ทำชาหากิน

‘ห้องน้ำชา’ จุดเริ่มต้นของผู้ประกอบการหญิงที่เปลี่ยนบ้านเป็นร้านอบอุ่น และงานการต้อนรับขับสู้

ในคอลัมน์ทรัพย์คัลเจอร์ เราชอบเรื่องราวการก่อร่างธุรกิจและกิจการของผู้หญิงเป็นพิเศษ 

เราพูดถึงผู้หญิงในการตั้งสมาคมการอ่าน พูดถึงการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกิจการทัปเปอร์แวร์ในฐานะนักขาย พูดถึงการเข้าสู่พื้นที่เหล้าเบียร์ในจังหวะที่อเมริกาแบนเหล้า ไปจนถึงการใช้ทักษะเย็บปักถักร้อยในการทำแบรนด์ตุ๊กตายัดนุ่นที่กลายเป็นไอคอนของโลก

ความพิเศษของกิจการผู้หญิง คือกิจการของพวกเธอมักก่อตัวขึ้นในบริบทที่ไม่เป็นมิตร ยังไม่มีแนวคิดเรื่องความเสมอภาค ผู้หญิงไม่ได้มีอิสรภาพมากนัก แต่หลายครั้งการดิ้นรนเหล่านั้นก็นำพาความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ซึ่งนอกจากจะเป็นใบเบิกทางให้พวกเธอได้ใช้ความสามารถแล้ว ยังเป็นการให้อำนาจในการใช้ชีวิต พร้อมทั้งเป็นการรวมพลังของผู้หญิงเพื่อเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจด้วย

และในครั้งนี้เราจะชวนย้อนกลับไปดูอีกห้วงเวลาที่ผู้หญิงเริ่มสร้างงาน สร้างรายได้ ก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ประกอบการ ด้วยบริบทเดียวกันกับที่เราเคยพูดถึงในการแบนเหล้าของสหรัฐฯ ผู้หญิงเปิดบ้านเป็นร้านน้ำชาทางเลือก ร้านที่สุภาพสตรีทำ ขาย และเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจ จิบชากินอาหาร และในบรรยากาศของการพักผ่อนนี้เอง การพูดคุยในเรื่องจริงจังเช่นเรื่องสิทธิ การต่อสู้ ก็เกิดขึ้นรอบๆ ถ้วยน้ำชาและร้านของพวกเธอ 

กิจการร้านน้ำชาจริงจังถึงขนาดมีตำราแนะนำการเปิดและบริหาร มีสูตรอาหารที่อร่อย มีหลักการบริการที่ประทับใจ เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มของการเป็นเจ้าของกิจการตั้งแต่ยุคทศวรรษ 1900 เป็นจุดเริ่มหนึ่งทั้งของการทำร้านให้อบอุ่นเหมือนบ้าน บริการแบบมืออาชีพ และเป็นการให้อำนาจผู้หญิงผ่านการทำมาหากิน

ทำชาหากิน

กิจการห้องน้ำชาก่อตัวขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกันคือแถวๆ ปลายศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะช่วง 1900 ที่อังกฤษเป็นช่วงเวลาที่เราเรียกหลวมๆ ว่ายุควิกตอเรียน ส่วนอเมริกาเป็นช่วงเวลาที่ต่อเนื่องคือยุคแบนเหล้าในทศวรรษ 1920 

ยุคนั้นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในความทันสมัย เกิดพื้นที่เมือง เกิดกิจการร้านค้า เกิดชนชั้นกลาง ผู้คนเริ่มมีอำนาจจับจ่าย บางส่วนมีเวลาว่าง แต่ในยุคนั้นผู้หญิงยังอยู่ในกรอบ อยู่ในระเบียบ หนึ่งในนั้นคือการที่ผู้หญิงยังไม่มีพื้นที่ชัดเจนในพื้นที่สาธารณะ

เช่นว่าการที่ผู้หญิงจะออกไปนอกบ้าน ก็ต้องมีสุภาพบุรุษไปเป็นเพื่อน แน่นอนว่าพื้นที่กินดื่มสำคัญๆ เช่นร้านเหล้าประเภท tavern ไม่ใช่ที่ที่ทั้งผู้หญิงจะไปกินดื่มหรือทำงานได้อย่างเปิดเผย กล่าวคือร้านเหล้ามีผู้หญิงทำงานก็จริง แต่พวกเธอจะต้องอยู่ในส่วนที่ลับตาลูกค้าเพศชายทั้งหลาย

ในจังหวะนี้เอง ทั้งในอังกฤษและอเมริกาจึงเริ่มมีร้านน้ำชา ที่ในภาพรวมเป็นพื้นที่พักผ่อน กินดื่มน้ำชาและอาหารเบาๆ เป็นพื้นที่ที่เฉพาะผู้หญิงจะเข้าใช้บริการได้ สำหรับอังกฤษ ร้านน้ำชามักเป็นพัฒนาการจากกิจการที่เกี่ยวข้องอย่างร้านใบชาหรือร้านขนม ที่จัดพื้นที่นั่งเฉพาะไว้บริการ 

สำหรับสตรี แน่นอนว่าก็เป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้าพูดคุยกัน และเป็นพื้นที่ที่ผู้หญิงสามารถเข้าทำงานและหารายได้ได้

ความพิเศษของประวัติศาสตร์ร้านน้ำชาอยู่ที่ ในมุมที่เกี่ยวข้องกับการเป็น ‘กิจการของผู้หญิง’ โดยผู้หญิง เพื่อผู้หญิง และกลายเป็นศาสตร์ เป็นเทรนด์การประกอบกิจการ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสำคัญในสหรัฐอเมริกา 

T for Temperance 

กิจการร้านน้ำชาในอเมริกามีลักษณะไม่ต่างกับร้านน้ำชาในอังกฤษ คือเสิร์ฟชา ซึ่งรวมเครื่องดื่มอื่นๆ พร้อมกับขนม เช่น เค้ก ขนมจุกจิก รวมถึงอาหารเบาๆ แต่ร้านน้ำชาในอเมริกาไม่ได้แค่คิดและบริการลูกค้าผู้หญิงเท่านั้น แต่ร้านน้ำชาที่เกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ต่อเนื่องถึงต้นศตวรรษที่ 20 เกือบทั้งหมดเป็นร้านที่ผู้หญิงเปิดเอง 

ลักษณะร้านน้ำชาหรือห้องน้ำชา มักเป็นการที่สุภาพสตรีชนชั้นกลางเปิดสวน ห้องนั่งเล่น หรือบางส่วนของครัวและของบ้านเป็นพื้นที่ต้อนรับ พวกเธอจะบริการน้ำชาเครื่องดื่ม แสดงฝีมือทำขนมต่างๆ ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่แม่บ้านเปิดพื้นที่บ้านเป็นพื้นที่กิจการเพื่อหารายได้เสริม

นอกจากห้องบริการชาที่เปิดในพื้นที่บ้านแล้ว สุภาพสตรีหลายท่านเลือกที่จะใช้หรือเช่าพื้นที่อื่นๆ เช่น อาคารที่ไม่ได้ใช้ โรงเลี้ยงม้า ตึกที่อยู่ติดกับปั๊มน้ำมัน รวมถึงโรงโม่เก่า พวกเธอเข้าไปเนรมิตแปลงโฉม แม้แต่บางพื้นที่พวกเธอต้องนำกระทั่งน้ำสะอาดไปเอง ขนมและอาหารเป็นสิ่งที่พวกเธอจะทำไปจากบ้าน หรืออาจพกเตาเล็กๆ ไปใช้เพื่อต้มน้ำและปรุงอาหารเรียบง่าย

ในช่วงทศวรรษ 1900 กิจการห้องน้ำชาเป็นพื้นที่โอกาสในการหารายได้ของทั้งสาวโสด แม่ม่าย และภรรยาที่อยากช่วยหารายได้เข้าบ้าน 

ในสมัยนั้น พื้นที่กินดื่มนอกบ้านมักแบ่งเป็นพื้นที่ร้านอาหารประเภท tavern และร้านในโรงแรม ซึ่งแน่นอนว่าเป็นพื้นที่ของผู้ชาย สิ่งที่น่าสนใจคือห้องน้ำชาถูกออกแบบให้ตรงข้ามและเหมาะกับผู้หญิง ซึ่งกลายมาเป็นต้นแบบร้านคาเฟ่และเทรนด์สำคัญที่เราเจอในร้านอาหารปัจจุบัน คือร้านอาหารของผู้ชายมักจะเสิร์ฟอาหารหนักๆ ส่วนร้านชามักเสิร์ฟอาหารเบาๆ 

ร้านชาในยุคนั้น สุภาพสตรีผู้เป็นเจ้าของมักตกแต่งร้านให้มีบรรยากาศสบายๆ ซึ่งมักจะเน้นออกแบบให้ ‘เหมือนกับบ้าน’ คือเป็นบ้านที่สวยงาม เป็นระเบียบ กระทั่งตกแต่งด้วยข้าวของที่อาจชวนให้คิดถึงความอบอุ่นของบ้านในอดีต ผ้าลูกไม้ เครื่องถ้วยชาม เก้าอี้สาน ร้านชาสะท้อนความเป็นอุดมคติ บ้างก็เป็นพื้นที่ที่ชวนให้คิดถึงคฤหาสน์ในชนบทของยุคก่อนหน้า หลายร้านมักตกแต่งด้วยของเก่าซึ่งบางครั้งก็ขายของตกแต่งเหล่านั้นให้ลูกค้าด้วย

ในบางมุมมองระบุว่า การเริ่มทำให้ร้านน้ำชาดูเป็นบ้าน มีบรรยากาศเหมือนบ้าน แต่เป็นเวอร์ชั่นที่เป็นอุดมคติ บ้างก็สะท้อนค่านิยมหรือให้ภาพบ้านในยุควิกตอเรียนที่มีความเนี้ยบ สวยงาม ประณีต และโหยหาอดีตเล็กน้อย แต่การทำให้ร้านเหมือนบ้านก็เป็นการลดคำครหาในการเป็นพื้นที่นอกบ้านของผู้หญิง คือทำให้เป็นเหมือนบ้านซะ จะได้ไม่ถูกตำหนิ

จุดเปลี่ยนสำคัญของห้องน้ำชาของสุภาพสตรีคือการเฟื่องฟูขึ้นจากการมาถึงของยุคแบนเหล้า การแบนเหล้าเกิดจากกระแสและการเคลื่อนไหวเพื่อการอดเหล้า (temperance) เมื่อสังคมงดเหล้า ร้านอาหารไม่มีเหล้าขาย ผู้คนก็หันไปหาร้านน้ำชา 

ครั้งนี้ T-Room ไม่ได้หมายถึงแค่ชา แต่หมายถึง temperance คือเข้าไปดื่มเครื่องดื่มทดแทนการดื่มเหล้า ซึ่งในยุคนั้นในห้องน้ำชาจะมีบริการเครื่องจ่ายน้ำโซดา จุดนี้เองที่เริ่มเกิดพื้นที่ร้านแบบใหม่ที่เข้าไปกิน แต่ไม่ดื่ม กินของเบาๆ แฮงเอาต์แทนการดื่มเหล้าในบาร์แบบเดิม

ตำราผู้ประกอบการ และตำราอาหารเพื่อกิจการ

ความเท่ของกิจการน้ำชาของผู้หญิงคือ แง่หนึ่ง สิ่งที่พวกเธอทำในร้านเป็นสิ่งที่พวกเธอก็ทำอยู่แล้ว คือการดูแลบ้าน บริการอาหารเครื่องดื่ม จัดเลี้ยง ต้อนรับแขก แต่ครั้งนี้พวกเธอลงมือทำจากที่เคยทำเปล่าๆ กลายเป็นทำแล้วได้รายได้

ทีนี้ กิจการในยุคนั้นรุ่งเรืองแค่ไหน หลายครั้งมีความยืดหยุ่นเช่นเปิดบ้านเป็นช่วงเวลา หรือการตั้งร้านตามจุดสำคัญ บ้างก็เป็นระยะเวลาสั้นๆ หมายความว่าไม่จำเป็นต้องทำร้านถาวร อาจเป็นเทรนด์อย่างหนึ่ง 

หลักฐานความฮิตในยุคนั้น คือการมีหนังสือว่าด้วยการประกอบการ โดยมีตั้งแต่บทความในปี 1905 และปี 1910 หลังจากนั้นในทศวรรษ 1920 มีหนังสือว่าด้วยการเปิดร้านน้ำชา มีคอลัมน์ บทความว่าด้วยการเปิดร้าน รวมถึงแนะนำเมนูสำหรับการปรุงอาหารมากมาย

ถ้าเราเปิดดูตำราในขณะนั้น ถือว่าเป็นจริงเป็นจังมาก และข้อแนะนำแนวทางในการทำร้านในยุคนั้นค่อนข้างเคร่งครัด คือเป็นการวางมาตรการการบริการอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่การเปิดร้านแบบมือสมัครเล่น เช่นในหนังสือชื่อ Tea Room Business โดย Ida Lee Cary ที่ตีพิมพ์ในปี 1920 

สิ่งที่น่ารักคือ ในคำนำของคุณไอด้า บอกว่าการเปิดกิจการห้องน้ำชาเป็นสิ่งที่ดึงดูดและทำเงินที่สุดสำหรับผู้หญิงที่ทำได้ที่บ้านตัวเอง และเมื่อทำกิจการก็จะหาซื้อของสำหรับตัวเองและครอบครัวได้ ในหนังสือจะอธิบายแนวทางการเปิดบ้านเป็นห้องน้ำชาโดยละเอียด การเลือกห้องที่เหมาะสม การทำความสะอาด รูปแบบการจัดวางโต๊ะและจานชาม 

ที่สำคัญ มีแนวทางการบริการที่แทบไม่ต่างกับระบบในร้านอาหารที่ได้รับการฝึกฝนแบบที่เราเห็นในโรงเรียนการโรงแรมในปัจจุบัน บนโต๊ะต้องมีอะไรบ้าง ผ้าเช็ดปากต้องพับแล้ววางไว้ยังไง การเสิร์ฟอาหารต้องอ้อมเข้าทางซ้ายและวางไว้ขวามือของแขกเสมอ แก้วกาแฟก็ต้องวางไว้ขวามือ บอกกระทั่งลำดับการเก็บจานออกจากโต๊ะตามลำดับจากจาน แก้ว อุปกรณ์อื่นๆ และจบด้วยการเก็บเศษอาหารที่หล่นบนโต๊ะ 

นอกจากหนังสือว่าด้วยการเปิดห้องน้ำชา เธอยังออกตำราอาหารที่เกี่ยวกับการที่เธอเปิดห้องน้ำชาเอง โดยแนะนำว่าวาฟเฟิลเป็นอาหารที่คนนิยม ส่วนตำราอีกเล่มชื่อ Cook Book of Tested Receipes เป็นอาหารเรียบง่ายแต่ครอบคลุมทั้งของคาว ของหวาน ขนมปัง เค้ก พุดดิ้ง ไปจนถึงเคล็ดลับงานครัวและงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ

นอกจากตำราของคุณไอด้าแล้ว ยังมีตำราที่เกี่ยวข้องอีกหลายเล่ม ทั้งหนังสือว่าด้วยการบริหารร้าน ตำราเมนู และสูตรอาหารสำหรับกิจการห้องน้ำชา บางตำรากล่าวว่าหัวใจของความสำเร็จคือชาดีและอาหารอร่อย (คล้ายกับบางช่วงของกิจการคาเฟ่สมัยใหม่) แต่เงื่อนไขแรกของร้านที่จะสำเร็จคือการบริการ ลำดับต่อไปคือคุณภาพอาหาร  

นอกจากการเป็นพื้นที่ทำมาหากินของผู้หญิง เป็นพื้นที่พักผ่อน กินดื่มอาหารที่เหมาะกับผู้หญิง ในบรรยากาศที่ cozy ร้านน้ำชาเหล่านี้ยังมีบทบาทในการเป็นพื้นที่พบปะพูดคุย นอกจากการนินทา-วิพากษ์วิจารณ์ความเป็นไป เสียงที่ดังขึ้นในหมู่สุภาพสตรีกลายเป็นเสียงของการถกเถียง เรียกร้อง นำไปสู่การเรียกร้องสิทธิสตรีในเวลาต่อมา

หลังจากทศวรรษ 1920 การเรียกร้องสิทธิของผู้หญิงเริ่มได้ผลเป็นรูปธรรม มีสิทธิเลือกตั้งและต่อสู้ไปถึงสิทธิอื่นๆ พื้นที่นอกบ้านเริ่มผ่อนคลายกลายเป็นพื้นที่ของทั้งชายและหญิง ทั้งพื้นที่การทำงานและพื้นที่กินดื่ม ในช่วงทศวรรษ 1950 ห้องน้ำชาในฐานะกิจการของผู้หญิงในสหรัฐอเมริกาจึงค่อยๆ ทยอยปิดตัวลงจนหมด

ประวัติศาสตร์ในห้องน้ำชา จึงเป็นอีกหนึ่งการเปิดพื้นที่ให้กับผู้หญิง การมีพื้นที่ที่พวกเธอได้ทำมาหากิน ได้นั่งลงกินอาหาร พูดคุย ได้มีอำนาจต่อรองและมีอิสระมากขึ้น ซึ่งค่อยๆ สอดแทรกตัวเข้าสู่พื้นที่สาธารณะ เป็นพื้นที่ของการเปล่งเสียง ที่สำคัญคือเป็นร่องรอยสำคัญของผู้หญิงในการเข้าสู่กิจการที่เกี่ยวกับอาหาร เครื่องดื่ม และธุรกิจของการจัดเลี้ยงและการบริการที่มีมาตรฐาน มีระบบระเบียบแบบแผน 

กิจการเหล่านี้เป็นอิฐก้อนหนึ่งที่พวกเธอร่วมกันปูไปสู่ปลายทางของความเท่าเทียม

อ้างอิงข้อมูลจาก

Writer

ชื่อว่านครับ ทำงานรับจ้างทั่วไปด้านงานเขียน ส่วนใหญ่เขียนเรื่องการเขียน การอ่าน และวัฒนธรรม เชื่อว่าพื้นที่นามธรรมเป็นสินทรัพย์ที่จะพาเราเติบโตอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

Illustrator

ชื่อกล้วยค่ะ banana blah blah เป็นนักวาด บางวันจับเม้าส์ปากกา บางวันจับลูกกลิ้งทำภาพพิมพ์ สนใจ Art therapy และการวาดภาพเพื่อ Healing เชื่อว่าการทำงานที่ดีต้องทำให้เราอิ่มทั้งกายและใจ ได้มองเห็นตัวเองเติบโตภายใน

You Might Also Like