ประเทศไทยเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวของนักเดินทางทั่วโลกจำนวนไม่น้อย ยิ่งไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม รวมถึงขึ้นชื่อในหมู่ชาวต่างชาติเรื่องความเปิดกว้างกับคนที่มีความหลากหลายทางเพศ อย่างก่อนหน้านี้ที่มีงาน Bangkok Pride หรือ Love Pride Parade 2024 ที่ถือเป็นขบวนพาเหรดที่ยาวที่สุดในเอเชีย ก็อาจช่วยให้ไทยกลายเป็น world pride destination ได้
อย่างรุ่นที่เป็นลายจุดบนชุดสีชมพู เราปล่อยในช่วงวาเลนไทน์ด้วย คอลเลกชั่นนี้ก็ตั้งใจเล่าว่าเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่แอบรักผู้ชายข้างห้องแล้วก็เขียนจดหมายให้เขา ภาพที่ออกมาก็จะเป็นผู้หญิงนอนเล่นบนเตียงแล้วมีจดหมายที่ดูวินเทจคงธีมของ Ronnie
ในยุคที่ผู้คนให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตที่ครบลูปและไร้รอยต่อ การพัฒนาโครงการ mixed-use กลายเป็นโมเดลที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ ที่มากกว่าการเป็นเพียงพื้นที่ช้อปปิ้ง แต่คือ Centre of Life ที่เชื่อมโยงทุกฟังก์ชั่นการใช้ชีวิตไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
การพัฒนา Central Park คือหนึ่งในหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเมืองของ Central Pattana ที่มองไปไกลกว่าการสร้างพื้นที่รีเทล แต่คือการสร้างแลนด์มาร์กใหม่ใจกลางกรุง ด้วยการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสระดับโลกในชื่อ Dusit Central Park ภายใต้คอนเซปต์ ‘Here for Bangkok’ โดยตั้งเป้าให้เป็น One-of-a-Kind Landmark ที่หาไม่ได้ในกรุงเทพฯ ที่กำหนดเปิดสิงหาคม 2568 นี้
โครงการ ‘Central Park Retail’ จะเป็น new retail phenomenon ที่แบรนด์ระดับโลกเตรียมเปิดกว่า 150 แบรนด์ ซึ่งตอนนี้พื้นที่ถูกจับจองเกือบเต็มหมดแล้ว โดยเป็นแบรนด์ที่เปิดตัวครั้งแรกในไทยถึง 9 แบรนด์ และคอนเซปต์ใหม่ถึง 75 แบรนด์ นำโดยแบรนด์แฟชั่นของ Inditex group ขยายทุกแบรนด์ในเครือในรอบ 15 ปี มี high-street & bridge-line brands, prestige cosmetic brands และ sport destination นอกจากนี้อาณาจักรร้านอาหาร แบรนด์ไทย Iberry Group เปิดครบถึง 7 แบรนด์เป็นครั้งแรก และ Michelin Street Food มากมาย
ความโดดเด่นของ Central Park คือการตั้งอยู่บนทำเลหัวมุม 2 ถนนใหญ่ในย่านสีลม ซึ่งเป็นย่านเศรษฐกิจสำคัญของกรุงเทพฯ พร้อมทั้งมีจุดตัดของรถไฟฟ้าสองสาย ที่เชื่อมโยงการเดินทาง และยังติดกับสวนลุมพินี ซึ่งเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ถือเป็นทำเลทองที่ตอบโจทย์ทั้งไลฟ์สไตล์และการทำธุรกิจ
โครงการยังผสานความลงตัวของพื้นที่มิกซ์ยูส ด้วยการเชื่อมโยงระหว่าง รีเทล โรงแรมดุสิตธานี Dusit Residences และ Central Park Offices ซึ่งเป็นหนึ่งในอาคารสำนักงานที่ทันสมัยที่สุดในกรุงเทพฯ
ดังนั้นการพัฒนา The Central ไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มพื้นที่รีเทล แต่คือการยกระดับย่านพหลโยธินให้กลายเป็น New CBD ของกรุงเทพฯ ตอนบน บนพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 49 ไร่ โดยตั้งเป้าให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ที่ดึงดูดนักช้อปคุณภาพ และ global brand จากทั่วโลกเหมือนที่ ‘เซ็นทรัลเวิลด์’
3. ยกระดับย่านนนทบุรีให้เป็น The New District of North Bangkok กับ Central Northville
ครั้งหนึ่ง Central Pattana เคยพัฒนาย่านรอบกรุงเทพฯ จนแต่ละย่านได้รับการขนานนามตามชื่อศูนย์การค้าที่เซ็นทรัลพัฒนาได้สร้าง ไม่ว่าจะเป็นย่านอีสต์วิลล์ ย่านเวสต์เกต และย่านเวสต์วิลล์ และปรากฏการณ์นั้นจะเกิดขึ้นอีกครั้งกับ Central Northville ซึ่งอยู่บนพื้นที่เซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์เดิม
Central Northville คือการยกระดับย่านนนทบุรีให้เป็น The New District of North Bangkok โดยเซ็นทรัลพัฒนาเล็งเห็นถึงโอกาสในการลดความหนาแน่นในกรุงเทพฯ ชั้นใน ด้วยการสร้างศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งใหม่ ช่วยกระจายความคึกคักและสร้างความมีชีวิตชีวาไปยังย่านชานเมืองอย่างนนทบุรี รองรับการขยายของแบรนด์ดังและแบรนด์ระดับโลก พร้อมด้วยการผนึกกำลังของหลากหลายธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัล ตอบโจทย์ความต้องการของย่านในทุกมิติด้วย Family & Edutainment, Food, Sport & Wellness Destinations
ทำเลศักยภาพของ Central Northville บนพื้นที่ 59 ไร่ ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เดินทางสะดวก ติดถนนใหญ่ ใกล้รถไฟฟ้าและทางด่วน การออกแบบด้วยคอนเซปต์ Biophilic Design ที่นำธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาคาร สร้างบรรยากาศแบบ outdoor-in-indoor ที่จะทำให้รู้สึกเดินช้อปปิ้งในสวนเลย พร้อมทั้งมี socialized, multi-generation & community space และพื้นที่ pet-friendly คาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วง Q2 ปี 2569
ไม่ว่าจะเป็น Central Pinklao ที่ตั้งใจเป็น ‘New Soul of the District’ ยกระดับให้เป็นศูนย์กลางย่านธนบุรี รองรับการเติบโตของประชากรและกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นการพลิกโฉมครั้งนี้จะปรับตามกลุ่มลูกค้า เพื่อทำให้สามารถเข้าถึงประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ทันสมัยและพรีเมียมมากขึ้น
Central Chaengwattana ในคอนเซปต์ The Life Extraordinaire เพื่อพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางออฟฟิศและที่อยู่อาศัย รองรับครอบครัวที่มีกำลังซื้อสูงและชุมชน expat จึงต่อยอดจุดแข็งด้วย Family & Edutainment ขนาดใหญ่กว่า 3,200 ตร.ม. นำโดย Harbor Land คอนเซปต์ใหม่ที่สุด, Bounce, Joyliday, Little Campus และ SF Cinema โฉมใหม่
Central Bangna–Discover Life Well Lived ซึ่งเป็น ‘Always the Place’ ของคนในย่าน มีความเติบโตชัดเจนเป็น ‘High Quality Catchment Area’ แวดล้อมด้วยโครงการ Luxury Residence และโรงเรียนนานาชาติระดับ top-tier ประชากรมีรายได้สูงกว่า Bangkok CBD บางย่าน จากศักยภาพจึงได้ทรานส์ฟอร์มสู่ new masterplanning ขยายเป็นโครงการมิกซ์ยูสยิ่งใหญ่ของย่านบนพื้นที่ 55 ไร่ เติมเต็ม Accessible Luxury Brands และมี Upper Lifestyle Brands, Brand Anchors
พัฒนา ‘Centre of Life’ ทั่วประเทศ เพราะ ‘ประเทศไทยไม่ใช่กรุงเทพฯ’
แรงบันดาลใจในการออกแบบอาคารนี้มาจากหน้าตาของอาคาร Tower of the Sun แลนด์มาร์กสุดไอคอนิก ผลงานของศิลปินชื่อดัง ทาโร่ โอคาโมโตะ (Taro Okamoto) จากงานเอ็กซ์โปปี 1970 ซึ่งจัดที่โอซาก้าเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ทรงของหลังคาที่เหมือนจานดาวเทียม (parabolic antenna) ยังตั้งใจสื่อถึงการเก็บรวบรวมข้อมูลของญี่ปุ่นจากโลกภายนอกและการสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศ
Tower of the Sun ไม่ได้มีอิทธิพลแค่กับดีไซน์ภายนอก แต่ยังช่วยตกตะกอนความคิดที่มีต่อความสัมพันธ์ของเทคโนโลยีกับมนุษย์ก็ว่าได้ สมัยโตโยเพิ่งเริ่มต้นเส้นทางในอาชีพนี้ เขาเคยมีส่วนร่วมในการออกแบบอาคารในงานเอ็กซ์โป 1970 แต่ลาออกกลางคัน ด้วยความผิดหวังหลายๆ อย่าง เลยทำให้เขาไม่ได้กลับไปที่งานนั้นอีก
แม้ในสมัยนั้นมีอาคารเท่ๆ ที่ออกแบบโดยสถาปนิกดังมากมาย เช่น Kenzo Tange แต่ผลสำรวจกลับบอกว่าผู้ร่วมงานกว่า 60 ล้านคน ส่วนมากเดินทางไปเพื่อดู Tower of the Sun ส่วนอาคารอื่นๆ กลับไม่ได้รับความสนใจขนาดนั้น
สำหรับงานครั้งนี้รัฐบาลญี่ปุ่นคาดการณ์ว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจทั่วประเทศประมาณ 2.9 ล้านล้านเยน และการบริโภคภายในประเทศอาจเพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านล้านเยน โดยประมาณ 30% มาจากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดย Shining Hat ไม่เพียงแต่เป็นไอคอนหลักของงานครั้งนี้ แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดผู้เข้าชมและมีบทบาทสำคัญในแง่มุมเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของประเทศ เหมือนที่ครั้งหนึ่ง Tower of the Sun ได้สร้างเอาไว้
โตโยให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์โยมิอุริไว้อีกว่า เขาหวังว่า Shining Hat จะเป็นพื้นที่ให้ประเทศต่างๆ ได้จัดกิจกรรม และ ‘เพาะบ่มวัฒนธรรม’ ร่วมกัน
ปัจจุบัน Minecraft ยังคงเติบโตต่อเนื่องด้วยจำนวนผู้เล่นนับล้านที่ยังคงเล่นเกมทุกเดือนและมีการอัพเดตที่น่าตื่นเต้นอยู่เสมอ ภายใต้การดำเนินงานของ Microsoft ตัวเกมดูเหมือนจะเต็มไปด้วยโปรเจกต์ที่ทะเยอทะยาน ท้าทายความคิดผู้เล่นให้ ‘ใหญ่’ ขึ้น มีการสร้างแฟรนไชส์ซึ่งรวมถึงเกมภาคแยกหลายเกม เช่น Minecraft: Story Mode, Minecraft Earth, Minecraft Dungeons รวมถึงภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่นที่ดัดแปลงมาจากเกม Minecraft
แน่นอนว่าอนาคตที่ดูสดใสและเต็มไปด้วยสีสันนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีมาร์คุสและ Microsoft ซึ่งแม้จะเป็นคนละบริษัท ต่างความคิด ต่างความทะเยอทะยาน แต่ทั้งสองคือส่วนผสมที่ทำให้ Minecraft กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกทุกวันนี้
จากดินที่มาร์คุสเริ่มขุดขึ้นมาด้วยวิสัยทัศน์อันเป็นพื้นฐานของเกมถูกเติมเต็มด้วย Microsoft ที่พยายามรักษาจิตวิญญาณของเกมไว้ ขณะที่ก็คิดการใหญ่ในการขยายเกมให้เติบโตรองรับผู้เล่นทั่วโลก