วิธีบริหารธุรกิจกับคนรักให้ยืนยาวและมั่นคงของ อภิพรรณและนิธิศ คู่รักเจ้าของ Rally Movement

ไม่ว่าจะเริ่มต้นทำอะไรในชีวิตประจำวันหรือแม้กระทั่งการมีฝันอยากเป็นผู้ประกอบการสร้างแบรนด์ของตัวเอง เรามักได้ยินคำแนะนำจากผู้หวังดีด้วยประโยคที่ว่า “ให้ออกไปหา inspiration”

ขณะที่ในบทเรียนของเหล่าคนเรียนศิลปะหรือสายแฟชั่น ในกระบวนการทำงานก็ดูเหมือนว่าการหา inspiration จะเป็นขั้นตอนที่สำคัญไม่น้อยก่อนจะค่อยๆ ลงลึกในสเตปถัดมาอย่างการทำ mood board และการหา target group ตามลำดับ 

แต่ไม่ใช่สำหรับแบรนด์เสื้อผ้าอย่างRally Movementของสองพาร์ตเนอร์คู่รักอย่าง เค้ก–อภิพรรณ มงคลพาณิชยกิจ และปั๊ม–นิธิศ วงศ์สวัสดิ์ 

พวกเขาทั้งคู่เชื่อว่าสำหรับแฟชั่นแล้ว ทุกอย่างไม่จำเป็นจะต้องมีกฎตายตัว

“ในทุกๆ เรื่อง มันไม่จำเป็นต้องมี inspiration ก็ได้ หรือถ้าจะมี inspiration นั้น ก็อาจจะมาช่วยในงานของเราเพียงแค่ 10% เพราะว่าในความเป็นจริงแล้ว บางทีบางอย่างมันก็อาจจะเกิดมาจากคำแนะนำจากคนข้างๆ หรือการที่เราไปเห็นอะไรมาด้วยตัวเองจากการเดินทาง โดยสิ่งเหล่านี้สำหรับผม ผมไม่ได้นับว่ามันเป็น inspiration แล้วในการทำ fashion business เอง ผมกับเค้กก็ไม่ได้มีกฎอะไรตายตัวในการทำงานดีไซน์ 

“แต่แน่นอนว่าบางอย่างเราก็เริ่มต้นคิดกันจาก inspiration แหละ ในบางอย่างเองเราก็มีอิงกับเทรนด์ไปบ้าง หรือในบางอย่างเราก็อิงจากความอยากทำมันของตัวเราเอง รวมไปถึงความชอบส่วนตัว มันสามารถเกิดขึ้นได้หมดจริงๆ” ปั๊มพูดถึงไอเดียของการออกแบบเสื้อผ้าในแต่ละคอลเลกชั่น

แม้ผู้คนภายนอกจะไม่ได้รับรู้เรื่องราวเบื้องหลังการทำงานของทั้งเค้กและปั๊มมากนัก แต่แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ก็ได้สะท้อนออกมาในรูปแบบเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายของแบรนด์ Rally Movement ผ่านลายเซ็นการดีไซน์ของพาร์ตเนอร์ทั้งคู่ที่ประจักษ์สู่สายตาของผู้คนตลอดระยะเวลา 5 ปี

ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว แบรนด์เสื้อผ้า Rally Movement เกิดจากความตั้งใจของเค้กและปั๊ม นิสิตคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาแฟชั่นกับสาขาเซรามิก ที่คิดอยากจะมีแบรนด์เสื้อผ้าร่วมกันกับพาร์ตเนอร์คนสำคัญที่แม้ว่าความสัมพันธ์และชีวิตส่วนตัวจะอยู่ในบทบาทของคู่รัก แต่ในเวลางาน พวกเขาต่างก็สบายใจที่จะอยู่ในบทบาทของเพื่อนร่วมงานที่ดี

แต่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะและบทบาทไหน สิ่งที่พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เห็นพ้องต้องกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรคือความสำคัญของเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายที่เป็นมากกว่าแฟชั่นหรือการหยิบจับเพื่อสวมใส่ตามเทรนด์

“เรารู้สึกว่าเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายน่าจะมีความหมายกับทุกคน อย่างแรกก็คือเป็นปัจจัย 4 อยู่แล้ว ปัจจัยที่ทุกคนจะต้องสวมใส่กัน ไม่ต่างไปจากอาหารหรือที่อยู่อาศัย แล้วเสื้อผ้ามันก็อาจจะเป็นดั่ง first impression ของผู้คนเวลาที่ได้พบเจอกันด้วย แต่ถ้ามองให้ deep ไปกว่านั้น เรารู้สึกว่าเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายเป็นสิ่งที่เสริมความมั่นใจ เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถ represent อะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเราหรือภายในตัวเราออกมาให้คนอื่นได้เห็น ซึ่งนอกเหนือไปจากแฟชั่นแล้ว เราก็ยังให้ความสำคัญไปกับ occasion ด้วย เช่นว่าวันนี้เราจะแต่งตัวไปทำอะไร ถ้าไปงานสไตล์นี้ เราต้องแต่งตัวแบบไหน สิ่งเหล่านี้มันจึงค่อนข้างสะท้อนออกมาในรูปแบบเสื้อผ้าของ Rally Movement ด้วย เพราะ core ของแบรนด์คือการทำเสื้อผ้าให้คนที่สวมใส่เสื้อผ้าของเราเขามีความมั่นใจมากขึ้น” เค้กเล่าถึงความหมายของเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และการสร้างแบรนด์จากมุมมองของเธอ

ด้วยความสำคัญของเสื้อผ้าและผู้คน ชื่อแบรนด์อย่าง Rally Movement จึงมีที่มามาจากความหมายที่ตรงตัวของแต่ละคำ อย่างคำว่า ‘Rally’ นั้นหมายถึงการต่อสู้ ปั๊มอธิบายว่าตัวเขาเองเห็นภาพแบรนด์เสื้อผ้าของพวกเขาเปรียบเช่นการต่อสู้ที่ควรจะมีทั้งการ interact และการ represent กับผู้คนอยู่เสมอ โดยทั้งเค้กและปั๊มก็ยังมองว่าการจะเริ่มทำธุรกิจเสื้อผ้าขึ้นมาสักแบรนด์ แบรนด์ของพวกเขาก็คงไม่ใช่แบรนด์เสื้อผ้าแบบเงียบๆ เพราะถ้าให้เปรียบแบรนด์ของพวกเขาเป็นสีสีนึง แน่นอนว่า Rally ก็คงจะไม่ใช่สีพื้นๆ แต่จะต้องมากับสีแดงเสมอ

เมื่อสีถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือการสื่อสารของ Rally อย่างการแสดงความมั่นใจแล้ว การเพิ่มคำว่า ‘Movement’ หรือที่แปลว่าขบวนการหรือการเคลื่อนไหวเข้าไปด้วย ก็ยิ่งทำให้เค้กและปั๊มรู้สึกว่าตัวของพวกเขาและแบรนด์ไม่ได้ส่งสารหรือสื่อสารกับผู้คนอยู่ฝ่ายเดียว ฉะนั้นแล้วชื่อแบรนด์อย่าง ‘Rally Movement’ จึงไม่ใช่แค่ชื่อแบรนด์เท่ๆ แต่ยังเป็นชื่อที่สามารถสะท้อนต่อกลุ่มคนที่สวมใส่ อีกทั้งยังสามารถสะท้อนกลับมาถึงการทำงานของทั้งคู่อย่างในเรื่องของไดเรกชั่นและวิชั่นที่เค้กและปั๊มก็ตั้งใจขับเคลื่อนทั้งแบรนด์และคอลเลกชั่นเสื้อผ้าไปตามโลกและผู้คนอีกด้วย

ปัจจุบัน Rally Movement มี permanent store ทั้งหมด 3 โลเคชั่นหลัก ได้แก่ ชั้น G ของสยามดิสคัฟเวอรี่, ร้าน Comma And ณ เซ็นทรัลเวิลด์ แล้วก็ที่คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ในขณะเดียวกันนั้นเค้กและปั๊มก็ยังมีธุรกิจเสื้อผ้าอย่าง BRUT แบรนด์เสื้อผ้า party wear กับ occasional wear น้องใหม่ และแบรนด์ Gold Pocket แบรนด์เสื้อผ้าสำหรับผู้ชายที่จะต้องบริหารไปพร้อมๆ กันอีกด้วย 

คอลัมน์ Business Partner ที่ว่าด้วยวิธีการบริหารความสัมพันธ์ไปพร้อมกันกับการทำธุรกิจตอนนี้ จึงอยากชวนทั้งสองคุยถึงวิธีการดูแลธุรกิจแบรนด์เสื้อผ้า ‘Rally Movement’ ให้ยังคงโดดเด่นอยู่ในกระแสได้อย่างยาวนานและยังสามารถดูแลความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปพร้อมๆ กันได้อย่างมั่นคง

พวกคุณเริ่มรู้จักกันได้ยังไง 

ปั๊ม : คือจริงๆ เราเจอกันตั้งแต่ตอนที่เราอยู่ปี 1 ที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พวกเราสองคนเรียนคณะเดียวกันทั้งคู่ แต่ว่าเราเรียนกันคนละเอก แล้วเราสองคนก็เป็นแฟนกันมาตั้งแต่ช่วงปี 1 เลย จนจบปี 4 พวกเราก็เริ่มทำร้านด้วยกัน

อะไรคือสิ่งที่ทำให้พวกคุณตัดสินใจเริ่มทำธุรกิจด้วยกัน

เค้ก : จุดเปลี่ยนมันเริ่มมาจากการที่เราเป็นเด็กที่เรียนอาร์ตด้วยกันมาทั้งคู่ เวลาเรียนหรือเวลาทำงาน ส่วนใหญ่มันก็จะต้องทำงานร่วมกันเป็นทีม ทำโปรเจกต์อะไรด้วยกันเป็นกลุ่มอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ‘กลุ่มเพื่อน’ ก็จะค่อนข้างรู้ใจกันประมาณนึง ซึ่งด้วย element ต่างๆ ในแบรนด์ หรือสกิลในการทำโปรเจกต์ต่างๆ ที่มัน require มากกว่าแค่คนหนึ่งคน เราจึงจะไม่สามารถทำงานได้คนเดียวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะยังไงคำตอบตั้งแต่แรกก็คือ ‘เราจะไม่ทำธุรกิจคนเดียว’

งั้นทำไมถึงต้องเป็นพาร์ตเนอร์คนนี้

เค้ก : จริงอยู่ที่ว่าเค้กเรียนแฟชั่นมา ปั๊มเรียนเซรามิกมา แต่ว่าเราสองคนก็มีความสนใจในอาร์ตกันทั้งคู่ อย่างตัวเค้ก เค้กก็รู้ตัวเองว่าความถนัดของเราอาจจะเด่นในเรื่องการดีไซน์เสื้อผ้า ส่วนปั๊มก็จะเป็นคนที่มีความสนใจในด้านเสื้อผ้าทั้ง men’s wear และ women’s wear เลย แล้วปั๊มก็เป็นคนที่เก่งในด้านครีเอทีฟ เราก็เลยไว้ใจที่จะให้ปั๊มมาเป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์เพื่อดูแลเรื่องภาพรวมแบรนด์ พอเรารู้ว่าเราสองคนมีสกิลอะไรกันเราก็แค่ลองเอามา merge กันแล้วก็เริ่มทำแบรนด์ด้วยกัน

คิดยังไงกับประโยคที่ว่า “คนรักทำธุรกิจด้วยกัน ระวังทะเลาะกัน”

ปั๊ม : ผมกลับเห็นต่างกับประโยคที่ว่า “คนรักทำธุรกิจด้วยกัน ระวังทะเลาะกัน” เพราะตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าแค่ธุรกิจ แต่รวมไปถึง hobby ด้วย ทุกอย่างที่เราเคยทำมากับพาร์ตเนอร์ทั้งหมดก่อนหน้านี้ มันก็ล้วนเป็นคนใกล้ตัวเราหมดเลย นั่นหมายความว่าคนใกล้ตัวนี่แหละที่จะเป็นส่วนผสมที่เหมาะที่สุดสำหรับเรา เพราะผมเชื่อว่าในการจะทำอะไรร่วมกันสักอย่างมันจะต้องไม่ใช่การทำงานร่วมกับคนอื่นคนไกล 

อย่างธุรกิจ ผมคิดว่าคนใกล้ตัวเช่นเพื่อนหรือแฟน เราต่างคนก็อยู่ในจุดที่เข้าใจกันมากพอแล้ว ซึ่งถ้าถามผมว่า “แล้วเราจะทะเลาะกันไหม” มันก็คงอยู่ที่ตัวบุคคลมากกว่าว่าพาร์ตเนอร์ที่เราร่วมทำธุรกิจด้วยเป็นมนุษย์ที่สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ไหม แล้วยิ่งถ้าเป็นคนที่ทำงานร่วมกับคนอื่นได้ ยังไงก็สามารถทำงานกับใครก็ได้ด้วยเหมือนกัน ผมเลยค่อนข้างมั่นใจว่าสำหรับผมกับเค้ก เราน่าจะเป็น best option จริงๆ สำหรับการครีเอตส่ิงที่น่าสนใจร่วมกัน

ก่อนจะมาเป็น Rally Movement พวกคุณเคยทำธุรกิจอะไรร่วมกันมาบ้าง 

ปั๊ม : ตอนนั้นเราทำร้านมัลติแบรนด์ ‘gloc’ กันอยู่ที่อารีย์กับกลุ่มเพื่อนรวม 4 คน แล้วในช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกันนี้เอง ผมกับเค้กก็มาทำแบรนด์เสื้อผ้า Rally Movement ของพวกเราเองยาวมาจนถึงปัจจุบัน และในปีนี้เอง เราสองคนก็เพิ่งมีแบรนด์เสื้อผ้าน้องใหม่ออกมาด้วยกันถึง 2 แบรนด์อย่าง BRUT และ Gold Pocket

อะไรที่ทำให้พวกคุณตัดสินใจทำสองธุรกิจในระยะเวลาคาบเกี่ยวกัน

เค้ก : อย่างที่บอก gloc กับ Rally Movement เราเริ่มทำพร้อมกัน เพราะเราเริ่มมีความคิดที่จะทำพร้อมกันเลย คือเหมือนกับว่าก่อนหน้าที่เค้กจะมาทำแบรนด์ Rally Movement เค้กก็เคยทำแบรนด์อื่นมาก่อนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าตอนสมัยเรียน มันก็ไม่ได้เป็นแบรนด์ที่จริงจังอะไรมาก เพราะฉะนั้นการทำแบรนด์หลายแบรนด์ไปด้วยกันมันจึงไม่ใช่สิ่งแรกหรือครั้งแรกที่เค้กเคยทำ แต่ด้วยความที่เราเรียนแฟชั่นมา ประจวบกับว่าเป็นช่วงที่เรากำลังจะเรียนจบ ตัวเค้กเองก็ตอบตัวเองได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าเราไม่น่าจะไปทำงานอันเดอร์บริษัทแฟชั่นไหน แต่สิ่งที่เราสามารถจะทำได้ต่อจากนี้คือการครีเอตอะไรสักอย่างขึ้นมาเป็นของตัวเอง เพราะฉะนั้นยังไง Rally Movement ก็เป็นโจทย์ที่เรามีมาตั้งแต่แรกกันอยู่แล้ว

ส่วน gloc มันก็จะเป็นแพสชั่นอีกด้านนึงในช่วงขณะที่เราและกลุ่มเพื่อนได้เรียนแฟชั่นด้วยกันมา สำหรับ gloc มันเกิดขึ้นจากความที่พวกเราเป็นคนชอบช้อปปิ้ง ซื้อของ พอเวลาได้ไปเที่ยวต่างประเทศ พวกเราต่างก็ได้ไปเห็นว่ามันยังมีแบรนด์เสื้อผ้าดีๆ ที่ยังไม่มีในไทย แล้วเราก็แค่อยากให้แบรนด์นี้มันมีในประเทศของเราด้วย สิ่งนี้มันก็เป็นแพสชั่นคนละด้านกับ Rally Movement แต่เค้กมองว่ามันมี interest ที่เหมือนกัน

การทำงานระหว่าง gloc กับ Rally Movement แตกต่างกันไหม

ปั๊ม : คือการทำงานระหว่าง gloc กับ Rally Movement มันต่างกันมาก อย่างในมุมของ gloc เรา positioning ตัวเองเป็นมัลติแบรนด์ นั่นหมายความว่างานหลักของเราคืองานบริหาร คำว่า ‘งานบริหาร’ ในที่นี้คือการขายของหลายชิ้น หลายแหล่งที่มา โดยพวกเราทั้งสี่ก็ได้ทำการ select โปรดักต์ที่คิดว่าจะขายได้หรือเป็นที่ต้องการของผู้คนประมาณนึงอยู่แล้ว มา push เพิ่มให้เป็นวิธีการของพวกเรา เพราะฉะนั้นการทำงานมันจึงไม่เหมือนกับแบรนด์ Rally Movement ที่ปั๊มกับเค้กจะทำงานกันเป็นคอลเลกชั่น และเราทั้งคู่ก็จะโฟกัสกันที่โปรดักต์ซะส่วนใหญ่

เค้ก : จริงๆ ทั้งสองแบรนด์มันก็เป็นงานดีเทลทั้งคู่แหละ แต่เค้กว่าการทำงานมันจะมีความแตกต่างกันในแง่ของ management มากกว่า เพราะ gloc เป็นร้านมัลติแบรนด์เนอะ อย่างที่ปั๊มพูดคือมันก็จะต้องมีเสื้อผ้าหลากหลายแบรนด์ในนั้น นั่นจึงหมายความว่า task ของเรามันไม่ใช่การผลิตสินค้าหรือการออกแบบสินค้า แต่ task ของเรา มันคือ ‘การดูแลคนที่อยู่กับเราและลูกค้าของเรา’ นั่นเอง

ย้อนกลับไปในวันแรก คุณพูดคุยถึงการทำ Rally Movement ร่วมกันยังไง

ปั๊ม : Rally Movement เราเริ่มคุยกันผ่านทางโทรศัพท์

เค้ก : ใช่ เป็นทางโทรศัพท์ ก็เป็นตัวเค้กเองนี่แหละที่ชวนปั๊ม คือเราก็คุยกันแหละว่าอยากทำแบรนด์ แล้วพอคุยกันแล้ว เราก็ต้องมาหาตรงกลางด้วยกันว่าเราจะทำแบรนด์ออกมาหน้าตาประมาณไหนก็เท่านั้น คือจริงๆ มันก็เป็นการเริ่มตัดสินใจทำแบรนด์กันแบบง่ายๆ เลย เพราะเราทั้งคู่ก็ค่อนข้างชัดเจนกันอยู่แล้วว่าเราจะทำแบรนด์ เพราะฉะนั้นมันก็เหลือแค่ว่าเราจะเลือกใครมาทำงานด้วยกันกับเรา หลังจากนั้นงานจะเป็นไปในทิศทางไหน ก็คือเริ่มเลย เพราะเราก็ไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งไปมากกว่านั้น

ปั๊ม : จริงๆ  Rally Movement มันเริ่มค่อนข้างง่าย แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเราสองคนเลย เพราะแน่นอนว่าพวกเราก็คลุกคลีกับเรื่องแบบนี้กันมาตั้งแต่เราเรียน เพราะฉะนั้นมันเลยเป็นสกิลเดียวที่ติดตัวมา มันเลยไม่มีความรู้สึกฝืนที่จะทำ แถมมันยังเป็นความมั่นใจของเราด้วย 

มีสิ่งที่น่าเป็นห่วงใน day 1 ไหม

ปั๊ม : แม้เค้กจะจบแฟชั่นมา ส่วนผมจบเซรามิกมา แต่ผมว่าเราสองคนไม่ได้เป็นห่วงเรื่องการดีไซน์กันเลย เพราะเราเป็น design student ทั้งคู่ ฉะนั้นในเรื่องของ soft skill เราคิดว่าเราไม่ห่วงเรื่องหน้าบ้านกันเลย แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดสำหรับเราใน day 1 คือ operation หลังบ้าน  

เค้ก : เพราะ operation หลังบ้านถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับเด็กเรียนแฟชั่นไปแล้ว

ปั๊ม : เพราะคำว่า ‘แบรนด์’ มันไม่ใช่ ‘อาร์ต’ แล้ว แต่คำว่า ‘แบรนด์’ มันกลายเป็นธุรกิจแล้ว นั่นหมายความว่าเราต้องเรียนรู้เพิ่มเยอะมากในฝั่งของการบริหารงานหลังบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตัวเลข สต็อก การทำทุกอย่างเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย

ในการทำแบรนด์เสื้อผ้า Rally Movement คุณแบ่งหน้าที่กันยังไง

เค้ก : ใน day 1 เรามีการแบ่งหน้าที่กันว่าเค้กทำเสื้อผ้า แล้วปั๊มก็ทำกราฟิก แต่เอาเข้าจริงๆ นะ ในทุกวันนี้ทุกๆ อย่างมันถูก cross กันไปหมด อย่างเช่นว่าเค้ก lead เรื่องเสื้อผ้าก็จริง แต่ว่าในเรื่องดีเทลของเสื้อผ้าปั๊มก็จะให้ความเห็นเหมือนกัน หรือในเรื่องของอาร์ตไดเรกชั่น ปั๊มก็ยังคงเป็นคน lead ขณะเดียวกัน ตัวเค้กเองก็มีไอเดียเยอะในอาร์ตไดเรกชั่นและการจัดการคนด้วย ซึ่งก็คือเราสองคนทำงานร่วมกันไปเลย 

ปั๊ม : สรุปคือเราทั้งคู่ทำงานร่วมกัน แต่ว่าแค่ขั้นตอนที่ใช้สกิลดีไซน์จะแตกต่างกัน ส่วน final decision อาจจะแยกออกจากกันชัดเจน

ใน day 1 คือเสื้อผ้าสไตล์ไหน

เค้ก : ใน day 1 ถ้าเอาแบบฟังก์ชั่นเลย ยังไงเราก็คิดว่ามันจะต้องออกมาเป็นเสื้อผ้าแบบ work wear ที่ไม่ว่าใครก็สามารถสวมใส่ไปทำงานได้ เพราะในช่วงที่เราเริ่มทำธุรกิจ Rally Movement ขึ้นมา มันเป็นช่วงที่เรากำลังจะเป็น first jobber ด้วยความที่มันเป็นตอนสมัยเราเพิ่งเรียนจบกัน เราก็เลยคิดกันว่าสิ่งที่ทำให้เราจะ grow ไปได้ง่ายที่สุดคือการทำอะไรที่เหมาะสมกับช่วงวัยเรา เพราะว่าเราน่าจะมีความเข้าใจตรงนั้นมากจริงๆ เราก็ไม่ได้คิดอะไรไปไกลมากกว่าสิ่งที่เราอยากได้

 ณ ตอนนั้น เลยเริ่มจากกางเกงสแล็ก แล้วก็เสื้อสูท แต่ว่าตัวเราน่ะเป็นคนชอบสวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีสัน จุดนี้มันเป็นโจทย์ง่ายๆ สำหรับเราที่จะตัดสินใจทำกางเกงสแล็กกับเสื้อสูทที่มีสีสันขึ้นมา แต่สิ่งที่สำคัญไปกว่าเสื้อผ้า มันก็คือการหาคาแร็กเตอร์ให้กับแบรนด์ว่าแบรนด์เราจะเป็นมู้ดไหน แน่นอนว่าแบรนด์เราจะไม่ได้เป็นแบรนด์ที่ให้ความ feminine จ๋าๆ นะ แบรนด์เราจะมีความ masculine นิดนึงเป็นเหมือนผู้หญิงที่มีความมั่นใจ 

ในขวบปีที่ 5 สไตล์ของเสื้อผ้าเปลี่ยนไปบ้างไหม

เค้ก : เปลี่ยน เพราะเรามองว่าในผู้หญิงหนึ่งคน เขาก็ไม่ได้มีเพียงแค่มิติเดียว

อย่างตัวเค้กก็รู้สึกว่าเราก็ไม่ได้ใส่สูทอยู่ตลอดเวลานี่ คนอื่นก็เหมือนกัน อย่างคนหนึ่งคน เวลาที่เขาไปทะเลเขาก็มีอีกมู้ดนึงแหละ หรือเวลาที่เราไปต่างประเทศ เสื้อผ้าและการแต่งกายของเรามันก็จะเป็นอีกมู้ดนึง ฉะนั้นแล้วเสื้อผ้าของ Rally Movement ตั้งแต่ day 1 มาจนถึงปัจจุบันเอง เราก็เริ่มที่จะมีคอลเลกชั่นเสื้อผ้าและโปรดักต์หลากหลายสไตล์มากขึ้น ตั้งแต่เสื้อโปโลที่ไม่ว่าลูกค้าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็สามารถสวมใส่ได้ทั้งในวันทำงานหรือแม้ในวันที่เราไปเที่ยว ตลอดจนเสื้อผ้าของแบรนด์เราก็ยังมีโปรดักต์อย่างเสื้อสายเดี่ยวด้วยนะ 

ปั๊ม : ชุดว่ายน้ำ ซีทรูจริงๆ เรามีหมด เพราะเรารู้สึกว่ายุคนี้ การแต่งตัวมันไม่ได้จำกัดแล้วว่าฉันจะเป็นผู้หญิงเท่ เรียบเท่านั้น แต่ฉันอาจจะเป็นผู้หญิงที่เท่ เรียบในตอนกลางวัน แต่ซ่าในตอนกลางคืนก็ได้ เพราะฉะนั้นผมรู้สึกว่าเสื้อผ้าของ Rally Movement มันคอมพลีตชีวิตคนคนนึงได้ โดยในแต่ละไอเทมก็จะให้แต่ละ aesthetic ที่แตกต่างด้วย

จาก day 1 ถึงวันนี้ คอนเซปต์แบรนด์ยังคงเหมือนเดิมอยู่ไหม

เค้ก : เหมือนเดิม เพราะคอนเซปต์ของแบรนด์เราค่อนข้างชัดเจน แต่สิ่งที่เปลี่ยนน่าจะเป็น inspiration theme ในแต่ละคอลเลกชั่นมากกว่า ส่วน core คือเหมือนเดิมเลย จริงๆ core ตรงนั้นมันคือสิ่งที่อยู่ในตัวเราสองคนมาตั้งแต่ day 1 แล้วมันโตตามเรา ซึ่งมันอาจจะเป็นเรื่องที่เราเข้าใจกันสองคน แต่ถ้าให้พูดให้ทุกคนเข้าใจง่ายๆ ก็อาจจะพูดถึง persona ของแบรนด์ที่เราสองคนได้เซตขึ้นมา 

ปั๊ม : ถ้าหากจะให้พูดถึง persona ของทาร์เก็ตที่เราคิดหรือที่เราเห็นภาพหลังบ้านร่วมกันมาตลอด คนแรกที่ผมนึกถึงในภาพของ Rally Movement เลยคือBond girls’ คือผู้หญิงในเรื่อง James Bond ซึ่งผมเองก็ชอบตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว เพราะว่าในตัว Bond girls เขาก็จะมีดีเอ็นเอบางอย่างที่ represent ออกมาได้ว่าผู้หญิงคนนี้เท่นะ เก่งนะ แต่ในบางทีก็ดูผู้ญิ้งผู้หญิง หรือในบางทีก็ดูแมนมากๆ อยู่ในคนเดียวกัน จุดนี้แหละที่ผมคิดว่า Bond girls เขาค่อนข้างให้มู้ดที่ดูแอ็บสแตรกท์ดี 

นอกจากดีไซน์ของเสื้อผ้า คุณสองคนคิดว่าแบรนดิ้งสำคัญยังไงบ้าง

ปั๊ม : ในเรื่องแบรนดิ้ง เอาจริงๆ มันไม่ได้ต่างจากการทำเสื้อผ้าเลย นั่นคือการที่เราจะ stick to the rule ของตัวเราเอง แล้วก็ respect วิถีของแบรนด์ ของดีเอ็นเอ เพราะฉะนั้นมันจึงเข้าโจทย์ที่ว่า ‘อย่าไปพยายามจะเป็นเหมือนใคร’ ก็ให้หาจุดแข็งของตัวเองที่เราจะทำได้ เราทำได้แค่ไหนก็ได้แค่นั้น แต่เราก็จะต้องเต็มที่กับสิ่งที่เราถนัด ไม่ไปพยายามที่จะเป็นเหมือนคนอื่น ผมคิดว่านี่แหละ คือสิ่งที่ทำให้แบรนดิ้งของเรามันรอด มันเพียงพอ 

แล้วในฝั่งของมาร์เก็ตติ้งพวกคุณเวิร์กกันยังไง

เค้ก : ในฝั่งมาร์เก็ตติ้งน่ะ เค้กรู้สึกว่าโปรดักต์มันจะต้องขายตัวเองให้ได้ก่อน ถ้าโปรดักต์ดี มันก็จะไม่ต้องทำมาร์เก็ตติ้งอะไรเยอะ แล้วก็เราสองคนเองก็ค่อนข้างให้ความสำคัญกับภาพรวมของโปรดักต์แต่ละชิ้นที่ออกไป เพราะฉะนั้นตัวสินค้าจึงมาร์เก็ตติ้งตัวมันเองอยู่แล้วประมาณนึง ไม่ว่าจะจากภาพโฟโต้ชูตที่เราถ่ายก็ดี ฉะนั้นเค้กจึงคิดว่ามาร์เก็ตติ้งสำหรับเรามันไม่ใช่แค่การลงโปรดักต์ผ่านตามโซเซียลมีเดียช่องทางต่างๆ แล้วจบ แต่เราสองคนจะค่อนข้างคิดในหลายๆ มุมมากๆ เราจะไม่ทำให้มันซ้ำกันด้วย เช่นคอลเลกชั่นนี้ทำสิ่งนี้ไปแล้ว ในคอลเลกชั่นหน้าเราก็อาจจะมีวิธีการในการ communicate กันอีกแบบนึง เราก็พยายามที่จะเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ อ้างอิงมาจากเนเจอร์ของกลุ่มลูกค้าเราด้วยค่ะ บางทีเรารู้ว่าลูกค้าของเรา เขาอาจจะเสพแพลตฟอร์มนี้เยอะในช่วงเวลานี้นะ เราก็อาจจะฟอลโลว์ไปตามช่องทางนั้นๆ 

พวกคุณคิดว่าจุดขายของ Rally Movement คืออะไร

ปั๊ม : ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราจะบอกว่าเสื้อผ้าของเรามันค่อนข้าง functional เพราะว่าเสื้อผ้าของเรามันเป็นเสื้อผ้าสำหรับ working women และ urban สำหรับการสวมใส่ในเมือง แต่ว่าในตอนนี้เสื้อผ้ามันถูกแตกไลน์ออกมาเยอะแล้ว 

เค้ก : เบสจากตัวเค้กเอง ณ ตอนนี้ เค้กว่าเสื้อผ้าของแบรนด์เรามันก็ยังมี core ของคำว่า functional อยู่ เพราะเวลาที่เราจะออกโปรดักต์อะไรสักอย่างในแต่ละครั้ง คือต่อให้เสื้อผ้ามัน vary มากๆ แล้ว มันก็ต้อง functional แหละ  เพราะเค้กเชื่อว่าเสื้อผ้าเวลามันจะถูกใส่มันต้องใส่ได้จริงนิดนึง คือแน่นอนว่าเค้กเป็นคนชอบแต่งตัวก็จริง แต่เค้กเองก็จะไม่สามารถอยู่กับเสื้อผ้าที่มันทรมานได้ อย่างเสื้อผ้าที่มันคันหรือรองเท้าที่มันกัดเนี่ย เราอยู่กับมันไม่ได้เลย 

ถ้าให้พูดถึงตัวโปรดักต์ของเราอย่าง RM เราออกโปรดักต์นี้มาเข้าปีที่ 4-5 กันแล้ว แต่ในทุกวันนี้ เราก็ยังขายสิ่งนี้กันได้อยู่ หรือในเสื้อโปโลของเราเอง ในอนาคต เค้กก็ยังอยากทำยังไงก็ได้ให้ตัวโปรดักต์นี้มันอยู่ได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ คือเค้กอยากให้ทุกคนที่มีเสื้อรุ่นนี้อยู่ในตู้ยังรู้สึกว่ามันไม่ได้ตกเทรนด์ และยังสามารถหยิบออกมาสวมใส่ได้เรื่อยๆ สิ่งนี้แหละที่เค้กให้ความสำคัญและถือเป็นทั้งจุดแข็ง-จุดขายของ Rally Movement  ที่เรายังคงพยายามคิดกันว่าจะทำยังไงให้ลูกค้าได้สวมใส่โปรดักต์สักตัวได้คุ้มค่าที่สุด

แล้วเวลามีไอเดียใหม่ๆ คุณสองคนพูดคุยกันยังไง

ปั๊ม : เวลาเรามีไอเดียใหม่ๆ หรือวิธีการที่เราคุยกันถึงสิ่งใหม่ๆ  บอกตามตรงว่าถ้าไม่มีเรื่องงานใน relationship ของเราเนี่ย เราสองคนก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกันนะ

เค้ก : เพราะเราสองคนคุยเรื่องงานกันตลอดเวลา (หัวเราะ) สำหรับตัวเค้กเนี่ย เค้กเป็นคนที่คิดอะไรค่อนข้างเยอะมาก เค้กมีไอเดียใหม่ตลอดเวลา แล้วเวลาที่เราคิดอะไรเราก็จะทำเลย โดยไอเดียใหม่ๆ เหล่านี้เนี่ยมันก็จะถูกส่งต่อไปให้กับทีมของเราในทุกๆ คนเหมือนกัน คือถ้าเรารู้ว่าเราต้องการสิ่งนี้ เรากับทีมก็จะต้องทำออกมาให้ได้ทุกครั้ง

ปั๊ม : แล้วเราก็เอนจอยที่จะคุยเรื่องงานกันตลอดเวลามากเลย เพราะว่าเรามีงานเป็น goal หลักของเราทั้งคู่ เพราะฉะนั้นการคุยงานกันมันจึงเป็นเรื่องธรรมชาติมากๆ 

แสดงว่าพวกคุณมีทีมที่พร้อมรับมืออยู่ตลอดเวลาใช่ไหม

ปั๊ม : ใช่ ผมขอเน้นย้ำเลย ผมอยากให้เครดิตกับทีมของ Rally Movement เพราะแบรนด์เรามีพนักงานเป็น 10 คน

เค้ก : 10 คนนั้นเป็นดรีมทีมจริงๆ ในฉบับที่พอเราบอกว่าเราต้องการสิ่งไหนสิ่งนั้นก็จะต้องเกิดขึ้น ซึ่งทุกคนค่อนข้างรู้เนเจอร์ของบริษัทว่าเราจะไม่ทำอะไรกันเล่นๆ เราทำกันจริงจังหมด อะไรที่เราต้องการก็คือเราต้องการให้มันออกมาเป็นผลลัพธ์เลยจริงๆ 

แล้วพวกคุณแบ่งเวลาให้ไม่กระทบเวลาส่วนตัวกันยังไง

เค้ก : เราก็ต้อง weight แหละ เพราะพวกเราอาจจะไม่สามารถทำทุกอย่างออกมาได้เพอร์เฟกต์ทั้งหมด เพียงแต่ว่าเราก็ทำมันออกมาให้ได้ดีที่สุดในเวอร์ชั่นของพวกเรา และเค้กก็รู้สึกว่าแกนหลักที่สำคัญที่สุดคือชีวิตของเราที่เราจะต้องบาลานซ์ให้ดีก่อน อย่างเช่นเรื่องสุขภาพ การออกกำลังกาย การดูแลอาหารการกิน และการดูแลจิตใจให้ดี คือสุดท้ายการงานมันก็ต้องไม่มากระทบกับชีวิตส่วนตัวเราเหมือนกันเนอะ ถ้าขีดเส้นใต้จุดนี้ได้ดีพวกเราก็สามารถบาลานซ์มันได้

ปั๊ม : แน่นอนว่าเวลาเราคุยเรื่องงานกัน มันก็จะมีเรื่องที่เราสองคนรู้สึกว่ามันส่งเสริมกันนะ เพราะเราจะไม่คุยเรื่องงานที่มันเครียดหรือโหดร้ายเกินไปในวันพักผ่อนของพวกเรา แต่ผมว่าสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญที่สุดของชีวิตคือร่างกายตัวเองก่อน นั่นหมายความว่าร่างกาย จิตใจ ครอบครัว เราก็ต้องทำตรงนั้นให้มันเพอร์เฟกต์ก่อน เราถึงจะสามารถทำงานที่ efficient ได้ ผมว่าสิ่งนี้สำคัญ โดยเฉพาะ mental health ด้วยความที่ว่าเราเป็นผู้นำ เรามีความจำเป็นที่จะต้องทำงานและสื่อสารกับคนกลุ่มนึงมาก เราจึงจำเป็นต้องดูแลสุขภาพจิตใจของตัวเองให้อยู่ในเกณฑ์สีเขียวตลอดเวลา

เค้ก : โดยเฉพาะปีนี้ เป็นปีที่เราเริ่มดีลกับคนอื่นเยอะมากๆ เค้กให้ปี 2023 นี้เป็นปีที่พวกเราสองคนหันกลับมาโฟกัสกับตัวเองเยอะขึ้น แล้วเราก็ยังให้ความสำคัญกับตัวเองอย่างมั่นคงกันจริงๆ ในทุกๆ เรื่อง เพราะว่าพนักงานเราก็เยอะขึ้น ทีมเราเยอะขึ้น ลูกค้าเราก็เยอะขึ้น การดีลกับคนปริมาณมากขนาดนี้ มันมีความจำเป็นที่เราจะต้องมั่นคงกันมากๆ ไม่งั้นเราจะไม่สามารถ hold ทุกอย่างเอาไว้ได้เลย 

ในวันที่ธุรกิจแบรนด์เสื้อผ้ามีมากขึ้น คุณมีวิธีบริหาร Rally Movement ให้ยังคงอยู่ในกระแสและยืนยาวต่อไปยังไง

เค้ก : คือการที่เราเลือกที่จะโฟกัสกับแบรนด์ของเรากับตัวเราเองเป็นหลักเลย แล้วเค้กก็รู้สึกว่าการทำให้แบรนด์ Rally Movement ของเรา survive อยู่ได้ก็คือการที่เราปรับตัวหนักมาก แล้วเราก็พยายามเปลี่ยนแปลงทุกๆ อย่างตลอดเวลาจริงๆ 

อย่างสมมติว่า วันนี้เราทำสิ่งนี้แล้วมันออกมาเวิร์ก อาทิตย์หน้าเราก็ไม่ได้เพลย์เซฟที่จะทำเรื่องนี้ต่อไป แต่เราจะหาอะไรใหม่ๆ ทำอยู่เรื่อยๆ รวมถึงเราสองคนค่อนข้างให้ความสำคัญกับการเปิดโลกใหม่ เราชอบเดินทาง เราชอบท่องเที่ยว เราชอบไปเห็นอะไรใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ เค้กก็เลยรู้สึกว่าการเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากข้างนอกเข้ามา รวมถึงการได้พูดคุยกับคนใหม่ๆ นี้เองที่จะสามารถทำให้เราเข้าอกเข้าใจคนอื่นได้มากขึ้น รวมถึง flexible ไปตามโลกได้มากยิ่งขึ้นด้วย

ปั๊ม : ถ้าถามผม ผมรู้สึกว่าถ้าความตั้งใจใน day 1 จนถึงทุกวันนี้ของ Rally Movement ในเรื่องของภาพลักษณ์ หรือแม้แต่ในเรื่องของวิธีที่เรา represent แบรนด์กัน จริงๆ วิธีการของเรามันธรรมชาติมาก เพราะเราแค่โตไปพร้อมกับแบรนด์ แน่นอนว่าพอเป็นที่รู้จักมากขึ้น ขายดีมากขึ้น เราก็ได้รับฟีดแบ็กอะไรต่างๆ เข้ามามากขึ้น นั่นแหละที่สำคัญ 

แล้วการที่เราไม่ได้เปรียบกับใครในตลาดอยู่แล้ว เพราะว่าแค่เราแข่งกับตัวเราเองก็ยากมากแล้ว คำว่า ‘แข่งกับตัวเอง’ ในที่นี้ ไม่ใช่ว่ากดดันตัวเอง แต่มันคือการตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘ทำยังไงให้ทุกปัญหาที่เข้ามาในทุกวันมันรู้สึกกลายเป็นเรื่องง่ายที่เราจะต้องจัดการ’ เรามีลูกค้าที่ต้องดูแล เรามีลูกน้อง มีพนักงานที่ต้องดูแล เรื่องของตัวเองมันมากพอแล้วที่จะทำให้แบรนด์มันดีให้ได้ แต่ผมคิดว่าจริงๆ เราโฟกัสกับเรื่องที่ง่ายที่เข้ามาระหว่างวันหรือทุกวันให้มันเยี่ยมจนเรารู้สึกว่าเราคล่องกับมัน แค่นี้พวกเราก็ไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นแล้วครับ (หัวเราะ) ไม่มีเวลาไปดูคนอื่นแล้วด้วย

คิดว่าอะไรคือจุดโดดเด่นของ Rally Movement

เค้ก : ความโดดเด่นคือ ‘ความเป็นตัวของตัวเอง’ เมื่อพูดเกี่ยวกับเทรนด์หรือ follow trend เนี่ย เอาจริงๆ การ  follow trend ของเราก็เพื่อไม่ให้ไปตามเทรนด์ (หัวเราะ) คือถ้าช่วงไหนอะไรเป็นเทรนด์ เราจะพยายามไม่ทำ สิ่งนี้มันก็จะสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์เราอยู่แล้ว

ปั๊ม : ทุกคอลเลกชั่นมันจะมีอันที่เราทำแล้วมันขายไม่ได้เลยอยู่เสมอ นั่นหมายความว่าบางอย่างเราพยายามสนุก เราทำตามใจตัวเอง โดยเราก็ยังเลือกที่จะทำสิ่งนี้อยู่ เพราะเรามีความรู้สึกว่าการที่เรามีความผิดหวังบ้างเล็กๆ น้อยๆ หรือว่าการพลาดเป้าเนี่ย บางทีแน่นอนว่ามันก็ shape เราให้เราแม่นขึ้น แต่ในบางสิ่งบางอย่างก็ตลกที่เราก็ฝืนทำกัน โดยที่เราก็รู้ตัวเองว่ามันจะขายได้ไม่ดี แต่เรานี่แหละที่จะรู้ตัวเองว่าในสิ่งเหล่านี้มันยังมีดีเอ็นเออยู่ แล้วมันก็ให้เมสเซจกับคนซื้อด้วย

เค้ก : ยกตัวอย่างโปรดักต์เช่นเฮดแบนด์ ณ ตอนนั้นเฮดแบนด์มันก็ไม่ได้เป็นกระแส แต่เราทั้งคู่ก็ตัดสินใจทำโปรดักต์นี้ขึ้นมา แค่เพราะว่าเราอยากทำจากการที่มันตอบโจทย์ inspiration และมู้ดของคอลเลกชั่นในตอนนั้นได้ดี เราเลย add on โปรดักต์นี้ขึ้นมา แล้วมันก็กลายเป็นสินค้าที่ขายดีของเราไปเลย หรือกระเป๋า โปรดักต์ใหม่ล่าสุดของเรา เอาจริงๆ มันก็ไม่ใช่ทรงที่ผู้คนใช้ในทุกวันนี้ ในทรงที่คนนิยมใช้ในทุกวันนี้ก็อาจจะเป็นกระเป๋าทรงเล็กๆ แต่แน่นอนว่าทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นมาได้จากการที่เราไม่ได้ follow trend แต่ไม่ได้แปลว่าเราไม่ได้ตามนะ เราตามเทรนด์กันอยู่ เรารู้หมดว่าตอนนี้เทรนด์มันเป็นยังไง แต่ว่าในทุกๆ ครั้ง เราก็เลือกที่จะไม่ทำตามเทรนด์ก็เท่านั้นเอง

คุณคิดว่า Rally Movement ได้สร้างมูฟเมนต์อะไรให้กับวงการแฟชั่นในไทยบ้าง

เค้ก : เราว่า Rally Movement ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่สร้างสีสันให้กับวงการแฟชั่นในไทยเหมือนกัน เพราะว่าหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่ผ่านมา เราทั้งคู่ก็พยายามทำกันขึ้นมาเพียงเพราะว่าเราอยากให้วงการแฟชั่นในไทยมันมีสีสันขึ้น หรือในบางทีเราไปต่างประเทศ พวกเราเองก็มีโอกาสได้เจอแบรนด์อื่นๆ คนใหม่ๆ มันก็ช่วย inspire กลับมาทำให้เราได้กลับมาทำงานกันอยู่ตรงนี้ภายใต้แบรนด์ที่มีชื่อว่า Rally Movement 

ปั๊ม : ผมคิดเหมือนกันกับเค้กเลย เพราะผมคิดว่าสิ่งที่พวกเราสองคนกำลังพยายามทำกันอยู่ตอนนี้มันคือคำว่า ‘ยกระดับ’ คือแน่นอนว่าพวกเราอยากยกระดับ แต่จะระดับไหนก็ยังไม่รู้นะ แล้วจะยกระดับกันยังไงเราก็ยังไม่รู้

เค้ก : แต่ ระดับ’ ในที่นี้ เราไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่เหนือกว่าคนอื่น แต่ด้วยความที่เราโฟกัสอยู่ที่ตัวเองกันเป็นหลัก เพดานที่เราเคยทำได้ในวันก่อนหรือเพดานที่เราก็มองว่าเราก็ดันกันมาได้เยอะมากๆ แล้ว เราก็อยากที่จะยกสแตนดาร์ดนั้นให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ 

ภาพจำของ Rally Movement ที่อยากให้ผู้คนมองหรือพูดถึงคืออะไร

เค้ก : จริงๆ เราไม่ได้คิดถึงว่าคนจะพูดถึงแบรนด์ Rally Movement ว่าอะไร แต่ในช่วงหลังๆ มานี้เองเราสองคนกลับได้ฟีดแบ็กจากลูกค้าที่ไปพูดต่อๆ กันแล้วชวนให้เราแฮปปี้ คือในเรื่องของความตั้งใจ ซึ่งแค่คำว่า ‘ตั้งใจ’ นี่แหละทำให้เราสองคนแฮปปี้กันมาก เพราะเราตั้งใจทำแบรนด์กันจริงๆ

ปั๊ม : ผมอยากให้ลูกค้าภูมิใจที่ได้สวมใส่โปรดักต์ของเรา คำว่าภูมิใจในที่นี้อาจจะไม่ได้เป็นความรู้สึกภูมิใจในลักษณะที่ว่าแค่เสื้อของเราสวย แต่มันเป็นความภูมิใจเล็กๆ ที่ลูกค้ารู้ว่าเรามีเจตนาที่ดีในการทำแบรนด์นะ แล้วเราก็อยาก push limit ของ ability แบรนด์คนไทยให้ว้าว อีกทั้งเราก็ยังอยากให้ทุกคนไว้ใจในแบรนด์ Rally Movement กันได้เลย อยากให้คอยติดตามเราสองคนกันไปอีก เพราะพวกเราก็ยังสนุกกับการทำแบรนด์กันมากๆ แล้วก็การเซอร์วิสอะไรใหม่ๆ ให้กับลูกค้า

เค้ก : ลูกค้าเองก็มีส่วนช่วยในการดันเพดานของ Rally Movement ด้วยเหมือนกัน

แล้วพวกคุณมองภาพอนาคตของแบรนด์ไว้ยังไง

เค้ก : จริงๆ เราวางภาพอนาคตของแบรนด์เราไว้เพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น (หัวเราะ)

ปั๊ม : อาจจะฟังดูตลกในมุมคนทำธุรกิจนะ แต่เรื่องที่เค้กบอกว่า 3 เดือนมันไม่ได้หมายถึงเรื่องของระบบหลังบ้าน ไม่ใช่เรื่องของความมั่นคงของบริษัท แต่ว่าเราทั้งคู่ fluid มาก เพราะเรามอนิเตอร์สิ่งที่เราทำกันอยู่ทุกวัน

เค้ก : เรามอนิเตอร์สิ่งที่เราทำกันเบอร์นั้นเลยจริงๆ แต่ที่บอกว่า 3 เดือน เพราะเค้กรู้สึกว่าระยะเวลา 3 เดือน มันมีเรื่องหลายๆ เรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปไวมากๆ อย่างโปรดักต์กระเป๋าล่าสุด ‘Rally The Bag’ ของเรา เราก็ทำกันออกมาภายในข้ามคืนเนอะ

ปั๊ม : ซึ่งผมว่ามันเรียกร้องสกิลที่สูงมากกับการที่เราจะต้องปรับตัวให้เร็ว แล้วเราก็ยังจะต้องทำให้ทุกคนเห็นได้ว่าภายใน 3 เดือนนี้น่ะ เรามีหลังบ้านและทีมงานที่พร้อมรับแรงกระแทกแบบชั่วข้ามคืนได้ ซึ่งพวกเราสองคนภูมิใจมากกับสิ่งนี้

เคยลองตั้งแพลนยาวกว่า 3 เดือนกันบ้างไหม

ปั๊ม : เคย คือเราเคยเหยียบผ่าน annual plan หรือ pipeline รวมไปถึงสิ่งที่เคย predict กันเอาไว้หมดแล้ว สุดท้ายเราก็ต้องมาล้มแพลนหมด บางอย่างเราก็เปลี่ยนกันชั่วข้ามคืน

เค้ก : คือเราล้มแพลน เปลี่ยนแพลนกันมาบ่อยมาก แล้วมันก็เป็นเรื่องตลกที่พนักงานเราพูดตอนประชุมว่า ‘นี่เราพูดเรื่องอะไรกันอยู่นะ เรื่องใหม่แล้วเหรอ’ (หัวเราะ)

ปั๊ม : ผมว่าสกิลมันเป็นเรื่องที่จำเป็นมากในยุคนี้ เพราะเราโตมาแบบนี้ เราเชื่อใน process นี้ เราก็เลยไม่มั่นใจว่าวิถีแบรนด์อื่นจะเป็นยังไง แต่ว่าถ้า Rally Movement เป็นวิถีแบบนี้ แล้วเราก็ยังรันกันได้อยู่จนถึงทุกวันนี้ ผมก็เชื่อใน process 

อะไรคือบทเรียนที่สำคัญในการทำธุรกิจของคุณทั้งสอง

ปั๊ม : บทเรียนในการทำธุรกิจของผมคือการทำธุรกิจด้วยเจตนาที่ดีต่อกัน เพราะสำหรับผมคำว่า ‘เจตนาที่ดี’ มันก็คือการที่เราไม่ได้จะไปสร้าง intention ที่ไม่ดีต่อใคร เรื่องนี้สำคัญมากและถือเป็นแก่นที่สำคัญของตัวผมเลย

เค้ก : เค้กว่ามันคือการที่ต้องคุยกับตัวเองให้เคลียร์ก่อนว่าตัวเราต้องการอะไร ชีวิตนี้เราต้องการอะไร แล้วการทำธุรกิจเนี่ยมันนับว่าเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของชีวิตเรา เมื่อเคลียร์กับตัวเองได้แล้ว ตัวเราก็จะ weight มันได้ แล้วเราก็จะรักษาทั้งชีวิตของเราเอง ชีวิตของคู่เราและธุรกิจให้มันไปด้วยกันได้อย่างมั่นคง 

เพราะมันไม่ได้หมายความว่าวันนี้เราทำธุรกิจออกมาได้ดี แล้วการที่เราทำเหมือนเดิมในวันพรุ่งนี้มันจะยังดี ปัจจัยทุกๆ อย่างมันสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องทำทุกๆ อย่างในทุกๆ ทาง เราจะต้องคอยจูนกับมันไปเรื่อยๆ จนเราสามารถบาลานซ์ให้ทั้งสองอย่างนี้มันไปด้วยกันเรื่อยๆ ได้

ถามถึงบทเรียนของปี 2023

ปั๊ม : ผมว่าปี 2023 เป็นปีที่ fully recovered จากโควิด-19 ซึ่งมันทำให้ตัวผมเองได้รู้ว่าความเจ็บปวดในอดีตมันผ่านไปเร็วจริงๆ  สิ่งนี้มันทำให้ผมเรียนรู้ว่าการที่เรามี bad day, good day เองก็อาจจะมาเร็วกว่าที่คิด

เค้ก : บทเรียนในปีนี้มันเยอะจนประมวลไม่ได้ (หัวเราะ) จริงๆ ปีนี้เค้กค่อนข้างได้บทเรียนจากตัวเองเยอะกว่าบทเรียนในธุรกิจ แต่มันก็นับว่าเป็นเรื่องเดียวกันได้แหละ เพราะมันสามารถลิงก์ด้วยกันได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะในก่อนหน้านี้ที่เราอาจจะมี perception ที่ว่า ‘ทำงานเยอะเท่ากับดี’ แต่โชคดีมากๆ ที่ในปี 2023 เค้กสามารถผ่อนมันลงได้ แล้วมันก็ยังทำให้เรามีความรู้สึกว่าเราสามารถบาลานซ์งานได้ดียิ่งขึ้นด้วย  

สำหรับเรื่อง relationship เอง เค้กก็ค่อนข้างให้ความสำคัญในปีนี้เหมือนกัน อะไรที่เรารู้สึกว่าเรายังทำได้ไม่ดีเราก็ทำมันได้ดีขึ้นในปีนี้ ในทางกลับกัน สิ่งเหล่านี้มันก็ช่วยส่งเสริมให้การทำงานของเรามันดีขึ้น

งั้นแล้ว 3-month resolution ของ Rally Movement ในปี 2024 คืออะไร

เค้ก : (หัวเราะ) เราอยากทำให้แบรนด์มันเฟิร์มขึ้น

ปั๊ม : ถ้าพูดในมุมลูกค้าที่สามารถจับต้องได้ ผมคิดว่ามันคือเรื่องของโปรดักต์อย่างกระเป๋าที่พวกเราทั้งคู่เอาจริงมาก เป็นเบบี้ใหม่ของ Rally Movement ที่ตัวผมเองคิดว่าภายใน 3 เดือนนี้ลูกค้าจะได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าเราสองคนได้พยายามเตรียมอะไรไว้กับตัวโปรดักต์นี้บ้าง แน่นอนว่าโปรดักต์อย่างเสื้อผ้าคือจุดแข็งของ Rally Movement ซึ่งก็จะถูก launch ออกมาตามแพลนที่เราตั้งกันไว้อยู่แล้ว

เค้ก : แล้วก็ถ้าเป็นเรื่องขององค์กรภายใน เราก็คงทำให้ในช่วงเริ่มต้นของทุกๆ ปี มันเป็นการให้เรากลับมานั่งคิดทบทวนกันว่าในปีที่แล้ว มีอะไรที่เราสองคนยังทำกันไม่ทันหรืออะไรที่ทำให้เราบกพร่องกันไปบ้างไหม แล้วเราจึงค่อยๆ มาเริ่มลิสต์ส่ิงเหล่านี้ออกมาให้เป็นข้อๆ ในเดือนมกราคม แต่ว่าสำหรับของปีนี้หรือปีหน้าเอง มันก็ยังไม่ได้ถูกคิดเนอะ เพราะเดือนมกราคมยังมาไม่ถึง แต่จริงๆ แล้วเค้กว่ามันก็คือการทำทุกอย่างของแบรนด์และพัฒนาแบรนด์ให้มันเฟิร์มขึ้น แม้กระทั่งในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แน่นอนว่าบางอย่างมันก็อาจจะเป็นจุดที่ลูกค้าไม่สามารถ notice ได้หรอก แต่พวกเราก็พยายามที่จะปิดจุดบกพร่องตรงนั้นกันอยู่ดี

มันอาจจะต่างจากคนอื่นนิดนึงกับการตั้ง New Year’s resolutions แต่เพราะพวกเราเป็นคนที่ชอบพุ่งชนมากๆ ชอบพุ่งไปข้างหน้ากันมากๆ จนบางทีมันก็อาจจะเป็นได้ทั้งข้อดีและข้อเสีย 

มีอะไรอยากจะบอกกับคนที่กำลังอยากทำธุรกิจร่วมกับพาร์ตเนอร์ไหม

ปั๊ม : ผมคิดว่าในมุมธุรกิจ เมื่อคิดอะไรกันได้ ก็ควรทำเลย แต่พอมันมีบุคคลเข้ามาเพิ่มในธุรกิจ ผมกลับคิดว่า ‘เวลา’ จะเป็นปัจจัยหลักของการตัดสินใจว่า ‘เราจะทำ’ หรือ ‘ไม่ทำ’ เพราะว่าก่อนผมจะตัดสินใจทำธุรกิจกับเค้ก ผมก็รู้จักกับเค้กมาแล้วเกือบ 4 ปี แล้วผมก็มีความรู้สึกว่าในช่วง 4 ปีนั้นมันก็ค่อยๆ บอกกับผมมาเรื่อยๆ ว่าเราควรทำธุรกิจด้วยกัน แถมยังเป็นความรู้สึกที่ ‘ต้องทำ’ เลยด้วยซ้ำ นั่นหมายความว่าเราจะรู้กันเอง เราต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์แหละ เพราะมันถือว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากๆ แต่ถ้าทุกอย่างลงตัวแล้ว มีแค่เรื่องธุรกิจ ผมเชียร์ให้ทำพรุ่งนี้เลย (หัวเราะ) อย่ามโนกันเยอะ ทำเลย แล้วเดี๋ยวก็จะรู้กันเองว่าควรไปต่อด้วยกันหรือหยุด

เค้ก : สำหรับเค้ก เค้กรู้สึกว่าคนที่ทำธุรกิจร่วมกันได้ต้องใจกว้าง ‘ใจกว้าง’ อันนี้อาจจะไม่ใช่ในมุมพาร์ตเนอร์นะ แต่ในมุมที่คิดอาจจะเป็นผู้ประกอบการ อยากจะทำธุรกิจเลย แล้วก็จะต้องพยายามทำความเข้าใจหัวอกคนอื่นในทุกๆ positioning ให้มากขึ้นด้วย เหรียญมันก็มีสองด้านเนอะ คนคนหนึ่งเขาก็มีหลายมิติมากๆ เกินกว่าที่เราจะสามารถ judge ได้ แม้กระทั่งตัวเราเองที่ในวันนี้เราอาจจะสามารถทำงานได้ 100% แต่พอพรุ่งนี้เราก็อาจจะเป็นอีกแบบนึง สมองเราก็อาจจะทำงานได้ 70% ก็ได้ แต่ทุกอย่างมันจะมีผลกับสิ่งที่เราจะแสดงออกไป  ซึ่งเค้กว่าสิ่งที่สำคัญคือการทำตัวเองให้ดีก่อน แล้วเวลาเราไปทำงานร่วมกับคนอื่นเราก็จะไม่มีปัญหาถ้าเกิดว่ามายด์เซตของการทำธุรกิจเรามันได้  

ด้วยสถานะที่เปลี่ยนไป พวกคุณคิดว่าส่งผลให้บทบาทในการทำธุรกิจเปลี่ยนไหม

เค้ก : จากเพื่อนสู่แฟน สู่พาร์ตเนอร์​ธุรกิจ มาจนถึงในบทบาทของสามี-ภรรยา บอกตรงๆ ว่าไม่มีวันไหนที่เรารู้สึกกลัวที่จะทำธุรกิจร่วมกันเลยนะ เพราะเค้กรู้สึกว่าการทำธุรกิจน่ะ สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ว่าจะเป็นเพื่อน เป็นแฟนหรือจะอยู่ในสถานะอะไรกันคือ ‘communication’ ซึ่งใช้ได้กับทุกๆ เรื่องเลย เพราะถ้ามี communication ที่ดี เราก็แทบจะไม่ต้องกลัวอะไรกันเลย communication มันเลยจะเป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญกันมาก หากเรื่องไหนที่เราไม่เคลียร์ แน่นอนว่าเราจะต้องมานั่งคุยกันว่า ‘อันนี้ฉันไม่เข้าใจตรงนี้’ เพื่อดูว่าเราจะปรับไปในทิศทางไหน แต่ว่ามันจะไม่ใช่การเก็บเอาไว้แล้ววันนึงมาระเบิดใส่กัน ซึ่งเราทั้งคู่ก็ค่อนข้างมั่นใจได้ว่าเรื่องเหล่านี้น่ะเราสามารถทำกันได้อย่างดี 

แล้วเค้กรู้สึกว่าข้อดีของการทำธุรกิจร่วมกันกับแฟน มันคือการที่เราสามารถตั้ง goal อนาคตร่วมกันได้ในเรื่องส่วนตัวด้วย อย่างเรื่องอนาคตว่าชีวิตเรามันจะเป็นยังไงกันต่อไป แล้วพอเรามาทำธุรกิจด้วยกัน เค้กก็ว่าจุดนี้มันก็เหมือนกับการที่เราทำงานคู่กันไปในเส้นขนาน ซึ่งถ้าเราสามารถจัดการสิ่งนี้ได้อย่างดี เค้กว่ามันก็แอบเป็นข้อดี

ปั๊ม : เป็นจุดแข็งแหละ เพราะในวันที่ทำงานกับเค้ก ทุกวันนี้ผมถือว่าเราก็คือเพื่อนร่วมงาน ไม่ใช่ในบทบาทของการเป็นสามี-ภรรยากัน แต่จริงๆ แล้ว มันก็เป็นสกิลเดียวกันครับ แล้วมันก็เป็นสกิลการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ซึ่งถ้าทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ จริงๆ มันทำได้หมดนะ

เค้ก : ใช่ เค้กรู้สึกว่ามันไม่เกี่ยวกับสถานะเลยว่าเราจะเป็นอะไรกัน ถ้าสมมติว่าเราเป็นเพื่อนกัน ต่อให้เราไม่ได้ทำธุรกิจร่วมกัน แต่แอตทิจูดมันไม่ตรงกัน หมายถึงว่าวิธีการสื่อสาร communication มันผิดอะ มันก็ทะเลาะกันได้โดยที่ยังไม่ต้องมาเป็นธุรกิจเลย แต่จุดนี้เค้กว่าความสำคัญมันอยู่ที่ ‘การเลือกพาร์ตเนอร์ธุรกิจ’ คือการเลือกพาร์ตเนอร์ที่จะมาทำธุรกิจด้วยกัน ก็ควรจะเป็นคนที่มองทุกอย่างไปในไดเรกชั่นเดียวกัน แล้วก็จะต้องมีความเข้าใจในเรื่องของ communication ที่เหมือนกัน 

สุดท้ายสิ่งสำคัญของการเป็นพาร์ตเนอร์ที่ดีคืออะไร

ปั๊ม : สิ่งที่สำคัญของการทำธุรกิจร่วมกับพาร์ตเนอร์ ผมว่าเริ่มจากการเป็นคนที่จะต้องมีเจตนาที่ดีแน่นอนว่าการทำงานน่ะเราต้องพร้อมที่จะยอมรับข้อผิดพลาดทั้งเล็กทั้งใหญ่ที่มันจะสามารถเกิดขึ้นได้ในการทำธุรกิจอยู่แล้ว แต่ตราบใดที่เราต่างก็มีเจตนาที่ดี คือไม่ได้หวังว่าจะไปเอาเปรียบใครหรือไม่คิดร้ายกับใคร ผมว่าช็อตนี้ต่อให้เรื่องมันร้ายแรงสุดมันก็ให้อภัยกันได้ แน่นอนว่าสำหรับผมเจตนาที่ดีมันมีชัยไปกว่าครึ่ง

เค้ก : เค้กว่ามันเป็นเรื่องของการบาลานซ์ อย่างที่บอกว่าทั้งชีวิตส่วนตัวและทั้งอีโก้ด้วย คำว่า ‘อีโก้’ เนี่ยมันส่งผลกับ communication ด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้เราคิดว่าเราถูก แล้วเราจะนำอีโก้ตรงนั้นไปใช้กับพาร์ตเนอร์อีกคน คือด้วยความที่ธุรกิจเรามันต้องไปด้วยกันน่ะ goal ของเรามันคือการที่จะทำให้แบรนด์ไปข้างหน้าต่อได้จริงๆ ไม่ว่าเราจะต้องปรับเปลี่ยนอะไรก็ดี นิสัยส่วนตัวเราหรือในบางเรื่องที่เราอาจจะรู้สึกยังไม่โอเค มันก็ต้องมานั่งคุยกันเพื่อให้มัน reach point นั้นให้ได้  

Gordon Ramsey จากความฝันที่จะเป็นนักฟุตบอลสู่เชฟเจ้าของอาณาจักรร้านอาหารที่ขยายสาขาไปทั่วโลก

ภาพจำของคนทำอาชีพงานครัวเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมากถึงมากที่สุดในช่วง 10 ปี ให้หลังมานี้ จากเดิมที่บางคนอาจนึกไม่ค่อยออกว่าอาชีพงานครัวมีหนทางยังไงบ้างในการเจริญเติบโตในสายงาน หน้าที่ของคนครัวคือแค่ทำอาหารออกมาเสิร์ฟลูกค้าใช่หรือไม่ พ่อครัวทุกคนสามารถทำอาหารได้ทุกชนิดเลยใช่ไหม ถ้าเป็นพ่อครัว แม่ครัว แสดงว่าต้องทำอาหารเก่งทุกคนอย่างแน่นอนใช่รึเปล่า

ถ้าคุณลองเอาคำถามเหล่านี้ไปถามคนสัก 10 คน เมื่อ 10 ปีที่แล้ว คุณคงจะได้คำตอบแบบสะเปะสะปะ ไม่ไปในทิศทางเดียวกัน เพราะคนทั่วไปที่ไม่ได้ทำงานข้องเกี่ยวกับงานสายครัวคงมีโอกาสอันน้อยนักที่จะเข้าใจได้ว่าสิ่งที่คนครัวต้องแบกหามอยู่บนบ่าหาใช่แค่การปรุงอาหารให้สุกออกจากเตาเพียงเท่านั้น แต่มันคือความรับผิดชอบทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังม่านครัวที่คุณไม่มีทางมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจากมุมมองของลูกค้าที่นั่งรออาหารมาเสิร์ฟ

ต้องยอมรับว่าคำถามและความเชื่อต่างๆ ที่เคยส่งทอดกันต่อมาด้วยความไม่รู้บ้าง ความไม่เข้าใจบ้างเกี่ยวกับอาชีพของคนครัวค่อยๆ ถูกทอนให้จางลงไปด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ของรายการทีวีโชว์ ม่านงานครัวที่เคยปิดกั้นการมองเห็นจากคนนอกถูกลดให้ต่ำลงจากรายการแข่งขันทำอาหาร ที่แสดงให้เห็นถึงระบบระเบียบการจัดการในครัว ไล่เรียงไปตั้งแต่ขั้นตอนการคิดเมนู การเลือกวัตถุดิบ การจัดสรรหน้าที่ของแต่ละคนในทีม รวมไปถึงการทำหน้าที่ของเชฟใหญ่ หรือในทีวีโชว์ก็คือคณะกรรมการที่จะมาตัดสินว่าอาหารแต่ละจานที่ทีมครัวรังสรรขึ้นมานั้น มันดีเลิศหรือน่าส่ายหัวกันแน่

หนึ่งในไอคอนของรายการแข่งขันทำอาหารที่ทำให้โลกนี้ได้ตื่นตะลึงกับความดิบเถื่อนสาดใส่ทั้งคำสบถ ทั้งตะเบงเสียงด่าทอต่อผู้เข้าแข่งขันในรายการแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมทีไหนจนคนอาจจะต้องแปลกใจว่า ด่ากันออกรายการทีวีแบบนี้ได้ด้วยหรอ

และพ่อคนครัวคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก Gordon Ramsey เซเรบริตี้เชฟจากอังกฤษ ที่เป็นคนดำเนินรายการหลักของรายการแข่งขันการทำอาหารหลายต่อหลายรายการ เช่น Hell’s Kitchen, Ramsay’s Kitchen Nightmares, The F Word, Master Chef, Master Chef Junior

นอกเหนือไปจากการเป็นผู้ดำเนินรายการหลักของรายการแข่งขันทำอาหารกอร์ดอน แรมซีย์ ยังเป็นผู้ดำเนินรายการอีกหลายรายการบนสถานีโทรทัศน์ซึ่งส่วนใหญ่ก็ยังคงเกี่ยวข้องกับการทำอาหาร เช่น รายการ Hotel Hell, Gordon Behind Bars , Gordon Ramsay’s 24 Hours to Hell and Back, Next Level Chef

อย่างที่เกริ่นไว้ว่าเนื่องด้วยความดิบเถื่อนของกอร์ดอนที่ทำให้เขาโดดเด่นขึ้นมาจากเหล่าเซเลบริตี้เชฟโดยทั่วไป เพราะภาพโฆษณาส่วนใหญ่ที่ผู้คนได้เห็นกัน เราจะได้เห็นเขาในมุมที่เขาคายอาหารออกจากปากพร้อมคำสบถบ้าง ด่าทอดูแคลนผู้เข้าแข่งขันบ้าง พูดจาเสียดสีต่างๆ นานาต่อผู้เข้าแข่งขันที่ทำอาหารได้ผิดพลาดบ้าง 

อากัปกิริยาทั้งหลายที่เอ่ยมา คนส่วนมากคงคิดว่าควรสงวนมันไว้แต่เพียงในที่ลับ หาใช่สิ่งที่จะมานำเสนอในที่แจ้งเมื่อไหร่

แต่กอร์ดอนคงไม่ได้คิดแบบนั้น…

กอร์ดอนเลือกที่จะแสดงสิ่งที่ (น่าจะ) เป็นตัวตนจริงๆ ของเขาเมื่อเขาอยู่ในครัวออกมาให้คุณผู้ชมได้เห็นกันในรายการแข่งขันทำอาหารซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบบรายการแบบเรียลริตี้ ณ จุดนั้นเองนอกจากความโด่งดังของเขาที่เพิ่มสูงขึ้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายก็ถาโถมเข้ามาไม่น้อยเช่นกัน

บางคนก็คิดว่ามันช่างหยาบโลนจนเกินกว่าที่จะนำกิริยาเหล่านี้มาออกอากาศในระบบทีวีระดับประเทศ บางคนคิดว่าจะใช่เรื่องผิดแปลกอะไร ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่เป็นความจริงในครัว เพราะในครัวที่มีทั้งน้ำมันเดือดๆอยู่ตรงหน้า และอุณหภูมิร้อนๆ ที่รายรอบตัวคนครัว แถมยังมีความกดดันเป็นใบออเดอร์ที่วางเรียงอีกเป็นแถบในชั่วโมงเร่งด่วนตอนโมงยามที่ร้านมีลูกค้าหลั่งไหลเข้ามามากมาย คุณคิดว่ามันเป็นไปได้หรือที่คนครัวจะไม่ตะโกนด่าทอกันสักนิดเมื่อมีอะไรสักอย่างผิดพลาดหรือไม่เข้าที่เข้าทาง

จะด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณืใดๆ ที่ถาโถมมาแค่ไหน ก็คงต้องบอกเลยว่าทั้งฝีมือของทีมผู้ผลิตเอง ทั้งคาแรกเตอร์ของตัวกอร์ดอน แรมซีย์ เองก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดให้เรตติ้งรายการไปได้ดีและไปได้ไกลจนหลายต่อหลายรายการที่กอร์ดอน แรมซีย์ เป็นผู้ดำเนินรายการหลักสามารถยืนหยัดอยู่ได้มานานนับ 10 ปี

ว่าแต่ กอร์ดอน แรมซีย์ ผู้ดุดันในห้องครัว เขาเป็นใครมาจากไหน เขารู้ดีเรื่องอาหารและงานครัวเพียงแค่ไหนกันเชียวจึงหาญกล้าออกหน้าพูดจาตัดสินจานอาหารของคนว่าอร่อยหรือไม่อร่อย

ชีวิตในวัยเด็กของกอร์ดอน แรมซีย์ ไม่ได้ถูกกรุยมาด้วยดอกไม้ เขาเกิดที่สก็อตแลนด์ในปี 1966 มีคุณแม่เป็นนางพยาบาล คุณพ่อเป็นครูสอนพละ กอร์ดอนมีพี่น้องอีก 3 คน ครอบครัวของกอร์ดอนย้ายมาอยู่ที่อังกฤษเมื่อกอร์ดอนอายุ 9 ขวบ และย้ายกลับไปอยู่ที่กลาสโกลว สก็อตแลนด์ ตอนกอร์ดอนอายุได้ 16 ปี 

ฟังเพียงเผินๆ ก็ดูเหมือนกอรืดอนเป็นเด็กที่อยู่ในครอบครัวฐานะปานกลางทั่วไป ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ตามคำบอกลเ่าของกอร์ดอนคุณพ่อของเขาเป็นคนติดเหล้า ติดเหล้าชนิดที่ว่าหากเริ่มดื่มแล้วก็จะต้องดื่มจนหมดขวด และบ่อยครั้งที่คุณพ่อของเขาลงไม้ลงมือกับคุณแม่ของกอร์ดอน 

นอกจากพฤติกรรมการดื่มของคุณพ่อกอร์ดอนที่ดูจะมีปัญหา อีกหนึ่งความคาดหวังในฐานะที่เป็นทั้งครูสอนพละและเป็นคุณพ่อที่มีลูกชายร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง คุณพ่อของกอร์ดอนจึงตั้งความคาดหวังต่อกอร์ดอนตั้งแต่กอร์ดอนยังเด็กๆ ว่าเขาอยากจะปั้นให้ลูกชายคนนี้เป็นนักฟุตบอลมืออาชีพให้ได้ และทีมที่เขามาดหมายให้ลูกชายได้เข้าเล่นคือ กลาสโกลว เรนเจอร์ส

และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมครอบครัวของกอร์ดอนจึงย้ายจากอังกฤษกลับมาอยู่ที่สก็อตแลนด์เมื่อกอร์ดอนอายุได้ 16 ปี

ก็เพื่อที่จะให้กอร์ดอนได้มีโอกาสคัดตัวและได้เข้าร่วมเล่นกับทีมนั่นเอง!

และความฝันของคุณพ่อของกอร์ดอนก็สำเร็จ กอณืดอนได้เซ็นสัญญากับทีมกลาสโกลว เรนเจอร์ส แต่ปรากฏว่าเล่นได้แค่ไม่เท่าไหร่ กอร์ดอนก็เจ็บเข่า และเพระาอาการเจ็บเข่านี้เองที่เป็นปัญหากับกอร์ดอนทำให้เขาไม่สามารถลงเล่นได้แบบเต็มฟอร์มอีก

 18 เดือนให้หลังจากเซ็นสัญญากับทีม กอร์ดอนได้รับโทรศัพท์จากทีมเพื่อแจ้งว่า เขาถูกยกเลิกสัญญา กอร์ดอนในวัย 19 ปีตอนนั้นคงทั้งเคว้ง ทั้งผิดหวัง เพราะความฝันอันยิ่งใหญ่ของตัวเขาและของคุณพ่อเขาต้องพังทลายลงหลังวางหูโทรศัพท์สายนั้น

และอาจจะเพราะความผิดหวังครั้งนั้นในวัย 19 ที่โดนปฏิเสธว่า เขาไม่ได้ไปต่ออีกต่อไป ในสนามอาชีพฟุตบอล จึงเป็นแรงผลักให้กอร์ดอนต้องทำอะไรสักอย่างที่คราวนี้เขาจะพลาดไม่ได้อีกแล้ว และเขาจะดีไม่พอไม่ได้อีกต่อไป

และเส้นทางสายใหม่ที่กอร์ดอนเลือกเดิน คือ เส้นทางสายอาหาร

กอร์ดอนไปสมัครเรียนด้านการโรงแรมและการบริการที่ North Oxfordshire Technical College และต่อมาได้เลือกเรียนสายอาหารแบบจริงจัง ซึ่งถ้าถามว่าทำไมถึงเลือกเรียนสายอาหารแบบจริงจัง กอร์ดอนเคยกล่าวไว้ในหนังสือชีวประวัติของตัวเองว่า ตอนนั้นที่เลือกไปเพราะไม่ตั้งใจ เป็นอุบัติเหตุล้วนๆ

ถ้ามันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ นี่คงเป็นอุบัติเหตุทางการครัวที่น่าดีใจที่สุด เพราะอุบัติเหตุครั้งนั้นเองจึงทำให้โลกได้รู้จักกับอัจฉริยะเชฟคนใหม่

ช่วงประมาณปี 1980 กอร์ดอนได้เข้าทำงานเป็นผู้ช่วยเชฟที่ Wroxton House Hotel โดยในร้านอาหารของโรงแรมนี้มีห้องอาหารที่มีที่นั่งกว่า 60 ที่ ถือเป็นร้านอาหารไซส์ปานกลางที่ท้าทายความสามารถเด็กจบใหม่ทีเดียว ต่อมากอร์ดอนลาออกแล้วย้ายตัวเองไปอยู่ที่ลอนดอนและหางานในครัวทำไปเรื่อยๆ ตามร้านอาหารต่างๆ ในลอนดอน จากนั้นไปจบลงที่ร้านอาหารที่ชื่อว่า Harvey’s ซึ่งร้านอาหารร้านนี้เองกอร์ดอนได้พบกับ มาร์โค ปิแอร์ ไวท์ เชฟดังของอังกฤษที่ได้รับสมญานามว่าเป็นเซเลบริตี้เชฟคนแรกจากอังกฤษ ซึ่งมาร์โคนี่เองที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตการทำอาหารของกอร์ดอนตลอดไป

ถ้าเจไดทั้งหลายต้องมีมาสเตอร์เป็นผู้นำทางเพื่อที่จะสามารถระเบิดความสามารถของตัวเองออกมาได้ฉันใด มาร์โคก็คือมาสเตอร์ของเจไดกอร์ดอนฉันนั้น มาร์โคเป็นเชฟที่ทั้งสอนวิชาครัว สอนวิธีคิดทำธุรกิจ ชี้ทางให้กับกอร์ดอนว่าสเตปต่อไปในชีวิตหากกอร์ดอนต้องการที่จะเป็นเจ้าของร้านอาหารของตัวเองให้เก็บประสการณ์โดยการไปทำงานที่ร้านอาหารฝรั่งเศสในอังกฤษ มาร์โคแนะนำให้กอร์ดอนไปสมัครงานที่ร้าน Le Gavrocheของ อัลเบิร์ต รู (Albert Roux – เซเลบริตี้เชฟลูกครึ่งอังกฤษ-ฝรั่งเศส ที่ถือเป็นมาสเตอร์เจไดของกอร์ดอนเช่นกัน) อย่าเพิ่งโดดไปหางานในร้านอาหารในปารีส

กอร์ดอนเชื่อคำแนะนำของมาร์โค เขาจึงไปทำงานให้กับอัลเบิร์ตและต่อมาอัลเบิร์ตชวนให้กอร์ดอนย้ายไปทำงานกับเขาที่ร้านอาหารอีกแห่งใน Hotel Diva ที่ตั้งอยู่บริเวณแถบเทือกเขาแอลป์ที่ฝรั่งเศส กอร์ดอนก็ย้ายไปตามคำชวนของอัลเบิร์ต กอร์ดอนในวัย 23 ได้ทำงานที่ฝรั่งเศสในที่สุดและได้รู้จักกับอีกสองมาสเตอร์เจไดที่นี่ นั่นคือ กาย ซาวอย (Guy Savoy) และ โจแอล รูบูฌอง (Joël Robuchon)

ทั้งกายและโจแอลคือเชฟฝรั่งเศสที่ได้ดาวมิชลินมาแล้วทั้งคู่ และถือเป็นเชฟที่ยิ่งใหญ่แห่งยุคเลยก็ว่าได้ 

จากการสั่งสมประสบการณ์ทั้งหมดสุดท้ายกอร์ดอนย้ายกลับมาอยู่ที่ลอนดอนไปรับงานตำแหน่งหัวหน้าเชฟในครัวให้กับร้านอาหารต่างๆอยู่พักหนึ่งในช่วงปี 1990 จนกระทั่งปี 1998 เปิดร้านอาหารของตัวเองที่ชื่อ Restaurant Gordon Ramsay ในย่านเชลซี

ปี 2001 ร้าน Restaurant Gordon Ramsay ของกอร์ดอนก้ได้รับดาวดวงที่ 1 จากมิชลิน (ซึ่งต่อมาได้ 3 ดาวมิชลินและยังคงสถานะที่ 3 ดาวมิชลินจนถึงปัจจุบัน)

จากนั้นอาณาจักรร้านอาหารของกอร์ดอนก็ขยายและเติบโตอย่างรวดเร็ว กอร์ดอนเปิดร้าน Pétrus (ร้านอาหารฝรั่งเศสในลอนดอน), Verre (ร้านอาหารของกอร์ดอนในดูไบ), Gordon Ramsay และ Cerise ที่โตเกียว และ Gordon Ramsey ที่ นิวยอร์ก

กอรืดอนขยายอาณาจักรร้านอหารของเขาไปมากมายหลายสาขาทั่วโลกโดยแผนการเดิมของกอร์ดอน คือการขยายกิจการร้านอาหารออกไปให้ได้ 100 สาขาในสหรัฐอเมริกาภายในปี 2024 แต่ต้องมาเจอกับสถานการณ์ของโควิด-19 ทำให้แผนทุกอย่างต้องชะลอลง แผนการใหม่จึงเปลี่ยนเป็นการคาดการณ์ที่ว่ากอร์ดอนน่าจะเปิดร้านอาหารได้ประมาณ 75 สาขาในสหรัฐในช่วงปี 2022-2026

จริงๆแล้วนอกจากร้านอาหารแบบไฟน์ไดน์และร้านอาหารแบบฝรั่งเศสแล้ว กอณืดอนก็มีแบรนด์ร้านอาหารที่สบายๆ กินแบบง่ายในเครือเช่นกัน เช่น Gordon Ramsey Burger

จากวันที่ต้องนั่งเจ็บเข่าร้องไห้อยู่ในห้องน้ำนักกีฬาของทีมกาสโกลวเรนเจอร์มาจนถึงวันนี้ที่สามารถขยายสาขาร้านอาหารออกไปได้ทั่วโลก (รวมถึงกำลังจะมาเปิดร้านในไทยด้วย!) แถมร่างกายยังฟิตอยู่ดีสามารถวิ่งมาราธอนด้วยซับ 4 ได้ ทุกอย่างที่ผสมผสานกันมาบนเส้นทางอันไม่สวยหรูแต่ออกมางดงาม ถึงไม่นับจำนวนร้านอาหารที่เขาสามารถแผ่ขยายความคิดและความอร่อยของรสมือเขาออกไปได้ทั่วโลก 

หากนับที่ความนิยมในตัวตนของเขา ก็ยังคงต้องถือว่า กอร์ดอนเป็นเชฟที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งแห่งยุคอยู่ดีทั้งจำนวนดาวทุกร้านอาหารที่เขาบริหารอยู่มารวมกันได้จำนวนมากถึง 7 ดาวในปัจจุบัน ( ณ ปี 2023) และจำนวนผู้ติดตามเขาในโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น ใน TikTok มีคนติดตามอยู่ถึง 39.6 ล้านคน!

ใครจะไปรู้จากคนที่โดนปฏิเสธให้เข้าร่วมทีม กลับกลายเป็นคนสรา้งทีมของตนเองขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่งและมั่นคง ถึงครัวของเขาจะเป็นครัวที่ร้อนแรงด้วยคำหยาบคายเหมือนอยู่ในเพลิงไฟ แต่เปลวไฟนั่นเองมันคงเป็นพลังที่ผลักเขาและทุกคนในองค์กรให้วิ่งแรงวิ่งเร็วไปข้างหน้าได้อย่างไม่รู้เหนื่อย

อ้างอิงข้อมูล

คิง เพาเวอร์ คว้า 3 รางวัล รางวัลยอดเยี่ยมด้านการดำเนินงานเพื่อสังคมจาก  2 เวทีระดับโลก และระดับประเทศ

เมื่อพูดถึงชื่อองค์กรของคนไทยที่สนับสนุนคนไทยให้ก้าวไกลสู่เวทีโลก รวมถึงคำนึงถึงสังคมและความยั่งยืน หนึ่งในชื่อที่หลายคนนึกถึงน่าจะเป็นกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เจ้าของโครงการ ‘คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย’ ที่ส่งเสริมและสนับสนุนศักยภาพของคนไทย 3 ด้าน ได้แก่ ด้านกีฬา ด้านดนตรี และด้านชุมชน รวมถึงเชื่อมั่นในพลังของทุกความเป็นไปได้

ล่าสุด กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้รับ 3 รางวัลยอดเยี่ยมด้านการดำเนินงานเพื่อสังคมจากสองเวทีระดับโลก และระดับประเทศ ประกอบด้วย ‘รางวัล 3G Championship Award for Socially Responsible Business 2023’ หรือ ความเป็นเลิศด้านความรับผิดชอบต่อสังคม และ ‘รางวัล 3G Best Sustainability Performance Award 2023’ หรือ ความเป็นเลิศด้านการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน จากเวที Global Good Governance Awards ที่จัดขึ้นโดย Cambridge IFA International Financial Advisory ประเทศอังกฤษ รวมถึง ‘รางวัลค่าของแผ่นดิน’ จัดโดยสำนักนายกรัฐมนตรี โดยคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ

กว่า 5 ปีแล้ว ที่คิง เพาเวอร์ มุ่งมั่นเดินหน้าสร้างประโยชน์และสร้างความสุขให้ชุมชนทั่วประเทศผ่านกิจกรรมมากมายในโครงการ คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย ไม่ว่าจะเป็นการส่งมอบลูกฟุตบอลกว่า 800,000 ลูก ใน 77 จังหวัด จากโครงการล้านลูก ล้านพลัง สร้างฝันเด็กไทย, การสร้าง และส่งมอบสนามฟุตบอลหญ้าเทียมสีน้ำเงินขนาดมาตรฐานสากลกว่า 89 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาค จากโครงการ 100 สนามฟุตบอล สร้างพลังเยาวชนไทย, การจัดเวทีประกวดดนตรีคุณภาพระดับประเทศ THE POWER BAND ที่เปิดโอกาส และมอบพื้นที่ให้เยาวชน และผู้ที่รักในเสียงดนตรีได้มาแสดงความสามารถทางด้านดนตรีอย่างเต็มที่ พร้อมจัดคอร์สอบรมด้านดนตรีจากกูรูทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังวงการเพลงอย่างเข้มข้น

“รวมไปถึงการทำงานร่วมกับชุมชนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศเพื่อออกแบบ และผลิตสินค้าคอลเลกชันพิเศษให้กับสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ นำพาความงดงามของฝีมือคนไทย และภูมิปัญญาชาวบ้านที่สืบสานกันมาอย่างยาวนานให้เป็นที่รู้จักในเวทีโลก เป็นต้น” นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ กล่าวถึงสิ่งที่ คิง เพาเวอร์ ได้ทำ

“ซึ่งรางวัลต่างๆ ที่ได้รับ รวมถึงสามรางวัลนี้ เป็นสิ่งยืนยันถึงความมุ่งมั่นของพนักงานทุกคน และนโยบายส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสังคมของกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ในการสานพลังคนไทยให้เป็นไปได้ในทุกมิติ ก่อเกิดประโยชน์ที่เห็นเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง ในเชิงเศรษฐกิจหมุนเวียน สร้างรายได้ และความเข้มแข็งให้คนไทยได้อย่างยั่งยืน” อัยยวัฒน์ กล่าวสรุป

เกี่ยวกับ 3G Awards 2023 

รางวัล 3G Championship Award for Socially Responsible Business 2023 และ รางวัล 3G Best Sustainability Performance Award 2023 เป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่มอบให้องค์กรที่ดําเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสังคม และเป็นรางวัลที่เชิดชูเกียรติองค์กรที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมอย่างต่อเนื่อง บนพื้นฐานของการกำกับดูแลกิจการที่ดี จากเวที Global Good Governance (3G) Awards 2022 ที่จัดเป็นประจำทุกปีโดย Cambridge IFA International Financial Advisory บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินชั้นนำจากประเทศอังกฤษนั้น นับเป็นรางวัลเกียรติยศที่มอบให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน บริษัท หรือบุคคลในระดับนานาชาติ ที่ให้ความสําคัญด้านการกํากับดูแลกิจการที่ดี มีความมุ่งมั่นรับผิดชอบต่อสังคม มีนโยบาย และเป้าหมายส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสังคม 

เกี่ยวกับรางวัลค่าของแผ่นดิน 

รางวัลประกาศเกียรติคุณ “ค่าของแผ่นดิน” ประจำปี 2565 (จัดพิธีมอบรางวัลในปี 2566) มอบให้กับบุคคล หน่วยงาน และโครงการ ที่มีผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ มีคุณค่าแก่การยกย่อง และชื่นชม เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติ และเป็นขวัญกำลังใจที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่ประชาชน สังคม และประเทศชาติ รวมทั้ง เป็นต้นแบบแห่งการสร้างสรรค์ความดี อันพึงเป็นคุณลักษณะที่ดีแก่สังคมไทย โดย กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้รับรางวัลในประเภทโล่เกียรติยศจากโครงการ คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย

ไขเทรนด์ที่อยู่อาศัยกับ ROMM CONVENT ‘LUXURY WELLNESS RESIDENCES’ แห่งเดียวในสีลม–สาทร

รู้ไหมว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 9 ของเอเชียแปซิฟิก และอันดับที่ 24 ของโลกด้านเศรษฐกิจสุขภาพหรือ Wellness Economy และภายในปี 2569 รัฐบาลไทยยังมีนโยบายผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพระดับสากล หรือ Medical Hub อีกด้วย 

ในปี 2566-2568 Global Wellness Institute คาดว่า Wellness Economy  ทั่วโลกจะเติบโตที่อัตราเฉลี่ย 7.5% ต่อปี ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากสังคมผู้สูงวัยที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น รวมถึงคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z ที่ให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพกับการป้องกัน มากกว่ารักษาในวันที่สาย 

หนึ่งในธุรกิจที่กำลังได้รับความสนใจคือ Wellness Real Estate อสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพอย่าง ROMM CONVENT คอนโดมิเนียมรูปแบบใหม่จาก PROUD REAL ESTATE ที่ไม่เพียงแต่เป็นโครงการที่อยู่อาศัยในทำเลทองอย่างสีลม-สาทร แต่ยังเป็น Wellness Real Estate ที่อยู่ใกล้โรงพยาบาล BNH แบบข้ามฝั่งถนน ทั้งยังร่วมมือกับโรงพยาบาลเพื่อออกแบบ Holistic Wellness Solutions อย่างครบวงจร ซึ่งทำให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถเข้ามาดูเเลสุขภาพของผู้อยู่อาศัยอย่างใกล้ชิดได้ถึงภายในโครงการ พร้อม Wellness Facilities ขั้นสูงอีกมากมาย

หลังเปิดตัวโครงการไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โครงการได้รับกระแสตอบรับจากลูกค้าอย่างล้นหลาม วันนี้ Capital จึงอยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับ ‘คุณพราวพุธ ลิปตพัลลภ’ กรรมการบริหาร บมจ.พราว เรียล เอสเตท ผู้ซึ่งมีบทบาทที่สุดในการพัฒนาโครงการ ROMM CONVENT ให้เป็น One & Only Luxury Wellness Residences หนึ่งเดียวบนถนนคอนแวนต์ ซึ่งเป็นพื้นที่ CBD ที่สำคัญ

Wellness Real Estate
เทรนด์ที่อยู่อาศัยที่จะกลายเป็นบรรทัดฐานหลักของอสังหาฯ ไทย  

ว่ากันง่ายๆ Wellness Real Estate คือที่อยู่อาศัยที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยในบ้านทุกคนมีสุขภาพที่ดี ผ่านทั้งเชิงกายภาพและจิตใจ ตั้งแต่การออกแบบโครงสร้าง ฟังก์ชั่น สเปซ ไปจนถึงวัสดุต่างๆ ภายในห้องที่ส่งเสริมให้คนในบ้านมีสุขภาพอนามัยที่ดีทั้งกายและใจ

ในช่วง Covid-19 ระบาด Wellness Real Estate หรืออสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพของไทยเติบโตถึง 9.9% เมื่อเทียบกับภาคส่วนอื่นๆ ของ Wellness Economy ถือได้ว่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพ เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าสนใจ เพราะความต้องการของประชากรทั่วโลกและในไทยกำลังสูงขึ้น แต่อุปทานหรือผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในไทยที่จริงจังกับการสร้าง Wellness Real Estate นั้นยังมีไม่มากนัก

“การดูแลสุขภาพ ไม่ใช่ดูแลเฉพาะช่วงหนึ่งของชีวิตเท่านั้น แต่ต้องดูแลสุขภาพสม่ำเสมอ เป็นกิจวัตรประจำวัน ไม่ใช่ว่าใน 1 ปี เราจะไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพครั้งเดียวจบ แต่ต้องทำอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้ป่วย ทำยังไงให้มีสุขภาพดีขึ้นไปเรื่อยๆ”

“ดังนั้นจึงเป็นที่มาว่าทำไม Wellness Real Estate หรือ Wellness Residences  ถึงกำลังเติบโต เพราะบ้านหรือที่อยู่อาศัยเป็นสถานที่ที่คุณใช้เวลาเยอะที่สุด การดูแลสุขภาพที่ดีจึงต้องเริ่มมาจากภายในบ้าน” คุณพราว อธิบาย

ที่อยู่อาศัยแห่งอนาคตที่น่าลงทุน
ทั้งเชิงสุขภาพและเศรษฐกิจ

แม้ว่า ROMM CONVENT ตั้งอยู่ใกล้กับถนนสีลมและสาทรซึ่งเป็นแหล่งธุรกิจที่เต็มไปด้วยความรวดเร็วก็จริง แต่เมื่อก้าวเท้าเข้ามายังซอยคอนแวนต์อันเป็นที่ตั้งของโครงการ เรากลับรู้สึกถึงความมีชีวิตชีวาและความหลากหลายของสังคม และยังสัมผัสได้ถึงความสงบและความเป็นส่วนตัวของชุมชนแห่งนี้ด้วย ความรู้สึกเดียวกันนี้เองที่ทำให้คุณพราวเกิดไอเดียการสร้าง ROMM CONVENT บนที่ดินแห่งนี้

“สำหรับที่ ROMM CONVENT สภาพแวดล้อมของที่นี่ ตอบโจทย์ในเรื่องความสงบ และความสะดวกสบาย ทำให้ชีวิตลูกบ้านที่อยู่อาศัยที่นี่มีความรื่นรมย์ ผ่านการออกแบบที่อยู่อาศัยที่เน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม การพัฒนาโครงการมาจากแนวคิดการคำนึงเรื่องสุขภาพ 3 อย่าง คือ Live, Well และ Life”

ROMM CONVENT จึงไม่ได้เป็นแค่โครงการที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว แต่เป็น Wellness Residences ทำให้มี Value มากกว่าโครงการที่อยู่อาศัยทั่วไป และคุณค่านี้เองที่ทำให้โครงการนี้มีความเป็น Unique น่าลงทุนทั้งในเชิงสุขภาพและเชิงเศรษฐกิจแก่ลูกบ้านที่อยู่อาศัยในโครงการ 

“อย่างแรกเลย เราอยู่ในทำเลที่ Rare มากๆ ได้ทั้งความสงบและความสะดวกสบาย เราอยู่ใจกลาง CBD พื้นที่เศรษฐกิจของประเทศซึ่งในซอยคอนแวนต์นี้เอง เชื่อมต่อถนนหลัก คือ สีลมและสาทร ตั้งอยู่ใกล้ Mega Projects อย่าง One Bangkok ในซอยคอนแวนต์เมื่อเข้าไปจะสัมผัสได้ถึงความสงบ ร่มรื่น เหมาะกับการอยู่อาศัย การได้ที่ดินนี้มาค่อนข้างยาก เพราะพื้นที่มีจำกัด และมองว่าคงไม่มีโครงการที่อยู่อาศัยเกิดขึ้นบริเวณนี้ภายใน 10-20 ปีแน่นอน” 

“อย่างที่สอง เราอยู่ตรงข้ามกับโรงพยาบาล BNH ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ที่ดูแลสุขภาพให้แก่ลูกบ้านของเรา และอย่างสุดท้ายส่วนกลางออกแบบเพื่อคำนึงถึงสุขภาพ และฟังก์ชั่นตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยทุกเจนเนอเรชั่น ซึ่งการพัฒนาโครงการที่เป็น Wellness Residences ไม่ใช่เป็นเพียงการ Add-on Services เข้าไปอย่างเดียว แต่ต้องเริ่มมาจากแนวคิดส่งผ่านการออกแบบและบริการด้านสุขภาพ ตลอดจนเชื่อมโยงกับสภาพแวดล้อมชุมชนโดยรอบ” 

Live การออกแบบพื้นที่ให้คุณได้รู้สึกเหมือนอยู่บ้านใกล้ชิดกับธรรมชาติ
แบบ Feel Like Home ใจกลางสีลม -สาทร

ในคอนเซปต์ LIVE, WELL, LIFE เริ่มต้นที่คำแรกว่า Live สถาปนิกสร้าง Alive Architecture คอนโดที่หายใจได้ผ่านองค์ประกอบหลากหลายแบบ 

อย่างแรกคือห้องจะต้องใหญ่พอที่ลูกบ้านจะได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ทุกๆ Room Type ของโครงการต้องมีห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ที่ปรับใช้ได้ตามสะดวก เพื่อตอบโจทย์ชีวิตหลัง Covid-19 ที่บ้านไม่ใช่แค่บ้าน แต่เป็นทั้งออฟฟิศ เป็นทั้งโรงเรียน และฟิตเนสส่วนตัว 

อย่างที่สอง ทีมสถาปนิกออกแบบ ROMM CONVENT ภายใต้คอนเซปต์ Biological Design เชื่อมโยงผู้อยู่อาศัยเข้ากับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบโครงการ เช่น กระจกเป็นแบบ Full-Height ที่แสงส่องถึง ทางเดินในห้องและส่วนของระเบียงที่เปิดรับลมได้ 

พื้นที่เหล่านี้จึงกลายเป็นพื้นที่ Semi-Outdoor หรือช่องลมที่เปิดให้ลมพัดผ่านอย่างอิสระ  ไม่เพียงแค่รู้สึก feel like home แต่ยังรู้สึกปลอดภัย และมีสุขภาพกายใจที่ดี

สิ่งสำคัญอีกเรื่องคือ ROMM CONVENT จะมีพื้นที่สีเขียวที่ทำให้ลูกบ้านได้ใกล้ชิดธรรมชาติที่สุด ทั้งด้านบนสุดของอาคารที่มองเห็นสวนลุมพินี ซึ่งเป็นอีกปอดใหญ่สำคัญของกรุงเทพฯ​ อีกทั้งการสอดแทรกพื้นที่สีเขียวในทุกส่วนกลาง และห้องพักอาศัย

นอกจากนี้ ที่นี่ยังเลือกใช้วัสดุธรรมชาติและวัสดุที่ปลอดภัยกับลูกบ้านไม่ว่าจะเป็นสีที่มีค่า VOCs ต่ำ ซึ่งปลอดภัยต่อระบบทางเดินหายใจของเด็กและผู้ใหญ่ หรือพื้นห้องที่ใช้วัสดุที่ลดแรงกระแทกได้ดีหากเกิดการหกล้ม ประตูห้องขนาดใหญ่พิเศษที่รองรับการเคลื่อนย้ายเตียงหรือรถเข็น

การออกแบบโดยคำนึงถึงสุขภาพและชีวิตของผู้อยู่อาศัยตั้งแต่ภายนอกอาคาร สู่ภายในห้องต่างๆ เหล่านี้เองคือองค์ประกอบสำคัญอย่างแรกๆ ของเทรนด์การอยู่อาศัยแบบ Wellness Residences ที่ไม่เพียงทำให้ชีวิตของลูกบ้านสมบูรณ์ขึ้นทั้งทางกายและจิตใจ พร้อมออกไปใช้ชีวิตในทุกรูปแบบ ทุกที่ และทุกเวลา แต่ยังเป็นการสร้างพื้นฐานการอยู่อาศัยที่ดีในวันนี้จนถึงวันข้างหน้า สอดรับกับ Future Living Trend 

WELL สุขภาพดีด้วยบริการดูแลสุขภาพทุกคนในครอบครัวตลอด 24 ชม.
จากโรงพยาบาล BNH และ Proud Health Butler

หัวใจของ ROMM CONVENT ที่ไม่เหมือนใคร และเรียกได้ว่าเป็นที่แรก คือการสร้าง Holistic Wellness Solution แบบ 24 ชั่วโมง ที่ร่วมมือกับโรงพยาบาล BNH อย่างจริงจัง

ด้วยโรงพยาบาล BNH อยู่ในเครือ BDMS ลูกบ้านจะได้รับเชิญให้เป็นสมาชิก Loyal Heritage Privileges  ของ BNH โดยได้รับสิทธิพิเศษทันทีหลังเซ็นสัญญา และเมื่อย้ายเข้ามา ลูกบ้านจะได้พบคุณหมอเพื่อตรวจเลือดและซักประวัติทางการแพทย์ การดูแลสุขภาพทั้งครอบครัวตามแผน Family Doctor ของ BNH นอกจากนี้ยังมี BeDee Application ที่จัดการเรื่องสุขภาพได้ครบจบในแอพฯ

ตัวอย่างเช่น หากต้องการปรับอาหาร ทาง BNH จะออกแบบอาหารตามหลักโภชนาการและส่งตรงอาหารมาไว้ที่ Fit Lab Cafe หรือหากต้องการรับยาที่ทานเป็นประจำ จะมีบริการส่งยา และที่สำคัญ ROMM CONVENT ยังมี Proud Health Butler ที่ได้รับการอบรมจากโรงพยาบาล BNH ทั้งเรื่องการประสานกับโรงพยาบาล และการปฐมพยาบาลเบื้องต้น รวมไปการช่วยเหลือยามฉุกเฉิน อย่างการปั๊มหัวใจ

“เราไม่ได้เอาเซอร์วิสมาแล้วจบ แต่เป็นการ Tie-in เซอร์วิสเข้าไปกับส่วนกลางที่เรามี จึงถือเป็น The Next Level ด้าน Wellness Residences มันถือเป็นเซอร์วิสที่เราอาจจะไม่ได้ Need ในวันนี้ แต่มันจะ Need ในอนาคต” คุณพราวอธิบาย

LIFE ชีวิตที่ออกแบบได้ ผ่านส่วนกลางที่คิดเพื่อคนทุกไลฟ์สไตล์

ROMM CONVENT ยังตอบโจทย์ Life หรือชีวิตของลูกบ้านได้ทุกเจเนอเรชั่น เรียกได้ว่าไม่ว่าจะวัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน หรือวัยเกษียณก็ใช้ชีวิตได้ครบจบที่ ROMM CONVENT 

“ไม่ว่าจังหวะนั้นจะต้องการความสงบ หรือต้องการแสงสี หรือต้องการดูแลสุขภาพก็ตาม ROMM CONVENT ก็ตอบโจทย์ได้ เพราะว่าชีวิตที่ดี เป็นพื้นฐานที่จะทำให้ทุกคนออกไปใช้ชีวิตนอกโครงการได้อย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น”

เริ่มตั้งแต่ Sensory Garden ที่ประกอบด้วยพืชไม้นานาพรรณที่กระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ รูปที่สื่อสารผ่านดอกไม้หลากสี รสคือพืชสมุนไพรที่ทานได้ กลิ่นคือกลิ่นของดอกไม้ใบไม้ เสียงคือเสียงของน้ำไหลและลม ที่ออกแบบมาให้รู้สึกผ่อนคลาย และสัมผัสที่ได้รับจากใบไม้ กรวด หิน ดิน และทราย 

ถัดมาเป็นส่วนกลางที่ส่งเสริมด้านโภชนาอย่าง Fit Lab Café ที่ลูกบ้านสามารถดูแลเรื่องโภชนาการร่วมกับโรงพยาบาล BNH ทางโรงพยาบาลจะออกแบบอาหารให้เหมาะกับความต้องการและสุขภาพของแต่ละคน พร้อมประสานความร่วมมือกับทางร้านอาหารสตาร์ทอัพที่อยู่ในโรงพยาบาลกรุงเทพให้ปรุงอาหารสดใหม่ พร้อมรับประทานให้กับลูกบ้านตามคำแนะนำของแพทย์และนักโภชนาการ

ส่วนโซนที่ส่งเสริมด้านพัฒนาการของเด็กๆ คือ Sensory Playground สนามเด็กเล่นที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้สำหรับเด็กเล็ก, Teen Club พื้นที่สำหรับวัยเรียนที่ใช้เรียนพิเศษ ทำการบ้าน หรือเรียนดนตรีก็ได้

ส่วนคนวัยทำงานหรือหนุ่มสาวออฟฟิศที่ทำงานมาอย่างหนักหน่วง ROMM CONVENT ยังมี Sky Retreat พื้นที่กว่า 1,200 ตารางเมตร บนชั้น 30-32 ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนกลางสไตล์รีสอร์ทที่รวม Wellness Space and Facilities ไว้อย่างหลากหลาย และชั้น Rooftop ก็ออกแบบอย่างเป็นสัดส่วน เพื่อตอบโจทย์กิจกรรมและการพักผ่อนของคนทุกเจนเนอเรชั่น  

ไม่ว่าจะเป็น ห้อง Meditation Pod ที่เปิดให้คนที่อยากพักใจได้เข้าไปทำสมาธิ สระว่ายน้ำพร้อมระบบ Hydrotherapy ช่วยนวดผ่อนคลายความเมื่อยล้าได้ด้วยธรรมชาติ หรือจะเป็น Family Onsen & Treatment Room ที่ใช้ระบบ Aquasymphony จากแบรนด์สุขภัณฑ์ระดับโลกอย่าง GROHE ซึ่งเป็น Rain Shower ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบน้ำได้มากถึง 6 ฟังก์ชั่น และ ROMM CONVENT ถือเป็นคอนโดแห่งแรกของไทยที่มีสุขภัณฑ์ชิ้นนี้  

อีกหนึ่งไฮไลต์คือ Wellness Lounge ห้องอเนกประสงค์สำหรับปรึกษาปัญหาสุขภาพหรือให้บริการทางสุขภาพกับโรงพยาบาล BNH ลูกบ้านสามารถเจาะเลือด ฟังผลตรวจสุขภาพ หรือพูดคุยเรื่องการปรับสมดุลร่างกายกับบุคลากรทางการแพทย์ได้ที่นี่ โดยที่ไม่ต้องข้ามไปโรงพยาบาลเลย ถือเป็นอีกหนึ่งรายละเอียดที่สะท้อนให้เห็นว่า ROMM CONVENT เข้าใจความต้องการของลูกบ้านได้เป็นอย่างดี และออกแบบ Wellness Residences ได้ครบครันจริงๆ

ท้ังหมดนี้เป็น Facilities ที่คิดค้นเพื่อตอบโจทย์เรื่องสุขภาพกายและใจของผู้พักอาศัยได้อย่างแท้จริง ในเชิงเศรษฐกิจ รายละเอียดเหล่านี้ยังตอบโจทย์เทรนด์ Wellness Destination ที่นักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านและจากทุกมุมโลกกำลังมองหาอีกด้วย 

มากกว่าที่อยู่อาศัย คือการพัฒนาอสังหาฯ ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต

คุณพราวบอกว่าหัวใจสำคัญของ PROUD REAL ESTATE นั้นเรียบง่าย นั่นคือการสร้างอสังหาริมทรัพย์บนพื้นฐานของคำว่า ‘MORE THAN JUST LIVING’

“บ้านคือสิ่งแรกสุดที่จะช่วยให้เราได้ทำอะไรตามที่ต้องการ เพราะบ้านคือพาร์ตใหญ่ของชีวิต บ้านคือสถานที่ที่จะทำให้เราพร้อมออกไปไขว่คว้าสิ่งที่เราอยากได้ในทุกๆ วัน พราวจึงอยากให้ ROMM CONVENT ทำให้ลูกบ้านตื่นมาแล้วรู้สึกพร้อมที่จะไปทำอะไรก็ได้ ที่เขาต้องการ อยากให้บ้านทำให้เขาได้ Well-balanced ทำให้เขามีชีวิตที่มากกว่าแค่หายใจไปวันๆ แต่เป็นชีวิตที่มัน Full Feeling” 

“ในอีกแง่หนึ่ง คำว่าชีวิตที่มากกว่าหรือ ‘MORE THAN JUST LIVING’ มันสื่อถึงว่าเราพยายามจะพัฒนาโครงการต่างๆ ให้มากกว่าค่ามาตรฐานที่มีอยู่ในปัจจุบัน การทำอสังหาฯ สำหรับพราว มันจึงเป็นการพัฒนาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด” 

“อย่าง ROMM CONVENT เองก็เป็นมาตรฐานบริษัทเรื่อง Wellness Residences ดังนั้นโครงการต่อไปในอนาคต เราก็ต้องหาอะไรที่มันแตกต่างไปเรื่อยๆ เพื่อให้ชีวิตของลูกบ้านดีขึ้นไปเรื่อยๆ ในแต่ละวัน” 

ROMM CONVENT จึงไม่ได้ตอบโจทย์แค่คนสูงวัย หรือแค่คนรักสุขภาพเท่านั้น แต่ยังตอบโจทย์ ‘การใช้ชีวิต’ ของคนทุกเจเนอเรชั่นในครอบครัว ที่สำคัญจุดแข็งเรื่อง Wellness Residences ของ ROMM CONVENT ยังเป็น Added Bonus ที่น่าลงทุนทั้งในปัจจุบันและอนาคตที่กำลังจะถึง

สำหรับใครที่สนใจโครงการรมย์ คอนแวนต์ สามารถมาเยี่ยมชมโครงการ ที่ Romm Convent Sales Gallery สาทร ซอย 6 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/47tyaCU หรือ 02 026 8999.

อ้างอิง

  • bangkokpost.com/business/general/2564496/thailand-urged-to-focus-on-wellness
  • scb.co.th/en/personal-banking/stories/business-maker/6-reasons-thailand-the-best-in-medical-tourism.html?payroll-solutions?eid=THStoriesTMAFB06

3C และ 5 สิ่งสำคัญ ที่เป็นกุญแจความสำเร็จขององค์กรในการบริหารคน โดย คินเซนทริค

ในโลกแห่งการทำงานที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เข้างาน 9 โมงเลิก 6 โมง หรืองานที่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน ค่อยๆ ถูกลดบทบาทไป โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่เจนฯ Y และเจนฯ Z ที่ตั้งปณิธานการทำงานกับตัวเองว่าต้องการทำงานที่มีความยืดหยุ่น มี work-life balance มีเวลาให้ตัวเองได้ทำในสิ่งที่อยากทำและมีความหมายกับชีวิต

คินเซนทริค บริษัทให้คำปรึกษาด้านบุคลากรและการพัฒนาองค์กร ได้เผยผลวิจัยการบริหารจัดการบุคลากรขององค์กรชั้นนำทั่วโลกประจำปี 2566 พบว่า ปัจจุบันคนรุ่นใหม่จะทำงานมากกว่า 1 อย่าง และมองหางานที่ 2 และ 3 อยู่เสมอ การที่คนรุ่นใหม่ต้องการ work-life balance อาจไม่ได้หมายถึงการต้องการเวลาเพื่อพักผ่อน แต่เป็นการต้องการเวลาเพื่อทำงานอื่น และหากองค์กรไหนมีนโยบาย work from home ก็จะดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาทำงานได้มากขึ้น

“มีพนักงานเพียง 51% เท่านั้นที่เชื่อว่าบริษัทจะปฏิบัติตามคำสัญญา”

ดร. อดิศักดิ์ จันทรประภาเลิศ กรรมการผู้จัดการและพาร์ตเนอร์ คินเซนทริค (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปัจจุบันรูปแบบการทำงานของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไป คนส่วนใหญ่มองหาองค์กรที่มีลักษณะการทำงานเป็นไฮบริด  สามารถทำงานที่ไหนก็ได้เป็นเทรนด์ของ work from anywhere และในหนึ่งองค์กรอาจมีทั้งพนักงานประจำและกลุ่มฟรีแลนซ์ จึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับผู้นำองค์กรที่จะต้องหาวิธีใหม่ๆ เพื่อรักษาพนักงานที่มีคุณภาพไว้ เนื่องจากมีพนักงานเพียง 51% เท่านั้นที่เชื่อว่าบริษัทจะปฏิบัติตามคำสัญญาที่ให้ไว้ก่อนเริ่มงานจริง ตัวอย่างเช่น ก่อนเริ่มงานระบุว่าจะไม่มีการทำงานล่วงเวลา แต่เมื่อทำงานแล้วกลับต้องทำล่วงเวลาทุกวัน หากคนรุ่นใหม่อยู่ในสถานการณ์นี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะตัดสินใจเปลี่ยนงาน

นี่จึงทำให้พนักงานกลุ่มเจนฯ Z และเจนฯ Y ในไทยมีส่วนร่วมในองค์กร (employee engagement) น้อยที่สุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความคิดของพนักงานที่มีให้กับองค์กรนั้นๆ ว่ายิ่งองค์กรสร้างความผูกพันได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งส่งผลดีเท่านั้น โดยการมีส่วนร่วมในที่นี้หมายถึง การสนับสนุนเป้าหมายองค์กร วัฒนธรรม ความเชื่อ ค่านิยม ความผูกพัน รวมถึงความจงรักภักดี 

คินเซนทริคได้ทำการเก็บข้อมูลจากองค์กรทั่วโลกพบว่า ค่าเฉลี่ยของการมีส่วนร่วมในองค์กรของพนักงานทั่วโลกอยู่ที่ 67% และหากเจาะลึกลงมายังประเทศไทยจะพบว่าค่าเฉลี่ยการมีส่วนร่วมในองค์กรลดลงเรื่อยๆ โดยในปี 2021 ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 71%, ปี 2022 อยู่ที่ 69% และปี 2023 อยู่ที่ 65% ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของระดับโลกถือว่าของไทยยังต่ำกว่านิดหน่อย

จากการเก็บข้อมูลตลอดปี คินเซนทริคได้จำแนกปัจจัยหลัก 3C ที่ช่วยให้องค์กรสื่อสารกับพนักงานได้ดีขึ้น และเพิ่มการมีส่วนร่วมได้ในระยะยาว

Consistency ความสม่ำเสมอ 

ความสม่ำเสมอคือหัวใจสำคัญที่ทุกองค์กรควรมี โดยเฉพาะในเรื่องการดูแลพนักงานให้ดีอย่างสม่ำเสมอ มอบประสบการณ์ที่ดี และสร้างแรงจูงใจให้พนักงาน เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดี ซึ่งรวมถึงการมีนโยบายสนับสนุนความสามารถ กระตุ้นด้วยคำชม หรือส่งเสริมให้พนักงานมี work-life balance

Connectivity ความเชื่อมโยงของการสื่อสาร

ในข้อนี้ 2 คีย์หลักสำคัญคือ ผู้บริหารและฝ่ายทรัพยากรบุคคล ที่ต้องใช้กลยุทธ์การสื่อสารแบบองค์รวม ที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กร โดยเฉพาะในโลกหลังโควิดที่คนรุ่นใหม่เป็นผู้เลือกว่าอยากทำงานใคร แน่นอนว่าองค์กรต้องตอบโจทย์ความคาดหวังของพวกเขาด้วย เช่น การสื่อสาร พูดคุยเพื่อถามความต้องการ ประเมินสภาพจิตใจ หรือความคาดหวังของพนักงานเมื่อเข้ามาทำงานที่นี่ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะนำไปสู่การกำหนดนโยบายในอนาคต 

หนึ่งในความผิดพลาดที่มักพบในองค์กรคือ ผู้นำไม่สื่อสารกับพนักงาน ในมุมของคินเซนทริคมองว่า ผู้นำที่ดีต้องรู้จักชื่นชม มีฟีดแบ็กกับพนักงาน และพร้อมผลักดันให้พวกเขาเติบโตในสายงานตนเอง เนื่องจากปัจจุบันพนักงานไม่ได้ต้องการแค่ปรับเงินเดือนหรือโบนัสก้อนโต แต่ต้องการเติบโตในหน้าที่การงาน โดยมีผู้นำที่ใส่ใจพวกเขาเช่นกัน

Courage ความกล้า

ความกล้าในที่นี้หมายถึง ความกล้าและความทุ่มเทของผู้บริหารระดับสูง ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลง และสร้างประสบการณ์ที่พนักงานควรได้รับ

สำหรับข้อนี้บทบาทของผู้บริหารมีส่วนสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องการตั้งเป้าหมาย กำหนดทิศทางองค์กรที่ชัดเจน รวมถึงการมอบอำนาจให้พนักงานในระดับผู้จัดการกำหนดหรือผลักดันนโยบายต่างๆ เพื่อสร้างความผูกพันระหว่างพนักงานและองค์กร 

5 สิ่งที่ HR จากบริษัทชั้นนำทำแล้วประสบความสำเร็จในการบริหารคน

ในขณะเดียวกัน ฝ่ายทรัพยากรบุคคลก็ควรมีหน้าที่มากกว่าเรื่องพื้นฐาน ต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานและทัศนคติที่เปิดกว้าง และเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าปัจจุบันคนรุ่นใหม่เป็นฝ่ายเลือกองค์กรที่อยากทำงานด้วย และต้องเป็นองค์กรที่ตอบโจทย์ชีวิตทั้งด้านกายภาพ สังคม และการค้นหาความหมายของชีวิต ดังนั้นนอกจากสวัสดิการพื้นฐานแล้วยังต้องมีแนวคิดยอมรับและเคารพในความต่าง 

จากการเก็บข้อมูลของคินเซนทริค ที่วิเคราะห์จากบริษัทชั้นนำในประเทศไทยกว่า 100 แห่ง พบว่า 5 สิ่งที่ HR ทำในองค์กรแล้วประสบความสำเร็จในการบริหารคน ประกอบด้วย

  1. Employee Expreience Strategy การวางแผนกลยุทธ์บริหารคนให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่ผู้บริหารกำหนด
  2. Health and Wellbing การดูแลพนักงาน ดูแลทั้งทางกายและใจ
  3. Talent Development สร้างความเสถียรในการดูแลพนักงาน ส่งเสริมพนักงานในวิธีที่เหมาะสม และตอบโจทย์ความคาดหวังของพนักงาน
  4. Organization Communication การสื่อสารที่ดี เข้าถึงพนักงานอย่างตรงจุด
  5. Diversity and Inclusion รับฟังความคิดเห็น เพื่อให้ทุกคนอยู่ในสังคมที่มีความหลากหลายร่วมกันได้

“เงินอาจไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับคนรุ่นใหม่”

นอกเหนือจากประเด็นที่กล่าวไปข้างต้น คนรุ่นใหม่ยังมองหางานที่มีความท้าทาย การเติบโตในหน้าที่งานการ เงินอาจไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะสิ่งที่คนรุ่นใหม่จะได้เรียนรู้จากการทำงานมีความสำคัญมากกว่า ดังนั้นผู้นำองค์กรหรือหัวหน้าจึงถือเป็นกุญแจในการสร้างความผูกพันให้พนักงานที่ต้องการเรียนรู้ หรือเติบโตไปพร้อมกับผู้นำที่เขายึดเป็นแบบอย่างในอนาคต

และการที่องค์กรจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ พนักงานต้องมีความผูกพันต่อองค์กร และองค์กรก็ต้องดูแลพนักงานให้ดีเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นสำหรับองค์กรที่อยากสร้างความผูกพันให้พนักงาน ดึงดูดคนเก่งให้มาร่วมงาน มี 4 ปัจจัยหลักคือ ความคล่องตัวและความยืดหยุ่น (agility), ความเป็นผู้นำ (engaging leadership) ที่ต้องปรับเปลี่ยนเร็ว, การให้ความสำคัญกับบุคลากร (talent focus) ในทุกมิติ ผ่านการสร้างบรรยากาศการทำงานที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ และการมีความผูกพันต่อองค์กร (engagement) ตามหลัก 3C เพื่อให้เกิดความรู้สึกเชิงบวกและความตั้งใจที่จะทำงานต่อไปในระยะยาว

ณ วันนี้องค์กรที่อยากเติบโตก็คงต้องปรับโครงสร้างองค์กรทุกปี จากเดิมที่เคยปรับ 3-5 ปีต่อครั้ง ตอนนี้อาจต้องปรับทุกปีเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงขอโลก และผู้นำที่ดีต้องเข้าถึง สื่อสารเป็น และอย่าลืมให้ขวัญกำลังใจต่อพนักงานที่เหนื่อยมาทั้งปีด้วย

คุยกับ วาตะโพ แบรนด์สมุนไพรที่เติบโตจากตำรับวัดโพธิ์ และทำให้สมุนไพรไทยอยู่ร่วมสมัยมากว่า 4 ทศวรรษ

‘น้ำมันนวดที่ดีต้องใช้แล้วไม่รู้สึกแสบร้อน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดมแล้วสดชื่น ไม่ฉุนจมูก บวกกับการนวดที่เน้นลงน้ำหนัก จะช่วยลดอาการปวด บวมช้ำ ลดการอักเสบตามจุดต่างๆ และไม่ทิ้งร่องรอยความเจ็บปวดไว้หลังการนวด’

ข้อความข้างต้นคือสรรพคุณของน้ำมันนวดที่ ริสา ตั้งตรงจิตร ทายาทแบรนด์ วาตะโพ (WATAPO) บอกกับเราอย่างอารมณ์ดีในวันที่เราไปเยือนป๊อปอัพสโตร์ ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์

วาตะโพคือแบรนด์ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยสำหรับการนวด สปา และนวดแผนไทย ที่ตั้งใจนำสมุนไพรไทยมาผสมผสานกับองค์ความรู้แบบดั้งเดิม เพื่อให้คนรุ่นใหม่เห็นคุณค่าและเข้าถึงได้ 

หลายคนอาจคุ้นกับชื่อวาตะโพ ถ้าลองอ่านเร็วๆ สัก 2-3 รอบคุณอาจร้องอ๋อทันที ใช่แล้ว วาตะโพมาจากคำว่า วัดโพธิ์ นั่นเอง 

ถ้าให้นึกถึงการนวดแผนไทย วัดโพธิ์อาจเป็นชื่ออันดับแรกๆ ที่ขึ้นมา ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปแค่ไหน การนวดตำรับวัดโพธิ์ก็ยังเป็นชื่อที่ไว้ใจได้มาจนถึงทุกวันนี้ และวัดโพธิ์นี่แหละที่เป็นจุดกำเนิดของน้ำมันนวด ยานวด และยาดมสมุนไพร ในชื่อวาตะโพ ที่มีมาแล้วกว่า 4 ทศวรรษ

ท่ามกลางแบรนด์เก่าแก่ที่ค่อยๆ วางมือไปเพราะไม่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ อะไรทำให้วาตะโพเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่อยู่มายาวนานกว่า 44 ปี ว่าแล้วก็มาอ่านเรื่องราวของวาตะโพไปพร้อมๆ กัน

เริ่มต้นจากเภสัชกร

ในวันที่เราเจอกัน ริสาบอกกับเราว่า “ปีนี้วาตะโพก้าวเข้าสู่ปีที่ 44 แล้ว”

ย้อนไปใน พ.ศ. 2522 ธุรกิจของวาตะโพก่อตั้งโดย ปรีดา ตั้งตรงจิตร ผู้เป็นปู่และเภสัชกรที่มีความรู้เรื่องสมุนไพรไทย ซึ่งในขณะนั้นปรีดาได้เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพน (วัดโพธิ์) หรือโรงเรียนสอนนวดวัดโพธิ์ที่ทุกคนรู้จัก โดยรวบรวมตำราการนวดทั่วประเทศ และจัดทำเป็นหลักสูตรที่ได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของการนวดแผนไทยในปัจจุบัน

เมื่อมีโรงเรียนสอนนวดแล้ว ก็ต้องมีอุปกรณ์การเรียนการสอน ในที่นี้คือน้ำมันนวดและยาหม่อง จึงเป็นที่มาของการคิดค้นแบรนด์วาตะโพ ที่เริ่มจากทำเพื่อใช้ในโรงเรียน และแก้ pain point ของสินค้าที่มีอยู่ในท้องตลาด ทั้งในเรื่องนวดแล้วแสบร้อน ระบม หรือนวดเสร็จแล้วมีอาการเจ็บต่อไปอีกหลายวัน 

“จากการคิดค้นและพัฒนาสูตรของเรา ทำให้วาตะโพแตกต่างจากสินค้าในท้องตลาด มีจุดเด่นคือใช้แล้วไม่รู้สึกแสบร้อน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดมแล้วสดชื่น กลิ่นไม่ฉุน นวดแล้วช่วยบรรเทาอาการปวด บวมช้ำ ลดการอักเสบตามจุดต่างๆ และไม่ทิ้งร่องรอยความเจ็บปวดไว้หลังการนวด”

ด้วยความที่โรงเรียนแห่งนี้รับสอนทั้งคนไทยและต่างชาติ เมื่อสินค้าใช้ดี ได้รับความนิยม จึงทำให้ชื่อของวาตะโพถูกกล่าวขานมาจนถึงปัจจุบัน

วาตะโพ = วัดโพธิ์

หลายคนอาจคิดว่าแบรนด์วาตะโพมีชื่อเดิมว่าวัดโพธิ์ แล้วค่อยเปลี่ยนชื่อเพื่อให้ทันสมัยและตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากขึ้น แต่จริงๆ แล้ว ตั้งแต่วันแรกที่ดำเนินกิจการ วาตะโพก็ใช้ชื่อนี้มาตลอดไม่เคยเปลี่ยน

“ชื่อของวาตะโพ ได้มาจากนักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติที่มาวัดโพธิ์ แต่จะมีประเทศหนึ่งที่ออกเสียงชื่อวัดโพธิ์ไม่ได้นั่นคือ ญี่ปุ่น ซึ่งมักออกเสียงว่า วาตะโพ ทีนี้เราจึงเห็นว่าเป็นชื่อที่ออกเสียงง่าย สะกดง่าย มีความเป็นสากล จึงเลือกใช้ชื่อวาตะโพมาตลอด” ริสาย้อนถึงที่มาของชื่อแบรนด์

การใช้ชื่อวาตะโพถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะหลังจากนั้นแบรนด์ก็กลายเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวทันที

เพชรที่ยังไม่ผ่านการเจียระไน

ภาพในวัยเด็กของริสาล้วนเต็มไปด้วยเรื่องราวของสมุนไพรไทยนานาพรรณและการนวดแบบต้นตำรับ ริสาเล่าว่า “เราคลุกคลีกับธุรกิจที่บ้านมาตั้งแต่เด็ก เติบโตมากับสมุนไพรไทย จึงรับรู้มาตลอดว่าผลิตภัณฑ์ของที่บ้านมีศักยภาพ แต่ยังไม่ถูกมองเห็นมากนัก เหมือนเพชรที่ยังไม่ผ่านการเจียระไน เราจึงต้องการกลับมาสานต่อธุรกิจที่บ้านในฐานะของคนรุ่น 3 ที่รับไม้ต่อมาจากปู่และพ่อ เราตั้งใจว่าจะพาแบรนด์ไปสู่ระดับโลก”

ในยุคแรกที่เข้ามาทำ วาตะโพมีแค่ยาหม่องและน้ำมันนวด ที่ผลิตไว้เพื่อขายและใช้สำหรับการเรียนการสอน ต่อมาเราจึงได้พัฒนายาดมสมุนไพรที่มีสมุนไพรมากกว่า 10 ชนิด ซึ่งเป็นการพัฒนาจากสูตรดั้งเดิมจากวัดโพธิ์เพื่อตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ และเป็นจุดเริ่มต้นของวาตะโพยุคใหม่ด้วย

เจาะกลุ่มพรีเมียมแมส

ริสา ทายาทรุ่นที่ 3 ที่รับหน้าที่บริหารงานวาตะโพในขณะนี้บอกว่า “ภาพรวมการแข่งขันของตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรในบ้านเราแข่งกันดุเดือดกว่าแต่ก่อน เป็น red ocean ที่ไม่ว่าใครก็เข้ามาแข่งขันได้ แต่สิ่งที่ยากคือการยืนระยะ”

แม้วาตะโพจะเป็นเจ้าตลาดมานาน ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคู่แข่งเข้ามาสร้างความท้าทาย วาตะโพก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ยังคงเดินหน้าสร้างเอกลักษณ์และจุดเด่นให้ตัวเองต่อไปเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้มากขึ้น และการที่มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามา นั่นหมายความว่าตลาดเริ่มใหญ่ขึ้น จึงมองว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจมากกว่าเป็นวิกฤต

“ถึงเราจะอยู่มานาน เราก็ไม่ได้ยึดมั่นที่จะแข่งขันในตลาดเดิม กลุ่มเป้าหมายเดิม แต่เราเลือกที่จะอัพเลเวลเจาะกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมแมส เนื่องจากเป็นเซกเมนต์ที่ยังมีคู่แข่งไม่มาก และมองว่าผู้บริโภคในกลุ่มนี้ยอมจ่ายแพงขึ้น สำหรับสินค้าที่มีการสร้างแบรนด์ มีเรื่องราว และคุณภาพดี

และกลยุทธ์ที่เราใช้แข่งขันในตลาดนี้อย่างมั่นคงคือ การสร้างความแตกต่าง โดยเฉพาะด้านภาพลักษณ์ที่ต้องสวย ทันสมัย ใช้งานง่าย เห็นแล้วเกิดความสนใจ อยากลอง บวกกับความเชื่อมั่นในเรื่องคุณภาพ จึงทำให้เรามีความมั่นใจในตลาดนี้”

วาตะโพเลือกที่จะแตกต่างและพัฒนาจุดยืนเรื่องคุณภาพมาตั้งแต่ต้น ไม่อยู่ในตลาดที่แข่งขันเรื่องราคา แต่ออกมายืนในจุดที่ต่างออกไป และทำให้ลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์วาตะโพแล้วต้องกลับมาซื้อซ้ำในปริมาณที่มากกว่าเดิม

ปัดฝุ่นวาตะโพ สู่วัยหนุ่มสาว

เมื่อย้อนกลับไปในยุคแรก วาตะโพเป็นเพียงยาหม่องขวดแก้วที่เหล่าผู้สูงอายุมักพกพาไปในที่ต่างๆ หรือหากเปรียบกับคน คงเป็นคนวัย 65 ปีขึ้นไป 

นี่จึงเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของวาตะโพที่ต้องปรับภาพลักษณ์ให้แบรนด์เด็กลง เข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น 

หากคุณเป็นแฟนของวาตะโพในยุคแรกๆ อาจคุ้นเคยกับแพ็กเกจจิ้งขวดแก้ว แปะฉลากด้วยกระดาษสีสัน มาพร้อมฟอนต์โบราณแสดงความเป็นไทย ทว่าในปัจจุบันวาตะโพเปลี่ยนดีไซน์เป็นแบบมินิมอล สีเขียวเข้ม ตัวหนังสือเรียบง่าย และใช้แพ็กเกจพลาสติกที่ย่อยสลายได้แทนขวดแก้ว

การที่วาตะโพตัดสินใจรีแบรนด์ครั้งใหญ่ เท่ากับว่ามีโอกาสที่ลูกค้าเดิมจะลดน้อยลง เพราะอาจไม่คุ้นชินกับภาพลักษณ์ใหม่ 

ริสาบอกว่า “เป็นความโชคร้ายในความโชคดี แม้แบรนด์จะอยู่มานานแต่ก็ยังไม่แมสขนาดนั้น ฉะนั้นการจะปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้เด็กลง อาจกระทบกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าแค่บางส่วน นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมของการรีแบรนด์ โดยเฉพาะเรื่องการปรับภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัย โดยยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้ได้ดี”

ก่อนการรีแบรนด์ ทีมได้ใช้เวลาศึกษา หาข้อมูล และวิเคราะห์ตลาดมาเป็นปีๆ เพื่อนำข้อมูลมาพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาดที่สุด ซึ่งในระหว่างนั้นเราต้องสื่อสารกับคนรอบข้างและคนในองค์กรในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง เนื่องจากพนักงานในบริษัทส่วนใหญ่มีอายุงานมากกว่าเรา สิ่งที่ต้องลงมือทำทันทีจึงเป็นเรื่องการสร้างความเชื่อใจให้พนักงาน ทำให้พวกเขาเห็นภาพเดียวกัน และเมื่อทุกคนลงมือทำทุกอย่างจะออกมาดี 

แล้วตอนนี้วาตะโพเป็นคนอายุเท่าไหร่ “คิดว่าตอนนี้แบรนด์มีอายุ 30 ต้นๆ ค่ะ” ริสาตอบ

สร้างซอฟต์พาวเวอร์ผ่านสมุนไพรไทย

ปวดเมื่อย หน้ามืด ตาลาย คล้ายจะเป็นลม ยานวด ยาดมช่วยคุณได้ แม้จะเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า ด้วยสรรพคุณที่ดีงาม ใครก็ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ทำให้ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยเป็นยาสามัญประจำบ้านที่ต้องมีติดตู้ หรือพกติดตัว เรียกได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงจากยุคสู่ยุค โดยเฉพาะในยุคนี้ที่ใครๆ ก็หยิบมานวดหรือสูดดมอยู่ตลอดเวลา 

เพราะความมีเอกลักษณ์สะท้อนภูมิปัญญาและวิถีไทย ทำให้ยานวด ยาดม ยาหม่อง กลายเป็นของฝากที่นักท่องเที่ยวติดใจ ขนกลับประเทศแบบยกแผง ทำให้ไทยเป็นประเทศที่ส่งออกผลิตภัณฑ์สมุนไพรมากเป็นอันดับที่ 8 ของโลก 

ริสาสะท้อนมุมมองต่อเรื่องนี้ว่า “ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยมีศักยภาพ แต่ยังไม่ถูกโปรโมตหรือสนับสนุนมากขนาดนั้น เรามองว่ายังมีโอกาสที่จะพัฒนาได้อีกไกล ในมุมของผู้ผลิตเราคิดว่าสมุนไพรไทยยังต้องเผชิญความท้าทายอีกหลายด้าน แต่ความได้เปรียบของไทยคือ มีภูมิอากาศและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปลูกสมุนไพร ทำให้เรามีวัตถุดิบที่ดีสามารถแปรรูปเป็นสารสกัดต่างๆ ได้หลากหลาย และในแต่ละพื้นที่มีสมุนไพรท้องถิ่นที่แตกต่างกัน จนเกิดเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร” 

สำหรับวาตะโพฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าชาวไทยและต่างประเทศครึ่งต่อครึ่ง โดยหลังจากรีแบรนด์ก็ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง ทำให้ในปัจจุบันวาตะโพส่งออกในหลายประเทศ เช่น จีน ฮ่องกง มาเลเซีย และประเทศในกลุ่มอาหรับ เป็นต้น

ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนา

เห็นเป็นแบรนด์ที่อยู่มานานอย่างนี้ วาตะโพก็ไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น “เรามีทีม R&D ที่รวมตัวผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรไทย รวมถึงการประสานองค์ความรู้แบบดั้งเดิมที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าใช้งานได้จริงมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค โดยทำทุกอย่างภายใต้แนวคิดที่ต้องการคงเอกลักษณ์ความเป็นไทยไว้ได้มากที่สุด” ริสากล่าว

รวมถึงศึกษาจากงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น งานวิจัยที่เกี่ยวกับไพล เพื่อศึกษาประโยชน์และสรรพคุณในเรื่องการลดอักเสบ บวมช้ำ แก้เคล็ดขัดยอก เป็นต้น

นวดจริง ถึงเส้นจริงที่ป๊อปอัพสโตร์

ก่อนที่ลูกค้าหรือนักท่องเที่ยวจะซื้อสินค้าสักชิ้น หากได้เห็นของจริง ได้สัมผัส หรือสูดดม คงตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น 

ในขณะที่พูดคุยกับริสาอยู่ที่ป๊อปอัพสโตร์ ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชม และทดลองสินค้าอยู่เป็นระยะ แม้พื้นที่ร้านจะไม่ใหญ่ แต่ก็กว้างพอที่จะวางเก้าอี้นวดให้ผู้มาเยือนได้ลองนวด

โดยปกติแล้วป๊อปอัพสโตร์ในห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่ มักมีสินค้าให้ทดลองใช้ไม่กี่ชิ้น แต่ที่บูธวาตะโพจัดเต็มทั้งเก้าอี้นวด และหมอนวดแผนไทยจากวัดโพธิ์ตัวจริง

“เรามองว่าการนวดเป็นประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับสูงสุด เมื่อใช้ร่วมกับสินค้าของเรา ลูกค้าจะเข้าใจในทันทีว่าสินค้าดียังไง ใช้แล้วไม่รู้สึกเบิร์นหรือแสบร้อน ช่วยแก้ปวดได้จริง หรือเมื่อลูกค้าซื้อกลับบ้านแล้วรู้ว่าจะใช้สินค้ายังไงให้มีประสิทธิภาพ เพราะแน่นอนว่าการใช้ครั้งเดียวอาจยังไม่รู้สึก แต่เราต้องการมอบประสบการณ์ครั้งแรกที่ดีที่สุดให้ลูกค้าที่มา โดยหลังจากเปิดมาได้สักพักผลตอบรับก็ค่อนข้างดี มีลูกค้าหลายรายกลับมาซื้อซ้ำ หรือมาให้หมอนวดช่วยคลายเส้นก็มี”

ตอนนี้วาตะโพมีป๊อปอัพฯ ที่เซ็นทรัลเวิลด์ และสาขาแรกที่วัดโพธิ์ ในเร็วๆ นี้มีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 2-3 แห่ง

บริหารด้วยความซื่อสัตย์และจริงใจ

ริสา บอกว่า “ความซื่อสัตย์ และความจริงใจ คือสิ่งที่ผู้บริหารทุกรุ่นยึดถือมาตลอด และเป็นหัวใจสำคัญของวาตะโพ หากวันใดเราไม่มีความจริงใจให้ลูกค้า นั่นหมายความว่า แบรนด์ไปต่อไม่ได้แล้ว”

ถึงจะมีกลยุทธ์ออนไลน์หรือออฟไลน์ช่วยผลักดันการขาย และสร้างการรับรู้ไปสู่วงกว้าง แต่ถ้าไม่มีความจริงใจและความซื่อสัตย์ในการทำธุรกิจ คงไม่ทำให้วาตะโพยืนหยัดมาได้ถึง 44 ปี ด้วยแนวคิดที่ไม่ได้ต้องการตีหัวเข้าบ้านครั้งเดียวแล้วจบ แต่ต้องการให้ลูกค้ารู้สึกว่าใช้วาตะโพแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตจริงๆ  

สร้างความผูกพันจากรุ่นสู่รุ่น

พอนานวันเข้า วาตะโพก็เหมือนแบรนด์เก่าแก่ทั่วไป คือกลัวว่าหากวันหนึ่งมีเทคโนโลยีการแพทย์ที่สามารถแก้ปัญหาเรื่องสุขภาพทั้งหมดได้จริง จนไม่ต้องพึ่งพาสมุนไพรไทย แบรนด์จะดำเนินต่อไปยังไง

เมื่อตระหนักถึงภัยคุกคามนี้ ริสาจึงเล่าถึงกลยุทธ์การสร้างความผูกพัน “วาตะโพให้ความสำคัญกับการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ ควบคู่กับการรักษาฐานลูกค้า โดยใช้ storytelling ถ่ายทอดเรื่องราวของแบรนด์ให้เกิดความผูกพัน และในขณะเดียวกันก็เดินหน้าพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ โดยมองว่า อย่างไรก็ตามก็ยังมีกลุ่มคนที่ให้ความสนใจกับสมุนไพรไทยอยู่ และต้องการให้คนกลุ่มนี้บอกต่อไปสู่คนรุ่นหลัง”

ตลอด 44 ปีของวาตะโพ ริสา ได้สรุปแนวคิดการสร้างแบรนด์วาตะโพให้อยู่ในใจของผู้คนได้จนถึงวันนี้ว่า “วาตะโพเน้นการทำธุรกิจที่จริงใจ และซื่อสัตย์ ไม่ว่าจะเป็นยุคแรกตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นพ่อ จนมาถึงรุ่นตัวเอง วาตะโพก็ยังมีเป้าหมายในการเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คน ดูแลสุขภาพร่างกายแบบองค์รวม และก้าวสู่การเป็น global brand เพื่อบุกตลาดต่างประเทศ ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องทำให้สำเร็จต่อไป”

MoodActiv แบรนด์ชุดออกกำลังกายที่ตั้งคำถามว่าทำไมชุดออกกำลังกายต้องไร้สีสัน จนวันนี้มีสีมากกว่า 50 เฉด

ในวันที่การออกกำลังกายเป็นไลฟ์สไตล์ของผู้คน ทำให้ธุรกิจเสื้อผ้าที่ออกแบบสำหรับการออกกำลังกายและเล่นกีฬาโดยเฉพาะต่างก็พากันแข่งขัน ออกแบบสินค้าให้มีประสิทธิภาพ สามารถใช้งานกับกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทว่าอีกหนึ่งเหตุผลที่เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อเสื้อผ้าของผู้คนยังรวมไปถึงสีและความสวยงาม จนถึงขั้นมีคำกล่าวเล่นๆ ในการตัดสินใจเลือกซื้อเสื้อผ้าสีสดใสขึ้นมาว่า ‘ถ้าสีไม่แดง ก็ไม่มีแรงออกกำลังกาย’

เรื่องนี้เป็นเหตุให้ พิมพ์พรรณ ฉันทนารุ่งภักดิ์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง MoodActiv ได้วางแผนธุรกิจตั้งแต่เริ่ม

“MoodActiv เป็น Active Lifestyle Wear ที่มีเฉดสีมากกว่า 50 เฉด สามารถใส่ทำได้หลายกิจกรรม ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชั่น แล้วก็ทนทาน มีคุณภาพ ซึ่งทั้งหมดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนลุกออกมากำลังกาย ด้วยชุดและสีสันสวยๆ ของ MoodActiv”

นอกจากเสื้อผ้าออกกำลังกายต้องมีคุณภาพแล้ว จำนวนสีสันในสินค้าแต่ละรุ่นต้องมีให้เลือกทุกเฉดสี เพราะเธอเชื่อว่า การหยิบจับเสื้อผ้าสีต่างๆ มาแต่งตัวจะทำให้ลูกค้ารู้สึก สนุก ไม่จำเจ และอยากลุกขึ้นมาแต่งตัวเพื่อไปทำกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน

ส่วนเบื้องหลังความพิเศษของแบรนด์ MoodActiv มีที่มาที่ไปยังไง บทสนทนานี้มีคำตอบ

อะไรที่ทำให้คุณสนใจมาเริ่มธุรกิจเสื้อผ้าออกกำลังกายเป็นของตัวเอง

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ เราเป็นคนชอบออกกำลังกาย ใช้ชีวิตค่อนข้างแอ็กทีฟมาก ตอนเด็กๆ พ่อกับแม่ก็จะพาไปสวนลุมพินีช่วงเสาร์-อาทิตย์ตลอด ดังนั้นเราจะคุ้นชินกับการออกกำลังกาย จนกระทั่งช่วงที่เราไปเรียนที่ต่างประเทศ เราก็จับสังเกตตัวเองได้ว่า จะเป็นคนชอบใส่เสื้อผ้าออกกำลังกายอยู่ตลอดเวลา ด้วยความที่เขาไม่มีกฎเรื่องการแต่งกายในห้องเรียน เราก็จะใส่ชุดออกกำลังกาย ใส่กางเกงเลกกิ้ง ใส่เสื้อแจ็กเก็ตทุกๆ วัน เพราะพอหลังจากเรียนเสร็จเราก็จะไปออกกำลังกาย ไปวิ่งที่สวนสาธารณะต่อ

จุดนั้นแหละ ที่เราเริ่มรู้สึกว่าสิ่งนี้มันคือไลฟ์สไตล์แล้วนะ ไม่ได้เป็นแค่เสื้อผ้าออกกำลังกายแล้ว แต่ก็ต้องพูดตามตรงว่าประเทศไทยในวันนั้นยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ คนยังเอาชุดออกกำลังกายไปเปลี่ยนที่ยิม แล้วออกกำลังกายเสร็จก็เปลี่ยนชุดกลับ 

แล้วอีกอย่างคือ พอเราได้ไปอยู่ในยิมหลายๆ ที่ ก็เริ่มสังเกตได้ว่า ทำไมชุดออกกำลังกายถึงไม่มีสีสันเลย ทำไมถึงมีแค่ สีน้ำเงิน ดำ เทา แล้วก็ไม่มีลูกเล่นที่ฉูดฉาดเท่าไหร่ เรื่องนี้มันสำคัญมากนะ เพราะพอเราต้องแต่งตัวแบบนี้ทุกวัน แล้วต้องใส่สีเดิมๆ กลายเป็นว่ามันเฉา มันจำเจ ก็เกิดเป็นคำถามตามมาอีกว่าทำไมชุดออกกำลังกายถึงมีสีสันไม่ได้

จุดนั้นทำให้เรารู้สึกอยากทำแบรนด์เสื้อผ้าออกกำลังกายขึ้นมาเพื่อตอบคำถามและตอบโจทย์ตัวเรา ก็เลยเริ่มจากไปหาวัตถุดิบ ไปสอบถามคนที่ทำกิจกรรมต่างๆ กับเราว่าอยากใส่เสื้อผ้าแบบไหน แล้วด้วยความที่หุ้นส่วนอีกคนเขาชอบเล่นโยคะมากๆ ก็เลยคิดว่าสินค้าตัวแรกควรเป็นกางเกงที่ตอบโจทย์ทั้งไลฟ์สไตล์และการออกกำลังกายที่มีความยืดหยุ่น ทำให้กางเกงที่เป็นสินค้าตัวแรกมีทั้งหมด 2 แบบ และก็มี 6 เป็นสีพาสเทล และสีดำกับน้ำเงิน 

ในวันนั้นธุรกิจเสื้อผ้าออกกำลังกายในประเทศไทยเป็นยังไงบ้าง

ย้อนไปปี 2017 ผู้เล่นในตลาดนี้ยังมีน้อย ส่วนมากก็จะเป็นแบรนด์ใหญ่จากต่างประเทศ แบรนด์ของคนไทยเองก็อาจจะมีอยู่บ้าง แต่ก็นับมือได้ที่มีคนรู้จักและเลือกใส่

แต่วันนั้นในมุมของเราที่เป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ก็รู้สึกว่าตื่นเต้นนะ เพราะพอมันมีคนมาบุกตลาดตรงนี้ก่อนเราแล้ว ก็เลยเกิดเป็นความกังวลว่าจะทำได้ไหม

อะไรที่ทำให้คุณมั่นใจว่าแบรนด์ MoodActiv จะอยู่ได้ในตลาดเสื้อผ้าออกกำลังกายตอนนั้น

เริ่มจากความตั้งใจ และหลังเรียนปริญญาโทจบก็คิดว่าถ้าให้เราต้องลงทุนกับอะไรอีกสักอย่าง ก็คิดว่าควรเป็นธุรกิจ ที่เป็นเหมือนปริญญาจากการใช้ชีวิตอีกใบ ซึ่งถ้าสมมติว่าทำออกมาแล้วมันได้ดี ผลประโยชน์ก็ตกกับตัวเรา แต่ถ้าทำออกมาแล้วไม่ประสบความสำเร็จ มันก็เป็นประสบการณ์ที่เราได้ลอง เหมือนเราจ่ายเงินไปเรียนหนึ่งคอร์ส  

ในช่วงเริ่มต้นมีการวางแผนยังไงบ้าง

เราเริ่มจากการตั้งคำถามว่าจะแตกต่างยังไงก่อน เพราะแบรนด์เสื้อผ้าออกกำลังกายก็มีหลากหลายในตลาด ดังนั้นเลยต้องเริ่มจากการสำรวจตัวเองว่าเราชอบอะไร แล้วก็จะทำแบบนั้น

ซึ่งสำหรับชุดออกกำลังกาย เราคิดว่า เราอยากได้ชุดออกกำลังกายที่มีคุณภาพก่อน และต่อมาคือต้องสวย เพราะมันเป็นหนึ่งในเครื่องมือในการสร้างแรงบันดาลใจ ให้คนลุกขึ้นมาออกกำลังกายและอยู่กับตัวเอง ประมาณว่าถ้าวันนี้เราได้ใส่ชุดออกกำลังกายสวยๆ ก็จะรู้สึกอยากออกไปทำอะไรมากยิ่งขึ้น

สุดท้ายคือการสร้างคอมมิวนิตี้ให้กับคนที่รักการทำกิจกรรมที่เหมือนกัน ซึ่งทั้งหมดก็คือหลักการ 3 ข้อของแบรนด์ MoodActiv จากนั้นจึงค่อยๆ ขยายต่อไปว่า จะทำ 3 อย่างนี้ให้มันตอบโจทย์ตลาดได้ยังไงบ้าง 

ผลตอบรับเป็นยังไง

ดีกว่าที่คิด เพราะว่าเรามีเพื่อนเยอะ (หัวเราะ) ตอนแรกขายให้กับเพื่อนที่รู้จักก่อนเลย คือพอเราทำสินค้ามา คนที่อยากซัพพอร์ต อยากช่วยเหลือก็คือเพื่อนเรา หรือเวลาที่เราใส่ไปทำกิจกรรมต่างๆ คนเห็นว่าสีแปลกตาดี ก็จะเริ่มเข้ามาถามว่าแบรนด์ของอะไร ก็จะขายได้จากจุดนั้น 

ซึ่งตอนนั้นในมุมเราก็ใจชื้นนะ ที่เห็นมันขายได้ มันไปต่อไหว จากนั้น  4 เดือนต่อมาก็เลยออกสีใหม่เลย กลายเป็น 10 สี ใน 6 เดือนแรก

ถ้าหากต้องอธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่ MoodActiv ทำอยู่ ให้กับคนที่เพิ่งสนใจเสื้อผ้าออกกำลังกาย จะอธิบายว่าอะไร

เราจะบอกว่าเป็น Active Lifestyle Wear ที่มีเฉดสีมากกว่า 50 เฉด สามารถใส่ทำได้หลายกิจกรรม ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชั่น แล้วก็ทนทาน มีคุณภาพ ซึ่งทั้งหมดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนลุกออกมากำลังกาย ด้วยชุดสวยๆ ของ MoodActiv

ฟังดูแล้ว MoodActiv เป็นแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสีมาก ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น 

จริงๆ ตอนแรกก็ไม่ได้อินเรื่องสีขนาดนี้นะ จนมาทำแบรนด์ตัวเอง ก็เริ่มเข้าใจว่าแต่ละสีมันก็ส่งผลต่ออารมณ์แต่ละแบบ คุณลองไปสังเกตตัวเองก็ได้ ว่าถ้าสัปดาห์ไหนเราอารมณ์ดี เราจะมักหยิบจับอะไรมาแต่งกายให้ดูฉูดฉาด ดูสนุก มีลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ เสมอ ซึ่งเราก็อยากให้สินค้าของแบรนด์เป็นตัวเลือกในการทำให้อารมณ์ในแต่ละวันของเขาดีขึ้น

เราเลยเชื่อว่าสีมันส่งผลกับจิตใจค่อนข้างเยอะ โดยที่คนหลายคนอาจไม่ค่อยรู้ตัว เช่นเวลาที่เราบอกว่าหากคุณรู้สึกไม่สบายใจก็มองสีเขียวสิ คิดในอีกมุมหนึ่งถ้าคุณมีชุดออกกำลังกายสีเขียว แล้วคุณส่องกระจกทั้งวัน คุณก็จะรู้สึกว่ามันผ่อนคลายมากกว่าเดิมในตลอดทั้งวัน 

ถ้าเป็นคนที่ไม่ชอบออกกำลังกายเลย จะซื้อสินค้าของ MoodActiv ได้ไหม

ได้ เราจะขายเขาแบบนี้ เราจะบอกว่าแบรนด์นี้คือ Active Lifestyle Wear ที่อย่างน้อยควรมีไว้ติดบ้าน 

เพราะชีวิตของคนมันต้องดำเนินไปด้วยความแอ็กทีฟทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าคุณอยากรู้สึกแอ็กทีฟ ก็ลองหาอะไรที่เป็นเครื่องมือที่ทำให้คุณรู้สึกแอ็กทีฟดูสิ ซึ่ง MoodActive เรามีสินค้าที่ตอบโจทย์คุณตั้งแต่ไซส์ XXS จนถึงไซส์ XL สินค้ามีหลายแบบ หลากสีสัน เลือกตามใจชอบได้เลย ลองเลือกลองใส่ดูก่อน แล้วหลังจากนั้นเราจะรู้สึกว่ามันแอ็กทีฟเอง

หรือบางคนที่ออกกำลังกายอยู่แล้ว แต่ก็ยังใส่เสื้อผ้าลำลองทั่วไปอยู่ คนกลุ่มนี้ MoodActiv จะตีตลาดยังไงดี

เราอยากให้ลองหาเสื้อผ้าที่ตอบโจทย์กับกิจกรรมที่ทำอยู่ เพราะความรู้สึกระหว่างออกกำลังกายสำคัญมากๆ มันสามารถทำให้การออกกำลังกายมีผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้เลย เพียงแค่เปลี่ยนมาสวมใส่ชุดที่มีคุณภาพดีๆ ยกตัวอย่าง ถ้าเราไปวิ่งด้วยเสื้อยืด กางเกงสแล็ก วิ่งแล้วเสื้อมันไม่ระบายอากาศ เสื้อมันอุ้มน้ำระหว่างวิ่ง เราก็จะรู้สึกไม่อยากวิ่งแล้ว มันร้อน มันเทอะทะ แต่ถ้าเราใส่เสื้อผ้าที่มันกระชับ ระบายอากาศได้ดี ซับเหงื่อได้ดี เราก็อยากจะวิ่งต่อ มันทำให้การออกกำลังกายของเราดีขึ้น 

โยคะก็เช่นกัน ถ้าเราใส่กางเกงที่มันเทอะทะ หรือมันไม่พอดี ตัวใหญ่เกินไป เวลาเราทำท่าต่างๆ มันก็จะทำได้ไม่สุด เราจะรู้สึกว่าไม่อยากเล่นแล้ว เดี๋ยวค่อยเล่นแล้วกัน แต่ถ้าเราใส่เสื้อผ้าที่มันกระชับ เข้ารูป พอดีตัว แล้วเวลาที่เราเล่นก็ไม่พะรุงพะรัง เราก็จะรู้สึกว่าเล่นต่อไปได้

ซึ่งเรื่องแบบนี้เราก็ค้นพบจากตัวเอง เพราะเมื่อก่อนเราใส่เสื้อยืดไปวิ่งสวนสาธารณะ เราไม่กล้าใส่แขนกุด เรารู้สึกว่าอายจังเลย แขนเราใหญ่หรือเปล่า ใส่แล้วจะดำไหม ใส่เสื้อยืดไปวิ่ง จนสุดท้ายก็รู้สึกไม่อยากวิ่ง กลายเป็นความรู้สึกว่าแทนที่เราจะทำได้ดีกว่านี้ แต่เราทำไม่ได้ เพราะชุดไม่ได้เหมาะกับการทำกิจกรรม

อีกหลายคนที่อยากใส่เสื้อผ้าออกกำลังกาย แต่เขาไม่มีความมั่นใจในหุ่นและรูปร่าง มีกลยุทธ์สำหรับกลุ่มลูกค้าตรงนี้ยังไงบ้าง

อยากจะบอกว่าทุกคนจะมีความชอบเรื่องรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกันไป ความมั่นใจก็เช่นกัน อยากให้ทุกคนเริ่มจากความมั่นใจในตัวเองก่อน ทุกวันนี้มันไม่มีบรรทัดฐานตายตัวแล้วว่า แบบไหนคือหุ่นดี ดังนั้นสิ่งที่เราอยากจะบอกคือ ลองเปิดใจและเริ่มลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองมั่นใจก่อน สมมติคุณไม่มั่นใจเรื่องแขนใหญ่ ลองตั้งเป้าหมายตัวเองก่อนว่า จะเริ่มลดหุ่น ทำให้แขนเล็กลงยังไง แล้วก็ค่อยๆ ทำตามเป้าหมาย โดยให้ชุดของ MoodActiv เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จนี้ด้วย 

ถ้าให้แบ่งสัดส่วนระหว่างความสวยงามกับคุณภาพในการใช้งาน MoodActiv ในวันนี้มีสัดส่วนยังไง

เราให้ 50/50 เลย คือถ้าความสวยงามอย่างเดียวแล้วใช้งานไม่ได้ เราก็ไม่อยากใส่ออกกำลังกาย หรือถ้ามันใช้งานได้อย่างเดียวแล้วไม่สวยเลย เราก็ไม่อยากใส่ออกไปเจอใครเหมือนกัน ดังนั้นเราให้น้ำหนักกับทั้ง 2 เรื่องนี้เท่ากัน

ในขณะเดียวกันปัจจุบันมีแบรนด์เสื้อผ้าออกกำลังกายใหญ่ๆ จากต่างประเทศมากมายมาทำตลาดในประเทศไทย คำถามคือ MoodActiv จะสู้กับตลาดตรงนั้นยังไง

เราว่าหลักการ 3 เรื่อง ทั้งคุณภาพ การสร้างแรงบันดาลใจ และการสร้างคอมมิวนิตี้น่าจะเป็นจุดต่างได้ เพราะอย่างแบรนด์ใหญ่เขาอาจจะโฟกัสเรื่องอื่นๆ ที่ต่างจากเรา โดยเฉพาะเรื่องการสร้าง motivation หรือแรงบันดาลใจ และคอมมิวนิตี้ 

เรื่องการสร้างคอมมิวนิตี้คนรักการออกกำลังกายก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ MoodActiv ให้ความสำคัญมาก ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น 

มันเกิดจากการที่เราเป็นคนชอบทำ ชอบลองหลากหลายกิจกรรม แล้วแต่ละครั้งที่ไปลองกิจกรรมอะไรใหม่ๆ เรามักเกิดความรู้สึกว่าถ้าลูกค้าของเราได้ลองจะเป็นยังไงนะ 

ดังนั้นถ้าลูกค้าไม่เคยลอง เราอยากจะเป็นตัวแทนที่ทำให้ลูกค้าได้ลองอะไรใหม่ๆ ถ้าเขาชอบก็ค่อยไปสานต่อเอาเอง ทำให้เราชอบจัดกิจกรรมหรืออีเวนต์ต่างๆ เช่น โยคะ, indoor cycling, Barre exercise class หรือ functional training class ให้ลูกค้าได้มาลองกัน 

แล้วเราจะรู้สึกดีมากๆ เวลาที่เขาบอกว่า เฮ่ย มาลองเล่นโยคะกับเราแล้วชอบมากเลย จนหลังจากนั้นเขาไปสมัครคอร์สโยคะเล่นเอง อะไรแบบนี้จะรู้สึกดีใจมากๆ เพราะเหมือนเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้แรงบันดาลใจ เพื่อที่เขาไปสานต่อได้ 

เรื่องนี้ส่งผลต่อธุรกิจยังไง 

พูดกันตามตรง การจัดกิจกรรมต่างๆ เราไม่ได้เงินเลย แต่เรารู้สึกว่ามันจะเป็นการช่วยส่งต่อแรงบันดาลใจในมุมกว้าง สมมติว่าคนนี้ได้ลอง แล้วเขาไปบอกต่อกับเพื่อน ก็มีโอกาสที่เพื่อนเขาจะกลับมาซื้อ มาเป็นลูกค้ามากขึ้น

จนถึงตอนนี้ MoodActiv มีกิจกรรมอะไรที่ทำร่วมกับลูกค้าไปแล้วบ้าง

มี indoor cycling ที่ทำเป็น neon session ด้วย เพราะตอนนั้นเราออกกางเกงสีนีออนพอดี ก็ไปใส่ให้สะท้อนแสงในงานเลยวันนั้น นอกจากนั้นก็มี Barre exercise class มี functional training รวมไปถึงทริปต่างจังหวัด ที่มีทั้งโยคะ และ sound healing

ล่าสุดเมื่อตอนครบรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ด้วยความที่ช่วงนี้เราอินกับเรื่องสุขภาพ (wellness) มากๆ ซึ่งไม่ใช่แค่การดูแลร่างกายให้ดี แต่เป็นเรื่องของการดูแลจิตใจให้ดีด้วย ทำให้ล่าสุดเราก็ไปจัดงานที่สวนสามพราน ภายใต้คอนเซปต์ ‘in the MOOD for wellness’ เพื่อให้คนได้เข้าใจว่า ทำไมคนเราต้องทานอาหารที่มีประโยชน์ เราจะฝึกจิตใจเราให้ดียังไง มีการทำสมาธิในรูปแบบไหนบ้าง ทั้งหมดก็เพื่อให้คำว่าสุขภาพมันครอบคลุมทั้งร่างกายและจิตใจ

อีกส่วนหนึ่งที่น่าสนใจคือ การหันมาขายเสื้อผ้าออกกำลังกายสำหรับผู้ชาย จุดนี้มีความท้าทายยังไงบ้าง

สำหรับเรา การทำชุดออกกำลังกายผู้ชายไกลตัวมาก เพราะว่าชีวิตเรารายล้อมด้วยผู้หญิงมาตลอด ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือไปถามผู้ชายในยิม ว่าชุดออกกำลังกายผู้ชายเป็นยังไง เขาต้องการอะไรบ้าง ซึ่งเราก็เริ่มทำชุดผู้ชายมาได้ปีกว่าแล้ว แต่ก็ยังคิดว่าต้องพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ 

อีกอย่างคือเราก็สังเกตเห็นว่าพฤติกรรมของผู้ชายและผู้หญิงไม่เหมือนกัน

คือผู้หญิงคือ ฉันมีชุดออกกำลังกาย 20-30 ตัวได้ในตู้เสื้อผ้า แต่ผู้ชายไม่ใช่ อันนี้เป็นความยากของตลาด แต่ในอนาคตเราก็คาดการณ์ว่า healthy lifestyle ผู้ชายที่อยากดูแลตัวเอง แล้วก็แต่งตัวให้แฟชั่นจะมีมากขึ้น ซึ่งเราก็อยากเป็นแบรนด์ที่ตอบโจทย์เมื่อเวลานั้นมาถึง

ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา MoodActiv มีการเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง

สิ่งแรกที่สังเกตได้คือ เราก้าวข้ามผ่านความกลัวในหลายๆ เรื่อง จากตอนแรกที่ตั้งใจว่าทำกางเกงสไตล์เดียวแล้วให้คนใส่ได้ทุกกิจกรรม แต่พอเอาเข้าจริง มันไม่สามารถเป็นแบบนั้นได้ กางเกงขายาวจะไปใส่ลงน้ำมันก็ไม่ใช่ จนตอนนี้เรามีสินค้าหลากหลาย ขยายออกไปมากๆ 

ดังนั้นการปรับตัวตามโลก ตามเทรนด์ มันคือเรื่องสำคัญ เราต้องตามโลกให้ทัน ต้องรู้ว่าคนชอบแบบไหน กำลังสนใจเรื่องอะไร เราไม่สามารถเอาตัวเองเป็นที่ตั้งได้ตลอดเวลา ส่วนเรื่องการรีแบรนด์ เรามีแผนจะทำช่วงต้นปีหน้า ก็รอติดตามกันได้เลย

ความแตกต่างของธุรกิจเสื้อผ้าออกกำลังกายระหว่างก่อนและหลังโควิด-19 ต่างกันยังไงบ้าง

เราพูดเรื่องเทรนด์ก่อนละกัน เรารู้สึกว่าคนหันมาดูแลสุขภาพกันเยอะมากขึ้น อาจเพราะส่วนหนึ่งมาจากการ work from home ทำให้คนมีเวลาว่างมากขึ้น ไม่ต้องมานั่งรถติดบนท้องถนน คนก็เริ่มหันมาดูแลตัวเอง ลูกค้าหลายคนบอกกับเราว่า เขาซื้อชุดออกกำลังกายไปใส่ทำงาน คลุมด้วยเบลเซอร์หรือสูท เขาเล่าว่าก็ใส่ชุดนี้ไปเลย แล้วหลังเลิกงานก็ไปออกกำลังกาย ไม่ต้องเปลี่ยนชุดอีก อะไรแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่อาจเห็นได้มากขึ้นในอนาคตข้างหน้า 

ส่วนตลาดชุดอออกกำลังกายมันก็โตขึ้น มีหลายแบรนด์กระโดดเข้ามาไม่ซ้ำหน้าเลย ซึ่งเรามองว่าเป็นเรื่องดี เพราะทุกคนจะเข้ามาให้ความรู้เรื่องเสื้อผ้าออกกำลังกาย ทำให้ลูกค้าเข้าใจมากขึ้น ว่าการออกกำลังกายเป็นเรื่องสำคัญ และเห็นว่าการใส่ชุดออกกำลังกายในชีวิตประจำวันไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร เพราะมันเป็นอีกหนึ่งไลฟ์สไตล์

หลังจากนี้จะได้เห็นอะไรจาก MoodActiv ในอนาคต

เราจะมีการรีแบรนด์เล็กน้อย ทำและจัดกิจกรรมมากขึ้น เพราะตอนนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องการออกกำลังกายแล้ว แต่เป็นเรื่องของสภาวะจิตใจของคนด้วย 

ซึ่งมันอาจหมายถึงการทำ motivation talk อันนี้เป็นความฝันของเราเลย กับการเอาคนมานั่งคุยกันว่า ภายใต้ความกลัวนั้นเราก้าวผ่านมาได้ยังไง เรามั่นใจว่าเรื่องนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้คนที่ไม่มีความมั่นใจ อาจจะทำให้เข้าใจ และก้าวผ่านอะไรบางอย่างได้ 

นอกจากนี้จะมีการไปร่วมงานกับแบรนด์หนึ่ง ที่ใช้ผ้าทำมาจากการรีไซเคิลขวดพลาสติก ทำให้นอกจากจะได้เสื้อผ้าที่คุ้มค่าและทนทานแล้ว เราก็อยากทำอะไรที่ช่วยโลก ทำอะไรที่มันยั่งยืนกับธรรมชาติด้วย

ในปัจจุบันแบรนด์ไม่ได้พูดถึงแค่ความยั่งยืนทางร่างกาย แต่เป็นความยั่งยืนทางจิตใจด้วยใช่ไหม เรื่องนี้สำคัญยังไง 

เราเชื่อว่าเรื่องจิตใจสำคัญมากๆ เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้น และส่งผลต่อหลายๆ สิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความคิด การใช้ชีวิต การพักผ่อน ซึ่งหากจิตใจเราไม่แข็งแรง ร่างกายเราก็ไม่สามารถแข็งแรงได้ เราอยากเป็นแบรนด์ จะทำให้คนมีจิตใจแจ่มใส มีแรงบันดาลใจไม่มากก็น้อย และอยากช่วยเสริมความมั่นใจให้กับหลายคนที่ยังรู้สึกไม่มั่นใจ การทำ motivation talk ก็เป็นอีกวิธีที่ทำให้คนรับรู้ว่ามีหลายคนที่เป็นเหมือนกับเรา ก็อยากให้คนเหล่านั้นมาเล่า มาแบ่งปันกันว่ารับมือกับความรู้สึกตรงนี้และก้าวผ่านมันไปยังไงบ้าง 

ในวันนี้ ความสุขที่ได้จากการทำแบรนด์ MoodActiv ของตัวคุณคือเรื่องอะไร

เรื่องแรกคือการเห็นคอมมิวนิตี้เติบโต และคนหันมาใส่ใจร่างกายและจิตใจมากยิ่งขึ้น เวลาเราจัดกิจกรรมแล้วมีลูกค้ามากหน้าหลายตาเข้ามามากขึ้น ก็เป็นความสุขที่เกิดขึ้นกับตัวเรา

อีกเรื่องคือการได้เป็นส่วนหนึ่งในการส่งต่อแรงบันดาลใจ และช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับคนอื่น ในปีนี้มานั่งคิดทบทวนกับตัวเอง ก็เพิ่งรู้ว่า ถึงวันนี้เราชวนคนมาออกกำลังกาย มาทำกิจกรรมต่างๆ กันเยอะมาก แล้วเขาก็กลายเป็นคนที่รักตัวเอง รักร่างกายตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นอีกสิ่งที่อยากให้เกิดต่อไปในอนาคต  

‘ท้อได้และไม่ต้องเพอร์เฟกต์ไปเสียหมด’ คุยกับ Songbird ในวันที่แบรนด์เดินทางถึงปีที่ 13

กว่า 10 ปีก่อน การจะหารองเท้าหนังสวยๆ ใส่สักคู่ไม่ใช่เรื่องง่าย 

เชื่อเหลือเกินว่าจังหวะที่คนหลงรักความคลาสสิกคล้ายๆ กันกับเราได้เห็นรองเท้าหนังทรง Mary Jane และสารพัดทรงคลาสสิกที่ปั๊มแบรนด์ Songbird จะต้องหลงรักและอยากจับจองเป็นเจ้าของสักคู่ เพราะอาจเรียกได้ว่ารองเท้าจาก Songbird เป็นแบรนด์ที่บุกเบิกรองเท้ารูปแบบนี้ในไทย

ปัจจุบันรองเท้าหนังแนววินเทจที่ทั้งเก๋และใส่สบายมีให้เลือกหลากหลายแบรนด์ จะไทย จะเทศ จะพรีออร์เดอร์ หรือพร้อมส่งก็มีทั้งนั้น แต่ทั้งที่ในโซเชียลมีเดียของ Songbird ก็แทบไม่ได้อัพเดตข่าวสารอะไร ความเคลื่อนไหวของแบรนด์ก็น้อยกว่าแบรนด์น้องใหม่มากนัก แถมรองเท้าในชื่อ Songbird ยังไม่มีแบบพร้อมส่ง แต่ต้องสั่งทำ 10-14 วัน

ในบรรดารองเท้าเหล่านั้น ชื่อของ Songbird ก็ยังเป็นที่จดจำคล้ายเสียงนกร้องที่ก้องไปมายามเช้าตรู่ 

ไม่ไกลจากกลางกรุงมากนัก เราจึงมีนัดสนทนากับหญิงสาวเจ้าของ Songbird อย่าง น้ำ–ธันยพร สุรัตนชัยการ ถึงเส้นทางการทำแบรนด์จากตัวตนและความชอบของเธอเอง ตั้งแต่วันที่ทำแบรนด์ขึ้นมาจากความไม่มั่นใจ ไร้ business plan สู่วันที่ลูกค้าต่างเชื่อมั่นในชื่อนี้

ตลอดการสนทนา น้ำมักจะบอกว่าเธอเป็นคนเชยๆ ที่ไม่มั่นใจกับสิ่งที่ตัวเองทำ แต่เรากลับพบว่าในความเชย ความไม่มั่นใจที่เธอบอกนั้น กลับแฝงไปด้วยความสู้ในแบบของตัวเธอเองไว้อย่างดี 

คุณมีเซนส์แฟชั่นตั้งแต่ตอนไหน

โห เร็วมาก ตั้งแต่เด็กๆ แม่เป็นคนแต่งตัวอยู่แล้ว แม่จะชอบพาเราไปซื้อเสื้อผ้ามือสองที่จตุจักร เราเลยเห็นเสื้อผ้ามาเยอะมาก แต่ถ้าให้ชอบจริงๆ น่าจะตอน ม.3 ที่อ่านการ์ตูน Ai Yazawa เราว่ามันโคตรน่ารัก 

เราหยิบหนังสือการ์ตูนเล่มนี้ขึ้นมาไม่ใช่เพราะอยากอ่านนะ แต่เพราะว่าปกมันสวยมาก เรานั่งเปิดดูภาพไปเรื่อยๆ และอินมาก จนพอเริ่มไปเรียนวาดรูปก็ได้เจอรุ่นพี่จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่เขาเป็นติวเตอร์ จนตัดสินใจได้ว่าจะเรียนแฟชั่นดีไซน์

แล้วพอเข้าไปเรียนแฟชั่นมันเป็นแบบที่คิดไหม

ไม่เลย เรารู้สึกว่าฉันมาทำอะไรที่นี่เพราะเราถูกดูดความมั่นใจไปเยอะมาก มีแต่คำถามว่าเราจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ยังไงเพราะทำอะไรก็เหมือนอยู่ผิดที่ผิดทางไปหมด

สำหรับคนอื่นอาจไม่เป็นนะ แต่ด้วยความที่สไตล์เสื้อผ้าของเรามันก็เป็นแบบนี้ เรียบๆ เชยๆ มันเลยสวนทางกับแนวทางแฟชั่นในตอนนั้น จนคิดว่าเราคงไม่ไปทางนี้แน่นอน

ถ้าไม่คิดอยากมาสายแฟชั่นแล้ว Songbird เกิดขึ้นได้ยังไง

ก่อนหน้านี้ลองไปทำเบเกอรี ไปสมัครเป็นเชฟ ไปยืนขายคุกกี้ แต่เหมือนมันหนีไม่พ้น สุดท้ายเราก็รู้ตัวเองว่าเราชอบทำเสื้อผ้าที่สุด แต่เราไม่ใช่สายที่จะทำแบรนด์ขึ้นห้างที่ต้องทำงานกับดีไซเนอร์ดังๆ เพราะเราทำงานกับคนอื่นไม่ได้

ทีนี้มันโชคดีที่ว่าช่วงนั้นโซเชียลมีเดียก็กำลังมาเหมือนกัน แม้อินสตาแกรมจะยังไม่มาแต่เราก็เห็นว่าหลายคนทำแบรนด์ขายในเว็บไซต์บ้าง เฟซบุ๊กบ้าง เราเลยลองทำเล่นๆ ในแบบที่อยากทำซึ่งตอนนั้นเป็นสไตล์แม่บ้านญี่ปุ่น ขายตัวละ 700 บาท ต่างจากแบรนด์ขึ้นห้างสมัยก่อนที่ราคาหลายพัน

แล้วเราก็ชวนเพื่อนมาถ่ายกันเอง อาจจะเพราะว่าเพื่อนเป็นฝรั่ง คาแร็กเตอร์เลยไปดึงดูดลูกค้า พอลงภาพไปก็มีคนติดต่อมาซื้อ เราก็คิดว่าเฮ่ย มันก็ขายได้นี่หว่า 

ครั้งแรกที่มีคนซื้อของคุณรู้สึกยังไง 

ความที่เราไม่ได้หวังว่าจะขายได้ไหม แต่ทำขึ้นมาเพราะอยากใส่แบบนี้ พอมีคนซื้อเราก็ดีใจ มันก็ทำให้เรารู้ว่าโลกมันไม่ได้แคบขนาดนั้น เราไม่จำเป็นต้องดูถูกงานเราว่ามันจะเชยไหม คนจะว่าเราเพ้อหรือเปล่า  

ตอนไหนที่คุณรู้สึกอยากจริงจังกับแบรนด์นี้

ทำอยู่หลายปีเลยนะ แล้วสไตล์ก็กระโดดมากเพราะเราอยากทำในสิ่งที่อยากทำ ไม่ได้แคร์ว่าเทรนด์เป็นยังไง เขาฮิตอะไรกัน ตอนที่เปิดหน้าร้านที่เทอร์มินอล 21 ก็ยังไม่จริงจัง เหมือนเด็กขายของเล่นมากกว่าเพราะเราขายได้แต่ขาดทุนทุกเดือน เพราะเราบริหารเงินไม่เป็น 

เราไม่มี business plan เราไม่วางแผนคอลเลกชั่น คิดต้นทุนไม่ถูก คิดง่ายๆ ว่าถ้าขายได้มากกว่าต้นทุนก็คือกำไรแล้วแต่ลืมคิดไปว่ามันมีต้นทุนแฝงอีกมาก ทั้งค่าลูกน้อง ค่าสต็อกที่เหลือ ค่าผ้า แต่ขนาดขาดทุนขนาดนั้นเราก็ยังไม่รู้สึกอะไร คิดแค่ว่าเดี๋ยวมันก็คงดีขึ้นมั้ง 

จนช่วงที่เราไปเชียงใหม่แล้วเริ่มสนใจเรื่องผ้าย้อมธรรมชาติ เราคิดว่าเราน่าจะอยู่เชียงใหม่ได้นะ พอกลับมาสัญญาเช่าหมดพอดีก็บอกป๊าว่าจะปิดร้านแล้วจะไปอยู่เชียงใหม่ อยู่ได้ 3 เดือนถึงได้รู้ว่า เชี่ย กูอยู่ไม่ได้นี่หว่า

เริ่มคิดได้?

เริ่มกลับมามองว่าจะวางแผนยังไง คิดเงินยังไง การตลาดเป็นยังไง โดยให้เพื่อนที่จบบัญชี จบการตลาดมาสอนให้ แล้วเราก็เริ่มหาคาแร็กเตอร์ของ Songbird 

แต่เชื่อไหมว่าจนทุกวันนี้เราก็ยังไม่รู้ว่าแบรนด์นี้มันหน้าตาเป็นแบบไหน สไตล์อะไร มีแค่ลูกค้ากับคนรอบตัวเราเท่านั้นที่บอกได้ว่า Songbird หน้าตาเป็นยังไง แต่เราตอบไม่เคยได้เลย 

คุณคิดว่าการหาคาแร็กเตอร์ของแบรนด์จำเป็นไหม

จำเป็น เราว่ามันทำให้กำหนดทิศทางตัวเองได้ ถ้าเรารู้ว่าเราเป็นใคร เราจะไปที่ไหนก็ได้ ไปทางไหนก็ได้ อยู่ที่ไหนก็ได้ ถ้าเราเติบโต มันจะทำให้เราไม่ลืมว่าเราทำอะไรอยู่ 

แต่ก็อย่างที่บอก เราก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าสรุปแล้ว Songbird มันเป็นอะไร  

ถ้าไม่รู้คาแร็กเตอร์ แล้วคุณใช้เกณฑ์อะไรบอกตัวเองว่านี่แหละคือสินค้าคอลเลกชั่นใหม่ของ Songbird

ความชอบ 

เราอาจจะไม่รู้ว่าภาพมันเป็นแบบไหนนะ แต่เราพอจะจับทางได้ว่าเราชอบอะไรที่มันเชยๆ คลาสสิก เราไม่ตามเทรนด์ เราไม่แฟชั่นจ๋า 

แล้วเชื่อไหมว่าจากที่เราสังเกตลูกค้า สไตล์จะได้ตั้งแต่น่ารักไปจนถึงแนวเท่ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นวัยเพิ่งเรียนจบหรือวัยทำงานแรกๆ เพราะถ้าเป็นวัยเราเขาจะเน้นของแบรนด์เนมกันมากกว่า

จาก Songbird ที่เป็นแบรนด์เสื้อผ้าแนวญี่ปุ่นๆ มาสู่ Songbird ที่ทำให้ปรากฏการณ์รองเท้า Mary Jane เกิดขึ้นได้ยังไง

ช่วงที่กลับมาจากเชียงใหม่อีกนั่นแหละ เราเป็นคนเท้าบานและหารองเท้าสวยๆ น่ารักๆ ใส่ได้ยากมาก ตอนนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเราเคยทำรองเท้าในงานทีสิสนี่หว่า เลยกลับไปหาช่างที่เขาขึ้นรองเท้าให้แล้วปรับแบบจนได้เป็นรองเท้าหนังคัตชูหัวแหลม 

ปรากฏว่าขายดีจนหน้ามืด ขายจนตั้งตัวได้ 

ทำไมถึงขายดีขนาดนั้น 

เราว่าเพราะ 8 ปีที่แล้วมันยังไม่มีแบรนด์รองเท้าสวยๆ เก๋ๆ ให้เลือกมาก ถ้าอยากได้รองเท้าที่นิ่มหน่อย ทรงดีหน่อยก็มักจะเป็นราคาขึ้นห้างแพงๆ ไปเลย ไม่ก็ดีไซน์ไม่ได้ แต่ของเรามันแตกต่างทั้งดีไซน์ และราคาตอนนั้นก็อยู่ที่ประมาณ 1,890 บาท  

ยอดขายตอนนั้นมันก็ทำให้เรารู้ว่าเราทำรองเท้าได้นี่หว่า จากที่แต่เดิมตั้งใจทำรองเท้าเป็นไอเทมเสริมเพื่อคอมพลีตลุคเฉยๆ กลายเป็นว่าตอนนี้เสื้อผ้าเป็นไอเทมเสริมของแบรนด์ไปแล้ว 

ตอนนี้แบรนด์รองเท้าเก๋ๆ เกิดขึ้นเยอะมาก ต่างจากสมัยที่ Songbird เริ่มทำรองเท้าใหม่ๆ คุณคิดว่าอะไรทำให้คนยังนึกถึง Songbird อยู่  

เรารู้สึกว่าเราสู้ ถ้ามาดูคุณภาพรองเท้าที่เราทำ มันเทียบรองเท้าคู่ละ 8,000-9,000 บาทได้เลยนะ เราว่าความตั้งใจที่จะทำของดีให้ลูกค้านี่แหละที่ทำให้เรายังอยู่จนถึงทุกวันนี้ได้ ไม่ใช่ว่าเราเก๋กว่าใครหรอก 

แต่ก่อนที่คุณภาพเราจะขนาดนี้ เราก็ผ่านการตั้งคำถามกับตัวเองมามากเหมือนกัน ตอนทำรองเท้าแรกๆ เราเน้นแค่ว่าทรงสวย ใช้หนังแท้ ขาย 1,890 ก็จบแล้ว ใส่ได้นานเท่าไหร่เราไม่ได้คิด แต่วันหนึ่งมันมีฟีดแบ็กว่าอยากให้เราทำรองเท้าให้ใส่ได้นานขึ้น เราก็คิดว่าแล้วมันไม่นานตรงไหนวะ มันมีอะไรผิดพลาดไปเหรอ 

เราเลยเริ่มปรับคุณภาพให้มันดีขึ้น เปลี่ยนพื้นไม้อัดเป็นพื้นหนังทั้งหมด ข้างในก็ซับหนังแท้ซึ่งมันแพงมากนะ แต่เราก็กัดฟันสู้ เพราะแต่ก่อนจะมีปัญหาว่าตรงส้นที่ใช้ไม้อัดขึ้นรูปมันทำให้พื้นหักง่าย ซึ่งมันตรงข้ามกับความตั้งใจของเราที่อยากทำรองเท้าที่ลูกค้าใส่ได้ทุกวัน ดังนั้นเราก็ควรจะทำรองเท้าให้ทนกว่าเดิม

ตอนนี้ถ้าถามเราว่าระหว่างดีไซน์กับคุณภาพเราก็คงจะตอบว่ามันต้องไปด้วยกัน เพราะอย่างรุ่นแคลร์ที่เพิ่งปล่อยออกมาเราก็ตบตีกับช่างนานมาก เพราะตอนแรกมันยังไม่ได้ใส่คุชชั่นซึ่งสวยมาก แต่มันจะกัด เราเลยต้องพยายามหาวิธีที่ทำให้มันไม่เหมือนรองเท้าเพื่อสุขภาพ แต่ก็ยังต้องใส่สบายด้วย เพราะเราอยากให้ลูกค้าใส่แล้วภูมิใจ  

แต่กับบางรุ่นที่เราไม่ได้ใส่คุชชั่น เพราะว่ามันขึ้นกับรูปเท้าของลูกค้าแต่ละคนด้วย กับบางคนรูปเท้าแบบนี้ก็ไม่กัด บางคนก็โดนกัด  

คุณภาพที่สูงขึ้นเป็นที่มาว่ารองเท้า Songbird ต้องพรีออร์เดอร์เท่านั้น ไม่มีพร้อมส่งหรือเปล่า

ไม่เชิง เมื่อก่อนเราเคยสต็อกสินค้าแต่เราต้องแบกต้นทุนเยอะมากเพราะเราต้องสต็อกเป็นร้อยคู่ทำให้ต้องบวกราคาสินค้าเพิ่มเยอะ 

เราตั้งคำถามกับตัวเองว่าถ้าคนอยากใส่รองเท้าดีๆ ต้องจ่ายครั้งละหกพันเลยเหรอ แต่เราอยากขายรองเท้าหนังคู่ละสามสี่พันได้ไหม อีกอย่างถ้าสต็อกไปแล้วสินค้าเหลือก็ต้องเอามาเซลล์ซึ่งเราว่ามันเป็นอะไรที่สะเทือนใจคนที่เขารีบซื้อตั้งแต่แรกมากนะ เราเองแคร์ความรู้สึกลูกค้ามาก เรายอมลูกค้าด่าว่าส่งช้าดีกว่า เลยตัดสินใจว่าเราจะขายราคาประมาณนี้ที่คนเข้าถึงได้หน่อย แต่แลกกันว่าให้ลูกค้ารอพรีออร์เดอร์ 10-14 วัน

ลูกค้ายอมแลกไหม

มันก็ทำให้เราเสียโอกาสในการขายเยอะ ตอนแรกเราก็เครียดเพราะเราอยากขายได้ แต่เราพบว่าเดี๋ยวเดือนหน้าเขาจะกลับมาซื้อเพราะเขารู้แล้วว่าเขาต้องรอ อีกอย่างเรารู้สึกว่าเราทำได้แค่นี้ เรามีแค่นี้ ก็ไม่เป็นไรหรอก

การไม่สต็อกก็ส่งผลกับการวางขายหน้าร้านเหมือนกัน ปัจจุบันเราวางขายที่ร้าน H I D E . อย่างเดียว เพราะเรามองแล้วว่าเขาเลือกของดีและดูแลลูกค้าดี เทสต์เราไปด้วยกัน แต่เราก็ไม่ค่อยมีสต็อกไปให้เขา หรือบางครั้งร้านอื่นติดต่อมา ไม่ใช่เราไม่อยากไปนะ เราอยากไปแต่เราสต็อกไม่ไหวจริงๆ 

แล้วตอนนี้เรียกว่าเป็นจุดพีคได้หรือยัง

ตอนนี้พีค อาจจะเป็นจุดสูงสุดในการทำแบรนด์เลยก็ได้ เหมือนคนเริ่มเก็ตว่าเราจะทำอะไร ออกอะไรมาคนก็เชื่อและซื้อของของเรา 

แต่มันก็จะมีช่วงที่เรารู้สึกลังเลทุกเดือน แล้วเราก็กังวลว่าตัวเองจะหมดไฟไหม ยิ่งกว่านั้นคือกลัวว่าไอ้ความหมดไฟนี้มันจะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ เช่น พรุ่งนี้ หรือเดือนหน้า เพราะเราทำเองทุกอย่างยกเว้นเป็นแอดมิน มันเลยเหมือนกับว่าถ้าเราหมดไฟ มันก็ไม่มีคนมารันต่อแล้วนะ 

ทำยังไงเวลาเกิดความรู้สึกแบบนั้น

ต้องเดินทาง ต้องหนีออกจากตรงนี้แล้วค่อยกลับมาคิดว่าจะทำอะไรต่อ

ก่อนโควิด-19 เราไปญี่ปุ่นปีละ 3 ครั้ง คือมันต้องออกไปดูอะไรที่มันซิวิไลซ์ เราไม่สามารถเดินห้างในไทยแล้วเกิดแรงบันดาลใจได้ เราต้องไปเดินในที่ที่เขาจริงจังเรื่องดีไซน์ ไปดูหนังสือ ไปดูวัฒนธรรมเขา  

จนถึงจุดนี้ คุณคิดว่า business plan จำเป็นไหม 

เราว่ามันขึ้นกับวิธีการทำงานของแต่ละคนว่าอะไรที่เหมาะกับเรามากกว่า อย่างตอนนี้เรายังไม่มีเลย เพราะเราทำงานคนเดียว อะไรไม่ได้ก็ไม่ต้องฝืน แต่ทำไปตามสัญชาตญาณ

 แต่เราไม่ได้บอกว่ามีหรือไม่มีจะดีกว่านะ เพียงแต่สำหรับตอนนี้ เรายังรู้สึกว่าไม่มีก็ได้ 

เคยคิดไหมว่าแบรนด์ Songbird ในอนาคตจะเป็นยังไง

เราอยากทำของสวยๆ ที่ไม่จำกัดว่าจะเป็นอะไร ส่วนการทำรองเท้าเราก็อยากจะทำได้เองทุกขั้นตอน ถ้าเราทำได้ดีเราอยากทำแค่เดือนละ 10 คู่แล้วไม่ต้องสต็อก ไม่ต้องขายผ่านใคร แต่ให้ลูกค้ามาวัดไซส์ มาคุยกับเราที่นี่เพราะเราไม่อยากทำหว่านแล้ว เราอยากทำรองเท้า เสื้อผ้า หรือกระเป๋า ที่คอนเนกต์กับลูกค้าจริงๆ

แต่ก็ยังเป็นความฝันที่ไกลมาก 

ก่อนจะไปให้ถึงความฝัน ในความจริงตรงหน้านี้ คุณคิดว่า Songbird ยืนถึงทุกวันนี้ได้ด้วยความเชื่ออะไร

เราเชื่อเซนส์ตัวเอง เพราะ Songbird มันคือตัวเราเลย และ Songbird ก็โตมากับเราจริงๆ  

ตั้งแต่ทำเล่นๆ จนกระโดดไปทำสไตล์นั้นสไตล์นี้ แล้วอยู่ดีๆ ก็อยากทำรองเท้า เหมือนมันเป็นที่ที่เราอยากทำอะไรก็ทำได้ มันยังเลี้ยงเราได้ 

ในความกังวลต่างๆ ว่าเราจะหมดไฟโน่นนั่นนี่ แต่เราก็ยังชอบมันมากจนอยากตื่นมาทำงาน ชอบแบบที่เรายังมีแรงทำมันต่อ มันก็เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจ