การดิสรัปต์ตัวเองและสนุกกับความเสี่ยงของ ‘DEESAWAT’ ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ไทยชื่อเสียงระดับสากล

‘DEESAWAT’ (ดีสวัสดิ์) เป็นแบรนด์ที่บอกว่าอยากเป็น Rolex ในวงการเฟอร์นิเจอร์

ไม่ใช่เพราะอยากสื่อสารว่าเป็นแบรนด์ luxury แต่เพราะอยากทำเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ได้ยืนยาวและยั่งยืน มีดีไซน์เข้ากับทุกยุคทุกสมัย เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่คุณปู่หรือคุณพ่อคุณแม่เคยใช้มาก่อนและส่งต่อให้ลูกให้หลานใช้ต่อได้

อายุแบรนด์ของดีสวัสดิ์คือ 51 ปีและอยากทำเฟอร์นิเจอร์ไม้สักที่ใช้ได้นานเกิน 50 ปี โดยตลอดเวลาที่ผ่านมาดีสวัสดิ์เป็นแบรนด์ที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการดีไซน์ทั้งในไทยและต่างประเทศ กวาดรางวัลด้านนวัตกรรมและดีไซน์ในเวทีประกวดระดับโลกมานับไม่ถ้วนทั้ง Prime Minister’s Export Award, DEmark, T Mark, Golden Pin Design Award จากไต้หวัน Good Design Award จากญี่ปุ่น, Grand Award จากฮ่องกงและอีกมากมาย

เป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ไม้สักแถวหน้าของไทยที่ส่งออกมาหลายประเทศทั้งอเมริกา ญี่ปุ่น ยุโรป ฯลฯจัดแสดงในงานดีไซน์แฟร์ระดับโลกมาแล้วหลายครั้ง และยังเป็นแบรนด์แถวหน้าในการขับเคลื่อนความยั่งยืนโดยไม่ลืมทิ้งสปิริตความเป็นไทยและการออกแบบโดยคำนึงถึงให้ตอบโจทย์ผู้ใช้ได้จริง

จิรชัย ตั้งกิจงามวงศ์ เป็นทายาทรุ่นที่ 2 ที่ให้คำนิยามตัวเองว่าน่าจะใกล้เคียงกับการเป็นคนกล้าสนุกมากกว่ากล้าเสี่ยง ที่ผ่านมาดีสวัสดิ์เป็นแบรนด์ที่ยืนตระหง่านอย่างแข็งแกร่งแม้เคยผ่านช่วงที่เรียกได้ว่าแทบต้องถอนรากถอนโคนโมเดลธุรกิจดั้งเดิมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนวัสดุในการผลิตทั้งหมดหรือล้มกระดานการเปิดโชว์รูมต่างประเทศ

ท่ามกลางเส้นทางการทำธุรกิจที่เปรียบเหมือนการเดินฝ่าดงพงไพรที่ต้องฝ่าอุปสรรคขวากหนามมากมาย การบริหารความในเสี่ยงในแบบของจิรชัยคือคำว่า ‘Play Risk’ หรือการสนุกกับการไม่หยุดพัฒนาและเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ เขาทำได้ยังไงถึงสนุกกับความเสี่ยงได้ ชวนมาฟังวิธีคิดของดีสวัสดิ์กัน

การฝ่ามรสุมของธุรกิจไม้ 

ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น คุณพ่อของจิรชัยเป็นผู้เริ่มก่อตั้งดีสวัสดิ์ใน พ.ศ. 2515 โดยตั้งใจทำโรงงานเพื่อมุ่งส่งออกตั้งแต่ต้นและเริ่มผลิตเฟอร์นิเจอร์จากไม้ประดู่เป็นหลักเกือบทั้งหมด 

“การส่งออกสมัยคุณพ่อคือการไปเปิดโชว์รูมที่ต่างประเทศ ช่วงนั้นดีสวัสดิ์ไปเปิดโชว์รูมที่สิงคโปร์ ฮ่องกง อเมริกา ตอนนั้นเราเริ่มธุรกิจจากการทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ประดู่ฝังมุก ไปเอาช่างและเครื่องไม้เครื่องมือมาจากฮ่องกงบ้าง มาเก๊าบ้าง แล้วส่งออก”

จิรชัยเล่าว่าในยุคนั้นดีสวัสดิ์ใช้กลยุทธ์เปิดโชว์รูมในทุกประเทศที่ต้องการบุกตลาดและหาพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ อยากขยายตลาดที่ประเทศไหน ก็ ‘เปิดบ้าน’ ที่นั่นให้ลูกค้าเดินเข้ามาทักทายได้ 

วิธีทำธุรกิจรูปแบบนี้ได้รับผลตอบรับดีในช่วงหนึ่งแต่มีความท้าทายในการแบกรับต้นทุนการผลิตและการขนส่งสูง การมีโชว์รูมในทุกประเทศยังทำให้ต้องบริหารจัดการความต้องการของลูกค้าปลีกทั่วโลกที่ยิบย่อยตามมาส่งผลให้มีความเหนื่อยในการทำธุรกิจ

ดังนั้นหลังจากส่งออกมาระยะหนึ่ง สิ่งที่จิรชัยได้เรียนรู้คือ “การส่งออกไม่ใช่การไปขายด้วยตัวเราเองแต่เป็นการหาพาร์ตเนอร์ที่มองวิสัยทัศน์เหมือนกับเรามากกว่า”

ประกอบกับตอนนั้นซานฟรานซิสโกเกิดแผ่นดินไหวทำให้โชว์รูมของดีสวัสดิ์ที่อเมริกาได้รับผลกระทบ จึงเริ่มปิดโชว์รูมที่สาขานั้นเป็นที่แรก แล้วทยอยปิดสาขาที่ฮ่องกงและสิงคโปร์ตามมา

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และครั้งแรกของดีสวัสดิ์จึงเป็นการทิ้งโชว์รูมทั้งหมดที่ลงทุนสร้างไว้ที่ต่างประเทศ หลังจากนั้นก็เกิดวิกฤตใหญ่อีกครั้งที่ทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงสินค้าทั้งหมดคือการประกาศกฎหมายป่าไม้ที่ห้ามการตัดไม้ทำลายป่าในประเทศไทยราว 40 ปีที่แล้ว

“ปกติเราใช้ไม้ประดู่ในประเทศในการทำสินค้าส่งออก พออยู่มาวันหนึ่ง ห้ามตัด ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป เราก็เลยหันกลับมามองไม้สักป่าปลูกที่ไทยและยังมีบริษัทในเครือญาติที่เขาทำไม้สักอยู่ที่พม่า ก็เลยเปลี่ยนวัตถุดิบเป็นไม้สักทั้งหมด” 

จากเคยใช้วัสดุเป็นไม้ประดู่ร้อยเปอร์เซ็นต์พอเปลี่ยนวัสดุก็เหมือนกับเปลี่ยนตลาดทั้งหมด ดีสวัสดิ์เริ่มเรียนรู้ใหม่ด้วยการขอคำแนะนำกับกระทรวงพาณิชย์ “พี่ชายผมเริ่มเข้าไปเรียนรู้ทุกอย่างใหม่เอง ไปเข้าคอร์ส ออกไปหาลูกค้าเอง ไปเดินดูงานแฟร์ต่างๆ”

โชคดีที่แต่เดิมนั้นกระบวนการผลิตเฟอร์นิเจอร์ด้วยไม้ประดู่นั้นมีความยากกว่าการผลิตด้วยไม้สัก ทำให้พอเปลี่ยนวัสดุก็ผลิตง่ายขึ้น ดีสวัสดิ์จึงมีต้นทุนที่ได้เปรียบในการเป็นผู้ผลิตไม้และยังมีข้อได้เปรียบในการทำธุรกิจอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มทำกิจการไม้ในช่วงเวลาที่เหมาะสมคือช่วงรุ่งโรจน์ของตลาดเฟอร์นิเจอร์ไม้ในประเทศไทยและการมีฐานลูกค้าอยู่แล้วจากการส่งออกทั้งตลาดอเมริกาและยุโรป ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ไม้สักส่งผลดีต่อธุรกิจ สามารถเพิ่มบริการรับผลิต OEM จนธุรกิจเติบโตและผ่านวิกฤตไปได้ 

ดิสรัปต์ตัวเอง 

ช่วงไร้มรสุมเป็นช่วงที่จิรชัยเกิดไอเดียสร้างแบรนด์ของตัวเองซึ่งเป็นการพลิกโมเดลธุรกิจ ที่แต่เดิมรับผลิตเฉพาะ OEM

“เราเข้าคอร์สอบรมกับโครงการต่างๆ ของกระทรวงพาณิชย์มาตลอด จนอยู่มาวันหนึ่งก็มีการพูดถึงการสร้างแบรนด์ ตอนนั้นเราเป็นผู้รับผลิต OEM ที่ขายดี คำถามคือแล้วเราต้องสร้างแบรนด์ไหม เราต้องทำดีไซน์ใหม่เพิ่มไหม

“หลายคนเข้าใจผิดว่าต้องรอจนถึงเวลาที่จำเป็นแล้วค่อยสร้างแบรนด์ ตอนนั้นทางพี่น้องเราก็เริ่มมองว่าเหตุผลที่ลูกค้าซื้อจากโรงงานเราเพราะราคาของเราดีกว่า แต่คำถามคือเราจะราคาดีตลอดไปหรือเปล่า คู่แข่งประเทศเพื่อนบ้านเราก็มีการแข่งขันกันตลอด”

การรับทำ OEM ของดีสวัสดิ์ในช่วงนั้นรุ่งเรืองมากถึงขั้นที่ว่าเวลาไปออกงานดีไซน์แฟร์ระดับโลกอย่าง Maison&Objet ที่ฝรั่งเศส จิรชัยก็พบว่าแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ไม้สักเจ้าอื่นที่มาจัดแสดงในงานก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นลูกค้าของตัวเองเกือบทั้งหมด “เราไปดูรายชื่อว่าในฮอลล์จากทั่วโลกนี้มีแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ไม้สักเป็นใครบ้าง ก็พบว่าคือลูกค้าดีสวัสดิ์ ลูกค้าดีสวัสดิ์ ลูกค้าดีสวัสดิ์ มีใครก็ไม่รู้โผล่มาบ้าง แล้วก็ลูกค้าดีสวัสดิ์”

ความรุ่งเรืองด้านการรับผลิต OEM นี้เป็นดาบสองคมที่กลายเป็นโจทย์ใหญ่ให้จิรชัยกลับมานั่งคิดว่าจะออกแบบสไตล์ของแบรนด์ตัวเองยังไงดีไม่ให้ไปทับกับดีไซน์สินค้าของลูกค้าที่โรงงานดีสวัสดิ์รับผลิตให้ เพราะไม่อยากแข่งกับลูกค้าตัวเอง 

“เราก็คิดว่าเราจะไปเหยียบขาลูกค้าเราเองหรือจะไปทำร้ายตลาด OEM ของตัวเองเหรอ มันเลยเป็นที่มาว่าต้องหาคอนเซปต์ที่ไม่เหมือนคนอื่นเพื่อความแตกต่าง คอนเซปต์ Outdoor Fun เลยเกิดขึ้นจากตรงนั้น” 

นิยาม Outdoor Fun คือการใส่ดีเทลความสนุกเข้าไปในเฟอร์นิเจอร์ เช่น bottle lounge chair เก้าอี้จากแรงบันดาลใจของทรงขวดที่ฝังในทราย, Up Lamp โคมไฟที่สร้างเลเยอร์จากแรงบันดาลใจของกิ่งไม้, และเฟอร์นิเจอร์ที่สามารถใช้ได้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน ฯลฯ

นอกจากดีไซน์ที่แตกต่างแล้ว วิธีแก้เกมไม่ให้ทับตลาดกับลูกค้าคือการทำคอลเลกชั่นที่ช่วยส่งเสริมสินค้าของลูกค้าแทนที่จะแข่งขันกัน โดยในตลาดเฟอร์นิเจอร์สนามนั้นแบรนด์ส่วนใหญ่มักนิยมขายเซตโต๊ะและเก้าอี้ชุดใหญ่ที่เน้นขนาดใหญ่ จิรชัยที่สังเกตเห็นช่องว่างตลาดจึงเริ่มทำคอลเลกชั่นเฟอร์นิเจอร์ขนาดเล็กที่ยังไม่ค่อยมีใครทำและใส่ความสนุกสนานเข้าไป

“ถ้าลูกค้าทำโต๊ะหรือเก้าอี้ แบรนด์ของเราเองก็ทำโคมไฟ ทำชั้นวางของ เราเป็นตัวเสริมตลาดให้กับสินค้าของลูกค้า และไปๆ มาๆ พอเรามีคอนเซปต์เป็น Outdoor Fun ก็กลายเป็นว่าเราทำสินค้าที่สามารถมิกซ์แอนด์แมตช์ให้ดูสนุกสนานและน่าสนใจได้ เวลาสื่อต่างประเทศหลายสื่อมาร่วมงานแฟร์ปีถัดมาก็ชอบดีสวัสดิ์กันมากเลย เพราะเขามองว่าเราเล่นคอนเซปต์ที่ไม่เหมือนกับคนอื่นตลอดเวลา”

ไม่หยุดนิ่งในการสร้างแบรนด์  

เมื่อแบรนด์โด่งดังขึ้น เรื่องต่อไปที่เจอคือการโดนก๊อบปี้ดีไซน์สินค้าปัจจุบัน หน้าตาอย่างดีสวัสดิ์ โดนก๊อปดีไซน์มาแต่ไหนแต่ไร เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เคยไปเดินที่เมืองจีนแล้วเจอทำเหมือนเราทั้งคอลเลกชั่น ทั้งแค็ตตาล็อกเลย เพราะฉะนั้นดีไซน์เป็นสิ่งสำคัญแต่มันก็ถูกลอกเลียนแบบได้ง่ายเหมือนกัน คำว่าแบรนด์จึงไม่ได้อยู่แค่ที่ลุค แต่การสร้างแบรนด์ต้องลึกกว่านั้น”

สิ่งที่ดีสวัสดิ์สะสมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคือความเชื่อมั่นของลูกค้าจากการขายสินค้าคุณภาพ ทำให้ไม่ต้องแข่งขันในสงครามราคา แม้มีคนก๊อบปี้ดีไซน์ก็ไม่หวั่น

โดยทุกครั้งที่ไปออกงานแฟร์ จิรชัยจะเล่าเรื่องราวของแบรนด์ให้ลูกค้าฟังเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่า ดีสวัสดิ์มีโรงงานที่ผลิตสินค้าเอง มีประสบการณ์ทำงานมากว่า 50 ปี มี in-house ดีไซเนอร์ของตัวเอง ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง สินค้าในงานเป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้น ลูกค้าจะซื้อตามแค็ตตาล็อกก็ได้หรือจะสั่งทำพิเศษตามโปรเจกต์ก็ได้

“ทุกครั้งที่ออกแบบงานแสดงสินค้าเราต้องมีโจทย์ที่ชัดเจนว่าเราอยากสื่อสารอะไร และเราจะทำอะไร เพื่ออะไร การสร้างแบรนด์แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ หนึ่ง งานประกวดเพื่อสื่อสารความเป็นแบรนด์ของเรา กับสอง งานที่ขายจริง งานสองแบบนี้เป็นคนละโจทย์และต้องเล่าคนละอย่างกัน”

เป้าหมายของแบรนด์ในการส่งผลงานออกแบบเข้าร่วมประกวดและจัดแสดงที่งานดีไซน์แฟร์ระดับโลกคือเพื่อสื่อสารว่าดีสวัสดิ์เป็นแบรนด์ที่มีนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และมีไอเดียออริจินัลของตัวเอง ดังนั้นงานประกวดจึงไม่จำเป็นต้องขายได้ทันทีเพราะจุดประสงค์ที่แท้จริงคือการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสเป็นลูกค้าในอนาคต  

“ล่าสุดเราอยากไปตลาดจีนเลยส่งประกวดที่จีน ทุกคนถามว่าส่งประกวดแล้วจะขายได้เหรอ ถึงแม้ว่าการสร้างแบรนด์จะนำไปสู่การขายก็จริงในตอนจบ แต่สมัยนี้มันไม่ใช่ว่าออกงานแล้วจะขายได้ทันทีเพราะสินค้าเราไม่ได้มีราคาถูกและเป็นของพื้นฐานขนาดนั้น มองว่าเราไปเจอคนที่อยากเจอมากกว่า เจอกลุ่มที่มีโอกาสเป็นลูกค้าที่ดี กลุ่มสถาปนิก ลูกค้าจากประเทศที่น่าสนใจ”

การประกวดของดีสวัสดิ์ยังไม่เคยย่ำอยู่กับที่ จิรชัยเลือกพาดีสวัสดิ์กระโดดไปแข่งสนามประกวดในสาขาที่ไม่ซ้ำกัน เริ่มจากด้านดีไซน์ แล้วขยับไปแข่งด้านนวัตกรรม ไปจนถึงด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อบอกลูกค้าว่าเป็นแบรนด์ที่คิดต่างและมีความโดดเด่นในหลายมุม 

ผลของการไม่หยุดนิ่งในการสร้างแบรนด์ทำให้ดีสวัสดิ์กลายเป็นแบรนด์ที่สื่อต่างประเทศชอบเลือกมาเล่าและมีกระแสอยู่ตลอดเวลา

Trendsetter ผู้ขับเคลื่อนสิ่งใหม่ให้วงการ

ในวงการดีไซน์ เหล่าแบรนด์และผู้ประกอบการจะมีธรรมเนียมการคิดคอนเซปต์ที่ตรงกับธีมของงานแฟร์ระดับโลกในแต่ละปี โดยจะมีโซนไฮไลต์ที่จัดแสดงงานโดดเด่นจากทั่วโลก เช่น งาน Maison & Objet ที่ฝรั่งเศสมีโซนไฮไลต์อย่าง trend forum ที่สื่อและลูกค้าจะให้ความสนใจกับแบรนด์ที่จัดแสดงในโซนนี้เป็นพิเศษ 

ดีสวัสดิ์เป็นแบรนด์ไทยที่ได้รับคัดเลือกมาจัดแสดงในโซนเด่นเป็นประจำ ผ่านการลองผิดลองถูกจากการส่งประกวดแล้วไม่ได้รับคัดเลือกในช่วงแรกเหมือนแบรนด์ทั่วไปจนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและงานออกแบบในที่สุด

แล้วดีสวัสดิ์มีเคล็ดลับยังไงถึงลงแข่งขันในเกมไหนก็ชนะ เข้าตากรรมการทั้งงานแฟร์และงานประกวดในหลายประเทศ จิรชัยมองว่าความจริงแล้วคำว่านวัตกรรมไม่ได้ทำยากและต้องฝ่าความเสี่ยงมากมายอย่างที่ใครหลายคนคิดและดีไซเนอร์ไม่จำเป็นต้องแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง แค่พลิกมุมมองในการออกแบบเพื่อให้ปัญหาที่มีอยู่เบาบางลงได้ก็พอ 

ตัวอย่างเทรนด์โลกคือเทรนด์ผู้สูงอายุ เมื่อพูดคำว่านวัตกรรมสำหรับ silver economy (เศรษฐกิจผู้สูงวัย) หลายคนอาจนึกภาพเทคโนโลยีล้ำหน้ายากๆ ที่จะมาพลิกโฉมวงการอย่างยิ่งใหญ่ แต่ความจริงแล้วการคิดไอเดียใหม่สามารถเริ่มจากการทำสิ่งเล็กๆ ที่เรียบง่าย

“ยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุด ผมทำเก้าอี้ผู้สูงอายุที่มีเท้าแขนข้างเดียว เพราะถ้าสมมติคุณต้องพยุงคนเข้าคนออกแล้วมีเท้าแขน 2 ข้างก็จะเข้ายากและเกะกะเลยตัดออกข้างหนึ่ง หรืออย่างเตียงนอนอาบแดดบางตัวก็ทำเท้าแขนให้สูงขึ้นมานิดหนึ่งเพื่อให้คนแก่ใช้เป็นไม้ค้ำในการลุกเข้าลุกออกได้ง่ายขึ้น”

อีกตัวอย่างง่ายๆ ที่ดีสวัสดิ์ทำคือ เมื่อครั้งที่งาน Maison & Objet ในปีหนึ่งตั้งธีมว่า Word จิรชัยเห็นว่าหากจะเล่นกิมมิกด้วยการใส่ชื่อแบรนด์หรือ made in thailand ทื่อๆ บนสินค้าก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับใคร เลยเกิดไอเดียทำ Communication Braille Bench หรือม้านั่งสลักตัวอักษรเบรลล์สำหรับคนตาบอดและเขียนประโยคบนม้านั่งนั้นว่า ‘If you sit alone, try to move a bit to a side and give some space for someone’ (ถ้าคุณนั่งคนเดียว โปรดเขยิบไปข้างๆ สักเล็กน้อยเพื่อแบ่งปันที่ให้คนอื่นนั่ง)

ที่มาของไอเดียนี้คือการมี empathy ต่อผู้ใช้จริง “ผมรู้สึกว่าถ้าผมเป็นคนที่มองไม่เห็นผมจะรู้สึกดีมากเลยถ้าสามารถเป็นผู้ให้แล้วรู้สึกดีกับตัวเองได้” สุดท้ายแม้ม้านั่งอักษรเบรลล์จะไม่ได้รับคัดเลือกจัดแสดงในงานอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่สื่อต่างให้ความสนใจและพูดถึงคอลเลกชั่นนี้เพราะไม่เคยมีใครทำมาก่อน

ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ทำให้ออกแบบผลิตภัณฑ์ได้แตกต่างคือการตั้งคำถามว่าแบรนด์ของคุณจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมนั้นยังไงและตอบโจทย์อุตสาหกรรมนั้นไหม ได้สร้างสิ่งใหม่และขับเคลื่อนแนวคิดใหม่ในวงการไหม นี่คือเคล็ดลับของดีสวัสดิ์ที่ทำให้คิดล้ำหน้าแบรนด์อื่นเสมอ ซึ่งส่งผลดีทำให้ธุรกิจมั่นคง ทำอะไรก็เข้าตาลูกค้าและคนในวงการ 

ยั่งยืนยังไงให้ยืนยาว 

BCG (Bio-Circular-Green Economy) เป็นอีกหนึ่งเมกะเทรนด์ในกระแสที่ผู้ประกอบการหลายคนคิดว่าหากตามเทรนด์แล้วจะขายได้ ซึ่งดีสวัสดิ์เองก็ขึ้นชื่อว่าเป็นแบรนด์แนวหน้าในไทยที่บุกเบิกการทำสินค้ารักษ์โลกเช่นกัน

“สมัยก่อนเวลาออกงานดีไซน์แฟร์ที่ต่างประเทศ ลูกค้าจะเดินมาถามว่า ‘How Much?’ ปีนี้ลูกค้าเดินมาถามว่า ‘How Sustainable is your product?’ ลูกค้าไม่ได้มองเพียงดีไซน์อย่างเดียวแล้ว แต่เริ่มมองที่มาที่ไปของสินค้าว่าจะตอบโจทย์เทรนด์รักษ์โลกได้ยังไง”

จิรชัยจึงมองว่าการคำนึงถึงกระแสรักษ์โลกมากขึ้นเป็นสิ่งที่แบรนด์ควรปรับตัว เพียงแต่ภาพลักษณ์ของสินค้ารักษ์โลกจำนวนไม่น้อยในไทยทุกวันนี้คือสินค้าพรีเมียมที่นิยมขายในเชิงการกุศล ทำการตลาดในเชิงเชิญชวนให้ลูกค้าซื้อเพราะอยากช่วยโลก

ความเสี่ยงในการตามเทรนด์รักษ์โลกคือการไม่สามารถตอบโจทย์ตลาดและแก้ปัญหาได้จริง โดยเฉพาะถ้าเหล่าดีไซเนอร์และผู้ประกอบการวางตัวเองเป็นผู้เล่าแต่ไม่ถามว่าลูกค้าอยากได้อะไร 

“ความจริงแล้วคนซื้อสินค้าเพราะสวยและดี คนไม่ได้ซื้อเพราะรักษ์โลก จึงควรเอาฟังก์ชั่นและลุคมาขายก่อนที่จะบอกว่าเป็นสินค้ารักษ์โลก ตอนแรกๆ ลูกค้าอาจซื้อเพราะอยากทำบุญแต่การทำบุญมันก็ไม่ยั่งยืนนะ ควรคิดว่าฟังก์ชั่นของสินค้าคืออะไรและใช้ได้ดีจริงไหมด้วย”

“ถ้าคิดคอนเซปต์รักษ์โลกที่แน่นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่หาตลาดไม่ได้ มันก็ไม่เกิดประโยชน์ แต่ถ้ารักษ์โลกแค่ 10%-20% แล้วทำสินค้าในราคาที่มีตลาดและมีความต้องการ มันก็ตอบโจทย์ได้ดีกว่า”  

คำถามสำคัญที่ทำให้ผลิตสินค้าอะไรก็ไม่ล้มเหลวคือการตั้งโจทย์ว่าทำเพื่ออะไร เพื่อใครและอยากขายใคร วิธีที่ง่ายที่สุดคือลองสวมหมวกว่าถ้าเราเป็นลูกค้าเราจะซื้อสิ่งที่ออกแบบเองหรือเปล่า

หากมองผิวเผิน การใส่ใจสิ่งแวดล้อมดูเหมือนเป็นงานที่เพิ่มภาระและเพิ่มกระบวนการผลิตแก่ผู้ประกอบการ แต่จิรชัยมองว่าการเอาเศษไม้มาผลิตเป็นสินค้าของดีสวัสดิ์นั้นเป็นอีกกลยุทธ์ในการช่วยลดความเสี่ยงในการใช้ไม้ของธุรกิจด้วย

เพราะเคยเผชิญวิกฤตที่ต้องเปลี่ยนจากการใช้ไม้ประดู่ทั้งหมดมาเป็นไม้สักอย่างกะทันหัน ทำให้ทุกวันนี้จิรชัยจึงไม่ประมาท “วัสดุที่เคยมีอยู่เยอะวันหนึ่งมันก็ไม่มีอีกแล้ว เพราะฉะนั้นวัสดุที่มีใหม่จะหายไปอีกเมื่อไหร่ในอนาคตก็ไม่รู้ เราก็เริ่มเก็บเศษไม้ตั้งแต่ตอนนั้นเลย” 

ณ ปัจจุบัน ดีสวัสดิ์พัฒนาผลิตภัณฑ์รักษ์โลกด้วย 3 วิธีด้วยกัน วิธีแรกคือ minimize waste หรือลดการสูญเสียให้ได้มากที่สุด คือการกลับไปดูก่อนว่าวัตถุดิบที่เหลือจากการผลิตสินค้าในปัจจุบันมีอะไรบ้าง เวลาตัดไม้แล้วมีเศษไม้ส่วนไหนที่เคยทิ้ง เช่น กระพี้ไม้ เปลือกไม้ แล้วจะลดขยะเพิ่มด้วยการเอาเศษไม้เหล่านี้มาทำคอลเลกชั่นได้ยังไง

เช่น เฟอร์นิเจอร์ที่คิดค้นเทคนิคในการผลิตให้ไม่มีการเข้าเดือย ใส่สกรู เจาะร่อง และใส่กาวเลย เพื่อลดเศษไม้เหลือทิ้งชิ้นเล็กระหว่างกระบวนการผลิต 

วิธีที่สองคือ maximize waste หรือการเพิ่มมูลค่าให้ของเหลือทิ้ง เช่น เอาเศษไม้ชิ้นเล็กจากการผลิตเฟอร์นิเจอร์มาสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ กลายเป็นไม้ปูพื้นและเฟอร์นิเจอร์จากเศษไม้เหลือทิ้งหลายแหล่งผสมกัน

วิธีที่สาม zero waste คือการนำวัสดุที่ไม่ใช้แล้วมาออกแบบให้สามารถเอาไปใช้ใหม่ได้อีกครั้งหรือที่นิยมเรียกกันว่า upcycling 

ในขณะที่หลายคนมองว่า upcycling คือการออกแบบผลิตภัณฑ์จากขยะ จิรชัยคิดต่างด้วยการไม่เรียกของเหลือใช้ว่าขยะตั้งแต่ต้น แต่นิยามว่าเป็นวัสดุ “คำถามแรกของผมคือ อะไรคือขยะ ขยะคือสิ่งที่ทิ้งลงไปในถังแต่ถ้าไม่ทิ้งก็จะกลายเป็นวัสดุ คำว่าขยะคือสิ่งที่ใส่สรรพนามให้มัน แล้วโยนมันทิ้งไป จะเป็นขยะหรือไม่เป็นขยะ คุณเป็นคนทำ” 

การผลิตโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมครบทั้งกระบวนการทั้งลดของเหลือทิ้ง เพิ่มมูลค่า และเอาวัสดุที่ไม่ใช้แล้วมาออกแบบใหม่ที่ดีสวัสดิ์ทำมาเป็นระยะเวลานานทำให้ได้รับการรับรองฉลากผลิตภัณฑ์หมุนเวียน circular mark เครื่องหมายที่การันตีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นมาตรฐานการันตีระดับโลกทำให้ยกระดับความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าที่สนใจซื้อสินค้ารักษ์โลกไปอีกขั้น  

ความกล้าสนุกที่พาฝ่าทุกความเสี่ยง 

ดีสวัสดิ์ยืนระยะมายาวนานกว่า 50 ปีเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึกอย่างแข็งแกร่งโดยมีสิ่งสำคัญอีกอย่างที่ทำให้ฝ่าทุกคลื่นลมและมรสุมมาได้คือการเป็นที่พึ่งพิงและแผ่กิ่งก้านสาขาแห่งความรู้ให้ผู้ประกอบการและดีไซเนอร์รุ่นใหม่

นอกจากการดูแลธุรกิจของตัวเองแล้ว จิรชัยมีอีกหนึ่งบทบาทคือการเป็น ‘โค้ชพี่ไมค์’ ที่เผยแพร่ความรู้และประสบการณ์ในวงการออกแบบให้คนรุ่นใหม่ร่วมกับภาครัฐ เช่น โครงการ DIPROM ของกระทรวงอุตสาหกรรม โครงการ Talent Thai & Designers’ Room ของกระทรวงพาณิชย์

สิ่งที่จิรชัยได้กลับมาในบทบาทโค้ชคือการเข้าใจความต้องการและค่านิยมและของเจเนอรั่นใหม่ที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย

“ผมเคยให้โจทย์ออกแบบในคอนเซปต์ communication กับนักศึกษา คำว่า communication ของผมคือมือถือทำให้สูญเสียการสื่อสารไป ทำไมไม่วางมือถือลงแล้วคุยกันล่ะ ทางออกในปัญหาการสื่อสารของผมคือปิดมือถือแล้วเปิดโอกาสให้คนคุยกันเยอะขึ้น

“แต่หลังจากทำโครงการพบว่าปัญหาเรื่องการสื่อสารของเด็กๆ แตกต่างออกไป เริ่มคุยไม่เป็นเพราะติดมือถือ แต่ชีวิตก็ขาดมือถือไม่ได้ พอไปเจอเพื่อนหรือครอบครัวแล้วเกิดเดดแอร์ ไม่มีเรื่องจะคุยกับเพื่อน ผมเลยบอกว่าปัญหาของลูกค้าเราไม่เหมือนเดิมแล้ว เจเนอเรชั่นต่างกัน ปัญหาก็ต่างกัน”  

ค่านิยมใหม่และคุณค่าใหม่เหล่านี้ทำให้ความต้องการของตลาดเปลี่ยนแปลงไปและเกิดความท้าทายใหม่ แม้แต่ต้นไม้ใหญ่ที่เติบโตมายาวนานก็ต้องปรับตัวตามกระแสลมที่เปลี่ยนทิศและสภาพแวดล้อมตามฤดูกาลในวันนั้น

“สำหรับแบรนด์รุ่นใหญ่ต้องมองว่า ตลาดที่เคยเฟื่องฟูมามันจะไม่ได้อยู่กับคุณตลอดไป ทำบุญมันก็ต้องหมดกระแสบุญวันยังค่ำ สิ่งสำคัญคือพอทุกอย่างเปลี่ยนไป ต้องเปิดรับตัวเองในการเรียนรู้และทดลอง นั่นคือสิ่งที่ดีสวัสดิ์ทำมาตลอด” 

จิรชัยมองตัวเองเป็นเจเนอเรชั่นที่อยู่ตรงกลางระหว่างรุ่นใหญ่ที่มีความอนุรักษนิยมมากกับเจเนอเรชั่น Y และ Z ที่เป็นเด็กหัวสมัยใหม่ แม้แบรนด์จะมีอายุเก่าแก่ แต่วางตนเป็นไม้อ่อนที่ดัดได้และพร้อมทำความเข้าใจคนรุ่นใหม่ที่กำลังจะกลายเป็นกำลังซื้อใหญ่ในอนาคต 

เมื่อถามจิรชัยว่ามองตัวเองเป็นคนที่กล้าเสี่ยงไหม ก็ได้คำตอบว่า “ผมมองว่าจริงๆ แล้ว คำว่า เสี่ยง กับ สนุก ไม่เหมือนกัน ผมมองตัวเองเป็นคนรักสนุกมากกว่า เราสนุกกับการทดลองสิ่งใหม่และกล้าทำอะไรใหม่ๆ โดยที่ไม่ได้คาดหวังว่าพอทำขึ้นมาแล้วจะขายได้หรือเปล่า”

“หลายคนถามว่าผมทำโครงการทีสิสกับนักศึกษามหาวิทยาลัย มันจะได้ผลเหรอ จะขายได้จริงเหรอ ผมบอกว่าเดี๋ยว อย่าเพิ่งคิดเยอะเพราะเพิ่งเริ่มทำตัวอย่าง กระบวนการทำงานด้วยกันนี่แหละที่เป็นการสร้างคอนเซปต์ใหม่”

ทุกวันนี้จิรชัยยังสนุกกับการคิดคอนเซปต์ใหม่ ทดลองใช้วัสดุใหม่ที่ทำให้แบรนด์มีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา บางครั้งก็ให้ดีไซเนอร์ของแบรนด์ออกแบบสิ่งใหม่ นึกสนุกก็คอลแล็บกับดีไซเนอร์ต่างประเทศ หรือริเริ่มโปรเจกต์พิเศษที่ติดอาวุธให้นักศึกษา

เมื่อการเริ่มหว่านเมล็ดพันธ์ุในวันนี้อาจเห็นผลสำเร็จงอกงามในอีกหลายปีข้างหน้า กลยุทธ์การป้องกันวิกฤตที่ดีที่สุดจึงเป็นสร้างสรรค์สิ่งใหม่ตั้งแต่วันที่ยังไม่มีความเสี่ยง

ข้อมูลติดต่อ
Facebook : DEESAWAT
Instagram : deesawat_thailand
Website :
www.deesawat.com

Sprinkle น้ำดื่มไทยที่เล่นสนุกกับการออกแบบแพ็กเกจจิ้งจนกลายเป็นที่จดจำระดับโลก

เมื่อนึกถึงงานดีไซน์ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์ หลายคนอาจคิดถึงการนำ ‘ไอเดีย’ การออกแบบแปลกๆ ใหม่ๆ ไปใช้กับข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เทคโนโลยี แฟชั่น และอีกมากมาย 

ผลิตภัณฑ์อย่าง ‘น้ำเปล่า’ น่าจะเป็นสิ่งท้ายๆ ที่ใครจะนึกถึง

อาจเพราะความเคยชินกับขวดน้ำใสแจ๋วที่มองเห็นน้ำบริสุทธิ์ด้านในก็คงเพียงพอแล้วที่เราจะหยิบมันออกจากเชลฟ์วางขายในร้านสะดวกซื้อหรือซูเปอร์มาร์เก็ตโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก

อาจเพราะขวดน้ำดื่มคงไม่ใช่สิ่งที่เราจะกวาดสายตาเพื่อดูความสวยงามของมัน ดังนั้นการลงทุนใส่ความคิดหรือไอเดียเพื่อออกแบบบรรจุภัณฑ์อย่างขวดน้ำจึงอาจเป็นเรื่องเสียเวลาเมื่อมองผ่านสายตานักธุรกิจ

แต่ช้าก่อน หากคุณได้เห็น ‘ขวดน้ำ’ ของสปริงเคิล (Sprinkle) บริษัทแบรนด์น้ำดื่มที่อยู่คู่กับคนไทยมากว่า 30 ปี คุณอาจเปลี่ยนความคิดได้

นับตั้งแต่การเข้ามารับไม้ต่อสืบทอดธุรกิจแบรนด์น้ำดื่มสปริงเคิลของครอบครัว เบียร์–กฤตวิทย์ เลาหธนาพร ผู้ที่เรียนจบ Product Design ก็นำวิชาที่ร่ำเรียนมา ‘รีแบรนด์’ น้ำดื่มรุ่นเก๋านี้ให้กลายเป็นแบรนด์ที่ ‘ทันสมัย’ และเต็มไปด้วยลูกเล่น ความสนุก จากการใส่ไอเดียในการออกแบบผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงคิดโปรเจกต์สนุกๆ ในการคอลแล็บกับภาคส่วนต่างๆ ผลิตขวดน้ำแบบ ‘ลิมิเต็ด’ ที่ทำให้หลายคนต้องตระเวนหาซื้อมาเก็บไว้ 

ถ้าคุณเคยเห็นขวดน้ำเปล่าคอลเลกชั่น Star Wars หรือคอลเลกชั่น One Piece นั่นคือส่วนหนึ่งของโปรเจกต์ที่สปริงเคิลเคยทำ

และในวาระที่สปริงเคิลเพิ่งเปิดตัวบรรจุภัณฑ์ใสดีไซน์ใหม่ล่าสุด คอลัมน์ Product Champion จึงอยากพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเบื้องหลังวิธีคิดโปรดักต์ของแบรนด์น้ำดื่มแบรนด์นี้ เพื่อหาเหตุผลว่าทำไมแบรนด์น้ำดื่มรุ่นเก๋านี้จึงยังคงเต็มไปด้วยไอเดียสดใหม่อยู่เสมอ แม้ผลิตภัณฑ์ที่ขายจะเป็นเพียงผลิตภัณฑ์แสนเรียบง่ายอย่างน้ำเปล่า

จุดเริ่มต้นธุรกิจที่ไม่ได้มาจากน้ำ

จุดเริ่มต้นของธุรกิจสปริงเคิลไม่ได้มาจากเรื่องของ ‘น้ำ’ แต่เป็น ‘นม’

ย้อนกลับไปในอดีต บริษัทมิลค์โก้เป็นบริษัทเทรดดิ้งที่นำเข้านมผง ซึ่งยังไม่สามารถผลิตในประเทศไทยได้ หลังจากนั้นจึงมีการเสนอขายโรงน้ำดื่มบริเวณดอนเมือง ซึ่งบริษัทมองว่าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ จึงซื้อมาสร้างเป็นสปริงเคิลโดยมี พิสัย เลาหธนาพร เป็นผู้บริหาร และหุ้นส่วนอีกท่านบริหารบริษัทมิลค์โก้แยกการดำเนินธุรกิจเป็นสองขา

ในสมัยนั้นน้ำบรรจุถังจะเป็นถังสีขาวขุ่น แต่ทางสปริงเคิลได้บุกเบิกนำถังใสเข้ามาขาย ขณะที่เจ้าตลาดน้ำถังคือ โพลาริส โดยทางสปริงเคิลเริ่มขายจากกลุ่มโรงงาน ก่อนจะขยับมาขายลูกค้าที่เป็นบ้านที่อยู่อาศัย และเริ่มผลิตเป็นน้ำขวด ทั้งขวดขุ่นและขวดแบบปกติที่พันฉลากสปริงเคิล

หลังดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลานาน และกลายเป็นหนึ่งในเจ้าตลาดน้ำถัง จุดเปลี่ยนสำคัญของบริษัทก็มาถึง ภายหลังการเข้ามารับไม้ต่อของ เบียร์–กฤตวิทย์ เลาหธนาพร ผู้เป็นลูกชาย ใน พ.ศ. 2553 ที่เรียนจบทางด้าน Product Design และไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะต้องมารับไม้ต่อเนื่องจากสุขภาพที่ไม่ค่อยแข็งแรงของผู้เป็นพ่อ 

เบียร์เข้ามารับตำแหน่งกรรมการบริหาร ดูแลฝ่ายการตลาด ในเวลานั้นสปริงเคิลยังไม่ได้เน้นการทำตลาดมากนัก แต่จะเน้นการขายเป็นหลัก โดยมีสินค้าหลักเป็นน้ำถังและน้ำขวด และมี คมยุทธ เมษินทรีย์ เพื่อนของพ่อที่เป็นหุ้นส่วนบริษัทมิลค์โก้เข้ามาช่วยดูเรื่องการบริการจัดส่งน้ำถัง

สองปีแรกในการทำงานเบียร์ใช้เวลาไปกับการเรียนรู้ว่าการทำน้ำถังเป็นยังไง รวมถึงออกไปพบลูกค้ากับทีมขาย ในเวลานั้นมีข่าวว่ามีสองแบรนด์ยักษ์ใหญ่กำลังจะเข้ามาสู่ตลาดน้ำถังด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นแบรนด์ที่ทำน้ำขวดสำเร็จมาแล้วทั่วโลก

นั่นคือโจทย์สำคัญที่ทำให้เบียร์คิดว่า แม้สปริงเคิลจะเป็นผู้นำตลาดน้ำถัง แต่ก็เป็นเพียงแบรนด์เล็ก หากมีแบรนด์ใหญ่เข้ามาจะอยู่รอดได้ยังไง

“เราไม่มีเงินทำการตลาดเยอะแยะ แล้วจะทำยังไงให้อยู่รอดในธุรกิจได้ ผมจึงมาคิดว่าเรารีแบรนด์ดีไหม ให้แบรนด์ดูพรีเมียมขึ้น ทันสมัยขึ้น”

นั่นคือที่มาของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยการนำความรู้จากสิ่งที่ร่ำเรียนในสาขา Product Design มาใช้ในการนำเรื่องของการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์มาเป็นตัวขับเคลื่อน และสินค้าที่เบียร์มองว่าเหมาะสมในการนำเสนอเข้ากับไอเดียดังกล่าวคือน้ำขวด เนื่องจากเป็นสินค้าที่เข้าถึงคนง่าย ซื้อในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว น้ำขวดจึงเป็นสินค้าสำคัญที่จะช่วยสร้างภาพจำของแบรนด์ให้คนรู้จัก ซึ่งท้ายที่สุดก็จะสะท้อนกลับมาที่สินค้าอย่างน้ำถังได้เช่นกัน

Sprinkle ‘Red dot Award 2014’
พ.ศ. 2557

ภาพแรกที่คนจำได้จากขวดสปริงเคิลหลังการรีดีไซน์คือขวดรูปทรงผลึก ที่ดูเรียบง่าย แต่มีเอกลักษณ์ ซึ่งเบื้องหลังของการออกแบบไม่ใช่เรื่องง่าย

หลังจากมีไอเดียในการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ เบียร์ทำงานร่วมกับกลุ่มอาจารย์และรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นนายกสมาคมนักออกแบบผลิตภัณฑ์ประเทศไทยในเวลานั้นซึ่งเคยทำงานร่วมกันมาก่อน โดยให้ทางทีมทำรีเสิร์ชทั้งในและนอกองค์กร เพื่อออกแบบขวดใหม่มานำเสนอ

โจทย์ในการออกแบบขวดใหม่คือเบียร์มองว่าขวดน้ำดื่มที่เห็นในตลาดเวลานั้นจะมีลักษณะเป็น ‘ปล้อง’ จึงคิดว่าจะออกแบบให้สวยยังไง ไอเดียเขาคือการค้นคว้าว่าปล้องที่ว่าทำมาเพื่ออะไร ซึ่งก็ได้คำตอบว่าปล้องเปรียบเสมือนโครงสร้างกระดูกที่ทำให้ขวดพลาสติกแข็งแรง เพราะหากขวดพลาสติกเรียบจะทำให้โครงสร้างนิ่ม

เมื่อมองเห็นปัญหา เบียร์จึงคิดว่าจะออกแบบยังไงเพื่อหลบปล้องที่ว่า สุดท้ายเขาไม่ได้คำตอบ แต่กลับได้คำถามสำคัญที่ว่า ‘ทำไมไม่เอาปล้องออกให้หมดเลย แล้วออกแบบโครงสร้างปล้องขึ้นมาใหม่’ นั่นจึงเป็นที่มาของขวดผลึกรูปทรงยุคใหม่ของขวดน้ำสปริงเคิล

ไอเดียของรูปทรงขวดใหม่คือการที่ทีมนักออกแบบนำรูปทรงต่างๆ ที่เกี่ยวกับน้ำมาออกแบบเป็นโครงสร้าง เช่น วงกระเพื่อมของน้ำ น้ำแข็ง น้ำตก กระทั่งสรุปได้ว่าโครงสร้างที่เป็นภูเขาน้ำแข็งลงตัวที่สุด 

เบียร์เล่าเกร็ดเล็กน้อยให้ฟังว่า แรกสุดทีมออกแบบทำมาเสนอ 12 แบบ แต่พอเขาเห็นแบบที่เป็นภูเขาน้ำแข็งก็บอกเลยว่า ‘ใช่’ เพียงแต่ในร่างแรกลายภูเขาน้ำแข็งจะมีผลึกที่ถี่กว่า และมีตัวขวดเป็นทรงขวดไวน์ จึงให้การบ้านไปพัฒนาต่อจนออกมาเป็นขวดน้ำทรงที่เราได้เห็น

ขวดน้ำทรงผลึกน้ำแข็งได้รับความสนใจจากความแปลกใหม่ และไปไกลถึงขั้นได้รับรางวัล Best of the Best Packaging Design จากสาขา Packaging Design หรือการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ในเวที Red Dot Award ใน พ.ศ. 2014 หลังจากเอาชนะคู่แข่งอีกนับพันแบรนด์ที่ส่งประกวด

“ผมว่าเราได้รางวัลเพราะเราตีโจทย์ที่โครงสร้าง เนื่องจากแบรนด์ที่ส่งประกวดตัวผลิตภัณฑ์ขวดน้ำในปีนั้นไม่มีใครพูดถึงเรื่องการทำโครงสร้างใหม่ขึ้นมาเป็นการออกแบบแต่ยังมีความเป็นปล้องๆ ริ้วๆ ขวดน้ำของเราจึงใหม่มาก การได้รางวัลเป็นสิ่งที่เกินคาด มันเป็นตัวบ่งบอกว่างานออกแบบที่เราทำได้รับการยอมรับในระดับโลก”


Sprinkle ‘Unlimited Inspiration’
พ.ศ. 2561

แม้สปริงเคิลจะพาขวดผลึกใสดีไซน์ใหม่ไปคว้ารางวัลจากเวทีระดับโลก แต่หลังวางขายไป 2-3 ปีก็ยังมีปัญหาเมื่อวางขายในเซเว่น อีเลฟเว่น เพราะตัวขวดใสมากจนทำให้คนมองไม่เห็นโลโก้จนกลืนไปกับขวดน้ำดื่มของแบรนด์อื่น และนั่นจึงนำมาซึ่งการตั้งคำถามครั้งใหม่ของเบียร์ที่ว่า จะทำยังไงให้ขวดสปริงเคิลเด่นขึ้นมาเมื่ออยู่บนเชลฟ์

“ผมคิดว่าทำไมขวดน้ำต้องใส ถ้าอย่างนั้นเราทำขวดสีไปเลยได้ไหม เพราะคนบอกว่าการมีขวดใสน้ำจะได้ดูสะอาด แต่น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ก็เป็นขวดทึบ คนก็ยังซื้อ แต่จะทำขวดสียังไงให้มันเด่น”

จากโจทย์ดังกล่าวจึงทำให้เบียร์ตามหาดีไซเนอร์ที่เก่งในการใช้สี จนได้รู้จักกับ เอิ้น–ศริญญา ลิมป์ทองทิพย์ ดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์ SRINLIM และชักชวนให้มาออกแบบในโปรเจกต์ Sprinkle ‘Unlimited Inspiration’ ซึ่งเป็นการทำขวดน้ำ 30 สี จากแรงบันดาลใจต่างๆ เพื่อออกขายทั้ง 12 เดือน ทั้งหมด 6 คอลเลกชั่น

Blossom Me คอลเลกชั่นเกี่ยวกับดอกไม้ในช่วงวาเลนไทน์ ซึ่งแบ่งเป็นสีของดอกไม้ 6 สี 

Blissful Summer คอลเลกชั่นสีของทะเล 6 สี มีชายหาดที่เป็นสีชมพู สีม่วง น้ำทะเลที่สิมิลัน เป็นสีน้ำทะเล สีชายหาดที่เก๋ๆ ก็เอามาทำเป็นสีขวด

Art Collection ที่เป็นการนำภาพศิลปะอันโด่งดัง เช่น โมนาลิซ่า หรือ The Starry Night มาถอดรหัสสีเพื่อทำเป็นสีขวดน้ำ

Japanese Autumn แรงบันดาลใจจากสีของฤดูใบไม้เปลี่ยนสีของญี่ปุ่น แต่ละสีก็จะเป็นสีของใบไม้

การเปลี่ยนขวดเป็นสีครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คนจำรูปทรงของสปริงเคิลได้ชัดเจนขึ้น และเกิดการแชร์ต่อจนทำให้มีลูกค้าหลายคนพยายามซื้อเก็บไว้

“ผมใช้เวลาออกแบบ 1 ปี หาซัพพลายเออร์ 1 ปี ทำขายทั้งปี ปีนั้นขาดทุนยับเลย (หัวเราะ) เพราะขวดแพงมาก แต่มันคือการตลาด”

ความสำเร็จจากการรีดีไซน์ทำให้เบียร์ตั้งธงไว้ว่า ขวดสปริงเคิลต้องเป็นไอคอนิกของแบรนด์ โดยมองว่า ขวดสปริงเคิลเป็นเหมือนผ้าแคนวาสเปล่าๆ ที่สามารถไปคอลแล็บกับใครก็ได้ ผ่านแกนหลักในเรื่องของ movie, anime, game, music, culture และ fashion ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาชอบและสนใจ

ในหนึ่งปีเขาตั้งใจจะออกแคมเปญใหญ่ที่เป็นแบบลิมิเต็ด ขณะเดียวกันก็จะมีแคมเปญเล็กๆ ออกมาด้วย โดยแคมเปญเล็กที่ว่าส่วนใหญ่ก็จะอิงกับเรื่องของเทศกาล เนื่องจากระยะเวลาที่จำกัดของเทศกาล เช่น วาเลนไทน์

Sprinkle x SRINLIM
พ.ศ. 2564

ขวดคอลเลกชั่นสงกรานต์เป็นการร่วมงานกับเอิ้น SRINLIM ซึ่งเชี่ยวชาญในเรื่องสิ่งทอ (textile) อีกครั้ง โดยโจทย์ที่เบียร์ให้กับเอิ้นคือการออกแบบลายไทยขึ้นมาใหม่ โดยตีความจากวัฒนธรรมปัจจุบัน เนื่องจากเอิ้นมีโอกาสเดินทางไปศึกษาวัฒนธรรมพื้นถิ่นมาหลายแห่ง ท้ายที่สุดเอิ้นจึงออกแบบมาเป็น 4 ลวดลาย และใช้สีให้พิเศษขึ้นกว่าสีลายไทย เพื่อให้มีความจัดจ้าน มีความแฟชั่นขึ้น ดูเป็นลายไทยที่โมเดิร์น

ความพิเศษของขวดคอลเลกชั่นนี้ยังมีการเพิ่มเทคนิคของ ‘ศิลปะลวงตา’ หรือ optical art เข้าไป เพื่อเพิ่มมิติและความรู้สึก ‘ลวงตา’ ของชั้นสีที่ซ้อนกัน ทำให้ขวดมีลวดลายสีสันที่น่าสนใจและสนุกขึ้น

Sprinkle x Star Wars
พ.ศ. 2562

หนึ่งในคอลเลกชั่นสร้างชื่อและเป็นที่จดจำของสปริงเคิล กับการทำคอลแล็บร่วมดิสนีย์ เพื่อนำภาพยนตร์ชุดชื่อดังอย่าง Star Wars มาทำเป็นลวดลายบนขวด

เบื้องหลังที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้สำหรับคอลเลกชั่นนี้คือ ไอเดียแรกสุดไม่ใช่การนำ Star Wars มาทำเป็นลายบนขวด แต่เป็น Marvel ทว่าในช่วงเวลาดังกล่าว Star Wars ภาค Star Wars: The Rise of Skywalker กำลังจะเข้าฉายพอดี จึงคิดว่าไทม์ไลน์อาจจะเหมาะสมกว่า และนั่นก็เป็นความคิดที่ถูกต้อง เพราะเมื่อลงมือดีไซน์ เบียร์พบว่าคาแร็กเตอร์ของ Star Wars ลงตัวกับขวดอย่างยิ่ง

ในเวลานั้นทางดิสนีย์เจ้าของลิขสิทธิ์ Star Wars รู้จักสปริงเคิลจากขวดสีทึบแล้ว จึงยินดีจะร่วมงานด้วย โดยทางดิสนีย์จะมีข้อบังคับที่เข้มงวด ทั้งการตรวจโรงงานน้ำดื่ม โรงงานซัพพลายเออร์ที่ผลิตขวด รวมถึงเรื่องความปลอดภัยต่างๆ เมื่อตรวจเสร็จแล้วก็ต้องซื้อลิขสิทธิ์เพื่อมาออกแบบ หลังจากการออกแบบก็ต้องส่งให้ทางดิสนีย์อนุมัติอีกประมาณ 2-3 สัปดาห์ต่อหนึ่งแบบ ยังไม่นับเวลาของการแก้ไขงาน การผลิต การโฆษณา ที่ต้องให้ทางดิสนีย์อนุมัติทุกขั้นตอน กระบวนการต่างๆ จึงใช้เวลานับปี

นอกจากนี้ยังมีความยากในแง่ของการออกแบบ ที่ขวดของสปริงเคิลสามารถสกรีนได้เพียง 3 สี จึงต้องลดทอนสีทั้งหมด เพื่อให้สามารถสกรีนลงบนขวดได้

อย่างไรก็ดี หลังผ่านกระบวนการที่ยาวนาน ผลงานที่ออกมาก็นับว่าสวยงามลงตัวและได้ผลตอบรับที่ดี โดยคอลเลกชั่น Star Wars จะแบ่งเป็น 2 คอลเลกชั่น คอลเลกชั่นละ 6 แบบ ได้แก่ ขวด R2-D2, ดาร์ธ มอล, ดาร์ธ เวเดอร์, สตอร์มทรูปเปอร หรือโคลน ทรูปเปอร์

Sprinkle X One Piece Limited Collection
พ.ศ. 2563

คอลเลกชั่นเอาใจสาวกอนิเมะชื่อดังอย่าง วันพีซ (One Piece) ผ่านการจับมือกับ DEX โดยการนำคาแร็กเตอร์ของตัวละครหลักในเรื่องมาสกรีนลงขวดอย่างครบครัน ทั้งลูฟี่, โซโล, นามิ, ซันจิ, อุซป และช็อปเปอร์ โดยเบียร์บอกว่า สิ่งที่ทำให้เขาเลือกวันพีซ นอกจากเป็นมังงะที่เขาชื่นชอบแล้ว เรื่องที่เลือกมาต้องมีเรื่องราวมายาวนาน มีแฟนเหนียวแน่น ฐานแฟนใหญ่ อย่างวันพีซเองก็มีแฟนหลายช่วงอายุ และไม่ใช่แค่แฟนทั่วไป แต่คนทั่วไปก็รู้จัก

เบื้องหลังในการทำงานร่วมกับฝั่งญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากจะมี key guide เป็นเล่มมาให้ โดยข้างในระบุว่า ผู้ซื้อลิขสิทธิ์จะใช้อะไรได้บ้าง ใช้ได้แค่ไหน ห้ามใช้อะไร ซึ่งทำให้ทีมสปริงเคิลต้องมาออกแบบเพิ่ม เพราะไม่ต้องการแค่ซื้อคาแร็กเตอร์แล้วนำมาแปะบนขวดเฉยๆ

แต่เนื่องจากขวดสกรีนได้เพียง 3 สี จึงต้องมีการออกแบบเพิ่มเพื่อให้สามารถสกรีน 3 สีแล้วยังสวยเมื่ออยู่บนขวด ซึ่งทางเจ้าของลิขสิทธิ์ฝั่งญี่ปุ่นจะไม่ขายลายเส้นมังงะ แต่ให้เป็นลายเส้นของอนิเมะมา เบียร์จึงออกแบบใหม่โดยนำเทคนิคลายเส้นมังงะมาวาด พร้อมเติมสีลงไปเท่าที่ทำได้ แต่เมื่อส่งไปให้ทางญี่ปุ่นดู ปรากฏว่าทางญี่ปุ่นชอบและอนุมัติให้ทำได้

นอกจากคาแร็กเตอร์หลักที่กล่าวไป สปริงเคิลยังทำขวดที่เป็น easter egg เป็นลายวีวี่และกาลูด้วย

“ผมทำขวดลิมิเต็ด คือลิมิเต็ดจริงๆ ถ้าบอกว่าทำ 600,000 ขวดก็ทำเท่านั้น ต่อให้มันขายดีแค่ไหนก็ตาม ผมไม่ได้คิดว่าอันไหนขายดีก็ทำเพิ่ม” เบียร์ซึ่งชื่นชอบตัวละครโซโลเป็นพิเศษเล่าให้ฟัง

Sprinkle X Pomme Chan 
พ.ศ. 2565

ขวดที่เป็นคอลเลกชั่นพิเศษที่น่าสนใจของสปริงเคิลยังมีอีกหลายแบบ หนึ่งในนั้นคือการคอลแล็บร่วมกับศิลปินดังอย่าง Pomme Chan หรือ ปอม–ธัชมาพรรณ จันทร์จำรัสแสง ช่วงคริสต์มาสเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเทศกาลที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก และเป็นเทศกาลแห่งความสุขที่คนน่าจะชอบ โดยในเวลานั้นเบียร์มีโจทย์ในหัวอยู่แล้วว่าอยากได้ลายเส้นที่มีความพลิ้วไหว แต่ยังหาคนที่มีลายเส้นแบบที่ต้องการไม่ได้ จึงนึกถึง Pomme Chan ให้มาช่วยออกแบบ

หลังจากการทำงานร่วมกัน ขวดสปริงเคิลทั้ง 3 ลายที่สะท้อนถึงเทศกาลแห่งความสุขก็เสร็จสิ้นออกมา ได้แก่ ลายกวางเรนเดียร์, ต้นคริสต์มาส และสโนว์โกลบ นอกจากนี้ยังมีลูกเล่นพิเศษที่เบียร์อยากใช้สีเรืองแสง จึงมีการใช้เทคนิคสีเรืองแสงในการพิมพ์ลงบนขวดทั้ง 3 ลาย ทำให้ขวดคอลเลกชั่นนี้เป็นที่ชื่นชอบ ทั้งลายเส้นที่ละเอียดประณีตของ Pomme Chan ที่เมื่ออยู่บนขวดแล้วลงตัวพอดี

Sprinkle ‘Redesign to Reduce’
พ.ศ. 2566

ในช่วงปลายปีนี้สปริงเคิลเตรียมปล่อยคอลเลกชั่นใหม่อีกครั้งกับแคมเปญ ‘Redesign to Reduce’ แต่คราวนี้เป็นการขยายไปมากกว่าแค่พูดเรื่องการออกแบบ แต่เป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อม เทรนด์สำคัญที่แทบทุกแบรนด์ทั่วโลกต่างตระหนักถึง ที่สำคัญ นี่จะเป็นการเปลี่ยน ‘รูปทรง’ ของขวดน้ำอย่างถาวรอีกครั้งของสปริงเคิลเลยทีเดียว

ไอเดียดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นจากปัญหาของ ‘ขวดสี’ เนื่องจากมีเสียงกังวลเรื่องปัญหาขยะพลาสติก พูดง่ายๆ ว่ายิ่งคนอยากได้ก็ยิ่งเป็นการทำให้คนใช้พลาสติกเพิ่มขึ้น และอีกปัญหาคือ ขวดสีและขวดสกรีนรีไซเคิลได้ยากทำให้ซาเล้งไม่ค่อยรับซื้อเพราะขายไม่ค่อยได้ราคา สุดท้ายกลายเป็นว่าตัวขวดไม่ถูกกลับเข้าไปกระบวนการรีไซเคิล 

โจทย์ครั้งนี้ของสปริงเคิลและเบียร์คือการทำให้ขวดรีไซเคิลได้ง่าย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยังคงความสร้างสรรค์ในฉบับของสปริงเคิล ซึ่งหนึ่งในเทรนด์ของโลกออกแบบขวดน้ำดื่มปัจจุบันคือ ‘ขวดไร้ฉลาก’ นั่นจึงเป็นข้อสรุปของการออกแบบขวดใหม่ในครั้งนี้ โดยการทำงานร่วมกับ แชมป์–สมชนะ กังวารจิตต์ ผู้ก่อตั้งบริษัทออกแบบบรรจุภัณฑ์ Prompt Design 

“ตอนแรกผมให้โจทย์ว่าอยากทำขวดไร้ฉลาก จึงลองให้แชมป์ไปลองคิดออกแบบอย่างอิสระเลย แต่ต้องคงเอกลักษณ์ของสปริงเคิลไว้ด้วย สุดท้ายก็ได้คอนเซปต์เรื่องโลกร้อนกัน”

คอนเซปต์โลกร้อนที่ว่าคือการมองว่าปัจจุบันสภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้น ใกล้ตัวมากขึ้น และหากสปริงเคิลทำขวดไร้ฉลากแล้วก็อยากส่งข้อความนี้ให้ผู้บริโภคด้วย เพื่อให้ตระหนักถึงเรื่องสภาวะโลกร้อนและช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อม

คอนเซปต์และโจทย์ดังกล่าวนำมาสู่การออกแบบขวดที่ ‘เล่าเรื่องโลกร้อน’ ได้ ซึ่งก็คือ ‘ธารน้ำแข็งขั้วโลก’ ทั้ง 3 แบบ ที่เป็นตัวแทนในการสะท้อนปัญหา เนื่องจากปัจจุบันธารน้ำแข็งละลายเร็วขึ้น

ขวดแรก เป็นขวดที่น้ำแข็งยังไม่ละลาย

ขวดที่สอง จะเห็นลวดลายธารน้ำแข็งที่เริ่มละลายเป็นน้ำ

ขวดที่สาม เป็นลวดลายเมื่อธารน้ำแข็งละลายหมดแล้ว เหลือเพียงน้ำแข็งแผ่นสุดท้ายตรงบริเวณโลโก้

ขวดทั้งสามแบบจะเล่าว่าจากธารน้ำแข็งที่ยังไม่ละลาย มันค่อยๆ ละลายจนกลายเป็นน้ำ เพื่อให้คนเห็นภาพว่าตอนนี้อุณหภูมิโลกมันร้อนขึ้น แต่อันนี้คือเปลี่ยนถาวรเลยนะ ไม่กลับมาเป็นอันนี้แล้ว ไม่ใช่ลิมิเต็ด เปลี่ยนเลย เพราะขวดเก่ามันเป็นสกรีน มันก็รีไซเคิลยากอยู่ดี

ที่สำคัญขวดรุ่นใหม่นี้จะเป็นการปั๊มโลโก้ลงบนขวดเลย ส่วนข้อความบนฉลากที่อิมพอร์ตจากเยอรมนีที่มีราคาสูงสามารถล้างออกด้วยกระบวนการรีไซเคิล และหมึกที่ถูกล้างออกมาจะไม่เป็นพิษ ทำให้ขวดรุ่นใหม่นี้สามารถรีไซเคิลได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ตามกระบวนการ recyclability โดยขวดรุ่นใหม่นี้จะเป็นการเปลี่ยนดีไซน์อย่างถาวร โดยเริ่มวางขายตุลาคมนี้

นอกจากเรื่องของการดีไซน์ ‘น้ำ’ ถือเป็นหัวใจหลักและหัวใจสำคัญสำหรับธุรกิจของสปริงเคิล ในส่วนนี้เบียร์เล่าว่า สปริงเคิลให้ความสำคัญกับคุณภาพน้ำอยู่แล้ว เพราะผลิตจากกระบวนการ RO+UV ฆ่าเชื้อด้วยโอโซน และในกระบวนการผลิตจะมีระบบคุณภาพมาตรวจน้ำในทุกขั้นตอน ทุก 2 ชั่วโมง จนได้น้ำออกมาและเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ไว้ 2 ปีเพื่อถ้ามีปัญหาก็สามารถเอามาตรวจได้ 

“ความจริงธุรกิจเราคือน้ำถัง ส่วนน้ำขวดเป็นตัวสร้างชื่อ ตัวน้ำถังจะพูดเรื่องความสะอาดเป็นหลัก อย่างตัวขวดน้ำ ผมไม่เคยทำโฆษณาว่าน้ำเราสะอาด เพราะมองว่าดีไซน์ต้องนำฟังก์ชั่นพื้นฐานไปหมดแล้ว คือเห็นแพ็กเกจจิ้งแล้วรู้สึกว่าน้ำสะอาด”

ถึงตอนนี้ไม่มีใครปฏิเสธว่าวิธีการนำไอเดียความคิดสร้างสรรค์มาผสานกับสินค้า ทำให้สปริงเคิลกลายเป็นแบรนด์ที่คนจดจำได้ไปแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นการรักษาความสดใหม่ และทำให้แบรนด์สปริงเคิลยังคงรักษาความเป็น Product Champion ในตลาดน้ำดื่มไทย และยังคงน่าติดตามอยู่เสมอว่าสปริงเคิลจะมีโปรเจกต์เจ๋งๆ อะไรออกมาเขย่าวงการน้ำดื่มอีก

“ความสำเร็จในตัวสินค้าของเราประกอบขึ้นมาจากหลายส่วน ทีมผู้บริหารที่ช่วยวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ทำให้ได้ไอเดียใหม่ๆ ช่วยให้งานเดินได้อย่างโพซิทีฟ คนทำก็สนุก อีกส่วนที่สำคัญคือทีมงานซัพพลายเออร์ เราต้องมีซัพพลายเออร์ที่เชื่อใจว่าทำขวดนี้ได้ดี เราทำ R&D เยอะมาก แต่ก็ลุยไปด้วยกัน เขาเต็มที่กับเรา เช่นเดียวกับทีมงานของสปริงเคิล ทั้งหมดนี้ทำให้เราได้ผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์” เบียร์สรุปถึงปัจจัยเบื้องหลังความสำเร็จ

และถึงวันนี้คงไม่มีคำถามแล้วว่าความคิดสร้างสรรค์และงานดีไซน์สำคัญแค่ไหนกับโลกธุรกิจ แม้กระทั่งผลิตภัณฑ์แสนเรียบง่ายอย่างน้ำเปล่า

Beanila จากน้ำเต้าหู้ถุงละ 5 บาทสู่คาเฟ่สารพัดเมนูน้ำเต้าหู้ที่อยากทำให้ของ niche แมสได้

แม้เทรนด์สุขภาพและอาหารทางเลือกจะมาแรงแซงทางโค้ง หลากหลายแบรนด์ในไทยและต่างประเทศต่างผลิตสินค้าทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพออกมาตีตลาดกันมากมาย ตั้งแต่เนื้อจากพืช หรือจะเป็นนมแพลนต์เบส อย่างนมโอ๊ตที่โด่งดังในช่วงที่ผ่านมา ไปจนถึงนมจากถั่วเหลือง

แต่พูดก็พูด ความอร่อยและความคุ้นชินของคนทั่วไปยังทำให้กลุ่มคนที่เลือกทานอาหารทางเลือกเป็นเพียงคนกลุ่มน้อยเท่านั้น ด้วย pain point ของอาหารทางเลือกที่มักจะราคาสูงกว่า และยังแอบทานยากในบางเมนู

เมื่อได้ลองชิมน้ำเต้าหู้และสารพัดเมนูของคาวและของหวานจากน้ำเต้าหู้ของคาเฟ่น้ำเต้าหู้อย่าง Beanila เราถึงกับต้องเปลี่ยนความคิด เพราะรสชาตินั้นทานง่าย มีเมนูให้เลือกหลากหลาย แถมยังเลือกระดับความหวานและท็อปปิ้งได้ตามใจ ส่วนราคาก็เทียบเท่าหรือน้อยกว่าเมนูที่ทำจากนมวัวด้วยซ้ำ

เพราะความตั้งใจของ ใหม่–ธนพนธ์ ม่วงเเดงดี และ มาย–ณัฐชยา ม่วงแดงดี คือการทำให้น้ำเต้าหู้หรือผลิตภัณฑ์จากนมถั่วเหลืองเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคนได้จริง ทั้งยังเป็นการสานต่อความตั้งใจของคุณพ่อ ผู้ที่เริ่มทำน้ำเต้าหู้ขายเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว

“ทุกธุรกิจมีโอกาส เพียงแต่เราเลือกได้ว่าเราจะทำหรือไม่ทำ ถ้าจะทำก็ทำให้เต็มที่ เหมือนกับที่คุณพ่อบอกเราสองคนเสมอว่าถ้าอยากทำอะไรทำให้มันเต็มที่ไปเลย อย่าทำแบบครึ่งๆ กลางๆ” มายบอกอย่างนั้น

นั่นเป็นที่มาว่าทำไมทั้งคู่ถึงจริงจังกับการทำให้น้ำเต้าหู้ธรรมดาๆ มีระบบและมาตรฐานมากขึ้น เพื่อพลิกภาพจำและทำให้คนเข้าใจว่าน้ำเต้าหู้คุณภาพนั้นสร้างมูลค่าได้มากกว่าถุงละ 5 บาท และเป็นที่มาที่เรานัดสนทนากับสองพี่น้องถึง Soy Stories ในแบบฉบับของ Beanila 

ความพยายามครั้งที่ 3

กว่าจะมาเป็นแบรนด์น้ำเต้าหู้และสารพัดเมนูจากน้ำเต้าหู้นั้น มายและใหม่เล่าว่า Beanila ผ่านมาเยอะ เจ็บมาเยอะ ตั้งต้นจาก 20 ปีที่แล้ว พ่อของทั้งคู่ขายน้ำเต้าหู้เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แต่ด้วยราคาขายเพียงถุงละ 5 บาท กำไรที่ได้จึงไม่เพียงพอนักจนต้องเปลี่ยนอาชีพไป 

ก่อนจะกลับมาขายอีกครั้งช่วงที่เทรนด์สุขภาพและอาหารคลีนกำลังมาแรง แต่แม้จะขายที่ราคา 25 บาทต่อขวด ก็ยังไม่มากพอที่จะสร้างกำไรได้

“หลังเลิกงาน คุณพ่อจะเริ่มทำน้ำเต้าหู้ ทำเสร็จก็ประมาณเที่ยงคืนตีหนึ่ง กว่าจะเอาไปส่งตามโรงพยาบาลเสร็จก็ตีห้า เขาก็ต้องเข้างานต่อ คุณพ่อเลยเริ่มไม่ไหวจนต้องขายกิจการให้เพื่อนไป” มายย้อนเล่าเหตุการณ์

แต่เหมือนเทวดาฟ้าลิขิต แม้จะเลิกกิจการไปแล้ว 2 ครั้ง รุ่นลูกอย่างมายและใหม่ กลับมีไอเดียสานต่อธุรกิจในช่วงโควิด-19 ระบาด ด้วยข้อจำกัดในการทำงานช่วงโควิดระบาดใหม่ๆ ที่ต้องเข้าออฟฟิศเป็นประจำแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดจะรุนแรง ใหม่ที่ทำงานเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีตัดสินใจลาออกจากงานแล้วกลับมาตั้งต้นกับธุรกิจน้ำเต้าหู้ ส่วนมายที่เพิ่งเรียนจบก็ตัดสินใจร่วมทำน้ำเต้าหู้กับพี่ชายอีกครั้ง แม้ทั้งคู่จะไม่มีประสบการณ์ด้านการทำอาหารเลยสักนิด

“คุณพ่อก็ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ เพราะเราสองคนไม่มีประสบการณ์ด้านนี้เลย เขาก็ย้ำว่าทำอาหารมันเหนื่อยนะ” มายว่าอย่างนั้น ก่อนที่ใหม่จะเสริมว่า

“แต่เรามองว่ามันน่าจะมีโอกาสและน่าจะไปได้มากกว่านี้ เพราะมันก็มีคนที่เขาทานนมวัวไม่ได้ แล้วในต่างประเทศ ธุรกิจนมทางเลือกจากพืชก็มีอยู่เยอะ”

และความพยายามครั้งที่ 3 ของการทำธุรกิจน้ำเต้าหู้ก็เริ่มต้นขึ้น

หน้าร้านที่พร้อมสื่อสารกับลูกค้า

แรกเริ่มทั้งคู่นำน้ำเต้าหู้ไปฝากขายตามร้านอาหารสุขภาพและโรงพยาบาล กิจวัตรคือเริ่มส่งของตั้งแต่ตี 3 ก่อนจะจบที่เวลา 2 ทุ่ม รวมๆ แล้วในแต่ละวันทั้งคู่ต้องส่งของไปกว่า 20 ร้าน เมื่อหักต้นทุนวัตถุดิบ ค่าน้ำมัน รวมถึงค่าเสียเวลา แต่ละเดือนจึงได้เพียงหนึ่งหมื่นบาท และนั่นเองจึงทำให้ทั้งคู่มองเห็นแนวทางธุรกิจ

“ตอนนั้นอาศัยกินเงินเก็บและกินข้าวที่คุณพ่อทำให้ที่บ้าน” ใหม่เล่าพลางหัวเราะ ก่อนอธิบายว่าแม้การขายส่งจะมีข้อดีสำหรับคนที่มีทุนน้อย แต่ก็มีข้อพึงระวังที่ต้องใส่ใจไม่น้อย

“อย่างแรกเลยคือเราเอาของไปวางตามร้านอาหารสุขภาพ คู่แข่งก็ต้องหลากหลาย วันนี้เขาอาจจะชอบของเรา แต่พรุ่งนี้ลูกค้าอาจจะอยากไปซื้อของคนอื่นแล้ว อย่างที่สอง คือบางทีเราไม่รู้ว่าลูกค้าจะอยากกินวันไหน หรือช่วงไหนเขาจะออกไปต่างจังหวัด ของที่ตีกลับมามันเลยเยอะมาก 

“และอย่างที่สาม สำคัญที่สุดเลยคือพอเราฝากขาย เราไม่สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้เลยว่าของเราแตกต่างยังไง เราไม่รู้ว่าลูกค้าคือใคร ไม่รู้ฟีดแบ็กจากเขาว่าเราจะพัฒนาหรือทำอะไรต่อไป ตรงข้าม ถ้าเรามีแบรนด์ มีหน้าร้านของตัวเอง แค่เขาเข้ามาร้าน เราก็สามารถแนะนำได้ทันที

“เช่น น้ำเต้าหู้เราทำจากถั่วเหลืองร้อยเปอร์เซ็นต์นะ เขาสบายใจได้ว่ามันดีต่อสุขภาพ หรือเต้าหู้ก้อน ถ้าเอาไปวางตามร้านอื่นๆ เขาคงนึกไม่ออกว่าจะซื้อไปทำอะไร แต่พอเรามีหน้าร้าน เราอธิบายได้เลยว่าลูกค้าเอาไปทำเป็นเมนูยำ สลัด หรืออูด้งได้นะคะ” มายเล่าประสบการณ์ 

การเปิดหน้าร้านยังทำให้พวกเขาได้อินไซต์จากลูกค้าอยู่เสมอ หลายครั้งก็เปิดให้ลูกค้าช่วยเทสต์เมนูใหม่ และกลายเป็นว่าเมนูที่ลูกค้าแนะนำกลับขายดีเกินกว่าที่คิด สิ่งเหล่านี้เองทำให้ทั้งคู่มองว่าการสื่อสารกับลูกค้าที่หน้าร้านได้โดยตรงสำคัญยิ่งกว่าอะไร

“เหมือนเวลาเราโทรไปเบอร์คอลเซ็นเตอร์ เราก็อยากจะคุยกับคนจริงๆ ไม่ใช่ AI มันเป็นแบบนั้นเลย” ใหม่อธิบายพลางหัวเราะ

เพราะข้อจำกัดด้านการสื่อสารและอยากเติบโตมากกว่านี้ ไอเดียการเปิดหน้าร้านของมายและใหม่ จึงค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างและกลายมาเป็นร้าน Beanila ที่เรานั่งสนทนากันตรงนี้

สินค้าหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

ย้อนกลับไปช่วงตั้งต้นไอเดียการเปิดคาเฟ่ มายและใหม่มองว่ากลุ่มลูกค้าของทั้งคู่น่าจะเป็นกลุ่มคนรักสุขภาพ คนทำงานที่แม้จะเวิร์กฮาร์ดแค่ไหนก็ต้องหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ แต่การเปิดหน้าร้านนี่แหละที่ทำให้ทั้งคู่ได้บทเรียนสำคัญ

“เราคิดผิดทั้งหมดเลย กลุ่มคนเหล่านั้นเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ที่สำคัญ คนที่เขาซีเรียสเรื่องสุขภาพมากๆ เขาจะเลือกวัตถุดิบเอง ทำอาหารทานเอง มากกว่าจะมาซื้อร้านนอกบ้าน”​ มายบอก

นั่นเป็นที่มาที่แต่เดิมมีเพียงเมนูน้ำเต้าหู้และเต้าฮวยที่เป็นตัวชูโรงของร้าน ทั้งคู่จึงเริ่มมองว่าน้ำเต้าหู้นั้นสามารถนำไปทำเป็นเมนูอะไรได้อีกบ้างที่ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย จะทานได้ในชีวิตประจำวัน 

“เด็กก็ต้องทานได้ ผู้ใหญ่ก็ต้องทานได้ คนออกกำลังกาย คนสูงวัยต้องทานได้หมด หรือถ้าไม่ชอบน้ำเต้าหู้เราก็มีเมนูที่เลือกใส่นมแทนได้ เบเกอรีเราก็ไม่ได้เป็นเบเกอรีคลีน เรียกว่าเราต้องกระจายกลุ่มลูกค้าให้ได้มากที่สุด ที่สำคัญต้องอร่อย เพราะเราไม่ได้อยากให้คลีนจนเข้าถึงยาก แต่อยากให้ทานได้ทุกวัน” มายอธิบาย

ความหลากหลายจึงเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างสรรค์เมนูของ Beanila ถ้าเราไปดูใบเมนูที่หน้าร้านจะเห็นว่าทั้งคู่ขยันออกเมนูใหม่มากทีเดียว ไม่ว่าจะเต้าฮวยบัวลอยทรงเครื่อง ซอฟต์เสิร์ฟ ชา กาแฟ และเร็วๆ นี้ก็จะมีเจลาโต้ และบิงซูซึ่งมีส่วนผสมของน้ำเต้าหู้  

ยังไม่พอ แต่ละเมนูยังมีหลายรสชาติและหลายท็อปปิ้งให้เลือกจับคู่ อย่างน้ำเต้าหู้ก็มีทั้งน้ำเต้าหู้ธรรมดาที่เลือกระดับความหวานได้ น้ำเต้าหู้รังผึ้ง น้ำเต้าหู้มันม่วงคาราเมล ฯลฯ เมนูเต้าฮวยบัวลอยทรงเครื่องก็มีให้เลือกว่าจะทานเย็นหรือร้อน ทานกับน้ำเต้าหู้ น้ำเชื่อมตาลโตนดดอกหอมหมื่นลี้ หรือจะเป็นน้ำขิงเข้มข้นก็ได้ทั้งนั้น 

นอกจากนั้น ยังมีเมนูของคาวอย่างเกี๊ยวหมูซุปเต้าหู้และนาเบะ รวมถึงยังมีเมนูหลักๆ และเมนูที่หมุนเวียนไปเรื่อยๆ ตามเทรนด์ เพื่อเพิ่มความสดใหม่และทำให้ลูกค้าประจำมีอะไรให้ทดลองอยู่เสมอ

“แม้เราจะเน้นความหลากหลาย แต่ในความหลากหลายนั้นมันผ่านการรคัดเลือกวัตถุดิบที่ดี และเน้นการทำเองเกือบทุกขั้นตอน อย่างบัวลอย ซอสงา ซอสขิง โคนไอศครีม ฯลฯ เราก็ทำเองทั้งหมด หรืออย่างท็อปปิ้งของน้ำเต้าหู้เราก็อาจจะไม่ได้มีมากเท่าร้านทั่วไป แต่เราคัดมาแล้วว่าไม่ว่าจะกล้วยเบิร์น ถั่วตัด วุ้นใบเตย หรือข้าวโพดย่าง ฯลฯ มันเข้ากันได้ดีและมันดีต่อสุขภาพจริงๆ” มายอธิบาย 

ด้านหน้าร้านยังมีตู้แช่สำหรับ Grab&Go เพราะลูกค้าบางคนแค่อยากเข้ามาซื้อเต้าหู้ก้อน น้ำขิง หรือน้ำเต้าหู้ ฯลฯ กลับไปทำอาหาร ไม่ได้อยากนั่งคาเฟ่ ความหลากหลายเหล่านี้เองที่ทำให้ลูกค้าของ Beanila นั้นมีหลายกลุ่ม ตั้งแต่กลุ่มครอบครัว วัยรุ่น วัยทำงาน คนรักสุขภาพ หรือคนสูงอายุ 

“แม้ตอนแรกกลุ่มลูกค้าสูงอายุจะไม่เข้าใจว่าทำไมน้ำเต้าหู้ถึงราคาสูงกว่าคนอื่น หรือทำไมต้องทำเป็นคาเฟ่ แต่พอเราอธิบายและเราก็มีสินค้าที่ตอบโจทย์เขาได้ เขาก็กลายมาเป็นลูกค้าประจำ บางทีก็จะมีกลุ่มคุณป้ามานั่งปาร์ตี้ในร้านด้วย” มายเล่าพร้อมรอยยิ้มก่อนสรุปให้ฟังว่า

“การวางคอนเซปต์ วางกลุ่มลุกค้า วางอะไรต่างๆ เชิงธุรกิจมันสำคัญ แต่สุดท้าย ถ้าเรายังไม่ได้ลงสนามจริง เราอย่าเพิ่งตีกรอบให้ตัวเองเพราะทุกอย่างมันเป็นการเรียนรู้จากหน้างาน และธุรกิจมันไม่มีอะไรตายตัว” 

ระบบที่ดีสำคัญกับการเติบโต

หากเดินเข้ามาภายในร้าน Beanila เชื่อว่าสิ่งที่เตะตาและดึงดูดใจหลายคนน่าจะเป็นเครื่องจักรขนาดมหึมาที่ตั้งเด่นเป็นสง่าในห้องกระจกด้านขวามือ ซึ่งเป็นเครื่องจักรสำหรับทำน้ำเต้าหู้ที่เราได้ชิมกันไป

“ตั้งแต่คิดจะทำร้าน เราก็ตั้งใจเลยว่าจะต้องเอาเครื่องจักรมาตั้งให้ลูกค้าดู เรายังมีเครื่องจักรสำหรับทำเต้าฮวย บิงซู และอีกหลายอย่าง ที่ให้ลูกค้าเห็นเลยว่ากระบวนการทั้งหมดเป็นยังไง เพราะเราอยากสื่อสารความจริงใจและโปร่งใสออกไป” มายอธิบาย

เครื่องจักรที่ว่านี้ไม่ได้เพิ่งมีในช่วงที่ทั้งคู่ตั้งหน้าร้านแล้วเท่านั้น แต่ทั้งคู่นำเครื่องจักรมาใช้ในการผลิตตั้งแต่วันแรกๆ ที่คิดจะขายน้ำเต้าหู้ ทั้งที่รายได้ในตอนนั้น อาจไม่ได้คุ้มกับต้นทุนเครื่องจักรที่จ่าย

“ตอนแรกเราก็ไม่ได้ใช้เครื่องจักรที่ใหญ่ขนาดนี้หรอก เราทดลองจากเครื่องจักรเล็กๆ กันก่อน เพื่อดูว่ามันผลิตได้มากแค่ไหน แต่ข้อจำกัดของเครื่องจักรเล็กคือกว่าจะได้น้ำเต้าหู้ในแต่ละแบตช์นั้นใช้เวลาค่อนข้างนาน เราเลยมองว่าถ้าเราอยากเติบโต เราจะต้องจริงจังกับเครื่องจักรและการเซตระบบตั้งแต่วันแรก

“เพราะเครื่องจักรขนาดใหญ่มันสามารถลดการใช้แรงงานคนได้ ไม่อย่างนั้นถ้าพนักงานป่วยขึ้นมาเราจะทำยังไง เครื่องจักรยังทำให้เราเชื่อมั่นได้ว่าเราจะได้น้ำเต้าหู้คุณภาพที่มีมาตรฐานเท่ากันทุกครั้ง แม้เราจะไม่สามารถบอกได้ว่าธุรกิจจะประสบความสำเร็จแค่ไหน แต่เรามองว่ามันมีโอกาสที่จะเติบโต ถ้าเราเตรียมตัวไว้ก่อนมันก็ดีกว่า” ใหม่ผู้รับหน้าที่ในการผลิตอธิบายถึงความคิดเบื้องหลังของการลงทุนครั้งนี้

นอกจากการลงทุนกับเครื่องจักรแล้ว Beanila ยังเป็นร้านน้ำเต้าหู้ที่จริงจังกับการสร้างระบบอย่างมาก เพราะมายเล่าว่าเธอได้สร้าง Beanila Bible ขึ้นมาสำหรับเทรนพนักงานว่าควรจะแต่งตัวแบบไหน ทักทายลูกค้ายังไง 

“มันเหมือนกับการสร้างแม่พิมพ์ ถ้าแม่พิมพ์มันเวิร์ก ผลผลิตจากแม่พิมพ์ก็จะออกมามีคุณภาพ เราเลยพยายามทำทุกอย่างให้เป็นระบบ ไม่ทำอันนี้ทีอันนั้นที เพราะเราอยากเติบโต ที่สำคัญลูกค้าก็จะเชื่อใจว่าไม่ว่าพนักงานหรือเราทำ สินค้าที่เขาได้รับไปมันก็จะเป๊ะและมีคุณภาพเหมือนกัน” มายบอก

“พอมีปัญหา ระบบยังทำให้เรารู้ว่าเราต้องแก้ปัญหายังไง ปรับปรุงหรือเพิ่มอะไรอีกบ้าง เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลากลับมาแก้ไขอะไรซ้ำๆ” ใหม่เสริม

Beanila และการพา ‘น้ำเต้าหู้’ ไปสู่ดินแดนใหม่ๆ 

ระหว่างการสนทนากับมายและใหม่ Beanila มีคนเข้า-ออกไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะกลุ่มวัยรุ่น ครอบครัว คนทำงาน และผู้สูงอายุ จนดูเหมือนว่า Beanila เอาชนะใจคนทั่วไปที่คุ้นเคยกับนมวัวมากกว่าได้แล้ว แต่ทั้งคู่กลับบอกว่าลูกค้าเพิ่มขึ้นก็จริง แต่ความตั้งใจของพวกเขาคือการนำพา Beanila แทรกซึมและทำให้ลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่เปิดใจได้มากกว่านี้ 

“ถึงอย่างนั้นเราก็ยังมองว่าธุรกิจนี้มันมีโอกาสเติบโตนะ ไม่ว่าจะทั้งในประเทศหรือต่างประเทศก็ตาม เพราะในแถบเอเชียหรืออเมริกาก็มีแบรนด์จากนมถั่วเหลืองหรือน้ำเต้าหู้อยู่เยอะ เพียงแต่แต่ละประเทศอาจมีความชอบที่แตกต่างกัน”

นั่นทำให้เมื่อเราถามถึงนิยามของน้ำเต้าหู้ที่ดีในมุมของมายและใหม่ ทั้งคู่ต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่านิยามที่ว่านั้นขึ้นกับความชอบของแต่ละบุคคล

“อย่างในแถบอเมริกา กลิ่นถั่วเหลืองจะจางมากแต่เขาเน้นใส่ท็อปปิ้งหลากหลาย ส่วนในเอเชียบางประเทศจะชอบแบบใสๆ เพื่อให้กินได้ทั้งวัน บางที่ก็ชอบแบบข้นๆ ส่วนประเทศไทยมักจะชอบแบบกลางๆ คือไม่ข้นและไม่จาง แต่จะต้องมีกลิ่นหอมของถั่วเหลืองชัดเจน” ใหม่อธิบาย 

ในอนาคต ทั้งคู่จึงมองภาพของ Beanila ไว้หลายทาง ทั้งขยายสาขาไปยังต่างประเทศ และการขยายโมเดลธุรกิจของ Beanila ให้เป็นมากกว่าคาเฟ่น้ำเต้าหู้ แต่มีทั้งสตูดิโอโยคะ พิลาทิส หรือกิจกรรมเชิงสุขภาพให้คนได้มาใช้บริการ

“เราอยากทำให้มันมีความไลฟ์สไตล์ที่เข้าไปแทรกซึมในชีวิตประจำวันของทุกคนได้มากกว่าเดิม ลูกค้าอาจจะไม่ได้มาคาเฟ่เพื่อกินน้ำเต้าหู้อย่างเดียว เขาอาจจะมาเล่นโยคะ พิลาทิสก็ได้ เรียกว่าสามารถใช้ชีวิตใน Beanila ได้ทั้งวัน” มายเล่าแผนสำคัญ

ในวันที่เรานั่งสนทนากันอยู่นี้ อาจเรียกได้ว่า Beanila เติบโตไปอีกขั้น จนไม่น่าเชื่อว่าครั้งหนึ่งสองพี่น้องคู่นี้เคยคิดจะล้มเลิกการสร้าง Beanila หลังจากที่ใหม่เคยเกิดอุบัติเหตุจากการใช้เครื่องจักรมาแล้ว

“วันที่เกิดอุบัติเหตุกับพี่ใหม่ เราก็คิดว่าคงไม่ทำต่อแล้ว แต่เราอาจจะติดคุณพ่อมาก เลยอยากทำให้ Beanila ประสบความสำเร็จ ทำให้เขาเชื่อและภูมิใจว่าเราสามารถทำให้แบรนด์ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยทำมันในอดีต มันไปได้ไกล 

“สิ่งที่เราสองคนสรุปได้จากการหาทางออกในวันนั้นจึงคือเราไม่สนว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง แต่ว่า Beanila จะต้องไปต่อได้ เพราะนี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น” มายทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม

What I’ve Learned

  • ใหม่ : เวลามีฟีดแบ็กในทางลบ เราต้องรู้วิธีการที่จะรับมือและตอบกลับไป บางครั้งเราจะพูดตรงๆ ไม่ได้ แต่ต้องหาวิธีที่มันซอฟต์ขึ้น บางคำตอบผมคิดเป็นชั่วโมงกว่าจะตอบกลับไป
  • ใหม่ : เจ้าของต้องลงมาทำเอง เพราะการคุยกับลูกค้า การแก้ปัญหาจะแตกต่างกับการให้พนักงานทำ
  • มาย : การทำคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดียสำคัญมาก ไม่ว่าจะคอนเทนต์ที่บอกว่าทำไมต้องมาทานน้ำเต้าหู้ร้านเรา หรือรู้ไหมว่าเราลงทุนกับเครื่องจักรไปเท่าไหร่ แต่เราจะเน้นการทำคอนเทนต์เองและไม่เคยบูสต์โพสต์เลยสักครั้ง เพราะเรามองว่าถ้าเรายิงแอดฯ เราอาจจะได้ลูกค้าเยอะก็จริง แต่มันจะมาตู้มเดียว ต่างกับคอนเทนต์ออร์แกนิกที่เราจะได้ลูกค้าในระยะยาวมากกว่า
  • มาย : เราไม่ควรเป็นคนวิ่งตามเทรนด์ แต่เราต้องสร้างเทรนด์นั้นขึ้นมาเอง ถ้าเราสร้างเทรนด์นั้นขึ้นมาได้ ลูกค้าก็จะสนใจและเข้ามาหาเรา

7 หนังสือธุรกิจน่าสอยในงานหนังสือ 2566

ไหนใครคิดว่าธุรกิจเป็นเรื่องไกลตัว?

หากมองเส้นทางชีวิตกับหนทางธุรกิจ แท้จริงแล้วเราอาจพบว่าการทำธุรกิจกับการใช้ชีวิตก็แทบไม่ต่างกัน เพราะทั้งในโลกของคนธรรมดาและโลกของนักธุรกิจ เราต่างก็ต้องตัดสินใจนับครั้งไม่ถ้วน มีล้ม มีผิด มีพลาด และแน่นอนว่าย่อมมีวันที่สำเร็จ แม้ไม่มาก แต่ก็อาจสร้างรอยยิ้มเล็กๆ ได้ในบางครั้ง

เพราะเชื่อว่าธุรกิจใกล้ตัวมากกว่าที่คิด บางครั้งบทเรียนชีวิตก็ปรับใช้กับธุรกิจได้ และหลายครั้งทีเดียวที่บทเรียนธุรกิจก็ช่วยให้ใครหลายคนเข้าใจความหมายของชีวิตมากยิ่งขึ้น อีกไม่กี่วันจะเวียนมาถึงมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 28 ชาว Capital จึงอยากแนะนำ 7 หนังสือน่าสอยในงานนี้

มีทั้งหนังสือที่พูดถึงธุรกิจโดยตรง หนังสือที่พูดถึงชีวิต และหนังสือที่พูดถึงทั้งสองสิ่งควบคู่กันไป จุดร่วมของหนังสือทั้ง 7 เล่ม คือเมื่อพลิกหน้าสุดท้ายลงเมื่อไหร่ เชื่อว่าผู้อ่านน่าจะได้บทเรียนเล็กๆ น้อยๆ ที่นำไปปรับใช้ได้กับทั้งชีวิตส่วนตัว ชีวิตการงาน ชีวิตสตาร์ทอัพ ไปจนถึงชีวิตของนักธุรกิจระดับสูงไม่มากก็น้อย

ว่าแต่งานหนังสือครั้งนี้จะมีอะไรน่าสอยกันบ้าง เรารวบรวมมาไว้ให้แล้ว!

วิถีคนปานกลาง
สำนักพิมพ์ : KOOB บูท H43
ผู้เขียน : ธนา เธียรอัจฉริยะ

ไม่สูง ไม่ต่ำ ไม่ดี ไม่เลว แต่ปานกลางมากเสียจนไม่รู้ต้องเดินทางไหนหรือทำอะไรต่อไป

หากคุณเป็นคนปานกลาง เกิดในบ้านชนชั้นกลาง เรียนก็กลางๆ ทำงานก็กลางๆ แต่อยากสำเร็จบ้างสักนิด ถีบชีวิตตัวเองขึ้นไปได้อีกสักหน่อย และมีความสุขแบบไม่มากไม่น้อยตามวิถีปานกลาง หนังสือ ‘วิถีคนปานกลาง’ ที่รวบรวมถ้อยความจากโพสต์ของนักการเงินและนักบริหารอย่าง ‘โจ้–ธนา เธียรอัจฉริยะ’ ซึ่งบันทึกไว้ในเพจ ‘เขียนไว้ให้เธอ’ อาจเป็นคำตอบ

วันนี้โจ้ พี่โจ้ หรือธนา ของใครหลายคนอาจอยู่เหนือชั้นกว่าความปานกลางไปแล้ว คงเป็นเวลาเหมาะสมที่จะแชร์วิถีคนปานกลางที่เขาได้เรียนรู้จากประสบการณ์ส่วนตัวว่าจะทำยังไงให้คนปานกลางได้มีความสุขและสำเร็จด้วยวิถีแบบคนปานกลาง

วิถีที่คนเก่งเขาไม่ทำกัน วิถีที่ต้องคิดต่างเพราะคิดเหมือนก็สู้ได้ยาก วิถีที่ต้องสะสมผู้คน วิถีแบบมวยรองที่ชนะเบอร์หนึ่งมานักต่อนัก 

แม้คนจะบอกว่าโชคช่วยหรือเปล่า แต่ถ้าโชคมาแล้วคนปานกลางอย่างเราๆ ไม่ได้เตรียมพร้อม โชคก็อาจช่วยไม่ได้

Move Heaven and Earth 
สำนักพิมพ์ : KOOB บูท H43
ผู้เขียน : กระทิง พูนผล

ถ้าใครกำลังเบิร์นเอาต์ มองไม่เห็นอนาคตการทำงานของตัวเอง หรือหมดแรงบันดาลใจในการเดินหน้าต่อ

Move Heaven and Earth หนังสือของ ‘กระทิง–เรืองโรจน์ พูนผล’ ผู้บริหารใหญ่สายเทคฯ ที่ให้สัมภาษณ์ในสื่อหลายสำนัก และเป็นแรงบันดาลใจของใครหลายคนอาจช่วยให้ไฟในใจของคุณที่กำลังมอดดับให้ลุกโชนอีกครั้ง

ในหนังสือเล่มนี้ ผู้บริหารที่ใครหลายคนมองว่าประสบความสำเร็จถึงขีดสุดจะมาเปิดเผยเบื้องหลัง ขุดไปถึงเบื้องลึกในชีวิตการทำงานของเขาว่ากว่าจะเดินมาจนถึงเส้นชัยที่ใครหลายคนมองในวันนี้ เส้นทางที่เขาเลือกเดินนั้นผ่านความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะได้บทเรียนสำคัญได้ยังไง 

ลีลาการเล่าที่เร้าใจ กระชับ และเฉียบคม ของหนังสือเล่มนี้น่าจะทำให้ใครหลายคนพร้อมฝันใหญ่หลังจบบรรทัดสุดท้าย

ความหวังครั้งที่สอง
สำนักพิมพ์ : loupe บูท L22
ผู้เขียน : อัญชลิน พรรณิภา

สำหรับคนที่ติดตามข่าวสารในแวดวงโลกธุรกิจสม่ำเสมอย่อมคุ้นชื่อ ‘อัญชลิน พรรณนิภา’ เป็นอย่างดีในฐานะผู้บริหารแห่ง TQM บริษัทที่ปรึกษาประกันภัยชั้นนำของไทย ที่เติบโตจากนายหน้าเคาะประตูขายประกันสู่ธุรกิจหลักหมื่นล้าน

สิ่งเราคิดว่าน่าสนใจไม่น้อยไปกว่าตัวเลขการเติบโตคือวิธีคิดในการทำธุรกิจและทัศนคติที่ชายผู้นี้มีต่อการดำเนินชีวิต โดยก่อนจะก้าวเป็นผู้บริหารบริษัทที่ปรึกษาประกันภัยเขาไม่เคยมีความคิดอยากรับช่วงต่อธุรกิจนายหน้าประกันภัยของครอบครัว แต่เลือกใช้ชีวิตตามแพสชั่นซึ่งเปรียบเป็นความหวังครั้งที่หนึ่งของเขา ก่อนจะพบกับความผิดหวังและล้มเหลวจนเกือบหมดตัว และ ณ ช่วงเวลานั้นเองที่เขาค้นพบความหวังครั้งที่สอง อันเป็นการงานที่ครั้งหนึ่งเขาเคยมองข้าม

หนังสือเล่มนี้คือบทบันทึกเส้นทางชีวิตของ อัญชลิน ตั้งแต่ช่วงเวลาที่เลือกเดินตามฝัน วันที่ล้มเหลว จนถึงช่วงเวลาที่มาพบจุดเริ่มต้นของความหวังครั้งใหม่ โดยบอกเล่าผ่านสายตาและวิธีคิดอันตกตะกอนแล้วหลังจากผ่านกาลเวลามาจนถึงวันนี้ ผู้อ่านที่อาจจะกำลังตามหาความหวังครั้งใหม่สามารถนำเอาแนวคิดที่สอดแทรกอยู่ในเล่มไปประยุกต์ใช้ในการทำธุรกิจหรือการใช้ชีวิตได้

อย่างที่เขาว่าไว้ในปกหลังของหนังสือ “เมื่อชีวิตไม่ได้สมหวังตั้งแต่ครั้งแรก ความหวังครั้งที่สองจึงมีความหมาย” และหนังสือเล่มนี้อาจทำให้ทุกคนค้นพบความหวังครั้งใหม่นั้น

รู้หน้า (จอ) ไม่รู้ใจ: ถอดรหัสภาษากายดิจิทัลเพื่อการสื่อสารธุรกิจ-สานสัมพันธ์ในชีวิตยุคใหม่
สำนักพิมพ์ : Bookscape บูท H08
ผู้เขียน : Erica Dhawan  
ผู้แปล : สุญญาตา เมี้ยนละม้าย  

คุณเคยประสบปัญหานี้หรือไม่! 

สติแตกเมื่ออีกฝ่ายอ่านแล้วไม่ตอบ หาจังหวะพูดตอนประชุมซูมไม่ได้สักที ร่างอีเมลครึ่งค่อนวันก็ยังไม่ได้ส่ง

ถ้าคุณเคยประสบปัญหาที่ว่านั่นก็กำลังชี้ว่าคุณคือผู้ประสบภัยในโลกดิจิทัลที่ไม่เห็นสีหน้าและไร้ซึ่งน้ำเสียง สะท้อนว่าโลกดิจิทัลไม่ได้มีผลต่อความสัมพันธ์ของคนทั่วไปเท่านั้น แต่ยังส่งผลกับการสื่อสารทางโลกธุรกิจด้วย

แน่นอนว่าปัญหาที่ว่าไม่อาจแก้ไขได้ด้วยการเข้าคอร์สฝึกภาษากายแบบที่หลายคนเคยเห็น Erica Dhawan ผู้เชี่ยวชาญด้านการร่วมมือและสานสัมพันธ์ จึงจะพาผู้อ่านทำความรู้จักกับ ‘ภาษากายดิจิทัล’ เพื่อให้เราเข้าใจเคล็ดลับการรับมือกับการทำงานในโลกดิจิทัล

เกมของคนที่มองเห็นอนาคต  
สำนักพิมพ์ : WELEARN บูท E07
ผู้เขียน : Simon Sinek 
ผู้แปล : วิโรจน์ ภัทรทีปกร       

ไม่เพียงโลกของธุรกิจเท่านั้น แต่ชีวิตของคนธรรมดาสามัญก็เปรียบเป็นเกมที่เราต้องพยายามหาวิธีเอาชนะเพื่อให้ได้ไปต่อ

หนังสือเล่มนี้จึงจะพาเราไปสำรวจวิธีการเล่นเกมของคนในแวดวงธุรกิจที่จะสะท้อนถึงวิธีการคิดการตัดสินใจ วิธีการเล่นเกมเหล่านั้นไม่ได้ทำให้คนทำธุรกิจเข้าใจเลือกและตัดสินใจนำพาธุรกิจไปในทิศทางต่างๆ แต่ยังทำให้คนทั่วไปเข้าใจวิธีเลือกเส้นทางการงานและชีวิตได้ดีขึ้น

เมื่ออ่านจนจบ เชื่อว่าหลายคนน่าจะเลือกกันได้ว่าทั้งในโลกของคนธรรมดาและโลกธุรกิจ เราอยากจะเป็นผู้เล่นแบบไหน ผู้เล่นที่มองเห็นแต่ปัจจุบัน

หรือผู้เล่นที่มองเห็นอนาคต

ธุรกิจพลิกอนาคต (Resource Revolution)
สำนักพิมพ์ : Salt บูท H24
ผู้เขียน : Stefan Heck, Matt Rogers และ Paul Carroll
ผู้แปล : สฤณี อาชวานันทกุล

นี่อาจไม่ใช่หนังสือสำหรับนักธุรกิจหรือคนอยากทำธุรกิจเท่านั้น แต่ถือเป็นหนังสือสำหรับทุกคนที่กำลังอยู่ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3!

ธุรกิจพลิกอนาคตจะทำให้ผู้อ่านเห็นว่าท่ามกลางปัญหาสังคมและเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยซบเซา แท้จริงแล้วยังมีอนาคตอันสดใสรออยู่ข้างหน้า เพราะเราทุกคนสามารถพลิกวิกฤตทรัพยากรให้กลายเป็นโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจและสังคมได้

หนังสือเล่มนี้ประกอบไปด้วย 9 บทที่จะพาเราไปเรียนรู้วิถีทางการเกิดและความสำเร็จของธุรกิจหรือสิ่งต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ทำให้เราได้เรียนรู้การเข้าตลาดให้ถูกจังหวะ การเสาะหาบุคลากรเปี่ยมพรสวรรค์ การสร้างระบบที่ดีในบริษัท รวมถึงทำให้เห็นว่าความพยายามไม่เคยทอดทิ้งใคร 

ความสนุกคือเราจะได้ทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ของสิ่งต่างๆ ไปพร้อมๆ กับได้เรียนรู้วิถีทางอีกมากมายที่ทำให้อนาคตที่สดใสเกิดขึ้นได้กับทั้งภาคธุรกิจและสังคม ไม่เพียงคนทำธุรกิจจะมองเห็นโอกาสของแวดวงตัวเองเท่านั้น แต่เชื่อว่าใครก็ตามที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้จะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ในวิถีทางของตัวเอง

เดอะกริด วาดตารางสร้างธุรกิจ
สำนักพิมพ์ : Being บูท K08 
ผู้แต่ง : Matt Watkinson 
ผู้แปล : ญาณพล มุสิเกตุ

คุณกำลังประสบปัญหาธุรกิจอยู่หรือเปล่า? 

‘เดอะกริด วาดตารางสร้างธุรกิจ’ หนังสือจากค่าย Bibli อาจช่วยคุณได้

เพราะผู้เขียนอย่าง Matt Watkinson เข้าใจดีว่าการที่ธุรกิจหนึ่งๆ จะประสบความสำเร็จได้นั้นเกิดขึ้นจากหลากปัจจัย หลายมิติ แต่ใช่ว่าคนทำธุรกิจทุกคนจะสามารถมองภาพรวมของสิ่งที่ทำได้อย่างเฉียบคมทุกครั้ง 

บางครั้งเพียงสินค้าที่ดีก็ทำให้ยอดขายปังได้แล้ว แต่หลายครั้งทีเดียวที่การตลาดที่แม่นก็มีผลต่อการอยู่รอดไม่น้อย ‘เดอะกริด วาดตารางสร้างธุรกิจ’ จึงเปรียบเสมือนไกด์ให้ทั้งเหล่า entrepreneur และผู้บริหารระดับสูงได้ค่อยๆ ฝึกมองภาพรวมธุรกิจอย่างรอบด้าน เพื่อหาหนทางที่ดีที่สุดในการรับมือกับทุกปัญหา 

เหมาะกับทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ระดับนานาชาติ ไปจนถึงสตาร์ทอัพที่มีพนักงานไม่กี่คน 

เรียกได้ว่าเป็นหนังสือที่สอนให้เราได้ฝึกใช้มุมมองแบบสายตานกสอดส่องดูทุกส่วนของธุรกิจตัวเอง

มหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 28 เริ่มตั้งแต่วันที่ 12-23 ตุลาคม 2566 ชั้น LG ฮอลล์ 5-7 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

Stonegoat ยิมปีนผาที่ทำให้การปีนผาปลอดภัย เป็นมิตร จนมีผู้ใช้บริการตั้งแต่เด็กยันผู้สูงอายุ

ในวันที่เทรนด์รักสุขภาพกำลังได้รับความนิยม ผู้คนต่างเริ่มหากิจกรรมที่ได้ขยับเขยื้อนร่างกาย กระตุ้นหัวใจให้เลือดได้สูบฉีด และที่สำคัญคือต้องสนุก สามารถทำร่วมกับเพื่อนหรือคนที่รักได้ 

หากพิจารณาจากเงื่อนไขเหล่านี้ ‘กีฬาปีนผา’ ถือเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับกิจกรรมที่ผู้คนกำลังมองหา แม้ว่าครั้งหนึ่ง หลายคนอาจมีภาพจำว่าการปีนผาต้องใช้แรงมหาศาล ต้องมีมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแรง และที่สำคัญคือต้องมีความโลดโผน กล้าเสี่ยงอันตราย ตามสไตล์กีฬาประเภทเอกซ์ตรีม

แต่ในวันนี้ Stonegoat Climbing Gym ยิมปีนผาใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร ได้พิสูจน์แล้วว่า การปีนผาแบบ Bouldering (การปีนผาแบบไม่ใช้เชือกบนหน้าผาที่ไม่สูงมาก โดยมีเบาะนิรภัยรองรับ) กลายเป็นกิจกรรมที่เหมาะกับเทรนด์รักสุขภาพของคนเมือง 

นอกจากนี้ ภายในยิมยังมีพื้นที่ขนาดย่อมให้คนแฮงเอาต์ระหว่างพักเบรก เช่น คาเฟ่ และโคเวิร์กกิ้งสเปซ และยังมีอีเวนต์ไม่ขาดสาย เช่น Jazz Night ที่มีดนตรีแจ๊สเปิดคลอให้คนจอยกับการปีนผา ตรงนี้เองที่ทำให้มีผู้คนเข้ามาใช้บริการหลากหลาย ตั้งแต่เด็กเล็กยันผู้สูงอายุ 70 ปี รวมไปถึงนักปีนหน้าใหม่หรือคนที่เพียงแต่อยากจะหากิจกรรมใหม่ๆ ทำ ก็สนุกไปกับการปีนผาครั้งแรกของพวกเขาได้ 

น่าสนใจไม่น้อยว่า สนธเยศ อัศวเหม, จัสติน ธารทอง และกฤษกร ธงพานิช ผู้ร่วมก่อตั้งยิมแห่งนี้ ทำยังไงในการลบภาพจำเดิมๆ ทำให้การปีนผากลายเป็นกิจกรรมที่สนุก เหมาะกับทุกเพศวัย และทำยังไงให้ Stonegoat Climbing Gym กลายเป็นสปอร์ตคอมมิวนิตี้แห่งใหม่ของคนที่รักสุขภาพได้ในปัจจุบัน

ภาพจำของกีฬาและธุรกิจปีนผาในประเทศไทยก่อนหน้านี้เป็นยังไง

จัสติน : ต้องเกริ่นก่อนว่าผมเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ ที่ย้ายมาอยู่ที่ประเทศไทยประมาณ 10 ปีที่แล้ว ในวันนั้นวงการปีนผาในประเทศไทยเล็กมากๆ คือแทบไม่มีคำว่าปีนผาในวงพูดคุยของคนทั่วไปเลย ยิ่งคนที่เป็นนักปีนผาเองนี่นับได้เลยว่ามีกี่คน แล้วแต่ละคนก็รู้จักกันหมด

ส่วนยิมปีนผาจำลองนี่ยิ่งแล้วใหญ่ คือมันน่าประหลาดตรงที่ประเทศไทยมีพื้นที่ในการปีนผาที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยนะ โดยเฉพาะที่หาดไร่เลย์ หาดอ่าวต้นไทร ในจังหวัดกระบี่ ที่ช่วงปลายปีจะมีชาวต่างชาติหลายร้อยคนเดินทางมาปีนหน้าผาที่กระบี่ สร้างชื่อเสียงให้จังหวัดนี้มาตลอด 

แต่มันก็น่าแปลกใจที่คนไทยเองกลับไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่นัก แล้วยิ่งได้ลองคุยเรื่องการปีนผากับพวกเขา ก็จะเต็มไปด้วยความคิดประมาณว่า มันต้องน่ากลัว ต้องเป็นกำแพงชันสูงๆ เท่านั้น ส่วยเรื่องยิมปีนผาจำลองในร่มนั้น พวกเขาก็แทบไม่เข้าใจเลยว่าคืออะไร

หมายความว่าที่ผ่านมา ประเทศไทยถือเป็นสถานที่สำหรับปีนผาที่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติมาก แต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากคนไทยเท่าไหร่นัก 

จัสติน : ใช่ แต่ผมว่าเรื่องนี้มันต้องใช้เวลา เพราะการปีนผาที่เกิดขึ้นในกระบี่ก็ก่อตั้งโดยคนต่างชาติที่สนใจการปีนผา โดยมีคนไทยบางส่วนเท่านั้นที่มาร่วมเป็นไกด์ กิจกรรมและสถานที่ตรงนี้ในตอนแรกมันเลยออกแบบมาสำหรับชาวต่างชาติมากกว่า ไหนจะเรื่องค่าใช้จ่าย เรื่องภาพจำต่างๆ ที่ปีนผาต้องเป็นคนแข็งแรง ต้องดูพร้อมลุย มีกล้าม ซึ่งมันก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่าการปีนผาเข้าถึงยาก

ส่วนการปีนผาจำลองในยิมนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาโดยกลุ่มคนปีนหน้าผาที่เขาอยากจะมีสถานที่เอาไว้ใช้สำหรับฝึกซ้อม เขาจึงไม่ได้ตั้งใจเปิดยิมเพื่อจะดึงดูดนักปีนหน้าใหม่เข้ามาในวงการหรือมองว่าจะทำเป็นธุรกิจ เขาแค่มียิมเอาไว้ปีนกันเองในกลุ่มเงียบๆ เท่านั้น

สน : ในวันนั้นยิมปีนผามันคือการจำลองหินยากๆ ในหน้าผาจริงมาให้นักปีนผาได้ฝึกซ้อม ผมจำได้เลยว่าช่วงแรกที่ปีน คนในยิมก็มีแต่พวกฮาร์ดคอร์กันทั้งนั้น รูต (เส้นทางการปีน) ที่ต้องปีนก็มีแต่ยากๆ ตัวจับแย่ๆ คือเป้าหมายของยิมมีไว้สำหรับฝึกความแข็งแรงเพียงเท่านั้น เลยไม่เหมาะกับมือใหม่เลย 

ในวันนั้นคนไทยยังมีความเชื่อที่ยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับการปีนผายังไงบ้าง

สน : อันตรายจัง ทำไมสูงขนาดนี้ ผมคงปีนไม่ไหว ขอไปฟิตร่างกายก่อน หลายคนยังมองว่าเป็นกีฬาเอกซ์ตรีมที่เข้าถึงยากอยู่

กร : ถ้าเกิดในเชิงชักชวนคือไม่ ผมยังไม่พร้อม ขอไปลดน้ำหนักก่อน แม้กระทั่งคนที่แข็งแรง กล้ามใหญ่มากๆ ก็ตาม ทั้งที่จริงทุกการปีนผาใครๆ ก็สามารถปีนได้ ถ้าเข้าใจวิธีการปีนที่ถูกต้อง

การปีนผายังเป็นกิจกรรมเฉพาะกลุ่ม 

สน : ใช่ ตอนนั้นนักปีนผาส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ

จัสติน : แต่ผมว่าที่น่าสนใจคือยิมปีนหน้าผาจำลองที่เริ่มพัฒนาให้เข้าถึงง่ายมากขึ้น ถ้าย้อนกลับไปช่วงยุค 80s ยิมปีนหน้าผาจำลอง ก็ออกแบบมาเพื่อคนเฉพาะกลุ่มอย่างที่กล่าวไปนั่นแหละ แต่ในเวลาต่อมา มันมีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดนะ 

การปีนหน้าผาจำลองเริ่มกลายเป็นกีฬา ถูกบรรจุในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก เริ่มมีคนจากแวดวงอื่นให้ความสนใจ ยิมปีนผาก็เริ่มมีวิธีนำเสนอที่แตกต่างออกไปจากการปีนหน้าผาจริง เริ่มทำให้มันง่ายขึ้น รู้สึกสนุก เป็นกิจกรรมที่ทำได้ทุกคน 

พวกคุณเห็นโอกาสอะไรในตลาดนี้จึงคิดเปิด Stonegoat Climbing Gym  

จัสติน : ต้องเล่าก่อนว่าตอนย้ายมาประเทศไทยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมก็มีความคิดที่อยากมียิมปีนผาของตัวเองอยู่ตลอด ส่วนหนึ่งเพราะผมมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่คนส่วนใหญ่พร้อมจะจ่ายเงินและใช้เวลาไปกับกิจกรรมที่ตนเองชื่นชอบกัน 

กรุงเทพฯ เองก็เป็นเมืองที่ระบบขนส่งมวลชนค่อนข้างดี เข้าถึงได้แทบทุกพื้นที่ ดังนั้นผมเลยมองว่าถ้าทำให้คนมองว่า การปีนผาเป็นอีกกิจกรรมที่พวกเขามาใช้เวลากับมันได้ เหมือนกับโยคะ เดินเที่ยวห้าง หรือไปคาเฟ่ ก็น่าจะเป็นโอกาสของเรา 

อีกอย่างคือ 10 ปีที่ผ่านมาผมเห็นเทรนด์การเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมบางอย่างของคนกรุงเทพฯ คือถ้าก่อนหน้านี้เราพูดถึงการออกกำลังกายหรือฟิตเนส จะเป็นกิจกรรมที่คนให้ความสนใจน้อยมาก แต่ปัจจุบันเทรนด์รักสุขภาพกำลังได้รับความนิยม ผู้คนเริ่มให้ความสนใจเรื่องรูปร่างหรือสุขภาพที่ดีกันมากขึ้น จนปัจจุบันกีฬาหลายชนิดก็กลายเป็นไลฟ์สไตล์หรืองานอดิเรกของพวกเขาไปแล้ว 

ผมเลยเชื่อว่ายิมปีนผาจำลองจะเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์ที่เข้ามาตอบโจทย์กระแสตรงนี้  

กร : ส่วนผมกับสน ด้วยความที่เป็นคนชอบการปีนผาทั้งคู่ ในวันนั้นเราก็คุยกันว่าอยากทำธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองรัก ให้มันเป็นเหมือนสิ่งหล่อเลี้ยงจิตใจพวกเรา อย่างตัวผมเองก็ทำงานเกี่ยวกับการเงิน ทำบัญชีมาทั้งชีวิต พอได้มาทำอะไรแบบนี้มันก็ได้ตอบสนองแพสชั่น ตอบโจทย์ความเป็นตัวเรา

แล้ว Stonegoat Climbing Gym จะเปลี่ยนภาพจำการปีนผาของคนไทยไปยังไง

จัสติน : คำว่าปีนหน้าผา ไม่ได้แปลว่าการฝึกพละกำลังให้แข็งแกร่งอย่างเดียว มันหมายถึงกิจกรรมสนุกๆ ระหว่างกลุ่มเพื่อนก็ได้ ดังนั้นยิมของเราก็จะมีรูต หรือเส้นทางปีนผาที่เหมาะสำหรับมือใหม่ ปีนไม่ยาก แต่ก็ยังรู้สึกสนุกได้ ซึ่งบางรูตก็ไม่ได้ใช้พละกำลังมากมาย แต่จะใช้ความสมดุลหรือความยืดหยุ่นของร่างกาย ซึ่งมันทำให้การปีนผามีรสชาติหลากหลายและสนุกยิ่งขึ้น

คือกีฬาปีนผามันพิเศษตรงที่ การปีนแต่ละรูตเราใช้ทักษะร่างกายไม่ซ้ำกันเลย สังเกตสิ เวลาคุณต้องวิ่ง ต้องตีเทนนิส หรือปั่นจักรยาน กีฬาเหล่านี้จะใช้ทักษะหรือกลุ่มกล้ามเนื้อเดิมๆ ตลอด แต่การปีนผาจำลองนี่มันแตกต่างอย่างมาก ผมปีนมา 16 ปีแล้ว ก็ยังรู้สึกท้าทาย และได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอด

สน : แล้วพอมีเรื่องของระดับความยากในการปีนเข้ามา (grading system) ก็จะทำให้คนที่ปีนรู้สึกท้าทาย ได้เห็นพัฒนาการ ทำให้เขาอยากมาพิชิตรูตปีนผายากๆ ที่เขาอยากจะเอาชนะ

ถึงจะทำให้เหมาะกับนักปีนมือใหม่มากๆ แล้ว แต่ยังมีปัญหาหรือความไม่เข้าใจที่เกิดขึ้นกับนักปีนผามือใหม่บ้างไหม

สน : มีเยอะเลย โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย สิ่งสำคัญที่พวกเราอยากสื่อจึงคือการปีนผาไม่ได้อันตรายอย่างที่คิด คือถึงจะจัดอยู่ในหมวดหมู่กีฬาเอกซ์ตรีมก็จริง แต่เราทำให้ Stonegoat Climbing Gym มีความปลอดภัยมากที่สุด 

เรามีการสอนวิธีปีนผา วิธีลงจากหน้าผา คำนึงถึงความปลอดภัยพื้นฐาน รวมไปถึงใช้อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานระดับโลกเพื่อทำให้เห็นว่า การปีนมันปลอดภัยและไม่ได้น่ากลัว ผมคิดว่าถ้าใครก็ตามได้มาลองปีนผาสักครั้งที่ยิมของเรา ก็จะเข้าใจว่ามันค่อนข้างปลอดภัยระดับหนึ่งเลย 

จัสติน : คำว่ากีฬาเอกซ์ตรีม มันทำให้ภาพลักษณ์ของกีฬาปีนผาดูโลดโผนเกินควร รวมถึงภาพจำในอดีตที่ผ่านมา ที่จะเห็นคนปีนผาสูงตระหง่าน ไต่ยอดเขา เอเวอเรสต์ หรือกระทั่งเคยดูสารคดีของอเล็กซ์ ฮาโนลด์ (Alex Honnold) ที่ปีนผาแบบ free solo ไม่ใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ ซึ่งเหล่านี้มันเป็นอีกส่วนหนึ่งของกีฬาปีนผาก็จริง แต่ไม่ใช่สิ่งที่ Stonegoat Climbing Gym เป็น เราออกแบบมาให้ปลอดภัยและเหมาะกับมือใหม่มากกว่า 

นอกจากรูตที่ไม่ยากเกินไป อีกสิ่งที่น่าสนใจของ Stonegoat Climbing Gym คือสถานที่ที่สวยงามเหมาะกับการถ่ายรูป มีความ instagramable รวมถึงมีพื้นที่ให้นั่งแฮงเอาต์ ทำไมยิมปีนผาต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้

สน : เรามองว่ารูตปีนผามันก็เหมือนเมนูอาหารจานหนึ่ง คือถ้าหน้าตาไม่น่ากิน คุณก็ไม่อยากจะกินมัน ถูกไหม ดังนั้นนอกจากอร่อยแล้วต้องดูดีด้วย รูตปีนผาก็เช่นกัน นอกจากจะปีนสนุกแล้ว การจัดวางก็ต้องสวยงาม การเคลื่อนไหวของร่างกายระหว่างปีนก็ต้องดูสวย ดูโฟลว์ สนุก ไม่อึดอัด  

กร : เรื่องแสงสว่างก็สำคัญ ต้องไม่มีมุมไหนที่เงาตกลงมา ถ่ายรูปลงอินสตาแกรมได้ทุกมุม ซึ่งทั้งหมดก็เพื่ออยากให้ทุกคนรู้สึกว่ากีฬานี้มันไม่รู้สึกอึดอัด ปีนแล้วต้องมีกล้าม เหงื่อออกเยอะ อยู่ในไฟสลัว น่ากลัว อะไรแบบนั้น ซึ่งความเป็นจริงมันไม่ใช่ 

จัสติน : ส่วนเรื่องรายละเอียดต่างๆ ที่ไม่ได้มีแค่รูตปีนผาแต่มีพื้นที่เล็กๆ ให้คนได้มาพูดคุยกัน มันมาจากการที่พวกเราคิดกันว่าเราต้องแตกต่างจากยิมปีนผาจำลองที่เคยมีมา คือมันต้องเป็นสถานที่ที่ทุกคนอยากใช้เวลาอยู่ที่นี่นานๆ ต้องมีพื้นที่กว้างขวาง สะอาด เดินทางสะดวก มีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ทำให้ยิมปีนผาเป็นมากกว่ายิมที่คนเดินเข้ามาเพื่อปีนหน้าผาจำลอง แล้วกลับบ้านไป 

สน : เราเคยจัดอีเวนต์ Jazz Night เอาดนตรีแจ๊สมาเล่นสดในยิมปีนผา ซึ่งก็เป็นอะไรที่แปลก แต่ประสบความสำเร็จ ผู้คนให้ความสนใจเป็นอย่างดี 

เป้าหมายหลักของ Stonegoat Climbing Gym คือทำให้ยิมปีนผาเป็นพื้นที่ในเชิงไลฟ์สไตล์ให้คนเข้ามาทำกิจกรรมได้หลากหลายมากกว่าแค่การปีนผา 

กร : ใช่ คือมาแล้วไม่ปีนผายังได้เลย มาแค่มาพูดคุยกับเพื่อนๆ แล้วก็ไปกินข้าวกันต่อก็ได้

สน : อยากให้ Stonegoat Climbing Gym เป็นสถานที่ซึ่งมอบประสบการณ์การปีนผาจำลองที่ดีให้กับเขา เป็นพื้นที่ให้พบเจอคนที่ชอบกีฬาปีนผาเหมือนกัน หรืออย่างน้อยที่สุด เป็นสถานที่ให้ผู้คนได้มารวมกลุ่มและเริ่มลองทำกิจกรรมสนุกๆ อย่างการปีนหน้าผา

จัสติน : การปีนผาจำลองไม่ใช่สินค้าเดียวที่เราขายใน Stonegoat Climbing Gym แต่มันคือประสบการณ์ทุกอย่างตั้งแต่คุณเดินเข้ามาในที่แห่งนี้เลย เพื่อให้ลูกค้าที่เข้ามากลับไปด้วยรอยยิ้ม และความรู้สึกว่าอยากจะกลับมาปีนผาที่นี่อีกครั้ง 

กลับกัน คนกลุ่มนี้ก็อาจไปนั่งจับกลุ่มในร้านกาแฟ หรือเจอเพื่อนในสถานที่แห่งอื่นก็ได้ คำถามคือทำไมพวกเขาจึงต้องมานัดเจอกันใน Stonegoat Climbing Gym

กร : ผมมองว่าเป็นเรื่องลักษณะของผู้คนที่เขายังมองหาพื้นที่แบบนี้อยู่นะ ในมุมหนึ่งพวกเขาก็อาจจะไปนัดเจอกันในร้านกาแฟก็ได้ แต่คำถามคือถ้าสมมติพวกเขาเหล่านั้นเป็นคนชอบปีนผาจำลองเหมือนกันล่ะ ดังนั้นการที่เรามียิมปีนผาจำลองที่มีพื้นที่ให้นั่งแฮงเอาต์ด้วย มันจะไม่ตอบโจทย์คนกลุ่มนี้มากกว่าเหรอ ผมมองแบบนี้นะ 

สน : เพราะในยิมของเราเองก็มีคาเฟ่ มีอาหารให้กิน ก็สามารถมารวมกลุ่มที่นี่ได้ หรือจะมาปีนผา เลือกรูตง่ายๆ ที่ไม่ยาก ระหว่างปีนก็ถ่ายรูป เซลฟี่เล่นกัน ปีนเสร็จถ่ายภาพหมู่ แล้วค่อยแยกย้ายกลับบ้านด้วยรอยยิ้ม อะไรแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยใน Stonegoat Climbing Gym 

แล้วคุณมีวิธีการสร้างคอมมิวนิตี้ของกลุ่มคนที่รักปีนผาขึ้นมายังไงบ้าง

จัสติน : ผมว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างคนที่เข้ามาปีนในยิมของเราด้วยกันเอง ผมคงตอบคำถามส่วนนี้โดยตรงไม่ได้ แต่สิ่งที่พวกเราพอทำได้คือการสร้างสังคมการปีนผาที่ดีผ่านพนักงาน ผ่านตัวพวกเราเองก่อน ที่ต้องปฏิบัติต่อลูกค้าอย่างเป็นมิตร ยิ้มแย้ม แจ่มใส ยินดีต้อนรับทุกคน

ที่พยายามทำสิ่งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะประสบการณ์ก่อนหน้าที่ผมเจอมาด้วย คือเมื่อก่อนเวลาไปปีนผาจำลองในยิมต่างประเทศ แม้ยิมนั้นจะมีอุปกรณ์ที่ดี มีมาตรฐานที่สูง แต่ในบางครั้งเรากลับพบว่าบรรยากาศภายในยิมไม่ค่อยต้อนรับนักปีนหน้าใหม่เท่าที่ควร หลายครั้งผมสัมผัสได้ถึงการแข่งขัน และการพยายามเอาชนะกันและกัน ซึ่งผมไม่อยากให้เกิดอะไรแบบนี้ใน Stonegoat Climbing Gym 

ผมอยากให้ทุกครั้งที่ใครสักคนเริ่มปีนขึ้นไป สิ่งที่พวกเขาจะได้ยินคือเสียงเชียร์ที่คอยให้กำลังใจจากด้านหลัง

ในวันที่เปิดให้บริการ ลูกค้าเข้าใจและตอบรับความตั้งใจตรงนี้ของพวกคุณไหม

จัสติน : หลังจากเปิดได้ไม่นาน ก็ต้องปิดให้บริการตามมาตรการของรัฐบาลในช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด แต่ในอีกมุมหนึ่งเราก็ได้รับความเห็นจากคนที่เคยปีนผามาก่อนหน้านี้ ว่ายิมของเราสร้างมาตรฐานใหม่ของวงการปีนผา

สน : อันนี้สาบานเลย ว่าได้รับคำตอบมาแบบนั้นจริงๆ คือเขาไม่คิดว่าประเทศไทยจะมีอะไรแบบนี้ 

คำว่า ‘มาตรฐาน’ ที่พูดถึงคือเรื่องอะไรบ้าง

จัสติน : เริ่มตั้งแต่สิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างเลย เรื่องแสงสว่าง อากาศ ขนาดพื้นที่ รวมไปถึงการออกแบบกำแพงสำหรับการปีน มีหลายมุม หลายรูปแบบ

บอกกันตามตรงว่าพวกเราวางแผน ออกแบบ และทำงานในส่วนนี้กันหนักมาก เพื่อให้ยิมออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด

อะไรคือความท้าทายของการเปิดยิมปีนผาจำลอง 

จัสติน : ผมว่ายังมีความยากอยู่ในการที่จะสมดุลคำว่าธุรกิจกับแพสชั่น คือจะทำยังไงให้ยิมปีนผาของเรายังคงสนุก ตอบสนองความเป็นนักปีนในตัวเรา 

แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ในเชิงธุรกิจด้วย คือจะทำเอาสนุกอย่างเดียวไม่ได้ แต่หลายๆ สิ่งก็ต้องยอมลดทอนไปเพื่อแลกกับรายได้และผลกำไร ก็เป็นเรื่องที่ยังคงต้องหาจุดตรงกลางต่อไป

สำหรับใครที่ยังลังเลและรู้สึกกลัวกับการปีนผาอยู่ มีอะไรอยากจะบอกพวกเขาบ้าง 

จัสติน : ที่ยิมของเรามีนักปีนผาอายุ 70 ที่มาเป็นประจำ และยังคงสนุกกับการปีนในทุกครั้ง ดังนั้นผมเลยคิดว่าถ้าเขายังคงปีนผาได้อย่างต่อเนื่องมาถึงตอนนี้ ก็คงเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่ามันสนุกและปลอดภัยมากๆ 

แต่ผมเข้าใจว่าพูดไปมันก็ไม่เท่ากับได้ลองสัมผัสเอง ดังนั้นมาลองกันเถอะ จะได้รู้ว่ามันเหมือนกับที่ผมพูดจริงๆ หรือไม่

แม้ในวันนี้วงการปีนผาในประเทศไทยกำลังเติบโต แต่ก็ต้องยอมรับว่าหากเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น หรือเกาหลี อยากรู้ว่าจะมีโอกาสที่ประเทศไทยจะพัฒนาไปไกลถึงขั้นนั้นไหม

จัสติน : เรื่องนี้ยากที่จะเปรียบเทียบกันนะ เพราะแต่ละที่ก็มีลักษณะและรูปแบบที่แตกต่างกันไป อย่างในญี่ปุ่นเอง ครั้งล่าสุดที่ผมไปคือมียิมปีนผาเกือบ 400 ที่ในโตเกียว คือกีฬานี้มันยอดนิยมมาก ซึ่งจะเอามาเทียบกับไทยผมว่ามันยังคงแตกต่างในเรื่องของความนิยมในกีฬา 

หรืออย่างในสิงคโปร์เองเขาก็ส่งเสริมเรื่องการปีนผาเข้าไปในหลักสูตรการศึกษาด้วย ดังนั้นมันจึงเป็นความแตกต่างในเชิงเป้าหมายของแต่ละประเทศว่าอยากให้กีฬาปีนผาเติบโตในทางไหน ด้านธุรกิจ หรือการผลิตนักกีฬา ของประเทศไทยเองก็ต้องตอบคำถามและกำหนดเป้าหมายตรงนี้ก่อน

สำหรับผม ในประเทศไทยยังมีโอกาสในการเติบโตอีกมากมาย ผมคิดว่าพื้นที่ส่วนอื่นๆ นอกจากกรุงเทพฯ ยังมีบุคลากรที่มีศักยภาพและสนใจการปีนผาอยู่ไม่น้อย ดังนั้นจึงเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจว่าจะทำยังไงต่อ จึงจะขยายเทรนด์เกี่ยวกับการปีนผาทั้งในเชิงกีฬาและธุรกิจให้ครอบคลุมประเทศไทยได้มากยิ่งขึ้น

กร : เราก็อยากให้กีฬาปีนผาเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ อยากเห็นคนให้ความสนใจเยอะๆ เพราะมันก็หมายถึงการค้นพบเพชรเม็ดงามที่อาจกลายเป็นนักกีฬาที่มีคุณภาพต่อไปในอนาคตก็ได้ ถ้ากีฬาปีนผามันได้รับความนิยมจนทุกคนเข้าถึงได้ ไม่แน่ว่าวันหนึ่งลูกเด็กเล็กแดง ที่วิ่งหกล้มอยู่หน้าปากซอยก็อาจเป็นตัวแทนทีมชาติไปแข่งกีฬาปีนผาก็ได้ ใครจะไปรู้ 

หลังจากนี้ Stonegoat Climbing Gym มีแผนทางธุรกิจยังไงบ้าง

จัสติน : ผมคิดว่าหลังจากนี้ก็ยังคงพัฒนายิมของเราตามแนวทางที่วางไว้ต่อไปให้เติบโตขึ้น แต่สิ่งที่อยากทำต่อคืออยากขยายความเป็น Stonegoat Climbing Gym ไปยังพื้นที่อื่น ที่ต้องใหญ่และทะเยอทะยานกว่าในอนาคตข้างหน้า 

ในฐานะที่พวกคุณเป็นคนชื่นชอบกีฬาปีนผา จนได้มาเปิดยิมปีนผาของตัวเอง ความสุขในการได้ทำธุรกิจที่ชื่อ Stonegoat Climbing Gym คืออะไร

สน : ของผมนี่เป็นเรื่องที่สามัญที่สุดเลย คือการได้เห็นรอยยิ้มของลูกค้าที่ปีนรูตที่เราตั้งใจเซตเอาไว้ แล้วเขาก็โพสต์ในโซเชียลมีเดียว่าชอบรูตนี้ ได้เรียนรู้อะไร ได้สนุกกับส่วนไหนของเส้นทาง

จัสติน : สำหรับผมคือการได้สร้างสังคมของคนที่สนใจการปีนผา ได้เห็นผู้คนมาใช้ชีวิต มาพูดคุย มามีความสุขในยิมของเรา มันก็ทำให้เห็นว่าความพยายามอันหนักหน่วงที่ทำมาของพวกเรา มันเริ่มออกดอกผลแล้ว คุณรู้ไหมมีคนแต่งงานเพราะมาเจอกันที่ยิมของเราด้วยนะ

กร : สุดท้ายมันไม่ใช่แค่เรื่องการได้มาใช้พละกำลังหรือเจอผู้คนนะ แต่มันยังรวมไปถึงเรื่องการเอาชนะตัวเอง หรือเพิ่มพูน self-esteem สำหรับใครบางคนด้วยซ้ำ มันหมายถึงการตอบคำถามถึงคุณค่าการใช้ชีวิตเลย

ผมมีเรื่องหนึ่งอยากจะเล่า คือมีน้องคนหนึ่งที่เขาป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง เลยมีตัวเลือกกีฬาให้เล่นได้ไม่เยอะ แต่วันที่เขาได้รู้จักการปีนผา และได้เริ่มลองปีนมาเรื่อยๆ มันกลับทำให้เขาร่างกายดีขึ้น หายจากอาการต่างๆ จนวันนี้เขาแข็งแรงพอและกลับไปเรียนต่อเป็นหมอ เพื่อจะเอาความรู้มารักษาคนที่ป่วยเป็นโรคนี้ต่อไป 

เรื่องนี้มันก็ทำให้ผมรู้สึกว่า เออ คุ้มค่าแล้วล่ะที่เราเปิดยิมที่ชื่อ Stonegoat Climbing Gym ขึ้นมา

​​​​SOU・SOU ไลฟ์สไตล์แบรนด์สัญชาติญี่ปุ่น ส่วนผสมของงานคราฟต์ดั้งเดิมและลายพิมพ์โมเดิร์น​​​​

เมื่อเอ่ยถึงงานคราฟต์แบบดั้งเดิม ควบคู่ไปกับการสืบทอดกิจการด้านงานฝีมือที่ส่งต่อกันรุ่นสู่รุ่นแล้ว คุณนึกถึงประเทศอะไรกัน?

‘ญี่ปุ่น’ อาจเป็นคำตอบที่ปิ๊งขึ้นมาในแวบแรกเลยหรือเปล่า?

หลายครั้ง คนไทยโดยส่วนใหญ่ต่างก็มีจุดมุ่งหมายในการไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น เพราะด้วยความชื่นชอบในสถานที่ท่องเที่ยว เมนูอาหารสไตล์ญี่ปุ่นที่น่าค้นหาและแตกต่างกันไปในแต่ละท้องที่ ตึกรามบ้านช่องที่สะอาดสะอ้าน เป็นระเบียบน่าอยู่ แฟชั่นการแต่งตัว หรือแม้แต่ความน่าสนใจของงานฝีมือและวัฒนธรรมดั้งเดิม ที่ก็ทำให้เราอยากออกไปสัมผัสหรือเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง ทว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่ความรู้สึกของนักท่องเที่ยว-ชาวต่างชาติอย่างเราๆ กันหรือเปล่านะ? 

แล้ววัฒนธรรมและงานคราฟต์ดั้งเดิมที่ว่ามานี้ คนญี่ปุ่นสมัยใหม่เขายังสนใจกันอยู่หรือไม่?

Biztory ในวันนี้ เราอยากจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับโซ่ ・โซ่ (SOU・SOU) แบรนด์แฟชั่นสัญชาติญี่ปุ่น ที่ตั้งใจนำเสนอวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิม ผ่านการออกแบบลายพิมพ์บนผืนผ้าและสิ่งทอ โดยแพตเทิร์นออริจินัลของผ้าเหล่านี้ จะถูกนำมาผลิตเป็นสินค้าแฟชั่น-ไลฟ์สไตล์หลากหลายหมวดหมู่ พร้อมให้ผู้คนได้สวมใส่และหยิบใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไร้รอยต่อ

รองเท้าทาบิจับคู่กับถุงเท้า เสื้อผ้าผู้หญิง เสื้อผ้าผู้ชาย เสื้อผ้าเด็ก สปอร์ตแวร์ กระเป๋า ของใช้ในบ้าน แคนวาสผ้าแพตเทิร์นต่างๆ รวมไปถึงเซตขนมหวานญี่ปุ่นดั้งเดิม (Wagashi) กับชา ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของหน้าร้านและสินค้าที่แบรนด์ SOU・SOU วางขายเท่านั้น 

จริงๆ แล้ว SOU・SOU แบรนด์แฟชั่นที่โดดเด่นในด้านของการออกแบบลายพิมพ์นี้มีแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากดีไซน์เฮาส์สัญชาติฟินแลนด์ เจ้าของลายดอกอูนิกโกะ (Unikko) หรือดอกป๊อปปี้ที่หลายๆ คนรู้จักกันดีอย่างแบรนด์ ‘มารีเมกโกะ’ (Marimekko) โดยหนึ่งในเจ้าของผู้ก่อตั้ง SOU・SOU หรือ คัตซึจิ วากิซากะ (Katsuji Wakisaka) นั้น ถือได้ว่าเป็นดีไซเนอร์ญี่ปุ่นคนแรกที่เคยได้ร่วมทำงานกับมารีเมกโกะ ก่อนจะนำจุดเด่นและไอเดียของการออกแบบแพตเทิร์นที่มีสีสันสดใส ลายพิมพ์ที่ชัดเจน มาปรับใช้ให้เข้ากับความเป็นญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม อาทิ การนำลวดลายของชุดกิโมโน-ชุดยูกาตะ กลับมาใช้ในสินค้ายุคใหม่ สลับไปกับการดีไซน์ลวดลายใหม่ๆ ที่มีความเป็นสากลขึ้นอย่าง ลายตัวเลข ‘โซซึยุ’ (SO-SU-U) ซิกเนเจอร์ของแบรนด์มาใช้กับทั้งชุดกิโมโน-ชุดยูกาตะ และรองเท้าทาบิ เป็นต้น 

เช่นนั้นแล้ว ตัวแบรนด์ SOU・SOU จึงยังสามารถเข้าถึงผู้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสัญชาติได้อย่างเรื่อยมา 

1. แรงบันดาลใจจากการเป็นดีไซเนอร์ ผู้สร้างลายพิมพ์ในบ้าน Marimekko สู่การรักษางานคราฟต์ดั้งเดิมของญี่ปุ่นในแบรนด์ SOU・SOU

ย้อนกลับไปในปี 1968 คัตซึจิ วากิซากะ ในวัยเพียง 24 ปีได้เริ่มเข้าทำงานกับมารีเมกโกะ ในฐานะดีไซเนอร์ ผู้สร้างลายพิมพ์ (printed pattern) ให้กับไลฟ์สไตล์-ดีไซน์เฮาส์แห่งนี้ 

ด้วยลวดลายของลายพิมพ์ที่ดูเป็นอิสระและมีความขี้เล่น การจัดองค์ประกอบของแพตเทิร์นที่สมบูรณ์แบบ ตลอดจนการเลือกใช้พาเลตต์สีได้อย่างมีชีวิตชีวาในผลงานของวากิซากะนั้น จึงทำให้ในปี 1975 ผลงานดีไซน์ลายพิมพ์ในชื่ออย่าง ‘Bo Boo’ ลายเส้นรูปรถประเภทต่างๆ ที่แฝงไปด้วยความร่าเริงและสนุกสนานนี้เอง ที่ทำให้วากิซากะนั้นโด่งดังไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา จากการหยิบเอาลายพิมพ์นี้ไปผลิตเป็นสินค้าหลากหลายหมวดหมู่ภายใต้แบรนด์มารีเมกโกะ ไม่ว่าจะเป็นผ้าปูเตียง ผ้าขนหนู กระเป๋า และข้าวของเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร 

ไม่ใช่แค่ลายพิมพ์ ‘Bo Boo’ จากปี 1975 เท่านั้น ที่ทำให้ผู้คนได้รู้จักกับวากิซากะ แต่เราเชื่อว่าหลายๆ คนที่ติดตามมารีเมกโกะอยู่ในช่วงปีนี้ก็คงจะต้องคุ้นตาและรู้จักลายพิมพ์ยอดนิยมจากคลังลายพิมพ์คลาสสิก (archieve) อย่าง ‘Rulla’ อีกหนึ่งผลงานการดีไซน์ของวากิซากะในปี 1981 หรือลายพิมพ์ที่ประกอบไปด้วยลายเส้นรูปสัตว์ต่างๆ อาทิ ยีราฟ อูฐ ช้าง ไก่ เต่าฯ สวมใส่รองเท้าสเก็ตเป็นแน่ เพราะในช่วงต้นปี 2023 ที่ผ่านมามารีเมกโกะก็ได้เลือกหยิบคาแร็กเตอร์รูปกระต่ายจากลายพิมพ์ Rulla นี้มาใช้กับแคปซูลคอลเลกชั่นประจำเทศกาลตรุษจีนอย่าง ‘Lunar New Year Limited Collection’ สำหรับปีนักษัตรเถาะ ออกมาให้เก็บสะสม ทั้งในหมวดหมู่เสื้อผ้า (ready-to-wear) สินค้าแอ็กเซสซอรีในคอลเลกชั่นสตรีทแวร์ (kioski) และชุดเซรามิกบนโต๊ะอาหารอีกด้วย

นับว่าเป็นระยะเวลากว่า 9 ปี (1968-1976 และ 2001) ที่วากิซากะได้ทำงานอยู่ภายใต้ดีไซน์เฮาส์สัญชาติฟินแลนด์อย่างมารีเมกโกะ ทั้งยังได้ฝากผลงานการดีไซน์ลายพิมพ์รวมกว่า 13 ลายไว้ในคลังลายพิมพ์คลาสสิกของแบรนด์เป็นที่เรียบร้อย

ก่อนในปี 2002 เองเขาจะตัดสินใจบินกลับไปยังบ้านเกิดของตนเองในประเทศญี่ปุ่น อย่างจังหวัดเกียวโต พร้อมๆ ไปกับไอเดียของการริเริ่มสร้างแบรนด์อย่าง SOU・SOU ร่วมด้วยพาร์ตเนอร์อีกสองคนอย่างทาเคชิ วาคาบายาชิ (Takeshi Wakabayashi) ผู้ซึ่งเป็นทั้งโปรดิวเซอร์และแฟชั่นดีไซเนอร์ กับฮิซาโนบุ ซึจิมูระ (Hisanobu Tsujimura) ผู้ซึ่งเป็นสถาปนิก มาในคอนเซปต์ตั้งต้นของแบรนด์ ที่พวกเขาเองตั้งใจอยากจะรักษางานคราฟต์ดั้งเดิมของญี่ปุ่นไว้ให้ดีที่สุด ขณะเดียวกันยังต้องตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนในยุคสมัยใหม่อีกด้วย

2. จากคำพูดติดปากของคนญี่ปุ่นอย่าง ‘ใช่ ใช่’ สู่ชื่อแบรนด์ SOU・SOU

จากคอนเซปต์ของแบรนด์ที่อยากให้งานคราฟต์ดั้งเดิมนั้นเฉิดฉายอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนได้เสมอ นอกจากสินค้าของแบรนด์ที่จำจะต้องเข้าถึงได้ง่ายและตอบโจทย์กับการใช้งาน ชื่อเรียกแบรนด์อย่าง SOU・SOU จึงมีที่มาจากคำพูดในชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่นอย่างคำว่า ‘โซ่ โซ่’ (そうそう) เขียนด้วยตัวอักษรฮิรางานะ (Hiragana) แปลว่า ‘ใช่ ใช่’ เปรียบเสมือนคำพูดติดปากที่ใช้แสดงความเห็นของคนญี่ปุ่นเมื่อรู้สึกเห็นพ้องต้องใจกันอีกด้วย 

หลังจากที่ตั้งชื่อแบรนด์อย่าง SOU・SOU ได้สำเร็จแล้ว ก็ถึงตาของการครีเอตชื่อแบรนด์ในรูปแบบตัวอักษรภาษาญี่ปุ่น ซึ่งจะต้องอ่านง่ายสำหรับทุกคน ไม่เว้นแม้แต่เด็กเล็ก ทั้งยังเป็นเรื่องปกติของชื่อเรียกภาษาญี่ปุ่นที่จะใช้ตัวอักษรคาตาคานะ (Katakana) สำหรับการตั้งชื่อเล่น ชื่อเรียก ชื่อร้าน หรือชื่อแบรนด์ อย่าง SOU・SOU ที่จะออกมาเป็น  ソウソウ นั่นเอง

เช่นนั้นแล้ว SOU・SOU (ソウソウ) จึงไม่เพียงแค่ออกเสียงง่าย อ่านง่าย แต่การตั้งชื่อแบรนด์ในครั้งนี้ วากิซากะยังคิดไปถึงในแง่ของการโฆษณาแบรนด์อีกด้วยว่า เมื่อใดที่ผู้คนต่างก็พูดคำนี้ในชีวิตประจำวัน ก็ต้องมีคนจำนวนไม่น้อยที่หวนนึกถึงแบรนด์ของเราอย่างแน่นอน

3. สินค้าแรกของ SOU・SOU คือรองเท้าจิกะ-ทาบิ (Jika-Tabi) 

แม้จะได้ชื่อแบรนด์อย่าง SOU・SOU แต่วากิซากะ วาคาบายาชิ และซึจิมูระนั้น ก็ไม่ได้คิดที่จะเปิดหน้าร้านในนามของแบรนด์เลยทันที พวกเขาเพียงแต่คิดว่า สิ่งที่พวกเขาควรจะเริ่มมีก่อนคือ ‘สินค้า’ ซึ่งจะนำพาให้ผู้คนได้มารู้จักกับ SOU・SOU 

แล้วสินค้าอะไรกันล่ะ ที่จะสามารถนำเสนอคอนเซปต์ของแบรนด์ อย่างการรักษางานคราฟต์ดั้งเดิม ควบคู่ไปกับการตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนในยุคสมัยใหม่?

คำตอบก็คือ รองเท้าจิกะ-ทาบิ (Jika-Tabi) หรือที่หลายๆ คนรู้จักกันในชื่อเรียกสั้นๆ อย่างรองเท้าทาบิยังไงล่ะ

เพราะรองเท้าจิกะ-ทาบิ (地下足袋) เคยถูกกล่าวขานเอาไว้ว่าเป็นรองเท้าของนินจา ซึ่งมีประวัติอันยาวนานมาตั้งแต่ยุคซามูไรญี่ปุ่น หรือในช่วงราวๆ ศตวรรษที่ 10 ก่อนในยุคสมัยต่อมา การสวมใส่รองเท้าแบบ Split-Toe นั้น จะยังช่วยในเรื่องของการทรงตัวที่ดีจากทรงของรองเท้าที่แบนราบ และเพื่อให้ผู้สวมใส่นั้นได้สัมผัสที่คล้ายกับการเหยียบพื้นดินลงไปเลย โดยรองเท้าจิกะ-ทาบิยังถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายโดยเหล่าเกษตรกร-กลุ่มแรงงาน ทุกยุคทุกสมัยของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้จึงถือได้ว่า ‘รองเท้าทาบิ’ (足袋) นั้นเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่ทาง SOU・SOU เล็งเห็นแล้วว่า พวกเขาสามารถพัฒนารองเท้าจิกะ-ทาบิให้เข้าถึงผู้คนในทุกกลุ่มอาชีพได้เช่นกัน

ท้ายที่สุด ในเดือนมีนาคมของปี 2003 วากิซากะ วาคาบายาชิ และซึจิมูระ จึงตัดสินใจเปิดหน้าร้านในโตเกียวสำหรับขายรองเท้าจิกะ-ทาบิ โดยเริ่มต้นจากการผลิตรองเท้าทาบิกว่า 2,300 คู่ในครั้งแรก ทั้งยังเป็นการทำงานร่วมกับโรงงานผลิตรองเท้าจิกะ-ทาบิอย่าง ‘ทาคาซาโกะ ซังเงียว’ (Takasago Sangyo) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1969 หนึ่งในโรงงานผลิตรองเท้า ที่ยังคงผลิตรองเท้าทาบิ ทั้งในรูปแบบออริจินอลและแบบคอสตอมให้กับนักกีฬาเบสบอล รวมถึงชาวประมงอีกด้วย 

เป็นที่แน่นอนว่าการร่วมงานกันระหว่างทาคาซาโกะ ซังเงียว ที่ผลิตรองเท้าในแบบฉบับดั้งเดิมมาโดยตลอด และแบรนด์ร่วมสมัยอย่าง SOU・SOU นั้นจำจะต้องพบเจออุปสรรคในการพัฒนารองเท้าจิกะ-ทาบิอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ทั้งคู่ก็ได้ร่วมพัฒนารองเท้าทาบิเหล่านี้ ให้ออกมาเป็นสินค้าซิกเนเจอร์ของ SOU・SOU ได้จนสำเร็จ กลายมาเป็นรองเท้าจิกะ-ทาบิที่เลือกใช้เนื้อผ้ารองเท้าดั้งเดิมของทางโรงงาน ผสมผสานไปกับลายพิมพ์ของ SOU・SOU  ทั้งยังมีการคิดค้นพื้นรองเท้า (sole) ให้หนาขึ้นจากเดิม เพื่อช่วยซัพพอร์ตเท้าของผู้สวมใส่เข้าไปด้วย

หลังจากการวางขายรองเท้าทาบิได้เพียง 7 เดือน SOU・SOU ได้รับเสียงตอบรับในเชิงบวกจากคนญี่ปุ่นอย่างล้นหลาม จนสามารถจัดนิทรรศการแรกของแบรนด์ภายใต้ชื่อ ‘Tokyo -> New York -> Kyoto’ ในเดือนตุลาคมของปีเดียวกันขึ้นมาได้ ก่อนในปี 2004 ก็ยังสามารถขยายสาขาหน้าร้านขายรองเท้าทาบิไปได้กว่า 2 สาขาใน 2 เมือง อย่างสาขาแรกของจังหวัดเกียวโต และสาขาที่ 2 ของเมืองหลวงอย่างโตเกียว หรือในเมืองอาโอยามะ (Aoyama) นั่นเอง

นับตั้งแต่ปี 2003 ต่อเนื่องมาจนถึงขวบปีที่ 20 ของ SOU・SOU สินค้าอย่างรองเท้าทาบิก็ยังคงเป็นซิกเนเจอร์ของทางแบรนด์ โดยในปัจจุบันรองเท้าทาบินั้นยังถูกผลิตออกมาในหลากรูปลักษณ์-รูปทรง เสมือนสนีกเกอร์ ที่ก็มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปในแต่ละรุ่น ทั้งยังมาพร้อมกับถุงเท้าแบบ split-toe มากมายหลายลายพิมพ์ (หรือที่เรียกกันในภาษาญี่ปุ่นว่า Tabi-Shita: 足袋下) ชวนให้เราได้สนุกไปกับการแมตช์สีสัน ก่อนจะนำไปใส่คู่กับรองเท้าทาบิคู่โปรด รวมถึงยังมีแผ่นรองรองเท้า (insole) ผลิตจากต่างวัสดุและสัมผัส ให้ได้ add-on ตามความชอบใจของแต่ละคนด้วยนะ

4. เมื่อโรงงานผลิตผ้าในประเทศหลงเหลือน้อยลงทุกวัน การเปิดหน้าร้านในหมวดหมู่ใหม่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งในการช่วยสนับสนุนสินค้าท้องถิ่น

เป็นระยะเวลากว่า 2 ปี นับตั้งแต่ SOU・SOU เริ่มจำหน่ายรองเท้าทาบิ สินค้าแรกของแบรนด์จนประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักในสังคมญี่ปุ่น โดยความสำเร็จนี้ถือเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของ SOU・SOU เท่านั้น เพราะในปี 2005 นี่แหละที่ SOU・SOU ได้ตัดสินใจเปิดตัวหมวดหมู่สินค้าใหม่ พร้อมกับการรีโนเวตร้านขายรองเท้าทาบิในสาขาเกียวโต ให้กลายมาเป็น ‘SOU・SOU Ise Momen’ (伊勢 木綿) หน้าร้านที่ขายสินค้าอย่างผ้าเช็ดมือกับผ้าพันคอพิมพ์ลายตามแบบฉบับของ SOU・SOU ก่อนจะตามมาด้วยหน้าร้านขายเสื้อผ้า และหน้าร้านขายอุปกรณ์ตกแต่งบ้านในคราเดียวกัน

จริงอยู่ที่ว่าความน่าสนใจของ SOU・SOU นั้นคือดีไซน์ของลายพิมพ์ต่างๆ ที่แฝงลายเซ็นของวากิซากะเอาไว้บนแคนวาสผ้า แต่รู้ไหมว่า แคนวาสผ้าเหล่านี้ วาคาบายาชิ ผู้ซึ่งเป็นทั้งโปรดิวเซอร์และแฟชั่นดีไซเนอร์ของแบรนด์ยังมีความตั้งใจที่จะช่วยสนับสนุนโรงงานผลิตผ้าคอตตอนอันเก่าแก่อย่าง ‘อิเสะคอตตอน’ (Ise ‘Momen’ Cotton) ที่ ณ ตอนนั้น เหลือเพียงแค่โรงงานผลิตเดียวในประเทศญี่ปุ่น มีชื่อว่า ‘Usui Fabric Company’ ในเมืองอิเสะ จังหวัดมิเอะ (Ise, Mie Prefecture) ด้วยเหตุผลที่ผู้ประกอบการและผู้บริโภคส่วนใหญ่ได้หันไปสนใจเส้นใยสังเคราะห์ ประกอบกับเทรนด์ของการสวมใส่เสื้อผ้าแบบตะวันตกที่มาแรงหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 

ปัจจุบัน อิเสะคอตตอนยังถือเป็นหนึ่งในงานคราฟต์ดั้งเดิมของจังหวัดมิเอะ เพราะด้วยความเป็นกิจการที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคมูโรมาจิ (Muromachi) ในศตวรรษที่ 14 กรรมวิธีในการผลิตที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ การใช้เครื่องทอผ้าแบบดั้งเดิม ตลอดจนเนื้อสัมผัสของผ้าที่จะนุ่มมากขึ้นหลังจากผ่านการใช้งาน และการซักในทุกๆ ครั้งอีกด้วย

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ แต่ภายใน 3 ปีถัดมา หรือในปี 2008 SOU・SOU ก็ได้ขยับขยายความสำเร็จไปอีกขั้น ด้วยการร่วมงานกับแบรนด์อุปกรณ์กีฬาและสปอร์ตแวร์สัญชาติฝรั่งเศสอย่าง ‘เลอ ค็อก สปอร์ทิฟ’ (le coq sportif) ที่เป็นผู้สนับสนุนหลักให้กับการแข่งขันจักรยาน ‘ตูร์ เดอ ฟรองซ์’ (Tour de France) ก่อนจะเปิดหน้าร้านในสาขาเกียวโต ไปด้วยชื่อร้าน ‘SOU・SOU x le coq sportif’ ที่วางขายเสื้อผ้าสำหรับปั่นจักรยานกับชุดลำลองสำหรับสวมใส่ได้ในทุกวัน และถึงแม้จะเป็นการคอลแล็บระหว่าง 2 สัญชาติ แต่แน่นอนว่าเนื้อผ้าที่ SOU・SOU เลือกใช้ก็ยังคงเป็นผ้าที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่นเช่นเคย

ด้วยความตั้งใจอยากจะสนับสนุนโรงงานผลิตเนื้อผ้าชนิดต่างๆ ในประเทศของวาคาบายาชิที่ไม่อาจหยุดนิ่ง เป็นผลให้ SOU・SOU เปิดหน้าร้านขายสินค้าที่เกี่ยวกับเสื้อผ้าเพิ่มขึ้นอีกในปี 2009 และ 2010 ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิง ‘SOU・SOU Kikoromo’ (着衣) หน้าร้านขายเสื้อผ้าผู้ชาย ‘SOU・SOU Kei-i’ (傾衣) และหน้าร้านขายเสื้อผ้าเด็ก ‘SOU・SOU Warabegi’ (わらべぎ) ทั้งยังมีหน้าร้านขายของใช้ในบ้านที่รวมเอาคอสตอมเมดเฟอร์นิเจอร์ และคาเฟ่กาแฟ-ชา-วากาชิมาไว้ด้วยกัน อย่าง ‘SOU・SOU Shitsurai’ (しつらい) เพิ่มขึ้นมาอีกด้วย

ณ ตอนนี้ ไม่ใช่เพียงแค่อิเสะคอตตอนจากจังหวัดมิเอะเท่านั้นที่ SOU・SOU ได้นำมาใช้สำหรับการผลิตเสื้อผ้าของแบรนด์ แต่ยังมีเนื้อผ้าอย่างผ้าทอเนื้อหยาบ ‘ทาคาชิมะ จิจิมิ’ (Takashima Chijimi) ผลิตภัณฑ์ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคเอโดะ ให้สัมผัสเบาบาง ดูดซับน้ำได้ดี และแห้งไวจากจังหวัดชิกะ (Shiga Prefecture) ผ้าทอย้อมสีคราม พร้อมลวดลายสีขาว ‘คุรุเมะ คาซูริ’ (Kurume Kasuri) ที่นิยมนำเนื้อผ้ามาทำเป็นกิโมโนในสมัยก่อน จากจังหวัดฟุกุโอกะ (Fukuoka Prefecture) และผ้ามัสลิน หรือผ้าฝ้ายทอมือสีขาว ให้ความรู้สึกโปร่ง เบาสบายในการสวมใส่ จากเมืองฮามามัตซึ จังหวัดชิซึโอกะ (Hamamatsu, Shizuoka Prefecture) เป็นต้น 

5. มากกว่าร้านขายมัลติโปรดักต์ คือการเปิดหน้าร้านแยกขายสินค้าแต่ละหมวดหมู่

นอกจากรองเท้าทาบิ เสื้อผ้า และของใช้ในบ้าน SOU・SOU มีหน้าร้านแบ่งออกตามหมวดหมู่สินค้าถึง 6 ร้านค้าแล้ว ในปี 2012 SOU・SOU ก็ยังเปิดหน้าร้านสำหรับขายสินค้าประเภทกระเป๋า หรือ ‘SOU・SOU Hotei’ (布袋) มาพร้อมกับคอนเซปต์ ‘กระเป๋าที่เข้ากับชุดกิโมโน’ อีกทั้งในปี 2013 ‘SOU・SOU So-me O-ri’ (染めおり) ร้านขายแคนวาสผ้าหลากลายพิมพ์ก็ได้ถูกเปิดขึ้นบนชั้น 2 ของ SOU・SOU Hotei ด้วยจุดประสงค์ที่อยากจะให้ทุกคนได้เข้าถึงตัวผ้า-ลายพิมพ์ไปพร้อมๆ กัน โดยไม่ว่าใครก็สามารถนำแคนวาสผ้าเหล่านี้ไปรังสรรค์เป็นผลงานใหม่ๆ เพื่อใช้ในชีวิตประจำวันได้

ก่อนสองหน้าร้านสุดท้ายของสาขาเกียวโตนั้นจะเพิ่งถูกเปิดในปี 2021 อย่าง ‘SOU・SOU Yousou.’ เสื้อผ้าสไตล์ตะวันตกที่ยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่น และร้านขายของขวัญ ของฝาก ไอเทมเก๋ไก๋ที่รวมเหล่าผลงานคอลแล็บระหว่าง SOU・SOU กับแบรนด์อื่นๆ ภายใต้ชื่อร้าน  ‘SOU・SOU Okurimono (おくりもの)  

เมื่อนับรวมกันแล้ว เราจะพบว่า SOU・SOU นั้น มีหน้าร้านค้ากว่า 9 หมวดหมู่สินค้า ทั้งยังตั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน ในแขวงนากาเงียว ตัวเมืองเกียวโตเลยอีกด้วย (Nakagyo Ward, Kyoto Prefecture) เรียกได้ว่า เดินทางสะดวก ครบ จบในย่านเดียวเลยจริงๆ

ด้วยทำเลของร้าน SOU・SOU สาขาเกียวโต ที่ทั้งใกล้กับตัวเมืองและย่านท่องเที่ยวอย่างกิออน (Gion) แล้ว แนวคิดของการเปิดหน้าร้านที่แยกขายสินค้าแต่ละหมวดหมู่เช่นนี้จึงถือว่าเป็นผลดีกับทั้งตัวแบรนด์และลูกค้า อย่างการที่ลูกค้าจะสามารถเลือกเข้าไปหยิบซื้อสินค้าในหมวดหมู่ที่ตนเองสนใจได้อย่างง่ายดาย  ส่งผลให้จำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการนั้นไม่เยอะและแออัดเกินไปในแต่ละร้าน กลับกัน สตาฟเองก็ยังสามารถให้บริการลูกค้าแต่ละคนด้วยความรู้เกี่ยวกับสินค้านั้นๆ ได้อย่างละเอียดและทันท่วงที ซึ่งเมื่อลูกค้าและสตาฟต่างก็แฮปปี้ แน่นอนว่าองค์รวมของแบรนด์ก็จะยั่งยืนไปตามๆ กัน 

6. SOU・SOU ในขวบปีที่ 20 กับความสำเร็จที่วัดจากเส้นทางการเติบโตของแบรนด์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ปัจจุบัน SOU・SOU ในขวบปีที่ 20 นั้นมีจำนวนสาขาหลักถึง 2 ตัวเมืองใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ทั้งในจังหวัดเกียวโต บ้านเกิดของพาร์ตเนอร์ทั้ง 3 คนที่เราเพิ่งกล่าวถึงกันไป และในจังหวัดโตเกียว หรือสาขาในเมืองอาโอยามะ ซึ่งแบ่งออกเป็นสองหน้าร้าน อย่าง ‘SOU・SOU Kyoto aoyamamise’ สาขาที่ขายสินค้ารวมหมวดหมู่ กับ ‘SOU・SOU Yousou.’ 

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะ SOU・SOU ยังมีไลน์หน้าร้านที่มาในรูปแบบของป๊อปอัพสโตร์ ‘ITOKEN/ SOU・SOU’ ถึง 2 สาขาในเกียวโตด้วย อย่างสาขาที่ตั้งอยู่ในสถานีรถไฟเกียวโต (JR Kyoto ISETAN) และสาขาที่ตั้งอยู่ใกล้วัดคิโยมิซุ (Kiyomizu-Dera) สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตที่คนไทยรู้จักกันดี ในชื่อเรียก ‘วัดน้ำใส’ โดย ‘ITOKEN/ SOU・SOU’ นี้ เป็นป๊อปอัพสโตร์ที่เพิ่มไลน์เมนูเครื่องดื่ม-ขนมในรูปแบบสั่งกลับบ้าน (takeaway) เข้ามา ซึ่งด้วยทำเลและทาร์เก็ตลูกค้าที่แคบลงมาอีกหน่อย อย่างในกลุ่มนักท่องเที่ยวแล้ว ของฝากและเซตขนมที่มีรูปร่าง หน้าตาน่ารัก ถอดแบบมาจากลายพิมพ์ของ SOU・SOU จึงเป็นหมวดหมู่สินค้าที่เหมาะสมที่สุด เพราะไม่ว่าใครที่ได้แวะเวียนเข้ามาในสโตร์เหล่านี้ก็อดไม่ได้ที่จะต้องหิ้วของฝาก ติดไม้ติดมือกลับบ้านไปบ้างล่ะ!

นอกจากสาขาใหญ่-สาขาย่อยในประเทศญี่ปุ่นแล้ว SOU・SOU เขาก็มีหน้าร้านรวมหมวดหมู่สินค้าในต่างแดนด้วยนะ อย่างสาขาในเมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนในระยะเวลาที่ผ่านมา SOU・SOU ยังเคยบินลัดฟ้า ไปเปิดป๊อปอัพสโตร์ฉบับชั่วคราวในหลายๆ ประเทศกันอยู่บ้าง 

ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมผลงานคอลแล็บของ SOU・SOU ที่เคยได้ร่วมงานกับทั้งแบรนด์ใหญ่ๆในประเทศเองก็ดี หรือจะเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงของสัญชาติอื่นๆ เองก็ด้วย อาทิ สินค้าในหมวดหมู่เครื่องแต่งกายที่คอลแล็บร่วมกับแบรนด์เสื้อผ้าไลฟ์แวร์สัญชาติญี่ปุ่น อย่างยูนิโคล่ (UNIQLO) หมวดหมู่ชุดชั้นใน-ชุดใส่อยู่บ้าน (interior wear) กับแบรนด์ชุดชั้นในวาโก้ (Wacoal) ที่ผ่านการนำเสนอลายพิมพ์ของ SOU・SOU บนเนื้อผ้าทอทาคาชิมะ จิจิมิ (Takashima Chijimi) หรือจะเป็นการคอลแล็บกับสินค้าซิกเนเจอร์ของแบรนด์มีดพับสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ (Victorinox) ตลอดจนหมวดหมู่กระเป๋าที่ SOU・SOU ได้เคยร่วมงานกับแบรนด์อุปกรณ์กีฬาสัญชาติฝรั่งเศส อย่างดีแคทลอน (Decathlon) ด้วยการฝากฝังลายพิมพ์ตัวเลข ‘โซซึยุ’ (SO-SU-U) ไว้บนกระเป๋า เป็นต้น

เมื่อเอ่ยถึงสินค้าในหมวดหมู่กระเป๋า รวมถึงลายพิมพ์โซซึยุแล้ว ก็อดที่จะพูดถึงการคอลแล็บของ SOU・SOU ร่วมกับอเนลโล่ (Anello) เป็นไม่ได้ เพราะคอลเลกชั่นนี้เคยวางขายในประเทศไทยไปเมื่อปี 2021  ทั้งยังมีอีก 3 ลายพิมพ์ดอกไม้ซิกเนเจอร์ ผลงานของวากิซากะ โลดแล่นอยู่บนกระเป๋าแบ็กแพ็ก เหล่านี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นลายดอกหัวไชเท้า กลีบเล็กๆ สีขาว ‘ซูซูชิโรโซะ’ (Suzushirosou) ลายดอกไม้ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากแบรนด์มารีเมกโกะ ‘ฮานะกาเซน’ (Hanagasane) และลายดอกพลัมสีชมพู ‘ไบริน’ (Bairin) ตามลำดับ

ถึงแม้เรื่องราวทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของแบรนด์ SOU・SOU ในตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา แต่แน่นอนว่า SOU・SOU  ไม่เคยหยุดที่จะเรียนรู้และทดลองทำสิ่งใหม่ๆ เลยสักวัน นี่จึงเป็นหนึ่งในจุดแข็งของแบรนด์ กับเหตุผลที่ว่าทำไม SOU・SOU ถึงเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์สัญชาติญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จที่สุดแบรนด์หนึ่งในช่วงเวลานี้อีกด้วย 

ภาพ : SOU・SOU, anello Thailand 

อ้างอิง

สำรวจวิธีใช้ไลน์ในโลกการงานและธุรกิจแสนเฉพาะตัวที่คนชาติอื่นๆ เขาไม่ทำกัน

เมื่อไม่นานมานี้ LINE Thailand ได้เผยอินไซต์ที่น่าสนใจเกี่ยวพฤติกรรมการใช้ LINE ของคนไทยตลอด 12 ปี พบว่า ปัจจุบัน LINE เป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มแชตอันดับหนึ่งของประเทศ ด้วยจำนวนผู้ใช้กว่า 54 ล้านคน ซึ่งถ้าเทียบกับข้อมูลของ We Are Social ที่บอกว่า คนไทย 54.5 ล้านคนใช้อินเทอร์เน็ต นั่นหมายความว่า เกือบทั้งหมดของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยนั้นใช้ LINE ด้วย ทำให้ LINE กลายเป็นเดลี่แอพฯ ที่คนไทยใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งการคุยกับเพื่อน ครอบครัว หรือแม้แต่เรื่องงาน 

‘โลกการทำงานและโลกส่วนตัวที่ทับซ้อนกันอยู่’

ประเด็นที่น่าสนใจคือแม้ LINE จะเป็นแอพฯ แชตหนึ่งเดียวที่คนไทยนิยมใช้มากที่สุด แต่รู้ไหมว่าเมื่อสำรวจการใช้แอพฯ แชตทั่วโลก พบว่าา แอพฯ ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดไม่ใช่ LINE แต่เป็น WhatsApp ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดใน 63 ประเทศ จาก 100 ประเทศ รองลงมาคือ Facebook Messenger นิยมใช้มากสุดใน 16 ประเทศ และอันดับ 3 คือ Telegram เป็นแอพฯ ที่นิยมใช้ใน 10 ประเทศ ส่วน LINE เป็นที่นิยมใน 3 ประเทศเท่านั้น คือ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และไทย (ข้อมูลจาก Similarweb Mobile App Intelligence)

เมื่อมองถึงการใช้เทคโนโลยีของคนไทย เพื่อการทำงานและการทำธุรกิจบนไลน์ คนไทยเป็นชาติที่มีลักษณะเฉพาะในการใช้ไลน์โดยใช้งานทั้งกับชีวิตส่วนตัวและการทำงาน โดยเฉพาะวัยทำงาน ที่ใช้ Group Chat เพื่อการทำงานเป็นหลัก และแอ็กทีฟตลอดวันตั้งแต่ 8:00-20:00 น. เรียกได้ว่าแอ็กทีฟตั้งแต่ก่อนเริ่มงาน ไปถึงหลังเลิกงานเลยทีเดียว สะท้อนให้เห็นว่าเราขยันทำงานกันแค่ไหน

หรืออีกนัยหนึ่งอาจบอกได้ว่า คนไทยมีโลกการทำงานและโลกส่วนตัวทับซ้อนกัน

‘LINE for Work เวิร์กไหม’

อยากชวนให้ทุกคนลองสำรวจตัวเองดูสักหน่อยว่าตั้งแต่เข้าสู่วัยทำงาน กรุ๊ปไลน์ที่คุณเป็นสมาชิกอยู่ตอนนี้เป็นกรุ๊ปส่วนตัวเท่าไหร่ แล้วเป็นกรุ๊ปงานเท่าไหร่ 

ข้อมูลจาก LINE ระบุว่า กลุ่มเจนฯ Y กว่า 82% ใช้กรุ๊ปไลน์เพื่อการทำงานโดยเฉพาะ แถมยังใช้ไลน์คอลควบคู่กันด้วย และมีเจนฯ Y มากถึง 88% ที่ใช้ไลน์ในคอมพิวเตอร์เพื่อการทำงานโดยเฉพาะ นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้คนไทยมีกรุ๊ปไลน์สำหรับทำงานเฉลี่ย 9 กรุ๊ปต่อคน เป็นกรุ๊ปที่แอ็กทีฟตลอด 7 วันต่อสัปดาห์ และโดยปกติก่อนนอนเราก็มักจะเช็กไลน์ก่อน ถ้าเจอข้อความในกลุ่มออฟฟิศ อาจทำให้คุณสัมผัสถึง work ไร้ balance ได้ทันที นำมาซึ่งคำถามที่ว่า จริงๆ แล้วเราใช้แอพฯ กันถูกหรือไม่

โดยพฤติกรรมของคนไทยในการใช้กรุ๊ปไลน์ทำงานมีทั้งการส่งรูปภาพ (68%) ส่งไฟล์งาน ( 67%) ไฟล์เสียง (33%) และวิดีโอ (33%) ทำให้ฟีเจอร์กรุ๊ปไลน์มีการเติบโตสูงกว่าประเทศอื่น ทำให้ไทยเป็นประเทศเดียวที่ไลน์ตัดสินใจพัฒนาโซลูชั่นที่ตอบโจทย์การทำงานโดยเฉพาะ ทั้งการนัดหมายงาน และการจัดเก็บไฟล์ 

มาถึงตรงนี้คุณอาจมีคำถามแล้วว่า ถ้าไม่ใช้ไลน์จะใช้อะไร?

ในต่างประเทศนิยมใช้แอพศ สำหรับทำงานโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น Slack ที่รวมฟังก์ชั่นการคุย ประชุม ส่งงาน และโทรไว้ในที่เดียว หรือ Microsoft Team ที่รวมฟีเจอร์สำหรับการทำงานไว้ทั้งหมด สามารถเชื่อมต่อกับแอพฯ อื่นๆ ได้ ทั้ง Gmail, Google Drive และ Zoom เป็นต้น

และยังมีเรื่องของวัฒนธรรมการทำงาน ที่บ้านเรามักจะติดต่อพนักงานนอกเวลางาน สั่งงานในวันหยุด โดยหัวหน้ามักคาดหวังให้ลูกน้องตอบทันที ซึ่งเมื่อเจอมากๆ เข้าก็ทำให้เกิดกระแสการลาออก อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันผู้คนหันมาสนใจกับ work-life balance มากขึ้น มีการแบ่งแยกวันหยุดและวันทำงานอย่างชัดเจน วิธีแก้ปัญหาง่ายๆ ที่หลายองค์กรเลือกใช้คือ การแยกโปรแกรมแชตระหว่างเรื่องงาน และชีวิตส่วนตัว 

‘ทำไมธุรกิจในไทยชอบใช้ LINE OA ทำตลาด’

จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมหน่วยงานไทยทั้งภาครัฐและเอกชนจะมองว่า LINE เป็นตัวเลือกแรกๆ ในการสื่อสารทางการตลาด เพราะความเคยชินทำให้ผู้คนรวมถึงแบรนด์เองก็สามารถเชื่อมต่อและสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างสะดวก โดยจะเห็นได้จากการกระตุ้นให้ลูกค้าแอดไลน์ เพื่อรับส่วนลด สะสมแต้ม หรือรับข้อมูลข่าวสารต่างๆ จากแบรนด์

แต่เชื่อว่าหลายคนที่แอดไลน์ธุรกิจแล้ว หลังกดรับโปรโมชันหรือรับสินค้าฟรี อาจกดบล็อกทันที ซึ่งก็มีหลายเหตุผลที่ทำให้ผู้คนเลือกบล็อกไลน์ธุรกิจ ทั้งได้รับข้อความมากเกินไป คอนเทนต์ไม่น่าติดตาม ไม่พอใจในสินค้าและบริการ หรือการแจ้งข้อมูลข่าวสารเหล่านี้ไม่ตรงกับความสนใจของผู้รับจนทำให้เกิดการบล็อกนั่นเอง

สิ่งที่คนทำธุรกิจต้องพิจารณาคือ แหล่งที่มาของการแอดไลน์ หากมีของรางวัลที่คุ้มค่ามาล่อตาล่อใจ ยอดติดตามก็เพิ่มขึ้น และเมื่อได้ของแจกหรือหมดเวลาร่วมกิจกรรมแล้ว ยอดติดตามก็ลดทันที เพราะฉะนั้นก่อนจัดกิจกรรมใดๆ ก็ตาม ควรชั่งน้ำหนักให้ดีเสียก่อนว่าคุ้มค่ากับยอดติดตามหรือไม่ หรือการได้ผู้ติดตามจำนวนมาก แต่เป็นคนที่ไม่ได้สนใจแบรนด์ อาจไม่ใช่ลูกค้าที่แท้จริง

ทีนี้เรามาดูกรณีศึกษาในต่างประเทศกันบ้าง โดยเฉพาะประเทศที่ไม่ได้ใช้ LINE ในสหรัฐฯ ช่องทางการสื่อสารการตลาดที่ได้รับความนิยมเสมอมาคือ Email Marketing ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทำกำไรได้มากที่สุดในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

ตัวอย่างเช่น Airbnb ที่ใช้ Email Marketing นำเสนอเนื้อหาที่ถูกวิเคราะห์มาแล้วว่าตรงกับความสนใจของลูกค้าแน่นอน ในกรณีนี้ Airbnb มีการเก็บข้อมูลความสนใจของลูกค้าอยู่แล้ว เช่น คุณหาที่พักในโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น แต่ยังไม่ตัดสินใจจอง นั่นหมายความว่าคุณมีแผนที่จะจองที่พักในโซนนั้น ในวันต่อมาเมื่อคุณออกจากเว็บไซต์ Airbnb จะส่งอีเมลที่พักยอดนิยมในย่านนั้นๆ ทันที ซึ่งก็มีแนวโน้มว่าคุณจะสนใจ หรือคลิกเพื่ออ่านรีวิวเพิ่มเติม 

วิธีนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าการแอดไลน์ หรือส่งอีเมลฉบับเดียวถึงสมาชิกทุกคน แน่นอนว่าอีเมลที่ตรงกับความสนใจย่อมมีโอกาสถูกเปิดอ่านมากกว่า ทว่า ในต่างประเทศก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีการใช้แอปฯ แชตในการสื่อสารเลย ในสหรัฐฯ มีการนำ WhatsApp มาใช้เช่นกัน แต่จะใช้ในเชิงของการบริการ การติดตามการสั่งซื้อสินค้า การแจ้งปัญหา หรือรับเรื่องร้องเรียนต่างๆ โดยที่ผู้ใช้สามารถส่งภาพ หรือคลิปเกี่ยวกับสินค้าได้ เพื่อขอความช่วยเหลือ หรือแจ้งเคลมสินค้า

หากมองในแง่ของการสื่อสาร ไม่ว่าจะไลน์ แอปฯ แชทอื่นๆ หรืออีเมล ก็ล้วนเป็นเครื่องมื่อการสื่อสารอย่างหนึ่ง ที่ตอบโจทย์วัตถุประสงค์ของผู้ใช้ที่ต้องการสื่อสารข้อความไปยังผู้รับ ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะหา Insight ของลูกค้าได้แค่ไหน และปรับเปลี่ยนคอนเทนต์ให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างไร

อ้างอิง

Wishulada แบรนด์ที่อยากเปลี่ยนโลกด้วยวัสดุเหลือใช้ และสะท้อนปัญหาสิ่งแวดล้อมผ่านศิลปะ

ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมกำลังเป็นเรื่องใหญ่ของคนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาวะโลกร้อน สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ปัญหาด้านมลภาวะ หรือแม้แต่จำนวนทรัพยากรธรรมชาติที่ร่อยหรอลงจนน่าเป็นห่วง สิ่งเหล่านี้ได้กระตุกเตือนให้ทุกฝ่ายรับรู้ถึงปัญหา 

ซึ่งผู้ที่รับหน้าที่แก้ปัญหาที่ว่าไม่ใช่หน้าที่ของเหล่านักอนุรักษ์หรือองค์กรที่มีหน้าที่รับผิดชอบ แต่ทุกคนบนโลกล้วนมีส่วนสำคัญ เราจึงเห็นผู้คนในสังคมหลากบทบาทหลายอาชีพใช้ความสนใจและความถนัดของตัวเองช่วยโลกในอีกทาง และมีในแวดวงศิลปะ งานออกแบบ มีหลายคนหยิบยกประเด็นนี้มาพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง 

หนึ่งในนั้นคือ เอ๋–วิชชุลดา ปัณฑรานุวงศ์ ศิลปินและเจ้าของแบรนด์ Wishulada ผู้สร้างสรรค์โปรดักต์ที่เข้าใจสิ่งแวดล้อม และทำงานศิลปะในประเด็นเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่องและจริงจัง

ณ วันนี้งานของวิชชุลดาได้เดินสายไปอวดโฉมในหลายสถานที่ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งงานล่าสุดอย่างนิทรรศการ ‘Fast Fashion ช็อปล้างโลก’ ที่ทำร่วมกับมิวเซียมสยามก็กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์

เราจึงชวนศิลปินผู้ควบบทบาทเจ้าของ Wishulada แบรนด์ผู้ผลิตสินค้าไลฟ์สไตล์จากวัสดุเหลือใช้ และศิลปินผู้สร้างสรรค์งานศิลปะจัดวาง (installation art) มาพูดคุยถึงการทำงานศิลปะและมุมมองต่อสิ่งแวดล้อมว่าเธอมีแนวคิดยังไง installation art และการจัดการวัสดุเหลือใช้จะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้มากเพียงใด

หากอยากรู้จักแบรนด์ Wishulada ให้มากขึ้น เราต้องเข้าใจและล้วงลึกถึงที่มาที่ไปก่อนว่าเธอผ่านอะไรมาบ้าง จนสามารถสร้างแบรนด์สินค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมมาจนถึงวันนี้ 

ย้อนกลับไปในวัยเด็ก ทำไมคุณถึงสนใจงานศิลปะ

ตอนมัธยมเราเรียนสายวิทย์-คณิต แต่ก็มีความชอบทางศิลปะมาตั้งแต่เด็ก หลังจากที่ว่างจากการเรียน ที่บ้านอยากให้ทำกิจกรรม ซึ่งในเวลานั้นเราเลือกที่จะวาดรูปเป็นงานอดิเรก และทำมาเรื่อยๆ 

แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจเราได้มากที่สุดคือ วัสดุเหลือใช้ต่างๆ ที่เรามองว่ายังสามารถใช้ประโยชน์ได้อีก และด้วยความช่างจินตนาการของเรา ที่มักนึกถึงสัตว์ประหลาดหรือสัตว์หน้าตาแปลกๆ ที่ชื่นชอบ พอถึงช่วงที่ต้องทำทีสิสจึงเลือกทำเรื่องสัตว์ที่ได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม โดยนำวัสดุเหลือใช้มาสร้างสรรค์เป็นสัตว์ประหลาด เป็นตัวแทนแห่งความสูญเสียทางสิ่งแวดล้อม

จากการทำทีสิสครั้งนั้น ทำให้รู้ว่ารอบตัวมีวัสดุเหลือใช้จำนวนมาก และแต่ละชนิดก็ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ เมื่อได้ศึกษาเกี่ยวกับวัสดุต่างๆ ยิ่งทำให้อินมากขึ้น เราเลยตั้งเป้าหมายว่า งานศิลปะของเราจะช่วยกระตุ้นความคิดและทำให้ผู้คนตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมได้บ้าง

เหมือนนั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คุณสร้างแบรนด์ Wishulada 

เราเริ่มสร้างแบรนด์ Wishulada ในปี 2019 โดยมองว่าแบรนด์ Wishulada เปรียบเสมือนผู้ชุบชีวิตใหม่ให้วัสดุเหลือใช้ได้กลับมามีคุณค่าอีกครั้ง ในรูปแบบของ product design การแปรรูปวัสดุเหลือใช้ให้กลายเป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ เช่น กระเป๋า โคมไฟ เคสสำหรับโน้ตบุ๊ก หรือสินค้า made-to-order ของชำร่วยต่างๆ

ส่วนในพาร์ตของงานศิลปะ เราพยายามเน้นการนำเสนอในรูปแบบ installation art ที่หมายถึงงานศิลปะที่มีที่ตั้งเฉพาะจุด เป็นงานสามมิติที่ออกแบบมาเพื่อสร้างการรับรู้และตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม มีเสน่ห์จากการจัดวางหรือติดตั้งในสถานที่ที่แตกต่างกัน ดังนั้นงานของ Wishulada ที่ทุกคนเห็นในแต่ละที่จึงไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของงานและวัสดุที่เลือกใช้ 

อะไรคือความท้าทายในการสร้างงาน installation art ที่เล่าปัญหาสิ่งแวดล้อม

การทำงานศิลปะแบบ installation art ทำให้เราได้เจอกับวัสดุชนิดต่างๆ ที่มีวิธีจัดการแตกต่างกัน ถือเป็นความสนุกและท้าทายในเวลาเดียวกัน ทุกงานที่ทำจะได้จัดการกับวัสดุที่ไม่เหมือนกันเลย เช่น งานที่แล้วได้จัดการเหล็กและไม้ หรืองานล่าสุดก็ได้จัดการกับเสื้อผ้าจำนวนมาก นี่คือความสนุกที่เกิดขึ้น และก็ท้าทายความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองเหมือนกัน

อีกเรื่องที่เป็นความท้าทายคือ การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ installation art เพราะหลายคนอาจคุ้นเคยกับคำว่ารีไซเคิล ที่เป็นการนำวัสดุเหลือใช้มาผ่านขั้นตอนเพื่อแปรรูปเป็นของใหม่ แต่การทำ installation art เป็นการ upcycle เป็นการนำวัสดุมาทำให้เกิดมูลค่าโดยที่ยังไม่ต้องผ่านขั้นตอนแปรรูป

บางคนมองว่างานของคุณเป็นการนำขยะชิ้นเล็กๆ มาสร้างเป็นขยะชิ้นใหญ่ คุณคิดเห็นยังไงกับประเด็นนี้

สำหรับคนดูงานของเรา หลายคนอาจยังไม่รู้จักเราหรือไม่มีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ การสื่อสารผ่านงานศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเราจึงเป็นตัวเชื่อมสำคัญที่เข้าถึงประสาทสัมผัสได้ทั้งหมด และพื้นที่ที่จัดแสดงจะช่วยให้คนดูงานรู้สึกได้เห็น ได้สัมผัส หรือแม้แต่ได้กลิ่น 

ปัจจุบันมีทั้งคนที่เข้าใจและไม่เข้าใจ เรายินดีอธิบายให้เขาเข้าใจ คอมเมนต์บางอันก็ทำให้เราพัฒนามากขึ้น เช่น ทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร ในเมื่อทำไปแล้วก็เป็นขยะต่อ หรือทำไมต้องเชื่อเรา ถ้ามีขยะก็แค่คัดแยกแล้วส่งทำลายก็น่าจะพอแล้ว ทำไมต้องทำงานศิลปะให้เสียเวลา คำถามเหล่านี้ทำให้เราเกิดการพัฒนา เพราะเราไม่ได้สร้างงานศิลปะแล้วดูแค่ปลายทางอย่างเดียว แต่เราดูกระบวนการแปรรูปวัสดุทุกขั้นตอน มีการเก็บข้อมูลในเชิงดาต้าต่างๆ รวมถึงการกระจายรายได้สู่ชุมชน

ที่คุณบอกว่าทำงานร่วมกับชุมชน อยากให้ขยายความการทำงานกับชุมชนให้ฟังหน่อย

ผลงานทุกชิ้นภายใต้แบรนด์ Wishulada เป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชน ไม่ใช่แค่สร้างผลงานที่สะท้อนสิ่งแวดล้อม เรายังทำธุรกิจในรูปแบบวิสาหกิจเพื่อสังคม (social enterprise) ที่มีการกระจายรายได้สู่ชุมชน ผ่านการรับซื้อขยะจากชุมชนอำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี และโปรดักชั่นในการทำงานศิลปะในแต่ละชิ้น ซึ่งรวมถึงการคัดแยก ทำความสะอาด และสร้างสรรค์ผลงาน โดยให้เครดิตว่างานแต่ละชิ้นมีคนเบื้องหลังเป็นใครบ้าง

การที่เราทำงานกับชุมชนและวัสดุเหลือใช้ ทำให้คนส่วนใหญ่มองว่างานของเราต้องราคาถูก งานของ Wishulada ทุกชิ้นมีการคำนวณต้นทุนเหมือนสินค้าอื่นๆ แต่จะหนักที่ค่าแรง ค่าขนส่ง และการติดตั้ง แม้ราคาวัสดุเหลือใช้จะไม่แพง แต่ค่าแรงก็สูงถึง 70% เลยทีเดียว เพราะงานแต่ละชิ้นต้องผ่านหลายขั้นตอน

และที่สำคัญศิลปินไม่จำเป็นต้องทำงานคนเดียว โดยเฉพาะงานด้านสิ่งแวดล้อม การสร้างอิมแพกต์ต้องมีกระบวนการที่ชัดเจน ซึ่งการร่วมมือกับชุมชนจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ แม้เราจะเป็นแกนนำในการทำงาน เริ่มแรกเราจะออกแบบงานมาก่อน แล้วนำมาหารือกันในทีม รับฟังความคิดเห็นต่างๆ และพัฒนาไปด้วยกัน

แหล่งที่มาของวัสดุเหลือใช้คุณได้มาจากที่ไหนบ้าง

ด้วยความที่ผลงานทั้งหมดของเราผลิตจากวัสดุเหลือใช้ ซึ่งในแต่ละชิ้นต้องนำวัสดุเหลือใช้จำนวนมากมาทำ upcycle แหล่งที่มาของวัสดุที่นำมาใช้มี 3 แหล่งหลักๆ คือ การคัดแยกด้วยตัวเอง การรับซื้อจากชุมชน และได้รับบริจาค ซึ่งเราขอรับแค่เฉพาะเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น เพราะถ้าไกลกว่านั้นจะต้องเสียค่าส่งเยอะ และระหว่างการขนส่งก็จะเกิดการปล่อยคาร์บอนฟุตปรินต์ หรือก๊าซเรือนกระจกมากขึ้นตามระยะทาง เราจึงแนะนำให้ขายในจังหวัดนั้นๆ ดีกว่า

เมื่อเรารู้แหล่งที่มาของวัสดุเหลือใช้ทุกชิ้น ทำให้เราตรวจสอบการผลิตได้ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ สามารถระบุปริมาณการปล่อยคาร์บอนฟุตปรินต์ได้ทั้งหมด เพราะมีการเก็บข้อมูลตั้งแต่ต้นว่าแหล่งที่มาของวัสดุมาจากไหน ขนส่งด้วยอะไร ใครเป็นผู้ผลิตชิ้นงาน รวมถึงระบุสัดส่วนในการกระจายรายได้สู่ชุมชนในทุกโปรเจกต์ 

คุณคิดว่าอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้องค์กรต่างๆ อยากร่วมงานกับคุณ

คงเป็นเรื่องจุดยืนของแบรนด์ Wishulada ที่ต้องการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละองค์กรหรือสถานที่ สิ่งที่ทำให้ผลงานของเราไม่เหมือนใคร อยู่ที่การแสดงผลงานในพื้นที่ที่แตกต่างกัน ซึ่งก่อนเริ่มงานทุกครั้ง ทีมจะลงไปสำรวจพื้นที่ก่อนว่าองค์กรนั้นๆ มีวัสดุเหลือใช้อะไรบ้าง และนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์

ทุกวันนี้มีองค์กรภาครัฐและเอกชนติดต่อเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งเรายินดีร่วมงานกับทุกฝ่าย เพราะเป็นความตั้งใจของเราที่อยากสื่อสารกับผู้ผลิตโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นงานบริการ หรือภาคอุตสาหกรรมการผลิต เรามองว่าถ้าผู้ผลิตมีความเข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อม เขาจะผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้เราก็มีการจัดเวิร์กช็อปในหลายองค์กรเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า กระตุ้นให้เห็นความสำคัญของวัสดุเหลือใช้ และคัดแยกขยะในองค์กรให้ถูกต้อง ถูกวิธี 

และในมุมของศิลปิน การได้สื่อสารกับองค์กรต่างๆ ถือเป็นโอกาสสำคัญในการแลกเปลี่ยนความคิดทางศิลปะ ทำให้เห็นมุมมองอื่นๆ มากขึ้น ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานต่อไป

แล้วโปรเจกต์ที่ชื่อ ‘ท่วมท้น ล้นหลาม Over Flow’ ที่คุณทำมีที่มาที่ไปยังไง 

ภายใต้นิทรรศการ ‘Fast Fashion ช็อปล้างโลก’ ที่มิวเซียมสยามเป็นผู้จัด เรามีโอกาสได้เข้าไปทำในโปรเจกต์ชื่อ ‘ท่วมท้น ล้นหลาม Over Flow’ เพื่อจุดประกายความคิด กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และสะท้อนปัญหาอุตสาหกรรมสิ่งทอทั่วโลกตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องขยะแฟชั่น เป็นการนำขยะเสื้อผ้ากว่า 4 ตันมาจัดแสดงเต็มโถงทางเดินของมิวเซียมสยาม

เสื้อผ้าที่นำมาใช้ในนิทรรศการนี้ เป็นเสื้อผ้าที่มูลนิธิกระจกเงาได้รับบริจาคมา แต่ครึ่งหนึ่งที่ได้รับมานั้นเป็นเสื้อผ้าที่ไม่สามารถใช้งานต่อได้ บางตัวมีคราบเปื้อน มีรอยขาด หรือเป็นผ้าเก่าและผุขนาดที่แค่คลี่ออกมาก็ขาด ในโปรเจกต์นี้เอ๋และทีมงานเป็นคนคัดแยกเสื้อผ้าเองทั้งหมด ทำให้เห็นว่าการบริจาคเสื้อผ้าเก่าที่หลายคนมองว่าเป็นการช่วยเหลือสังคม จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย แต่เป็นการส่งต่อภาระให้ผู้รับ 

และเมื่อสิ้นสุดการจัดงาน เสื้อผ้าทั้งหมดจะถูกนำไปทำเชื้อเพลิงในระบบปิด เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทางทรัพยากร ซึ่งหากว่าไม่มีกระบวนการนี้ การทิ้งโดยการฝังกลบก็จะกลายเป็นขยะมหาศาลที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

การทำเพื่อสิ่งแวดล้อมถือเป็นภารกิจใหญ่ที่ทำคนเดียวไม่ได้ คิดว่างานศิลปะจะช่วยสื่อสารได้แค่ไหน

อย่างน้อยเราคาดหวังให้งานของเราเป็นกระบอกเสียง คนดูงานไม่จำเป็นต้องมองในมุมศิลปิน แต่อย่างน้อยการได้มาเห็นและรับรู้ถึงสิ่งที่เราทำ สิ่งที่เขาจะได้กลับไปคือความตระหนักที่เกิดขึ้น อย่างในนิทรรศการ Fast Fashion ที่ทุกคนมาดูแล้วก็เกิดการตระหนักในเรื่องการซื้อเสื้อผ้า เพราะเมื่อพูดถึงสิ่งแวดล้อมคนอาจคิดถึงมลพิษ ขยะ แต่ไม่ค่อยนึกถึงเสื้อผ้า และคุณไม่จำเป็นต้องมีชื่อเสียงหรือเป็นองค์กรขนาดใหญ่ เป็นคนธรรดา แค่ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเล็กๆ ง่ายๆ คุณก็เปลี่ยนโลกได้

ตลอดระยะที่ทำศิลปะเพื่อสิ่งแวดล้อม ตอนนี้คุณเห็นความเปลี่ยนแปลงในด้านใดบ้าง

สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ชุมชนที่ทำงานร่วมกับเรา ในช่วงแรกอาจมีคำถามว่า ทำไมต้องเก็บขยะมาให้เรา จากที่เคยขายได้ 5 บาท 10 บาท หลังจากทำงานกับเรา การคัดแยกขยะยิ่งทำให้สะอาดมากเท่าไหร่ยิ่งเพิ่มมูลค่าให้ขยะได้มากขึ้นเท่านั้น และคนรอบข้างลดการใช้ทรัพยากรเหล่านี้ ตอนแรกเราคิดว่าถ้าคนอื่นรู้ว่าที่นี่รับซื้อขวด เขาจะรีบซื้อน้ำเพื่อเอาขวดมาขายเราหรือเปล่า กลายเป็นว่าตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าขวดพลาสติกเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม และสามารถเพิ่มมูลค่าได้ถ้ามีการคัดแยกอย่างถูกวิธี

จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่เรื่องขยะ การปิดน้ำ ปิดไฟเมื่อไม่ใช้ หรือทานข้าวให้หมดจานก็มีส่วนช่วยโลกได้เหมือนกัน ซึ่งคนรอบตัวเราเริ่มเข้าใจในมิติสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หรือแม้แต่คนที่ดูงานของเรา ก็เข้าใจสิ่งที่เราต้องการสื่อสารเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม

ตอนนี้ภาคธุรกิจตื่นตัวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้นไหม 

เราสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมาตลอด และปัญหาสิ่งแวดล้อมถูกพูดถึงมานาน ไม่ใช่แค่เราหรือบุคคลทั่วไปที่เริ่มตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ แบรนด์สินค้าต่างๆ ก็เริ่มมองเห็นโอกาสทางการค้าเช่นกัน แต่เรากลับเห็นปัญหาเรื่อง Greenwashing (การฟอกเขียว เป็นการทำโฆษณาให้กลุ่มเป้าหมายมองว่าเป็นธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคม ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำจริง) ที่ผู้ผลิตหลายรายบอกว่าสินค้าตนเองเป็นสินค้าเพื่อสิ่งแวดล้อม แต่ใช้วัสดุเหลือใช้แค่ 10% หรือทำสินค้าให้เป็นสีเอิร์ทโทนหรือสีเขียว

เรามองว่าสิ่งแวดล้อมไม่จำเป็นต้องเฉดเขียวตลอดเวลา เราสนุกกับการรักสิ่งแวดล้อม ทำให้เหมือนเป็นวิถีชีวิต บาลานซ์ไปกับมันได้ สังคมอยู่ได้ สิ่งแวดล้อมอยู่ได้ ทุกครั้งที่เราทำงาน เราจะไม่บอกใครว่าห้ามใช้พลาสติก หรือห้ามปล่อยควันพิษ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วในเชิงของการผลิต ทุกคนสามารถทำบางอย่างเพื่อสิ่งแวดล้อมได้ แค่มีความใส่ใจและลงมือทำอย่างจริงจัง

เหมือนว่าต้องการให้แบรนด์เป็นมากกว่าสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

เรามองว่าตัวเองเป็น Social Activist Artist และแบรนด์ Wishulada ไม่ได้ทำแค่รังสรรค์ผลงานจากขยะหรือวัสดุเหลือใช้ แต่เป้าหมายใหญ่คือต้องการจุดประกายความคิดในแง่มุมต่างๆ ที่มากกว่าเรื่องสิ่งแวดล้อม