นอกจากน้องๆ หนูๆ จะได้เพลิดเพลินไปกับกิจกรรมใน Kids Zone แล้ว ASH Asia International ก็ยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของประสบการณ์การเรียนรู้ในอนาคตของเด็กๆ ด้วยการจัดกิจกรรมให้น้องๆ ได้ร่วมสนุกและรับของรางวัลอย่างหูฟังรมาร์เเชล กลับบ้านกันไปกว่า 12 รางวัล โดยมาร์แชลหวังว่าหูฟังรุ่นนี้จะเป็นหนึ่งในอุปกรณ์หลักที่จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการและความรักในการฟังเพลงของน้องๆ สู่การเป็น music lover รุ่นใหม่
คำว่า FemTech เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2558 โดย Ida Tin ผู้ร่วมก่อตั้ง Clue แอพฯ ติดตามการมีประจำเดือนของผู้หญิง จนได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ ความหมายของคำนี้ยังเป็นที่ถกเถียงอยู่ แต่โดยทั่วไป FemTech คือเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพของผู้หญิง เป็นได้ตั้งแต่สินค้าหรือบริการที่ดูแลสุขภาพของคนเป็นแม่ คนวัยทอง วัยรุ่น หรือแม้กระทั่งเรื่องสุขภาพประจำเดือนทั่วไปอย่างปัญหาฮอร์โมนแปรปรวน
FemTech ยังน่าสนใจอยู่ไหม?
จากรายงาน FemTech Global Market Report โดย The Business Research Company ระบุว่าตลาด FemTech จะเติบโตจาก 36.52 พันล้านดอลลาร์ในปี 2566 เป็น 41.97 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 และจะเติบโตเป็น 81.24 พันล้านดอลลาร์ในปี 2571
McKinsey & Company ยังวิเคราะห์ไว้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ว่า FemTech มาแรงมาจากหลายปัจจัย
ข้อมูลจาก Google Trends ทำให้เห็นว่าคนสนใจ FemTech เพิ่มขึ้นมากตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19
การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี โดยเฉพาะการมาของ AI
หลังจากเคตย้ายจากการเป็นครูสู่กิจการเพาะต้นไม้และเจ้าของร้านดอกไม้ ในปี 1892 เคตได้เสนอขอเช่าใช้ที่ดินของเมืองแซนดิเอโก ในตอนนั้นเมืองแซนดิเอโกเองกำลังขยายตัว เมืองมีแผนที่จะปรับปรุงที่ดินรกร้างให้กลายเป็นสวน จังหวะนั้นเองที่เคตเจรจาขอให้พื้นที่ที่เมืองเรียกว่าเป็นโครงการ City Park โดยเธอขอเข้าใช้เพื่อเปิดกิจการโรงเลี้ยงต้นไม้และแลกเปลี่ยนกับการปลูกและดูแลพัฒนาที่ดินในเขตสวนนั้นเป็นต้นไม้ 100 ต้น ต่อมาเจ้า City Park ได้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า Balboa Park เคตจึงได้ฉายาว่า Mother of Balboa Park ในตอนนั้นเองทางเมืองก็ยกตำแหน่ง ‘ผู้ดูแลสวนของเมือง (city gardener)’ ด้วย
เคตนับเป็นกลไกสำคัญในการตั้งคณะกรรมการพัฒนาสวนของเมืองร่วมกับนักขับเคลื่อน George Marston คือเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้พื้นที่สวนสาธารณะเป็นพื้นที่ของชุมชนและผู้คน
THE POWER BAND คือเวทีประกวดวงดนตรีสากลคุณภาพระดับประเทศที่เยาวชนที่ติดตามวงการประกวดดนตรีน่าจะคุ้นหูกันดีเพราะจัดต่อเนื่อง ก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 ภายใต้โครงการเพื่อสังคม ‘คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย’ ของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ความพิเศษของปีนี้คือการจัดร่วมกับองค์กรหลากหลายที่เป็นกูรูตัวจริงในวงการดนตรี ทั้งองค์กรการศึกษาอย่างวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ 6 ค่ายเพลงดัง Muzik Move, LOVEiS Entertainment, Smallroom, What The Duck, Warner Music Thailand, XOXO Entertainment ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดีสำหรับนักดนตรีมือใหม่ที่อยากก้าวเท้าเข้าไปในวงการ
อภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ด้านปฏิบัติการ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เล่าว่าเป้าหมายสำคัญของโครงการ THE POWER BAND คือการสนับสนุน และจุดประกายให้นักดนตรีได้พัฒนาฝีมือ ต่อยอดความฝันของตนเอง และได้รับโอกาสในการแสดงความสามารถอย่างเต็มที่ด้วยการสร้างพื้นที่แสดงพลังทางดนตรีเพื่อนักดนตรีไทยที่มองหาเวทีประกวดที่มีคุณภาพสูง โดยเวที THE POWER BAND 2024 SEASON 4
จะช่วยขยายโอกาสสู่วงกว้างให้ผู้ที่มีความสามารถด้านดนตรีที่หลากหลายได้เข้าใกล้ความฝันไปอีกขั้น ซึ่งตรงกับคอนเซปต์ของโครงการคือ ‘Let The Music Power Your World เป็นได้สุด เป็นไปได้ ด้วยพลังแห่งดนตรี’
สิ่งที่โดดเด่นของเวทีประกวดแห่งนี้คือประสบการณ์อันล้ำค่าที่ไม่อาจหาได้ง่ายๆ จากที่ไหนที่จะช่วย upskill ให้เหล่าผู้สมัครเข้าร่วมประกวด เช่น กิจกรรม THE POWER BAND MUSIC CAMP ที่ผู้ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศจะได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์จากคนที่อยู่ในวงการจริง โดยรวบรวมมิวสิกกูรูระดับประเทศกว่า 20 คน มาถ่ายทอดความรู้ต่างๆ และความเชี่ยวชาญทางด้านดนตรีทุกแขนง
ที่ผ่านมานอกจาก THE POWER BAND จะช่วยพัฒนาทักษะและส่งเสริมอุตสาหกรรมดนตรีแล้วเวทีนี้ยังเป็นเวทีประกวดที่ได้รับการยอมรับทั้งจากผู้ปกครอง คณาจารย์ ตลอดจนผู้มีประสบการณ์ทางด้านดนตรีมากมาย ทั้งในเรื่องมาตรฐานและคุณภาพ เห็นได้จากคณะกรรมการผู้มีส่วนร่วมในการตัดสินการประกวดครั้งนี้ล้วนเป็นผู้คร่ำหวอดจากแวดวงดนตรีทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ได้แก่ อัคราวิชญ์, พิริโยดม หัวหน้าสาขาวิชาดนตรีสมัยนิยม วิทยาลัยดุริยางคศิลป์, พล–คชภัค ผลธนโชติ ผู้บริหารค่าย Boxx Music และ Zircle Muzik, ติ๊ก–กฤษติกร พรสาธิต ผู้บริหารค่าย Home Run Music และ เป้ – ไพสิฐ คำกลั่น Music Director ค่าย Melodic Corner เป็นต้น
ในมุมของผู้บริหารค่ายเพลง ชลากรณ์ ปัญญาโฉม หนึ่งในพันธมิตรที่จะมาช่วยค้นหานักดนตรีที่มีฝีมือได้กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจค่ายเพลงยังมีเพิ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ นั่นแปลว่ายังมีโอกาสเพิ่มเสมอสำหรับทุกคนที่อยากก้าวขึ้นมาเป็นนักดนตรีมืออาชีพ โอกาสในการเข้าร่วมประกวดคือโอกาสในการเติบโต วันหนึ่งคุณอาจจะเป็นอีกคนหนึ่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมเพลงและร่วมผลักดันธุรกิจเพลงให้เติบโตขึ้นไม่ว่าจะในบทบาทโปรดิวเซอร์ หรือ music director ก็ล้วนเป็นไปได้
แม้ศิลปินหลายคนจะเคยมาจากวงเดียวกันแต่ธุรกิจค่ายเพลงก็เหมือนกับธุรกิจในวงการอื่นๆ ที่แต่ละบริษัทจะมีเป้าหมาย, core value และแบรนดิ้งที่แตกต่างกันตามสไตล์ของแต่ละคนและตามสิ่งที่ CEO ของแต่ละบริษัทให้ความสำคัญ ในโอกาสที่ต้นปีนี้มีศิลปินเกาหลีหลายคนเปิดตัวค่ายเพลงของตัวเอง เราขอชวนมาเจาะลึกถึงเรื่องราวตัวอย่างบริษัทค่ายเพลงจากเหล่าศิลปินเกาหลีที่เคยเป็นศิลปินกลุ่มมาก่อน
เว็บไซต์ของ LLOUD ได้ระบุไว้ว่าแนวทางของค่ายเพลงแห่งนี้คือการเป็น The Fusion of Sound & Innovation ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์แนวทางเพลงใหม่ๆ สร้างประสบการณ์ใหม่ที่ท้าทายกรอบเดิมทำเพลงที่ไม่ใช่แค่ติดท็อปชาร์ตแต่เป็น genre-defying music หรือเพลงที่ผสมผสานแนวเพลงหลากหลายและออกจากกรอบแนวเพลงแบบเดิมๆ
ในเว็บไซต์ยังได้ระบุว่าลิซ่ามีชื่อเสียงจากการเป็นหนึ่งในสมาชิกของวง BLACKPINK ที่สร้างแรงกระเพื่อมในวงการดนตรีและวงการแฟชั่นในระดับโลกโดยเล่าถึงหลากหลายบทบาทในวงการของลิซ่า ในหน้าผลงานไฮไลต์มีทั้งแคมเปญแฟชั่นที่ลิซ่าเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลกร่วมกับ Bulgari, คลิปทำอาหารกับ Spotify Billions Club, การแสดงในงาน Le Gala des Piéces Jaunes, และซีรีส์ใหม่ The White Lotus ทาง HBO Series ที่เพิ่งเปิดตัวไม่นานมานี้ว่าลิซ่าจะร่วมงานด้วย
ผลงานของลิซ่าทั้งหมดที่หลากหลายเหล่านี้สอดคล้องกับสโลแกนของค่าย LLOUD ที่เน้นคำว่า pushing boundaries ไปจนถึง ‘breaking barriers in the realm of music and entertainment’ ที่สื่อว่าแนวทางในวงการของลิซ่าจะไม่ได้อยู่แค่ในวงการดนตรีเท่านั้น แต่จะอยู่ในวงการบันเทิงด้วยหลากหลายบทบาทและจะมีการนำเสนอผลงานรูปแบบใหม่ๆ ที่สร้างอิมแพกต์และสร้างความประทับใจที่เหนือความคาดหมายดังเช่นที่ผ่านมา
OA คือชื่อย่อบริษัทของเจนนี่ BLACKPINK ซึ่งมาจากชื่อเต็มคือ Odd Atelier โดยมีคอนเซปต์คือ “a space that aims to create new things that attract attention in a different way from what is usual or expected” หรือพื้นที่สร้างสิ่งใหม่ที่แตกต่างและเหนือความคาดหมายซึ่งเป็นที่น่าสนใจสำหรับผู้คน โดยคำว่า odd แปลว่าความแปลกที่แตกต่าง ส่วนคำว่า atelier เป็นภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่าเวิร์กช็อป
คัง แดเนียลเป็นอีกคนที่เริ่มก่อตั้งค่ายเพลง KONNECT Entertainment ตอนปี 2019 เนื่องจากเคยมีปัญหาและยื่นฟ้องทางกฎหมายกับค่าย LM Entertainment โดยก่อนหน้านั้นเขาเคยเป็นสมาชิกของวง Wanna One ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นศิลปินเดี่ยวเต็มตัว
แม้จะเริ่มเส้นทางจากปัญหาทางกฎหมายแต่คัง แดเนียลได้พิสูจน์แล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่าเขาได้ทำให้บริษัทเติบโตอย่างสำเร็จ ปัจจุบัน KONNECT Entertainment มีบริการที่เรียกได้ว่าแทบจะครบวงจรสำหรับศิลปินที่อยากทำเพลงและการแสดงทั้งการทำ music production, การจัดการเรื่อง distribution IP licensing, การดูแลเรื่องการแสดง ไปจนถึงทำดิจิทัลคอนเทนต์ บริษัทยังมีเป้าหมายว่าอยากปั้นศิลปินเกาหลีให้โดดเด่นและแนะนำให้คนรู้จักในระดับโลก ดังนั้นศิลปินสังกัดนี้ที่ผ่านมาจึงมีศิลปินเกาหลีอย่างยูจู อดีตสมาชิกวง GFRIEND และ Chancellor นักร้องและนักแต่งเพลง
KONNECT Entertainment เป็นตัวอย่างของค่ายเพลงที่แม้จะมีโมเดลหลักเป็นการทำเพลงและดูแลศิลปิน แต่บริษัทได้ขยายโมเดลธุรกิจให้มีสินค้าและบริการอื่นๆ เป็นโมเดลเสริม เช่น Cafe De KONNECT ซึ่งเป็นคาเฟ่ของค่ายที่เปิดในปี 2020 ที่ชั้นหนึ่งของบริษัทให้ลูกค้าสามารถแวะมาทานขนมและเครื่องดื่มได้ ในปี 2021 บริษัทยังเปิดตัวแอพพลิเคชั่นชื่อ Kang Official Fancafe สำหรับให้แฟนคลับได้ติดตามสะดวกขึ้น แถมยังไม่ลืมทำโครงการเพื่อสังคมและแคมเปญ charity ต่างๆ เมื่อมีโอกาสอีกด้วย
ในปี 2022 Jay Park แรปเปอร์ผู้เปิดตัวจากวง 2PM ได้ก่อตั้งค่ายเพลงชื่อ MORE VISION เป็นของตัวเองพร้อมด้วยสโลแกนที่จำง่ายอย่าง More Love, More Laughter, MORE VISION ที่แปลว่าจงรักให้มากขึ้น หัวเราะให้มากขึ้น และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลมากขึ้น ซึ่งสื่อถึงแพสชั่นในการทำเพลงของเขาที่ถึงแม้จะประสบความเหนื่อยยากแต่ก็ทำให้เขาได้เติบโตจนเป็นที่รักของผู้คนและมีชื่อเสียง จึงนำมาสู่ความตั้งใจที่อยากปั้นศิลปินหน้าใหม่ให้ได้สัมผัสความสุขในการทำเพลงและเติบโตจนสำเร็จแบบเดียวกับที่เขาเคยผ่านมา
ความโดดเด่นของ MORE VISION น่าจะเป็นความถนัดของ Jay Park เองที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในดนตรีแรป ฮิปฮอป และอาร์แอนด์บีเป็นพิเศษ โดยก่อนหน้านี้เขาเคยก่อตั้งค่ายเพลงอย่าง AOMG และ H1GHR MUSIC มาก่อนแล้ว และลาออกจากตำแหน่ง CEO ของทั้งสองค่ายโดยไม่ได้ระบุเหตุผล ก่อนจะมาก่อตั้งค่ายเพลงล่าสุดคือ MORE VISION ด้วยประสบการณ์ที่เคยทำค่ายเพลงมาถึงสองแห่ง ได้รางวัลมามากมายและยังเคยเป็นเมนเทอร์รายการประกวดดนตรีทั้งในไทยและต่างประเทศ ทำให้การันตีได้ในความสามารถของ Jay Park ทั้งในบทบาทศิลปินและผู้มีประสบการณ์ในการให้คำแนะนำศิลปินใหม่
ตัวอย่างศิลปินที่เข้ามาอยู่ในต้นสังกัด MORE VISION เช่น Honey J, ชองฮา ซึ่งตอนนี้ในเว็บไซต์ของค่ายได้เปิดรับออดิชั่นครั้งใหม่และมีการรับสมัครในระดับ global audition เลยทีเดียว ช่วงปลายปีที่แล้วยังได้มีการเปิดรับสมัครโดยเวียนไปยังเมืองใหญ่ทั่วโลกทั้งนิวยอร์ก โตเกียว โอซาก้า ซิดนีย์ กรุงเทพฯ ฯลฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของบริษัทที่อยากสร้างสแตนดาร์ดใหม่ด้วยการปั้นศิลปินจากหลากหลายเชื้อชาติให้เป็นศิลปินระดับโลก