My Herb Will Go On  

คุยกับ วาตะโพ แบรนด์สมุนไพรที่เติบโตจากตำรับวัดโพธิ์ และทำให้สมุนไพรไทยอยู่ร่วมสมัยมากว่า 4 ทศวรรษ

‘น้ำมันนวดที่ดีต้องใช้แล้วไม่รู้สึกแสบร้อน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดมแล้วสดชื่น ไม่ฉุนจมูก บวกกับการนวดที่เน้นลงน้ำหนัก จะช่วยลดอาการปวด บวมช้ำ ลดการอักเสบตามจุดต่างๆ และไม่ทิ้งร่องรอยความเจ็บปวดไว้หลังการนวด’

ข้อความข้างต้นคือสรรพคุณของน้ำมันนวดที่ ริสา ตั้งตรงจิตร ทายาทแบรนด์ วาตะโพ (WATAPO) บอกกับเราอย่างอารมณ์ดีในวันที่เราไปเยือนป๊อปอัพสโตร์ ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์

วาตะโพคือแบรนด์ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยสำหรับการนวด สปา และนวดแผนไทย ที่ตั้งใจนำสมุนไพรไทยมาผสมผสานกับองค์ความรู้แบบดั้งเดิม เพื่อให้คนรุ่นใหม่เห็นคุณค่าและเข้าถึงได้ 

หลายคนอาจคุ้นกับชื่อวาตะโพ (WATAPO) ถ้าลองอ่านเร็วๆ สัก 2-3 รอบคุณอาจร้องอ๋อทันที ใช่แล้ว วาตะโพมาจากคำว่า วัดโพธิ์ นั่นเอง 

ถ้าให้นึกถึงการนวดแผนไทย วัดโพธิ์อาจเป็นชื่ออันดับแรกๆ ที่ขึ้นมา ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปแค่ไหน การนวดตำรับวัดโพธิ์ก็ยังเป็นชื่อที่ไว้ใจได้มาจนถึงทุกวันนี้ และวัดโพธิ์นี่แหละที่เป็นจุดกำเนิดของน้ำมันนวด ยานวด และยาดมสมุนไพร ในชื่อวาตะโพ ที่มีมาแล้วกว่า 4 ทศวรรษ

ท่ามกลางแบรนด์เก่าแก่ที่ค่อยๆ วางมือไปเพราะไม่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ อะไรทำให้วาตะโพเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่อยู่มายาวนานกว่า 44 ปี ว่าแล้วก็มาอ่านเรื่องราวของวาตะโพไปพร้อมๆ กัน

เริ่มต้นจากเภสัชกร

ในวันที่เราเจอกัน ริสาบอกกับเราว่า “ปีนี้วาตะโพก้าวเข้าสู่ปีที่ 44 แล้ว”

ย้อนไปใน พ.ศ. 2522 ธุรกิจของวาตะโพก่อตั้งโดย ปรีดา ตั้งตรงจิตร ผู้เป็นปู่และเภสัชกรที่มีความรู้เรื่องสมุนไพรไทย ซึ่งในขณะนั้นปรีดาได้เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพน (วัดโพธิ์) หรือโรงเรียนสอนนวดวัดโพธิ์ที่ทุกคนรู้จัก โดยรวบรวมตำราการนวดทั่วประเทศ และจัดทำเป็นหลักสูตรที่ได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของการนวดแผนไทยในปัจจุบัน

เมื่อมีโรงเรียนสอนนวดแล้ว ก็ต้องมีอุปกรณ์การเรียนการสอน ในที่นี้คือน้ำมันนวดและยาหม่อง จึงเป็นที่มาของการคิดค้นแบรนด์วาตะโพ ที่เริ่มจากทำเพื่อใช้ในโรงเรียน และแก้ pain point ของสินค้าที่มีอยู่ในท้องตลาด ทั้งในเรื่องนวดแล้วแสบร้อน ระบม หรือนวดเสร็จแล้วมีอาการเจ็บต่อไปอีกหลายวัน 

“จากการคิดค้นและพัฒนาสูตรของเรา ทำให้วาตะโพแตกต่างจากสินค้าในท้องตลาด มีจุดเด่นคือ ใช้แล้วไม่รู้สึกแสบร้อน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดมแล้วสดชื่น กลิ่นไม่ฉุน นวดแล้วช่วยบรรเทาอาการปวด บวมช้ำ ลดการอักเสบตามจุดต่างๆ และไม่ทิ้งร่องรอยความเจ็บปวดไว้หลังการนวด”

ด้วยความที่โรงเรียนแห่งนี้รับสอนทั้งคนไทยและต่างชาติ เมื่อสินค้าใช้ดี ได้รับความนิยม จึงทำให้ชื่อของวาตะโพถูกกล่าวขานมาจนถึงปัจจุบัน

วาตะโพ = วัดโพธิ์

หลายคนอาจคิดว่าแบรนด์วาตะโพมีชื่อเดิมว่าวัดโพธิ์ แล้วค่อยเปลี่ยนชื่อเพื่อให้ทันสมัยและตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากขึ้น แต่จริงๆ แล้ว ตั้งแต่วันแรกที่ดำเนินกิจการ วาตะโพก็ใช้ชื่อนี้มาตลอดไม่เคยเปลี่ยน

“ชื่อของวาตะโพ ได้มาจากนักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติที่มาวัดโพธิ์ แต่จะมีประเทศหนึ่งที่ออกเสียงชื่อวัดโพธิ์ไม่ได้นั่นคือ ญี่ปุ่น ซึ่งมักออกเสียงว่า วาตะโพ ทีนี้เราจึงเห็นว่าเป็นชื่อที่ออกเสียงง่าย สะกดง่าย มีความเป็นสากล จึงเลือกใช้ชื่อวาตะโพมาตลอด” ริสาย้อนถึงที่มาของชื่อแบรนด์

การใช้ชื่อวาตะโพถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะหลังจากนั้นแบรนด์ก็กลายเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวทันที

เพชรที่ยังไม่ผ่านการเจียระไน

ภาพในวัยเด็กของริสาล้วนเต็มไปด้วยเรื่องราวของสมุนไพรไทยนานาพรรณและการนวดแบบต้นตำรับ ริสาเล่าว่า “เราคลุกคลีกับธุรกิจที่บ้านมาตั้งแต่เด็ก เติบโตมากับสมุนไพรไทย จึงรับรู้มาตลอดว่าผลิตภัณฑ์ของที่บ้านมีศักยภาพ แต่ยังไม่ถูกมองเห็นมากนัก เหมือนเพชรที่ยังไม่ผ่านการเจียระไน เราจึงต้องการกลับมาสานต่อธุรกิจที่บ้านในฐานะของคนรุ่น 3 ที่รับไม้ต่อมาจากปู่และพ่อ เราตั้งใจว่าจะพาแบรนด์ไปสู่ระดับโลก”

ในยุคแรกที่เข้ามาทำ วาตะโพมีแค่ยาหม่องและน้ำมันนวด ที่ผลิตไว้เพื่อขายและใช้สำหรับการเรียนการสอน ต่อมาเราจึงได้พัฒนายาดมสมุนไพรที่มีสมุนไพรมากกว่า 10 ชนิด ซึ่งเป็นการพัฒนาจากสูตรดั้งเดิมจากวัดโพธิ์ เพื่อตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ และเป็นจุดเริ่มต้นของวาตะโพยุคใหม่ด้วย

เจาะกลุ่ม Premium Mass

ริสา ทายาทรุ่นที่ 3 ที่รับหน้าที่บริหารงานวาตะโพในขณะนี้บอกว่า “ภาพรวมการแข่งขันของตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรในบ้านเราแข่งกันดุเดือดกว่าแต่ก่อน เป็น red ocean ที่ไม่ว่าใครก็เข้ามาแข่งขันได้ แต่สิ่งที่ยากคือการยืนระยะ”

แม้วาตะโพจะเป็นเจ้าตลาดมานาน ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคู่แข่งเข้ามาสร้างความท้าทาย วาตะโพก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ยังคงเดินหน้าสร้างเอกลักษณ์และจุดเด่นให้ตัวเองต่อไป เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้มากขึ้น และการที่มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามา นั่นหมายความว่าตลาดเริ่มใหญ่ขึ้น จึงมองว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจมากกว่าเป็นวิกฤต

“ถึงเราจะอยู่มานาน เราก็ไม่ได้ยึดมั่นที่จะแข่งขันในตลาดเดิม กลุ่มเป้าหมายเดิม แต่เราเลือกที่จะอัพเลเวลเจาะกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมแมส เนื่องจากเป็นเซกเมนต์ที่ยังมีคู่แข่งไม่มาก และมองว่าผู้บริโภคในกลุ่มนี้ยอมจ่ายแพงขึ้น สำหรับสินค้าที่มีการสร้างแบรนด์ มีเรื่องราว และคุณภาพดี

และกลยุทธ์ที่เราใช้แข่งขันในตลาดนี้อย่างมั่นคงคือ การสร้างความแตกต่าง โดยเฉพาะด้านภาพลักษณ์ ที่ต้องสวย ทันสมัย ใช้งานง่าย เห็นแล้วเกิดความสนใจ อยากลอง บวกกับความเชื่อมั่นในเรื่องคุณภาพ จึงทำให้เรามีความมั่นใจในตลาดนี้”

วาตะโพเลือกที่จะแตกต่างและพัฒนาจุดยืนเรื่องคุณภาพมาตั้งแต่ต้น ไม่อยู่ในตลาดที่แข่งขันเรื่องราคา แต่ออกมายืนในจุดที่ต่างออกไป และทำให้ลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์วาตะโพแล้วต้องกลับมาซื้อซ้ำในปริมาณที่มากกว่าเดิม

ปัดฝุ่นวาตะโพ สู่วัยหนุ่มสาว

เมื่อย้อนกลับไปในยุคแรก วาตะโพเป็นเพียงยาหม่องขวดแก้วที่เหล่าผู้สูงอายุมักพกพาไปในที่ต่างๆ หรือหากเปรียบกับคน คงเป็นคนวัย 65 ปีขึ้นไป 

นี่จึงเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของวาตะโพที่ต้องปรับภาพลักษณ์ให้แบรนด์เด็กลง เข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น 

หากคุณเป็นแฟนของวาตะโพในยุคแรกๆ อาจคุ้นเคยกับแพ็กเกจจิ้งขวดแก้ว แปะฉลากด้วยกระดาษสีสัน มาพร้อมฟอนต์โบราณแสดงความเป็นไทย ทว่าในปัจจุบันวาตะโพเปลี่ยนดีไซน์เป็นแบบมินิมอล สีเขียวเข้ม ตัวหนังสือเรียบง่าย และใช้แพ็กเกจพลาสติกที่ย่อยสลายได้แทนขวดแก้ว

การที่วาตะโพตัดสินใจรีแบรนด์ครั้งใหญ่ เท่ากับว่ามีโอกาสที่ลูกค้าเดิมจะลดน้อยลง เพราะอาจไม่คุ้นชินกับภาพลักษณ์ใหม่ 

ริสาบอกว่า “เป็นความโชคร้ายในความโชคดี แม้แบรนด์จะอยู่มานานแต่ก็ยังไม่แมสขนาดนั้น ฉะนั้นการจะปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้เด็กลง อาจกระทบกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าแค่บางส่วน นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมของการรีแบรนด์ โดยเฉพาะเรื่องการปรับภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัย โดยยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้ได้ดี”

ก่อนการรีแบรนด์ ทีมได้ใช้เวลาศึกษา หาข้อมูล และวิเคราะห์ตลาดมาเป็นปีๆ เพื่อนำข้อมูลมาพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาดที่สุด ซึ่งในระหว่างนั้นเราต้องสื่อสารกับคนรอบข้างและคนในองค์กรในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง เนื่องจากพนักงานในบริษัทส่วนใหญ่มีอายุงานมากกว่าเรา สิ่งที่ต้องลงมือทำทันทีจึงเป็นเรื่องการสร้างความเชื่อใจให้พนักงาน ทำให้พวกเขาเห็นภาพเดียวกัน และเมื่อทุกคนลงมือทำทุกอย่างจะออกมาดี 

แล้วตอนนี้วาตะโพเป็นคนอายุเท่าไหร่ “คิดว่าตอนนี้แบรนด์มีอายุ 30 ต้นๆ ค่ะ” ริสาตอบ

สร้าง Soft Power ผ่านสมุนไพรไทย

ปวดเมื่อย หน้ามืด ตาลาย คล้ายจะเป็นลม ยานวด ยาดมช่วยคุณได้ แม้จะเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า ด้วยสรรพคุณที่ดีงาม ใครก็ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ทำให้ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยเป็นยาสามัญประจำบ้านที่ต้องมีติดตู้ หรือพกติดตัว เรียกได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงจากยุคสู่ยุค โดยเฉพาะในยุคนี้ที่ใครๆ ก็หยิบมานวดหรือสูดดมอยู่ตลอดเวลา 

เพราะความมีเอกลักษณ์สะท้อนภูมิปัญญาและวิถีไทย ทำให้ยานวด ยาดม ยาหม่อง กลายเป็นของฝากที่นักท่องเที่ยวติดใจ ขนกลับประเทศแบบยกแผง ทำให้ไทยเป็นประเทศที่ส่งออกผลิตภัณฑ์สมุนไพรมากเป็นอันดับที่ 8 ของโลก 

ริสาสะท้อนมุมมองต่อเรื่องนี้ว่า “ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยมีศักยภาพ แต่ยังไม่ถูกโปรโมตหรือสนับสนุนมากขนาดนั้น เรามองว่ายังมีโอกาสที่จะพัฒนาได้อีกไกล ในมุมของผู้ผลิตเราคิดว่าสมุนไพรไทยยังต้องเผชิญความท้าทายอีกหลายด้าน แต่ความได้เปรียบของไทยคือ มีภูมิอากาศและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปลูกสมุนไพร ทำให้เรามีวัตถุดิบที่ดีสามารถแปรรูปเป็นสารสกัดต่างๆ ได้หลากหลาย และในแต่ละพื้นที่มีสมุนไพรท้องถิ่นที่แตกต่างกัน จนเกิดเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร” 

สำหรับวาตะโพฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าชาวไทยและต่างประเทศครึ่งต่อครึ่ง โดยหลังจากรีแบรนด์ก็ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง ทำให้ในปัจจุบันวาตะโพส่งออกในหลายประเทศ เช่น จีน ฮ่องกง มาเลเซีย และประเทศในกลุ่มอาหรับ เป็นต้น

ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนา

เห็นเป็นแบรนด์ที่อยู่มานานอย่างนี้ วาตะโพก็ไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น “เรามีทีม R&D ที่รวมตัวผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรไทย รวมถึงการประสานองค์ความรู้แบบดั้งเดิมที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าใช้งานได้จริงมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค โดยทำทุกอย่างภายใต้แนวคิดที่ต้องการคงเอกลักษณ์ความเป็นไทยไว้ได้มากที่สุด” ริสากล่าว

รวมถึงศึกษาจากงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น งานวิจัยที่เกี่ยวกับไพล เพื่อศึกษาประโยชน์และสรรพคุณในเรื่องการลดอักเสบ บวมช้ำ แก้เคล็ดขัดยอก เป็นต้น

นวดจริง ถึงเส้นจริงที่ Pop-Up Store

ก่อนที่ลูกค้าหรือนักท่องเที่ยวจะซื้อสินค้าสักชิ้น หากได้เห็นของจริง ได้สัมผัส หรือสูดดม คงตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น 

ในขณะที่พูดคุยกับริสาอยู่ที่ Pop-Up Store ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชม และทดลองสินค้าอยู่เป็นระยะ แม้พื้นที่ร้านจะไม่ใหญ่ แต่ก็กว้างพอที่จะวางเก้าอี้นวดให้ผู้มาเยือนได้ลองนวด

โดยปกติแล้ว Pop-Up Store ในห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่ มักมีสินค้าให้ทดลองใช้ไม่กี่ชิ้น แต่ที่บูธวาตะโพจัดเต็มทั้งเก้าอี้นวด และหมอนวดแผนไทยจากวัดโพธิ์ตัวจริง

“เรามองว่าการนวดเป็นประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับสูงสุด เมื่อใช้ร่วมกับสินค้าของเรา ลูกค้าจะเข้าใจในทันทีว่าสินค้าดียังไง ใช้แล้วไม่รู้สึกเบิร์นหรือแสบร้อน ช่วยแก้ปวดได้จริง หรือเมื่อลูกค้าซื้อกลับบ้านแล้วรู้ว่าจะใช้สินค้ายังไงให้มีประสิทธิภาพ เพราะแน่นอนว่าการใช้ครั้งเดียวอาจยังไม่รู้สึก แต่เราต้องการมอบประสบการณ์ครั้งแรกที่ดีที่สุดให้ลูกค้าที่มา โดยหลังจากเปิดมาได้สักพักผลตอบรับก็ค่อนข้างดี มีลูกค้าหลายรายกลับมาซื้อซ้ำ หรือมาให้หมอนวดช่วยคลายเส้นก็มี”

ตอนนี้วาตะโพมีป๊อปอัพที่เซ็นทรัลเวิลด์ และสาขาแรกที่วัดโพธิ์ ในเร็วๆ นี้มีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 2-3 แห่ง

บริหารด้วยความซื่อสัตย์และจริงใจ

ริสา บอกว่า “ความซื่อสัตย์ และความจริงใจ คือสิ่งที่ผู้บริหารทุกรุ่นยึดถือมาตลอด และเป็นหัวใจสำคัญของวาตะโพ หากวันใดเราไม่มีความจริงใจให้ลูกค้า นั่นหมายความว่า แบรนด์ไปต่อไม่ได้แล้ว”

ถึงจะมีกลยุทธ์ออนไลน์หรือออฟไลน์ช่วยผลักดันการขาย และสร้างการรับรู้ไปสู่วงกว้าง แต่ถ้าไม่มีความจริงใจและความซื่อสัตย์ในการทำธุรกิจ คงไม่ทำให้วาตะโพยืนหยัดมาได้ถึง 44 ปี ด้วยแนวคิดที่ไม่ได้ต้องการตีหัวเข้าบ้านครั้งเดียวแล้วจบ แต่ต้องการให้ลูกค้ารู้สึกว่าใช้วาตะโพแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตจริงๆ  

สร้างความผูกพันจากรุ่นสู่รุ่น

พอนานวันเข้า วาตะโพก็เหมือนแบรนด์เก่าแก่ทั่วไป คือกลัวว่า หากวันหนึ่งมีเทคโนโลยีการแพทย์ที่สามารถแก้ปัญหาเรื่องสุขภาพทั้งหมดได้จริง จนไม่ต้องพึ่งพาสมุนไพรไทย แบรนด์จะดำเนินต่อไปอย่างไร

เมื่อตระหนักถึงภัยคุกคามนี้ ริสาจึงเล่าถึงกลยุทธ์การสร้างความผูกพัน “วาตะโพให้ความสำคัญกับการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ ควบคู่กับการรักษาฐานลูกค้า โดยใช้ Storytelling ถ่ายทอดเรื่องราวของแบรนด์ให้เกิดความผูกพัน และในขณะเดียวกันก็เดินหน้าพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ โดยมองว่า อย่างไรก็ตามก็ยังมีกลุ่มคนที่ให้ความสนใจกับสมุนไพรไทยอยู่ และต้องการให้คนกลุ่มนี้บอกต่อไปสู่คนรุ่นหลัง”

ตลอด 44 ปีของวาตะโพ ริสา ได้สรุปแนวคิดการสร้างแบรนด์วาตะโพให้อยู่ในใจของผู้คนได้จนถึงวันนี้ว่า “วาตะโพเน้นการทำธุรกิจที่จริงใจ และซื่อสัตย์ ไม่ว่าจะเป็นยุคแรกตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นพ่อ จนมาถึงรุ่นตัวเอง วาตะโพก็ยังมีเป้าหมายในการเป็น ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คน ดูแลสุขภาพร่างกายแบบองค์รวม และก้าวสู่การเป็น Global Brand เพื่อบุกตลาดต่างประเทศ ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องทำให้สำเร็จต่อไป”

Writer

นักเขียนที่สนใจเรื่องธุรกิจ การตลาด และความเป็นไปในสังคม

Photographer

ทำงานให้งานมันท้อเรา ig : chinnakanc

You Might Also Like