ถ้าแบรนด์ข้ามขั้วมาคอลแล็บกันจะเป็นยังไง?

นากธุรกิจ : แคปปี้ เรามาคอลแล็บทำคอนเทนต์อะไรด้วยกันมั้ย

แคปปี้ : ได้สินากฯ ว่าแต่พวกเราทำอะไรกันดี

นากธุรกิจ : ไหนๆ เราก็คอลแล็บกันแล้ว ลองคิดเล่นๆ มั้ยว่า ถ้าสองแบรนด์ที่อยู่คนละขั้วมาคอลแล็บกันบ้าง ผลจะออกมาเป็นยังไง

จากบทสนทนาของสัตว์ธุรกิจทั้งสอง–หนึ่งคือ ‘นากธุรกิจ’ เจ้าของเพจคอนเทนต์เล่าเรื่องการเงิน การลงทุน และธุรกิจ ด้วยอารมณ์ขันใหม่เอี่ยม เจ้าของเดียวกันกับสำนักการ์ตูนขายหัวเราะ อีกหนึ่งคือ ‘เจ้าแคปปี้’ คาปิบาราผู้เป็นมาสคอตของ Capital ที่ตั้งใจย่อยเรื่องธุรกิจรอบตัวให้เป็นมิตรและเป็นทุนทางด้านความรู้ความคิดให้เหล่าผู้ประกอบการและคนทำงาน จึงเป็นที่มาของคอนเทนต์นี้

โดยเราทั้งสองลองคิดกันทีเล่นทีจริงว่ามีแบรนด์ต่างขั้วไหนบ้างที่เราเฝ้าฝันอยากให้มาคอลแล็บกัน จนเกิดเป็นโปรดักต์ใหม่ที่น่าสนใจและน่าอุดหนุน ส่วนการคอลแล็บที่ว่าจะมีอะไรบ้างลองไล่ดูในอัลบั้มได้เลย

หรือหากใครมีไอเดียบรรเจิดอยากเห็นแบรนด์ไหนคอลแล็บกับแบรนด์ใด ออกมาเป็นอะไร ก็คอมเมนต์กันไว้ได้ เผื่อแบรนด์นั้นๆ ผ่านมาเห็นแล้วอาจเกิดขึ้นจริงในอนาคต

1.
‘มะลิเมกโกะ’
นมตรามะลิ x มารีเมกโกะ

นมตรามะลิเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ถือเป็น top-of-mind ของหมวดนมข้นหวานและอยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนาน ส่วนมารีเมกโกะคือแบรนด์ไลฟ์สไตล์สัญชาติฟินแลนด์ที่มีโปรดักต์แสนคุ้นเคยคือผ้าพิมพ์หรือเครื่องนุ่งห่มลายดอกอูนิกโกะ (Unikko)

ในวาระใกล้สงกรานต์เราเลยอยากชวนทั้งสองแบรนด์มาคอลแล็บกัน ออกคอลเลกชั่นพิเศษ ‘มะลิเมกโกะ’ ที่เอาดอกมะลิ ที่เราคุ้นเคยบนกระป๋องนมมาอยู่บนเสื้อและผ้าพิมพ์ กลายเป็นเสื้อลายดอกที่มีทั้งความเก๋สไตล์มารีเมกโกะและลวดลายดอกมะลิที่เข้ากับเทศกาลไทยๆ

2.
‘ทอมไม่โสด’
น้ำหอมทอมโสด x Tinder

คนที่ติดตามโลกโซเชียลฯ น่าจะรับรู้ถึงกระแสน้ำหอมแบรนด์ ‘ทอมโสด’ ของพี่ดำปลาเผาผู้เป็นดาว TikTok ที่ขายดิบขายดีจนขาดตลาด และด้วยชื่อที่ระบุสถานะชัดเจนว่ายังไม่มีคนรัก เราจึงคิดโปรเจกต์สนุกๆ เพื่อทำให้แฟนแบรนด์ที่ยังโสดไม่ต้องโสดอีกต่อไป ด้วยการไปคอลแล็บกับ Tinder แอพพลิเคชั่นหาคู่ระดับโลก

โดยโปรเจกต์นี้จะผลิตน้ำหอมกลิ่นพิเศษ ‘ทอมไม่โสด’ ที่เหมาะสำหรับออกเดตกับใครสักคนที่พบเจอในโลกออนไลน์ โดยเป็นกลิ่นแนว Floral Fruity ที่เซ็กซี่และดึงดูดคู่เดตได้เป็นอย่างดี ใครที่กำลังโสดน้ำหอมขวดนี้น่าจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้คู่เดตประทับใจได้

3.
‘เต่าบิณฑ์’
เต่าบิน x วัดธาตุทอง

สำหรับพุทธศาสนิกชนที่ชอบทำบุญยามเช้าหรือเข้าวัดถวายสังฆทานแต่รู้สึกไม่สะดวกที่จะต้องตามหาร้านขายชุดทำบุญแบบที่ชอบที่ใช่น่าจะถูกใจสิ่งนี้

โดยโปรเจกต์นี้ ‘เต่าบิน’ แบรนด์ตู้ชงเครื่องดื่มอัตโนมัติที่ขึ้นชื่อเรื่องความหลากหลายของเครื่องดื่มและความสะดวก ที่สำคัญที่ความฉลาดเฉลียวที่สามารถชงเครื่องดื่มสดๆ ตามที่ผู้กดต้องการ จะคอลแล็บกับ ‘วัดธาตุทอง’ พระอารามหลวงที่ตั้งอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้า BTS เอกมัย เดินทางสะดวก ออกตู้กดอัตโนมัติชื่อ ‘เต่าบิณฑ์’ 

คุณสมบัติพิเศษของตู้นี้คือจะมีชุดทำบุญและชุดสังฆทานสะดวกซื้อให้เลือกซื้อ โดยที่สามารถเลือก customize สิ่งของและอาหารแห้งได้ตามต้องการ ที่สำคัญคือสามารถจ่ายได้หลากหลายวิธี เหมาะกับวิถี cashless society ในปัจจุบันด้วย

4.
‘เลย์ แมคโดนัลด์’
Lay’s x  McDonald’s

จะเป็นยังไงเมื่อสองแบรนด์ขวัญใจเด็กอ้วนอย่างพวกเรามาคอลแล็บกันออกเมนูพิเศษ

แบรนด์หนึ่งขนมขบเคี้ยวที่เราตามชิมทุกรสชาติที่เขาสร้างสรรค์มาหลอกล่อแฟนขนมถุงอย่างเรา ส่วนอีกแบรนด์คือแบรนด์ฟาสต์ฟู้ดสัญชาติอเมริกันที่เราฝากท้องเป็นประจำยามค่ำคืนรวมถึงในบางเช้าที่อยากกินเมนูมัฟฟินอย่าง ‘แมคโดนัลด์’

โดยทั้งสองแบรนด์จะทำโปรเจกต์พิเศษ ‘เลย์ แมคโดนัลด์’ ออกสองเมนูพิเศษ เมนูแรกคือ เฟรนช์ฟรายแผ่นหยักที่ได้อารมณ์ เลย์ ร็อค แต่เทกซ์เจอร์ยังคงเป็นเฟรนช์ฟรายแบบที่คุ้นเคย วางขายในแมคโดนัลด์ทุกสาขา อีกเมนูคือเลย์รสบิ๊กแมค วางขายตามร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ต ใครสะดวกชิมเมนูไหนก็ไป

5.
‘ใช้ชีวิตอย่างมีสตรีท’
สุริยาหีบศพ x Carnival

ในฐานะแฟนแบรนด์ Carnival แบรนด์สตรีทฯ ที่เรามักคุยกันเล่นๆ ว่ายังเหลืออะไรอีกมั้ยที่ Carnival ยังไม่ได้ผลิตหรือคอลแล็บออกมาขาย เราเลยคิดถึงสิ่งสุดท้ายที่เหล่ามนุษย์น่าจะได้ใช้เป็นอย่างสุดท้ายบนโลกใบนี้

โปรเจกต์นี้เราเลยอยากชวน ‘สุริยาหีบศพ’ มาคอลแล็บกับ ‘Carnival’ ออกโปรดักต์บ้านหลังสุดท้ายอย่างโลงรูปทรงเอกลักษณ์ของสุริยาหีบศพ ในดีไซน์สีดำสกรีนโลโก้แบรนด์ Carnival แบบที่คุ้นเคย และที่ด้านข้างมีสกรีนประโยคว่า ‘ใช้ชีวิตอย่างมีสตรีท’ เพื่อรำลึกถึงความรักในแฟชั่นสายสตรีทของผู้ที่จากไป

‘J.League Mascot’ ตัวนำโชคที่โลกต้องรัก

Match : ฟูจิซูเปอร์คัพ 2024 วิสเซล โกเบ 0-1 คาวาซากิ ฟรอนตาเล
Date : 17 กุมภาพันธ์ 2024

ในทุกปีก่อนจะเริ่มฟุตบอลเจลีกฤดูกาลใหม่  ตามธรรมเนียมปฏิบัติที่เคร่งครัดของฟุตบอลญี่ปุ่น จะต้องมีการเชิญทีมแชมป์มาชนแชมป์เพื่อเป็นเกมเปิดม่านการแข่งขันเสมอ ซึ่งในปีนี้เป็นการพบกันระหว่างวิสเซล โกเบ แชมป์เจ 1 ลีก ปะทะกับคาวาซากิ ฟรอนตาเล แชมป์เอ็มเพอเรอร์คัพ (ซึ่งมีศักดิ์ศรีเท่ากับเอฟเอคัพ) 

เกมในสนามจบลงด้วยชัยชนะของฟรอนตาเล ทีมรักเก่าของชนาธิป สรงกระสินธ์ นักฟุตบอลเบอร์หนึ่งของแฟนชาวไทย ที่เฉือนเอาชนะไปได้ 1-0 

เพียงแต่สงครามที่ดุเดือดไม่ได้จบลงแค่เกม 90 นาทีเท่านั้น เพราะความสนุกของจริงตามมาหลังจากนั้น เมื่อเหล่าตัวนำโชคหรือ ‘มาสคอต’ ของทุกสโมสรในเจลีกต่างลงมาวาดลวดลายเหลือร้าย ส่ายไปส่ายมาดุ๊กดิ๊กบ้าง ยียวนกวนโมโหบ้าง เพื่อเตรียมที่จะมาชิงความเป็นหนึ่งในการประกวดมาสคอตประจำปีนี้

นั่น! หมี น้องหมา ปลาโลมา เทพเจ้าสายฟ้า เล่นอะไรกันไม่รู้ปั่นป่วนไปหมดแล้วข้างสนาม

ที่ประเทศญี่ปุ่นเราจะได้เห็นบรรดาตัวการ์ตูนน่ารักน่าเอ็นดูมากมายปรากฏกายอยู่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะตามสถานีรถไฟ ในห้างสรรพสินค้า ตามแหล่งช้อปปิ้งต่างๆ โดยไม่ได้จำกัดเฉพาะแค่เพียงในเขตเมืองใหญ่เท่านั้น เพราะเมืองเล็กก็มีเหมือนกัน เรียกได้ว่าไปที่ไหนก็จะได้เห็นอยู่เสมอ แม้กระทั่งคุกก็มีเหมือนกัน!

ตัวการ์ตูนเหล่านี้คือ ‘มาสคอต’ หรือตัวนำโชค ที่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้นำมาเพียงแค่โชคลาภ แต่ยังนำมาซึ่งชื่อเสียงและเงินทองด้วย โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นที่โอบกอดเหล่าตัวนำโชคเหล่านี้ด้วยความรักและความยินดี

พวกเขายอมรับและยอมรักมากจนทำให้เกิดวัฒนธรรมมาสคอตเฉพาะของญี่ปุ่นเองที่เรียกว่า ‘Yuru-Chara’ ซึ่งมีกฎ 3 ข้อง่ายๆ ด้วยกัน

1. มาสคอตจะต้องเป็นตัวแทนความรักของเมืองบ้านเกิดหรือภูมิภาคบ้านเกิด

2. มาสคอตจะต้องมีท่าทางหรือพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ต้องไม่นิ่ง ดูแตกต่าง

3. มาสคอตจะต้องไม่จริงจังหรือเป็นพวกสบายๆ 

สิ่งที่จุดประกายกระแสนี้ขึ้นมาคือ ‘โดโมคุง’ (Domo-Kun) มาสคอตประจำสถานีโทรทัศน์ NHK ที่เกิดขึ้นมาฉลองครบรอบ 10 ปีของสถานีในปี 1998 และ Hello Kitty ตัวละครดังที่เป็นมาสคอตของการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นในปี 2008

แต่ถ้าถามถึงมาสคอตที่โด่งดังที่สุด หลายคนน่าจะรู้จักคือ ‘คุมะมง’ (Kumamon) เจ้าหมีสีดำตากลมแก้มแดง ที่ยียวนกวนประสาทเป็นที่สุด แต่ก็น่ารักจนกลายเป็นตัวละครที่มีคนรู้จักทั่วโลก และทำให้คนได้รู้จักกับเมืองคุมาโมโต (Kumamoto) เมืองบ้านเกิดของเจ้าคุมะมงไปด้วย

แถมให้อีก 2 ตัวคือเจ้า ‘ดองเพน’ (Donpen) กับ ‘ดองโกะ’ (Donko) เพนกวินน้อยที่ใครไปห้างดอง ดอง ดองกิ ต้องเคยเห็นอย่างแน่นอน

แต่ความจริงแล้วก่อนหน้าจะมีตัวละครเหล่านี้ ในประเทศญี่ปุ่นมีกลุ่มอัศวินมาสคอตผู้โด่งดังและยืนอยู่แถวหน้าของวงการมาโดยตลอด (ฟังดูเท่ชะมัด!) นั่นคือเหล่ามาสคอตของสโมสรฟุตบอลเจลีก

‘โดเลคุง’ นกฮูกแห่งทีมคอนซาโดล ซัปโปโร 

‘ชิคาโอะ’ กวางเขาเหล็กแห่งทีมคาชิม่า แอนต์เลอร์ส

‘กัมบะบอย’ เด็กสายฟ้าแห่งทีมกัมบะ โอซาก้า

‘แกรมปัสคุง’ เจ้าวาฬเพชฌฆาตแห่งทีมนาโกย่า แกรมปัส เอต

เจ้านกนางนวล ‘มาริโนสุเกะ’ แห่งทีมโยโกฮาม่า เอฟ. มารินอส

และเจ้ากระต่ายสีส้ม ‘พัลจัง’ แห่งทีมชิมิซุ เอส-พัลส์

เชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายคนน่าจะเคยได้เห็นผ่านตากันมาบ้าง หรือดีไม่ดีอาจจะมีตุ๊กตา ของใช้ ของที่ระลึกเก็บสะสมกันบ้างใช่ไหม

แต่ถ้ายังไม่รู้จักก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ขอเวลาสักไม่เกิน 10 นาทีนับจากตัวอักษรนี้ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังนะครับ 🙂

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักและเข้าใจกับสิ่งไม่มีชีวิตแต่มีชีวาอย่าง ‘มาสคอต’ กันพอสังเขปครับ

มาสคอตนั้นไม่ได้เป็นสิ่งประดิษฐ์หรือนวัตกรรมใหม่อะไรของโลก แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ตามบันทึกประวัติศาสตร์ มาสคอต (mascot) นั้นแท้จริงแล้วมาจากคำว่า ‘mascotte’ ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส มีความหมายถึง ‘ตัวนำโชค’

ที่มาที่ไปนั้นจริงๆ แล้วเป็นคำสแลงที่คนเมืองน้ำหอมเขาใช้กันในเวลาเล่นพนัน (เพราะคำว่า masco นั้นหมายถึงผู้วิเศษหรือแม่มด) 

คำว่า mascotte มีการบันทึกว่าถูกนำมาใช้ครั้งแรกในปี 1867 โดย เอ็ดมงด์ โอดราน (Edmond Audran) ที่แต่งบทประพันธ์ La mascotte และมีการนำมาแสดงเป็นละครโอเปราในปี 1880 ก่อนที่อีกหนึ่งปีถัดมาคนอังกฤษได้มีการบัญญัติคำว่า mascot ขึ้น โดยให้ความหมายถึงสิ่งมีชีวิตที่เป็นตัวแทนขององค์กรในรูปของสัญลักษณ์หรือโลโก้ที่มีชีวิต

ในยุคแรกนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ เช่น สัตว์นำโชค หรือในอังกฤษมีธรรมเนียมปฏิบัติที่ยังมีถึงทุกวันนี้คือเด็กนำโชคที่จะเดินนำทีมฟุตบอลลงสนาม

ก่อนที่วงการมาสคอตจะค่อยๆ พัฒนาขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่ได้รับอิทธิพลจากการแสดงหุ่นกระบอกดังอย่าง จิม เฮนสัน (Jim Henson) ผู้สร้าง ‘The Muppets’ และซิดแอนด์มาร์ตีครอฟต์ (Sid and Marty Krofft) จนนักการตลาดเกิดปิ๊งไอเดียนำมาต่อยอดจนกลายเป็นตัวนำโชคที่น่ารักสดใสในแบบปัจจุบัน

เพราะนักการตลาดมองเห็นพลังในตัวของมาสคอตที่สามารถเป็นตัวแทนในการถ่ายทอดเรื่องราวได้ดีและแยบยลที่สุดอย่างหนึ่ง

และแน่นอนว่าวงการที่เอามาใช้สร้างสีสันกันอย่างแพร่หลายที่สุดก็คือวงการกีฬานั่นเอง ซึ่งถ้าใครเคยดูอเมริกันเกมอย่างอเมริกันฟุตบอล NFL, บาสเกตบอล NBA หรือเบสบอล MLB ก็จะเห็นความป่วนมันฮาของเหล่ามาสคอตที่เล่นใหญ่ระดับจ้างร้อยเล่นล้านเสมอ

แต่สำหรับที่ญี่ปุ่น โดยเฉพาะในฟุตบอลเจลีกแล้วมาสคอตของพวกเขามีความแตกต่างและมีอิทธิพลที่มากกว่านั้น

สำหรับฟุตบอลเจลีก มาสคอตถูกมองว่าเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญสำหรับการสร้างแบรนด์เจลีกตั้งแต่วันเริ่มก่อตั้งเลยทีเดียว

เรื่องราวต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 90 หรือร่วม 30 ปีที่แล้ว หลังจากที่มีการประกาศว่าจะมีการก่อตั้งลีกฟุตบอลอาชีพอย่างจริงจังในประเทศญี่ปุ่น โดยในรูปแบบและโครงสร้างได้ส่งคนไปศึกษาที่บุนเดสลีกาในประเทศเยอรมนี อีกสิ่งที่ถูกมองว่าสำคัญไม่แพ้กันคือเรื่องของแบรนด์

เพื่อให้เจลีกสะดุดตาและสะดุดใจผู้ชม ได้มีการว่าจ้างมืออาชีพเข้ามาดูแลเรื่องของการสร้างภาพลักษณ์ ซึ่งนอกจากจะมีการกำหนดธีม (theme) สีสันของแต่ละทีม ที่จะต้องสอดคล้องเข้ากับเมืองที่ตั้งของทีมอันเป็นหัวใจของลีกฟุตบอลอาชีพ เพราะเดิมสโมสรฟุตบอลญี่ปุ่นก็คือสโมสรของบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ แต่หลังการศึกษาแล้วพวกเขาเชื่อว่าทีมฟุตบอลอาชีพควรเป็นทีมของท้องถิ่น เป็นสมบัติของชาวเมืองจึงจะยั่งยืน

แต่เพื่อจะสร้างความผูกพันระหว่างสโมสรกับแฟนฟุตบอลเข้าด้วยกัน จำเป็นที่จะต้องมีสิ่งที่จะเป็นสะพานประสานใจ คนที่นอกจากจะเป็นตัวแทนภาพลักษณ์ของสโมสรที่ต้องการจะสื่อออกไปแล้ว ยังต้องเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นที่รักของทุกคน 

หรือพูดง่ายๆ ก็คือเป็นส่วนหนึ่งที่จะมาช่วยสร้างประสบการณ์ (brand experience) การรับชมฟุตบอลเจลีก ซึ่งสิ่งนั้นคือมาสคอตหรือตัวนำโชคนั่นเอง

ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้การออกแบบมาสคอตของเจลีกจึงเป็นวาระใหญ่ระดับชาติทันที และงานนี้คนที่มาออกแบบก็ต้องเป็นยอดฝีมือระดับซามูไรขั้นเทพเหมือนกัน

หนึ่งในคนที่ได้มาร่วมออกแบบมาสคอตของ 10 สโมสรแรกในเจลีกที่เรียกกันว่า ‘The Original 10’ คือกาย กิลคริสต์ (Guy Gilchrist) ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมออกแบบตัวละครให้ The Muppets รายการหุ่นเชิดขวัญใจเด็กๆ ทั่วโลก และมีส่วนร่วมในการออกแบบ Teenage Mutant Ninja Turtles หรือ ‘เต่านินจา’ (หรือจะนินจาเต่าก็ได้) 

จริงๆ การมีส่วนร่วมของกิลคริสต์กับเจลีกก็ถือเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะในปี 1991 เขาเดินทางมาญี่ปุ่นเพื่อขายผลงานหนังสือเด็กชุด ‘Tiny Dinos’ และพบกับสมาคมเบสบอลญี่ปุ่นเพื่อหารือเกี่ยวกับการร่วมมือกันสร้างผลงาน แต่ปรากฏว่าไปๆ มาๆ กลับได้มีโอกาสพบกับทีมการตลาดของ Dentsu และฝ่ายทรัพย์สินทางปัญญาของ Sony แทน

“ช่วยออกแบบตัวละครสำหรับทีมฟุตบอลใหม่ที่จะตั้งในเมืองชิซูโอกะให้พวกเราหน่อยได้ไหม” คือคำขอที่กิลคริสต์ก็ไม่ได้คาดไว้

ทาง Dentsu และ Sony ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เหมือนทุกสโมสรที่จะมีบริษัทยักษ์ใหญ่ช่วยในแต่ละเมือง มีโจทย์ในใจเอาไว้ก่อนแล้วว่าพวกเขาอยากได้ตัวละครที่เป็นผู้ชาย วาดลายเส้นในสไตล์แบบเดียวกับมังงะแนวโชเน็น 

กิลคริสต์ฟังแล้วก็คิดในใจ แค่ตอบตกลงไปก็รับเงินก้อนโตสบายๆ แล้ว แต่เขาเลือกที่จะปฏิเสธไป

“ไม่ ไม่ ไม่”

ทางฝ่ายญี่ปุ่นถึงกับอุทานว่า “เหหหหหห”​ ด้วยความงุนงงว่าทำไมถึงเป็นไปไม่ได้ ก่อนที่นักออกแบบชาวอเมริกันที่เป็นหนึ่งในศิษย์ของปรมาจารย์อย่างจิม เฮนสัน ได้พยายามอธิบายให้เข้าใจถึงคอนเซปต์การดีไซน์มาสคอตที่ยั่งยืนในใจคน

“ถ้าคุณออกแบบตัวละครแบบนั้น เด็กผู้หญิงก็จะแยกไม่ออก แล้วก็ผู้คนมีความหลากหลายและหลากสีสันนะ” กิลคริสต์พยายามอธิบาย ซึ่งบุญรักษาที่ล่ามช่วยแปลสิ่งที่เขาต้องการจะบอกได้อย่างครบถ้วน

“เหตุผลที่บักส์บันนี่ (Bugs Bunny) และมิกกี้เมาส์ (Mickey Mouse) ได้รับความนิยมก็เพราะพวกเขาไม่มีอายุ ไม่แบ่งเพศด้วย นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ทุกคนรักมัน เพราะมันน่ารัก กล้าหาญ และแสดงความเข้มแข็งได้ในเวลาที่ต้องการ ฉลาด และมันก็เหมือนกับพวกเราทุกคนนี่แหละ มันก็ต้องพยายามเหมือนกัน”

กิลคริสต์ปิดท้ายว่า ถ้าจะให้เขาออกแบบตัวละครนี้ นี่คือสิ่งที่เขาอยากจะใส่มันลงไปในตัวละครนั้น

“ผมอยากจะสร้างมิกกี้เมาส์ในแบบของพวกเราเอง”

และมิกกี้เมาส์สำหรับเจลีกในแบบของกิลคริสต์ก็คือ ‘พัลจัง’ (Pul-chan) มาสคอตของทีมชิมิซุ เอส-พัลส์ ซึ่งเป็นกระต่ายสีส้มมีหูเป็นปีก และมีรอยยิ้มที่สดใส

สีส้มคือสีประจำสโมสร 

หูที่ยาวเหมือนปีกมีความหมายถึงการพาทีมโบยบิน

ส่วนคำว่า ‘พัล’ ก็มาจากคำว่า ‘S-Pulse’ ชื่อของทีม และคล้องจองกับคำว่า ‘Pal’ ที่แปลว่าเพื่อนนั่นเอง

พัลจังกลายเป็นหนึ่งในมาสคอตที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ด้วยบุคลิกความน่ารักสดใส ทำให้ไม่ใช่เฉพาะแฟนทีมชิมิซุ เอส-พัลส์เท่านั้นที่หลงรัก แต่ยังได้รับความรักจากแฟนบอลทีมอื่นๆ และลามไปถึงแฟนฟุตบอลในต่างประเทศด้วย

ในขณะที่มาสคอตที่เหลืออีก 9 ตัวของเจลีกในตอนนั้นก็ได้รับความนิยมเช่นกัน เพราะมีความโดดเด่นในแบบที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งความน่ารักและความเท่ในเวลาเดียวกัน 

สีสันจากมาสคอตเหล่านี้เป็นหนึ่งในแรงดึงดูดสำคัญที่เชิญชวนให้แฟนๆ มาเชียร์ฟุตบอลในสนามกัน แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้นคือการผลิตสินค้าที่ระลึก (merchandise) ของมาสคอตเหล่านี้ออกมาวางจำหน่ายอย่างมากมาย ซึ่งเป็นของถนัดของชาวญี่ปุ่นอยู่แล้ว

ของที่ทำออกมาล่อลวงเงินในกระเป๋าของพวกเรานั้นมีทุกอย่างจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นของพื้นฐานอย่างเสื้อ กระเป๋า ตุ๊กตา ไปจนถึงปากกา ดินสอ ยางลบ พวงกุญแจ แม่เหล็กติดตู้เย็น ธงราว รองเท้า ของเล่น กาชาปอง อะไรก็ตามที่ผลิตขายได้ก็จะถูกนำมาผลิตขายให้แฟนๆ ได้จับจ่ายสนุกสนานที่หน้าสนาม 

แน่นอนใครไปเจลีกก็อดใจไม่ไหวที่จะซื้ออะไรติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง แม้กระทั่งตัวผู้เขียนเองก็เคยมีประสบการณ์ตรงที่เคยไปชมเกมฟุตบอลเจลีกมา 2 ครั้ง และล้มละลายหน้าสนามทุกครั้งไป (แต่ก็สนุกมาก และบันเทิงมากกับการเดินหาของกินหน้าสนาม)

เงินรายได้จากการจำหน่ายสินค้าเหล่านี้จะกลับมาช่วยเหลือสโมสร และจะเป็นการช่วยเหลือเมืองในทางอ้อมเพราะเกมฟุตบอลที่ได้รับความนิยมหมายถึงการจ้างงานและสร้างรายได้ให้แก่ชาวเมืองตามไปด้วย (ซึ่งในเวลาต่อมากระแสเครซีมาสคอต เกิดมาสคอตประจำเมืองขึ้นมากมายรวมถึงคุมะมงผู้โด่งดังด้วย ) 

โดยในปี 2022 มีการเปิดเผยข้อมูลรายได้จากการจำหน่ายสินค้าอย่างเดียวสามารถสร้างรายได้ให้แก่สโมสรฟุตบอลในระดับ เจ 1 (ดิวิชั่นสูงสุด) ได้ถึง 7.51 พันล้านเยน หรือร่วม 1,800 ล้านบาทเลยทีเดียว 

และหากรวมกับในระดับเจ 2 และ เจ 3 ที่ทำรายได้อีก 2.58 พันล้านเยน (617 ล้านบาท) และ 0.92 พันล้านเยน (220 ล้านบาท) หมายถึงมีเงินสะพัดจากการจำหน่ายสินค้าที่ระลึกมากกว่า 1.1 หมื่นล้านเยน หรือ 2,630 ล้านบาทเลยทีเดียว

เพียงแต่หน้าที่ของมาสคอตไม่ได้มีแค่นี้ เพราะยังสามารถใช้ในการโปรโมตกิจกรรมต่างๆ ของสโมสร ซึ่งรวมถึงกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) และใช้ในการการดูแลแฟนบอล (CRM) ได้ด้วย

หนึ่งในเรื่องเล่าน่ารักๆ คือเรื่องราวของโคยานง (Koyanon) มาสคอตเสริมของทีมซานเฟรซเซ ฮิโรชิม่า ที่เป็นรูปหน้าชายหนุ่มแนวๆ ซาลารีมังหรือมนุษย์เงินเดือน ซึ่งเป็นมาสคอตที่แฟนบอลของทีมซานเฟรซเซรักอย่างยิ่ง

นั่นเพราะโคยานง มาจากตัวตนของคาโอรุ โคยาโนะ อดีตหนุ่มธนาคารที่ผันตัวมาเป็นผู้จัดการทั่วไปของสโมสรฟุตบอลซานเฟรซเซ ซึ่งแม้จะเคยได้แชมป์เจลีกในปี 2012 แต่หลังจากนั้นผลงานตกต่ำ ความนิยมดำดิ่ง รายรับนิ่งไม่ไหวติง สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะถูกถอนใบอนุญาต

เพื่อช่วยเหลือทีมโคยาโนะ จึงพยายามพบปะและพูดคุยกับแฟนฟุตบอลเสมอ ไม่ว่าจะช่วงก่อนเกม ที่สถานีรถไฟ ซึ่งแม้จะไม่ได้รับความร่วมมือนักแต่โคยาโนะซังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ตามตื๊อจนได้ข้อมูล (insight) ถึงเหตุผลที่แฟนๆ ไม่ยอมซื้อตั๋วชมแบบปีของสโมสรที่เป็นรายได้หลัก

ความเอาใจใส่และตั้งใจจริงของโคยาโนะชนะใจแฟนบอลได้ในที่สุด และกลายเป็นการกำเนิดมาสคอตเสริมของทีมที่เรียกว่าโคยานง ซึ่งไม่ว่าจะผลิตของอะไรออกมาขายก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างสโมสรกับแฟนบอลกลับมาดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เรียกได้ว่ามาสคอตคือผู้ช่วยดูแลแบรนด์ของสโมสรฟุตบอลที่ทรงพลังทางใจเป็นอย่างยิ่ง

มาสคอตเหล่านี้จึงช่วยเพิ่มสีสันและความสนุกสนานให้กับแฟนๆ และเป็นสตาร์ในตัวของพวกเขาเองด้วย เพราะแฟนๆ เองก็อยากเจอ อยากถ่ายรูปคู่ อยากเล่นกับมาสคอต ซึ่งบางตัวดังยิ่งกว่านักเตะในสโมสรเสียอีก

ในภาพใหญ่มาสคอตยังเป็นหมุดเล็กๆ ที่ช่วยวางรากฐานที่มั่นคงให้กับวงการฟุตบอลญี่ปุ่นได้อย่างน่ามหัศจรรย์ 

เพราะหากย้อนไปที่แผนยุทธศาสตร์ 100 ปีของเจลีก (J.League 100 Year Vision) ซึ่งนอกจากจะต้องการยกระดับวงการฟุตบอลญี่ปุ่นให้ครองโลกให้ได้ในอนาคต ยังมีเป้าหมายที่สำคัญอีกอย่างคือ “ต้องการทำให้ประเทศญี่ปุ่นมีความสุขมากยิ่งขึ้นผ่านเกมกีฬา”

เจลีกเองจึงไม่ได้เป็นแค่เกมกีฬา แต่เป็นมากกว่านั้น เป็นเรื่องของเมือง เรื่องของชุมชน ที่ครอบครัวจะได้ใช้เวลาที่มีความหมายร่วมกันในช่วงสุดสัปดาห์ 

ปัจจุบันมาสคอตของเจลีกไม่ได้มีแค่ 10 ตัว เพราะจากวันแรกในปี 1993 จนถึงวันนี้ (ที่ผ่านการต่อสู้อย่างหนักไม่น้อย) ปัจจุบันมีมาสคอตของสโมสรฟุตบอลใน 3 ดิวิชั่นของเจลีกรวมกันถึง 55 ตัวด้วยกัน 

โดยที่มาสคอตเหล่านี้ก็มีการเติบโตตามวันเวลา หลายสโมสรไม่ได้ยึดติดกับมาสคอตดั้งเดิม บางตัวก็เกษียณตัวเองไปเป็นมาสคอตกิตติมศักดิ์แทน เช่น เวอร์ดี้คุง มาสคอตของทีมโตเกียวเวอร์ดี้ หรือบางทีก็มีการสร้างเรื่องสร้างราวเข้าไปให้สนุกขึ้น เช่น บางตัวก็มีแฟน บางตัวมีลูก หรือบางตัวก็ปรับหน้าตาให้เป็นมิตรขึ้น เช่น เจ้าหมีซานเซ (Sancce) ของทีมซานเฟรซเซ ฮิโรชิม่า ที่เดิมมีหน้าตาเหมือนหลุดมาจากหนังสยองขวัญไปหน่อย ตอนนี้หน้าตาน่ารักประหนึ่งหมีแคร์แบร์เลย

ทีนี้เพื่อให้เรื่องราวมันสนุกและจริงจังขึ้นอีกนิดก็เลยเกิดไอเดียให้มีการจัดประกวดความนิยมกันปีละครั้งว่ามาสคอตของใครจะโดนใจแฟนบอลที่สุด คนที่โหวตก็คือแฟนๆ นี่แหละที่จะร่วมกันส่งคะแนนให้โดยไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นทีมตัวเองเท่านั้น (แต่ก็แน่นอนแหละว่างานนี้ไม่มีใครอยากให้สโมสรตัวเองเสียหน้าอยู่แล้วถูกไหม!)

มาสคอตตัวไหนได้ที่ 1 ก็จะได้รับเกียรติให้อยู่ตรงกลางภาพหมู่ประจำปีที่จะถ่ายร่วมกัน โดยพิธีการประกาศอย่างเป็นทางการจะมีขึ้นในเกมฟูจิซูเปอร์คัพ ที่นอกจากจะเป็นการเปิดม่านฤดูกาล ก็ยังถือเป็นการพบปะสังสรรค์กันระหว่างมาสคอตกับมาสคอต และมาสคอตกับแฟนฟุตบอลไปด้วย

เป็นสีสันความน่ารักแบบญี่ปุ๊นญี่ปุ่นที่หาไม่ได้จากที่ไหน 

ใครอยากรู้ว่ามาสคอตเจลีก ‘สุโก้ย’ จริงไหม อยากแนะนำให้ลองหาโอกาสแวะไปดูสักนัดนะครับ! (พกเงินไปเยอะๆ ด้วยนะ!)

Match facts

  • ในบรรดามาสคอตของ 10 สโมสรผู้ก่อตั้งเจลีก มีเพียงแค่โทบิมารุ (Tobimaru) มาสคอตของทีมโยโกฮาม่า ฟลูเกลส์ ที่ไม่ได้ไปต่อ เพราะสโมสรถูกยุบรวมเข้ากับทีมโยโกฮาม่า มารินอส (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นโยโกฮาม่า เอฟ. มารินอส ที่ใช้จนถึงปัจจุบัน)
  • ส่วนใหญ่แล้วมาสคอตของทีมเจลีกจะเป็นสัตว์ประจำท้องถิ่น (เช่น ชิคาโอะ ของทีมคาชิม่า แอนต์เลอร์ส) แต่มาสคอตที่เหนือชั้นที่สุดคือ คิซูรุ (Kizuru) ของทีมอิวาเตะ กรุลลา โมริโอกะ ที่เป็นนกกระเรียนกระดาษที่พับในแบบโอริกามิ
  • มาสคอตตัวที่เข้าถึงยากที่สุดคือ เรเดีย (Redia) สุนัขนำโชคของทีมอุราวะ เรด ไดมอนด์ส ซี่งมีนโยบายเข้มๆ ว่าสนามฟุตบอลเป็นที่ที่จริงจัง! ทำให้นานๆ เรเดียจะโผล่มาทีนึง และต่อให้โผล่มาก็จะไม่ยอมทำกิจกรรมร่วมกับแฟนๆ ด้วย จริงจัง!

ที่มา

จากวิกฤตการนอนไม่หลับ สู่ช่องว่างทางธุรกิจอันหอมหวาน

เวลาที่เราอ่านสิ่งที่คนประสบความสำเร็จเขาทำกัน หนึ่งในนั้นจะมีเรื่องของการลดเวลานอน เพื่อนำเวลาไปพัฒนาตนเองหรือบริหารธุรกิจในด้านต่างๆ ทั้งที่ในอีกมุมหนึ่งการพักผ่อนให้เพียงพอก็ทำให้เราตื่นมาสดใส พร้อมรับมือกับการทำงานในวันใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แต่ในบางครั้งก็อาจมีเหตุปัจจัยที่ทำให้ใครบางคนนอนไม่หลับยามค่ำคืน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเครียด ความเจ็บป่วยทางร่างกายหรือบาดแผลทางจิตใจ จนทำให้บางคนต้องแอบมางีบหลับในเวลางานอยู่บ่อยๆ และเนื่องในวันที่ 11 มีนาคม 2567 เป็น ‘วันงีบหลับ’ เราจึงพามาดูว่าการงีบหลับในเวลางานไม่ได้มีแค่แง่ลบเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีในแง่บวกและสัมพันธ์กับธุรกิจต่างๆ อีกด้วย

โดย PlushBeds ผู้ผลิตเครื่องนอนหรูสัญชาติอเมริกาได้ทำการสำรวจพบว่า 2 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามเคยแอบงีบหลับเป็นระยะเวลาสั้นๆ ในระหว่างการทำงาน โดยให้เหตุผลว่าเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังพบข้อมูลที่น่าตกใจว่า คนที่งีบหลับมีแนวโน้มได้รับการเลื่อนตำแหน่งมากกว่าคนที่ไม่ได้งีบถึง 18% อีกด้วย

การงีบหลับจึงเป็นเหมือนวาระแห่งชาติ ถึงขนาดที่มีบางองค์กรสนับสนุนให้เกิดวัฒนธรรมการงีบหลับในที่ทำงานอย่างจริงจัง เช่น บริษัทระดับโลกอย่างไนกี้ (Nike) ได้ทำห้อง ‘Quiet Room’ เพื่อให้พนักงานไปงีบหลับได้แบบไม่จำกัดเวลา แต่ต้องรับผิดชอบงานให้เสร็จตามที่ได้รับมอบหมาย

หรือจะเป็นบริษัทวางแผนประกันสุขภาพสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Aetna ที่ให้ความสำคัญกับการพักผ่อนของพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นการนอนหลับยามค่ำคืนและหากวันไหนนอนไม่พอ จะมางีบหลับเล็กๆ น้อยๆ ในที่ทำงานก็ได้ เพราะเชื่อว่าหากทุกคนนอนหลับเพียงพอ จะช่วยลดปัญหาสุขภาพ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน จึงได้ออกนโยบาย ‘จ่ายเงินให้พนักงานนอนหลับ’ นับทั้งเวลานอนปกติและเวลางีบหลับรวมกันให้ได้อย่างน้อย 7 ชั่วโมงต่อวัน เป็นเวลาติดกัน 20 วัน จะได้รับเงินวันละ 25 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 895 บาท โดยจ่ายเงินให้สูงสุดถึง 300 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 10,752 บาทต่อปีเลยทีเดียว

ซึ่งถือเป็นนโยบายที่สวนทางกับวัฒนธรรมการทำงานของญี่ปุ่น ที่นิยมทำงานเฉลี่ยวันละ 12 ชั่วโมง และมักทำงานล่วงเวลากว่า 100 ชั่วโมงต่อเดือน ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่คนอดหลับอดนอนมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังมีอีกหลายบริษัทที่ให้พนักงานงีบหลับในเวลางาน พร้อมจัดพื้นที่ไว้ให้ด้วย เช่น Google, Ben & Jerry’s, Cisco, Facebook และ Uber เป็นต้น

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีธุรกิจที่คิดค้นนวัตกรรมที่ช่วยให้งีบหลับได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย อย่างนวัตกรรม ‘กล่องยืนงีบ’ หรือ ‘giraffenap’ ที่ออกแบบโดย KOYOJU Plywood Corporation ซึ่งได้เลียนแบบการยืนหลับของยีราฟ ที่จะหลับครั้งละไม่กี่นาที แต่ช่วยลดความอ่อนเพลียจากการพักผ่อนไม่เพียงพอได้

จึงออกมาเป็นดีไซน์ที่คล้ายกับแคปซูลให้คนไปยืนงีบหลับ โดยมีเบาะรองตรงหัว บั้นท้าย หน้าแข้ง และฝ่าเท้า เพื่อช่วยซัพพอร์ตให้งีบหลับได้เต็มที่ จึงทำให้ giraffenap เหมาะกับการไปตั้งไว้ในออฟฟิศให้พนักงานได้มางีบได้แบบไม่รู้สึกผิด แต่ทำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น

หรือแม้แต่ร้านกาแฟอย่าง NESCAFÉ ในย่านฮาราจูกุ ประเทศญี่ปุ่น ที่ถึงแม้จะเป็นคาเฟ่ที่เน้นการขายกาแฟเป็นหลัก แต่ก็มองเห็นช่องว่างทางการตลาดของธุรกิจคาเฟ่ที่ยังไม่มีใครทำคือ การเปิด ‘คาเฟ่งีบหลับ’ ในชื่อว่า ‘Nescafe Sleep Cafe’

โดยนำ giraffenap ไปให้บริการแก่ลูกค้าที่มองหาสถานที่งีบหลับในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมของคนญี่ปุ่นที่มักจะทำงานหนักและนอนหลับไม่เพียงพอ รวมถึงมีพฤติกรรม ‘ดื่มและงีบ’ หรือที่เรียกว่า ‘Nappuccino’ คือจะดื่มกาแฟเข้าไปก่อนแล้วค่อยงีบหลับไม่เกิน 20 นาที เพราะหลังจาก 20 นาที คาเฟอีนในกาแฟจะออกฤทธิ์ให้ตื่นตัวพร้อมทำงานได้อย่างเต็มที่ โดยไอเดียนี้ก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีและมีผู้เข้าไปใช้บริการเป็นจำนวนมาก

จากเรื่องราวทั้งหมดที่ว่ามาสะท้อนให้เห็นว่าการงีบหลับในที่ทำงานเนื่องจากการนอนไม่หลับยามค่ำคืนแทบจะกลายเป็นปัญหาระดับชาติ ที่หลายองค์กรให้ความสำคัญถึงขนาดสร้างวัฒนธรรมการงีบหลับขึ้นมา เพื่อให้พนักงานพักผ่อนได้เต็มที่และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

รวมถึงยังเป็นช่องว่างทางธุรกิจที่หอมหวาน ในการคิดค้นนวัตกรรมมาช่วยซัพพอร์ตการงีบหลับ หรือแม้แต่บางธุรกิจที่เพิ่มบริการสร้างพื้นที่ให้คนมางีบหลับได้อย่างสบายใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าติดตามต่อไปว่าในอนาคตจะเกิดธุรกิจอะไรที่มาช่วยส่งเสริมการงีบหลับมาช่วยแก้ปัญหาให้ผู้คนได้ดียิ่งขึ้น

ข้อมูลจาก

เบื้องหลังความสำเร็จของ Adidas Samba สนีกเกอร์คู่ใจวันกะเทยผ่านศึก ที่ขายได้กว่า 35 ล้านคู่

ถ้าพูดถึงสนีกเกอร์ที่สร้างยอดขายได้ถล่มทลายแม้ผ่านมาหลายทศวรรษ เชื่อว่าคงมีชื่อของ ‘Adidas Samba’ ติดโพลขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน ด้วย ‘ความเก๋าแต่ไม่เก่า’ และการที่เป็นกระแสอยู่เรื่อยๆ ทำให้บางช่วงเวลาขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในไอเทมหายากที่ในวงการรีเซลอัพราคากันจนพุ่งไปไกล

ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2567 ที่ถูกยกเป็น ‘วันกะเทยผ่านศึก’ มีรองเท้าคู่หนึ่งถูกพูดถึงในสื่อ นั่นคือ สนีกเกอร์นามว่า ‘Adidas Samba’ ในฐานะอาวุธคู่ใจยามออกศึกจนทำให้สนีกเกอร์รุ่นนี้กลับมาเป็นกระแสในไทยอีกครั้ง

โดยจุดเริ่มต้นของ Adidas Samba สนีกเกอร์ระดับไอคอนคู่นึงของ Adidas ต้องย้อนไปเมื่อครั้งที่ถูกผลิตมาครั้งแรกในปี 1949 ซึ่งเป็นผลงานการออกแบบโดยอดอล์ฟ แอดดิ ดาสเลอร์ (Adolf “Adi” Dassler) ผู้ก่อตั้ง Adidas

ด้วยความตั้งใจที่อยากให้เป็นรองเท้ารุ่นที่เหมาะกับการซ้อมฟุตบอลกลางฤดูหนาว ซึ่งในช่วงนั้นพื้นสนามหญ้าอาจมีน้ำแข็งเกาะอยู่ด้วย ทำให้มีโอกาสลื่นได้ง่าย ในรุ่นออริจินอล ปี 50s จึงใช้หนังจิงโจ้มาทำรองเท้า และออกแบบให้พื้นรองเท้ามียางปุ่มไม้คล้ายสตั๊ด ที่ทำให้เกาะพื้นแน่น ใส่แล้วไม่ลื่นล้มง่ายๆ

หลายปีต่อมาได้มีการพัฒนาจากรุ่นยอดฮิตอย่าง Adidas Samba OG มาเป็นรุ่นอื่นๆ เช่น Samba Millennium และ Samba Classic’85 ที่ทำให้ในช่วงยุค 90s สายสตรีทได้หยิบไปเป็นรองเท้าเล่นกีฬากลางแจ้งอย่างสเกตบอร์ด

รวมถึงได้เปลี่ยนจากการเป็น ‘รองเท้าคู่ใจนักกีฬา’ สู่การเป็น ‘รองเท้าแฟชั่นแห่งยุค’ ที่กระแสดีจนฉุดไม่อยู่ เมื่อ Adidas เลือกใช้กลยุทธ์การนำโมเดลรุ่นดัง มาให้เหล่าดีไซเนอร์ออกแบบใหม่ให้ดูทันยุคสมัย เข้าถึงง่าย และเข้ากับความต้องการของผู้บริโภคหลากหลายกลุ่มเป้าหมาย

เพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ถูกมองว่าเป็นแบรนด์กีฬาเท่านั้น Samba ได้ขยายสู่ตลาดแมสและอยู่ในกระแสแทบจะตลอดเวลา จึงได้จับมือร่วมกับดีไซเนอร์ชื่อดังอย่าง Jonah Hill, Jason Dill และ Pharrell Williams รวมถึงแบรนด์ดังในกระแสทั้ง Kith, Clarks, JJJJound, Palace และ Pleasures

ซึ่งหนึ่งในการคอลแล็บที่ประสบความสำเร็จคือ ผลงานของ ‘Wales Bonner’ ดีไซเนอร์ชาวอังกฤษ ที่ได้หยิบเสน่ห์ของ Adidas Samba มาออกแบบให้หรูหราตามสไตล์ยูโรเปียน และผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมแบบ Afro-Atlantic ทำให้ทุกคอลเลกชั่นที่ Samba x Wales Bonner ต่างกลายเป็นที่ต้องการในตลาดเป็นอย่างมาก

และในช่วงต้นปี 2023 ที่ผ่านมา Adidas ได้จัดทัวร์นาเมนต์ออกแบบรองเท้า โดยใช้ชื่อว่า ‘Adidas Consortium Cup’ ที่เปิดให้ร้านสนีกเกอร์ระดับท็อป 16 ร้านจากทั่วโลก มาร่วมแข่งขันออกแบบรองเท้าแข่งขันกัน และโมเดลที่หลายๆ ร้านเลือกใช้ในการแข่งขันคือ Adidas Samba

สนีกเกอร์รุ่นนี้ได้กลายเป็นรองเท้าที่แม้แต่ดารา ศิลปิน และเซเลบริตี้จากหลากหลายวงการหยิบมาใส่กัน เช่น โจนาห์ ฮิลล์, เบลลา ฮาดิด, เดวิด เบ็คแฮม และเจนนี่ BLACKPINK ซึ่งแต่ละครั้งที่เหล่าคนดังหยิบมาใส่ก็ล้วนแต่สร้างปรากฏการณ์ให้ผู้คนต่างไปต่อแถวหน้าร้าน หรือยอมซื้อราคารีเซลเพื่อจับจองเป็นเจ้าของรองเท้าสุดฮิตรุ่นนี้

แม้ Adidas Samba จะเป็นโมเดลที่อยู่มากว่า 74 ปี แต่ด้วยดีไซน์แสนคลาสสิกและกลยุทธ์ของ Adidas ที่ให้ความสำคัญในการชูจุดขายเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจท์ทั้งฟังก์ชั่นและแฟชั่น รวมถึงยังเน้นการคอลแล็บร่วมกับดีไซเนอร์และแบรนด์ต่างๆ จึงทำให้โมเดล Adidas Samba เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ยืนระยะอยู่มาทุกยุคสมัยอย่างแท้จริง 

จนครั้งหนึ่ง Adidas Samba ได้ขึ้นแท่นเป็นโมเดลรุ่นที่ขายดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ของ Adidas ด้วยยอดขายรวมกว่า 35 ล้านคู่ทั่วโลก ซึ่งเป็นรองเพียงแค่รุ่น Stan Smith เท่านั้น

ข้อมูลจาก

เสียงดนตรีไร้ขอบเขต PELUPO 2024 เทศกาลดนตรีรักษ์โลกสำหรับทุกคน

แม้เทศกาลดนตรี PELUPO 2024 จะจบลง แต่ความสนุกสนานและความมันสุดเหวี่ยงตลอดทั้ง 2 วัน (1-2 มีนาคม 2567) ยังคงตราตรึงใจใครหลายๆ คน ทั้งไลน์อัพศิลปินที่จัดเต็มซาวนด์ดนตรีหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นดนตรีอิเล็กทรอนิกจาก PARCELS และ Cosmo’s Midnight รวมไปถึงดนตรีแนวป๊อปฟังก์-บลูส์วงคนไทยอย่าง H3F ที่อยู่ภายใต้ธีม ‘Friday Maj7’ (ฟรายเดย์ เมเจอร์ เซเว่น) หรือวันศุกร์สุดแฮปปี้ที่ล้อไปกับเสียงคอร์ด Maj7 ตลอดจนในวันเสาร์เอง เทศกาล PELUPO 2024 ก็ยังชวนให้เราๆ ได้ไปสนุกกันต่อด้วยหลากไลน์อัพศิลปินระดับโลก และวงดนตรีของสองสาวดูโอ้ชาวไทย เจ้าของเสียงร้องอันสดใสอย่าง Landokmai เป็นต้น

แต่ความพิเศษภายในงาน ไม่ได้มีเพียงแค่ไลน์อัพศิลปินและวงดนตรีระดับโลกที่เทศกาล PELUPO โดยผู้จัดงาน VIJI CORP นั้น ตั้งใจส่งมอบประสบการณ์มิวสิกเฟสติวัลที่เฉลิมฉลองวัฒนธรรมทุกๆ มิติ ทั้งดนตรี ศิลปะ อาหาร ภายในพื้นที่เดียวกันเท่านั้น แต่เทศกาล PELUPO ยังเป็นเทศกาลที่เน้นการจัดงานแบบยั่งยืน (sustainability) หรือที่ใครหลายคนเรียกกันว่า ‘เทศกาลดนตรีรักษ์โลก’ อีกด้วย 

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญที่เราไม่พูดถึงไม่ได้สำหรับเทศกาล PELUPO ในปี 2024 นี้ คือการที่ PELUPO ยังเป็นเฟสติวัลที่สนับสนุนการเปิดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็ก (kids-friendly) ด้วยการจัดโซนสำหรับเด็ก (Kids Zone) ไว้ให้ภายในงาน ประกอบไปด้วยบ้านผีสิง, ขบวนรถไฟสำหรับเด็ก ตลอดจนพื้นที่พักผ่อนสำหรับครอบครัวและพื้นที่ทำกิจกรรมระหว่างรอชมคอนเสิร์ต นับเป็นเทศกาลดนตรีเจ้าแรกๆ ที่สามารถเจาะกลุ่มผู้เข้าร่วมครอบคลุมได้ทุกเพศทุกวัย ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ดนตรีไม่มีขอบเขต’ เลยจริงๆ 

ด้วยอุดมการณ์ของแบรนด์เครื่องเสียงสัญชาติอังกฤษอย่าง ‘มาร์แชล’ ที่อยากสนับสนุนความรักในเสียงเพลงของทุกๆ คนอย่างไร้ขอบเขต แต่ด้วยข้อจำกัดของเสียงดนตรีในคอนเสิร์ตหรือการจัดมิวสิกเฟสติวัลที่ดังเกินไป ทำให้งานไม่สามารถเป็น kids-friendly อย่างเต็มรูปแบบ ASH Asia International  ผู้นำเข้า-จัดจำหน่ายแบรนด์มาร์แชลอย่างเป็นทางการในประเทศไทย จึงร่วมสนับสนุนหูฟัง ที่มีขนาดไม่ใหญ่สำหรับเด็กๆ และไม่เล็กเกินไปสำหรับผู้ปกครอง ไม่ว่าใครก็สามารถสวมใส่ได้อย่างสบายหู ทั้งยังผลิตจากวัสดุรีไซเคิล (PVC Free) ที่ช่วยในการป้องกันเสียงดังจากภายนอกส่วนหนึ่งที่จะเข้าไปยังหูของเด็กๆ ให้กับเหล่าเปลูเปี้ยนจิ๋ว หรือน้องๆ ที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปีได้สวมใส่ เพื่อร่วมเอ็นจอยและทำความรู้จักไปกับเสียงเพลงหลากหลายแนว สัมผัสบรรยากาศใหม่รอบข้าง และเก็บเกี่ยวโมเมนท์กับคุณพ่อคุณแม่ภายในงาน PELUPO 2024 ที่ผ่านมา

นอกจากน้องๆ หนูๆ จะได้เพลิดเพลินไปกับกิจกรรมใน Kids Zone แล้ว ASH Asia International ก็ยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของประสบการณ์การเรียนรู้ในอนาคตของเด็กๆ ด้วยการจัดกิจกรรมให้น้องๆ ได้ร่วมสนุกและรับของรางวัลอย่างหูฟังรมาร์เเชล กลับบ้านกันไปกว่า 12 รางวัล โดยมาร์แชลหวังว่าหูฟังรุ่นนี้จะเป็นหนึ่งในอุปกรณ์หลักที่จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการและความรักในการฟังเพลงของน้องๆ สู่การเป็น music lover รุ่นใหม่

อยากเข้าวงการ FemTech แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง? 7 เทรนด์เทคโนโลยีเพื่อนหญิงพลังหญิงที่น่าจับตามองในตอนนี้ 

อยากเข้าวงการ FemTech แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง? 7 เทรนด์เทคโนโลยีเพื่อนหญิงพลังหญิงที่น่าจับตามองในตอนนี้

FemTech เป็นหนึ่งในเทรนด์ธุรกิจที่ถูกพูดถึงในช่วงหลายปีมานี้ และมีแนวโน้มว่าจะเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ ชนิดที่ CTO ของ Amazon อย่าง Werner Vogels ยังบอกว่า FemTech จะเป็นเทรนด์สำคัญในปี 2024 ควบคู่ไปกับ generative AI!

แต่ที่จริงแล้ว FemTech คืออะไร คนที่สนใจอยากก้าวเข้ามาสู่ธุรกิจนี้จะเริ่มต้นยังไง ในเดือนสตรีสากลและวันสตรีสากลนี้ Capital จึงอยากชวนทั้งเพื่อนหญิงพลังหญิงและคนที่สนใจ FemTech มาสอดส่องกันว่าในเวทีระดับโลกนั้น เทรนด์ FemTech เทรนด์ไหนที่น่าจับตามอง และน่านำมาปรับใช้ในบริบทของไทยได้บ้าง

FemTech คืออะไร?

คำว่า FemTech เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2558 โดย Ida Tin ผู้ร่วมก่อตั้ง Clue แอพฯ ติดตามการมีประจำเดือนของผู้หญิง จนได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ ความหมายของคำนี้ยังเป็นที่ถกเถียงอยู่ แต่โดยทั่วไป FemTech คือเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพของผู้หญิง เป็นได้ตั้งแต่สินค้าหรือบริการที่ดูแลสุขภาพของคนเป็นแม่ คนวัยทอง วัยรุ่น หรือแม้กระทั่งเรื่องสุขภาพประจำเดือนทั่วไปอย่างปัญหาฮอร์โมนแปรปรวน

FemTech ยังน่าสนใจอยู่ไหม?

จากรายงาน FemTech Global Market Report โดย The Business Research Company ระบุว่าตลาด FemTech จะเติบโตจาก 36.52 พันล้านดอลลาร์ในปี 2566 เป็น 41.97 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 และจะเติบโตเป็น 81.24 พันล้านดอลลาร์ในปี 2571  

McKinsey & Company ยังวิเคราะห์ไว้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ว่า FemTech มาแรงมาจากหลายปัจจัย

  • ข้อมูลจาก Google Trends ทำให้เห็นว่าคนสนใจ FemTech เพิ่มขึ้นมากตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19
  • การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี โดยเฉพาะการมาของ AI
  • สังคมให้ความสนใจเรื่องของผู้หญิง การพูดคุยเรื่องเพศ สุขภาพทางเพศมากขึ้น

การมาถึงของ FemTech ยังอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสุขภาพได้ เพราะบริษัท FemTech คิดค้นเทคโนโลยีเพื่อผู้หญิงที่ไม่เคยมีบริษัทด้านสุขภาพไหนทำมาก่อน กล้าเปิดเวทีอภิปรายเรื่องสุขภาพและความสุขทางเพศของผู้หญิงซึ่งยังไม่ค่อยมีเวทีไหนพูด จึงเป็นการทลายตราบาปเรื่องเพศกับผู้หญิงไปโดยปริยาย

เทรนด์ FemTech ที่น่าจับตามองในปี 2024?

1. FemTech เพื่อป้องกันและตรวจหามะเร็งตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อลดค่าใช้จ่าย ระยะเวลา และช่วยให้คนไม่ต้องรู้สึกอายจนไม่กล้าไปหาหมอ เช่น Juno Genetics ที่หาแนวทางการตรวจมะเร็งเต้านมผ่านทางพันธุกรรม

2. FemTech สำหรับคนวัยหมดประจำเดือน เช่น IdentifyHer สตาร์ทอัพสัญชาติไอริชที่มีอุปกรณ์สวมใส่ที่ใช้เซนเซอร์รวบรวมข้อมูลของคนวัยหมดประจำเดือนแต่ละคน เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของร่างกายซึ่งช่วยให้แพทย์วินิจฉัยและจัดการอาการวัยหมดประจำเดือนได้ง่ายขึ้น 

3. FemTech สำหรับชาวปวดประจำเดือน เช่น Myoovi สตาร์ทอัพจากอังกฤษที่ผลิตสินค้าช่วยบรรเทาอาการปวดโดยใช้เทคโนโลยี TENS ปิดกั้นความรู้สึกเจ็บปวดไม่ให้เข้าถึงสมอง ช่วยบรรเทาอาการปวดได้ทันที หรือ Body Moody สตาร์ทอัพจากเช็ก พัฒนาชุดบอดี้สูทที่ใช้ความร้อนบรรเทาอาการปวดประจำเดือนและปวดหลัง ชาวเมนส์สามารถควบคุมความร้อนได้ผ่านแอพฯ หรือผ่านบอดี้สูท

4. FemTech เพื่อความปลอดภัยของผู้หญิง เช่น ALLY แอพพลิเคชั่นที่มีคนไทยเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง คิดค้นขึ้นเพื่อรวบรวมสถานที่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิง ซึ่งได้รับรางวัล UN Women Awards Winning กลไกลของ ALLY คือทีมงานจะเข้าไปเทรนด์พนักงานเกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้คนในสถานการณ์สุ่มเสี่ยง และถ้าพนักงานผ่านเกณฑ์ สถานที่นั้นๆ ก็จะได้รับการรับรองทั้งปรากฏในแอพพลิเคชั่นด้วย

Shakti อุปกรณ์สวมใส่ป้องกันตัวสำหรับผู้หญิง จาก SHAKTI WEARABLES สตาร์ทอัพสัญชาติอินเดีย ซึ่งจะปล่อยกระแสไฟฟ้าที่ไม่อันตรายถึงชีวิตใส่คนที่เข้ามาล่วงเกิน Shakti ยังส่งตำแหน่งปัจจุบันที่ตรวจพบของผู้สวมใส่ไปยังผู้ติดต่อ 3 คนแรกทาง WhatsApp และข้อความ

5. FemTech เพื่อคนที่ต้องการวางแผนครอบครัว เพื่อช่วยให้ผู้หญิงวางแผนชีวิตได้ง่ายขึ้น และคู่รักยังวางแผนการมีลูกได้แม่นยำกว่าเดิม ในกลุ่มนี้เป็นได้ตั้งแต่แอพฯ และอุปกรณ์ติดตามรอบเดือนที่ระบุวันตกไข่เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ หรือจะเป็นระดับเทคโนโลยีที่ช่วยให้เกิดการตั้งครรภ์ก็ได้ เช่น FertilAI สตาร์ทอัพสัญชาติอิสราเอลที่ใช้ AI ช่วยติดตามการตกไข่ไปจนถึงการรักษาขั้นสูงเพื่อลดการทดสอบที่ไม่จำเป็น 

6. FemTech เพื่อสุขภาพทางเพศ ส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นเพื่อให้ทุกคนมีความสุขทางเพศที่ดี ลดการตีตราว่าคนที่ใส่ใจเรื่องเพศเป็นคนไม่ดี ทั้งยังสนับสนุนให้ทุกคนได้สำรวจร่างกายตัวเอง เช่น Leda Health สตาร์ทอัพในสหรัฐฯ ที่ให้บริการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการคุมกำเนิดฉุกเฉิน แถมยังมีชุดรวบรวมดีเอ็นเอ เพื่อช่วยเหลือคนที่โดนล่วงละเมิดทางเพศ

7. FemTech ในระดับองค์กรเพื่อชีวิตที่ดีของลูกจ้าง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าสุขภาพร่างกายของพนักงานย่อมมีผลกับประสิทธิภาพงานไม่น้อย เช่น Partum Health ที่สร้างระบบการดูแลพนักงานตั้งครรภ์ บริษัท SaaS Ludo สร้างเครื่องมือด้านทรัพยากรบุคคลสำหรับนายจ้างเพื่อเตรียมความพร้อมให้พ่อแม่มือใหม่ในบริษัท

แม้ FemTech จะเป็นตลาดที่น่าสนใจ แต่แน่นอนว่าเมื่อพ่วงมากับการเป็นธุรกิจที่เน้นเทคโนโลยี การจะก่อร่างสร้างแบรนด์สักแบรนด์ขึ้นมาจึงอาจต้องอาศัยทุนทรัพย์ องค์ความรู้ และความอดทนอย่างสูง แต่เทรนด์ที่เรารวบรวมมาเหล่านี้ก็อาจเป็นคัมภีร์เบื้องต้นที่ช่วยให้คนที่สนใจเริ่มรู้ว่าจะสร้าง FemTech ในไทยในทิศทางไหน

สุขสันต์วันสตรีสากล!

อ้างอิง

Kate Sessions หญิงผู้เชี่ยวชาญด้านพรรณไม้ ที่บุกเบิกการสร้างสวนและธุรกิจต้นไม้ในแซนดิเอโก

ต้อนรับเดือนแห่งวันสตรีสากล เมื่อพูดถึงผู้หญิงและการสร้างกิจการ เราอยากขอพาย้อนเวลากลับไปในปี 1880 พาไปยังแสงแดดของเมืองแคลิฟอร์เนีย แต่เป็นช่วงปีที่หลายพื้นที่ของอเมริกานั้นยังรกร้าง และพื้นที่ของผู้หญิงทั้งในการเรียนและการทำงานก็ยังปิดกั้น

ในทศวรรษของการหักร้างถางพงและการกรุยทางเพื่อสิทธิสตรี มีผู้หญิงผู้รักในต้นไม้คนหนึ่ง เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่จบปริญญาทางวิทยาศาสตร์ เป็นสุภาพสตรีที่เรานิยามว่าเป็นเจ้าของกิจการยุคแรกๆ ที่เธอใช้ความรู้และความรักในต้นไม้ สร้างเป็นข้อตกลงกับเมืองแซนดิเอโกเพื่อเริ่มกิจการโรงเพาะชำต้นไม้ (tree nursery) ในที่ดินของพื้นที่เมืองที่เธอให้คำมั่นว่าจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสวนสาธารณะ

จากความรักของเด็กหญิงที่มีต่อธรรมชาติและการเติบโตขึ้นในดินแดนที่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นของผู้ชาย โลกของต้นไม้และพืชพรรณที่เธอเพาะปลูกขึ้นในดินแดนกันดารว่างเปล่าสุดท้ายนั้นสุภาพสตรีนามว่า เคต เซสชั่น กลายเป็นมารดาของสวนสำคัญของเมือง เป็นแม่ผู้เพาะเลี้ยงต้นไม้ต่างๆ เธอเองเป็นหนึ่งในผู้ที่กรุยทางวิชาชีพเฉพาะเกี่ยวกับต้นไม้และเป็นผู้หญิงหนึ่งเดียวของทศวรรษคือนักเพาะเลี้ยงต้นไม้ (horticulturist) รวมถึงกิจการที่อาจไม่ค่อยถูกพูดถึงนักคือโรงเพาะชำกล้าไม้ เธอเป็นผู้ทดลองและรวบรวมพืชพรรณที่เหมาะสมเช่นพืชเมืองร้อนไปจนถึงพืชท้องถิ่น ส่งผลไปยังหน้าตาหรือภูมิทัศน์ของเมืองผ่านกลุ่มพืชพรรณในปัจจุบัน

ผู้หญิงในโลกของผู้ชาย

ก่อนจะก้าวไปสู่กิจการต้นไม้ของเคต เราอยากพาผู้อ่านไปยังบริบทของยุคสมัยทั้งของผู้หญิงและของพื้นที่ฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ที่มีความยากลำบากเป็นหัวใจ ในช่วงสมัยปลายศตวรรษที่ 19 แซนดิเอโกและแคลิฟอร์เนียเป็นพื้นที่ที่รกร้างห่างไกลและกันดาร (รถไฟวิ่งถึงกลางเมืองราวปี 1881 ยุคตื่นทองที่พาคนหนุ่มไปหาทองคำราวปี 1848) พื้นที่นอกบ้านส่วนใหญ่ในความยากลำบากมักเป็นพื้นที่ของผู้ชายทั้งพื้นที่การศึกษาและการทำงานรวมถึงประกอบกิจการต่างๆ – ภาพการโตขึ้นของแคลิฟอร์เนียท่ีสัมพันธ์กับกิจการซักรีดและแรงงานจีน มีในบทความ 100 ปีร้านซักรีด

เคต โอลิเวีย เซสชั่น (Katherine Olivia Sessions) เกิดในปี 1857 เป็นเด็กผู้หญิงที่เกิดในครอบครัวใหญ่ที่แคลิฟอร์เนีย เมื่ออายุได้หกขวบ ครอบครัวของเธอก็ย้ายมาอยู่ในบ้านไร่ (farmland) ริมทะเลสาบ (Lake Merritt) เคตเป็นเด็กผู้หญิงที่เติบโตอย่างอิสระ ใช้ชีวิตในฟาร์ม ขี่ลูกม้า เก็บดอกไม้ป่าและต้นเฟิร์น ความรักต้นไม้ของเธอจึงเริ่มต้นตั้งแต่วัยเด็กและชัดเจนขึ้นเมื่อครอบครัวพาเธอไปเที่ยวที่เกาะแซนด์วิช (Sandwich Islands–ฮาวายในปัจจุบัน) เคตใช้เวลากับคุณแม่ผู้รักการทำสวน และเธอเองได้ชื่อว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่จัดดอกไม้ได้สวยงาม

เคตเองเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่ถือว่าก้าวหน้ามากและคาดว่าครอบครัวของเธอก็ก้าวหน้าด้วย โดยทั่วไปผู้หญิงมักวางตัวเองไปสู่การเป็นแม่บ้านและเมีย แต่เคตเป็นผู้หญิงที่เข้าถึงการศึกษา เธอจบวิทยาลัยด้านบริหารธุรกิจและเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์กลีย์ คณะที่เธอเรียนสัมพันธ์กับความสนใจในพืชพรรณคือคณะวิทยาศาสตร์ เคตเองนับเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นและเป็นที่นิยมในหมู่เพื่อน ในที่สุดเธอจบการศึกษาวิทยาศาสตร์บัณฑิตในปี 1881 และนับเป็นบัณฑิตหญิงคนแรกที่ได้รับปริญญาสาขาวิทยาศาสตร์ (Bachelor of Science) จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

การเป็นบัณฑิตวิทยาศาสตร์หญิงคนแรก ในสมัยนั้นไม่ใช่เรื่องที่สังคมจะเปิดรับในทันที กรณีของเคต งานแรกที่เธอทำและได้ทำเป็นครู ในยุคนั้นงานสอนแทบจะเป็นพื้นที่เดียวที่เปิดรับผู้หญิง เคตย้ายมาอยู่ในเมืองแซนดิเอโกเพื่อทำงานในโรงเรียน เธอทำอาชีพครูจนถึงปี 1885 หลังจากนั้นเคตจึงตัดสินใจก้าวออกจากโลกการทำงานของผู้หญิงไปสู่ธุรกิจกิจการของผู้ชาย นั่นคือพื้นที่กิจการเกี่ยวกับการเพาะพันธุ์ต้นไม้

คำสัญญาในต้นไม้ร้อยต้น

จากชีวิตคุณครูของเคต ก้าวไปสู่บทบาทของผู้ประกอบการ และตัวแม่ในวงการเพาะเลี้ยงต้นไม้เริ่มต้นเมื่อเธอตัดสินใจร่วมกิจการเรือนเพาะต้นไม้และร้านดอกไม้กับสามีภรรยาคู่หนึ่งก่อนที่การเป็นพาร์ตเนอร์ทางการค้าจะสิ้นสุดลง เคตทำการรักษากิจการและสินทรัพย์บางส่วนไว้คือร้านดอกไม้ที่ย่านกลางเมืองของแซนดิเอโกและฟาร์มดอกไม้บางส่วนที่โคโรนาโด

ตรงนี้เป็นความน่าสนใจของการดำเนินธุรกิจและการรักษากิจการและการงานของเธอ อย่างแรกคือธุรกิจเพาะต้นไม้ (horticulture) เป็นโลกของผู้ชาย นึกภาพการเป็นเจ้าของสวนที่อยู่นอกเมือง การขนส่งไปจนถึงการเดินทางเพื่อรวบรวมพืชพรรณ การเป็นเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่เป็นงานที่ค่อนข้างหนักและไม่ใช่โลกของผู้หญิง หลังจากเคตรับสืบทอดกิจการแล้ว สิ่งที่เธอทำในแง่ของธุรกิจโรงเพาะเลี้ยงคือการทำสัญญากับเมืองโดยแลกกับการเช่าใช้ที่ดินกับต้นไม้และการพัฒนาพื้นที่ดินรกร้างนั้น

หลังจากเคตย้ายจากการเป็นครูสู่กิจการเพาะต้นไม้และเจ้าของร้านดอกไม้ ในปี 1892 เคตได้เสนอขอเช่าใช้ที่ดินของเมืองแซนดิเอโก ในตอนนั้นเมืองแซนดิเอโกเองกำลังขยายตัว เมืองมีแผนที่จะปรับปรุงที่ดินรกร้างให้กลายเป็นสวน จังหวะนั้นเองที่เคตเจรจาขอให้พื้นที่ที่เมืองเรียกว่าเป็นโครงการ City Park โดยเธอขอเข้าใช้เพื่อเปิดกิจการโรงเลี้ยงต้นไม้และแลกเปลี่ยนกับการปลูกและดูแลพัฒนาที่ดินในเขตสวนนั้นเป็นต้นไม้ 100 ต้น ต่อมาเจ้า City Park ได้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า Balboa Park เคตจึงได้ฉายาว่า Mother of Balboa Park ในตอนนั้นเองทางเมืองก็ยกตำแหน่ง ‘ผู้ดูแลสวนของเมือง (city gardener)’ ด้วย

เคตนับเป็นกลไกสำคัญในการตั้งคณะกรรมการพัฒนาสวนของเมืองร่วมกับนักขับเคลื่อน George Marston คือเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้พื้นที่สวนสาธารณะเป็นพื้นที่ของชุมชนและผู้คน

ตัวมัมแห่งวงการ 

ทีนี้ เคต เซสชั่น เป็นตำนานตรงไหน อันที่จริงตลอดช่วงชีวิตการทำงาน เธอแทบจะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ทำกิจการเพาะต้นไม้ ในแง่ของเจ้าของธุรกิจ เคตไม่ได้แค่ดูแลโรงเรือนบนที่ดินของเมืองที่บัลบัวบาบัลพาร์กเท่านั้น แต่พร้อมๆ กัน เธอเป็นเจ้าของสวนเพาะกล้าในอีกหลายพื้นที่

ในแง่ขององค์ความรู้และพื้นที่วิชาชีพ การทำหน้าที่ปลูกต้นไม้แลกเปลี่ยนของเคตไม่ใช่แค่การปลูกอย่างใส่ใจเฉยๆ เธอจะทำการคัดเลือก ดูแล ลงปลูกต้นไม้อย่างเหมาะสม เธอทำการศึกษาซึ่งเคตเองเป็นผู้ที่สนับสนุนการใช้ไม้พื้นถิ่น และในขณะเดียวกันเธอก็เป็นผู้ร่วมคณะเดินทางสำรวจพืชเช่นในเม็กซิโก เธอได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำและเพาะเลี้ยงพืชเช่นศรีตรัง ไปจนถึงกล้วยไม้ในภูมิอากาศของแซนดิเอโกได้สำเร็จ 

บทบาทของเธอซึ่งสัมพันธ์กับวิชาชีพเพาะพันธุ์ไม้จึงสัมพันธ์กับหน้าตาของการออกแบบภูมิทัศน์ หลังจากสัญญาต้นไม้ร้อยต้นแล้ว เธอเองก็รับเพาะกล้าไม้ที่ใช้ในเมืองแซนดิเอโกต่อ ดังนั้นทั้งสวนที่เธอสร้างขึ้นจนเขียวไปจนถึงไม้ดอกใบบนถนนหนทางจึงนับเป็นลูกๆ ของเธอได้

ประเด็นการนำเข้าและเพาะไม้ต่างถิ่นของเธอมักถูกตั้งข้อสังเกตว่าส่งผลกับระบบนิเวศท้องถิ่นในเวลา เธอเองเป็นผู้เลือกและเลี้ยงต้นไม้ที่เหมาะสมกับสภาพอากาศของเมือง เธอเองได้รับการกล่าวขานว่าเป็นผู้นำเอาพืชเช่นต้นศรีตรัง พอยน์เซตเทียหรือกล้วยไม้เข้ามาทดลองเลี้ยงและเพาะขยายพันธุ์จนกลายเป็นต้นไม้สำคัญในเมืองในแถบแคลิฟอร์เนีย แถมเธอเองยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหน้าตาของสวนของเมืองและเป็นผู้ให้พาต้นควีนปาล์มให้กลายเป็นต้นไม้ริมถนนยอดนิยมและกลายเป็นภาพสำคัญของใต้สายลมแสงแดดของชายฝั่งอีสโค้ทอย่างที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน

บทบาทการนำเข้าและทดลองเลี้ยงของเธอภายหลังถูกวิจารณ์ว่าอาจส่งผลกระทบกับพืชท้องถิ่น แต่ฝ่ายสนับสนุนชี้ให้เห็นว่าในสมัยนั้นยังไม่มีความเข้าใจเรื่องพืชต่างถิ่นที่กระทบกับระบบนิเวศดั้งเดิม และเคตเองหลายครั้งการเดินทางของเธอมีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์เช่นต้นปาล์มในสวนเป็นปาล์มเสี่ยงสูญพันธุ์จากรัฐบาฮากาลิฟอร์เนีย (Baja California) ของเม็กซิโก การปลูกต้นไซปรัสที่กลายเป็นจุดเด่นสำคัญของสวนบัลเบา หรือต้น Guadalupe ไม้พื้นถิ่นของเกาะ Guadalupe ในเม็กซิโกที่เสี่ยงสูญพันธุ์จากแพะเลี้ยงที่กลายเป็นแพะท้องถิ่นและกินต้นไซปรัสดังกล่าวจนหมด ซึ่งเธอเองก็ได้นำไม้เสี่ยงสูญพันธุ์มาเลี้ยงไว้ในสวนและเติบโตเป็นอย่างดี

บทบาทและความน่าสนใจของ เคต เซสชั่น สัมพันธ์กับการเป็นผู้หญิงแกร่งที่เลือกจะทำในสิ่งที่ตนเองรัก คือการเพาะต้นไม้ นอกจากการลงมือเพาะ ตระเวนหาและกลายเป็นมารดาของเหล่าพืชพรรณของเมืองแล้ว บทบาทสำคัญคือการทดลองและศึกษาวิจัยความรู้ด้านพืชพรรณ ในพื้นที่สวนของเธอ เธอเป็นผู้ตีพิมพ์บทความทั้งในนิตยสารและผลงานวิจัย เธอเปิดสวนเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวและลงมือนำเที่ยวด้วยตัวเอง ใช้พื้นที่สวนสาธารณะที่เธอเพาะต้นไม้ต่างโรงแสดงพันธุ์ยักษ์เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนด้านพืชสวนของมหาวิทยาลัย เป็นสมาชิกก่อตั้งของสมาคมไม้ดอกแซนดิเอโก (San Diego Floral Association) เป็นผู้สนับสนุนพืชกินได้ เป็นผู้เปิดพื้นที่กิจการต้อนรับและสื่อสารองค์ความรู้กับนักพืชพรรณทั่วโลก

อ้างอิง

โปรเจกต์ที่คิง เพาเวอร์ร่วมมือกับพันธมิตรทางดนตรี เพื่อขยายโอกาสให้เยาวชนเติบโตสู่อุตสาหกรรมเพลงไทย

THE POWER BAND คือเวทีประกวดวงดนตรีสากลคุณภาพระดับประเทศที่เยาวชนที่ติดตามวงการประกวดดนตรีน่าจะคุ้นหูกันดีเพราะจัดต่อเนื่อง ก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 ภายใต้โครงการเพื่อสังคม ‘คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย’ ของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ความพิเศษของปีนี้คือการจัดร่วมกับองค์กรหลากหลายที่เป็นกูรูตัวจริงในวงการดนตรี ทั้งองค์กรการศึกษาอย่างวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ 6 ค่ายเพลงดัง Muzik Move, LOVEiS Entertainment, Smallroom, What The Duck, Warner Music Thailand, XOXO Entertainment ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดีสำหรับนักดนตรีมือใหม่ที่อยากก้าวเท้าเข้าไปในวงการ

อภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ด้านปฏิบัติการ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เล่าว่าเป้าหมายสำคัญของโครงการ THE POWER BAND คือการสนับสนุน และจุดประกายให้นักดนตรีได้พัฒนาฝีมือ ต่อยอดความฝันของตนเอง และได้รับโอกาสในการแสดงความสามารถอย่างเต็มที่ด้วยการสร้างพื้นที่แสดงพลังทางดนตรีเพื่อนักดนตรีไทยที่มองหาเวทีประกวดที่มีคุณภาพสูง โดยเวที THE POWER BAND 2024 SEASON 4

จะช่วยขยายโอกาสสู่วงกว้างให้ผู้ที่มีความสามารถด้านดนตรีที่หลากหลายได้เข้าใกล้ความฝันไปอีกขั้น ซึ่งตรงกับคอนเซปต์ของโครงการคือ ‘Let The Music Power Your World เป็นได้สุด เป็นไปได้ ด้วยพลังแห่งดนตรี’

สิ่งที่โดดเด่นของเวทีประกวดแห่งนี้คือประสบการณ์อันล้ำค่าที่ไม่อาจหาได้ง่ายๆ จากที่ไหนที่จะช่วย upskill ให้เหล่าผู้สมัครเข้าร่วมประกวด เช่น กิจกรรม THE POWER BAND MUSIC CAMP ที่ผู้ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศจะได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์จากคนที่อยู่ในวงการจริง โดยรวบรวมมิวสิกกูรูระดับประเทศกว่า 20 คน มาถ่ายทอดความรู้ต่างๆ และความเชี่ยวชาญทางด้านดนตรีทุกแขนง

ดร.ณรงค์ ปรางค์เจริญ คณบดีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าการเข้าแคมป์เป็นการต่อยอดนักดนตรีที่มีฝันสู่เส้นทางการเติบโตสู่ระดับโปรเฟสชันนอล ซึ่งไม่ใช่แค่การส่งเสริมทักษะด้านดนตรีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสอนการพัฒนาบุคลิกภาพบนเวทีและการจัดการชีวิตตัวเอง ซึ่งถึงแม้ผู้เข้าร่วมแข่งขันจะไม่ชนะ แต่ก็จะได้เรียนรู้วิธีพัฒนาตัวเองและได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกันอย่างแน่นอน

ที่ผ่านมานอกจาก THE POWER BAND จะช่วยพัฒนาทักษะและส่งเสริมอุตสาหกรรมดนตรีแล้วเวทีนี้ยังเป็นเวทีประกวดที่ได้รับการยอมรับทั้งจากผู้ปกครอง คณาจารย์ ตลอดจนผู้มีประสบการณ์ทางด้านดนตรีมากมาย ทั้งในเรื่องมาตรฐานและคุณภาพ เห็นได้จากคณะกรรมการผู้มีส่วนร่วมในการตัดสินการประกวดครั้งนี้ล้วนเป็นผู้คร่ำหวอดจากแวดวงดนตรีทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ได้แก่ อัคราวิชญ์, พิริโยดม หัวหน้าสาขาวิชาดนตรีสมัยนิยม วิทยาลัยดุริยางคศิลป์, พล–คชภัค ผลธนโชติ ผู้บริหารค่าย Boxx Music และ Zircle Muzik, ติ๊ก–กฤษติกร พรสาธิต ผู้บริหารค่าย Home Run Music และ เป้ – ไพสิฐ คำกลั่น Music Director ค่าย Melodic Corner เป็นต้น

ในมุมของผู้บริหารค่ายเพลง ชลากรณ์ ปัญญาโฉม หนึ่งในพันธมิตรที่จะมาช่วยค้นหานักดนตรีที่มีฝีมือได้กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจค่ายเพลงยังมีเพิ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ นั่นแปลว่ายังมีโอกาสเพิ่มเสมอสำหรับทุกคนที่อยากก้าวขึ้นมาเป็นนักดนตรีมืออาชีพ โอกาสในการเข้าร่วมประกวดคือโอกาสในการเติบโต วันหนึ่งคุณอาจจะเป็นอีกคนหนึ่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมเพลงและร่วมผลักดันธุรกิจเพลงให้เติบโตขึ้นไม่ว่าจะในบทบาทโปรดิวเซอร์ หรือ music director ก็ล้วนเป็นไปได้

โดยที่ผ่านมามีวงดนตรีเข้าร่วมโครงการกว่า 600 วง รวมเป็นนักดนตรีมากกว่า 4,000 คนจากทั่วประเทศและยังมีจำนวนผู้สมัครเพิ่มขึ้นทุกปี กรรมการจากค่ายเพลงต่างๆ ให้ความเห็นว่าอยากเห็นผู้เข้าแข่งขันที่มีความพร้อมทั้งร่างกาย ทักษะ และหัวใจ นอกจากทักษะทางดนตรีแล้วยังแนะนำให้ผู้เข้าร่วมแข่งขันเตรียมพร้อมในการซ้อมอย่างเข้มข้นเพื่อให้ชินกับเวที

ดนุภพ กมล รองกรรมการผู้จัดการ จากบริษัท มิวซิกมูฟ จำกัด ซึ่งเป็นค่ายเพลงที่พร้อมอ้าแขนต้อนรับผู้ชนะเลิศให้มาทำซิงเกิลเพลงและมิวสิกวิดีโอร่วมกัน ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า สำหรับในมุมมองของค่ายเพลงอย่าง Muzik Move แล้ว คุณสมบัติที่จำเป็นที่สุดที่นักดนตรีหน้าใหม่ผู้มีฝีมือและอยากเป็นศิลปินต้องมีคือ ‘เอกลักษณ์เฉพาะตัว’ ซึ่งหมายถึงความโดดเด่นและแตกต่าง สามารถทำให้ผู้ฟังจดจำได้ อยากติดตามและมี ‘เสน่ห์’ ที่จะดึงดูดคนดูในแง่มุมใดแง่มุมหนึ่ง หากมีคุณสมบัติเหล่านี้ เมื่อเข้ามาทำงานกับค่ายเพลงแล้วก็จะสามารถต่อยอดให้เดินไปได้ไกลในเส้นทางของศิลปิน

สำหรับรายละเอียดในการประกวดในปีนี้มีการแบ่งกลุ่มการแข่งขันออกเป็น 2 รุ่น คือ ‘รุ่นมัธยมศึกษา สุดยอดวงดนตรีระดับมัธยม (High School Class)’ และ ‘รุ่นบุคคลทั่วไป เส้นทางสู่ศิลปินมืออาชีพ (Professional Class : Road to Artist)’ โดยมีการลงพื้นที่ในรอบโซนนิ่งแสดงสด เพื่อคัดผู้ท้าชิงจาก 5 สนามแข่งขันทั่วประเทศมาประชันฝีมือในรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ

สำหรับผู้ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ จะยังได้ชิงรางวัลรวมกว่า 2 ล้านบาท พร้อมร่วมทำซิงเกิลกับโปรดิวเซอร์มืออาชีพและโอกาสในการร่วมแสดงในเทศกาลดนตรีระดับประเทศ ผู้ที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมประกวดและติดตามรายละเอียดได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 2 สิงหาคม 2567 ผ่านทางเว็บไซต์ www.music.mahidol.ac.th/thepowerband

ธุรกิจของศิลปินดังที่ควบตำแหน่งประธานบริษัท

ช่วงที่ผ่านมาจะเห็นสาวๆ วง BLACKPINK ทั้งเจนนี่ จีซู และลิซ่าทยอยเปิดตัวค่ายเพลงของตัวเอง และหันมาควบตำแหน่งเก้าอี้ประธานบริษัท เปลี่ยนจากบทบาทศิลปินกลุ่มมาสู่เส้นทาง solo artist ที่มีความอิสระ

การก่อตั้งธุรกิจค่ายเพลง (record label) หรือเอเจนซีบริหารจัดการดูแลศิลปิน (artist managment agency) นั้นเป็นเส้นทางอาชีพยอดนิยมที่ศิลปิน K-pop ที่โด่งดังมักเลือกเส้นทางนี้ หลายคนดังจากการเป็นเกิร์ลกรุ๊ปหรือบอยแบนด์มาก่อนจนมีแฟนคลับหนาแน่นและชื่อเสียงโด่งดังแล้วจึงค่อยก้าวสู่เส้นทางศิลปินเดี่ยวพร้อมเปิดบริษัทของตัวเองที่อำนวยความสะดวกในการได้ทำสไตล์เพลงที่ตัวเองต้องการไปจนถึงรับงานและบริหารจัดการได้ง่ายขึ้น

แม้ศิลปินหลายคนจะเคยมาจากวงเดียวกันแต่ธุรกิจค่ายเพลงก็เหมือนกับธุรกิจในวงการอื่นๆ ที่แต่ละบริษัทจะมีเป้าหมาย, core value และแบรนดิ้งที่แตกต่างกันตามสไตล์ของแต่ละคนและตามสิ่งที่ CEO ของแต่ละบริษัทให้ความสำคัญ ในโอกาสที่ต้นปีนี้มีศิลปินเกาหลีหลายคนเปิดตัวค่ายเพลงของตัวเอง เราขอชวนมาเจาะลึกถึงเรื่องราวตัวอย่างบริษัทค่ายเพลงจากเหล่าศิลปินเกาหลีที่เคยเป็นศิลปินกลุ่มมาก่อน

โดยค่ายเพลงที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ไม่นานมานี้ เช่น ค่ายของสาวๆ  BLACKPINK นั้นมักเริ่มจากดูแลศิลปินคนเดียวคือตัวศิลปินเอง ส่วนค่ายเพลงที่เปิดมาสักพักหลายปีแล้วจะเริ่มเห็นเส้นทางที่ศิลปินเริ่มต่อยอดชวนคนอื่นมาอยู่ในสังกัดตัวเอง ไปจนถึงแตกโมเดลหารายได้และขยายธุรกิจ ใครไม่ได้เป็นศิลปินหรืออยู่ในวงการบันเทิงก็สามารถศึกษาเรื่องราวการทำ personal branding และการเติบโตจากการสะสมชื่อเสียงจนมาเปิดบริษัทของตัวเองผ่านค่ายเพลงของศิลปินชื่อดังเหล่านี้ได้

LLOUD
ศิลปิน : ลิซ่า  BLACKPINK

เว็บไซต์ของ LLOUD ได้ระบุไว้ว่าแนวทางของค่ายเพลงแห่งนี้คือการเป็น The Fusion of Sound & Innovation ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์แนวทางเพลงใหม่ๆ สร้างประสบการณ์ใหม่ที่ท้าทายกรอบเดิมทำเพลงที่ไม่ใช่แค่ติดท็อปชาร์ตแต่เป็น genre-defying music หรือเพลงที่ผสมผสานแนวเพลงหลากหลายและออกจากกรอบแนวเพลงแบบเดิมๆ

ในเว็บไซต์ยังได้ระบุว่าลิซ่ามีชื่อเสียงจากการเป็นหนึ่งในสมาชิกของวง BLACKPINK ที่สร้างแรงกระเพื่อมในวงการดนตรีและวงการแฟชั่นในระดับโลกโดยเล่าถึงหลากหลายบทบาทในวงการของลิซ่า ในหน้าผลงานไฮไลต์มีทั้งแคมเปญแฟชั่นที่ลิซ่าเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลกร่วมกับ Bulgari, คลิปทำอาหารกับ Spotify Billions Club, การแสดงในงาน Le Gala des Piéces Jaunes, และซีรีส์ใหม่ The White Lotus ทาง HBO Series ที่เพิ่งเปิดตัวไม่นานมานี้ว่าลิซ่าจะร่วมงานด้วย

ผลงานของลิซ่าทั้งหมดที่หลากหลายเหล่านี้สอดคล้องกับสโลแกนของค่าย LLOUD ที่เน้นคำว่า pushing boundaries ไปจนถึง ‘breaking barriers in the realm of music and entertainment’ ที่สื่อว่าแนวทางในวงการของลิซ่าจะไม่ได้อยู่แค่ในวงการดนตรีเท่านั้น แต่จะอยู่ในวงการบันเทิงด้วยหลากหลายบทบาทและจะมีการนำเสนอผลงานรูปแบบใหม่ๆ ที่สร้างอิมแพกต์และสร้างความประทับใจที่เหนือความคาดหมายดังเช่นที่ผ่านมา   

ติดตามเว็บไซต์ official ได้ที่ lloud.co

BLISSOO
ศิลปิน : จีซู  BLACKPINK

BLISSOO มีที่มาตรงตัวจากคำว่า BLISS ซึ่งทางค่ายได้กล่าวถึงมิชชั่นของบริษัทไว้ว่าอยากเป็นค่ายที่สร้างความสุขให้แฟนคลับและเปรียบศิลปินอย่างจีซูเป็นเหมือนกล่องของขวัญที่ทำให้แฟนคลับมีความสุขอยู่เสมอ ความตั้งใจของค่ายคืออยากให้ความสำคัญกับคอมมิวนิตี้ของแฟนคลับ อยากทำให้ทุกคนรู้สึกได้รับแรงบันดาลใจและรู้สึกถึงการให้ความสำคัญโดยทางค่ายมีแนวทางจะนำเสนอทั้งการมอบประสบการณ์และสินค้าให้กลุ่มผู้ติดตามที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นด้วยเพลง สินค้า merchandise และกิจกรรมต่างๆ

ในเว็บ BLISSOO แนะนำตัวว่าจีซูเป็นศิลปินมากความสามารถทั้งในบทบาทนักร้องและนักแสดง หน้าผลงานของเธอในเว็บไซต์มีการแบ่งหมวดหมู่ออกเป็น Awards, Drama, Movie และ Broadcast โดยทางค่ายบอกว่าจีซูจะยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้วงการแฟชั่น บิวตี้ และอีกมากมายโดยทางค่ายจะมุ่งใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างความสุขให้เหล่าแฟนๆ

หากสังเกตในโซเชียลมีเดียของ BLISSOO นอกจากช่องทาง X ที่ใช้ชื่อค่ายอย่างเป็นทางการแล้ว อินสตาแกรมและยูทูบในเว็บไซต์ของค่ายในตอนนี้ใช้แอ็กเคานต์ส่วนตัวของจีซูทั้งอินสตาแกรมส่วนตัวและช่องยูทูบของเธอที่มี Vlog ให้แฟนๆ ได้ติดตามไลฟ์สไตล์ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นกันเอง หากเปรียบธุรกิจดูแลศิลปินกับธุรกิจหมวดอื่นๆ แล้ว BLISSOO ก็เหมือนกับบริษัทที่เน้นการสร้างความสัมพันธ์กับแฟนคลับของแบรนด์ด้วยการสร้างคอมมิวนิตี้และมีช่องทางให้ติดตามอย่างใกล้ชิด 

ติดตามเว็บไซต์ official ได้ที่ blissoo.co.kr/en/#area-jisoo

Odd Atelier
ศิลปิน : เจนนี่ BLACKPINK

OA คือชื่อย่อบริษัทของเจนนี่ BLACKPINK ซึ่งมาจากชื่อเต็มคือ Odd Atelier โดยมีคอนเซปต์คือ “a space that aims to create new things that attract attention in a different way from what is usual or expected”
หรือพื้นที่สร้างสิ่งใหม่ที่แตกต่างและเหนือความคาดหมายซึ่งเป็นที่น่าสนใจสำหรับผู้คน โดยคำว่า odd แปลว่าความแปลกที่แตกต่าง ส่วนคำว่า atelier เป็นภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่าเวิร์กช็อป

ในตอนนี้เว็บไซต์ของ Odd Atelier กำลังอยู่ในช่วงปรับปรุงและยังไม่มีข้อมูลเผยแพร่ออกมามากนักแต่จากชื่อค่ายแล้วเป็นไปได้ว่าแฟนคลับอาจได้เห็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย เจนนี่ยังเคยให้สัมภาษณ์ว่าในบทบาทและเส้นทางศิลปิน K-pop ของเธอนั้นทำให้ก่อนหน้านี้เธอยังไม่ได้เผยแง่มุมความเป็นตัวตนของตัวเองออกมาทั้งหมด และการทำบริษัทของตัวเองก็เป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้เธอได้ก้าวข้ามขีดจำกัดและแสดงถึงความเป็นตัวเองอย่างอิสระมากขึ้นในเส้นทางอาชีพของเธอ

หลายสำนักข่าวจากต่างประเทศได้ออกความเห็นไว้ว่าในตอนนี้ OA นิยามตัวเองว่าเป็นบริษัท label แต่คำว่า label อาจจะเป็นทั้ง record label หรือ fashion label ก็ได้ซึ่งมีความเป็นไปได้ต่างๆ มากมายไร้ขีดจำกัดดังที่โมเดลธุรกิจยุคใหม่ในสมัยนี้มักมีสินค้าและบริการหลากหลายได้ในบริษัทเดียว แม้รายละเอียดของธุรกิจจะยังไม่เปิดเผยออกมาทั้งหมด แต่เซตภาพเปิดตัวในอินสตาแกรมของ OA ก็เผยให้เห็นรูปเสื้อฮู้ดลายโลโก้บริษัทของทีม และสิ่งที่แน่ใจก็คือ OA จะเป็นค่ายที่มุ่งนำเสนอความเป็นตัวเองของศิลปินและให้ความสำคัญกับการเปิดกว้างให้ศิลปินได้ทำในสิ่งที่ชอบ

ติดตามช่องทาง official ได้ที่ instagram.com/oddatelie

INB100
ศิลปิน : แบคฮยอน EXO

ค่ายเพลงที่เพิ่งเปิดตัวตอนต้นปีนี้เช่นกันคือ INB100 โดยมีแบคฮยอนจากวง EXO ดำรงตำแหน่งเป็น CEO และมีศิลปินในสังกัดเป็นเพื่อนร่วมวง EXO อีก 2 คนคือซิ่วหมินและเฉิน

การก่อตั้งของ INB100 นั้นแตกต่างจากบริษัทอื่นอยู่สักหน่อยตรงที่เรื่องราวเกิดจากพวกเขายื่นฟ้องทางกฎหมายเพื่อยุติสัญญากับค่ายเดิมคือ SM Entertainment เนื่องจากสัญญาไม่เป็นธรรมและแก้ปัญหาด้วยการก่อตั้งบริษัทใหม่เพื่อดูแลกิจกรรมเดี่ยวของศิลปินทั้ง 3 คน โดยให้ค่าย SM Entertainment เหลือหน้าที่เฉพาะในส่วนที่ดูแลกิจกรรมวง EXO เท่านั้น ซึ่งหากเท้าความเล่าประวัติของวง EXO เพิ่มเติม วงนี้เป็นวงบอยแบนด์สัญชาติเกาหลีและจีนที่ตอนแรกเริ่มมีสมาชิกวงถึง 12 คน ถือเป็นวงเก่าแก่ที่เปิดตัวในปี 2012 และดังเป็นพลุแตก ด้วยสมาชิกที่เยอะทำให้มีการแบ่งเป็นกลุ่มย่อยเพื่อแยกโปรโมตในเกาหลีและจีน เรียกได้ว่าพอเป็นวงที่ดังมานานก็มีฐานแฟนคลับที่แน่นและสไตล์ของวงที่ชัดเจนอยู่แล้ว

ในบางครั้งที่มาของการก่อตั้งธุรกิจก็ไม่ได้เริ่มจากอยากทำธุรกิจโดยตรงซะทีเดียวแต่เกิดจากข้อจำกัดในการทำงานและการก่อตั้งบริษัทก็ช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ เช่น รับงานง่ายขึ้น จัดการได้อย่างเป็นธรรมมากขึ้น อิสระมากขึ้น เป็นระบบมากขึ้น ไม่ใช่แค่ธุรกิจค่ายเพลงเท่านั้น ในหลายวงการจะเห็นฟรีแลนซ์หรือพนักงานบริษัทออกมาเปิดเอเจนซีเล็กๆ จากความเชี่ยวชาญในทักษะของตัวเอง ซึ่งก็ถือเป็นการริเริ่มทำบริษัทเพื่อแก้ปัญหาการงานของตัวเองรูปแบบหนึ่ง สำหรับรายละเอียดของค่าย INB100 นั้นทางค่ายเพิ่งเปิดตัวรูปโปรไฟล์ใหม่ของศิลปินในสังกัดและแฟนคลับสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ต่อไป

ติดตามช่องทาง official ได้ที่ instagram.com/inb100_official

KONNECT Entertainment
ศิลปิน : คัง แดเนียล

คัง แดเนียลเป็นอีกคนที่เริ่มก่อตั้งค่ายเพลง KONNECT Entertainment ตอนปี 2019 เนื่องจากเคยมีปัญหาและยื่นฟ้องทางกฎหมายกับค่าย LM Entertainment โดยก่อนหน้านั้นเขาเคยเป็นสมาชิกของวง Wanna One ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นศิลปินเดี่ยวเต็มตัว

แม้จะเริ่มเส้นทางจากปัญหาทางกฎหมายแต่คัง แดเนียลได้พิสูจน์แล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่าเขาได้ทำให้บริษัทเติบโตอย่างสำเร็จ ปัจจุบัน KONNECT Entertainment มีบริการที่เรียกได้ว่าแทบจะครบวงจรสำหรับศิลปินที่อยากทำเพลงและการแสดงทั้งการทำ music production, การจัดการเรื่อง distribution IP licensing, การดูแลเรื่องการแสดง ไปจนถึงทำดิจิทัลคอนเทนต์ บริษัทยังมีเป้าหมายว่าอยากปั้นศิลปินเกาหลีให้โดดเด่นและแนะนำให้คนรู้จักในระดับโลก ดังนั้นศิลปินสังกัดนี้ที่ผ่านมาจึงมีศิลปินเกาหลีอย่างยูจู อดีตสมาชิกวง GFRIEND และ Chancellor นักร้องและนักแต่งเพลง

KONNECT Entertainment เป็นตัวอย่างของค่ายเพลงที่แม้จะมีโมเดลหลักเป็นการทำเพลงและดูแลศิลปิน แต่บริษัทได้ขยายโมเดลธุรกิจให้มีสินค้าและบริการอื่นๆ เป็นโมเดลเสริม เช่น Cafe De KONNECT ซึ่งเป็นคาเฟ่ของค่ายที่เปิดในปี 2020 ที่ชั้นหนึ่งของบริษัทให้ลูกค้าสามารถแวะมาทานขนมและเครื่องดื่มได้ ในปี 2021 บริษัทยังเปิดตัวแอพพลิเคชั่นชื่อ Kang Official Fancafe สำหรับให้แฟนคลับได้ติดตามสะดวกขึ้น แถมยังไม่ลืมทำโครงการเพื่อสังคมและแคมเปญ charity ต่างๆ เมื่อมีโอกาสอีกด้วย    

ติดตามเว็บไซต์ offiicial ได้ที่ konnectent.com

MORE VISION
ศิลปิน : Jay Park

ในปี 2022 Jay Park แรปเปอร์ผู้เปิดตัวจากวง 2PM  ได้ก่อตั้งค่ายเพลงชื่อ MORE VISION เป็นของตัวเองพร้อมด้วยสโลแกนที่จำง่ายอย่าง More Love, More Laughter, MORE VISION ที่แปลว่าจงรักให้มากขึ้น หัวเราะให้มากขึ้น และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลมากขึ้น ซึ่งสื่อถึงแพสชั่นในการทำเพลงของเขาที่ถึงแม้จะประสบความเหนื่อยยากแต่ก็ทำให้เขาได้เติบโตจนเป็นที่รักของผู้คนและมีชื่อเสียง จึงนำมาสู่ความตั้งใจที่อยากปั้นศิลปินหน้าใหม่ให้ได้สัมผัสความสุขในการทำเพลงและเติบโตจนสำเร็จแบบเดียวกับที่เขาเคยผ่านมา

ความโดดเด่นของ MORE VISION น่าจะเป็นความถนัดของ Jay Park เองที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในดนตรีแรป ฮิปฮอป และอาร์แอนด์บีเป็นพิเศษ โดยก่อนหน้านี้เขาเคยก่อตั้งค่ายเพลงอย่าง AOMG และ H1GHR MUSIC มาก่อนแล้ว และลาออกจากตำแหน่ง CEO ของทั้งสองค่ายโดยไม่ได้ระบุเหตุผล ก่อนจะมาก่อตั้งค่ายเพลงล่าสุดคือ MORE VISION ด้วยประสบการณ์ที่เคยทำค่ายเพลงมาถึงสองแห่ง ได้รางวัลมามากมายและยังเคยเป็นเมนเทอร์รายการประกวดดนตรีทั้งในไทยและต่างประเทศ ทำให้การันตีได้ในความสามารถของ Jay Park ทั้งในบทบาทศิลปินและผู้มีประสบการณ์ในการให้คำแนะนำศิลปินใหม่ 

ตัวอย่างศิลปินที่เข้ามาอยู่ในต้นสังกัด MORE VISION เช่น Honey J, ชองฮา ซึ่งตอนนี้ในเว็บไซต์ของค่ายได้เปิดรับออดิชั่นครั้งใหม่และมีการรับสมัครในระดับ global audition เลยทีเดียว ช่วงปลายปีที่แล้วยังได้มีการเปิดรับสมัครโดยเวียนไปยังเมืองใหญ่ทั่วโลกทั้งนิวยอร์ก โตเกียว โอซาก้า ซิดนีย์ กรุงเทพฯ ฯลฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของบริษัทที่อยากสร้างสแตนดาร์ดใหม่ด้วยการปั้นศิลปินจากหลากหลายเชื้อชาติให้เป็นศิลปินระดับโลก

ติดตามเว็บไซต์ official ได้ที่ morevision.kr/en

อ้างอิง