Daddy Finger

หลัก 4P+1 ของ Daddy Finger กระเป๋าแม่ลูกอ่อนที่คุณพ่อทำ คุณพ่อถือ

ถึงจะยังไม่เคยมีลูก แต่ถ้าหากคุณได้เห็นกระเป๋าของ Daddy Finger ที่ไหน เราว่าคุณก็ต้องเตะตา ต้องใจ แล้วอาจจะหยุดดูบ้างแหละ

เพราะแม้จะถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาให้เป็น ‘กระเป๋าแม่ลูกอ่อน’ แต่กระเป๋าทุกใบของ Daddy Finger ก็มีหน้าตาที่ห่างไกลจากกระเป๋าแม่ลูกอ่อนในภาพจำอยู่มากโข ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด เพราะนั่นคือสิ่งที่ โยพุฒิพัฒน์ และ บายภัทรานิษฐ์ กีรติทวีพงศ์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ตั้งใจลบภาพจำกระเป๋าคุณแม่ที่มักจะแต้มด้วยลายการ์ตูนน่ารัก กลายเป็นกระเป๋าหลากสีสันดีไซน์สวย ให้ทุกคนในครอบครัวถือไปไหนมาไหนได้ทุกโอกาส แถมยังอัพเกรดคุณภาพการตัดเย็บให้ทนทานยิ่งขึ้น หากก็ยังไม่ทิ้งฟังก์ชั่นการเป็นกระเป๋าใบใหญ่ จุของได้เยอะ แบบที่กระเป๋าแม่ลูกอ่อนควรจะเป็น 

คอลัมน์ 5P วันนี้ เราพาไปนั่งคุยกับโย–คุณพ่อผู้สร้าง Daddy Finger ขึ้นมาด้วยสิบนิ้วและสองมือของตัวเอง สนทนากันถึง 4P+1 เบื้องหลังแบรนด์กระเป๋าแม่ลูกอ่อนที่ทุกคนในครอบครัวตกหลุมรัก 

PRODUCT
กระเป๋าของคุณพ่อ

ถ้าจะเปรียบเทียบเป็นเด็กสักคน แบรนด์ Daddy Finger ตอนนี้ก็คือเด็กอายุ 3 ขวบที่กำลังซน สนุกกับการเขย่งเท้า กระโดดไกล ฝึกทรงตัวให้ไม่ล้ม กำลังมีพัฒนาการที่ดีและน่าเอาใจช่วยทีเดียว

ย้อนกลับไปก่อนแบรนด์จะตั้งไข่ พุฒิพัฒน์ทำธุรกิจโรงงานเย็บกระเป๋าตามสั่ง (OEM) ให้แบรนด์และภาคเอกชนในรูปแบบต่างๆ มานานกว่า 30 ปี เมื่อกลายเป็นหัวหน้าครอบครัวและมีลูกคนแรก เขาซื้อกระเป๋าใส่ของสำหรับคุณแม่จากแบรนด์ต่างๆ มาใช้ แต่ก็ไม่มีแบรนด์ไหนถูกใจ

“ส่วนมากกระเป๋าสำหรับแม่จะเป็นลายการ์ตูนที่ดูน่ารัก เพราะคนทำคิดเชื่อมไปถึงเด็ก เป็นกระเป๋าที่ทำมาเพื่อลูก แต่คุณแม่เลือก และสุดท้ายคุณพ่อจะเป็นคนถือ เราเลยอยากมีกระเป๋าสำหรับคนที่ไม่ได้ชอบความน่ารักบ้าง แต่มันก็ไม่ค่อยมี เราเลยทำขึ้นมาเอง” คุณพ่ออธิบาย กระเป๋าใบแรกที่เขาทำจึงเป็นกระเป๋าสีเขียวเรียบๆ ที่คนไม่ได้ชอบความแบ๊วก็ถือได้ 

มากกว่านั้น กระเป๋ายังมีฟังก์ชั่นแบบที่กระเป๋าแม่ลูกอ่อนหรือ diaper bag ควรจะเป็นจริงๆ เพราะมันไม่ได้มีช่องใส่ของแค่ช่องเดียวแบบกระเป๋าที่ขายทั่วไป แต่มีช่องใส่ของขนาดใหญ่ถึง 3 ช่อง ใช้ใส่ผ้าอ้อม ทิชชู่ ขนมจุกจิก ของเล่นเด็ก ไปจนถึงสิ่งของส่วนตัว เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และสมุดโน้ต ทั้งยังแบ่งเป็นสัดส่วนให้หยิบจับได้ง่าย

เมื่อมีลูกคนที่ 2 พุฒิพัฒน์ก็ทำกระเป๋าเพิ่มอีก คราวนี้ได้ส่งให้ญาติๆ และเพื่อนๆ ที่มีลูกเหมือนกันได้ลองใช้ ฟีดแบ็กที่ได้กลับมาก็น่าชื่นใจ

ตอนนั้นเองที่เขาคิดถึงการขาย

กระเป๋าของคนทำกระเป๋า

“ตอนแรกยังไม่คิดจะทำแบรนด์ เพราะไม่อยากยุ่งกับ ‘การสร้างแบรนด์’” พุฒิพัฒน์บอก แต่ก็มีจุดที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจ 

“ก่อนหน้านี้ เราไม่ค่อยเห็นแบรนด์ไทยที่ทำกระเป๋าแม่ลูกอ่อนอย่างจริงจัง ส่วนมากจะเป็นแบรนด์กระเป๋าทั่วไปที่โปรโมตว่าคุณแม่ก็ใช้ได้ ทำให้ต้องสั่งจากเมืองนอก ซึ่งคุณภาพการตัดเย็บไม่ได้ดีมาก แต่ราคา ค่าส่ง และภาษีกลับสูง เราเลยคิดว่าเราทำดีกว่านี้ได้” 

เพราะคลุกคลีอยู่กับโรงงานกระเป๋ามากว่า 30 ปี เขาจึงรู้เรื่องคุณภาพของวัสดุ วิธีการเย็บให้ประณีต และจุดที่ควรระวัง นั่นคือจุดที่ทำให้พุฒิพัฒน์ตัดสินใจเปิดแบรนด์ของตัวเอง

ชื่อ Daddy Finger มาจากเพลง Finger Family ที่ร้องว่า “Daddy Finger, Daddy Finger, where are you?” ซึ่งลูกๆ ของเขาเปิดกรอกหูทั้งวันตอนทำกระเป๋า พุฒิพัฒน์เลยหยิบมาตั้งเป็นชื่อแบรนด์เสียเลย สื่อว่าแด๊ดดี้เป็นคนทำ 

ในขณะเดียวกัน Daddy Finger ก็หมายถึงนิ้วโป้งที่สื่อความหมายว่ายอดเยี่ยม ซึ่งนั่นแหละคือสิ่งที่เขาอยากให้เป็น–อยากทำแบรนด์กระเป๋าแม่ลูกอ่อนของคนไทยที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมไม่แพ้ต่างชาติ 

กระเป๋าที่อยู่ในทุกช่วงวัย

ความน่าสนใจคือ Daddy Finger ไม่ได้ผลิตเป็นรุ่นๆ และไม่ได้ตั้งใจว่าจะออกทุกซีซั่นเหมือนกระเป๋าทั่วไป แต่ทำ ‘กระเป๋าที่โตไปตามวัยของลูก’

กระเป๋ารุ่นแรกจึงเป็นกระเป๋าถือขนาดใหญ่ที่เหมาะกับการใส่ผ้าอ้อม ทิชชู่ และสิ่งของอื่นๆ สำหรับเด็กเล็ก รุ่นต่อมาคือกระเป๋าเป้สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ เพื่อให้ลูกที่โตขึ้นมาหน่อยสามารถสะพายได้ด้วย หลังจากนั้นคือกระเป๋าเดินทาง รวมถึงกระเป๋าเก็บความเย็นและอาหาร เพราะเป็นช่วงที่ลูกโตมากพอที่จะออกไปเที่ยวด้วยกันได้ กระเป๋าก็ไม่จำเป็นต้องมี 2 ช่องแล้วเพราะไม่จำเป็นต้องพกของหลายรูปแบบเหมือนตอนลูกอายุน้อยๆ 

กระเป๋าใบหนึ่งก็สามารถเปลี่ยนฟังก์ชั่นของมันไปตามช่วงวัยของลูกได้เหมือนกัน เช่น กระเป๋าเก็บความเย็น ครั้งหนึ่งอาจใช้เพื่อเก็บขวดนม แต่พอลูกโตขึ้นก็ใช้เก็บอาหารแทน

“กระเป๋าของ Daddy Finger ตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่าเรายังขาดกระเป๋าแบบไหนบ้างที่ใช้ในชีวิตประจำวัน มันเกิดขึ้นจากโจทย์ที่ว่า ชีวิตเราต้องการอะไร หรือปัญหาแบบไหนที่เราเจอ แล้วเราก็ออกแบบกระเป๋าเพื่อตอบโจทย์เป็นส่วนๆ” พุฒิพัฒน์บอก

เอกลักษณ์อีกข้อที่ทำให้ Daddy Finger โดดเด่นในตลาดคือสีสันอันหลากหลาย มีตั้งแต่สีโทนร้อนสุดแสบไปจนถึงสีเอิร์ธโทนที่ใช้แล้วสบายตา อีกอย่างคือการใช้ผ้าไนลอนกันน้ำ ด้านในเป็นผ้าคอตตอนทอที่ได้จากช่างฝีมือทางภาคเหนือของไทย ผ่านการตัดเย็บคุณภาพแบบแฮนด์คราฟต์ ให้มีรอยต่อด้ายให้น้อยที่สุด ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พุฒิพัฒน์บอกว่าจะไม่มีการประนีประนอม

“เวลาเราผลิตของออกมา เราไม่อยากผลิตแค่ให้มันเสร็จ เราอยากผลิตให้มันดี อยากให้รู้ว่ามีคนทำงานดีๆ มีฝีมืออยู่ เลยอยากทำออกมาให้เนี้ยบที่สุด การสร้างคุณค่าให้กับสินค้ามันวัดกันตรงนี้แหละ”

PRICE

สำหรับพุฒิพัฒน์ การตั้งราคาสินค้าสักชิ้นไม่มีกฎตายตัว แต่ควรจะยืดหยุ่นไปตามสินค้า ราคากระเป๋าของเขาจึงเริ่มต้นที่ 990 บาทสำหรับกระเป๋าเก็บความเย็น ไปจนถึง 5,990 บาทสำหรับกระเป๋าถือของคุณแม่

“จากที่ผมเคยใช้กระเป๋าแม่ลูกอ่อนหลายแบรนด์ เขาขายในราคา 3,000 ไปจนถึง 6,000 ก็มี แต่เมื่อเรานำของเหล่านี้มาดูงานเย็บ เรามองว่าถ้าเราเย็บแบบนี้ เราคงไม่ได้ตั้งราคาสูงถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะขายราคานี้ เราสามารถอัพต้นทุนและคุณภาพขึ้นได้

“ถามว่าทำไมถึงไม่อยากลดราคาลงแล้วใช้วัสดุให้น้อยกว่านี้อีก คำตอบคือเราไม่อยากทำแบบนั้น เราอยากทำกระเป๋าที่มีคุณภาพที่ใช้ต้นทุนที่สูงดีกว่า ซึ่งถ้าแบรนด์พรีเมียมต่างๆ หันมาใช้วัสดุและการตัดเย็บแบบนี้ กระเป๋าของเขาอาจจะมีราคาขึ้นหมื่นทันที 

“อีกเหตุผลคือหากเรามองอนาคต โลกของเราแคบลง มีจีนเข้ามาในตลาด เราไม่ควรทำสินค้าแข่งด้วยราคาที่ถูกที่สุด เพราะพูดตรงๆ ว่าเราสู้จีนไม่ได้ ในเมื่อวัสดุหลายๆ อย่างยังสั่งจากเขาเลย ไหนจะค่าแรงอีก เพราะฉะนั้นเรื่องราคาคงไม่ใช่จุดที่เราจะไปสู้”

ถึงที่สุดแล้ว พุฒิพัฒน์ย้ำว่า การสร้างแบรนด์ที่มีคุณภาพไม่ได้อยู่ที่การตั้งราคาสูงอย่างเดียว แต่สินค้าต้องสมกับราคานั้นๆ ทั้งคุณภาพและการใช้งานด้วย

PLACE

ในสองปีแรก Daddy Finger เริ่มจากการขายออนไลน์ ผ่านเพจเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมเท่านั้น เพราะอยากให้ลูกค้าติดต่อกับแบรนด์โดยตรง ได้รับฟังฟีดแบ็กของลูกค้าอย่างใกล้ชิด

กระทั่งลูกค้าเริ่มรู้จักแบรนด์มากขึ้น พุฒิพัฒน์จึงคิดถึงการสร้างหน้าร้านของตัวเองขึ้นในย่านบางพลี สมุทรปราการ ติดกันกับโรงงานผลิตกระเป๋าของเขา อีกจุดหนึ่งที่วางจำหน่ายคือ Mother Goose ร้านขายเฟอร์นิเจอร์และของกระจุกกระจิกสำหรับพ่อแม่และเด็ก ที่ เชอรี่–โชติพร นันทขว้าง เพื่อนของพุฒิพัฒน์เป็นเจ้าของ

“สถานที่เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเรามีตัวตน ถ้าเราซื้อของออนไลน์แล้วไม่มีหน้าร้าน บางทีคนก็สงสัยว่าสินค้าจากที่ไหน ผลิตดีไหม หรือแค่รับมาขายต่อ เรามองว่าการเปิดช็อปคือการบอกลูกค้าว่า Daddy Finger คือแบรนด์คนไทยที่มีตัวตนจริงๆ และเป็นแบรนด์ที่ผลิตเอง ไม่ได้จ้างโรงงานที่ไหนผลิต

“เราเป็นแบรนด์ที่เพิ่งเริ่ม อาจจะไม่ใช่แบรนด์ดังที่มีโอกาสขยายช็อปหรือวางในสถานที่หลายแห่ง เพราะเราอยากให้ลูกค้าได้มาสัมผัสกับสินค้าของเรา และเราจะได้อธิบายวิธีการใช้ แนะนำวิธีการเก็บของให้ลูก ได้คุยและแลกเปลี่ยนกันโดยตรง”

นอกจากนี้ Daddy Finger ยังมีการดีลกับตัวแทนการขายในสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และอินโดนีเซียเพื่อขยายตลาดไปยังลูกค้าในกลุ่มประเทศเหล่านี้ และมีแผนจะขยายไปสู่ประเทศอื่นๆ ในอนาคตอีกด้วย

PROMOTION

ปากต่อปาก คือการทำการตลาดที่ดีที่สุดของพุฒิพัฒน์

พุฒิพัฒน์อยากให้ลูกค้าซื้อเพราะสนใจตัวสินค้าจริงๆ แบรนด์จึงไม่ได้ทุ่มกับการทำการตลาดขนาดหนัก อาจจะมีการยิงแอดฯ จ้างอินฟลูฯ บ้าง แต่เครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังที่สุดคือการบอกต่อ

“ผมอยากให้กระเป๋ามันขายได้ด้วยตัวมันเอง Daddy Finger จึงไม่เคยลดราคา ไม่เคยแถม เพราะเราไม่อยากให้ภาพลักษณ์ของเราถูกจดจำว่าเป็นสินค้าลดราคา แต่อยากให้ลูกค้าซื้อเพราะคุณภาพของสินค้าและบริการ”

พุฒิพัฒน์บอกว่า การตลาดแบบนี้เชื่อมโยงไปสู่ P ตัวที่ 5 ของ Daddy Finger ซึ่งก็คือคำว่า 

PERCEPTION

“เราอยากให้ทุกคนรับรู้ว่าแบรนด์ Daddy Finger คือแบรนด์ที่ขายอะไร ความเชี่ยวชาญของเราคือด้านไหน ถ้าคุณอยากได้กระเป๋าครอบครัวและเด็ก คุณจะนึกถึง Daddy Finger” พุฒิพัฒน์อธิบาย 

เพราะอย่างนั้น โพสต์โปรโมตในช่องทางต่างๆ ของ Daddy Finger จึงไม่มีโพสต์ flash sale หรือการทำโปรโมชั่นหวือหวา ยิ่งไปกว่านั้นคือจะไม่มีภาพนายแบบหรือนางแบบแอกต์สวยๆ เท่ๆ แต่เป็นรูปครอบครัวทั้งหมด จำพวกเด็กวิ่งเล่นหรือทำกิจกรรมกับคุณพ่อคุณแม่หรือคุณปู่คุณย่าอย่างมีความสุข ใช้กระเป๋าของ Daddy Finger ได้ในทุกสถานการณ์ นั่นคือภาพลักษณ์ที่พุฒิพัฒน์อยากให้ลูกค้าจดจำ

นอกจากเรื่องความเฟรนด์ลี่ของกระเป๋า คุณพ่อเจ้าของแบรนด์ก็อยากให้คนจดจำแบรนด์ในฐานะแบรนด์ที่เฟรนด์ลี่เรื่องการบริการเช่นกัน เขาบอกว่า หากลูกค้าซื้อกระเป๋าไปแล้วกระเป๋ามีปัญหา ส่งมาให้ซ่อม ทางแบรนด์จะส่งกระเป๋าใบใหม่ไปให้ใช้ก่อน เพราะกลัวลูกค้าจะไม่มีกระเป๋าใช้ 

“ให้ย้ายของจากใบเก่าไปใส่ใบใหม่ก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวค่อยส่งใบเก่าคืนมาให้เราซ่อม และถ้าเราซ่อมไม่ได้ เราก็จะบอกลูกค้าตรงๆ เพราะฉะนั้นเอาใบใหม่ไปได้เลย” พุฒิพัฒน์ยิ้ม

“ถ้าคุณไม่แน่ใจในเรื่องภาพลักษณ์ ลูกค้าก็จะไม่มั่นคงในการรับรู้ ความจริงแล้ว ในการทำแบรนด์ ผมให้ความสำคัญของ P ตัวนี้เป็นตัวแรกด้วยซ้ำ อยากให้ลูกค้ารู้ว่าเราเป็นยังไงก่อนจะไปสู่เรื่อง Product, Price, Place และ Promotion อีก”

Writer

นักอยากเขียนผู้รักทะเลและฤดูหนาวพอๆ กับหนังสุขซึ้ง สนใจประเด็น gender และเรื่องป๊อปทุกแขนง

Photographer

ทำงานให้งานมันท้อเรา ig : chinnakanc

You Might Also Like