A Heartfelt Movement

วิธีบริหารธุรกิจกับคนรักให้ยืนยาวและมั่นคงของ อภิพรรณและนิธิศ คู่รักเจ้าของ Rally Movement

ไม่ว่าจะเริ่มต้นทำอะไรในชีวิตประจำวันหรือแม้กระทั่งการมีฝันอยากเป็นผู้ประกอบการสร้างแบรนด์ของตัวอง เรามักได้ยินคำแนะนะจากผู้หวังดีด้วยประโยคที่ว่า “ให้ออกไปหา inspiration”

ขณะที่ในบทเรียนของเหล่าคนเรียนศิลปะหรือสายแฟชั่น ในกระบวนการทำงานก็ดูเหมือนว่าการหา inspiration จะเป็นขั้นตอนที่สำคัญไม่น้อยก่อนจะค่อยๆ ลงลึกในสเตปถัดมาอย่างการทำ mood board และการหา target group ตามลำดับ 

แต่ไม่ใช่สำหรับแบรนด์เสื้อผ้าอย่างRally Movementของสองพาร์ตเนอร์คู่รักอย่าง เค้ก–อภิพรรณ มงคลพาณิชยกิจ และปั๊ม–นิธิศ วงศ์สวัสดิ์ 

พวกเขาทั้งคู่เชื่อว่าสำหรับแฟชั่นแล้ว ทุกอย่างไม่จำเป็นจะต้องมีกฎตายตัว

“ในทุกๆ เรื่อง มันไม่จำเป็นต้องมี inspiration ก็ได้ หรือถ้าจะมี inspiration นั้น ก็อาจจะมาช่วยในงานของเราเพียงแค่ 10% เพราะว่าในความเป็นจริงแล้ว บางทีบางอย่างมันก็อาจจะเกิดมาจากคำแนะนำจากคนข้างๆ หรือการที่เราไปเห็นอะไรมาด้วยตัวเองจากการเดินทาง โดยสิ่งเหล่านี้สำหรับผม ผมไม่ได้นับว่ามันเป็น inspiration แล้วในการทำ fashion business เอง ผมกับเค้กก็ไม่ได้มีกฎอะไรตายตัวในการทำงานดีไซน์ 

“แต่แน่นอนว่าบางอย่างเราก็เริ่มต้นคิดกันจาก inspiration แหละ ในบางอย่างเองเราก็มีอิงกับเทรนด์ไปบ้าง หรือในบางอย่างเราก็อิงจากความอยากทำมันของตัวเราเอง รวมไปถึงความชอบส่วนตัว มันสามารถเกิดขึ้นได้หมดจริงๆ” ปั๊มพูดถึงไอเดียของออกแบบเสื้อผ้าในแต่ละคอลเลกชั่น

แม้ผู้คนภายนอกจะไม่ได้รับรู้เรื่องราวเบื้องหลังการทำงานของทั้งเค้กและปั๊มมากนัก แต่แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ก็ได้สะท้อนออกมาในรูปแบบเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายของแบรนด์ Rally Movement ผ่านลายเซ็นการดีไซน์ของพาร์ตเนอร์ทั้งคู่ที่ประจักษ์สู่สายตาของผู้คนตลอดระยะเวลา 5 ปี

ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว แบรนด์เสื้อผ้า Rally Movement เกิดจากความตั้งใจของเค้กและปั๊ม นิสิตคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาแฟชั่นกับสาขาเซรามิกที่คิดอยากจะมีแบรนด์เสื้อผ้าร่วมกันกับพาร์ตเนอร์คนสำคัญที่แม้ว่าความสัมพันธ์และชีวิตส่วนตัวจะอยู่ในบทบาทของคู่รัก แต่ในเวลางาน พวกเขาต่างก็สบายใจที่จะอยู่ในบทบาทของเพื่อนร่วมงานที่ดี

แต่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะและบทบาทไหน ส่ิงที่พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เห็นพ้องต้องกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรคือความสำคัญของเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายที่เป็นมากกว่าแฟชั่นหรือการหยิบจับเพื่อสวมใส่ตามเทรนด์

“เรารู้สึกว่าเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายน่าจะมีความหมายกับทุกคน อย่างแรกก็คือเป็นปัจจัย 4 อยู่แล้ว ปัจจัยที่ทุกคนจะต้องสวมใส่กัน ไม่ต่างไปจากอาหารหรือที่อยู่อาศัย แล้วเสื้อผ้ามันก็อาจจะเป็นดั่ง first impression ของผู้คนเวลาที่ได้พบเจอกันด้วย แต่ถ้ามองให้ deep ไปกว่านั้น เรารู้สึกว่าเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายเป็นสิ่งที่เสริมความมั่นใจ เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถ represent อะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเราหรือภายในตัวเราออกมาให้คนอื่นได้เห็น ซึ่งนอกเหนือไปจากแฟชั่นแล้ว เราก็ยังให้ความสำคัญไปกับ occasion ด้วย เช่นว่าวันนี้เราจะแต่งตัวไปทำอะไร ถ้าไปงานสไตล์นี้ เราต้องแต่งตัวแบบไหน สิ่งเหล่านี้มันจึงค่อนข้างสะท้อนออกมาในรูปแบบเสื้อผ้าของ Rally Movement ด้วย เพราะ core ของแบรนด์คือการทำเสื้อผ้าให้คนที่สวมใส่เสื้อผ้าของเราเขามีความมั่นใจมากขึ้น” เค้กเล่าถึงความหมายของเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และการสร้างแบรนด์จากมุมมองของเธอ

ด้วยความสำคัญของเสื้อผ้าและผู้คน ชื่อแบรนด์อย่าง Rally Movement จึงมีที่มามาจากความหมายที่ตรงตัวของแต่ละคำ อย่างคำว่า ‘Rally’ นั้นหมายถึงการต่อสู้ ปั๊มอธิบายว่าตัวเขาเองเห็นภาพแบรนด์เสื้อผ้าของพวกเขาเปรียบเช่นการต่อสู้ที่ควรจะมีทั้งการ interact และการ represent กับผู้คนอยู่เสมอ โดยทั้งเค้กและปั๊มก็ยังมองว่าการจะทำเริ่มธุรกิจเสื้อผ้าขึ้นมาสักแบรนด์ แบรนด์ของพวกเขาก็คงไม่ใช่แบรนด์เสื้อผ้าแบบเงียบๆ เพราะถ้าให้เปรียบแบรนด์ของพวกเขาเป็นสี สีนึง แน่นอนว่า Rally ก็คงจะไม่ใช่สีพื้นๆ แต่จะต้องมากับสีแดงเสมอ

เมื่อสีถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือการสื่อสารของ Rally อย่างการแสดงความมั่นใจแล้ว การเพิ่มคำว่า ‘Movement’ หรือที่แปลว่าขบวนการหรือการเคลื่อนไหวเข้าไปด้วย ก็ยิ่งทำให้เค้กและปั๊มรู้สึกว่าตัวของพวกเขาและแบรนด์ไม่ได้ส่งสารหรือสื่อสารกับผู้คนอยู่ฝ่ายเดียว ฉะนั้นแล้วชื่อแบรนด์อย่าง ‘Rally Movement’ จึงไม่ใช่แค่ชื่อแบรนด์เท่ๆ แต่ยังเป็นชื่อที่สามารถสะท้อนต่อกลุ่มคนที่สวมใส่ อีกทั้งยังสามารถสะท้อนกลับมาถึงการทำงานของทั้งคู่อย่างในเรื่องของไดเรกชั่นและวิชั่นที่เค้กและปั๊มก็ตั้งใจขับเคลื่อนทั้งแบรนด์และคอลเลกชั่นเสื้อผ้าไปตามโลกและผู้คนอีกด้วย

ปัจจุบัน Rally Movement มี permanent store ทั้งหมด 3 โลเคชั่นหลัก ได้แก่ ชั้น G ของสยามดิสคัฟเวอรี่, ร้าน Comma And ณ เซ็นทรัลเวิลด์ แล้วก็ที่คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ในขณะเดียวกันนั้นเค้กและปั๊มก็ยังมีธุรกิจเสื้อผ้าอย่าง BRUT แบรนด์เสื้อผ้า party wear กับ occasional wear น้องใหม่ และแบรนด์ Gold Pocket แบรนด์เสื้อผ้าสำหรับผู้ชายที่จะต้องบริหารไปพร้อมๆ กันอีกด้วย 

คอลัมน์ Business Partner ที่ว่าด้วยวิธีการบริหารความสัมพันธ์ไปพร้อมกันกับการทำธุรกิจตอนนี้ จึงอยากชวนทั้งสองคุยถึงวิธีการดูแลธุรกิจแบรนด์เสื้อผ้า ‘Rally Movement’ ให้ยังคงโดดเด่นอยู่ในกระแสได้อย่างยาวนานและยังสามารถดูแลความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปพร้อมๆ กันได้อย่างมั่นคง

พวกคุณเริ่มรู้จักกันได้ยังไง 

ปั๊ม : คือจริงๆ เราเจอกันตั้งแต่ตอนที่เราอยู่ปี 1 ที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พวกเราสองคนเรียนคณะเดียวกันทั้งคู่ แต่ว่าเราเรียนกันคนละเอก แล้วเราสองคนก็เป็นแฟนกันมาตั้งแต่ช่วงปี 1 เลย จนจบปี 4 พวกเราก็เริ่มทำร้านด้วยกัน

อะไรคือสิ่งที่ทำให้พวกคุณตัดสินใจเริ่มทำธุรกิจด้วยกัน

เค้ก : จุดเปลี่ยนมันเริ่มมาจากการที่เราเป็นเด็กที่เรียนอาร์ตด้วยกันมาทั้งคู่ เวลาเรียนหรือเวลาทำงาน ส่วนใหญ่มันก็จะต้องทำงานร่วมกันเป็นทีม ทำโปรเจกต์อะไรด้วยกันเป็นกลุ่มอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ‘กลุ่มเพื่อน’ ก็จะค่อนข้างรู้ใจกันประมาณนึง ซึ่งด้วย element ต่างๆ ในแบรนด์ หรือสกิลในการทำโปรเจกต์ต่างๆ ที่มัน require มากกว่าแค่คนหนึ่งคน เราจึงจะไม่สามารถทำงานได้คนเดียวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะยังไงคำตอบตั้งแต่แรกก็คือ ‘เราจะไม่ทำธุรกิจคนเดียว’

งั้นทำไมถึงต้องเป็นพาร์ตเนอร์คนนี้

เค้ก : จริงอยู่ที่ว่าเค้กเรียนแฟชั่นมา ปั๊มเรียนเซรามิกมา แต่ว่าเราสองคนก็มีความสนใจในอาร์ตกันทั้งคู่ อย่างตัวเค้ก เค้กก็รู้ตัวเองว่าความถนัดของเราอาจจะเด่นในเรื่องการดีไซน์เสื้อผ้า ส่วนปั๊มก็จะเป็นคนที่มีความสนใจในด้านเสื้อผ้าทั้ง men’s wear และ women’s wear เลย แล้วปั๊มก็เป็นคนที่เก่งในด้านครีเอทีฟ เราก็เลยไว้ใจที่จะให้ปั๊มมาเป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์เพื่อดูแลเรื่องภาพรวมแบรนด์ พอเรารู้ว่าเราสองคนมีสกิลอะไรกันเราก็แค่ลองเอามา merge กันแล้วก็เริ่มทำแบรนด์ด้วยกัน

คิดยังไงกับประโยคที่ว่า “คนรักทำธุรกิจด้วยกัน ระวังทะเลาะกัน”

ปั๊ม : ผมกลับเห็นต่างกับประโยคที่ว่า “คนรักทำธุรกิจด้วยกัน ระวังทะเลาะกัน” เพราะตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าแค่ธุรกิจ แต่รวมไปถึง hobby ด้วย ทุกอย่างที่เราเคยทำมากับพาร์ตเนอร์ทั้งหมดก่อนหน้านี้ มันก็ล้วนเป็นคนใกล้ตัวเราหมดเลย นั่นหมายความว่าคนใกล้ตัวนี่แหละที่จะเป็นส่วนผสมที่เหมาะที่สุดสำหรับเรา เพราะผมเชื่อว่าในการจะทำอะไรร่วมกันสักอย่างมันจะต้องไม่ใช่การทำงานร่วมกับคนอื่นคนไกล 

อย่างธุรกิจ ผมคิดว่าคนใกล้ตัวเช่นเพื่อนหรือแฟน เราต่างคนก็อยู่ในจุดที่เข้าใจกันมากพอแล้ว ซึ่งถ้าถามผมว่า “แล้วเราจะทะเลาะกันไหม” มันก็คงอยู่ที่ตัวบุคคลมากกว่าว่าพาร์ตเนอร์ที่เราร่วมทำธุรกิจด้วยเป็นมนุษย์ที่สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ไหม แล้วยิ่งถ้าเป็นคนที่ทำงานร่วมกับคนอื่นได้ ยังไงก็สามารถทำงานกับใครก็ได้ด้วยเหมือนกัน ผมเลยค่อนข้างมั่นใจว่าสำหรับผมกับเค้ก เราน่าจะเป็น best option จริงๆ สำหรับการครีเอตส่ิงที่น่าสนใจร่วมกัน

ก่อนจะมาเป็น Rally Movement พวกคุณเคยทำธุรกิจอะไรร่วมกันมาบ้าง 

ปั๊ม : ตอนนั้นเราทำร้านมัลติแบรนด์ ‘gloc’ กันอยู่ที่อารีย์กับกลุ่มเพื่อนรวม 4 คน แล้วในช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกันนี้เอง ผมกับเค้กก็มาทำแบรนด์เสื้อผ้า Rally Movement ของพวกเราเองยาวมาจนถึงปัจจุบัน และในปีนี้เอง เราสองคนก็เพิ่งมีแบรนด์เสื้อผ้าน้องใหม่ออกมาด้วยกันถึง 2 แบรนด์อย่าง BRUT และ Gold Pocket

อะไรที่ทำให้พวกคุณตัดสินใจทำสองธุรกิจในระยะเวลาคาบเกี่ยวกัน

เค้ก : อย่างที่บอก gloc กับ Rally Movement เราเริ่มทำพร้อมกัน เพราะเราเริ่มมีความคิดที่จะทำพร้อมกันเลย คือเหมือนกับว่าก่อนหน้าที่เค้กจะมาทำแบรนด์ Rally Movement เค้กก็เคยทำแบรนด์อื่นมาก่อนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าตอนสมัยเรียน มันก็ไม่ได้เป็นแบรนด์ที่จริงจังอะไรมาก เพราะฉะนั้นการทำแบรนด์หลายแบรนด์ไปด้วยกันมันจึงไม่ใช่สิ่งแรกหรือครั้งแรกที่เค้กเคยทำ แต่ด้วยความที่เราเรียนแฟชั่นมา ประจวบกับว่าเป็นช่วงที่เรากำลังจะเรียนจบ ตัวเค้กเองก็ตอบตัวเองได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าเราไม่น่าจะไปทำงานอันเดอร์บริษัทแฟชั่นไหน แต่สิ่งที่เราสามารถจะทำได้ต่อจากนี้คือการครีเอตอะไรสักอย่างขึ้นมาเป็นของตัวเอง เพราะฉะนั้น ยังไง Rally Movement ก็เป็นโจทย์ที่เรามีมาตั้งแต่แรกกันอยู่แล้ว

ส่วน gloc มันก็จะเป็นแพสชั่นอีกด้านนึงในช่วงขณะที่เราและกลุ่มเพื่อนได้เรียนแฟชั่นด้วยกันมา สำหรับ gloc มันเกิดขึ้นจากความที่พวกเราเป็นคนชอบช้อปปิ้ง ซื้อของ พอเวลาได้ไปเที่ยวต่างประเทศ พวกเราต่างก็ได้ไปเห็นว่ามันยังมีแบรนด์เสื้อผ้าดีๆ ที่ยังไม่มีในไทย แล้วเราก็แค่อยากให้แบรนด์นี้มันมีในประเทศของเราด้วย สิ่งนี้มันก็เป็นแพสชั่นคนละด้านกับ Rally Movement แต่เค้กมองว่ามันมี interest ที่เหมือนกัน

การทำงานระหว่าง gloc กับ Rally Movement แตกต่างกันไหม

ปั๊ม : คือการทำงานระหว่าง gloc กับ Rally Movement มันต่างกันมาก อย่างในมุมของ gloc เรา positioning ตัวเองเป็นมัลติแบรนด์ นั่นหมายความว่างานหลักของเราคืองานบริหาร คำว่า ‘งานบริหาร’ ในที่นี้คือการขายของหลายชิ้น หลายแหล่งที่มา โดยพวกเราทั้งสี่ก็ได้ทำการ select โปรดักต์ที่คิดว่าจะขายได้หรือเป็นที่ต้องการของผู้คนประมาณนึงอยู่แล้ว มา push เพิ่มให้เป็นวิธีการของพวกเรา เพราะฉะนั้นการทำงานมันจึงไม่เหมือนกับแบรนด์ Rally Movement ที่ปั๊มกับเค้กจะทำงานกันเป็นคอลเลกชั่น และเราทั้งคู่ก็จะโฟกัสกันที่โปรดักต์ซะส่วนใหญ่

เค้ก : จริงๆ ทั้งสองแบรนด์มันก็เป็นงานดีเทลทั้งคู่แหละ แต่เค้กว่าการทำงานมันจะมีความแตกต่างกันในแง่ของ management มากกว่า เพราะ gloc เป็นร้านมัลติแบรนด์เนอะ อย่างที่ปั๊มพูดคือมันก็จะต้องมีเสื้อผ้าหลากหลายแบรนด์ในนั้น นั่นจึงหมายความว่า task ของเรามันไม่ใช่การผลิตสินค้าหรือการออกแบบสินค้า แต่ task ของเรา มันคือ ‘การดูแลคนที่อยู่กับเราและลูกค้าของเรา’ นั่นเอง

ย้อนกลับไปในวันแรก คุณพูดคุยถึงการทำ Rally Movement ร่วมกันยังไง

ปั๊ม : Rally Movement เราเริ่มคุยกันผ่านทางโทรศัพท์

เค้ก : ใช่ เป็นทางโทรศัพท์ ก็เป็นตัวเค้กเองนี่แหละที่ชวนปั๊ม คือเราก็คุยกันแหละว่าอยากทำแบรนด์ แล้วพอคุยกันแล้ว เราก็ต้องมาหาตรงกลางด้วยกันว่าเราจะทำแบรนด์ออกมาหน้าตาประมาณไหนก็เท่านั้น คือจริงๆ มันก็เป็นการเริ่มตัดสินใจทำแบรนด์กันแบบง่ายๆ เลย เพราะเราทั้งคู่ก็ค่อนข้างชัดเจนกันอยู่แล้วว่าเราจะทำแบรนด์ เพราะฉะนั้นมันก็เหลือแค่ว่าเราจะเลือกใครมาทำงานด้วยกันกับเรา หลังจากนั้นงานจะเป็นไปในทิศทางไหน ก็คือเริ่มเลย เพราะเราก็ไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งไปมากกว่านั้น

ปั๊ม : จริงๆ  Rally Movement มันเริ่มค่อนข้างง่าย แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเราสองคนเลย เพราะแน่นอนว่าพวกเราก็คลุกคลีกับเรื่องแบบนี้กันมาตั้งแต่เราเรียน เพราะฉะนั้นมันเลยเป็นสกิลเดียวที่ติดตัวมา มันเลยไม่มีความรู้สึกฝืนที่จะทำ แถมมันยังเป็นความมั่นใจของเราด้วย 

มีสิ่งที่น่าเป็นห่วงใน day 1 ไหม

ปั๊ม : แม้เค้กจะจบแฟชั่นมา ส่วนผมจบเซรามิกมา แต่ผมว่าเราสองคนไม่ได้เป็นห่วงเรื่องการดีไซน์กันเลย เพราะเราเป็น design student ทั้งคู่ ฉะนั้นในเรื่องของ soft skill เราคิดว่าเราไม่ห่วงเรื่องหน้าบ้านกันเลย แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดสำหรับเราใน day 1 คือ operation หลังบ้าน  

เค้ก : เพราะ operation หลังบ้านถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับเด็กเรียนแฟชั่นไปแล้ว

ปั๊ม : เพราะคำว่า ‘แบรนด์’ มันไม่ใช่ ‘อาร์ต’ แล้ว แต่คำว่า ‘แบรนด์’ มันกลายเป็นธุรกิจแล้ว นั่นหมายความว่าเราต้องเรียนรู้เพิ่มเยอะมากในฝั่งของการบริหารงานหลังบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตัวเลข สต็อก การทำทุกอย่างเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย

ในการทำแบรนด์เสื้อผ้า Rally Movement คุณแบ่งหน้าที่กันยังไง

เค้ก : ใน day 1 เรามีการแบ่งหน้าที่กันว่าเค้กทำเสื้อผ้า แล้วปั๊มก็ทำกราฟิก แต่เอาเข้าจริงๆ นะ ในทุกวันนี้ทุกๆ อย่างมันถูก cross กันไปหมด อย่างเช่นว่าเค้ก lead เรื่องเสื้อผ้าก็จริง แต่ว่าในเรื่องดีเทลของเสื้อผ้าปั๊มก็จะให้ความเห็นเหมือนกัน หรือในเรื่องของอาร์ตไดเรกชั่น ปั๊มก็ยังคงเป็นคน lead ขณะเดียวกัน ตัวเค้กเองก็มีไอเดียเยอะในอาร์ตไดเรกชั่นและการจัดการคนด้วย ซึ่งก็คือเราสองคนทำงานร่วมกันไปเลย 

ปั๊ม : สรุปคือเราทั้งคู่ทำงานร่วมกัน แต่ว่าแค่ขั้นตอนที่ใช้สกิลดีไซน์จะแตกต่างกัน ส่วน final decision อาจจะแยกออกจากกันชัดเจน

ใน day 1 คือเสื้อผ้าสไตล์ไหน

เค้ก : ใน day 1 ถ้าเอาแบบฟังก์ชั่นเลย ยังไงเราก็คิดว่ามันจะต้องออกมาเป็นเสื้อผ้าแบบ work wear ที่ไม่ว่าใครก็สามารถสวมใส่ไปทำงานได้ เพราะในช่วงที่เราเริ่มทำธุรกิจ Rally Movement ขึ้นมา มันเป็นช่วงที่เรากำลังจะเป็น first jobber ด้วยความที่มันเป็นตอนสมัยเราเพิ่งเรียนจบกัน เราก็เลยคิดกันว่าสิ่งที่ทำให้เราจะ grow ไปได้ง่ายที่สุดคือการทำอะไรที่เหมาะสมกับช่วงวัยเรา เพราะว่าเราน่าจะมีความเข้าใจตรงนั้นมากจริงๆ เราก็ไม่ได้คิดอะไรไปไกลมากกว่าสิ่งที่เราอยากได้

 ณ ตอนนั้น เลยเริ่มจากกางเกงสแล็ก แล้วก็เสื้อสูท แต่ว่าตัวเราน่ะเป็นคนชอบสวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีสัน จุดนี้มันเป็นโจทย์ง่ายๆ สำหรับเราที่จะตัดสินใจทำกางเกงสแล็กกับเสื้อสูทที่มีสีสันขึ้นมา แต่สิ่งที่สำคัญไปกว่าเสื้อผ้า มันก็คือการหาคาแร็กเตอร์ให้กับแบรนด์ว่าแบรนด์เราจะเป็นมู้ดไหน แน่นอนว่าแบรนด์เราจะไม่ได้เป็นแบรนด์ที่ให้ความ feminine จ๋าๆ นะ แบรนด์เราจะมีความ masculine นิดนึงเป็นเหมือนผู้หญิงที่มีความมั่นใจ 

ในขวบปีที่ 5 สไตล์ของเสื้อผ้าเปลี่ยนไปบ้างไหม

เค้ก : เปลี่ยน เพราะเรามองว่าในผู้หญิงหนึ่งคน เขาก็ไม่ได้มีเพียงแค่มิติเดียว

อย่างตัวเค้กก็รู้สึกว่าเราก็ไม่ได้ใส่สูทอยู่ตลอดเวลานี่ คนอื่นก็เหมือนกัน อย่างคนหนึ่งคน เวลาที่เขาไปทะเลเขาก็มีอีกมู้ดนึงแหละ หรือเวลาที่เราไปต่างประเทศ เสื้อผ้าและการแต่งกายของเรามันก็จะเป็นอีกมู้ดนึง ฉะนั้นแล้วเสื้อผ้าของ Rally Movement ตั้งแต่ day 1 มาจนถึงปัจจุบันเอง เราก็เริ่มที่จะมีคอลเลกชั่นเสื้อผ้าและโปรดักต์หลากหลายสไตล์มากขึ้น ตั้งแต่เสื้อโปโลที่ไม่ว่าลูกค้าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็สามารถสวมใส่ได้ทั้งในวันทำงานหรือแม้ในวันที่เราไปเที่ยว ตลอดจนเสื้อผ้าของแบรนด์เราก็ยังมีโปรดักต์อย่างเสื้อสายเดี่ยวด้วยนะ 

ปั๊ม : ชุดว่ายน้ำ ซีทรูจริงๆ เรามีหมด เพราะเรารู้สึกว่ายุคนี้ การแต่งตัวมันไม่ได้จำกัดแล้วว่าฉันจะเป็นผู้หญิงเท่ เรียบเท่านั้น แต่ฉันอาจจะเป็นผู้หญิงที่เท่ เรียบในตอนกลางวัน แต่ซ่าในตอนกลางคืนก็ได้ เพราะฉะนั้นผมรู้สึกว่าเสื้อผ้าของ Rally Movement มันคอมพลีตชีวิตคนคนนึงได้ โดยในแต่ละไอเทมก็จะให้แต่ละ aesthetic ที่แตกต่างด้วย

จาก day 1 ถึงวันนี้ คอนเซปต์แบรนด์ยังคงเหมือนเดิมอยู่ไหม

เค้ก : เหมือนเดิม เพราะคอนเซปต์ของแบรนด์เราค่อนข้างชัดเจน แต่สิ่งที่เปลี่ยนน่าจะเป็น inspiration theme ในแต่ละคอลเลกชั่นมากกว่า ส่วน core คือเหมือนเดิมเลย จริงๆ core ตรงนั้นมันคือส่ิงที่อยู่ในตัวเราสองคนมาตั้งแต่ day 1 แล้วมันโตตามเรา ซึ่งมันอาจจะเป็นเรื่องที่เราเข้าใจกันสองคน แต่ถ้าให้พูดให้ทุกคนเข้าใจง่ายๆ ก็อาจจะพูดถึง persona ของแบรนด์ที่เราสองคนได้เซตขึ้นมา 

ปั๊ม : ถ้าหากจะให้พูดถึง persona ของทาร์เก็ตที่เราคิดหรือที่เราเห็นภาพหลังบ้านร่วมกันมาตลอด คนแรกที่ผมนึกถึงในภาพของ Rally Movement เลยคือBond girls’  คือผู้หญิงในเรื่อง James Bond ซึ่งผมเองก็ชอบตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว เพราะว่าในตัว Bond girls เขาก็จะมีดีเอ็นเอบางอย่างที่ represent ออกมาได้ว่าผู้หญิงคนนี้เท่นะ เก่งนะ แต่ในบางทีก็ดูผู้ญิ้งผู้หญิง หรือในบางทีก็ดูแมนมากๆ อยู่ในคนเดียวกัน จุดนี้แหละที่ผมคิดว่า Bond girls เขาค่อนข้างให้มู้ดที่ดูแอ็บสแตรกท์ดี 

นอกจากดีไซน์ของเสื้อผ้า คุณสองคนคิดว่าแบรนดิ้งสำคัญยังไงบ้าง

ปั๊ม : ในเรื่องแบรนด์ดิ้ง เอาจริงๆ มันไม่ได้ต่างจากการทำเสื้อผ้าเลย นั่นคือการที่เราจะ stick to the rule ของตัวเราเอง แล้วก็ respect วิถีของแบรนด์ ของดีเอ็นเอ เพราะฉะนั้นมันจึงเข้าโจทย์ที่ว่า ‘อย่าไปพยายามจะเป็นเหมือนใคร’ ก็ให้หาจุดแข็งของตัวเองที่เราจะทำได้ เราทำได้แค่ไหนก็ได้แค่นั้น แต่เราก็จะต้องเต็มที่กับสิ่งที่เราถนัด ไม่ไปพยายามที่จะเป็นเหมือนคนอื่น ผมคิดว่านี่แหละ คือสิ่งที่ทำให้แบรนดิ้งของเรามันรอด มันเพียงพอ 

แล้วในฝั่งของมาร์เก็ตติ้งพวกคุณเวิร์กกันยังไง

เค้ก : ในฝั่งมาร์เก็ตติ้งน่ะ เค้กรู้สึกว่าโปรดักต์มันจะต้องขายตัวเองให้ได้ก่อน ถ้าโปรดักต์ดี มันก็จะไม่ต้องทำมาร์เก็ตติ้งอะไรเยอะ แล้วก็เราสองคนเองก็ค่อนข้างให้ความสำคัญกับภาพรวมของโปรดักต์แต่ละชิ้นที่ออกไป เพราะฉะนั้นตัวสินค้าจึงมาร์เก็ตติ้งตัวมันเองอยู่แล้วประมาณนึง ไม่ว่าจะจากภาพโฟโต้ชูตที่เราถ่ายก็ดี ฉะนั้นเค้กจึงคิดว่ามาร์เก็ตติ้งสำหรับเรามันไม่ใช่แค่การลงโปรดักต์ผ่านตามโซเซียลมีเดียช่องทางต่างๆ แล้วจบ แต่เราสองคนจะค่อนข้างคิดในหลายๆ มุมมากๆ เราจะไม่ทำให้มันซ้ำกันด้วย เช่นคอลเลกชั่นนี้ทำส่ิงนี้ไปแล้ว ในคอลเลกชั่นหน้าเราก็อาจจะมีวิธีการในการ communicate กันอีกแบบนึง เราก็พยายามที่จะเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ อ้างอิงมาจากเนเจอร์ของกลุ่มลูกค้าเราด้วยค่ะ บางทีเรารู้ว่าลูกค้าของเรา เขาอาจจะเสพแพลตฟอร์มนี้เยอะในช่วงเวลานี้นะ เราก็อาจจะฟอลโลว์ไปตามช่องทางนั้นๆ 

พวกคุณคิดว่าจุดขายของ Rally Movement คืออะไร

ปั๊ม : ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราจะบอกว่าเสื้อผ้าของเรามันค่อนข้าง functional เพราะว่าเสื้อผ้าของเรามันเป็นเสื้อผ้าสำหรับ working women และ urban สำหรับการสวมใส่ในเมือง แต่ว่าในตอนนี้เสื้อผ้ามันถูกแตกไลน์ออกมาเยอะแล้ว 

เค้ก : เบสจากตัวเค้กเอง ณ ตอนนี้ เค้กว่าเสื้อผ้าของแบรนด์เรามันก็ยังมี core ของคำว่า functional อยู่ เพราะเวลาที่เราจะออกโปรดักต์อะไรสักอย่างในแต่ละครั้ง คือต่อให้เสื้อผ้ามัน vary มากๆ แล้ว มันก็ต้อง functional แหละ  เพราะเค้กเชื่อว่าเสื้อผ้าเวลามันจะถูกใส่มันต้องใส่ได้จริงนิดนึง คือแน่นอนว่าเค้กเป็นคนชอบแต่งตัวก็จริง แต่เค้กเองก็จะไม่สามารถอยู่กับเสื้อผ้าที่มันทรมานได้ อย่างเสื้อผ้าที่มันคันหรือรองเท้าที่มันกัดเนี่ย เราอยู่กับมันไม่ได้เลย 

ถ้าให้พูดถึงตัวโปรดักต์ของเราอย่าง RM เราออกโปรดักต์นี้มาเข้าปีที่ 4-5 กันแล้ว แต่ในทุกวันนี้ เราก็ยังขายสิ่งนี้กันได้อยู่ หรือในเสื้อโปโลของเราเอง ในอนาคต เค้กก็ยังอยากทำยังไงก็ได้ให้ตัวโปรดักต์นี้มันอยู่ได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ คือเค้กอยากให้ทุกคนที่มีเสื้อรุ่นนี้อยู่ในตู้ยังรู้สึกว่ามันไม่ได้ตกเทรนด์ และยังสามารถหยิบออกมาสวมใส่ได้เรื่อยๆ สิ่งนี้แหละที่เค้กให้ความสำคัญและถือเป็นทั้งจุดแข็ง-จุดขายของ Rally Movement  ที่เรายังคงพยายามคิดกันว่าจะทำยังไงให้ลูกค้าได้สวมใส่โปรดักต์สักตัวได้คุ้มค่าที่สุด

แล้วเวลามีไอเดียใหม่ๆ คุณสองคนพูดคุยกันยังไง

ปั๊ม : เวลาเรามีไอเดียใหม่ๆ หรือวิธีการที่เราคุยกันถึงสิ่งใหม่ๆ  บอกตามตรงว่าถ้าไม่มีเรื่องงานใน relationship ของเราเนี่ย เราสองคนก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกันนะ

เค้ก : เพราะเราสองคนคุยเรื่องงานกันตลอดเวลา (หัวเราะ) สำหรับตัวเค้กเนี่ย เค้กเป็นคนที่คิดอะไรค่อนข้างเยอะมาก เค้กมีไอเดียใหม่ตลอดเวลา แล้วเวลาที่เราคิดอะไรเราก็จะทำเลย  โดยไอเดียใหม่ๆ เหล่านี้เนี่ยมันก็จะถูกส่งต่อไปให้กับทีมของเราในทุกๆ คนเหมือนกัน คือถ้าเรารู้ว่าเราต้องการสิ่งนี้ เรากับทีมก็จะต้องทำออกมาให้ได้ทุกครั้ง

ปั๊ม : แล้วเราก็เอนจอยที่จะคุยเรื่องงานกันตลอดเวลามากเลย เพราะว่าเรามีงานเป็น goal หลักของเราทั้งคู่ เพราะฉะนั้นการคุยงานกันมันจึงเป็นเรื่องธรรมชาติมากๆ 

แสดงว่าพวกคุณมีทีมที่พร้อมรับมืออยู่ตลอดเวลาใช่ไหม

ปั๊ม : ใช่ ผมขอเน้นย้ำเลย ผมอยากให้เครดิตกับทีมของ Rally Movement เพราะแบรนด์เรามีพนักงานเป็น 10 คน

เค้ก : 10 คนนั้นเป็นดรีมทีมจริงๆ ในฉบับที่พอเราบอกว่าเราต้องการสิ่งไหนสิ่งนั้นก็จะต้องเกิดขึ้น ซึ่งทุกคนค่อนข้างรู้เนเจอร์ของบริษัทว่าเราจะไม่ทำอะไรกันเล่นๆ เราทำกันจริงจังหมด อะไรที่เราต้องการก็คือเราต้องการให้มันออกมาเป็นผลลัพธ์เลยจริงๆ 

แล้วพวกคุณแบ่งเวลาให้ไม่กระทบเวลาส่วนตัวกันยังไง

เค้ก : เราก็ต้อง weight แหละ เพราะพวกเราอาจจะไม่สามารถทำทุกอย่างออกมาได้เพอร์เฟกต์ทั้งหมด เพียงแต่ว่าเราก็ทำมันออกมาให้ได้ดีที่สุดในเวอร์ชั่นของพวกเรา และเค้กก็รู้สึกว่าแกนหลักที่สำคัญที่สุดคือชีวิตของเราที่เราจะต้องบาลานซ์ให้ดีก่อน อย่างเช่นเรื่องสุขภาพ การออกกำลังกาย การดูแลอาหารการกินและการดูแลจิตใจให้ดี คือสุดท้ายการงานมันก็ต้องไม่มากระทบกับชีวิตส่วนตัวเราเหมือนกันเนอะ ถ้าขีดเส้นใต้จุดนี้ได้ดีพวกเราก็สามารถบาลานซ์มันได้

ปั๊ม : แน่นอนว่าเวลาเราคุยเรื่องงานกัน มันก็จะมีเรื่องที่เราสองคนรู้สึกว่ามันส่งเสริมกันนะ เพราะเราจะไม่คุยเรื่องงานที่มันเครียดหรือโหดร้ายเกินไปในวันพักผ่อนของพวกเรา แต่ผมว่าสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญที่สุดของชีวิตคือร่างกายตัวเองก่อน นั่นหมายความว่าร่างกาย จิตใจ ครอบครัว เราก็ต้องทำตรงนั้นให้มันเพอร์เฟกต์ก่อน เราถึงจะสามารถทำงานที่ efficient ได้ ผมว่าสิ่งนี้สำคัญ โดยเฉพาะ mental health ด้วยความที่ว่าเราเป็นผู้นำ เรามีความจำเป็นที่จะต้องทำงานและสื่อสารกับคนกลุ่มนึงมาก เราจึงจำเป็นต้องดูแลสุขภาพจิตใจของตัวเองให้อยู่ในเกณฑ์สีเขียวตลอดเวลา

เค้ก : โดยเฉพาะปีนี้ เป็นปีที่เราเริ่มดีลกับคนอื่นเยอะมากๆ เค้กให้ปี 2023 นี้เป็นปีที่พวกเราสองคนหันกลับมาโฟกัสกับตัวเองเยอะขึ้น แล้วเราก็ยังให้ความสำคัญกับตัวเองอย่างมั่นคงกันจริงๆ ในทุกๆ เรื่อง เพราะว่าพนักงานเราก็เยอะขึ้น ทีมเราเยอะขึ้น ลูกค้าเราก็เยอะขึ้น การดีลกับคนปริมาณมากขนาดนี้ มันมีความจำเป็นที่เราจะต้องมั่นคงกันมากๆ ไม่งั้นเราจะไม่สามารถ hold ทุกอย่างเอาไว้ได้เลย 

ในวันที่ธุรกิจแบรนด์เสื้อผ้ามีมากขึ้น คุณมีวิธีบริหาร Rally Movement ให้ยังคงอยู่ในกระแสและยืนยาวต่อไปยังไง

เค้ก : คือการที่เราเลือกที่จะโฟกัสกับแบรนด์ของเรากับตัวเราเองเป็นหลักเลย แล้วเค้กก็รู้สึกว่าการทำให้แบรนด์ Rally Movement ของเรา survive อยู่ได้ก็คือการที่เราปรับตัวหนักมาก แล้วเราก็พยายามเปลี่ยนแปลงทุกๆ อย่างตลอดเวลาจริงๆ 

อย่างสมมติว่า วันนี้เราทำสิ่งนี้แล้วมันออกมาเวิร์ก อาทิตย์หน้าเราก็ไม่ได้เพลย์เซฟที่จะทำเรื่องนี้ต่อไป แต่เราจะหาอะไรใหม่ๆ ทำอยู่เรื่อยๆ รวมถึงเราสองคนค่อนข้างให้ความสำคัญกับการเปิดโลกใหม่ เราชอบเดินทาง เราชอบท่องเที่ยว เราชอบไปเห็นอะไรใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ เค้กก็เลยรู้สึกว่าการเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากข้างนอกเข้ามา รวมถึงการได้พูดคุยกับคนใหม่ๆ นี้เองที่จะสามารถทำให้เราเข้าอกเข้าใจคนอื่นได้มากขึ้น รวมถึง flexible ไปตามโลกได้มากยิ่งขึ้นด้วย

ปั๊ม : ถ้าถามผม ผมรู้สึกว่าถ้าความตั้งใจใน day 1 จนถึงทุกวันนี้ของ Rally Movement ในเรื่องของภาพลักษณ์ หรือแม้แต่ในเรื่องของวิธีที่เรา represent แบรนด์กัน จริงๆ วิธีการของเรามันธรรมชาติมาก เพราะเราแค่โตไปพร้อมกับแบรนด์ แน่นอนว่าพอเป็นที่รู้จักมากขึ้น ขายดีมากขึ้น เราก็ได้รับฟีดแบ็กอะไรต่างๆ เข้ามามากขึ้น นั่นแหละที่สำคัญ 

แล้วการที่เราไม่ได้เปรียบกับใครในตลาดอยู่แล้ว เพราะว่าแค่เราแข่งกับตัวเราเองก็ยากมากแล้ว คำว่า ‘แข่งกับตัวเอง’ ในที่นี้ ไม่ใช่ว่ากดดันตัวเอง แต่มันคือการตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘ทำยังไงให้ทุกปัญหาที่เข้ามาในทุกวันมันรู้สึกกลายเป็นเรื่องง่ายที่เราจะต้องจัดการ’ เรามีลูกค้าที่ต้องดูแล เรามีลูกน้อง มีพนักงานที่ต้องดูแล เรื่องของตัวเองมันมากพอแล้วที่จะทำให้แบรนด์มันดีให้ได้ แต่ผมคิดว่าจริงๆ เราโฟกัสกับเรื่องที่ง่ายที่เข้ามาระหว่างวันหรือทุกวันให้มันเยี่ยมจนเรารู้สึกว่าเราคล่องกับมัน แค่นี้พวกเราก็ไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นแล้วครับ (หัวเราะ) ไม่มีเวลาไปดูคนอื่นแล้วด้วย

คิดว่าอะไรคือจุดโดดเด่นของ Rally Movement

เค้ก : ความโดดเด่นคือ ‘ความเป็นตัวของตัวเอง’ เมื่อพูดเกี่ยวกับเทรนด์หรือ follow trend เนี่ย เอาจริงๆ การ  follow trend ของเราก็เพื่อไม่ให้ไปตามเทรนด์ (หัวเราะ) คือถ้าช่วงไหนอะไรเป็นเทรนด์ เราจะพยายามไม่ทำ สิ่งนี้มันก็จะสร้างความแตกต่างให่้กับแบรนด์เราอยู่แล้ว

ปั๊ม : ทุกคอลเลกชั่นมันจะมีอันที่เราทำแล้วมันขายไม่ได้เลยอยู่เสมอ นั่นหมายความว่าบางอย่างเราพยายามสนุก เราทำตามใจตัวเอง โดยเราก็ยังเลือกที่จะทำสิ่งนี้อยู่ เพราะเรามีความรู้สึกว่าการที่เรามีความผิดหวังบ้างเล็กๆ น้อยๆ หรือว่าการพลาดเป้าเนี่ย บางทีแน่นอนว่ามันก็ shape เราให้เราแม่นขึ้น แต่ในบางสิ่งบางอย่างก็ตลกที่เราก็ฝืนทำกัน โดยที่เราก็รู้ตัวเองว่ามันจะขายได้ไม่ดี แต่เรานี่แหละที่จะรู้ตัวเองว่าในสิ่งเหล่านี้มันยังมีดีเอ็นเออยู่ แล้วมันก็ให้เมสเซจกับคนซื้อด้วย

เค้ก : ยกตัวอย่างโปรดักต์เช่นเฮดแบนด์ ณ ตอนนั้นเฮดแบนด์มันก็ไม่ได้เป็นกระแส แต่เราทั้งคู่ก็ตัดสินใจทำโปรดักต์นี้ขึ้นมา แค่เพราะว่าเราอยากทำจากการที่มันตอบโจทย์ inspiration และมู้ดของคอลเลกชั่นในตอนนั้นได้ดี เราเลย add on โปรดักต์นี้ขึ้นมา แล้วมันก็กลายเป็นสินค้าที่ขายดีของเราไปเลย หรือกระเป๋า โปรดักต์ใหม่ล่าสุดของเรา เอาจริงๆ มันก็ไม่ใช่ทรงที่ผู้คนใช้ในทุกวันนี้ ในทรงที่คนนิยมใช้ในทุกวันนี้ก็อาจจะเป็นกระเป๋าทรงเล็กๆ แต่แน่นอนว่าทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นมาได้จากการที่เราไม่ได้ follow trend แต่ไม่ได้แปลว่าเราไม่ได้ตามนะ เราตามเทรนด์กันอยู่ เรารู้หมดว่าตอนนี้เทรนด์มันเป็นยังไง แต่ว่าในทุกๆ ครั้ง เราก็เลือกที่จะไม่ทำตามเทรนด์ก็เท่านั้นเอง

คุณคิดว่า Rally Movement ได้สร้างมูฟเมนต์อะไรให้กับวงการแฟชั่นในไทยบ้าง

เค้ก : เราว่า Rally Movement ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่สร้างสีสันให้กับวงการแฟชั่นในไทยเหมือนกัน เพราะว่าหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่ผ่านมา เราทั้งคู่ก็พยายามทำกันขึ้นมาเพียงเพราะว่าเราอยากให้วงการแฟชั่นในไทยมันมีสีสันขึ้น หรือในบางทีเราไปต่างประเทศ พวกเราเองก็มีโอกาสได้เจอแบรนด์อื่นๆ คนใหม่ๆ มันก็ช่วย inspire กลับมาทำให้เราได้กลับมาทำงานกันอยู่ตรงนี้ภายใต้แบรนด์ที่มีชื่อว่า Rally Movement 

ปั๊ม : ผมคิดเหมือนกันกับเค้กเลย เพราะผมคิดว่าสิ่งที่พวกเราสองคนกำลังพยายามทำกันอยู่ตอนนี้มันคือคำว่า ‘ยกระดับ’ คือแน่นอนว่าพวกเราอยากยกระดับ แต่จะระดับไหนก็ยังไม่รู้นะ แล้วจะยกระดับกันยังไงเราก็ยังไม่รู้

เค้ก : แต่ ระดับ’ ในที่นี้ เราไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่เหนือกว่าคนอื่น แต่ด้วยความที่เราโฟกัสอยู่ที่ตัวเองกันเป็นหลัก เพดานที่เราเคยทำได้ในวันก่อนหรือเพดานที่เราก็มองว่าเราก็ดันกันมาได้เยอะมากๆ แล้ว เราก็อยากที่จะยกสแตนดาร์ดนั้นให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ 

ภาพจำของ Rally Movement ที่อยากให้ผู้คนมองหรือพูดถึงคืออะไร

เค้ก : จริงๆ เราไม่ได้คิดถึงว่าคนจะพูดถึงแบรนด์ Rally Movement ว่าอะไร แต่ในช่วงหลังๆ มานี้เองเราสองคนกลับได้ฟีดแบ็กจากลูกค้าที่ไปพูดต่อๆ กันแล้วชวนให้เราแฮปปี้ คือในเรื่องของความตั้งใจ ซึ่งแค่คำว่า ‘ตั้งใจ’ นี่แหละทำให้เราสองคนแฮปปี้กันมาก เพราะเราตั้งใจทำแบรนด์กันจริงๆ

ปั๊ม : ผมอยากให้ลูกค้าภูมิใจที่ได้สวมใส่โปรดักต์ของเรา คำว่าภูมิใจในที่นี้อาจจะไม่ได้เป็นความรู้สึกภูมิใจในลักษณะที่ว่าแค่เสื้อของเราสวย แต่มันเป็นความภูมิใจเล็กๆ ที่ลูกค้ารู้ว่าเรามีเจตนาที่ดีในการทำแบรนด์นะ แล้วเราก็อยาก push limit ของ ability แบรนด์คนไทยให้ว้าว อีกทั้งเราก็ยังอยากให้ทุกคนไว้ใจในแบรนด์ Rally Movement กันได้เลย อยากให้คอยติดตามเราสองคนกันไปอีก เพราะพวกเราก็ยังสนุกกับการทำแบรนด์กันมากๆ แล้วก็การเซอร์วิสอะไรใหม่ๆ ให้กับลูกค้า

เค้ก : ลูกค้าเองก็มีส่วนช่วยในการดันเพดานของ Rally Movement ด้วยเหมือนกัน

แล้วพวกคุณมองภาพอนาคตของแบรนด์ไว้ยังไง

เค้ก : จริงๆ เราวางภาพอนาคตของแบรนด์เราไว้เพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น (หัวเราะ)

ปั๊ม : อาจจะฟังดูตลกในมุมคนทำธุรกิจนะ แต่เรื่องที่เค้กบอกว่า 3 เดือนมันไม่ได้หมายถึงเรื่องของระบบหลังบ้าน ไม่ใช่เรื่องของความมั่นคงของบริษัท แต่ว่าเราทั้งคู่ fluid มาก เพราะเรามอนิเตอร์สิ่งที่เราทำกันอยู่ทุกวัน

เค้ก : เรามอนิเตอร์สิ่งที่เราทำกันเบอร์นั้นเลยจริงๆ แต่ที่บอกว่า 3 เดือน เพราะเค้กรู้สึกว่าระยะเวลา 3 เดือน มันมีเรื่องหลายๆ เรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปไวมากๆ อย่างโปรดักต์กระเป๋าล่าสุด ‘Rally’ The Bag ของเรา เราก็ทำกันออกมาภายในข้ามคืนเนอะ

ปั๊ม : ซึ่งผมว่ามันเรียกร้องสกิลที่สูงมากกับการที่เราจะต้องปรับตัวให้เร็ว แล้วเราก็ยังจะต้องทำให้ทุกคนเห็นได้ว่าภายใน 3 เดือนนี้น่ะ เรามีหลังบ้านและทีมงานที่พร้อมรับแรงกระแทกแบบชั่วข้ามคืนได้ ซึ่งพวกเราสองคนภูมิใจมากกับสิ่งนี้

เคยลองตั้งแพลนยาวกว่า 3 เดือนกันบ้างไหม

ปั๊ม : เคย คือเราเคยเหยียบผ่าน annual plan หรือ pipeline รวมไปถึงสิ่งที่เคย predict กันเอาไว้หมดแล้ว สุดท้ายเราก็ต้องมาล้มแพลนหมด บางอย่างเราก็เปลี่ยนกันชั่วข้ามคืน

เค้ก : คือเราล้มแพลน เปลี่ยนแพลนกันมาบ่อยมาก แล้วมันก็เป็นเรื่องตลกที่พนักงานเราพูดตอนประชุมว่า ‘นี่เราพูดเรื่องอะไรกันอยู่นะ เรื่องใหม่แล้วเหรอ’ (หัวเราะ)

ปั๊ม : ผมว่าสกิลมันเป็นเรื่องที่จำเป็นมากในยุคนี้ เพราะเราโตมาแบบนี้ เราเชื่อใน process นี้ เราก็เลยไม่มั่นใจว่าวิถีแบรนด์อื่นจะเป็นยังไง แต่ว่าถ้า Rally Movement เป็นวิถีแบบนี้ แล้วเราก็ยังรันกันได้อยู่จนถึงทุกวันนี้ ผมก็เชื่อใน process 

อะไรคือบทเรียนที่สำคัญในการทำธุรกิจของคุณทั้งสอง

ปั๊ม : บทเรียนในการทำธุรกิจของผมคือการทำธุรกิจด้วยเจตนาที่ดีต่อกัน เพราะสำหรับผมคำว่า ‘เจตนาที่ดี’ มันก็คือการเราไม่ได้จะไปสร้าง intention ที่ไม่ดีต่อใคร เรื่องนี้สำคัญมากและถือเป็นแก่นที่สำคัญของตัวผมเลย

เค้ก : เค้กว่ามันคือการที่ต้องคุยกับตัวเองให้เคลียร์ก่อนว่าตัวเราต้องการอะไร ชีวิตนี้เราต้องการอะไร แล้วการทำธุรกิจเนี่ยมันนับว่าเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของชีวิตเรา เมื่อเคลียร์กับตัวเองได้แล้ว ตัวเราก็จะ weight มันได้ แล้วเราก็จะรักษาทั้งชีวิตของเราเอง ชีวิตของคู่เราและธุรกิจให้มันไปด้วยกันได้อย่างมั่นคง 

เพราะมันไม่ได้ความว่าวันนี้เราทำธุรกิจออกมาได้ดี แล้วการที่เราทำเหมือนเดิมในวันพรุ่งนี้มันจะยังดี ปัจจัยทุกๆ อย่างมันสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องทำทุกๆ อย่างในทุกๆ ทาง เราจะต้องคอยจูนกับมันไปเรื่อยๆ จนเราสามารถบาลานซ์ให้ทั้งสองอย่างนี้มันไปด้วยกันเรื่อยๆ ได้

ถามถึงบทเรียนของปี 2023

ปั๊ม : ผมว่าปี 2023 เป็นปีที่ fully recovery จากโควิด-19 ซึ่งมันทำให้ตัวผมเองได้รู้ว่าความเจ็บปวดในอดีตมันผ่านไปเร็วจริงๆ  สิ่งนี้มันทำให้ผมเรียนรู้ว่าการที่เรามี bad day, good day เองก็อาจจะมาเร็วกว่าที่คิด

เค้ก : บทเรียนในปีนี้มันเยอะจนประมวลไม่ได้ (หัวเราะ) จริงๆ ปีนี้เค้กค่อนข้างได้บทเรียนจากตัวเองเยอะกว่าบทเรียนในธุรกิจ แต่มันก็นับว่าเป็นเรื่องเดียวกันได้แหละ เพราะมันสามารถลิงก์ด้วยกันได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะในก่อนหน้านี้ที่เราอาจจะมี perception ที่ว่า ‘ทำงานเยอะเท่ากับดี’ แต่โชคดีมากๆ ที่ในปี 2023 เค้กสามารถผ่อนมันลงได้ แล้วมันก็ยังทำให้เรามีความรู้สึกว่าเราสามารถบาลานซ์งานได้ดียิ่งขึ้นด้วย  

สำหรับเรื่อง relationship เอง เค้กก็ค่อนข้างให้ความสำคัญในปีนี้เหมือนกัน อะไรที่เรารู้สึกว่าเรายังทำได้ไม่ดีเราก็ทำมันได้ดีขึ้นในปีนี้ ในทางกลับกัน สิ่งเหล่านี้มันก็ช่วยส่งเสริมให้การทำงานของเรามันดีขึ้น

งั้นแล้ว 3-month resolution ของ Rally Movement ในปี 2024 คืออะไร

เค้ก : (หัวเราะ) เราอยากทำให้แบรนด์มันเฟิร์มขึ้น

ปั๊ม : ถ้าพูดในมุมลูกค้าที่สามารถจับต้องได้ ผมคิดว่ามันคือเรื่องของโปรดักต์อย่างกระเป๋าที่พวกเราทั้งคู่เอาจริงมาก เป็นเบบี้ใหม่ของ Rally Movement ที่ตัวผมเองคิดว่าภายใน 3 เดือนนี้ลูกค้าจะได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าเราสองคนได้พยายามเตรียมอะไรไว้กับตัวโปรดักต์นี้บ้าง แน่นอนว่าโปรดักต์อย่างเสื้อผ้าคือจุดแข็งของ Rally Movement ซึ่งก็จะถูก launch ออกมาตามแพลนที่เราตั้งกันไว้อยู่แล้ว

เค้ก : แล้วก็ถ้าเป็นเรื่องขององค์กรภายใน เราก็คงทำให้ในช่วงเริ่มต้นของทุกๆ ปี มันเป็นการให้เรากลับมานั่งคิดทบทวนกันว่าในปีที่แล้ว มีอะไรที่เราสองคนยังทำกันไม่ทันหรืออะไรที่ทำให้เราบกพร่องกันไปบ้างไหม แล้วเราจึงค่อยๆ มาเริ่มลิสต์ส่ิงเหล่านี้ออกมาให้เป็นข้อๆ ในเดือนมกราคม แต่ว่าสำหรับของปีนี้หรือปีหน้าเอง มันก็ยังไม่ได้ถูกคิดเนอะ เพราะเดือนมกราคมยังมาไม่ถึง แต่จริงๆ แล้วเค้กว่ามันก็คือการทำทุกอย่างของแบรนด์และพัฒนาแบรนด์ให้มันเฟิร์มขึ้น แม้กระทั่งในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แน่นอนว่าบางอย่างมันก็อาจจะเป็นจุดที่ลูกค้าไม่สามารถ notice ได้หรอก แต่พวกเราก็พยายามที่จะปิดจุดบกพร่องตรงนั้นกันอยู่ดี

มันอาจจะต่างจากคนอื่นนิดนึงกับการตั้ง New Year’s resolutions แต่เพราะพวกเราเป็นคนที่ชอบพุ่งชนมากๆ ชอบพุ่งไปข้างหน้ากันมากๆ จนบางทีมันก็อาจจะเป็นได้ทั้งข้อดีและข้อเสีย 

มีอะไรอยากจะบอกกับคนที่กำลังอยากทำธุรกิจร่วมกับพาร์ตเนอร์ไหม

ปั๊ม : ผมคิดว่าในมุมธุรกิจ เมื่อคิดอะไรกันได้ ก็ควรทำเลย แต่พอมันมีบุคคลเข้ามาเพิ่มในธุรกิจ ผมกลับคิดว่า ‘เวลา’ จะเป็นปัจจัยหลักของการตัดสินใจว่า ‘เราจะทำ’ หรือ ’ไม่ทำ’ เพราะว่าก่อนผมจะตัดสินใจทำธุรกิจกับเค้ก ผมก็รู้จักกับเค้กมาแล้วเกือบ 4 ปี แล้วผมก็มีความรู้สึกว่าในช่วง 4 ปีนั้นมันก็ค่อยๆ บอกกับผมมาเรื่อยๆ ว่าเราควรทำธุรกิจด้วยกัน แถมยังเป็นความรู้สึกที่ ‘ต้องทำ’ เลยด้วยซ้ำ นั่นหมายความว่าเราจะรู้กันเอง เราต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์แหละ เพราะมันถือว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากๆ แต่ถ้าทุกอย่างลงตัวแล้ว มีแค่เรื่องธุรกิจ ผมเชียร์ให้ทำพรุ่งนี้เลย (หัวเราะ) อย่ามโนกันเยอะ ทำเลย แล้วเดี๋ยวก็จะรู้กันเองว่าควรไปต่อด้วยกันหรือหยุด

เค้ก : สำหรับเค้ก เค้กรู้สึกว่าคนที่ทำธุรกิจร่วมกันได้ต้องใจกว้าง ‘ใจกว้าง’ อันนี้อาจจะไม่ใช่ในมุมพาร์ตเนอร์นะ แต่ในมุมที่คิดอาจจะเป็นผู้ประกอบการ อยากจะทำธุรกิจเลย แล้วก็จะต้องพยายามทำความเข้าใจหัวอกคนอื่นในทุกๆ positioning ให้มากขึ้นด้วย เหรียญมันก็มีสองด้านเนอะ คนคนหนึ่งเขาก็มีหลายมิติมากๆ เกินกว่าที่เราจะสามารถ judge ได้ แม้กระทั่งตัวเราเองที่ในวันนี้เราอาจจะสามารถทำงานได้ 100% แต่พอพรุ่งนี้เราก็อาจจะเป็นอีกแบบนึง สมองเราก็อาจจะทำงานได้ 70% ก็ได้ แต่ทุกอย่างมันจะมีผลกับสิ่งที่เราจะแสดงออกไป  ซึ่งเค้กว่าสิ่งที่สำคัญคือการทำตัวเองให้ดีก่อน แล้วเวลาเราไปทำงานร่วมกับคนอื่นเราก็จะไม่มีปัญหาถ้าเกิดว่ามายด์เซตของการทำธุรกิจเรามันได้  

ด้วยสถานะที่เปลี่ยนไป พวกคุณคิดว่าส่งผลให้บทบาทในการทำธุรกิจเปลี่ยนไหม

เค้ก : จากเพื่อนสู่แฟน สู่พาร์ตเนอร์​ธุรกิจ มาจนถึงในบทบาทของสามี-ภรรยา บอกตรงๆ ว่าไม่มีวันไหนที่เรารู้สึกกลัวที่จะทำธุรกิจร่วมกันเลยนะ เพราะเค้กรู้สึกว่าการทำธุรกิจน่ะ ส่ิงที่สำคัญที่สุดไม่ว่าจะเป็นเพื่อน เป็นแฟนหรือจะอยู่ในสถานะอะไรกันคือ ‘communication’ ซึ่งใช้ได้กับทุกๆ เรื่องเลย เพราะถ้ามี communication ที่ดี เราก็แทบจะไม่ต้องกลัวอะไรกันเลย communication มันเลยจะเป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญกันมาก หากเรื่องไหนที่เราไม่เคลียร์ แน่นอนว่าเราจะต้องมานั่งคุยกันว่า ‘อันนี้ฉันไม่เข้าใจตรงนี้’ เพื่อดูว่าเราจะปรับไปในทิศทางไหน แต่ว่ามันจะไม่ใช่การเก็บเอาไว้แล้ววันนึงมาระเบิดใส่กัน ซึ่งเราทั้งคู่ก็ค่อนข้างมั่นใจได้ว่าเรื่องเหล่านี้น่ะเราสามารถทำกันได้อย่างดี 

แล้วเค้กรู้สึกว่าข้อดีของการทำธุรกิจร่วมกันกับแฟน มันคือการที่เราสามารถตั้ง goal อนาคตร่วมกันได้ในเรื่องส่วนตัวด้วย อย่างเรื่องอนาคตว่าชีวิตเรามันจะเป็นยังไงกันต่อไป แล้วพอเรามาทำธุรกิจด้วยกัน เค้กก็ว่าจุดนี้มันก็เหมือนกับการที่เราทำงานคู่กันไปในเส้นขนาน ซึ่งถ้าเราสามารถจัดการส่ิงนี้ได้อย่างดี เค้กว่ามันก็แอบเป็นข้อดี

ปั๊ม : เป็นจุดแข็งแหละ เพราะในวันที่ทำงานกับเค้ก ทุกวันนี้ผมถือว่าเราก็คือเพื่อนร่วมงาน ไม่ใช่ในบทบาทของการเป็นสามี-ภรรยากัน แต่จริงๆ แล้ว มันก็เป็นสกิลเดียวกันครับ แล้วมันก็เป็นสกิลการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ซึ่งถ้าทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ จริงๆ มันทำได้หมดนะ

เค้ก : ใช่ เค้กรู้สึกว่ามันไม่เกี่ยวกับสถานะเลยว่าเราจะเป็นอะไรกัน ถ้าสมมติว่าเราเป็นเพื่อนกัน ต่อให้เราไม่ได้ทำธุรกิจร่วมกัน แต่แอตทิจูดมันไม่ตรงกัน หมายถึงว่าวิธีการสื่อสาร communication มันผิดอะ มันก็ทะเลาะกันได้โดยที่ยังไม่ต้องมาเป็นธุรกิจเลย แต่จุดนี้เค้กว่าความสำคัญมันอยู่ที่ ‘การเลือกพาร์ตเนอร์ธุรกิจ’ คือการเลือกพาร์ตเนอร์ที่จะมาทำธุรกิจด้วยกัน ก็ควรจะเป็นคนที่มองทุกอย่างไปในไดเรกชั่นเดียวกัน แล้วก็จะต้องมีความเข้าใจในเรื่องของ communication ที่เหมือนกัน 

สุดท้ายสิ่งสำคัญของการเป็นพาร์ตเนอร์ที่ดีคืออะไร

ปั๊ม : สิ่งที่สำคัญของการทำธุรกิจร่วมกับพาร์ตเนอร์ ผมว่าเริ่มจากการเป็นคนที่จะต้องมีเจตนาที่ดีแน่นอนว่าการทำงานน่ะเราต้องพร้อมที่จะยอมรับข้อผิดพลาดทั้งเล็กทั้งใหญ่ที่มันจะสามารถเกิดขึ้นได้ในการทำธุรกิจอยู่แล้ว แต่ตราบใดที่เราต่างก็มีเจตนาที่ดี คือไม่ได้หวังว่าจะไปเอาเปรียบใครหรือไม่คิดร้ายกับใคร ผมว่าช็อตนี้ต่อให้เรื่องมันร้ายแรงสุดมันก็ให้อภัยกันได้ แน่นอนว่าสำหรับผมเจตนาที่ดีมันมีชัยไปกว่าครึ่ง

เค้ก : เค้กว่ามันเป็นเรื่องของการบาลานซ์ อย่างที่บอกว่าทั้งชีวิตส่วนตัวและทั้งอีโก้ด้วย คำว่า ‘อีโก้’ เนี่ยมันส่งผลกับ communication ด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้เราคิดว่าเราถูก แล้วเราจะนำอีโก้ตรงนั้นไปใช้กับพาร์ตเนอร์อีกคน คือด้วยความที่ธุรกิจเรามันต้องไปด้วยกันน่ะ goal ของเรามันคือการที่จะทำให้แบรนด์ไปข้างหน้าต่อได้จริงๆ ไม่ว่าเราจะต้องปรับเปลี่ยนอะไรก็ดี นิสัยส่วนตัวเราหรือในบางเรื่องที่เราอาจจะรู้สึกยังไม่โอเค มันก็ต้องมานั่งคุยกันเพื่อให้มัน reach point นั้นให้ได้  

Writer

นักเขียน ผู้ซึ่งมี ‘มัทฉะ’ เป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิต

Photographer

ช่างภาพที่สนุกกับการแต่งตัว อยู่กับเสียงเพลง และหลงรักในความทรงจำ Ig : mocfirst

You Might Also Like