เปิดตำรา 4P+1 ของ Gala Camille แบรนด์ลิปแท่งเทาตัวดัง ที่ขายหมด 200,000 แท่ง ใน 15 วัน

“ผู้หญิงจะมีลิปกี่แท่งก็ได้ แต่ถ้ามีลิปวางเรียงอยู่ 10 แท่ง แล้วให้เลือกหยิบเพียง 1 แท่ง เป็นคุณจะเลือกหยิบแท่งไหน ก็ต้องหยิบแท่งที่แตกต่างจากแท่งอื่นไปเลยใช่ไหมคะ” หญิงสาวเจ้าของแบรนด์ดังที่เป็นไวรัลใน TikTok ตั้งคำถามนี้กับเราหลังจากให้ดูลิปสติกทุกคอลเลกชั่นของ Gala Camille

และคำตอบของเราคือ “ใช่” ในฐานะผู้หญิงก็มองว่าลิปสติกเป็นสิ่งที่เปลี่ยนง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้แบรนด์เดิมหรือสีเดิมตลอดไป ยิ่งมีสิ่งที่น่าสนใจและยังไม่เคยใช้มาวางอยู่ตรงหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะหยิบลิปแท่งที่แปลกตามาลองเทสต์ดูก่อนตัดสินใจซื้อ

ต้องยอมรับว่าท่ามกลางแบรนด์ลิปสติกมากมายที่มีอยู่ในท้องตลาด ลิปของ Gala Camille แตกต่างด้วยสีสันของแพ็กเกจจิ้ง และลูกเล่นในแต่ละคอลเลกชั่นที่ ‘หาทำ’ กิมมิกน่ารักๆ ให้คนใช้งานรู้สึกสนุกไปด้วย 

ตั้งแต่ลิปแท่งเขียวที่ต้องกดเปิดเหมือนกดปากกา 2-3 ครั้งก่อนใช้งาน จนสร้างตำนานขายหมด 50,000 แท่ง ภายใน 7 วัน มาถึงลิปแท่งเทาที่ต้องหมุนเปิดเหมือนไขลาน ก่อนจะมีเนื้อลิปออกมาที่หัวแปลงซิลิโคน ซึ่งขายหมด 200,000 แท่ง ภายใน 15 วัน

ด้วยยอดขายที่ปังไม่หยุดฉุดไม่อยู่ ทั้งที่เป็นแบรนด์น้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปช่วงต้นปี 2023 และตอนนี้แบรนด์มีอายุเพียง 1 ขวบเท่านั้น คอลัมน์ 5P ในตอนนี้จะพาทุกคนไปเปิด 4P ในการทำธุรกิจเครื่องสำอาง และอีก 1 เคล็ดลับสำคัญที่ทำให้ แนน–นฤมล ประเสริฐสุข CEO ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Gala Camille แต่งแต้มสีสันบนธุรกิจของตัวเองให้ ‘แตกต่าง’ และ ‘เป็นที่ต้องการ’ ของตลาดได้มากขนาดนี้

Product

แม้ตลาดเครื่องสำอางจะเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูงมาก แต่แนนเล่าว่าถ้าดูดีๆ จะเห็นว่าสินค้าส่วนมากออกแนวเกาหลี ใช้โทนสีและแพ็กเกจจิ้งน่ารักๆ ตามความชอบของคนไทยทุกวันนี้ เธอที่ชอบการแต่งหน้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ได้เห็นช่องว่างทางการตลาดที่จะทำให้แบรนด์ของตัวเองแตกต่าง แต่ตกสาวๆ เข้าด้อม Gala Camille ได้

“เราศึกษาว่าตอนนี้เทรนด์เครื่องสำอางและการแต่งหน้าในไทยเป็นยังไง แต่เราไม่ได้ดูเพื่อที่จะทำสินค้าตอบโจทย์เทรนด์ที่มีตอนนี้ กลับกัน เราเลือกทำสินค้าให้โดดเด่นและแตกต่างจากที่มีในไทย โดยดูเทรนด์จากต่างประเทศ เพราะถ้าสังเกตเทรนด์ที่เข้าไทยส่วนมาก ก็มาจากเทรนด์ที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศก่อนทั้งนั้น”

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ Gala Camille ไม่ใช่แค่แบรนด์เครื่องสำอาง แต่มองตัวเองเป็น ‘I’m the trend.’ ที่จะทำสินค้าออกมานำเทรนด์เครื่องสำอางและพลิกการแต่งหน้าในไทยให้สนุก มีสีสัน และตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย 

“เราเลือกทำตามเทรนด์สายฝอ ตั้งแต่แพ็กเกจจิ้ง เราเลือกแม่สีฉูดฉาด เห็นแล้วสะดุดตา เช่น สีน้ำเงิน สีเขียว ส่วนสีลิป เราเลือกเฉดที่ใช้ได้กับทุกสีผิว และได้สัมผัสที่ฉ่ำ ไม่ทำให้ปากแห้ง พอลองถูออกดูแล้วเห็นถึงความติดทน ก็ทำให้คนสนใจสินค้าของเรา”

สินค้าตัวแรกๆ ที่เลือกออกเป็นลิปสติก เธอให้เหตุผลว่าในบรรดาเครื่องสำอางทั้งหมดที่ใช้บนหน้าแบ่งเป็นพวกงานผิว เช่น รองพื้น แป้ง และพวกคัลเลอร์ เช่น บลัชออน ลิป ลิปนี่แหละเป็นสิ่งที่คนเปลี่ยนบ่อยที่สุด และตัดสินใจซื้อง่ายที่สุด ถ้าสามารถแจ้งเกิดจากลิปได้ ก็มีโอกาสที่ลูกค้าจะเชื่อมั่นในแบรนด์และซื้อสินค้าประเภทอื่นของแบรนด์ต่อไป

“คนรู้จักเราจาก ‘Melty Creme Balm’ หรือลิปบาล์มแบบกดแท่งเขียว ที่หลายคนชอบเรียกว่าลิปปากกา เพราะมีวิธีใช้เหมือนการกดปากกา ในต่างประเทศมีเทรนด์นี้มาสักพักแล้ว แต่ในไทยยังไม่มี พอเราเป็นเจ้าแรกที่ทำ ก็เป็นเหมือนผู้มาก่อนกาล ที่สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้ใช้ จนขายหมด 50,000 แท่ง ภายใน 7 วัน”

จากลิปแท่งเขียวที่เป็นกระแสทำให้แนนรู้เลยว่า สิ่งที่ยากและท้าทายในตลาดเครื่องสำอางคือเทรนด์การแต่งหน้านั้นมาไว ไปไว แบรนด์ต้องวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคให้ได้ เพื่อ ‘จับจุดให้ถูก และเปลี่ยนให้เป็น’

“สินค้าที่ทำให้รู้สึกว่าเราจับจุดถูกคือลิปแท่งเขียว พอเป็นที่นิยมขึ้นมา คนก็เรียกร้องให้มีสีใหม่ๆ เพิ่มขึ้น จากตอนแรกที่ลิปรุ่นนี้มี 5 สี ปัจจุบันก็เพิ่มมาถึง 12 เฉดสี และเราก็รู้จักเปลี่ยนให้เป็น จากการเก็บฟีดแบ็กว่าลูกค้าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เก็บทุกจุดบกพร่อง เพื่อนำมาพัฒนาสู่สินค้าตัวใหม่อย่าง ‘Spinning Lubric Lip’ หรือลิปแท่งเทา ที่มีความฉ่ำ ชุ่มชื้น และติดทนกว่ารุ่นก่อนๆ

“พร้อมลูกเล่นใหม่คือต้องหมุนแท่งลิปเหมือนเราไขลาน แล้วถึงจะมีเนื้อลิปออกมาบนหัวแปรงซิลิโคน ทำให้ขายหมด 200,000 แท่ง ภายใน 15 วัน ประกอบกับจังหวะที่เราปล่อยลิปแท่งเทามา ตัวลิปแท่งเขียวก็ยังเป็นกระแส มันเลยทำให้เรายังอยู่ในกระแสตลอดเวลา”

Price & Promotion

“ตอนเป็นนักศึกษาแล้วเดินไปดูเคาน์เตอร์เครื่องสำอาง เรารู้สึกว่าราคาค่อนข้างสูง ตั้งแต่ตอนนั้นก็คิดว่าถ้าเรามีแบรนด์เครื่องสำอางเป็นของตัวเอง จะทำสินค้าคุณภาพดีในราคาที่เอื้อมถึงได้”

นั่นเป็นเหตุผลที่สินค้าส่วนใหญ่ของ Gala Camille มีราคาเพียงหลักร้อยต้นๆ และมีกลุ่มลูกค้าเด็กสุดที่หยิบสินค้ามาใช้คือวัย 15 ปี ครอบคลุมไปถึงนักเรียน นักศึกษา และคนวัยทำงาน

“เราอยากเจาะกลุ่มลูกค้าทุกเพศทุกวัยที่ชื่นชอบในเรื่องความสวยงาม ราคาก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้คนตัดสินใจซื้อ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดนะ เพราะราคาแพงไม่ได้แปลว่าคนจะไม่ซื้อ หรือราคาถูกก็ไม่ได้เป็นตัวการันตีว่าสินค้าชิ้นนี้จะขายได้ดี 

“สิ่งที่ทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าจริงๆ คือความพึงพอใจที่ลูกค้าจะได้รับ มันคุ้มค่ากับราคาที่เขาจ่ายไป”

แนนยังเผยอีกว่าลูกค้ามักจะซื้อลิปครั้งหนึ่งมากกว่า 1 แท่ง จึงจัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายให้ลูกค้าซื้อหลายแท่งมากยิ่งขึ้น เช่น ลดราคาเมื่อซื้อ 2 แท่ง แต่เธอก็เน้นย้ำว่าการจัดโปรโมชั่นมีทั้งมุมที่ดี คือโปรโมชั่นจะชูยอดขายให้เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง ขณะเดียวกันก็มีมุมที่ต้องระวัง คือไม่ควรจัดโปรโมชั่นบ่อยเกินไป เพราะลูกค้าอาจรอซื้อเฉพาะช่วงลดราคาเท่านั้น

ด้วยความที่เธอคิดสินค้าให้มีลูกเล่นมาตั้งแต่ต้น ทำให้ Gala Camille หันไปให้ความสำคัญกับการสร้างสีสันทางการตลาดและจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในรูปแบบอื่นมากกว่าการจัดโปรโมชั่น

“เราใช้อินฟลูเอนเซอร์โดยต้องเลือกคาแร็กเตอร์ให้เข้ากับแบรนด์ และบรีฟคอนเทนต์ให้ชัดเจน ว่าสินค้าตัวไหนจะเล่นกับกิมมิกอะไรบ้าง เพื่อสร้างภาพจำให้ลูกค้า จนลูกค้าบางคนมาทำคอนเทนต์รีวิวให้เราเพราะชอบจริงๆ เลยก็มี

 “และที่เป็นไวรัลใน TikTok ส่วนหนึ่งมาจากคอนเทนต์ในช่องของ Gala เราไม่ได้ขายของแบบตะโกน แต่ทำคอนเทนต์เอาเรื่องสำอางมา DIY ร่วมกัน เช่น ลิปผสมกับอายแชโดว์ ทำให้คนหยุดดูและคลิปก็จะขึ้นหน้าฟีดเรื่อยๆ”

@gala.camille

ปาดบึ้ง จึ้งจบสวย บลัชกาล่า 04-06 สวยฉ่ำ ผิวโกลวมากก✨ #รีวิวบิวตี้ #เรื่องผิว #บลัชออน

♬ ลูกคุณหนู GALCHANIE VERSE – GALCHANIE (แกลชานี่)
=

นอกจากนั้น แนนยังหมั่นไปเจอลูกค้าจริงๆ เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดี ครั้งหนึ่ง Gala ไปจัดกิจกรรมที่อีฟแอนด์บอย สาขาฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต เพื่อเปิดตัวลิปแท่งเทา เธอยกสตูดิโอที่นางแบบถ่ายรูปโปรโมตสินค้าจริงๆ ไปตั้งให้คนถ่ายรูป เปิดบูทให้คนสลักชื่อลงลิป และจัดนิทรรศการ Gala 

“กิจกรรมพวกนี้มีความเป็นศิลปะซ่อนอยู่ทั้งนั้น เพราะเรามองว่าการแต่งหน้าก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่คนเข้าถึงได้ง่าย สามารถครีเอตสไตล์การแต่งหน้าที่ใช่และเป็นตัวของตัวเองได้”

Place

ถึงแม้ Gala Camille จะเป็นแบรนด์ที่แจ้งเกิดจากออนไลน์ แต่หลังจากเปิดตัวแบรนด์เพียง 2 เดือนก็บุกตลาดออฟไลน์ จนตอนนี้มีวางขายในร้านเครื่องสำอางอย่างอีฟแอนด์บอยทุกสาขาทั่วประเทศ

“ตลาดออนไลน์และออฟไลน์ควรทำควบคู่กันไป เพราะเราไม่ได้อยากทำสินค้าที่เป็นกระแสแล้วหายไป แต่อยากสร้างความมั่นคงให้กับแบรนด์ การทำตลาดออนไลน์ให้แข็งแรงก็ส่งผลไปสู่การซื้อในตลาดออฟไลน์ โดยเฉพาะสินค้าเราที่เป็นเครื่องสำอาง ยังไงคนก็อยากไปจับ ไปลองเทสต์สีที่หน้าร้านอยู่ดี”

แต่ไม่ใช่ว่าร้านไหนโด่งดัง มีสาขาเยอะแล้วจะไปวางขายได้เลย แนนเน้นย้ำให้เลือกร้านที่มีกลุ่มลูกค้าและพฤติกรรมการซื้อสอดคล้องกับสินค้าของตัวเอง อย่างคนเข้าร้านสะดวกซื้อทั่วไปจะเน้นซื้อของใช้มากกว่าเครื่องสำอาง แต่ถ้าคนเข้าร้านที่เน้นขายสินค้าสุขภาพและความงามอย่างวัตสัน ก็มีโอกาสที่จะซื้อเครื่องสำอางมากกว่า เป้าหมายต่อไปของ Gala จึงเป็นการขยายสาขาสู่วัตสันทั่วประเทศ

Personality

P ตัวสุดท้ายของ Gala Camille คือ personality หรือบุคลิกของแบรนด์

“personality ของ Gala ค่อนข้างชัดมากๆ ทั้งมู้ด CI หรือสิ่งที่เราสื่อสารออกมา เราพยายามสื่อว่า Gala ไม่ได้เป็นแบรนด์ที่ขายแค่เมคอัพอย่างเดียว แต่ตัวตนของ Gala มีความเป็นศิลปะผสมผสานอยู่ด้วย

“personality ของสินค้า Gala คือการทำสินค้าไม่เหมือนใคร ถ้าเหมือนเราไม่ทำ ถ้าต่างเราถึงจะทำ ทุกครั้งที่ทำสินค้าจะคิดเสมอเลยว่าทำไมต้องทำ ทำแล้วทำไมคนถึงต้องใช้ของเรา แล้วของเราต่างยังไง เราไม่กลัวว่าความต่างนี้จะทำให้คนไม่ใช้สินค้าของเรา เพราะมันเป็นความต่างที่อยู่บนพื้นฐานของการใช้งานได้จริง และทำให้คนสนุกไปกับการใช้สินค้า

“รวมไปถึง personality ของเราและทีมงาน ที่ทุกคนเป็นตัวของตัวเองและสนุกไปกับการทำงาน อย่างสินค้าแต่ละตัวที่ออกมาก็เป็นสิ่งที่เราชอบและคิดว่าดีที่สุด พอส่งต่อให้ทีมออกแบบ ทีมการตลาด ทีมครีเอทีฟและโปรดักชั่น แต่ละคน แต่ละฝ่ายก็จะเห็นสิ่งที่อยากทำแล้วปล่อยไอเดียกันอย่างเต็มที่

“ทุกคนทำงานเป็นทีมเดียวกัน มีเป้าหมายเดียวกัน และส่งผลให้เราไปถึงเป้าหมายได้ไวขึ้น การทำแบรนด์ในทุกวันนี้ไม่สามารถทำคนเดียวได้ มันเหมือนเราเอาจิ๊กซอว์ที่เป็นด้านดีของแต่ละทีม แต่ละคนเข้ามาประกอบกันเป็นภาพความสำเร็จของ Gala Camille ในทุกวันนี้”

นามบัตร 11 ใบของ ดร.สันติธาร เสถียรไทย กับชีวิตการทำงานที่เต็มไปด้วย Twists and Turns

“ที่ผ่านมาชีวิตการทำงานมี Twists and Turns ทุกตอนเลยแล้วแต่ช่วงชีวิต” 

หากบอกว่า ดร.สันติธาร เสถียรไทย เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่เรียนจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้เข้าร่วม World Economic Forum และพบปะผู้นำระดับโลก เคยดำรงตำแหน่งทั้งผู้บริหารระดับสูงของธนาคารเครดิตสวิส (Credit Suisse) ที่ดูแลเศรษฐกิจทั้งอาเซียนและผู้บริหารระดับสูงของบริษัทยูนิคอร์นอย่าง Sea มีบทบาทเป็นผู้ร่างกฎหมายด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและนโยบายเศรษฐกิจการเงินของประเทศ เป็นกรรมการที่ปรึกษาให้ธุรกิจที่สร้างอิมแพกต์เพื่อสังคมมากมาย แถมยังเป็นผู้เขียนหนังสือขายดี ‘Twists and Turns คิดเปลี่ยนในโลกหักมุม’

ทั้งหมดนี้คุณอาจคิดว่าเป็นความสำเร็จตามแบบฉบับคนหัวกะทิที่ได้มาด้วยพรสวรรค์ แต่ตำแหน่งในหลายบทบาทเหล่านี้ของ ดร.สันติธารจะไม่เกิดขึ้นถ้าไม่ทุ่มสุดพลังเพื่อให้เกิด Twists and Turns ในการย้ายงานเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายของชีวิตในแต่ละช่วง 

หากพลิกเบื้องหลังนามบัตรแต่ละใบและเล่าเรื่องราวทั้งหมดใหม่อีกครั้งให้ละเอียดขึ้น ก่อนจะมีประวัติการทำงานยาวเหยียดเป็นนามบัตรถึง 11 ใบ เขาคือคนที่เชื่อใน The Eleventh Hour หรือการไม่ยอมแพ้จนถึงวินาทีสุดท้าย

เขาคือคนเดียวกันกับที่บอกว่าสมัยเรียนเกลียดวิชาการเงินที่สุดและเรียนไม่รู้เรื่องถึงขั้นรู้สึกว่าเข็นไม่ขึ้น

สมัครเรียนปริญญาเอกไม่ผ่านหลายครั้งและเมื่อนำเสนอวิทยานิพนธ์ชิ้นสำคัญกับศาสตรจารย์รางวัลโนเบลในครั้งแรกก็ได้ฟีดแบ็กว่างานนี้ไม่ได้ไปต่อ 

ถูกปฏิเสธในการสมัครงานนับไม่ถ้วนตอนย้ายสายงานจากภาคนโยบายไปภาคการเงิน

ทุ่มเททำงานเต็มที่เพื่อเอาตัวรอดจากวัฒนธรรมองค์กรแบบ Squid Game ที่คัดคนออกต่อเนื่อง

หลายครั้งที่สมัครงานใหม่ในบริษัทใหม่ก็ไม่มีการตอบรับกลับมาในตอนแรก จนกระทั่งลองเขียนอีเมลขอบคุณหรือทักกลับไปในวินาทีสุดท้ายถึงได้พบว่าความจริงองค์กรเหล่านั้นก็อยากต้อนรับมาทำงานด้วยอยู่แล้วแต่ขาดการประสานงานไป และยังเคยผ่านช่วงที่รู้สึกไม่ค่อยมีความสุขกับความสำเร็จและสับสนกับเป้าหมายในชีวิตที่เปลี่ยนไป   

ทุกวันนี้ ดร.สันติธารใช้ประสบการณ์ทำงานทั้งหมดที่มีในการ connect the dots เพื่อออกแบบการทำงานรูปแบบใหม่ที่ได้สวมหลายหมวกทั้งบทบาทด้านนโยบาย การศึกษา สังคม เอกชน และธุรกิจ โดยทุกความสำเร็จที่ผ่านมาล้วนเป็นจุดต่อจุดร้อยเรียงกันที่ทำให้เขาเข้าใจอินไซต์ขององค์กรจากหลายภาคส่วน  

“บางครั้งก็เหมือนที่สตีฟ จอบส์ บอกไว้ว่า ‘You can’t connect the dots looking forward คุณไม่รู้หรอกว่าจุดบางจุดมันโยนมาให้เราเพื่อสานต่อบางอย่างได้ในอนาคต”

Economist Ministry of Finance of Thailand

ถ้าต้องนิยาม chapter แรกของชีวิตคงเรียกรวมๆ ได้ว่าเป็นนักวิจัยสายวิชาการและนักเรียน หลังเรียนจบปริญญาโทใบแรกด้านเศรษฐศาสตร์ที่อังกฤษก็เริ่มงานแรกที่กระทรวงการคลัง มีหน้าที่ช่วยคิดวิเคราะห์ วิจัยนโยบายเศรษฐกิจและทำงานควบเป็นอาจารย์สอนวิชาเศรษฐศาสตร์มหภาคที่คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ตอนนั้นประเทศไทยอยู่ในช่วงเจรจาเปิดเขตการค้าเสรีกับอเมริกา งานสำคัญที่กระทรวงการคลังจึงเป็นการเจรจาครั้งใหญ่เพื่อเปิดภาคการเงินไทยให้ธนาคารต่างประเทศเข้ามาได้

“ความจริงสมัยเรียนผมเกลียดวิชาการเงินมาก ตอนเรียนคือเข็นไม่ขึ้นจนรู้สึกว่าวิชานี้ขอไม่เรียนอีกแล้ว เรียนไม่รู้เรื่อง แต่พอทำงานกลับรู้สึกสนุกกว่าที่คิดและเข้าใจขึ้นเยอะจากการศึกษาเอง จนวิชาการเงินกลายเป็นจุดแข็งของเราตอนกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในเวลาต่อมา

“หลังจากทำงานอยู่ราว 2 ปีกว่าก็ไปเรียนปริญญาโทที่ Harvard Kennedy School และสมัครเรียนต่อปริญญาเอกสาขานโยบายสาธารณะ (public policy analysis) สมัครอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้สักทีจึงคิดว่าวิธีที่ช่วยให้แข่งขันกับคนอื่นได้ในการสมัครเรียนคือการเป็นผู้ช่วยวิจัยของศาสตราจารย์โจเซฟ สติกลิตส์ (Joseph Stiglitz) อาจารย์ชื่อดังและนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ด้วยความที่เขาเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ดังมาก ต้องบินไปเจอรัฐบาลต่างๆ ทั่วโลก เขาเลยไม่มีเวลาให้เราเลย หลังจากให้งานเราไว้หนึ่งงานแบบกว้างๆ ในวันแรกแล้วก็ไม่เจอกันอีกเลย

“ผมมีเวลา 2 เดือนที่จะสร้างความประทับใจจากเขา พอทำงานที่เขาให้ผมทำเสร็จมันก็เหลือเวลา ตอนนั้นรู้สึกว่านี่คือโอกาสสุดท้ายในการสมัครเรียน เลยไปนั่งคิดว่าเขาน่าจะอยากได้อะไรมากกว่าที่เขาขอเราหรือเปล่าก็เลยทำงานในแฟ้มสีน้ำเงินอีกอันหนึ่งเก็บแยกไว้ต่างหาก 

“สามวันก่อนหมดเวลาทำงานกับเขา พอคุยงานเสร็จก็พบว่างานที่เขาสั่งให้ทำมันตัน เราก็ทำตามที่เขาบอกแหละแต่ว่ามันไม่ใช่คำตอบ เขาบอกว่าเสียดายแล้วก็อาจจะล้มเลิกงานนี้ไป โชคดีที่ก่อนเขาจะลุกไป เขาถามว่าคุณมีอะไรจะมานำเสนออีกไหม ผมก็เลยหยิบแฟ้มสีน้ำเงินออกมาและมันก็กลายเป็นจุดพลิกชีวิตเพราะว่ามันคือสิ่งที่เขาต้องการที่สุด 

“งานวิจัยชิ้นนั้นกลายเป็นโฮมรัน เพราะทำให้ได้ recommendation letter จากเขาจนเข้าปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ดได้และได้ทุนการศึกษา 2 ทุน ซึ่งพลิกชีวิตและพลิกความคิด กลายเป็นที่มาของคำที่ผมใช้จนทุกวันนี้ คือ ‘Luck is what happens when preparation meets opportunity.’ 

“เพราะผมเตรียมแฟ้มสีน้ำเงินนั่นอยู่ตลอด ไม่ล้มเลิกจนถึงวันที่โอกาสมาก็เลยทำให้เกิดความโชคดีครั้งนั้นแล้วก็กลายเป็นคติทุกครั้งว่าเวลาจะยอมแพ้อะไรหรือคิดว่าไม่มีทางแล้ว รออีกสักนิดหนึ่ง ในเสี้ยววินาทีสุดท้ายหรือที่เรียกว่า The Eleventh Hour มันอาจจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ถ้าเราไม่ยอมแพ้” 

Head of Emerging Asia Economics – Credit Suisse

“หลังจากเข้าใจภาคการเงินและนโยบายมาระดับหนึ่งแล้วก็อยากทำงานภาคเอกชนเพราะรู้สึกว่า ‘ไม่เข้าถ้ำเสือ ไม่ได้ลูกเสือ’ ถ้าไม่เคยทำงานในองค์กรภาคการเงินจะไม่เข้าใจมุมมองของคนในสายงานนี้อย่างแท้จริงทั้งมายด์เซตและวัฒนธรรมองค์กร

“ตอนนั้นเริ่มสังเกตเห็นเทรนด์โลกว่ากระแสเศรษฐกิจแถบอาเซียนกำลังมา คิดว่าถ้าทำงานที่ไทย อย่างเก่งเราจะได้ดูแค่ตลาดไทยอย่างเดียวซึ่งจะไม่ครอบคลุมทั้งเอเชียก็เลยเลือกทำงานที่สิงคโปร์ แต่การสมัครงานที่สิงคโปร์ก็ยากกว่าที่คิด สมัครแล้วถูกปฏิเสธกระจุยเพราะเปลี่ยนสายงานจากภาคนโยบายและวิชาการมาภาคธนาคาร 

“เราก็พยายามปิดจุดอ่อนของตัวเองด้วยการบอกว่าลงเรียนวิชาการเงินมาแล้วหลายตัวเลย แต่มาค้นพบทีหลังว่ามันเป็นความผิดพลาด ในการสมัครงานไม่ควรปกปิดจุดอ่อนแต่ควรจะไฮไลต์จุดแข็ง พอสัมภาษณ์แล้วถูกปฏิเสธไปเยอะก็พบว่าการ pitch ตัวเองว่าจบจาก Kennedy School และเข้าใจว่าภาครัฐคิดยังไง นโยบายรัฐจะขยับยังไง และมีผลกระทบกับภาคการเงินยังไงทำให้ได้เปรียบและแตกต่างจากคนอื่น กลายเป็นจุดพลิกที่ทำให้ได้งานที่ธนาคารเครดิตสวิส (Credit Suisse) ที่สิงคโปร์ 

“ต้องเล่าว่าภาคการเงินระหว่างประเทศใน regional หรือ global headquarters มีวัฒนธรรมองค์กรที่ผมเรียกว่า Squid Game หรือ ‘up or out’ ถ้าคนในทีมได้เลื่อนตำแหน่งขึ้น เพื่อนร่วมงานที่ทำงานด้วยกันมาก็ต้องออก ตอนนั้นเป็นยุคหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ของอเมริกาที่ภาคการเงินมีความไม่มั่นคงสูง ผมเข้าไปทำงานไม่นานก็มีข่าวออกมาว่าจะต้องมีการลดคนในทีมนี้ ซึ่งทีมผมตอนนั้นมีแค่ 4 คน แล้วผมเป็นคนสุดท้ายที่เพิ่งเข้าไป มันก็ชัดว่าคนใหม่สุดน่าจะต้องโดนออกก่อนหรือเปล่า (ขำ)

“สุดท้ายครั้งนั้นผมรอดซึ่งก็น่าเสียดายที่เพื่อนในทีมถูกออกแทน แล้วหลังจากนั้น wave การคัดคนออกก็จะเวียนกลับมาเรื่อยๆ ใบมีดนี้จะหายไปแป๊บหนึ่งแล้วสักพักจะวนกลับมาใหม่ หลายคนก็เลือกจัดการกับความโหดนี้ในวิธีต่างกัน บางคนก็ถอดใจทำงานแบบไม่เต็มที่ อีกแบบหนึ่งคือคนที่พยายามไต่เต้าไปหางานบริษัทอื่น ส่วนแบบที่สามซึ่งก็คือสิ่งที่ผมทำคือใช้มันเป็นโอกาส

“ปัจจุบันจะมีคำว่า quiet promotion คือการเลื่อนตำแหน่งขึ้นและเพิ่มงานแต่ได้เงินเท่าเดิมซึ่งคนส่วนใหญ่จะมองว่ามันแย่แต่ผมมองเป็นโอกาส ถ้างานเราเพิ่มขึ้นแล้วเป็นงานที่สำคัญกับองค์กร วันหนึ่งองค์กรจะต้องพึ่งเรา จากเดิมที่เป็น quiet promotion มันจะกลายเป็น promotion จริงแล้ว เพราะว่าแบงก์อื่นก็เริ่มอยากซื้อตัวเราทำให้แบงก์เราต้องอัพเงินเดือนให้ไม่งั้นเขาจะเสียเราให้คนอื่น แทนที่จะนั่งท้อใจก็เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสในการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางบวก 

“ผมเลยได้ขึ้นตำแหน่งค่อนข้างเร็วและมีตำแหน่งสุดท้ายเป็น Head of Emerging Asia Economics หน้าที่คือเป็นคนวิเคราะห์เศรษฐกิจทั้งอาเซียนและให้คำแนะนำนักลงทุนในทุกเศรษฐกิจที่ครอบคลุมประเทศในอาเซียนทั้งหมด รวมถึงอินเดีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และฮ่องกง

“ถ้าเปรียบเทียบกับการแพทย์ งานของเราคือการวินิจฉัยว่าเศรษฐกิจของประเทศนี้เป็นโรคอะไร แล้วแนะนำว่าโรคทางเศรษฐกิจแบบนี้ควรลงทุนด้านไหนดี อีกด้านหนึ่งคือเราต้องเดาใจคุณหมอของรัฐบาลหรือแบงก์ชาติของแต่ละประเทศว่าถ้าสถานการณ์เป็นอย่างนี้คุณหมอจะให้ยายังไง จะขึ้นหรือลดดอกเบี้ยกับภาษี จะปรับค่าเงินยังไง มันเป็นการเดาใจผู้บริหารซึ่งเราก็ต้องรู้จักคาแร็กเตอร์ของผู้บริหารด้วย”

Group Chief Economist and Managing Director – Sea

“พอผมเชี่ยวชาญเศรษฐกิจอาเซียน คนก็มักจะจำว่าถ้าอยากรู้เกี่ยวกับอาเซียนต้องมาคุยกับคนนี้ ก็เลยมีแบรนด์กลายเป็น ‘มิสเตอร์อาเซียน’ ที่ทำให้นักลงทุนและนักธุรกิจมักจะเรียกผมไปคุย หนึ่งในนั้นคือผู้ก่อตั้งบริษัท Sea ที่กำลังจะเข้าตลาดนิวยอร์กและต้องไปคุยกับนักลงทุนต่างประเทศกับกองทุนต่างๆ ซึ่งผมคุยกับคนเหล่านี้อยู่แล้วเป็นประจำ เขาก็อยากรู้ว่าเศรษฐกิจอาเซียนเป็นยังไง นักลงทุนมองอาเซียนยังไง อะไรเป็นจุดที่นักลงทุนมองหาและกังวล

“พอได้คุยกันผมรู้สึกว่าบริษัทนี้น่าสนใจดี มันมีทั้งเกมและอีคอมเมิร์ซอยู่ในบริษัทเดียวกัน ตอนนั้นบริษัทในอาเซียนที่เป็นยูนิคอร์นแทบจะไม่มีเลย ผมก็เลยพูดเล่นๆ ไปว่าสนใจจ้างนักเศรษฐศาสตร์ไหมครับ เขาก็บอกว่าไม่มีตำแหน่งนี้ แต่คุณอยากลองไปเขียนดูไหมว่าถ้าจะสร้างตำแหน่งนี้ขึ้นมาใหม่ มันควรจะหน้าตาเป็นยังไง พูดง่ายๆ คือเขียน job description ของตัวเองแล้วก็กลับมาคุยกัน ผมก็กลับไปศึกษาว่าเขาน่าจะอยากได้อะไร อะไรเป็นสิ่งที่ Sea มีและขาด แล้วก็เขียน proposal ประมาณ 5-6 หน้าเพื่อเสนอว่าเราจะเติมเต็มอะไรให้ได้บ้าง 

“ชื่อตำแหน่งคือ Group Chief Economist and Managing Director แต่ความจริงไม่ค่อยมีความเป็น economist เท่าไหร่ มันคืองานผู้บริหารที่มีโปรเจกต์อะไรก็ทำอันนั้น Sea เป็นบริษัทใหญ่ที่มีดีเอ็นเอความเป็นสตาร์ทอัพสูงมาก เหมือนทีมฟุตบอลที่ขาดคนตรงไหนคุณก็เล่นตำแหน่งนั้น 

“ผมมีไมล์สโตน 3 อย่างที่ทำที่นี่ หนึ่ง คือช่วยผลักดันธุรกิจธนาคาร Virtual Bank ในต่างประเทศเพราะตอนนั้น Sea มีทั้งเกมและอีคอมเมิร์ซแต่ธุรกิจการเงินยังมีไม่เยอะมาก สอง คือการสร้างโปรไฟล์ให้บริษัทด้วยการไปร่วมที่ World Economic Forum หรือการประชุมดาวอสเป็นการประชุมที่มีสุดยอดผู้นำทางเศรษฐกิจ ประธานาธิบดี รวมถึงนายกรัฐมนตรีประเทศต่างๆ ไป ด้วยความที่มีเวทีอื่นๆ ในงานมากมายเลยทำให้บริษัทได้โอกาสร่วมมือทำ joint project ด้วยกันด้วย 

“หน้าที่ผมคือเอาบทเรียนและข้อคิดจากประเทศที่เวิร์กมาทำในอีกประเทศหนึ่ง เช่น นโยบายนี้ที่อินโดนีเซียทำเวิร์กมากเลย ไทยอยากขอมาทำด้วย หรือถ้าอะไรที่ทำในไทยเวิร์กก็จะแนะนำว่าไปทำในประเทศอื่นได้ไหม ตอนนั้นพอกลับจากดาวอสแล้วรู้สึกว่านักลงทุนทุกคนให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมาก เลยกลับมาตั้งหน่วยที่ทำนโยบายด้านความยั่งยืนให้องค์กรเป็นไมล์สโตนอย่างที่สาม  

“สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกคือการให้ความสำคัญและวัดในสิ่งที่เมื่อก่อนองค์กรอาจจะวัดหรือไม่วัดบ้าง เช่น การปล่อยคาร์บอนเป็นยังไง มีผลกระทบทางสังคมยังไงบ้าง รวมไปถึงเรื่อง governance (ธรรมาภิบาล) และ diversity (ความหลากหลาย) ต่างๆ ที่ต้องทำรายงานประจำปีและพัฒนาว่าจะทำยังไงให้ดีขึ้นทุกปี

“ต้องบอกว่าคำว่า ‘สร้างโปรไฟล์’ หมายถึงการทำจริงและสร้างอิมแพกต์ต่อสังคมที่ตรงกับ purpose ขององค์กร พอองค์กรใหญ่ถึงระดับหนึ่งถ้าไม่พูด purpose ให้ชัดเจนคนอื่นจะใส่ให้เรา เช่น คนจะเข้าใจว่า Sea เป็นบริษัทเกมหรือบริษัทขายของดี ของถูก 

“แต่ความจริง purpose ของบริษัทคืออยากสร้างโอกาสให้คนตัวเล็กซึ่งคนตัวเล็กอาจเป็นเด็กชอบเล่นเกมที่ได้โอกาสเติบโตไปเป็นนักเล่นเกมมืออาชีพ, SME บน Shopee หรือคนที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนในภาคการเงิน เพราะฉะนั้นมันจะมีหลายโครงการที่ผมผลักดันในประเทศต่างๆ  ทั้งโครงการที่ช่วย SME ไทย ช่วยคนที่ไม่มีความรู้ดิจิทัลให้เข้าถึงดิจิทัลได้ ซึ่ง purpose ขององค์กรจะทำให้เข้าใจธีมที่เชื่อมโยงกันในธุรกิจที่หลากหลายเหล่านี้

“โดยรวมการทำงานที่ Sea เต็มไปด้วย Twists and Turns ทั้งหมดเลย เข้าใจถึงกระดูกดำเรื่อง agile มันเป็นงานบริหารองค์กรที่ต้องปรับตัวให้เร็วเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ตอบโจทย์โลก สมมติตอนนี้อยู่ที่ตึกชั้น 5 แล้วทีมเราคิดว่าอยากสร้างชั้นใหม่ของตึกด้วยกันเป็นชั้น 7 ถึงชั้น 10 แต่พรุ่งนี้โลกเปลี่ยน เราก็ต้องปรับตามโลก อย่างเช่น ตอนแรกเราอาจจะคิดว่าหน้าตาธุรกิจอีคอมเมิร์ซควรจะเป็นแบบนี้แต่ปรากฏว่ายุคเปลี่ยน กลายเป็นเน้น live commerce มากขึ้น พอไม่ใช่อย่างที่คิด แผนที่ทำมาก็ต้องเปลี่ยนทั้งหมด ยึดติดกับอันเก่าไม่ได้ แล้วมันจะเป็นแบบนี้ตลอดเวลา 

“คุณต้องกล้าทิ้งกล้าเสีย กล้าเริ่มใหม่จากศูนย์ถ้าคิดว่าแผนใหม่ถูกกว่า มันต้องเด็ดขาดอย่างนั้นเลย แล้วต้องมีความใจแข็งใจเด็ดด้วย เวลา win มันจะ win big แต่เวลาโลกเหวี่ยงทีมันก็เหนื่อยมาก ถ้าสร้างไม่สำเร็จก็ไม่มีที่ให้ไป ถ้าสร้างสำเร็จมันคือการสร้างการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน”

Career Portfolio 

“ผมเป็นคนที่ชอบเปรียบเทียบชีวิตเหมือนคนขับรถ F1 คือคนที่ชอบแข่งให้ชนะ พอชนะเสร็จปุ๊บ ดีใจแป๊บหนึ่งแล้วก็ไปสู่การแข่งขันต่อไป เหมือนนักปีนเขาที่ต้องปีนภูเขาลูกใหม่ตลอดเวลา แล้วก็จะเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ ถ้าเริ่มมีอุปสรรคว่ามันยาก ทำไม่สำเร็จจะไม่เคยให้ตัวเอง give up

“แต่สิ่งที่ผมเจอในช่วงปีท้ายๆ ของ Sea มันเป็นอีกความรู้สึกหนึ่งซึ่งมันแตกต่างออกไป มันไม่ใช่ว่าฝ่าฟันอุปสรรคไม่สำเร็จเพราะยาก แต่เป็นเรื่องที่พอเราชนะแล้วชัยชนะไม่หอมหวานเหมือนเดิม ทำสำเร็จแต่ทำไมรู้สึกไม่ค่อยแฮปปี้ รสชาติของชัยชนะมันเปลี่ยน เป็นครั้งแรกที่เริ่มจากรู้สึกไม่ค่อยมีความสุขกับการทำงาน 

“เมื่อก่อนถ้ามีอุปสรรคที่ยากจะเปรียบเหมือนอยู่ในอุโมงค์ที่มืดมิดแต่ก็เห็นแสงสว่างอยู่ไกลๆ ถ้ากัดฟันเดี๋ยวก็ไปถึง แต่ก่อนพอใช้สูตรนี้มันจะผ่าน แต่สูตรแบบนี้มันใช้ไม่ได้อีกแล้ว มันใช้เวลาอยู่นานเหมือนกับการมานั่งดูตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา สุดท้ายก็พบว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตซึ่งเป็นเรื่องปกติ

“ผมว่ามนุษย์เรามี purpose หรือตัวตนเปลี่ยนไปตามอายุและจังหวะเวลาพอสมควร ช่วงที่ผ่านมา purpose ของตัวเองเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่เดิมผมอาจเหมือนกับคนทำงานทั่วไปคืออยากมีอิสระทางการเงิน เก็บเงินส่งลูกเรียนถึงปริญญาตรีได้ อยากประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานระดับหนึ่ง พิสูจน์ตัวเองในต่างประเทศว่าคนไทยก็ทำได้ในเวทีโลก

 “แต่ตอนท้ายผมรู้สึกว่า purpose พวกนี้ไม่ใช่จุดประสงค์หลักแล้วในการทำงาน มันกลายเป็นโจทย์ว่าแล้วเรากลับไปทำอะไรที่สร้างอิมแพกต์ให้ประเทศเราได้ไหมและโจทย์ที่เริ่มอยากมีอิสระในชีวิตมากยิ่งขึ้นในการเป็นนายตัวเองมันก็เริ่มมา 

“แล้วจริงๆ มันมี agenda ลับอีกอันหนึ่ง คือเป็นคนชอบทดลองสิ่งใหม่กับตัวเอง ผมมีความเชื่อว่าในอนาคตอาชีพของคนจะไม่ได้มีอาชีพเดียว มันจะมีหลายอาชีพ หลายตัวตน หลายหมวกพร้อมกันในคนเดียวที่ผมเรียกว่าเป็นการทำอาชีพแบบพอร์ตโฟลิโอ เลยอยากทดลองทำดูว่าจะเป็นยังไง ก็เลยเป็นที่มาของการกลับประเทศไทยและทำงานหลายหมวกในปัจจุบันซึ่งแบ่งเป็น 4 ด้านคือ ด้านนโยบาย การศึกษา สังคม ด้านเอกชน และธุรกิจ”

ด้านนโยบาย  
Monetary Policy Committee of Thailand – Bank of Thailand
Future Economy Advisor – Thailand Development Research Institute (TDRI)
Advisor on National Artificial Intelligence (AI) Strategy – Parliament of Thailand

“ด้านนโยบายก็กลับสู่สมัยที่เรียน Kennedy School ว่าเราอยากทำนโยบายช่วยประเทศชาติ บทบาทแรกคือการได้เป็น 1 ใน 7 คนของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยที่ดูแลเรื่องดอกเบี้ยซึ่งเป็นคนที่เด็กที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ได้ทำตำแหน่งนี้ คณะกรรมการทั้ง 7 คนจะประชุมกันแล้วโหวตว่าจะขึ้น-ลด หรือคงดอกเบี้ย เมื่อก่อนตอนทำงานแรกเราเป็นคนเดาว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางหรือแบงก์ชาติของแต่ละประเทศจะปรับค่าเงินยังไง แต่ตอนนี้เราเป็นคนตัดสินใจว่าเราจะทำอะไร เมื่อก่อนเราแปะหูไว้อยู่ใต้โต๊ะเขา แต่ตอนนี้เราเป็นคนนั่งอยู่ที่โต๊ะ   

“บทบาทที่สองคือการเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจแห่งอนาคตที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) งานของ TDRI คือให้คำปรึกษาด้านนโยบายเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงิน ดิจิทัล เทคโนโลยีเทรนด์แห่งอนาคต สื่อสารเรื่องนโยบายที่คนทั่วไปรู้สึกว่าเข้าใจยากให้เข้าใจง่ายและเข้าถึงคนวงกว้างได้มากขึ้น   

“ส่วนงานที่สามคือที่ปรึกษาด้าน AI ให้คณะกรรมการของสภาประเทศซึ่งก็จะพยายามใส่เทคโนโลยีเข้าไปเวลาเขียนกฎหมาย โดยปกติคนเขียนนโยบายที่มีหน้าที่เขียนกำกับกฎหมายต่างๆ มักจะอยู่ในโลกของภาครัฐแต่ผมเป็นคนที่เคยถูกกำกับมาก่อน การเป็นมนุษย์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่เคยทำทั้งฝั่งเอกชนและธุรกิจแล้วมาทำฝั่งนโยบายทำให้เข้าใจว่าเมื่อก่อนคนที่นั่งอีกด้านหนึ่งของโต๊ะคิดยังไง มองภาครัฐยังไง

“บางทีภาคธุรกิจและภาคนโยบายพูดคนละภาษาแล้วไม่เข้าใจกัน มองคนละมุม การสลับบทบาทมาอยู่อีกด้านของโต๊ะช่วยให้เกิด empathy เข้าใจซึ่งกันและกัน สร้างมูลค่าได้เยอะและเกิด synergy ที่ส่งเสริมกัน”

ด้านการศึกษา  
Writer

Board of Governor – Rugby School Thailand

“ในด้านนี้ผมเป็นผู้ให้ความรู้ด้านการศึกษา มีงานเขียนหนังสือ อบรม จัดเวิร์กช็อป ส่วนใหญ่จะพูดเรื่องปรับองค์กรให้พร้อมสู่อนาคตและเป็นบอร์ดของโรงเรียนนานาชาติรักบี้ (Rugby School Thailand) โรงเรียนอินเตอร์จากอังกฤษที่พัทยา 

“ผมสนใจด้านการศึกษาด้วย 2 เหตุผลใหญ่ อย่างแรกคือ ยุคของ AI เกิดผลกระทบต่อการศึกษาเยอะว่าเด็กจะตกงานกันหมดไหม ต้องพัฒนาทักษะไหนถึงจะอยู่รอดและการศึกษาแบบไหนที่จะเทรนทักษะให้คนพันธุ์ใหม่ในยุค AI ได้ 

“ข้อดีของโรงเรียนอินเตอร์คือความยืดหยุ่นสูง ไม่ยึดติดอยู่กับกฎของกระทรวงศึกษาธิการทำให้สามารถปรับตัวได้เร็วมาก เช่น สอนวิชา coding สอนการใช้ ChatGPT โดยในกลุ่มผู้บริหารโรงเรียนรักบี้จะถกร่วมกันกับผู้บริหารจากอังกฤษและเนื่องจากโรงเรียนรักบี้มีสาขาในประเทศอื่นอีกก็จะมาเปรียบเทียบกันว่าโรงเรียนที่ประเทศอื่นทำยังไง อีกเหตุผลคือลูกเราก็เรียนโรงเรียนอินเตอร์อยู่ด้วย ไม่ได้เรียนที่รักบี้แต่ทำให้เกิดความอยากรู้ว่าโรงเรียนอินเตอร์บริหารกันยังไง” 

ด้านสังคม    
Adviser – TaejaiDotcom

“คนจะรู้จักเทใจ (Taejai) ในนามของแพลตฟอร์มออนไลน์บริจาคเงินแต่ความน่าสนใจของเทใจมีสิ่งสำคัญกว่านั้นคือสามารถเป็นองค์กร sandbox ที่ช่วยทดลองหาโซลูชั่นเพื่อช่วยคนกลุ่มเล็กๆ ที่ถูกมองข้ามแล้วนำโครงการที่มีประโยชน์ไปขยายผลต่อทีหลังได้

“ปัญหาของการวางนโยบายคือบางทีมันกว้างมาก คิดขึ้นมาสำหรับคนส่วนใหญ่หรือคนบางกลุ่ม แต่จะมีกลุ่มที่หลุดไปเลยและไม่ได้ประโยชน์จากตรงนี้ เช่น มีนโยบายเพื่อการศึกษาเยอะมากแต่ไม่ค่อยมีใครทำนโยบายเพื่อเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษา เทใจก็จะมีโครงการหรือองค์กร NGO ที่เข้าใจ pain point และทำโครงการเพื่อกลุ่มนี้โดยเฉพาะ

“ที่ผ่านมาผมจะเป็นที่ปรึกษาช่วยดูโครงการในเทใจว่าน่าทำโครงการไหน ทำอะไรแล้วน่าจะเวิร์ก โดยเฉพาะช่วงโควิดที่ผ่านมาจะค่อนข้างแอ็กทีฟ เพราะมีกลุ่มคนที่ตกหล่นอยู่เยอะ สิ่งที่ทำคือแทนที่จะคิดทีละโครงการก็ทำพอร์ตขึ้นมาเลยว่ามีคนกลุ่มไหนบ้างที่ควรคำนึงถึง 

“ทั้งคนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด คนที่หลุดจากระบบการศึกษา ผู้สูงอายุที่ป่วย คนที่ตกงานจากภาคการท่องเที่ยว คนที่มีสุขภาวะทางจิต ซึ่งโครงการเหล่านี้ก็ช่วยเหลือคนตัวเล็กที่ถูกมองข้ามได้ดีมาก” 

ด้านเอกชน
Business Adviser and Investors
Co-founder and Director – Academy of Changemaker Excellence (ACE) 

“บทบาทสุดท้ายคือเป็นที่ปรึกษาและลงทุนธุรกิจในไทยและต่างประเทศ หนึ่งในงานสำคัญคือการสร้าง Academy of Changemaker Excellence หรือ ACE ไอเดียคือจับมือกับ ต้อง–กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร และ Cariber (คอร์สเรียนออนไลน์สอนโดยผู้นำของทุกวงการ) เพราะอยากสร้างคอมมิวนิตี้พื้นที่ปลอดภัยให้ผู้นำรุ่นใหม่ รวม changemaker ที่พยายามสร้างการเปลี่ยนแปลงในองค์กรหรือสังคมในทางที่ดี

“โครงการเราไม่เน้นปาร์ตี้  มีผู้ใหญ่ไม่กี่ท่านที่เชิญมาพูดและเมื่อมาพูดก็ไม่ได้สอน แต่เน้นมาแชร์ประสบการณ์ของตัวเองและเรียนรู้จากกันและกันว่าเวลาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงเจออะไรมาบ้าง มันเป็นที่ที่เราไม่ได้มาอวดกันเรื่องความสำเร็จ ส่วนใหญ่มาแชร์ความเปราะบางว่าเราเจออะไรยากๆ ในชีวิตมาบ้าง อะไรเป็นจุดที่เราท้อและเหนื่อย เพราะทุกคนใน ACE จะมีทั้งถ้วยรางวัล บาดแผล และความเหงา เป็นสามจุดร่วม

“แต่ละคนต่างเคยพยายามทำสิ่งที่ประสบความสำเร็จแต่กว่าจะได้รางวัลมาก็มีแผลเยอะเหมือนกัน และมีความเหงาที่พอเติบโตขึ้นมาถึงจุดหนึ่งแล้ว คนในองค์กรที่เคยเป็นเพื่อนเราก็อาจจะคุยด้วยไม่ได้แล้ว ระยะเวลาคอร์สแค่ 2 เดือนแต่พอเรียนจบแล้ว มันกลายเป็นคอมมิวนิตี้ที่ยังเจอกันและช่วยเหลือกันต่อ คอมมิวนิตี้แบบนี้คือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยเพื่อเติมความรู้และเติมไฟให้แก่กันและตอนนี้ก็ทำมาถึงรุ่นที่ 2 แล้ว”

บทส่งท้าย 

“การทำงานในภาครัฐและเอกชนมีความแตกต่างกันมากและมีข้อดีคนละอย่าง ภาครัฐมีข้อดีคือเห็นภาพใหญ่ว่าแต่ละส่วนเชื่อมโยงกันยังไง ข้อเสียของภาครัฐคือไม่เข้าใจภาคเอกชนและธุรกิจ ผมเปรียบเทียบเหมือนกับครูที่ลืมไปว่าตอนตัวเองเป็นนักเรียนเป็นยังไงหรืออาจไม่เคยเป็นนักเรียนทำให้เวลาออกกฎกติกาไม่เข้าใจว่านักเรียนคิดยังไง นี่คือความท้าทายของภาครัฐซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะยุคนี้เปลี่ยนเร็วด้วยและมักมีวัฒนธรรมองค์กรที่ระวังความเสี่ยงมาก 

“ส่วนภาคเอกชนมีข้อดีคือกล้าเสี่ยง พร้อมขยับและปรับตัวเร็วกว่า มีตัววัดที่ชัดเจน แต่ก็มีข้อเสียคือบางทีมองไม่เห็นภาพใหญ่ เข้าใจสิ่งที่องค์กรตัวเองทำแต่ไม่เข้าใจอีกมุมหนึ่ง เช่น วัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่างหรือการสร้างอิมแพกต์ของภาคส่วนอื่น แต่มันก็มีข้อดีที่มาเสริมซึ่งกันและกัน

“ที่ผ่านมาชีวิตการทำงานมี Twists and Turns ทุกตอนเลยแล้วแต่ช่วงชีวิต แต่ตอนที่ท้าทายที่สุดคือช่วงสุดท้ายตอนออกจากงานประจำมาทำงานแบบพอร์ตโฟลิโอเพราะมันเป็นความท้าทายที่ไม่เคยมีใครบอกเราว่าต้องทำยังไง 

“ช่วงแรกของการเซตอัพพอร์ตการทำงานเหล่านี้จะมีความยากนิดนึง อาชีพอื่นเป็นเหมือนเซตเมนูที่มีมาให้แล้วและมีความคาดหวังที่ตรงไปตรงมาว่ามีหน้าที่อะไรบ้าง แต่ตอนนี้มันเหมือนเราทำทุกอย่างที่ออกนอกคู่มือหมด มันเป็นงานเฉพาะที่เขียนหน้าที่ขึ้นมาเอง

“ความยากคือมี freedom เยอะแต่ไม่มี free time เท่าไหร่ มันยุ่งมากแต่เป็นการยุ่งที่มีความสุขเพราะว่ามีอิสระในสิ่งที่ตัวเองทำ เราทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกเพื่อประเทศ เพื่อสังคม เพื่อการสร้างอิมแพกต์โดยไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผมคิดว่าสิ่งนี้ช่วยให้มีความสุขและเบาใจ”    

ลิ้มรสน้ำปลาแดก กินเมนูแปลกอีสาน และโสเหล่เบื้องหลังการเฮ็ด ‘ซาว’ ของ ‘อีฟ ณัฐธิดา’

‘ด้นสด ถึก อึด’ คือคำบอกความเป็นอีสานในนิยามของ อีฟ–ณัฐธิดา พละศักดิ์ 

และ ‘ด้นสด’ คำเดียวกันนี้ยังคือคำที่อีฟบอกว่ามีความเป็นศิลปินและตัวเธอ 

“ด้นสดนี่โคตรอีสานเลยนะ ด้วยคนอีสานเขาต้อง survive เลยด้นสดเก่ง ไม่มีวันตายนะคนอีสาน ลองปล่อยเข้าป่าแล้วให้แข่งกันมีชีวิตดูดิ ยังไงก็รอด ซึ่งจริงๆ ก็เหมือนศิลปินอยู่เหมือนกัน พี่น่ะโคตรคนอีสานเลย”

อีฟคือสาวนักออกแบบแฟชั่นชาวศรีสะเกษ-อุบลฯ ผู้หลงใหลของดีบ้านเกิด ด้วยเห็นและคลุกคลีอยู่กับอีสานมาตั้งแต่ยังเยาว์ อีฟจึงจับมือกับเพื่อนๆ ปั้นโปรเจกต์ ‘Foundisan’ ขึ้นเพื่อหยิบจับเอาสารพัดองค์ประกอบของอีสานมาบอกเล่าในแบบใหม่ผ่านศาสตร์การดีไซน์

จากโปรเจกต์แฟชั่นออกแบบ Foundisan ได้แตกดอกออกผลมาเป็น ‘ซาว’ ร้านอาหารอีสานที่ตั้งใจซาวหาวัตถุดิบบ้านๆ แต่ดีมาส่งต่อให้คนรู้จักและลงลึกถึงวัฒนธรรมการกินฉบับคนอีสาน 

นอกจากสร้างภาพใหม่ให้อาหารอีสานผ่านการทำร้านซาว ไม่ว่าจะเป็นการพาซาวอุบลฯ มาเฉิดฉายในเมืองกรุง ขยายสาขาไปสู่ห้างหรูใจกลางเมืองอย่าง Emsphere ล่าสุดอีฟก็ได้พาอาหารอีสานไปสร้างสีสัน ณ กรุงลอนดอนและมิลานในโปรเจกต์ Zao in London และ Zao in Milan ที่อีฟและทีมซาวหาวัตถุดิบท้องถิ่นมาโลคอลไลซ์เป็นอาหารอีสานสารพัดเมนู

หลังจากเฟซบุ๊กฟีดข่าวสารว่าซาวพาอาหารอีสานไปสร้างสีสันไกลในต่างแดน แถมอีฟยังมีแพลนว่าอาจจะพาร้านซาวไปเปิดที่ยุโรปในอนาคต คอลัมน์อีคอมเมิร์ซครั้งนี้จึงไม่รอช้า ติดต่อนัดพบพี่สาวชาวอีสานนามอีฟเพื่อสนทนาถึงอนาคตของซาว เจาะลึกมุมมองการทำแบรนด์อาหารอีสานให้ทัชใจคนหลากหลายถิ่น พร้อมย้อนภูมิหลังชีวิตวัยเด็กและไขวิธีคิดเบื้องหลังการทำซาวที่อีฟบอกว่าคือศาสตร์แห่งการออกแบบ 

-1-
ซาวหาตัวตนจนกว่าสิพ้อ

อีฟเติบโตมาในครอบครัวข้าราชการครูธรรมดาในหมู่บ้านเล็กๆ ของจังหวัดศรีสะเกษ เพราะแบบนั้นการศึกษาจึงเป็นเรื่องสำคัญ 

พ่อและแม่เลือกส่งเธอไปเรียนในเมืองตั้งแต่ ป.4 และด้วยบ้านตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองกว่า 60 กิโลเมตร ทุกวันจันทร์-ศุกร์อีฟต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อเตรียมตัวไปเรียน และกว่าจะถึงบ้านในแต่ละวันก็กินเวลาร่วมทุ่ม สองทุ่ม 

นอกจากทุ่งหญ้าสองข้างทางระหว่างโดยสารรถไปเรียน ก็มีเพียงการได้กระโดดขึ้นรถติดสอยห้อยตามลุงป้าละแวกบ้านไปเล่นตามไร่นาในวันหยุด และการเป็นลูกมือแม่ตัดเย็บเสื้อผ้า 

ประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมวัยเด็กของอีฟไม่เพลินตาเพลินใจนัก แต่ก็นับเป็นส่วนสำคัญที่หล่อหลอมให้อีฟกลายเป็นอีฟอย่างทุกวันนี้ 

“ชีวิตตอนเด็กๆ พี่ไม่ค่อยมีอะไร ไปโน่นนี่กับเขาทั่วไป ชอบสนุก ข้างบ้านเขาไปไร่นาก็ไปกับเขา ที่บ้านส่งให้ไปเรียนในเมืองก็ไป ให้เรียนพิเศษเสาร์-อาทิตย์ก็เรียน ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ไม่ได้รู้ความต้องการตัวเองว่าอยากทำอะไร รู้แค่ว่าต้องสอบให้ได้ที่หนึ่ง” อีฟเล่าย้อนถึงชีวิตวัยเด็กของเธอ

“เวลามีคนถามว่าฝันอยากเป็นดีไซเนอร์ตั้งแต่เด็กเลยรึเปล่า หึ ไม่เคยมีเลย ไม่เคยเห็นภาพนั้นเหมือนกัน ตอนมาเรียนที่กรุงเทพฯ ก็มาเพราะอยากไปอยู่กรุงเทพฯ เฉยๆ และมาเพราะเพื่อนชวนมาเอ็นฯ เอ็นทรานซ์เกี่ยวกับวาดรูปอะไรก็ไม่รู้ แต่ตอนนั้นบอกแม่ว่ามศว เป็นมหาวิทยาลัยครู จบไปก็เป็นครู แต่จริงๆ ไม่ใช่ แค่โกหกไปก่อนเพราะอยากอยู่ 

“ตอนนั้นเรียนๆ ไปก็เรียนไม่ได้ ลงเรียนเซรามิก ศิลปะจ๋าเลย แต่วาดรูปไม่เป็นนะ เลยย้ายไปเรียนแฟชั่น ซึ่งก็ยังเป็นศิลปะอยู่ แต่พี่เป็นพวกที่เหมือนทำอันนี้ไม่ได้ก็ไปทำอันนั้น ทำใหม่ไปเรื่อยๆ ตอนเรียนมัธยมก็เรียนวิทย์-คณิต แต่สุดท้ายก็มาลงเอยทางศิลปะ 

“ตอนเลือกย้ายไปแฟชั่น คิดแค่ว่าถ้าเรียนเซรามิก จบออกมาไม่น่าจะมีอาชีพ คิดอาชีพตัวเองไม่ออก เพราะวาดรูปก็ได้ที่โหล่ของห้อง เพื่อนยังช่วยทำงานอยู่เลย ก็เลยต้องหาสิ่งที่ทำได้ด้วยตัวเอง ประจวบกับว่าพี่ตัดเสื้อผ้าใส่เองอยู่แล้ว เพราะแม่สอนตัดเสื้อผ้าใส่เองตั้งแต่เด็ก เลยคิดว่าแฟชั่นมันน่าจะง่าย อาจจะไม่ใช่ง่าย แต่น่าจะใกล้ตัวที่สุด น่าจะดูไม่ได้ไกลจากคนอื่นมาก

“แต่มันก็ไกลจากคนอื่นเหมือนเดิม เพราะเราไม่ได้เทรนมา คนอื่นสมัยก่อนใครจะเอ็นทรานซ์เข้าอะไรเขาจะเตรียมตัวกันตั้งแต่มัธยม แต่พี่ที่เรียนสายวิทย์-คณิตมา ตกเย็นเราก็ไปติวฝั่งวิทยาศาสตร์ ฝั่งเคมี”

“ชอบไหมพอมาเรียนแฟชั่น” ฉันเอ่ยถาม

“ไม่ได้ชอบแต่แรกนะ อย่างที่บอกว่ามันใกล้เคียงกับความสามารถตอนนั้นที่สุด แต่เราเป็นพวกที่พอทำอะไรได้ดี เราก็จะทำเต็มที่ ซึ่งตอนนั้นรู้สึกว่าดีไซเนอร์น่าจะเป็นสิ่งที่เราทำได้ดี เหมือนว่าระหว่างทางเราก็ค่อยๆ หาตัวเองไปด้วย จากที่ทำเพราะทำได้ดีก็กลายเป็นค่อยๆ ชอบ 

อีฟจากอีสานมาตั้งแต่จบมัธยมปลาย จับพลัดจับผลูมาเรียนต่อในคณะแฟชั่นดีไซน์ หลังเรียนจบก็ได้มีโอกาสไปเป็นดีไซเนอร์ในบริษัทต่างประเทศ ทำแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง ได้เข้าไปเป็นอาจารย์มหา’ลัย จนถึงได้โอกาสไปเรียนต่อในสาขาแฟชั่นดีไซน์ที่มหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม 

“ชีวิตกำลังไปได้ไกลเลย จนแม่พี่เรียกให้กลับบ้าน ก็เลยต้องกลับ พอเป็นการถูกบังคับให้กลับมา มันก็อยู่ไม่ได้ ไม่ชอบชีวิตแบบนี้ แต่ก็ต้องเอาตัวรอดให้ได้ ต้องทำให้ตัวเองอยู่ให้ได้ แล้วทำยังไงถึงจะอยู่ได้ ตอนนั้นเลยหาอาชีพให้ตัวเองทำ ทำโน่นนี่ไปเรื่อย อย่างหนึ่งที่ทำตอนนั้นคือขายรถเกี่ยวข้าว

“เป็นอาชีพที่หาเงินได้เยอะนะ แต่ข้างในใจลึกๆ ไม่ได้ภูมิใจขนาดนั้น ข้างในเรายังคิดถามตัวเองอยู่ว่าเกิดมาทำไม เกิดมาแค่เพื่อหาเงินเหรอ เลยรู้สึกว่ามนุษย์เราเกิดมามีหน้าที่เป็นแค่เครื่องปั๊มเงินเหรอวะ กินแล้วก็นอน แล้วก็จบไปเหรอ 

“พี่เลยอยากทิ้งอะไรไว้บ้าง ไหนๆ ก็ได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วชาตินี้ แต่เรามีอะไรที่ทิ้งไว้ได้บ้าง ความสามารถตัวเองก็มีอยู่แค่นี้ ก็มีแค่เรื่องออกแบบที่เราสามารถทำได้ เลยคิดว่างั้นก็เริ่มทำในสิ่งที่ถนัดก่อนละกัน เลยได้ออกมาเป็น Foundisan”

-2-
‘Foundisan’ ฮอด ‘Zaoisan’

“เงินหมด” อีฟเอ่ยอย่างติดตลกตามสไตล์ของเธอ

“จริงๆ ซาวมันไม่ได้ถูกแพลนมาตั้งแต่แรก เริ่มแรกที่พี่ทำคือ Foundisan ซึ่ง Foundisan เกิดขึ้นตอนพี่กลับไปอยู่บ้าน เป็นช่วงก่อนโควิด ก็ได้ไปทำงานกับชุมชน เอาสิ่งที่เรียนมาไปสอนชาวบ้าน ไปทำงานร่วมกับเขา แล้วพี่ก็พยายามทำโปรดักต์ craftsmanship อย่างพวกเสื่อ เสื้อผ้า อะไรต่างๆ ทำรอขายงานแฟร์ เป็นช่วงที่สะสมของกันอยู่ แต่ระหว่างนั้นเงินหมด ในทีมเลยบอกว่าทำอะไรที่ขายได้ก่อนมั้ย จะได้มีเงินมาหล่อเลี้ยงทีม และมีเงินมาลงพื้นที่รีเสิร์ชเพื่อทำโปรดักต์อะไรพวกนี้ต่อ ก็เลยตกลงกันว่าจะทำซาว”

ถึงอีฟจะพูดเหมือนว่าซาวเกิดขึ้นด้วยความไม่ตั้งใจ คล้ายกับตอนไปเรียนออกแบบและเป็นแม่ค้าขายรถเกี่ยวข้าว แต่ทุกๆ เส้นทางล้วนแต่เป็นไปได้ดีและไปได้ไกล 

“เราโตมากับอีสาน เรามีความรู้ประมาณหนึ่งแล้วแหละ แต่คิดว่ารู้แค่นั้นพอไหม ไม่ เอาเข้าจริงมื้ออาหารในบ้านเรา เรากินข้าวไม่กี่จานหรอก กับข้าววน ไปกินข้าวกับหลายๆ บ้านไม่ดีกว่าเหรอ อย่างแกงเห็ดเผาะ แต่ละบ้านก็แกงไม่เหมือนกัน พี่เลยค่อนข้างเชื่อว่าเราต้องกินให้มันเยอะ เห็นให้มันเยอะ

“ตอนก่อนจะเปิดซาว พี่เลยพาทุกคนขึ้นรถตู้ไปล่องอีสาน ไปจนถึงเวียงจันทน์ พาไปทัวร์กินเพื่อจะดูว่าคนลาวกินอะไร คนเวียงจันทน์กินอะไร วัฒนธรรมการกินของเขามันใกล้เคียงกับคนอีสานยังไง ก็ไปรีเสิร์ชกันเพื่อจะเอามาปรับใช้กับร้านเรา 

“ตอนไหนที่เห็นว่าของบ้านเกิดมันดีและต่อยอดได้” – ฉันเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะไม่ว่าอีฟจะทำอะไรก็ยึดโยงกับความเป็นอีสาน 

“ไม่ได้เชื่อแต่แรกหรอก เด็กๆ พี่ก็เหมือนคนอื่น แต่หลังจากไปท่องโลกมา แล้วได้เห็นอะไรมากขึ้น เราก็เริ่มคิดได้ ซึ่งถ้าเราไม่ถูกกะเทาะ เราไม่เจอเพื่อนดีๆ ที่สะกิดเตือนเรา ไม่มีโอกาสได้เห็นอะไรต่างๆ ก็จะไม่มีโอกาสได้เข้าใจว่าสิ่งที่เรามีมันดีมากเหมือนกัน อย่างตอนไปอยู่ต่างประเทศ ถ้าเราไปอยู่แบบนั้นแล้วบอกว่าของฝรั่งดีที่สุด พี่ก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนได้

“ที่ได้รู้ว่าอาหารที่ยายทำให้กินทุกๆ วันคือของดีก็คือเพื่อนเป็นคนบอก เขาบอกพี่ว่าเลิกไปกิน chef’s table ได้แล้ว ไม่ต้องแสวงหา อาหารที่บ้านที่ยายทำให้กินมันยิ่งกว่า chef’s table อีก”

-3-
ซาวหาของดีอีสานจนพ้อ

แกงเห็ดเผาะ, ปลายอนย่างเกลือ, ผัดด๊องแด๊งกากหมู, ​​แตงโมปลาร้าหอม และส้มตำปลาร้าปูนาดอง 

สารพัดเมนูอาหารอีสานถูกเสิร์ฟลงตรงหน้า สำหรับคนที่เกิดและโตมากับอีสานแบบฉัน เมนูเหล่านี้ล้วนผ่านลิ้นมาหมด แต่ถึงอย่างนั้นก็อดที่จะน้ำลายสอไม่ได้ 

นอกจากอาหารจากซาวจะให้รสชาติแบบอีสานแท้ อีสานได้ใจ เมนูตรงหน้ายังเป็นคำตอบให้ฉันด้วยว่าทำไมซาวถึงได้รับการยอมรับ

หากย้อนไปสักสี่ห้าปีให้หลัง อาหารอีสานที่ถูกเสิร์ฟด้วยความพิถีพิถันเช่นนี้อาจจะยังมีให้เห็นไม่มาก และหน้าตาอาหารที่อีฟนำเสนอออกมาก็เป็นหน้าตาที่คนอีสานหลายคนไม่ค่อยคุ้น

“พี่เชื่อว่าแตงโมปลาร้าหอมน่าจะไม่มีใครเคยทำหน้าตาแบบนี้มาก่อน นี่คือความแตกต่างของซาว เรานำเสนอแบบบ้านๆ เพราะอาหารอีสานมันซื่อๆ บ้านๆ เสิร์ฟด้วยช้อนไม้ จานเซรามิก จานดินเผาจากอุบลฯ ซึ่งความแตกต่างที่พยายามทำก็เพราะอยากสร้างเอกลักษณ์ของตัวเอง อย่างตกแต่งร้านก็เอางานดีไซน์ที่ทำมาใส่เข้าไป

“อาหารพี่ sincere มาก ง่ายมาก พี่ไม่ปรับอะไรเลย เรากินรสชาติไหน เราก็ทำรสชาตินั้นขายให้กับลูกค้า 

“จะกินอยู่ไหนก็ต้องเหมือนนั่งกินอยู่อุบลฯ ไส้จะทะลุอยู่แล้วเนี่ย เผ็ดมาก” อีฟว่าก่อนซู้ดปากบรรเทาความเผ็ด

“มีลูกค้ามากินแล้วรีวิวร้าน ให้ 3 ดาวบ้าง 2 ดาวบ้าง เขาบอกว่าโฆษณาเกินจริง บอกว่ามาแล้วก็แค่ร้านอาหารอีสานทั่วไป เออ คนเขาคงคาดหวังมั้ง คงคิดว่าพี่จะตีลังกาขาย แต่อาหารอีสานมันจะมีอะไรอะ มันซื่อมาก การยกระดับอาหารอีสานของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ของพี่คือยกระดับรสชาติให้เป็นแบบ authentic

“อาหารอีสานต้องรสชาติแบบอีสานเท่านั้น พี่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก อย่าลืมว่าตัวเองเป็นใคร เมื่อไหร่ที่เราลืมว่าเราเป็นใคร จะกลายเป็นว่าเราอยากเป็นคนอื่น เพราะเมื่อไหร่ที่เรารู้ว่าของของเราดี เราจะไม่อยากเป็นคนอื่นเลย เราจะอยากเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

ที่ผ่านมาอีฟพาซาวและอาหารอีสานเดินทางมาไกลไม่น้อย จากร้านในเมืองอุบลฯ สู่ใจกลางเมืองใหญ่อย่างเอกมัย-ทองหล่อ ยกเมนูเส้นแบบอีสานขึ้นห้างหรูกลางเมืองอย่าง Emsphere และยังเป็นร้านอาหารอีสานร้านเดียวของห้าง 

และล่าสุดไม่นานมานี้ เธอก็ได้พาอาหารอีสานไปสร้างประสบการณ์ใหม่ที่ลอนดอนและมิลานในโปรเจกต์ Zao in London และ Zao in Milan

อีฟไม่ได้หยุดนิ่งอยู่แค่การสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับอาหารอีสานผ่านร้านซาว และด้วยความมุ่งมั่นและความคิดสร้างสรรค์ อนาคตอีฟยังมีเป้าหมายว่าอยากพาอาหารอีสานไปโลดแล่นในแดนยุโรป

“ไม่รู้จะเล่ายังไงเหมือนกันนะ เพราะแพลนมันยังนิ่ง มันอาจจะยุบก็ได้ เพราะว่าหาที่ไม่ได้ อาจจะเปลี่ยนประเทศก็ได้ ตอนนี้เหมือนเตรียมตัวที่จะไปต่างประเทศมากกว่า 

“ในอุดมคติก็อยากพาซาวไปอยู่ได้ในหลายๆ ที่ หลายๆ รูปแบบ ซาวสำหรับพี่มันไม่ใช่อาหารจานสองจาน แต่เป็นเรื่องวัฒนธรรม เราเป็นยังไง เราอยู่ยังไง เราเป็นคนยังไง อยากส่งต่อความเป็นอีสานที่ไม่ใช่แค่อาหารอีสาน แต่คือความเป็นอยู่ คนอีสานอยู่กันยังไง กินอาหารแบบไหน เพราะภูมิอากาศเราเป็นยังไง แบบนั้น”

MILKLAB นมทางเลือกสำหรับบาริสต้าอันดับหนึ่งจากออสเตรเลียกับกลยุทธ์การบุกตลาดไทย

สำหรับผู้ประกอบการร้านกาแฟ ทุกส่วนประกอบในกาแฟหนึ่งแก้วล้วนแล้วแต่มีความสำคัญในการสร้างสรรค์รสชาติที่โดดเด่น และนมเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักที่มีบทบาทสำคัญ บาริสต้าจึงต้องทำความเข้าใจและใช้นมที่เหมาะแก่การทำกาแฟโดยเฉพาะ 

หนึ่งในตัวเลือกแบรนด์ที่น่าจับตามองคือ MILKLAB นมทางเลือก (plant-based milk) ที่ครองตลาดอันดับหนึ่งในออสเตรเลียและล่าสุดได้เข้ามาเปิดตัวในไทยพร้อมสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการกาแฟไทย

Aroma Group ผู้นำเข้าแบรนด์ที่เข้าใจบาริสต้า

บริษัทผู้นำเข้า MILKLAB ในไทยไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็น Aroma Group กลุ่มธุรกิจที่ดำเนินงานมายาวนานกว่า 70 ปี ที่ถือกำเนิดจาก ความหลงใหลในกาแฟ เส้นทางธุรกิจของ Aroma Group จากธุรกิจกาแฟโบราณ ‘หัวสิงห์สามดาว’ จากนั้นได้เริ่มต้นธุรกิจกาแฟคั่วบด แบรนด์อโรม่า เริ่มต้นจากการเปิดร้านกาแฟของตัวเองในชื่อ 94 Coffee และร้านกาแฟชาวดอย จนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกาแฟครบวงจร ทั้งด้านการผลิต คั่ว และจัดจำหน่าย วัตถุดิบคุณภาพทั้งไทยและต่างประเทศ นำเข้าอุปกรณ์เครื่องชงกาแฟระดับไฮเอนด์อย่าง Victoria Arduino อีกทั้งยังมีการนำเข้าเครื่องชงกาแฟมาตรฐานจากต่างประเทศ Crem Wega XLVI Taurino เครื่องบดกาแฟแบรนด์ดังอย่าง MAZZER ตลอดจนเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจกาแฟ และต่อมาเปิดร้านกาแฟ specialty ชื่อ Hario Cafe และ Weroast Cafe ที่มีสินค้าเกี่ยวกับกาแฟ เครื่องดื่ม จำหน่าย

ความมุ่งมั่นที่อยากส่งมอบประสบการณ์การดื่มกาแฟที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทำให้ วรดนัย สิงหเดช Marketing Director จาก Aroma Group บอกว่าบริษัทอยากพิถีพิถันในการคัดสรรแบรนด์พาร์ตเนอร์ที่ทำให้รสชาติกาแฟออกมาโดดเด่นที่สุด และหนึ่งในแบรนด์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศคือนมทางเลือกจากออสเตรเลียชื่อ MILKLAB ที่ได้รับรีวิวความประทับใจจากร้านกาแฟต่างประเทศมากมายในคุณภาพและรสชาติ  

MILKLAB แบรนด์ที่ตั้งใจพัฒนาสูตรนมสำหรับบาริสต้าโดยเฉพาะ

ท่ามกลางแบรนด์นมทางเลือกมากมายในท้องตลาด พาร์ตเนอร์ที่ Aroma Group มองหาคือแบรนด์ชั้นนำในวงการกาแฟที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาสินค้า นอกจากนี้ MILKLAB ก็เป็นมากกว่าแค่ผู้ผลิต และจริงจังกับการพัฒนาสูตรนมโดยใส่ใจความต้องการของบาริสต้ากับเหล่า foodie ผู้สนใจทานอาหารสุขภาพ และยังคัดสรรวัตถุดิบชั้นดีจากเกษตรกรผู้ผลิตเมล็ดกาแฟ วิสัยทัศน์เหล่านี้ของ MILKLAB ตรงกับ Aroma Group ที่อยากทำธุรกิจแบบใส่ใจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

สินค้าของ MILKLAB มีความแตกต่างจากแบรนด์นมทางเลือกอื่นๆ จากการตั้งใจพัฒนาสูตรนมสำหรับบาริสต้าโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการพิถีพิถันคิดสูตรที่ไม่ทำให้รสกาแฟผิดเพี้ยนและไม่ให้กลิ่นนมกลบกลิ่นกาแฟ บาริสต้าสามารถตีฟองนมเพื่อทำลาเต้อาร์ตได้ง่าย ออกมาเป็นรสกาแฟที่โดดเด่นตามเอกลักษณ์ของกาแฟร้านนั้นๆได้

คุณวรดนัยยังเล่าอินไซต์ที่น่าสนใจว่าในมุมของแบรนด์ต่างประเทศ ไทยถือเป็นตลาดที่มีกลุ่มลูกค้าผู้บริโภคนมทางเลือกสูงกว่าหลายประเทศในเอเชีย ซึ่งจะเห็นได้จากความนิยมของนมทางเลือกในไทยช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาที่เติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะกลุ่มร้านกาแฟ specialty ที่ให้ความสำคัญกับวัตถุดิบคุณภาพในการทำกาแฟซึ่งทำให้โอกาสการบุกตลาดไทยเป็นที่น่าสนใจ

ในขณะที่ผู้บริโภคในออสเตรเลียนิยมทานนมทางเลือกรสอัลมอนด์เป็นอันดับหนึ่ง ผู้บริโภคไทยกลับนิยมทานนมโอ๊ตมากกว่า แต่ก็มีกลุ่มลูกค้าที่หันมาสนใจนมอัลมอนด์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และยังมีกลุ่มคนที่แพ้นมวัว คนทานมังสวิรัติ คนรักสุขภาพ ไปจนถึงร้านกาแฟที่อยากสร้างสรรค์เมนูพิเศษจากนมทางเลือกรสหลากหลาย ทาง Aroma Group จึงนำเข้านม MILKLAB 5 รสเพื่อตอบโจทย์ความต้องการนี้ 

นอกจากนมที่รู้จักกันดีอย่างโอ๊ตกับอัลมอนด์แล้ว นมประเภทอื่นยังมีเอกลักษณ์พิเศษ อย่างนมถั่วเหลืองที่มีความโดดเด่นแตกต่างจากนมถั่วเหลืองทั่วไป นมแมคคาเดเมีย กลิ่นและรสชาติที่หอมมันเป็นเอกลักษณ์จากถั่วแมคคาเดเมีย และนมมะพร้าวที่มีเนื้อสัมผัสนุ่มนวล สามารถใช้ผสมกับกาแฟเอสเพรสโซ และเครื่องดื่มที่หลากหลายได้อย่างลงตัว

Aroma Group X MILKLAB การตลาดของพันธมิตรที่จับมือกันบุกตลาดไทย

ความเชี่ยวชาญของ MILKLAB ไม่ใช่แค่คิดค้นนมหลากหลายประเภทแต่ยังนำทีมบาริสต้าระดับโลกหลายคนมาร่วมพัฒนาสูตรกับเหล่าบาริสต้าอินฟลูเอนเซอร์ในไทย แบรนด์ยังมีทีม mixologist ของตัวเองที่ชำนาญในการพัฒนาสูตรเครื่องดื่มและสามารถช่วยออกแบบเมนูพิเศษให้ผู้ประกอบการร้านกาแฟเพื่อสนับสนุนการครีเอตเมนูที่แตกต่าง

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ MILKLAB ประสบความสำเร็จในการขยายตลาดไปหลายประเทศคือการมีพันธมิตรทางการตลาดที่ช่วยดูแลและบริการลูกค้า ซึ่งในไทย Aroma Group ได้เข้ามาช่วยทำการตลาดให้เข้าถึงผู้บริโภคโดยเฉพาะร้านกาแฟ ทั้งทำรีเสิร์ชอย่างลงลึกด้วยการเข้าไปพูดคุยกับบาริสต้าตัวจริง ทำการตลาดผ่านร้านกาแฟที่มีชื่อเสียง โฆษณาสินค้าด้วยแบรนด์แอมบาสเดอร์ ซึ่งเป็นเจ้าของร้านกาแฟที่ใช้สินค้าจริง กระจายช่องทางการขายอย่างกว้างขวางตั้งแต่ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำในไทย และช้อป Aroma Shop ทั่วไทย ทั้งออฟไลน์ออนไลน์ หรือ Application Coffee2U

ด้วยจุดเด่นด้านคุณภาพวัตถุดิบ ความหลากหลายของสินค้า และโมเดลธุรกิจที่พัฒนาสูตรเครื่องดื่มร่วมกับบาริสต้าชื่อดังทำให้การร่วมมือกันทำการตลาดของ Aroma Group ผู้เชี่ยวชาญด้านกาแฟครบวงจร และ MILKLAB ผู้เชี่ยวชาญด้านนมทางเลือกในครั้งนี้มีโอกาสขยับขยายธุรกิจให้เติบโตในตลาดไทยอย่างมากดังที่สามารถครองใจผู้ประกอบการร้านกาแฟในหลายประเทศมาแล้ว

โอลิมปิกปารีส 2024 กับการเตรียมงานกว่า 10 ปี เพื่อวาดปารีส เศรษฐกิจ และชีวิตเมืองขึ้นใหม่

สิบปีก่อน ปารีสก็เหมือนเมืองใหญ่ๆ ในยุโรปและอเมริกา คือเป็นเมืองที่ผู้คนทั่วโลกหลงรัก เป็นเมืองที่ดีกับการท่องเที่ยว แต่ในมุมของผู้อยู่อาศัย เมืองแห่งนี้กลับไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ เพราะปารีสทั้งรถติด มลพิษเยอะ และบ้างก็มองว่าสกปรก 

ภายใต้การนำของนายกเทศมนตรีหญิง แอนน์ ฮิดัลโก (Anne Hidalgo) ฮิดัลโกประกาศว่าจะไม่มีอีกแล้วปารีสที่ผิดพลาด เพราะปารีสต้องเป็นเมืองที่ยืดหยุ่น ยั่งยืน ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และใช้ชีวิตกลางแจ้งได้โดยไม่ต้องง้อรถยนต์ 

วิสัยทัศน์นี้เองที่ส่งผลต่อการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกในปี 2024 นี้ เพราะโอลิมปิกเป็นโอกาสที่จะได้สื่อสารภาพปารีสในมุมใหม่ ถือเป็นการจัดอีเวนต์สำคัญที่ไม่ได้จบแค่วันงาน เพราะปารีสต้องเตรียมปรับเมืองให้พร้อมรับแขกจากทั่วโลกไว้ก่อน ผลผลิตจากการปรับเมืองเพื่อรองรับโอลิมปิกนี้เองที่จะกลายเป็นมรดกของงานและกลายเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเมืองให้ยั่งยืน  

ไอ้การ ‘ทำอะไร’ ของปารีสเพื่อเตรียมเมืองรับโอลิมปิกและเตรียมปารีสไปสู่วันพรุ่งนี้ เรียกได้ว่าทำถึงและทำมาก นอกจากการทำความสะอาดแม่น้ำ ทำให้แถวๆ หอไอเฟลและฌ็องเซลิเซ่เป็นสวนขนาดยักษ์ ปิดถนน สร้างทางจักรยาน สร้างโครงข่ายรถไฟสายใหม่แล้ว ในปี 2014 ปารีสยังได้ออกอภิมหาโปรเจกต์ชื่อ Reinvent Paris คือคิดปารีสขึ้นใหม่ เป็นการเปิดพื้นที่ในครอบครอง 23 แห่ง ชวนนักออกแบบและกลุ่มนักธุรกิจจากทั่วโลกมาสร้างพื้นที่ไปถึงย่าน ที่จะคิดจินตนาการการอยู่อาศัยใหม่ๆ ขึ้น

คอลัมน์ ‘ทรัพย์คัลเจอร์’ ในครั้งนี้ จะชวนไปดูมรดกของกรุงปารีสที่สร้างไว้โดยมีงานโอลิมปิกเป็นหมุดหมาย จากพื้นที่บ้านพักนักกีฬาที่จะกลายเป็นย่านชานเมืองใหม่ริมแม่น้ำแซน ถึงโปรเจกต์ใหญ่ที่ได้นักออกแบบแนวหน้าของโลกไปเปลี่ยนอาคารมรดก พื้นที่รกร้าง ไปสู่ย่านซีโร่คาร์บอน โรงแรมแนวกีฬา และโครงการอาคารพักอาศัยที่เติบโตไปพร้อมๆ กับผู้อยู่อาศัย

งานจบ เมืองไม่จบ 

ถ้าเรามองย้อนไป ปัญหาสำคัญของการจัดงานกีฬาระดับโลก คือการลงทุนพัฒนาพื้นที่กายภาพของเมืองที่เมื่อจบงานแล้ว สาธารณูปโภคหรือเมืองใหม่ที่ขยายตัวออกไปมักถูกทิ้งร้าง กลายเป็นพื้นที่เสื่อมโทรม 

ระยะหลัง เมืองส่วนใหญ่จึงพยายามวางแผนให้พื้นที่จัดงานใช้ได้จริง เช่น สนามกีฬาที่ใช้เป็นพื้นที่สุขภาพของผู้คน อาคารที่ยืดหยุ่นปรับไปใช้เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ได้ หรือพัฒนาโดยสัมพันธ์กับแผนการขยายตัวของเมือง

ถ้าเราดูการลงทุนพัฒนาในช่วงที่ผ่านมา งานกีฬาส่วนใหญ่มักเกี่ยวกับการลงทุนสร้างสเตเดียมหรือพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อรองรับนักกีฬาและนักท่องเที่ยว เช่น โอลิมปิกที่จีน หรือเอเชียนเกมส์ที่หางโจว จีนซึ่งเป็นเจ้าพ่อการลงทุนสร้างอาคารใหญ่ๆ เองก็พยายามทำให้อาคารเป็นส่วนหนึ่งของย่านใหม่ เป็นพื้นที่ฟื้นฟู อาทิ พื้นที่ริมน้ำ ตัวอาคารทั้งหลายถูกปรับเป็นพื้นที่วัฒนธรรมหรือพื้นที่ส่งเสริมสุขภาพของผู้คน 

สำหรับปารีส เรียกได้ว่าจริงจังและซับซ้อนกว่านั้น ปารีสบอกว่างานโอลิมปิกครั้งนี้จะจัดผสานไปกับบริบทประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของปารีส พื้นที่มรดกใจกลางและบางส่วนนอกปารีสจะกลายเป็นสนามแข่งขันและพื้นที่จัดงาน 

แม้การจัดการพื้นที่เพื่อแข่งกีฬาและรองรับคนนับหมื่นต่อจุดเป็นเรื่องที่ยาก แต่หากทำได้ ภาพของปารีสจะดูมีชีวิตขึ้น เป็นเหตุผลที่ปารีสจะไม่สร้างสนามกีฬาใหญ่ขึ้นใหม่ และจะจัดพิธีเปิดและปิดในแม่น้ำแทน ตรงนี้เองที่ทำให้ทั่วโลกตื่นเต้นกับการว่ายน้ำในแม่น้ำแซน สนามแข่งขันที่กระจายจากหอไอเฟลไปถึงพระราชวังแวร์ซาย 

หมู่บ้านนักกีฬากับการสร้างย่านใหม่

ถึงเราจะบอกว่าปารีสต้องการจัดงานอย่างยั่งยืนและปรับปรุงพื้นที่ประวัติศาสตร์และพื้นที่เมือง แต่ด้วยขนาดและสาธารณูปโภคที่จำเป็น ปารีสก็มีการลงทุนสร้างพื้นที่ใหม่เพื่อรองรับหลายจุด

นอกจากสนามกีฬาอย่างสนามกีฬาทางน้ำใหม่ ปารีสก็ต้องลงมือสร้างบ้านพักนักกีฬา พื้นที่ใหม่ที่ปารีสสร้างขึ้นนี้เป็นการพัฒนาขนาดใหญ่ในระดับย่าน โดยเฉพาะหมู่บ้านนักกีฬาที่วางไว้ว่าจะให้เป็นที่อยู่อาศัยหรือชุมชนใหม่ขนาด 6,000 คน

การสร้างย่านขึ้นใหม่ของหมู่บ้านนักกีฬาตั้งอยู่ที่ชานเมืองปารีสทางตอนเหนือ ตัวหมู่บ้านมีขนาดใหญ่ราว 300,000 ตารางเมตร กินพื้นที่สามเขตเทศบาลแถวๆ เขตที่เรียกรวมๆ ว่า แซ็งเดอนี (Saint-Denis) พื้นที่ที่ถูกนำมาพัฒนาเคยเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมเดิมที่เสื่อมโทรมลง ทว่าตัวพื้นที่นอกจากจะอยู่ห่างจากกลางเมืองปารีส ประมาณ 9 กิโลเมตรแล้ว ยังเป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแซนที่สวยงามและทำเลดี

ความน่าสนใจคือปารีสไม่ได้สร้างแค่หมู่บ้าน แต่ออกแบบให้หมู่บ้านนักกีฬาใหม่เป็นเหมือนย่านขนาดใหญ่ที่จะเปิดรับผู้อยู่อาศัยหลังจากงานจบลง ตัวพื้นที่จึงประกอบด้วยกลุ่มอพาร์ตเมนต์ที่เมื่อมองจากริมฝั่งแม่น้ำจะมีหน้าตาเหมือนอาคารพักอาศัยทั่วไปในยุโรป ตัวอพาร์ตเมนต์ออกแบบให้ปรับเปลี่ยนจากห้องพักนักกีฬาไปสู่ยูนิตเพื่อการอยู่อาศัย มีการวางศูนย์กลางของย่านเป็นสวนขนาดใหญ่ และมีแม่น้ำเป็นองค์ประกอบของการอยู่อาศัย 

นอกจากกลุ่มที่พักอาศัยยังเน้นการออกแบบสัดส่วนของพื้นที่สำคัญอื่นๆ เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต สำนักงาน บริการสุขภาพ และโรงเรียนสองแห่ง พื้นที่อย่างแซ็งเดอนี เกี่ยวข้องกับการวางโครงข่ายขนส่งสาธารณะขนาดใหญ่ มีการขยายสายรถไฟ 14 สายที่วิ่งจากสนามบิน Orly และต่อขยายไปยังสถานีใหม่ Saint-Denis Pleyel

Paris, France – 08 17 2023: Paris 2024 new Olympic infrastructure. Exterior view of the Stade de France building in Saint-Denis

มรดกของวัฒนธรรมจักรยาน 

อีกประเด็นของการเปิดปารีสรับโอลิมปิกคือการที่ปารีสอยากเป็นเมืองแห่งความเคลื่อนไหว เป็นดินแดนแห่งชีวิตชีวา ประกอบกับทิศทางการพัฒนาเมืองของปารีสที่อยากก้าวไปสู่ความยั่งยืน ไม่อยากพึ่งพารถยนต์ จักรยานจึงเป็นสาธารณูปโภคที่ปารีสต้องการให้เป็นวัฒนธรรมและการสัญจรหลัก  

ไม่ใช่แค่นักกีฬาที่จะได้มาแข่งขันกัน แต่ปารีสบอกว่างานในครั้งนี้ คนทั่วไปจะสามารถขี่จักรยานไปในทุกพื้นที่การแข่งขันได้ ปารีสจึงเปิดโครงข่ายจักรยานระยะทาง 60 กิโลเมตร เป็นโครงข่ายสีฟ้าที่มีป้ายนำทางสีสันสดใส นอกจากจะเป็นการวางโครงข่ายจักรยานไว้ในพื้นที่แล้ว ยังเชื่อมโยงยังย่านใหม่แถบแซ็งเดอนีด้วย 

นอกจากทางจักรยานแล้วยังมีพื้นที่อื่นๆ เช่น อุปกรณ์ความปลอดภัยของเลนจักรยาน ราวสำหรับจอดจักรยานที่จะเพิ่มขึ้นหลักหมื่นราว ไปจนถึงการพัฒนาระบบจักรยานเช่ายืมอัตโนมัติ ที่ทำให้เรามีจักรยานใช้และนำไปจอดตามจุดต่างๆ เมื่อใช้เสร็จ ถือได้ว่าแผนโครงข่ายจักรยานของปารีสถือเป็นแผนขยายสาธารณูปโภคจักรยานขนาดใหญ่ไม่น้อย 

ภาพความคึกคักของงานโอลิมปิก การออกไปใช้เวลากลางแจ้ง จึงเป็นภาพสดใหม่ของปารีสที่นำไปสู่ความเคลื่อนไหวของเมืองนับจากนี้

Reinventing Paris
เปิดกิจการใหม่ด้วยโปรเจกต์ยักษ์

ความพิเศษและชาญฉลาดของปารีส ภายใต้การนำของนายกเทศมนตรีหญิงคือการเปิดความร่วมมือผ่านการแข่งขัน Reinventing Paris ที่เริ่มอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคมของปี 2015 การแข่งขัน Reinventing Paris เป็นการประกวดแบบเสนอความคิดระดับนานาชาติ คือปารีสจะเปิดพื้นที่ 23 แห่งที่เมืองครอบครองให้ภาคส่วนต่างๆ เข้ามาเสนอแผนการพัฒนา 

พื้นที่ 23 แห่งนั้น มีทั้งที่ดินเปล่าๆ พื้นที่ร้างๆ ส่วนหนึ่งของวงเวียน พื้นที่ริมถนนวงแหวน สถานีรถไฟเก่า สถานีการไฟฟ้าเก่า ไปจนถึงตึกสำนักงานของรัฐ หลายแห่งเป็นอาคารมรดก ไปจนถึงการพัฒนาย่านขึ้นใหม่ 

เป้าหมายของการพัฒนาหรือโปรเจกต์ที่เสนอเข้ามาคือการคิด จินตนาการการอยู่อาศัยใหม่ ในภาพรวม การพัฒนาจำนวนหนึ่งจึงเน้นพัฒนาเพื่อรองรับคนรุ่นใหม่ เช่น หอพักสำหรับนักวิจัย นักศึกษา เชฟ ไปจนถึงการพัฒนาสถานีไฟฟ้าเก่าไปสู่โรงหนังที่เป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรม 

ผู้ชนะการประกวดจำนวนหนึ่งเป็นสตูดิโอออกแบบระดับโลกที่ต่างพาพื้นที่กายภาพไปสู่จินตนาการของพื้นที่สาธารณะ รวมถึงกิจการและย่านใหม่ๆ ในบรรดาโปรเจกต์เหล่านั้น มีบางส่วนที่สร้างเสร็จแล้ว บางส่วนอาจติดปัญหาด้านงบประมาณ เช่น โปรเจกต์ Mille Arbres ที่ต้องการสร้างพื้นที่สาธารณะที่มีโรงแรมและสำนักงาน พร้อมๆ กับต้นไม้พันต้นบนอาคาร

หลายส่วนเป็นการเปิดพื้นที่เชิงทดลองและเป็นกิจการที่ไม่เน้นแสวงผลกำไรแต่ขยายจินตนาการของพื้นที่ธุรกิจและการอยู่อาศัย เช่น โครงการบ้านพักอาศัย Edison Lite Apartment Building เป็นอพาร์ตเมนต์ที่ให้ผู้ซื้อเข้ามาร่วมออกแบบห้องได้ตั้งแต่ก่อนสร้างและเป็นอพาร์ตเมนต์ที่ออกแบบให้มีผิวดิน มีกระถาง และสวนหลังคา เพื่อให้ประกอบอาหารในที่พักอาศัยได้ ผลคือทำให้อาคารพักอาศัยแห่งนี้ราคาถูกกว่าพื้นที่รอบๆ 30% และมีคนสนใจซื้อนับพันราย

หนึ่งในโปรเจกต์ที่เป็นรูปเป็นร่างคือย่านที่มีชื่อว่า Îlot fertile ย่านพัฒนาใหม่ที่นับเป็นย่านซีโร่คาร์บอนแห่งแรกของปารีส ตัวย่านแห่งนี้พัฒนาจากพื้นที่รูปสามเหลี่ยมที่เคยเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมและถูกทิ้งร้าง ปัจจุบันย่านใหม่นี้ถือว่าสร้างโดยมองคนรุ่นใหม่เป็นผู้อยู่อาศัยสำคัญ 

เพราะมีทั้งอาคารพักอาศัยสำหรับนักเรียนและคนทำงานอายุน้อย มีโรงแรมราคาประหยัดสำหรับนักท่องเที่ยว ตัวพื้นที่ถือว่าทำเลดีมากเพราะเห็นวิวหอไอเฟล ทว่าด้วยความที่เป็นย่านยั่งยืนที่ใช้พลังงานหมุนเวียนทำให้ค่าสาธารณูปโภคและค่าใช้จ่ายภายในย่านมีราคาต่ำกว่า

นอกจากการเป็นพื้นที่พัฒนาเพื่อการอยู่อาศัยและนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่แล้ว ย่านแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของโรงแรมกีฬาแห่งแรกของกรุงปารีส ซึ่งเป็นโฮสเทลราคาประหยัดที่บริหารงานโดย UCPA หรือสหพันธ์ส่งเสริมกีฬากลางแจ้ง อันเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรระดับชาติของฝรั่งเศส 

ตัวโรงแรมกีฬาจะเป็นโรงแรมที่ทั้งบริการที่พัก และมีพื้นที่บริการเกี่ยวกับกีฬาและการออกกำลังกาย เช่น มีฟิตเนส 24 ชั่วโมง ผาจำลอง รวมถึงสนามกีฬาในร่มประเภทต่างๆ แน่นอนว่าโรงแรมกีฬาน่าจะเป็นอีกกิจการเล็กๆ ที่รองรับนักท่องเที่ยววัยรุ่นในช่วงโอลิมปิก นอกจากสาธารณูปโภคแล้วโรงแรมกีฬายังจะมีการจัดทัวร์เมืองปารีสแบบแอ็กทีฟๆ เช่น วิ่งชมเมือง และเที่ยวเมืองด้วยจักรยานและโรลเลอร์เบรด ราคาที่พักอย่างเตียงในห้องพักรวมเริ่มต้นที่ไม่ถึง 1,500 บาท

สุดท้าย งานปารีสโอลิมปิกที่กำลังจะมาถึงเป็นอีกหนึ่งงานใหญ่งานโตซึ่งปารีสเองก็น่าจะถนัด ทั้งการสานต่อรากเหง้าเรื่องราวที่ตัวเองภูมิใจ การหันเหการพัฒนาไปสู่เมืองและวิถีชีวิตแบบใหม่ที่จะมีเวทีโอลิมปิกเป็นเวทีที่ทั่วโลกร่วมรับรู้และมองเห็น ไปจนถึงการพาผู้คนจากทั่วโลกเข้าแข่งขันและช่วยกันคิดพื้นที่เล็กๆ ที่กระจายตัวอยู่ทั่วเมือง

การแข่งโอลิมปิกจึงไม่ใช่แค่การแข่งขัน แต่คือจังหวะโอกาสที่ปารีสจะได้ฉายภาพความเป็นเมืองระดับแนวหน้าที่กำลังก้าวไปสู่นิยามใหม่ ทั้งยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความสดใส และการประดิษฐ์คิดค้นที่ชวนเราคิดถึงการมีชีวิตในรูปแบบใหม่ๆ ต่อไป

อ้างอิง

ขวบปีที่ 14 ของดิบดีแบรนด์สมุดเย็บมือของสาวเชียงใหม่ผู้ไม่ชอบจด แต่ชอบทำสมุดให้น่าตื่นเต้น

นอกจากประเพณีโบราณ อาหารอร่อย และดอยสวย คนที่เคยไปเที่ยวน่าจะรู้กันดีว่าเชียงใหม่คือหนึ่งในเมืองที่งานคราฟต์โดดเด่นไม่แพ้ที่ไหน

ร่ม เครื่องปั้นดินเผา งานถัก งานสาน สิ่งทอ ฯลฯ บอกมาเถอะว่าอยากได้อะไร เพราะสารพัดสิ่งที่คุณนึกออกแทบจะหาซื้อได้ทั้งหมดในเชียงใหม่ 

ไหนๆ ก็ไหนๆ Brand Belief ตอนนี้ขอถือโอกาสนี้แนะนำอีกสิ่ง นั่นคือสมุดเย็บมือ

ดิบดี เป็นแบรนด์สมุดเย็บมือและงานคราฟต์คัดสรรอายุของ แอ๊ว–คณัสนันท์ ตันวัฒนานันท์ หญิงสาวจาวเจียงใหม่แต๊ๆ ที่โปรดปรานสมุดบันทึกเล่มใหม่เป็นที่สุด แอ๊วชอบซื้อสมุดมาสะสมตั้งแต่เด็ก พอขึ้นมหาวิทยาลัยที่ต้องจด วาด เขียนเยอะๆ ก็อยากทำสมุดแบบที่ใช้งานได้สะดวกในแบบฉบับของตัวเองขึ้นมา ด้วยวิธีเย็บเล่มและเลือกสรรกระดาษแบบดิบๆ ที่เธอหาจากอินเทอร์เน็ต

ทำไปทำมา เพื่อนๆ ก็ขอสมัครมาเป็นลูกค้าหลายราย รู้ตัวอีกทีดิบดีก็กลายเป็นแบรนด์สมุดเย็บมือสุดฮิตประจำเชียงใหม่ มีช็อปของตัวเองที่ลูกค้าชาวไทยและต่างชาติแวะเวียนมาไม่ขาดสาย จนปัจจุบันก็เข้าสู่ขวบปีที่ 14 ของแบรนด์ไปแล้ว

ฤดูฝนที่ฟ้าเชียงใหม่กำลังครึ้มได้ที่ เราถือโอกาสนี้บินไปแอ่ว DIBDEE BINDER LAB ช็อปของดิบดีที่เพิ่งเปิดใหม่ และนั่งคุยกับแอ๊วเรื่องความชอบในสมุดบันทึก ความเชื่อในงานคราฟต์ และการเดินทางของแบรนด์สมุดเย็บเล่มและสิ่งอื่นๆ ที่สะท้อนตัวตนของเธอได้ชัดเจนที่สุด

เล่มที่ชอบ

“ความชอบเรื่องสมุดบันทึกติดมากับเนื้อตัวเราตั้งแต่เด็ก” แอ๊วบอก

พ่อแม่ของแอ๊วเป็นครู ที่บ้านของเธอเปิดโรงเรียนกวดวิชา เธอจึงคุ้นเคยกับเสียงเครื่องโรเนียวในบ้านที่ดังอยู่แทบทุกวัน ไหนจะต้องมาช่วยพ่อแม่เรียงชีตสื่อการสอนวิชาต่างๆ และเข้าเล่ม

“เราโตมากับกองกระดาษ ช่วงวันหยุดจะดูละครก็ต้องเรียงชีต รีดกระดาษไปด้วย” 

และเพราะโตมากับกระดาษ แอ๊วจึงโปรดปรานการไปเยี่ยมร้านเครื่องเขียนที่สุด ในโอกาสพิเศษที่เธออยากให้รางวัลตัวเองหรืออ้อนให้พ่อแม่ให้รางวัล เด็กหญิงแอ๊วจะเดินเข้าร้านเครื่องเขียนเท่านั้น

ไอเทมที่ต้องได้ติดตัวกลับมาแทบทุกครั้ง คือสมุดบันทึก 

แปลกดีเหมือนกัน ถึงแอ๊วจะชอบซื้อสมุดบันทึก แต่เธอออกปากว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่ชอบการเขียน การวาด หรือการบันทึกเลย

“เราไม่เคยประสบความสำเร็จกับการบันทึก แต่ชอบการได้เปิดสมุดเล่มใหม่ ปิดเทอมเมื่อไหร่ก็เหมือนเป็นโรค ไล่เปิดสมุดใหม่ทุกเล่ม บางทีเอากระดาษที่ไม่ได้ใช้มารวมเล่มใหม่อีกทีหนึ่งโดยใช้เครื่องมือที่บ้าน” 

มองย้อนกลับไป นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางการเป็น Bookbinder หรือช่างเย็บหนังสือของแอ๊วในทุกวันนี้ก็ได้

เล่มที่ใช่

ความน่าตื่นเต้นของการเจอสมุดเล่มใหม่ กลับมาอีกครั้งตอนเธอเรียนมหาวิทยาลัย

ระหว่างเรียนที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แอ๊วเจอกระดาษหลากหลายแบบที่ใช้ประกอบการเรียน ไม่ว่าจะกระดาษไข กระดาษจดเลกเชอร์ และกระดาษสำหรับวาดเขียน

บางวันที่ต้องเรียนหลายวิชา เธอพบว่าการพกสมุดหลายเล่มกับกองกระดาษเป็นปึกๆ นั้นไม่ตอบโจทย์ แอ๊วกับตุ๋ย–เพื่อนอีกคนที่โปรดปรานการใช้สมุดบันทึกไม่แพ้กัน จึงหาความรู้เรื่องเย็บเล่มง่ายๆ จากเสิร์ชเอนจิ้น แล้วสร้างสรรค์สมุดเล่มพิเศษของตัวเองขึ้นมา จนสุดท้ายก็ได้สมุดหน้าตาน่าใช้ แถมยังใช้งานได้จริง

สมุดเล่มนี้ของแอ๊วสามารถใช้ได้ทุกวิชา จะจด วาด เขียน หรือพลิกหน้าพลิกหลังก็ทำได้ตามใจ 

“เพื่อนคนอื่นเห็นก็ขอให้ทำให้หน่อย แต่เราไม่ทำให้ฟรี ให้เพื่อนซื้อ จากนั้นการทำสมุดก็เริ่มเป็นงานอดิเรก”

รู้ตัวอีกที งานอดิเรกของเธอก็มีลูกค้ามาต่อคิวยาว แอ๊วกับเพื่อนจึงเปิดเพจขายในเฟซบุ๊กจริงจัง และนั่นคือวันที่แบรนด์ดิบดีถือกำเนิด

“ชื่อดิบดีมาจากสมุดเล่มแรกที่เราเย็บ ซึ่งเกิดขึ้นในวันที่กระแสอัพไซเคิลกำลังมาแรง สมุดเล่มแรกของเราใช้กระดาษมือสองมาเย็บด้วยเชือกป่านที่ดิบมากๆ พอเย็บเสร็จเราก็สบถออกมาว่า ‘ดิบดีว่ะ’ ปรากฏว่าเพื่อนชอบมาก ความหมายก็ดีในแง่ที่เราจะขายดิบขายดีด้วย สุดท้ายก็ใช้ชื่อนี้มาตลอด” เธอยิ้ม

เล่มที่ทำขาย

จากแบรนด์สมุดเย็บมือที่ทำเพื่อหาเงินสนุกๆ แอ๊วกับเพื่อนขยับขยายมาสู่เป้าหมายใหม่

“ตอนแรกเป้าหมายไม่ใช่เรื่องธุรกิจเลย เป้าหมายคือเราอยากหาเงินสนับสนุนงานอดิเรกอื่นๆ ของเรา อย่างเพื่อนเราเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก เราเลยเอาสมุดของเราไปฝากขายที่ร้านหนังสือ ‘เล่า’ ถ้าขายได้มูลค่าเท่าไหร่ก็แลกเป็นหนังสือกลับมา”

ส่วนแอ๊วเป็นสายท่องเที่ยว ซึ่งยุคนั้นรายการหนังพาไปกำลังมาแรง แอ๊วจึงได้แรงบันดาลใจว่าหากหนังพาพี่บอล-พี่ยอดไปเที่ยวที่ต่างๆ ได้ เธอจะใช้สมุดเย็บมือนี่แหละเป็นกุญแจพาเธอไปสู่โอกาสใหม่ๆ และเป็นการสร้างรายได้ให้เธอได้ไปท่องโลก

จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่เกิดขึ้นอีกครั้งตอนที่แอ๊วเรียนจบ เธอถามความรู้สึกตัวเองและพบว่าเธอไม่ได้อยากเป็นสถาปนิกขนาดนั้น ตรงกันข้าม หัวใจเธอตะโกนคำว่าผู้ประกอบการเสียงดังกว่า

ปี 2014 ดิบดีเปิดช็อปของตัวเองครั้งแรกริมถนนท่าแพเชียงใหม่ ในเวิ้งเหล็กแดงที่นักท่องเที่ยวแวะเวียนกันไปมาไม่ขาดสาย ด้วยความที่เป็นช็อปเล็กๆ ที่มีต้นทุนจำกัด ดิบดีจึงต้องแชร์พื้นที่ในร้านร่วมกับธุรกิจร้านกาแฟและเครื่องประดับของเพื่อน

“เหตุผลที่เราคิดว่าน่าจะเวิร์กคือทั้ง 3 ธุรกิจซัพพอร์ตกัน เพราะมองในองค์รวมว่าร้านมีความอาร์ตและคราฟต์ และมีกาแฟที่ทำให้ลูกค้าอยู่ในร้านนานขึ้น” เธอวิเคราะห์

เล่มที่ไม่มีเบื่อ

ถ้าจะให้นิยามสมุดของดิบดีได้ดีที่สุด เราอาจพูดได้ว่าสมุดของดิบดีเป็นสมุดของคนขี้เบื่อ

“พอได้มาเย็บสมุดจริงๆ เราค้นพบคำตอบว่าทำไมตอนเด็กๆ เราถึงชอบเปิดเล่มใหม่แต่ไม่เคยใช้เล่มเก่าๆ ได้จนจบเล่มเลย นั่นเพราะกระดาษในเล่มมันเหมือนกันไปหมด และเราเป็นคนขี้เบื่อกับอะไรที่เหมือนเดิม” แอ๊วย้ำ

“เพราะฉะนั้น สมุดของดิบดีจะคละกระดาษในหนึ่งเล่มเยอะมาก ทุกหน้าที่กระดาษเปลี่ยนเนื้อ เราจะรู้สึกว่าเราได้เริ่มต้นใหม่ในเล่มเดิม มันเหมือนได้ให้โอกาสตัวเองได้ลองขีดลองเขียนอีกหลายๆ ครั้ง สิ่งที่เคยเขียนไปแล้วผิดพลาดไม่เป็นไร เริ่มกับกระดาษหน้าใหม่ได้ตลอด”

มากกว่านั้น แอ๊วยังรู้สึกว่า สมุดเย็บมือมีความเป็น ‘มนุษย์’ มากกว่าสมุดทั่วไป

“ไม่ใช่เพราะมันทำด้วยมือนะ แต่สมุดทุกเล่มถูกคิดบนพื้นฐานความต้องการของผู้ใช้มากกว่าเงื่อนไขของระบบอุตสาหกรรม มันไม่ได้ถูกคำนวณว่ากระดาษแบบนี้ต้องทำพันเล่มหมื่นเล่มแล้วจะได้กำไร แต่พอเราทำมือแล้วเราไม่ได้คิดเรื่องต้นทุนขนาดนั้น เราคิดแค่ว่าในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่มีความหลากหลายอยู่ในตัวเอง เราต้องการสมุดแบบไหน”

สมุดของดิบดีมีทั้งแบบสต็อกและ made-to-order บางเล่มเป็นสมุดหนา บางเล่มบางแค่ไม่กี่หน้า  บางเล่มมาพร้อมโจทย์ว่าอยากให้เก็บได้นานๆ จึงต้องใช้การเย็บที่แข็งแรง ในขณะบางเล่มเจ้าของก็อยากให้เป็นหนังสือท่องเที่ยวที่สามารถเก็บตั๋วหรือโปสต์การ์ด จึงต้องเย็บแบบหลวมๆ เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับสิ่งของเหล่านั้น

“สมุดของดิบดีเปลี่ยนได้เรื่อยๆ บางเล่มเป็นสมุดของนักเดินทาง บางเล่มเป็นสเกตช์บุ๊ก บางเล่มเป็นของที่ระลึกนักท่องเที่ยว แต่สุดท้ายแล้วถ้าพูดถึงเอกลักษณ์ของดิบดีจริงๆ เราคิดว่าเป็นเรื่องของลายเย็บ เราหมกมุ่นกับการตามหาลายเย็บใหม่ๆ ซึ่งแปรเปลี่ยนไปตามโจทย์ของลูกค้า จริงๆ การเย็บสมุดของดิบดีก็ใช้วิธีคิดเหมือนสถาปนิกเหมือนกัน เขาสร้างบ้านเพื่อแก้ปัญหาให้ผู้เข้าพัก เราก็ทำสมุดที่แก้ปัญหาให้ผู้ใช้”

เพราะเชื่อในความหลากหลาย ภายหลังแบรนด์ดิบดีจึงไม่ได้ขายแค่สมุด แต่มีไอเทมงานคราฟต์ต่างๆ ซึ่งล้วนช่วยสร้างบรรยากาศการจดบันทึกให้รื่นรมย์ขึ้น ไม่ว่าเครื่องเขียน ของกระจุกกระจิก ของใช้ และของตกแต่งบ้านสไตล์วินเทจที่แอ๊วเชื่อว่าคนที่ชอบสมุดของดิบดีจะต้องชอบสิ่งเหล่านี้เหมือนกัน

เล่มที่สร้างด้วยแพสชั่น

ณ วันที่ดิบดีเปิดช็อปครั้งแรก การจะหาแบรนด์สมุดเย็บมือในเชียงใหม่ยังถือเป็นเรื่องยาก ดิบดีจึงถือเป็นแบรนด์แรกๆ ที่ปลุกตลาดนี้ 

“เราไม่ได้มองว่าตลาดเล็กเกินไป แต่เราเติบโตไปพร้อมๆ กับตลาดมากกว่า ดิบดีไม่เคยขาดลูกค้าเลย เพราะบางครั้งลูกค้าหลายคนจะนำความท้าทายใหม่มาให้เราเสมอ บางครั้งเขาอยากได้กระดาษหรือเทคนิคการเย็บใหม่” แอ๊วเผย 

อย่างไรก็ดี อาจพูดได้ไม่เต็มปากนักว่าการทำแบรนด์ดิบดีเป็นงานที่ทำเพื่อเลี้ยงชีพ นั่นเพราะแอ๊วทำงานหลายอย่าง แต่ละอย่างก็ต่อยอดมาจากความชอบและความถนัดของเธอ

“เราทำหลายสิ่งควบมาเสมอ ทั้งเป็นบาร์เทนเดอร์ที่บาร์ North Gate เป็นสไตลิสต์ และมีแบรนด์ของตัวเอง ถ้าถามว่าดิบดีเลี้ยงเราได้ไหม เราเชื่อว่ามันเลี้ยงได้ แต่เราไม่เคยให้น้ำหนักว่ามันต้องเลี้ยงเรา ดิบดีจึงเป็นงานที่ตอบแพสชั่นมากกว่าเรื่องการเงิน และการเงินไม่เคยเป็นอุปสรรคในการทำงานของเรา”

เช่นเดียวกับทุกธุรกิจ ดิบดีมีวันที่หลง มีวันที่งง มีวันที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหา

“ที่ผ่านมาดิบดีก็มีจุดที่เคว้งนะ” เธอเล่าต่อ “มันคือจุดที่แบรนด์สร้างมาพักหนึ่งแล้วไม่รู้จะไปต่อทางไหน บางคนที่เขาทำคล้ายๆ กันก็โตไปทางจัดเวิร์กช็อป ขายประสบการณ์ให้ผู้ใช้ บางคนก็เน้นขายสินค้าไปเลย เราถามตัวเองแล้วได้คำตอบว่าอยากโตไปทุกทางนั่นแหละ พยายามบาลานซ์ให้ตัวเองอยู่ในจุดที่ไปทางไหนก็ได้ และปล่อยให้โอกาสมันพาเราไปเรื่อยๆ”

หญิงสาวเจ้าของแบรนด์บอกเราอีกว่า ในวันที่หลงๆ งงๆ การกลับมาอยู่กับสมุดนี่แหละช่วยให้เธอผ่านเวลานั้นได้อย่างไม่ยากลำบากจนเกินไป

“ส่วนตัวรู้สึกว่าการได้ทำสมุดเป็นการเยียวยาตัวเอง ในวันที่งานหนักมากๆ แล้วเราได้มานั่งพัก เย็บสมุดเล่นๆ มันเป็นช่วงที่เราได้หยุดความวุ่นวายต่างๆ แล้วอยู่กับมันโมเมนต์นี้ฮีลเราได้ เป็นเซฟโซนของเรา”

เล่มที่เปิดโอกาส

จากช็อปแรกของดิบดีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นช็อปที่รวมงานคราฟต์สวยๆ   ดิบดีย้ายร้านและแปลงโฉมตัวเองหลายครั้งหลังจากนั้น ทั้งการเปิดช็อปเล็กๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของโรงแรม The Localist ย่านช้างม่อย ตั้งช็อปใหม่ของตัวเองอย่างเป็นทางการในย่านเดียวกันชื่อ dibdee.binder ไหนจะแวะเวียนมาเปิดบูท จัดกิจกรรมที่กรุงเทพฯ เมื่อมีโอกาส

ในวาระที่แบรนด์เดินทางมาถึงปีที่ 10 พอดิบพอดี ดิบดีก่อตั้ง DIBDEE BINDER LAB ช็อปอีกสาขาที่อยู่ภายในพื้นที่ของโรงแรม The Hotel Journal ที่แอ๊วเป็นเจ้าของ นอกจากจะขายสมุดและโปรดักต์อื่นๆ เหมือนเดิม เธอยังเปิดรับงานผลิตสิ่งพิมพ์ของลูกค้า บางครั้งเป็นสมุดของที่ระลึกที่ลูกค้านำไปขายต่อ บางทีก็เป็นหนังสือที่ต้องการความคราฟต์พิเศษ เช่น อาร์ตบุ๊ก ชีวประวัติ หรือหนังสือของนิทรรศการศิลปะที่ต้องการการเย็บเล่มที่ทนทานและเก๋ไก๋ 

พ้นไปจากนั้น  แอ๊วยังตั้งใจอยากให้ที่นี่เป็นพื้นที่ในการทำเวิร์กช็อปและกิจกรรมอื่นๆ ของดิบดีในอนาคต  

“เราอยากทำให้ที่นี่เป็นแล็บงานคราฟต์ด้าน bookbinding ให้กับคนที่สนใจหรือคนที่เคยมาทำสมุดกับดิบดีได้มาทำงานของตัวเอง เป็นเหมือน craft-working space ที่เราใช้เครื่องมือร่วมกัน ปรึกษากัน หรือให้เราเป็นเมนเทอร์ได้ พิเศษกว่านั้นคือคราวนี้เรามาใช้พื้นที่ของโรงแรมที่เราทำเองด้วย ในอนาคตก็อยากให้มีโปรเจกต์ artist residency ที่ให้ศิลปินมาพักที่โรงแรมเรา พัฒนางานของเขาที่ DIBDEE BINDER LAB และจัดแสดงงานของเขาในแกลเลอรีของโรงแรมได้เลย” 

กว่า 10 ปีที่ก่อตั้งแบรนด์ และค่อนชีวิตที่คลุกคลีกับสมุดทำมือ ความฝันในวันนี้ของแอ๊วคือการอยากให้ดิบดีพาเธอออกเดินทางอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ หญิงสาวจะไม่ได้ออกเดินทางในฐานะนักท่องเที่ยว ทว่าเธอจะเป็นช่างเย็บสมุดที่อยากเดินทางไปเจอช่างหลายๆ คนทั่วโลกเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้มาพัฒนางานของตัวเองให้ดีขึ้น

“ถามว่าการทำแบรนด์นี้ปลดหนี้ให้เราไหม ไม่ขนาดนั้น แต่มันถือว่าเป็นรากที่ทำให้เราเข้มแข็ง ยืนหยัดอยู่กับสิ่งเดิมๆ ได้นาน ณ วันนี้เราก็ไม่ได้ตั้งเป้าว่าดิบดีต้องมียอดขายเท่าไหร่ มีคนในองค์กรกี่คน ส่งขายกี่ประเทศนะ แต่สิ่งที่ทำให้อยากทำต่อคือเราอยากรู้ว่าดิบดีจะพาเราไปทางไหน เจออะไรต่อ และเราอยากเห็นมันพัฒนาต่อยังไง

“กว่า 10 ปีที่เปิดแบรนด์มา ดิบดีทำให้เรารู้ว่าเรามาถึงวันนี้ได้เพราะเราเคารพตัวเอง และมันเป็นจุดที่ย้ำเตือนเราว่าเพราะเราเคารพตัวเอง เชื่อในตัวเอง เราจึงมีวันนี้

“เวลาเราทำสมุด เราเหมือนอยู่กับเพื่อนที่ไม่ต้องพูดก็ได้ มันเหมือนเราได้เป็นตัวเองโดยไม่ต้องพยายาม ไม่ต้องต่อสู้กับอะไรเลย ทำไปเรื่อยๆ จนสำเร็จ พอเราให้เวลากับมัน เราจะเห็นเลยว่าถ้าเราทำอย่างใส่ใจ สุดท้ายแล้วผลตอบรับจะโอเคเอง” แอ๊วระบายยิ้ม



Net Zero ยังไงให้ไม่ตกขบวน บทสรุปจากงาน ASEW 2024

หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของโลกในตอนนี้คือการก้าวไปสู่ ‘สังคมคาร์บอนต่ำ’ โดยแผนการเบื้องต้นที่ภาครัฐประกาศออกมาจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ Net Zero Carbon ให้ได้ร้อยละ 30-40% ภายในปี 2030 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065 ฟังดูเป็นแผนงานและความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ที่ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตดังกล่าว 

ภายในงาน ‘ASEAN Sustainable Energy Week 2024’  ที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นานได้เผยให้เห็นแล้วว่า การลงมือปรับเปลี่ยน ‘ห่วงโซ่อุปทาน’ ในภาคอุตสาหกรรมไทย คือฟันเฟืองสำคัญที่จะทำให้เป้าหมาย Net Zero Carbon เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม แต่วิธีลงมือปรับเปลี่ยนแบบไหนที่จะทำให้แต่ละองค์กรไม่ตกขบวนเทรนด์ที่ว่า ขอชวนมาหาคำตอบไปพร้อมกันจาก Key Note ตอนนี้ 

ต้องเรียนรู้และเข้าใจเรื่อง alternative energy 

โจทย์ใหญ่โจทย์แรกคือทำยังไงให้ผู้ประกอบการตั้งแต่รายเล็กจนถึงรายใหญ่เข้าใจถึงการใช้พลังงานทางเลือก หรือ alternative energy เพื่อทดแทนการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากฟอสซิล ทั้งที่เป็นถ่านหินหรือแก๊สธรรมชาติ  ซึ่งมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ยปีละ 1.87 พันตัน ที่แม้จะอยู่ในอัตราเฉลี่ยที่น้อยกว่าประเทศแถบยุโรป ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปีละ 2.02-3.05 พันตัน ทว่าตัวเลขดังกล่าวก็ไม่ใช่ตัวเลขที่น่าพึงพอใจในระยะยาวสักเท่าไหร่นัก

วัฒนพงษ์ คุโรวาท อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ระบุว่า ณ เวลานี้ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน กำลังจัดทำแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (Alternative Energy Development Plan: AEDP 2024) และแผนอนุรักษ์พลังงาน (Energy Efficiency Plan: EEP 2024) เพื่อสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ หันมาใช้พลังงานทดแทนอย่างจริงจัง 

คำถามต่อมาคือพลังงานทดแทนที่เหมาะจะใช้ในภาคอุตสาหกรรมมีอะไรบ้างนั้น วัฒนพงศ์ได้จำแนกออกมาเป็น 3 ข้อหลักๆ ได้แก่

  1. biomass–แหล่งพลังงานทดแทนจากพืช ที่หาได้จากเศษวัสดุเหลือใช้จากผลผลิตทางการเกษตร เช่น เหง้ามันสำปะหลัง ฟางข้าว ปลายไม้ยางพารา ลำต้นปาล์มน้ำมัน แกลบ อ้อย ฯลฯ 
  2. biogas–ไบโอก๊าซ หรือก๊าซที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ได้จากการย่อยสลายอินทรียวัตถุ เช่น ก๊าซมีเทน (CH4), ก๊าซออกซิเจน (O2), ก๊าซไฮโดรเจน (H2), ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) และก๊าซไนโตรเจน (N2) โดยก๊าซเหล่านี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งการหุงต้มหรือการให้แสงสว่าง
  3. solar cell–แหล่งพลังงานทางเลือกใหม่ ที่เปลี่ยนพลังงานจากแสงอาทิตย์ให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้า เหมาะสำหรับการใช้ในภาคอุตสาหกรรมใหญ่ที่มีกำลังผลิตสูง เนื่องจากเป็นแหล่งพลังงานสะอาดที่มีทรัพยากรไม่จำกัดและนำไปใช้ได้ทันที

อย่างไรก็ตาม วิธีปรับเปลี่ยนข้างต้นอาจเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายน้ำ ฉะนั้นการปรับเปลี่ยนที่แท้จริงควรเริ่มจากรั้วสถาบันการศึกษา ที่ต้องบรรจุความรู้เรื่องพลังงานทดแทนแก่นักเรียน นักศึกษา เพื่อเตรียมพร้อมสู่การทำงานในอนาคต และยังต้องสร้างหลักเกณฑ์ที่สนับสนุนภาคอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ SME ที่หันมาใช้พลังงานทดแทน เช่น การให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ที่ติดตั้งอุปกรณ์แผงโซลาร์เซลล์ 

battery passport รองรับการเติบโตของเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า

ถ้าพูดถึง Net Zero Carbon เรื่องของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าย่อมเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยข้อมูลจากสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าแห่งประเทศไทยระบุว่า 2566 มียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าถึง 49,952 คัน ขณะที่ไตรมาสแรกถึงไตรมาสที่สองของปี 2567 (ถึงเดือนพฤษภาคม) มียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 10,789 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนในช่วงเดียวกันราว 34.64% 

ที่น่าสนใจคือเมื่อมีการสนับสนุนให้ภาคประชาชนและภาคเอกชนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง แล้วแบตเตอรีที่หมดอายุการใช้งานจะมีมาตรการหรือวิธีจัดการใดๆ รองรับหรือไม่ ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล นายกสมาคมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) ได้แนะนำมาตรการที่ภาครัฐและผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าสามารถลงมือทำได้ทันที คือการจดทะเบียน ‘battery passport’ ที่ระบุข้อมูลการจดทะเบียน เช่น วันที่ผลิตและวันที่หมดอายุ เมื่อหมดอายุแล้วปลายทางของแบตเตอรีนี้จะถูกส่งไปที่ใด และผู้ผลิตรถยนต์จะนำรีไซเคิลยังไง 

ข้อมูลจากการจดทะเบียนแบตเตอรียังสามารถนำไปวิเคราะห์ต่อได้อีกว่า อายุการใช้งานของรถยนต์ไฟฟ้าหนึ่งคันมีส่วนช่วยลดปัญหาการสร้างคาร์บอนได้มาก-น้อยขนาดไหน และสอดคล้องต่อเป้าหมาย Net Zero Carbon ได้จริงหรือไม่นั่นเอง

เกษตรกรเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยโมเดล BCG

สุดท้ายคือเรื่องของโมเดลเศรษฐกิจแบบ BCG หรือ Bio-Circular-Green Economy ที่ ดร.นภัส แก้วตระกูลชัย คณะกรรมการจัดงาน และผู้ทรงคุณวุฒิการประชุมนานาชาติ ASEAN Bioeconomy and Bioeconomy Conference 2024 ระบุว่า เป็นโมเดลสำคัญที่ควรนำมาปรับใช้กับภาคการเกษตรเพื่อผลักดันประเทศสู่ carbon economy ในฐานะประเทศผู้นำด้านอุตสาหกรรมการเกษตร โดยโมเดล BCG แบ่งออกเป็น 3 หัวข้อ 

  1. bioeconomy–เศรษฐกิจชีวภาพที่นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่มาต่อยอดสู่ ‘ทรัพยากรชีวภาพและผลผลิตทางการเกษตร’ เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า เช่น การพัฒนาธัญพืชหรือข้าวให้มีสารอาหารมากขึ้น
  2. circular economy–การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมๆ กับการลดปริมาณของเสียจากภาคการผลิต ด้วยการนำมาแปรรูปใหม่ หรือที่เรียกว่า Zero Waste 
  3. green economy–การพัฒนาเศรษฐกิจไปพร้อมกับการพัฒนาและรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่วนใหญ่เกิดได้ในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เช่น การควบคุมมลพิษ หรือการประชาสัมพันธ์ให้ตระหนักถึงคุณค่าของธรรมชาติ เพื่อให้สิ่งแวดล้อมเป็นไปอย่างยั่งยืน

ทั้งหมดนี้เป็นข้อเสนอแนะเบื้องต้นในการมุ่งสู่สังคมปลอดคาร์บอนเท่านั้น ยังมีวิธีอีกมากมายที่ทุกภาคส่วนสามารถร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อไปถึงเป้าหมายดังกล่าว แต่สิ่งที่สำคัญคือการสร้างความเข้าใจต่อทุกๆ ฝ่ายว่า ประโยชน์ของ Net Zero Carbon ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่งแต่เป็นของเราทุกๆ คนบนโลกใบนี้

เต้นรำไปกับ Rumba Bor แบรนด์สารพัดงานดีไซน์ที่พลิกความแมส เชย และเก่าเก็บให้เซ็กซี่

“เราชื่อรัมภา แต่ครอบครัวชอบเรียกว่ารัมบ้า เพราะเราบ้า ส่วนสินค้าแรกที่ขายชื่อเก้าอี้เฌย มาจากที่มันเป็นเก้าอี้ที่ใครเห็นก็บอกว่าเชยมาก แต่น้องในทีมบอกว่า ช ช้างมันธรรมดาไป ขอเปลี่ยนเป็นฌ เฌอว่าเฌยแล้วกัน”

หญิงสาวตรงหน้าเรานี้มีนามว่า รัมภา ปวีณพงษ์พัฒน์ อดีตนักเรียน Fine Arts ที่เติบโตมากับความหลงใหลของกระจุกกระจิกสีสันแปลกตา และคลั่งไคล้การเดินเตร็ดเตร่เพื่อชมสารพัดของโบราณข้างถนน 

จากความชอบนั้นเอง รัมภาจึงคลอด Rumba Bor แบรนด์ดีไซน์ที่หยิบสารพัดของแมสที่หลายคนอาจมองว่าเช้ยเชยมาพลิกแพลงให้ร่วมสมัยและเต็มไปด้วยสุนทรียะ ทั้งเก้าอี้นาม ‘เฌย’ ที่มีเฉดสีสะดุดตาพร้อมลวดลายสะดุดใจ หรือจะเป็นสินค้าตัวใหม่ที่หยิบเอาลูกกรงโรมันเก่าเก็บมาสะบัดความเชยให้ชิคขึ้น

ความชอบเล่นชอบลองของเธอ ทำให้ของเชยๆ ที่หลายคนอาจคิดว่าไม่น่าขายได้กลับได้รับความสนใจจนได้ผลิตล็อตต่อๆ มา จากที่หลายคนเคยหันหลังให้กับสุนทรียะแบบโบราณสมัยพ่อแม่ปู่ย่าตายาย รัมภากลับทำให้พวกเขากลับมาสปาร์กจอยกับของเหล่านั้นได้อีกครั้ง 

บ่ายวันธรรมดา ในย่านเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยข้าวของที่รัมภาหลงใหล เรานัดกับเธอที่ Jeen coffee bar หน้าร้านแห่งแรกๆ ของ Rumba เพื่อชมเฌย ก่อนที่รัมภาจะพาเราไปเผยถึง 4P และอีก 1 หัวใจที่เธอใช้กระชากทุกความเชยให้กลายเป็นความชิคที่ใครก็อยากจับจอง

Product
ลองเฌย

 ก่อนจะกำเนิดเฌยอย่างทุกวันนี้ รัมภาเท้าความให้ฟังว่าที่จริงเก้าอี้เฌยเคยมีบรรพบุรุษมาก่อน

ผู้ตั้งต้นต้นแบบเก้าอี้เฌยนั้นคิดผลิตเก้าอี้จีนวัสดุ PVC ออกมาขายแต่อาจด้วยยุคสมัยและราคาที่หลายคนน่าจะมองว่าแพงเกินไปสำหรับเก้าอี้พลาสติก บรรพบุรุษของเฌยจึงไม่ได้แจ้งเกิด

“เราเลยคิดว่าถ้าเอามาทำแบรนดิ้งใหม่ นำเสนอให้มันดูน่าตื่นเต้นขึ้น เพิ่มสีเข้าไปให้มันจี๊ดจ๊าด ทำให้มันเป็นเก้าอี้ที่ไม่ได้มีเอาไว้นั่งเฉยๆ แต่เป็นเก้าอี้ที่มีติดบ้านแล้วใช้งานได้หลากหลาย วางต้นไม้ วางพัดลม วางข้างหัวเตียง เหมือนเป็นของตกแต่งชิ้นหนึ่ง มันก็น่าจะดี”

แรกเริ่ม เฌยมีด้วยกัน 2 สี คือสีใสและขาวขุ่น ก่อนที่รัมภาจะใช้ความเป็นศิลปินที่ชอบทดลอง และหาคำตอบระหว่างกระบวนการมาเป็นตัวตั้ง จนรังสรรค์เป็นเฌยคอลเลกชั่น ‘รวมมิตร’ ที่มีมากถึง 11 สีในล็อตแรก และในล็อตใหม่ๆ ก็จะมีสีเพิ่มมากขึ้น 

“มันเริ่มจากถามซัพพลายเออร์เม็ดพลาสติกรีไซเคิลว่าเขามีกี่สี แล้วเราก็เอามาทุกสี สีละ 2 ถุง โดยที่ยังไม่มีแพลนหรอกว่าจะผสมยังไง บอกน้องในทีมว่าเดี๋ยวไปดูหน้างาน ด้วยเราเป็นคนค่อนข้าง spontaneous เพราะรู้สึกว่าถ้ามีแพลนก่อนมันจะตีกรอบสิ่งที่เราอยากทำ 

“เรามีแค่โครงในหัวว่ามีเวลาฉีด 2 วัน วิธีการเป็นยังไงบ้าง จากนั้นก็ลองหยอดๆ ไป น้องที่ทำงานคนหนึ่งก็บอกว่าพี่มันต้องจดสัดส่วน เขาก็คงคิดว่าเราทำอะไรอยู่วะเนี่ย แต่พอสุดท้ายทุกคนเห็นผลลัพธ์ที่ออกมา ทุกคนก็เริ่มเข้าใจว่าเราอยากจะเล่นกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้เพื่อให้มันเกิดเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่ง” 

การสร้างสรรค์สินค้าที่มาจากการทดลองนี้เองทำให้แต่ละสียังมีเฉดแยกย่อยของตัวเอง ความน่ารักคือชื่อแซ่ของเฌยแต่ละสียังตั้งได้มีจริต เช่น สีเขียวใบเตย สีฟ้าอัญชัน สีน้ำตาลซาสี่ สีเขียวขาวตะโก้ หรือสีแดงพริกที่รัมภาเล่าว่ามาจาก ‘พริงแห้งแสบตูด’ ที่พ่อของเธอตั้งให้

“ตอน 2 สีแรกออกมา คนรอบข้างก็บอกว่าไม่ต้องทำแล้ว แต่เราก็รู้สึกว่าเฌยมันมีอะไรและมันมีทางที่ต่อยอดและเล่นได้อีกเยอะจนได้ออกมาเป็นรวมมิตรและลูกชุบที่ใน 1 ตัวจะมีหลายสีผสมกันนี่แหละ”

กระชากเฌย

วันนี้เฌยกลายเป็นสินค้าหลักของ Rumba ที่ทำให้ห้างร้านรู้จักและอยากติดต่อไปวางขาย จึงเป็นแนวทางให้ Rumba เป็นแบรนด์ดีไซน์ที่กระชากทุกความเชยให้ชิค

“ถ้าถามว่า Rumba คืออะไร เราว่ามันคือแบรนด์ที่เอาภูมิปัญญาเก่าๆ ที่มันแมส มัน kitsch และคนมองข้ามมาดัดแปลงใหม่” รัมภานิยามแบรนด์ที่ปั้นมากับมือ 

 “เรารู้สึกว่าของแมสมันมีความสะเหล่อ แต่พอใช้คำว่าสะเหล่อแล้วมันจะดูแย่ซึ่งจริงๆ เราไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่มันคือความ kitsch ที่เราว่ามันมีเสน่ห์ เช่น โต๊ะหินอ่อน โต๊ะทรงสตรอว์เบอร์รี ตะกร้าสีแจ๊ดๆ ในความแมสที่เราว่ามันมีอะไรตรงนี้แหละ คนอื่นอาจจะมองข้ามแต่เราอยากทำให้คนหันกลับมามองว่ามันมีอะไร”

เป็นที่มาของสินค้าที่สองของ Rumba อย่าง ‘เฌิง’ ที่หยิบเอาลูกกรงโรมันที่คนทั่วไปนำไปสร้างบ้านหรือวัด มาผสมผสานกับเฌยจนกลายเป็นศิลปะชิ้นใหม่ที่นำไปวางของก็ได้ หรือตกแต่งเพิ่มความแตกต่างให้บ้านก็ดี

“ตอนแรกจะตั้งชื่อว่าดอกจอก แต่กลัวเพื่อนเรียกว่ากระจอก เลยตั้งว่าเฌิงซึ่งมาจากเชิงเทียน” ตัวเสานั้นทำจากสเตนเลส 304 ที่แม้จะ dead stock แต่ไม่มีสนิม ภายนอกอาจดูหวาน แต่ที่จริงนั้นแข็งแรงไม่น้อย

 “เราคิดของต่างๆ โดยใช้ aesthetic นำก็จริง แต่เราก็ให้ความสำคัญกับฟังก์ชั่นนะ เพราะการที่มันฟังก์ชั่นแปลว่ามันจะอยู่ได้นาน ไม่พังง่ายๆ อย่างเก้าอี้เฌยมันอาจจะไม่ใช่เก้าอี้ที่นั่งสบายที่สุด แต่มันนั่งได้จริงๆ และแข็งแรงมาก 

“มีลูกค้าคนหนึ่งเขาซื้อลูกชุบไป 4 ตัว เราก็ถามว่าเอาไปทำอะไรคะ 4 ตัว เขาบอกว่าเขาชอบลูกชุบมาก เขาจะเอาไปนั่งกินหมูกระทะ” รัมภาหัวเราะ 

นอกจากเรื่องการใช้งาน อีกสิ่งที่เธออยากให้คนรู้สึกเมื่อได้รับของ Rumba ไปคือเธออยากกระตุ้นให้คนมองของเชยๆ เป็นของที่มีค่ามากขึ้น 

“ไม่ใช่แค่ตัวเก้าอี้หรือของที่เราทำนะ แต่กระทั่งเวลาเดินข้างถนนแล้วเห็นลูกกรงหรือเห็นเหล็กดัด เราก็อยากทำให้คนเริ่มสังเกต ตื่นเต้น หรือเห็นค่าของเหล่านี้”

ชมเฌย

“ถ้าเจอชุดว่ายน้ำ 2 แบรนด์ แบรนด์หนึ่งขายถูกกว่า อีกแบรนด์ขายแพงแต่ทำมาจากพลาสติกรีไซเคิล เราก็จะเลือกแบรนด์ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิลนะ เพราะถ้าไม่ซื้อของมือสองไปเลย เราก็อยากซื้อของที่มันยั่งยืนจริงๆ พอมาทำแบรนด์เอง เราเลยไม่อยากทำแบรนด์ที่มันสร้างขยะเพิ่มให้โลก”

เมื่อชมเฌยสารพัดสินค้าของ Rumba จากภายนอก เราอาจมองเห็นเพียงความสวยงาม แต่เมื่อซูมให้ลึกลงไปแล้วนั้น สิ่งที่รัมภาให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือเรื่องความยั่งยืน

อย่างพลาสติกที่นำมาทำเฌยก็เป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ลูกกรงเซรามิกที่นำมาทำเฌิงก็เป็นของ dead stock ที่ผู้ผลิตบอกว่าไม่มีใครซื้อไป อีกสิ่งที่เราว่าน่าสนใจคือเจ้าเก้าอี้เฌยคอลเลกชั่น ‘แหว่ง’ ที่รูปทรงอาจไม่สมบูรณ์ แต่ความสวยงามไม่ได้ลดน้อยลง

“ตอนโรงงานวอร์มเครื่อง มันจะฉีดได้ไม่เต็มโมลด์ บางคนอาจเลือกเอาไปทิ้งหรือบดทำใหม่ ซึ่งมันไม่ใช่ไม่ดีนะ แต่เปลืองพลังงาน เราเลยเชื่อมโยงกับสิ่งที่เรียนมาว่าถ้าเรามองของที่มันเป็น waste ให้เป็น potential แทน มันก็สร้างมูลค่าได้และไม่สิ้นเปลืองด้วย เป็นที่มาของแหว่ง ที่บางคนอาจจะไม่เลือกซื้อเพราะมันแหว่ง แต่มันกลับน่าตื่นเต้นสำหรับบางคน

“หรือบางอันที่สีมันออกมาเพี้ยนๆ เราก็แค่จับคู่สีให้มันก็สวยแล้ว บางชิ้นที่ดูเหมือนมีกากเพชรมันมาจากการเกิดฟองอากาศในขั้นตอนการฉีด ในเชิงการใช้งานมันไม่ได้มีผลขนาดนั้น เพราะด้วยโมลด์เก้าอี้เฌยหนากว่าเก้าอี้พลาสติกทั่วไปอยู่แล้ว แล้วเราก็มีที่ยึดน็อต เพียงแต่ถ้านำไปใช้งานก็แนะนำให้รับน้ำหนักไม่เกิน 100 กิโลกรัม”

ดีไซน์ที่โดดเด่น วิธีการที่ทำของแมสที่คนคุ้นเคยให้สะดุดตา แถมยังดีต่อโลกด้วยนี้เอง ที่ทำให้คนต่างก็อยากได้สารพัดสินค้าจาก Rumba ไปครอบครอง

Price

รัมภารู้ดีว่าการตั้งราคาให้กับของที่มีความกึ่งแมสกึ่ง niche แบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ครั้นจะตั้งราคาสูงเมื่อมองในมุมของผลงานศิลป์ ก็เกรงว่าคนจะเข้าไม่ถึงและเอื้อมไม่ได้ แต่ครั้นจะตั้งราคาถูกเพื่อดึงคนหมู่มาก ก็ใช่ว่าจะขายได้และยั่งยืนเสมอไป

ราคาปัจจุบันของเฌยและเฌิงนั้นอยู่ที่หลักพัน ซึ่งแรกเริ่มที่ยังไม่มั่นใจว่าจะขายได้หรือไม่ รัมภาและทีมจึงตั้งราคาแบบลืมคิดถึงต้นทุนแฝง

“เราทำเก้าอี้ 111 ตัว แต่ละตัวมีสีที่ไม่เหมือนกัน เราต้องมาถ่ายรูปอย่างละ 3 มุม ก็กลายเป็น 333 รูป มันทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น แล้วสมมติว่าเรายิงแอดสีนี้แต่สีนี้ขายหมดแล้ว เราก็ยิงต่อไม่ได้ ต้องเปลี่ยนภาพ แปลว่า cost มันงอกขึ้นมา ไหนจะเรื่องการจัดเก็บ การแพ็กอะไรอีก มันมีต้นทุนแฝงเกิดขึ้นเยอะมาก ไหนจะค่าความครีเอทีฟของผลงานอีก”

กลายเป็นว่ากลุ่มลูกค้าของเธอนั้นมีจริงๆ และยังเป็นกลุ่มที่เข้าใจและเต็มใจที่จะซื้อเก้าอี้ราคาหลักพันไปประดับบ้านครั้งละหลายตัว

“ส่วนใหญ่ลูกค้าเราเป็นคนติสท์ๆ แต่บางคนก็หรูเลย อีกสิ่งที่แปลกใจคือกลุ่มเด็กมหาวิทยาลัยและเด็กจบใหม่ เพราะตอนแรกเราไม่คิดว่าเด็กจะมาซื้อของราคานี้ แต่เราก็เซอร์เวย์กับน้องในออฟฟิศแล้วแหละว่าถ้าเขาชอบจริงๆ เขาก็ซื้อ เท่าที่ดูกลุ่มลูกค้าก็คือคนทำงานครีเอทีฟแหละ เพียงแต่ว่าเขาจะครีเอทีฟด้านไหน ก็แตกต่างกันไป” รัมภาสรุป 

Place

Rumba เน้นขายของในช่องทางออนไลน์เป็นหลัก นั่นจึงมีผลต่อการทำสินค้าให้สามารถถอดประกอบเองได้ 

เราเน้นขายออนไลน์ในช่วงแรกเพราะว่าของเราแต่ละชิ้นมันไม่เหมือนกันเลย การจะจัดการสต็อกมันก็ยาก แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากขายออฟไลน์นะ แค่กำลังอยู่ในขั้นตอนว่าจะทำยังไงให้มันเวิร์ก”

ปัจจุบัน นอกจากช่องทางออนไลน์แล้ว รัมภายังพา Rumba ไปโลดแล่นในโลกออฟไลน์ในบางคราเพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสของจริง

“เราเคยไปออกงานบ้านและสวน ตอนนั้นน่าจะมีคนซื้ออยู่แค่ประมาณ 5 คนเองมั้ง จำได้ว่าทุกคนในทีมเฟลมาก แต่เรารู้สึกว่าไม่เป็นไร เรายังมีหวัง แต่นั่นก็เป็นไอเดียให้เราอยากทำสตูดิโอของเราขึ้นมาเอง ให้คนได้มาเห็นของจริงในพื้นที่ที่เราจัด ให้คนได้มามิกซ์แอนด์แมตช์เก้าอี้เฌยกันตรงนั้นเลย”

ก่อนที่สตูดิโอจะเสร็จสมบูรณ์พร้อมให้บุกไปชมเฌยได้นั้น ปัจจุบัน รัมภายังกระจายเฌยไปตั้งที่ Jeen coffee bar ร้านกาแฟย่านสัมพันธวงศ์ที่เธอเล่าว่าเป็นลูกค้ารายแรกๆ ที่ติดต่อมาว่าต้องการเก้าอี้เฌยไปตั้งในร้าน 

 “เราอัพรูปเก้าอี้ลงสตอรีไอจี แล้วเขาก็ทักมาว่าเขาอยากได้เก้าอี้สีน้ำเงินให้มันเข้ากับคอนเซปต์ร้าน เราเลยได้ฉีดเฌยสีน้ำเงิน Jeen ให้เขา และนำไปฝากวางขายด้วยเลย ทำให้มีคนเห็นเฌยมากขึ้นและมีคนติดต่อซื้อผ่านเขาเยอะเหมือนกัน อีกที่ที่มีวางขายก็ร้าน Warpp ที่เชียงใหม่”

ส่วนพื้นที่ของ Rumba ในอนาคตจะเป็นยังไง รัมภาวางแนวทางเอาไว้ว่าพื้นที่นั้นจะเป็นพื้นที่ที่ทำให้เธอได้เล่นสนุกและหยิบของเก่ามาแปลงโฉมใหม่ ทั้งเพื่อให้ลูกค้าได้มาชมเฌยจริงๆ ได้มาเล่นสนุกและได้ DIYเก้าอี้ และเพื่อสื่อสารว่า Rumba นั้นเป็นได้มากกว่านี้

 Promotion

“เราชอบแบรนด์ที่ดูมีความจริงใจ” รัมภาเผยความสนใจ 

“เราไม่อยากให้คนมองว่า Rumba เป็นแบรนด์ที่เล่นกับการตลาดหรือเทรนด์ แต่อยากให้คนที่เห็นรู้สึก ได้แรงบันดาลใจอะไรบางอย่าง อยากให้เขาเห็นแล้วรู้สึกว่ามันเป็นไอเดียที่เขานำไปต่อยอดได้ เขาไม่จำเป็นต้องซื้อของเราเขาก็นำไปปรับใช้กับบ้านเขาได้”

Rumba จึงไม่เน้นการยิงแอดโฆษณามากเกินพอดี ไม่เน้นการลดแลกแจกแถม แต่หากอยากขอบคุณลูกค้าจากใจ รัมภาเลือกจัดโปรโมชั่นพิเศษอย่างการทำ giveaway เพราะถือว่าเป็นการเปิดตัวและโปรโมตสินค้าใหม่ไปในตัว และให้ลูกค้าได้ทดลองใช้โปรดักต์จริงๆ อีกด้วย 

“เคยเห็นแบรนด์ที่เดี๋ยวก็ลดเดี๋ยวก็ลดไหม มันทำให้เราไม่แน่ใจว่าเราควรซื้อตอนนี้หรือควรรอเขาลดราคามากกว่านี้ คือเราไม่ชอบแบรนด์ที่ใช้จิตวิทยาหลอก ถ้าจะลด 20% ตลอดปี ก็เขียนราคานั้นไปเลยสิ ไม่ต้องมาหลอกกันว่าจัดโปรโมชั่น 

“หรือกระทั่งการปล่อยสินค้า แทนที่เราจะเลือกปล่อยรวมมิตรออกมาทีละสีๆ เพื่อให้ในเชิงการตลาดมันมีอะไรได้หล่อเลี้ยงแบรนด์ และอาจจะเพิ่มยอดขาย เพราะคนเห็นสีที่ออกมาหลังๆ ก็อาจจะซื้อเพิ่ม เราไม่อยากทำแบบนั้น เพราะถ้ามองในมุมลูกค้า ถ้าเราจะซื้อเก้าอี้สีๆ เราก็ต้องอยากรู้ใช่ไหมว่าจะมีสีอะไรบ้าง”

โปรโมชั่นของ Rumba จึงกลั่นจากการพยายามมองแบรนด์ในฐานะลูกค้าให้มากที่สุด

Play

เราแอบลังเลระหว่าง play กับ potential แต่ก็เอนไปทาง play มากกว่านะ” รัมภาตอบเมื่อเราชวนครุ่นคิดถึงอีก P ที่สำคัญในการปั้น Rumba ให้มีชีวิต

“การเล่นมันสอดคล้องกับบุคลิกของเราที่ spontaneous มันสอดคล้องกับอินเนอร์ แล้วก็สอดคล้องกับการทำงานที่เราอยากให้คนในทีมสนุกด้วย แล้วการเล่นมันก็เหมือนจุดกำเนิดของความคิดสร้างสรรค์ มันเหมือนการที่เราได้เต้นออกนอกกรอบ 

“เพราะจริงๆ ชื่อ Rumba ที่มาจากรัมภา มันก็พ้องเสียงกับคำว่า ‘รำ’ ด้วย Rumba มันเลยไม่ได้จำกัดแค่การทำสินค้าแต่เรามองว่ามันคือ art collective ที่เราสามารถเต้นรำไปเรื่อยๆ ได้” 

ในอนาคต Rumba จะร่ายรำไปทางไหน รัมภาจะชวนให้เราเห็นความสนุกและเสน่ห์ของของแมสที่คนมองข้ามได้ยังไง ขอชวนทุกคนร่ายรำและลองเล่นกับ Rumba ไปด้วยกัน

ขอบคุณสถานที่ Jeen Coffee Bar