรอกหูทั้งวันตอนทำกระเป๋า พุฒิพัฒน์เลยหยิบมาตั้งเป็นชื่อแบรนด์เสียเลย สื่อว่าแด๊ดดี้เป็นคนทำ 

ในขณะเดียวกัน Daddy Finger ก็หมายถึงนิ้วโป้งที่สื่อความหมายว่ายอดเยี่ยม ซึ่งนั่นแหละคือสิ่งที่เขาอยากให้เป็น–อยากทำแบรนด์กระเป๋าแม่ลูกอ่อนของคนไทยที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมไม่แพ้ต่างชาติ 

กระเป๋าที่อยู่ในทุกช่วงวัย

ความน่าสนใจคือ Daddy Finger ไม่ได้ผลิตเป็นรุ่นๆ และไม่ได้ตั้งใจว่าจะออกทุกซีซั่นเหมือนกระเป๋าทั่วไป แต่ทำ ‘กระเป๋าที่โตไปตามวัยของลูก’

กระเป๋ารุ่นแรกจึงเป็นกระเป๋าถือขนาดใหญ่ที่เหมาะกับการใส่ผ้าอ้อม ทิชชู่ และสิ่งของอื่นๆ สำหรับเด็กเล็ก รุ่นต่อมาคือกระเป๋าเป้สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ เพื่อให้ลูกที่โตขึ้นมาหน่อยสามารถสะพายได้ด้วย หลังจากนั้นคือกระเป๋าเดินทาง รวมถึงกระเป๋าเก็บความเย็นและอาหาร เพราะเป็นช่วงที่ลูกโตมากพอที่จะออกไปเที่ยวด้วยกันได้ กระเป๋าก็ไม่จำเป็นต้องมี 2 ช่องแล้วเพราะไม่จำเป็นต้องพกของหลายรูปแบบเหมือนตอนลูกอายุน้อยๆ 

กระเป๋าใบหนึ่งก็สามารถเปลี่ยนฟังก์ชั่นของมันไปตามช่วงวัยของลูกได้เหมือนกัน เช่น กระเป๋าเก็บความเย็น ครั้งหนึ่งอาจใช้เพื่อเก็บขวดนม แต่พอลูกโตขึ้นก็ใช้เก็บอาหารแทน

“กระเป๋าของ Daddy Finger ตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่าเรายังขาดกระเป๋าแบบไหนบ้างที่ใช้ในชีวิตประจำวัน มันเกิดขึ้นจากโจทย์ที่ว่า ชีวิตเราต้องการอะไร หรือปัญหาแบบไหนที่เราเจอ แล้วเราก็ออกแบบกระเป๋าเพื่อตอบโจทย์เป็นส่วนๆ” พุฒิพัฒน์บอก

เอกลักษณ์อีกข้อที่ทำให้ Daddy Finger โดดเด่นในตลาดคือสีสันอันหลากหลาย มีตั้งแต่สีโทนร้อนสุดแสบไปจนถึงสีเอิร์ธโทนที่ใช้แล้วสบายตา อีกอย่างคือการใช้ผ้าไนลอนกันน้ำ ด้านในเป็นผ้าคอตตอนทอที่ได้จากช่างฝีมือทางภาคเหนือของไทย ผ่านการตัดเย็บคุณภาพแบบแฮนด์คราฟต์ ให้มีรอยต่อด้ายให้น้อยที่สุด ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พุฒิพัฒน์บอกว่าจะไม่มีการประนีประนอม

“เวลาเราผลิตของออกมา เราไม่อยากผลิตแค่ให้มันเสร็จ เราอยากผลิตให้มันดี อยากให้รู้ว่ามีคนทำงานดีๆ มีฝีมืออยู่ เลยอยากทำออกมาให้เนี้ยบที่สุด การสร้างคุณค่าให้กับสินค้ามันวัดกันตรงนี้แหละ”

PRICE

สำหรับพุฒิพัฒน์ การตั้งราคาสินค้าสักชิ้นไม่มีกฎตายตัว แต่ควรจะยืดหยุ่นไปตามสินค้า ราคากระเป๋าของเขาจึงเริ่มต้นที่ 990 บาทสำหรับกระเป๋าเก็บความเย็น ไปจนถึง 5,990 บาทสำหรับกระเป๋าถือของคุณแม่

“จากที่ผมเคยใช้กระเป๋าแม่ลูกอ่อนหลายแบรนด์ เขาขายในราคา 3,000 ไปจนถึง 6,000 ก็มี แต่เมื่อเรานำของเหล่านี้มาดูงานเย็บ เรามองว่าถ้าเราเย็บแบบนี้ เราคงไม่ได้ตั้งราคาสูงถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะขายราคานี้ เราสามารถอัพต้นทุนและคุณภาพขึ้นได้

“ถามว่าทำไมถึงไม่อยากลดราคาลงแล้วใช้วัสดุให้น้อยกว่านี้อีก คำตอบคือเราไม่อยากทำแบบนั้น เราอยากทำกระเป๋าที่มีคุณภาพที่ใช้ต้นทุนที่สูงดีกว่า ซึ่งถ้าแบรนด์พรีเมียมต่างๆ หันมาใช้วัสดุและการตัดเย็บแบบนี้ กระเป๋าของเขาอาจจะมีราคาขึ้นหมื่นทันที 

“อีกเหตุผลคือหากเรามองอนาคต โลกของเราแคบลง มีจีนเข้ามาในตลาด เราไม่ควรทำสินค้าแข่งด้วยราคาที่ถูกที่สุด เพราะพูดตรงๆ ว่าเราสู้จีนไม่ได้ ในเมื่อวัสดุหลายๆ อย่างยังสั่งจากเขาเลย ไหนจะค่าแรงอีก เพราะฉะนั้นเรื่องราคาคงไม่ใช่จุดที่เราจะไปสู้”

ถึงที่สุดแล้ว พุฒิพัฒน์ย้ำว่า การสร้างแบรนด์ที่มีคุณภาพไม่ได้อยู่ที่การตั้งราคาสูงอย่างเดียว แต่สินค้าต้องสมกับราคานั้นๆ ทั้งคุณภาพและการใช้งานด้วย

PLACE

ในสองปีแรก Daddy Finger เริ่มจากการขายออนไลน์ ผ่านเพจเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมเท่านั้น เพราะอยากให้ลูกค้าติดต่อกับแบรนด์โดยตรง ได้รับฟังฟีดแบ็กของลูกค้าอย่างใกล้ชิด

กระทั่งลูกค้าเริ่มรู้จักแบรนด์มากขึ้น พุฒิพัฒน์จึงคิดถึงการสร้างหน้าร้านของตัวเองขึ้นในย่านบางพลี สมุทรปราการ ติดกันกับโรงงานผลิตกระเป๋าของเขา อีกจุดหนึ่งที่วางจำหน่ายคือ Mother Goose ร้านขายเฟอร์นิเจอร์และของกระจุกกระจิกสำหรับพ่อแม่และเด็ก ที่ เชอรี่–โชติพร นันทขว้าง เพื่อนของพุฒิพัฒน์เป็นเจ้าของ

“สถานที่เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเรามีตัวตน ถ้าเราซื้อของออนไลน์แล้วไม่มีหน้าร้าน บางทีคนก็สงสัยว่าสินค้าจากที่ไหน ผลิตดีไหม หรือแค่รับมาขายต่อ เรามองว่าการเปิดช็อปคือการบอกลูกค้าว่า Daddy Finger คือแบรนด์คนไทยที่มีตัวตนจริงๆ และเป็นแบรนด์ที่ผลิตเอง ไม่ได้จ้างโรงงานที่ไหนผลิต

“เราเป็นแบรนด์ที่เพิ่งเริ่ม อาจจะไม่ใช่แบรนด์ดังที่มีโอกาสขยายช็อปหรือวางในสถานที่หลายแห่ง เพราะเราอยากให้ลูกค้าได้มาสัมผัสกับสินค้าของเรา และเราจะได้อธิบายวิธีการใช้ แนะนำวิธีการเก็บของให้ลูก ได้คุยและแลกเปลี่ยนกันโดยตรง”

นอกจากนี้ Daddy Finger ยังมีการดีลกับตัวแทนการขายในสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และอินโดนีเซียเพื่อขยายตลาดไปยังลูกค้าในกลุ่มประเทศเหล่านี้ และมีแผนจะขยายไปสู่ประเทศอื่นๆ ในอนาคตอีกด้วย

PROMOTION

ปากต่อปาก คือการทำการตลาดที่ดีที่สุดของพุฒิพัฒน์

พุฒิพัฒน์อยากให้ลูกค้าซื้อเพราะสนใจตัวสินค้าจริงๆ แบรนด์จึงไม่ได้ทุ่มกับการทำการตลาดขนาดหนัก อาจจะมีการยิงแอดฯ จ้างอินฟลูฯ บ้าง แต่เครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังที่สุดคือการบอกต่อ

“ผมอยากให้กระเป๋ามันขายได้ด้วยตัวมันเอง Daddy Finger จึงไม่เคยลดราคา ไม่เคยแถม เพราะเราไม่อยากให้ภาพลักษณ์ของเราถูกจดจำว่าเป็นสินค้าลดราคา แต่อยากให้ลูกค้าซื้อเพราะคุณภาพของสินค้าและบริการ”

พุฒิพัฒน์บอกว่า การตลาดแบบนี้เชื่อมโยงไปสู่ P ตัวที่ 5 ของ Daddy Finger ซึ่งก็คือคำว่า 

PERCEPTION

“เราอยากให้ทุกคนรับรู้ว่าแบรนด์ Daddy Finger คือแบรนด์ที่ขายอะไร ความเชี่ยวชาญของเราคือด้านไหน ถ้าคุณอยากได้กระเป๋าครอบครัวและเด็ก คุณจะนึกถึง Daddy Finger” พุฒิพัฒน์อธิบาย 

เพราะอย่างนั้น โพสต์โปรโมตในช่องทางต่างๆ ของ Daddy Finger จึงไม่มีโพสต์ flash sale หรือการทำโปรโมชั่นหวือหวา ยิ่งไปกว่านั้นคือจะไม่มีภาพนายแบบหรือนางแบบแอกต์สวยๆ เท่ๆ แต่เป็นรูปครอบครัวทั้งหมด จำพวกเด็กวิ่งเล่นหรือทำกิจกรรมกับคุณพ่อคุณแม่หรือคุณปู่คุณย่าอย่างมีความสุข ใช้กระเป๋าของ Daddy Finger ได้ในทุกสถานการณ์ นั่นคือภาพลักษณ์ที่พุฒิพัฒน์อยากให้ลูกค้าจดจำ

นอกจากเรื่องความเฟรนด์ลี่ของกระเป๋า คุณพ่อเจ้าของแบรนด์ก็อยากให้คนจดจำแบรนด์ในฐานะแบรนด์ที่เฟรนด์ลี่เรื่องการบริการเช่นกัน เขาบอกว่า หากลูกค้าซื้อกระเป๋าไปแล้วกระเป๋ามีปัญหา ส่งมาให้ซ่อม ทางแบรนด์จะส่งกระเป๋าใบใหม่ไปให้ใช้ก่อน เพราะกลัวลูกค้าจะไม่มีกระเป๋าใช้ 

“ให้ย้ายของจากใบเก่าไปใส่ใบใหม่ก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวค่อยส่งใบเก่าคืนมาให้เราซ่อม และถ้าเราซ่อมไม่ได้ เราก็จะบอกลูกค้าตรงๆ เพราะฉะนั้นเอาใบใหม่ไปได้เลย” พุฒิพัฒน์ยิ้ม

“ถ้าคุณไม่แน่ใจในเรื่องภาพลักษณ์ ลูกค้าก็จะไม่มั่นคงในการรับรู้ ความจริงแล้ว ในการทำแบรนด์ ผมให้ความสำคัญของ P ตัวนี้เป็นตัวแรกด้วยซ้ำ อยากให้ลูกค้ารู้ว่าเราเป็นยังไงก่อนจะไปสู่เรื่อง Product, Price, Place และ Promotion อีก”

ความบ้าพลังของ Pantang Artwork ผู้อยู่เบื้องหลัง สงคราม ส่งด่วน, อย่ากลับบ้าน, นิทรรศการโดราเอมอน

ชีวิตของ สันติ แซ่ลี กับ แก่ พันธุ์ทาง มีบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกัน

พระเอกซีรีส์ สงคราม ส่งด่วน เติบโตจากลูกจ้างมาเป็นนักธุรกิจโดยเริ่มนับจากศูนย์ เขาใช้ความทะเยอทะยานผลักดันตัวเองจากเด็กบ้านๆ บนดอยสู่เมืองหลวง 

“จริงๆ ตอนทำ สงคราม ส่งด่วน เราโคตรคลั่งเลยนะ เพราะคำในหนังมันทำให้เรารู้สึกว่า ทำไมมันเหมือนชีวิตกูเลยวะ”

แก่ พันธุ์ทางเติบโตมากับบ้านที่เต็มไปด้วยหนี้สิน เขาไม่เคยตั้งใจเรียนหนังสือก่อนจะเข้ามาสู่โลกของการเรียนศิลปะที่ต้องวิ่งหาเงินตั้งแต่ตอนเรียน ความทะเยอทะยานและคอนเนกชั่นพาให้เขาได้ทำงานที่หลากหลาย 

“ผมกับเพื่อนเราไม่มีตังค์กัน กลุ่มพวกเราเลยรับจ๊อบไปทำงานกองถ่าย ทำงานเพนต์ งานปั้น ด้วยความที่คนในกลุ่มมีหลายแขนง ทั้งเด็กเพนต์ เด็กปั้น คนที่ถนัดงานคอลลาจ ดูแล้วพวกเราเหมือนหมาพันธุ์ทางเลย” เขาเท้าความถึงชื่อกลุ่ม ชื่อที่กลายมาเป็นนามสกุลที่ทำให้ใครต่อใครรู้จักเขา และกลายเป็นชื่อบริษัทออกแบบงานสร้างของตัวเองในท้ายที่สุด

จากเด็กกองถ่าย มาสู่ผู้กำกับศิลป์และงานออกแบบงานสร้าง วันนี้ Pantang Artwork เป็นที่รู้จักในฐานะบริษัทที่รับงานโปรดักชั่นดีไซน์ที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำโปรดักชั่นที่สมจริง บ้านๆ และไปสุดทาง ดูจากลิสต์อย่างเอ็มวี ธาตุทองซาวด์ ซีรีส์ อย่ากลับบ้าน (2567) และล่าสุดอย่างซีรีส์ สงคราม ส่งด่วน (2568) คุณก็คงจะนึกภาพออก

แต่แก่ พันธุ์ทางไม่ได้ทำธุรกิจด้วยความแค้นแบบสันติ หากจะมีอะไรที่เหมือนกันสักนิด คือแนวคิดการ ‘ถอนขนไก่’ ที่เปรียบเทียบการลงทุนกับสิ่งที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า ในขณะที่สันติมองเรื่องหุ้นและการลงทุนเป็นสำคัญ แก่มองว่างานทุกงานคือภาพจำ คือการสร้างแบรนด์ คือสะพานที่จะต่อยอดไปสู่งานใหม่ๆ ในอนาคต งานบางงานขาดทุน เข้าเนื้อ แต่เขาก็อดเปรี้ยวไว้กินหวาน

ต่อไปนี้คือเรื่องราวของผู้ก่อตั้ง Pantang Artwork ที่บ้าพลังไม่แพ้กับซีรีส์ที่เขาสร้าง

1
“เขาให้ทำอะไรเราก็ทำ”

แก่ออกตัวว่า เขาเติบโตมาเหมือนเป็ด 

ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย เขาเรียนศิลปะสายงานปั้นแต่ไม่ได้เก่งปั้น สิ่งที่เก่งคืองานออกแบบในคอมพิวเตอร์ได้ หลังเรียนจบเขาลองทำงานหลากหลาย ทั้งงานประติมากรรม งานอีเวนต์ และจับพลัดจับผลูเข้าไปทำงานในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง มหาสมุทรและสุสาน (2558) โดยการชักชวนของรุ่นพี่ 

แก่เริ่มจากการเป็นเด็กวิ่งกอง ยกของ และเป็นช่างปั้นในโรงงาน “เขาให้ทำอะไรเราก็ทำ” ชายหนุ่มบอก “แต่เราดันเป็นคนพูดเก่ง สื่อสารกับคนง่าย จากเด็กวิ่งยกของ เราขึ้นมากลายเป็นคนหน้ากอง ไล่มาเรื่อยๆ ทำทั้งหนังไทยและต่างประเทศ จนได้เป็นอาร์ตไดเรกเตอร์ครั้งแรกกับหนังเรื่อง สี่เส้า Love is (2558) จากนั้นทำละครเรื่อง สุภาพบุรุษจุฑาเทพ (2556)

แต่ไม่ว่าจะทำงานไหน แก่จะใส่เสื้อพิมพ์โลโก้ ‘พันธุ์ทาง’ ไปทำงานเสมอ ทำให้คนในกองถ่ายรู้จักเขาในชื่อนี้มาตลอด

2
“คนชอบบอกว่าเราบ้าพลัง”

บริษัท Pantang Artwork ก่อตั้งขึ้นเป็นจริงเป็นจังเมื่อ 7 ปีที่แล้ว และสร้างชื่อจากการเป็นอาร์ตไดเรกเตอร์และนักออกแบบโปรดักชั่นให้กับหนัง แสงกระสือ ทำให้แก่คว้ารางวัลจากหลายเวทีรวมถึงรางวัลสุพรรณหงส์ และยิ่งดังขึ้นไปอีกเมื่อได้จับงานมิวสิกวิดีโอ ประเทศกูมี และ ธาตุทองซาวด์

“การทำงานโปรดักชั่นดีไซน์มันคือการสร้างโลกอีกใบขึ้นมา เราอ่านบทบรรทัดสั้นๆ เช่นโจทย์คือจะต้องทำห้องคนที่กำลังจะตายเป็นโรคมะเร็ง เราไม่เคยเป็นมะเร็งมาก่อน จะเสิร์ชในกูเกิลสิ่งที่ได้ก็ทั่วไป เราก็ต้องไปศึกษา ไปถามหมอว่าโลกของคนเป็นมะเร็งมีอะไรบ้าง เครื่องออกซิเจน ห่อยา ใต้เตียงอาจจะมีรูปครอบครัวเขาอยู่ ในบทอาจจะไม่มีบอกว่าเขาทำอาชีพอะไร แต่เราอาจแต่งเติมว่าเขาเคยเป็นนักกีฬาบาสเกตบอล ในห้องเขาจะต้องมีรางวัลไหม เหมือนเรารู้จักเขามากกว่าที่เขารู้จักตัวเอง” แก่พูดถึงเสน่ห์ของงานโปรดักชั่นดีไซน์ที่ทำให้เขาไม่อยากเบนสายไปทำงานอื่น 

แก่เล่าต่อว่า ในเมืองไทยมีคนทำงานโปรดักชั่นดีไซน์จริงๆ แค่หลักสิบ แต่ละคนก็มีคาแร็กเตอร์และความถนัดที่ไม่เหมือนกัน หากจะให้เขานิยามงานของ Pantang Artwork คำว่า ‘บ้าพลัง’ อาจฟังดูสมเหตุสมผลที่สุด

“คาแร็กเตอร์ของออฟฟิศเราจะไม่เหมือนที่อื่น คนชอบบอกว่าเราบ้าพลัง เพราะงานของเรามันค่อนข้างระเบิดพลัง เวลาคนใช้พันธุ์ทางก็จะไม่เคยมีงานง่ายให้เราเลย” แก่เล่า แล้วยกตัวอย่างซีรีส์ อย่ากลับบ้าน ที่พวกเขาสร้างบ้านขึ้นมาใหม่ทั้งหลังให้เราฟัง

“การเป็นโปรดักชั่นดีไซน์ในบ้านเราต้องมีคาแร็กเตอร์ การมีคาแร็กเตอร์หมายถึงเราต้องมีรสนิยมในทางภาพของเรา เราดันชอบไปรับงานเดือดๆ ดูแล้วมีความเป็นชาวบ้านเยอะ ผมชอบการจำลองชีวิตมนุษย์ให้ดูตื่นเต้น จะชอบใช้คำว่า ‘ยับ’ หรือ ‘ระยำ’ ตลอด หนังที่ถ่ายในคาเฟ่ชิคๆ เราแทบจะไม่ได้รับเลย”

เพราะแบบนี้ Pantang Artwork จึงเป็นบริษัทโปรดักชั่นครบวงจร ที่มีตั้งแต่ทีมอาร์ตไดเรกชั่น ทีมออกแบบ ทีมช่าง ทีมสเตอริโอ และอีกหลายทีมที่รวมอยู่ในออฟฟิศเดียวกัน เพื่อเนรมิตการจำลองชีวิตให้ถึงเครื่องที่สุด

“สิ่งที่ยากคือการทำให้ผู้กำกับและคนเขียนบทเชื่อ ที่ยากที่สุดคือทำยังไงให้นักแสดงเชื่อ อย่างใน สงคราม ส่งด่วน เรามีโกดังที่กำลังจัดงานส่งของ ทำยังไงให้คน 300 คนในนั้นเชื่อว่าตัวเองเป็นพนักงานธันเดอร์ พระเอกเชื่อว่าตัวเองเป็นเจ้าของที่ควบคุมคน 300 คนนี้อยู่ ถ้าเราเอากล่องกระดาษก๊องแก๊ง บรรยากาศรถขนของที่ดูไม่เหมือนของจริง มันก็ลดทอนความเชื่อลงไป นักแสดงเขาอาจจะเล่นไม่ได้”

พันธุ์ทางยังขึ้นชื่อเรื่องการเซตสถานที่ถ่ายทำแบบ 360 องศา เพื่อให้บรรยากาศมวลรวมมอบความรู้สึกสมจริง ทำให้วันถ่ายจริงมักจะเกิดมุมกล้องแบบใหม่ หรือวิธีการแสดงแบบใหม่ขึ้นมา เพราะสถานที่ถ่ายทำเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดสิ่งนั้น

“ทำงานบ้าพลังแบบนี้คุ้มเหรอ” เราถามสิ่งที่อยู่ในใจ

“ในช่วงต้นของพันธุ์ทางไม่คุ้มเลย เราเจ๊งมาเกือบ 3-4 ปีนะ เราเข้าเนื้อ เรารับงานฟรี ถ้าไปดูในเว็บไซต์ เราไม่เคยได้กำไรเลย” แก่ตอบตามตรง ทว่าพวกเขาก็ยังไม่เคยคิดหยุดพักรับงานบ้าพลัง โดยเฉพาะมิวสิกวิดีโอ เพราะพันธุ์ทางมีเหตุผลเบื้องหลัง

“งานที่เราทำ เราใช้คำว่าเราทำงานศิลปะนะ ไม่ใช่ทำงานกองถ่าย การทำงานศิลปะหมายความว่า ในการทำเอ็มวีตัวหนึ่งเราแทบจะไม่มีกำไรเลย มักจะเข้าเนื้อ แต่ทำไมเราถึงรับเยอะมาก เพราะเอ็มวีถ่ายทำแค่ 1 วัน ผ่านไป 7 วันออนแอร์แล้ว มันเป็นการตลาดที่ง่ายและเร็วที่สุด 

“เราทำเอ็มวีบางตัวเสียเงินเพิ่ม 50,000 บาทแต่คนรู้จักเรามากขึ้น คนกดไลก์เป็นแสน คนมาสัมภาษณ์เราอีก 10 กว่าช่อง เอ็มวีเหล่านี้ทำให้คนจ้างงานสายอื่นเข้ามาเยอะ ไม่ว่าจะเป็นอีเวนต์ งานออร์แกไนซ์ ซึ่งนี่มันคือหนทางในการทำการตลาดของเรา”

3
“หลักเกณฑ์การรับงานของผมคืออารมณ์ล้วนๆ”

หนัง ละคร ซีรีส์ โฆษณา มิวสิกวิดีโอ นิทรรศการ งานศิลปะที่ตั้งในห้าง บ้านคน พิพิธภัณฑ์ งานตกแต่งร้านอาหารไปจนถึงสวนสนุก 

ทั้งหมดนี้ Pantang Artwork ออกแบบมาทั้งหมดแล้ว 

แก่อธิบายว่า เขาแบ่งงานของพันธุ์ทางออกเป็น 2 ประเภทหลัก คืองานส่วนตัวที่ชาวพันธุ์ทางอยากทำกันเอง ไม่ว่าจะเป็นทำเสื้อหรืออาร์ตทอยขาย อีกประเภทคืองานลูกค้าที่มีโจทย์มาให้ ซึ่งแตกต่างออกไปในแต่ละโปรเจกต์

“เราทำงานศิลปะ เพราะฉะนั้น หลักเกณฑ์การรับงานของผมคืออารมณ์ล้วนๆ เลย เราไม่ได้คิดว่าเราต้องรับงานเท่าไหร่ถึงจะอยู่ได้ แต่เรารับเพราะความอยากทำ พอเกณฑ์เป็นแบบนี้ งานที่เรารับเลยมักจะออกมามีคุณภาพ ทำให้อัตราการจ้างสูง” 

อย่างไรก็ตาม ในทุกๆ งาน แก่ย้ำว่าสิ่งที่มีเหมือนกันคือความคิดสร้างสรรค์ ความมีวินัย และความซื่อสัตย์ “ครีเอทีฟช่วยให้งานพิเศษขึ้น วินัยคือการผลิตให้ตรงตามเวลา ซื่อสัตย์คือเราไม่โกงลูกค้า แค่นั้นเลย พันธุ์ทางอยู่มาได้เพราะเราไม่เคยโกงลูกค้าเลย”

ถึงตรงนี้ เราขอให้แก่ยกตัวอย่างงานที่น่าสนใจและเล่าความท้าทายในขั้นตอนเบื้องหลังให้เราฟัง เขาเริ่มจากซีรีส์เรื่องล่าสุดที่ดังเป็นพลุแตก

สงคราม ส่งด่วน (2568)

“เราทำหนังมาทั้งชีวิต แต่ผู้กำกับเขาเลือกเราเพราะเอ็มวี ธาตุทองซาวด์  เขาบอกว่าเรานำเสนอรูปแบบชีวิตมนุษย์ที่น่าสนใจ รู้สึกว่าเราทำเด็กแว้นได้สมจริง 

“ความสนุกในการออกแบบให้ สงคราม ส่งด่วน คือเรานำเสนอความจริงที่ realistic แล้วทำให้มันพิเศษ โจทย์คือสถานการณ์ความวุ่นวายของการส่งของของบริษัทสตาร์ทอัพประเทศไทยที่เติบโตภายใน 6 เดือน เราเลยมานั่งคิดว่า ถ้าเรามีพัสดุเข้ามาในบ้าน 3,000 กล่องใน 1 วัน บ้านเราจะรกแค่ไหน แล้วทีมบัญชี ทีมจัดการ ทีมคอมพิวเตอร์ จะวุ่นวายแค่ไหนเมื่อพวกเขาทำงานกันเกือบตาย ไม่ได้กลับบ้านเลย 

“เราจำลองภาพเหล่านั้นขึ้นมาโดยหาข้อมูลอย่างแท้จริงและเรียนรู้ชีวิต เช่น พนักงานที่ทำงานคอมพิวเตอร์เขาชอบต้นไม้ แต่จะชอบต้นไม้แบบไหน ก็อาจจะชอบต้นไม้ที่ไปเดินตลาดนัดหน้าโรงงานแล้วซื้อมา หรือไม่ก็สั่งออนไลน์ เพราะฉะนั้นต้องเป็นต้นไม้ที่ต้นไม่ใหญ่มาก จำพวกกระบองเพชร 

“หรือการมีโต๊ะปิงปองในเรื่อง พี่เก้ง (จิระ มะลิกุล) เป็นคนให้ไอเดียนี้ เขาบอกว่าในห้องที่คนแทบจะไม่ได้เดินออกจากห้องเลย เขาจะหาความสนุกจากอะไร กีฬาที่สามารถเล่นในห้องได้ เป็นโต๊ะปิงปองไหม ผมเลยทำให้โต๊ะปิงปองเป็นทั้งโต๊ะทำงาน โต๊ะกินข้าว โต๊ะวางแผน และโต๊ะปิงปอง”

อย่ากลับบ้าน (2567)

“งานแรกที่เราได้ออกแบบไอเดีย และเราสร้างเองในเวลาที่โคตรจำกัด สิ่งที่ยากที่สุดคือผู้กำกับเขาเขียนบทจากมุมมองของสถาปนิก เพราะเขาจบสถาปนิกมา เขาเขียนบทจากการวาดแปลนบ้าน และเราต้องสร้างทุกอย่างในสมองเขาออกมาให้เขาเชื่อ โดยที่เป็นมันยังเป็นงานเราด้วย

“เขาเป็นเนิร์ดที่ชอบวิทยาศาสตร์ เราก็เป็นอาร์ตทิสต์ พอมาเจอกันเราก็ต้องเอาโครงสร้าง เอาขนบในประวัติศาสตร์ของบ้านแนวชิโน-ยูโรเปียน (Sino-European Architecture) ไปยืนยันกับเขา ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับสิ่งที่เคยมองไว้แต่แรก บ้านใน อย่ากลับบ้าน เป็นบ้านที่มีความผสมผสานทางวัฒนธรรม 

“ในขณะที่เขาอาจจะใส่ easter egg บางอย่างลงไปเพราะความเนิร์ด แต่ถ้าเขาไม่บอกก็คงไม่เข้าใจ เช่น นาฬิกาในบ้านที่เป็นค่าพาย ซึ่งตรงกับวันเกิดไอน์สไตน์ และตรงกับวันคณิตศาสตร์โลก” 

นิทรรศการ 100% Doraemon & Friends Tour in Thailand

“บริษัทโดราเอมอนเขามีรูปแบบการเซตนิทรรศการที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ เราต้องทำแบบขึ้นมาเองเพื่อให้ตรงกับแปลนประเทศไทย และยังเคารพความเป็นนิทรรศการเดิมของญี่ปุ่น 

“หุ่นบางส่วนถูกส่งมาจากญี่ปุ่นแต่เรามาติดตั้งที่ไทย และต้องมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ เพราะฉะนั้น จะมีภาพพี่ม่อนอยู่กับพื้นออกไปไม่ได้เด็ดขาด หรือสีฟ้าของพี่ม่อนที่ใช้ในงาน เราก็ต้องปรินต์สีฟ้าเฉดต่างๆ ส่งไปให้เขาเทียบ สิ่งที่ยากคือทั่วโลกตีสีฟ้าไม่เท่ากัน เราจึงขอเทสต์สีฟ้ากับโรงงานมากกว่า 15 โรงงานได้ ญี่ปุ่นเขาใส่ใจในกระบวนการทุกอย่าง”

4
“เราวัดกันที่พนักงานทุกคนมีกิน”

เมื่อนึกถึงการออกแบบงานสร้าง หลายคนอาจมองว่า สายตาเรื่องการออกแบบและมุมมองเรื่องศิลปะเป็นสิ่งสำคัญ แต่แก่ก็บอกว่าสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือวิธีการบริหารเงินสำหรับงานสร้าง

“สมมติหนังเรื่องหนึ่งมี 10 ซีน แต่เราอาจจะออกแบบให้ 3 โลเคชั่นเป็นซีนที่มีการลงทุนเต็มๆ เป็นซีนที่ดูแล้วต้อง ‘รู้สึก’ แต่อีก 7 โลเคชั่นอาจจะใช้การไปถ่ายทำในสถานที่จริง โดยไม่ต้องเสียเงินเซตอัพมาก นั่นคือวิธีการลงทุนและวิธีที่ทำให้หนังพิเศษขึ้นมา เราเป็นผู้บริหารที่บางครั้งก็ไม่รู้ว่าได้เงินเข้าออฟฟิศมาเท่าไหร่ รู้แต่ว่าในงานนั้นๆ จะใช้เงินกี่บาท สิ่งที่เราต้องทำคือทำเงินนั้นให้คุ้มค่าที่สุด” 

ถ้าสันติมีเสี่ยวหยูที่คอยดูเรื่องรายรับ-รายจ่ายของบริษัทให้ แก่ก็มีแฟนที่คอยเป็นผ้าเบรกให้พันธุ์ทางอยู่ในลู่ทาง นั่นคือเคล็ดลับที่ทำให้พันธุ์ทางไปต่อได้เสมอ

“ทุกวันนี้วัดความสำเร็จของงานที่จุดไหน ลูกค้าแฮปปี้หรือเปล่า หรืออย่างอื่น” เราถาม

“บางคนอาจจะวัดกันที่ฟีดแบ็กคอนเทนต์ แต่เราวัดกันที่พนักงานทุกคนมีกิน คนอาจจะตกใจถ้าได้รู้ว่าพันธุ์ทางเป็นบริษัทโปรดักชั่นที่ให้ค่าแรงสมน้ำสมเนื้อ มีสวัสดิการ และมีการหลับนอนที่ปกติ เราทำงานกัน 8 โมงถึง 5 โมงเย็น คุณต้องแมเนจในช่วงเวลาให้ได้ จริงๆ เราเพิ่งปรับมาได้ 4-5 ปี เพราะเราเคยไปทำกับกองถ่ายต่างประเทศ กับเน็ตฟลิกซ์ที่มีกำหนดเวลาว่าต้องทำงานภายใน 12 ชั่วโมงเท่านั้น ต้องมีการพักผ่อนให้ครบรอบของมัน

“ทุกวันนี้หลายคนยังมองว่าวงการบันเทิงคือคนทำงานฟรีแลนซ์ เราไม่มีสวัสดิการเลย ภาพที่เราอยากเห็นคือเราอยากให้มีสวัสดิการที่เป็นธรรมกับงานที่เราตั้งใจ เราเป็นอุตสาหกรรมที่จ่ายภาษีให้ชาติเยอะมากแต่กลับยังไม่มีสวัสดิการที่แท้จริง 

“เราเคยเห็นข่าวบุคลากรของชาติเราตายเพราะงาน เคยเห็นช่างไฟตกลงมาจากหลังคาเพราะเขาไม่ได้นอนมา 3 วัน เราอยากให้เกิดภาพการทำงานใน 12 ชั่วโมง ไม่ใช่ 16 ชั่วโมง เราต้องการรัฐสวัสดิการอย่างแท้จริง ต้องการกฎหมายอย่างแท้จริงได้แล้ว นั่นคือภาพฝันของเรากับวงการบันเทิง”

3 คำแนะนำสำหรับการทำงานออกแบบงานสร้าง
โดยแก่ พันธุ์ทาง

  • มีความคิดสร้างสรรค์
  • มีความซื่อสัตย์
  • มีวินัย

“3 ข้อนี้ใช้ได้ยันตาย ถ้าเรามี 3 ข้อนี้ อุตสาหกรรมก็ไปต่อได้แล้ว”