วิธีทำให้คนรุ่นลูกอยากสานต่อในธุรกิจที่คนรุ่นพ่อสร้างมา แบบฉบับของ เสถียร แห่งคาราบาวกรุ๊ป จากงาน Family Business in the Changing World

“รุ่นหนึ่งสร้าง รุ่นสองต่อยอด รุ่นสามทำลาย” ประโยคสุดคลาสสิกที่กลายเป็นเหมือนคำสาปของธุรกิจครอบครัว ซึ่งจากสถิติก็ได้บอกว่าส่วนใหญ่แล้วธุรกิจครอบครัวจะมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 34 ปีเท่านั้น

ทว่าหากมองลึกลงไปในองค์กรที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็จะเห็นว่ากว่า 57% ของบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดฯ ล้วนแต่เป็น ‘ธุรกิจครอบครัว’ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นบริษัททั้งหลายในเครือซีพี, กลุ่มเซ็นทรัล, โอสถสภา, ทีคิวเอ็ม หรือคาราบาวกรุ๊ป เป็นต้น 

ซึ่งธุรกิจครอบครัวนี้ก็มีมูลค่า Market Cap มากถึง 8 ล้านล้านบาท และความใหญ่ของธุรกิจก็ยังส่งผลต่อการจ้างงานมากถึง 920,000 อัตรา

เมื่อธุรกิจครอบครัวมีส่วนในการขับเคลื่อนตลาดทุนไทยมากถึงเพียงนี้ นี่จึงเป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจัดงาน Family Business in the Changing World ขึ้นมา โดยชวนผู้เชี่ยวชาญและเจ้าของธุรกิจครอบครัวทั้งเจนฯ พ่อและเจนฯ ลูกมาแชร์ความรู้และประสบการณ์ ที่ทำให้ธุรกิจครอบครัวเติบโต ส่งต่อจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกหลายๆ รุ่นได้

หนึ่งในเคสจริงของการทำธุรกิจครอบครัวที่น่าสนใจคือเรื่องราวของ ‘คุณเสถียร เสถียรธรรมะ’ ผู้ก่อตั้งบริษัทมหาชนมูลค่าแสนล้านอย่าง ‘คาราบาวกรุ๊ป’

คุณเสถียรบอกว่าการจะให้ลูกหลานที่เรารักมาช่วยสืบทอดกิจการ การเลี้ยงดูมีส่วนสำคัญอย่างมาก ยิ่งให้ลูกมาเรียนรู้ได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะจะได้รู้ว่าเขาอยากรับช่วงต่อหรือไม่ ชอบทำธุรกิจแบบเดียวกับพ่อหรือเปล่า จะได้วางแผนกันต่อไป

คุณเสถียรให้ลูกๆ ได้ซึมซับในสิ่งที่เขาทำตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ปิดเทอมก็ให้มาช่วยงานที่บริษัท เริ่มจากตำแหน่งล่างสุด อย่างลูกชายคนโตก็ให้ไปอยู่กับสาวบาวแดง ออกต่างจังหวัดนอนโรงแรมคืนละ 300-400 ลูกชายคนที่ 2 ก็ให้มาเป็นเด็กเสิร์ฟที่โรงเบียร์ ส่วนลูกสาวอีกคนก็ให้ไปเริ่มตั้งแต่กวาดพื้น 

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่เพื่อเรียนรู้งาน แต่เพื่อให้เข้าใจชีวิตจริงๆ 

เพราะในฐานะของคนที่เกิดมาแบบไม่มีต้นทุนชีวิตที่ดีมากนัก กว่าจะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ต้องฝ่าฟันอะไรมากมาย ทั้งยืนขายก๋วยเตี๋ยว ทั้งทำงานรับจ้างมาสารพัด คุณเสถียรจึงคิดว่า

“ต้องเข้าใจคน เข้าใจชีวิต เข้าใจสังคมก่อน ถึงจะเข้าใจเรื่องงานได้”

และเมื่อคนรุ่นลูกสนใจที่จะสานต่อธุรกิจของครอบครัว คราวนี้ก็ถึงเวลาที่คนรุ่นพ่อต้องเปิดใจ ให้โอกาส รวมถึงให้อำนาจในการตัดสินใจด้วยเช่นกัน 

ในเรื่องของการเปิดใจและให้โอกาส คุณเสถียรบอกว่ามันคือการยอมให้ลูกทำสิ่งใหม่ๆ แม้เขาจะเป็นมือใหม่แต่อย่าลืมว่า ‘ทุกคนก็เคยเป็นคนใหม่’ มาทั้งนั้น ไม่มีใครพร้อมมาตั้งแต่เกิด แล้วหากเทียบตอนอายุ 30 เหมือนกัน เผลอๆ คนอายุ 30 ในยุคนี้ เก่งยิ่งกว่าคนอายุ 30 ในยุคก่อนซะอีก ซึ่งถ้าลูกไม่พร้อมก็เป็นหน้าที่ของคนเป็นพ่อนี่แหละที่ต้องเตรียมความพร้อมให้

ส่วนการให้อำนาจตัดสินใจ คุณเสถียรสอนเรื่องการตัดสินใจให้กับลูกๆ ว่า “ประเด็นไม่ได้อยู่ว่าป๊าตัดสินใจไว้ยังไง เรื่องสำคัญกว่านั้นที่ลูกๆ ควรรู้ก็คือว่า ทำไมป๊าถึงตัดสินใจแบบนี้ต่างหาก เพราะกระบวนการการคิดก่อนจะตัดสินใจมันเป็นเรื่องสำคัญมาก”

อีกเรื่องที่น่าสนใจ คือแม้จะขึ้นชื่อว่าธุรกิจครอบครัว แต่การเอาคนนอกที่เป็นมืออาชีพเข้ามาช่วยบริหารก็เป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อยในการทำธุรกิจยั่งยืนต่อไป เพราะการมีคนนอกทำให้มีกฎกติกาที่ต้องทำตามมากขึ้น และเส้นของความเกรงใจที่มีต่อคนนอกมักมีมากกว่าเส้นความเกรงใจที่มีต่อคนในครอบครัว บางครั้งสิ่งที่คนนอกพูดมักจะเข้าหูมากกว่าคนในบ้านพูดกันเอง 

ท้ายที่สุด หลายคนที่ทำธุรกิจครอบครัวมักกังวลว่าเรื่องของธุรกิจจะทำให้เกิดความขัดแย้งแล้วมากระทบความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวหรือไม่ คุณเสถียรได้แชร์มุมมองเกี่ยวกับประเด็นนี้เอาไว้ได้อย่างน่าสนใจ เขาคิดว่าความขัดแย้งนั้นเป็นเรื่องปกติ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการบริหารความขัดแย้งให้ได้ด้วยการกำหนดกฎกติกาต่างๆ ขึ้นมา แล้วให้นึกเอาไว้เสมอว่าเป้าหมายสูงสุดของสถาบันที่เรียกว่าครอบครัวนั้นคือความสุข  

“คำว่าธุรกิจครอบครัว สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ธุรกิจ แต่คือครอบครัว” คุณเสถียรกล่าวทิ้งท้าย

MyCloud Fulfillment สตาร์ทอัพคลังสินค้าออนไลน์ที่โตก้าวกระโดดและระดมทุนได้ 250 ล้าน

ในวันที่แทบทุกธุรกิจต่างกำลังเตรียมพร้อมเติบโตสู่สมรภูมิการขายของออนไลน์ หนึ่งในธุรกิจดาวรุ่งแห่งยุคดิจิทัลคงหนีไม่พ้น fulfillment center หรือผู้ให้บริการคลังสินค้าออนไลน์ที่ช่วยจัดเก็บ แพ็ก ส่งสินค้าให้ธุรกิจ e-Commerce ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการสนับสนุนเรื่องหลังบ้านของธุรกิจ

ย้อนกลับไปราว 8 ปีที่แล้วก่อนที่ช้อปปิ้งออนไลน์จะบูมเท่าทุกวันนี้ เมฆ–นิธิ สัจจทิพวรรณ Co-Founder และ CEO ของ MyCloud Fulfillment สังเกตเห็นโมเดลธุรกิจคลังสินค้าจากจีนและการช้อปปิ้งในโลก e-Commerce ที่บูมอย่างมากที่อเมริกา จึงเห็นโอกาสในการเปลี่ยนคลังสินค้าปล่อยเช่าของครอบครัวมาเป็นธุรกิจคลังสินค้าออนไลน์ครบวงจรที่ไม่ได้เป็นแค่ผู้แพ็กและส่งของเท่านั้นแต่เป็นธุรกิจโลจิสติกส์รูปแบบใหม่แห่งอนาคตที่นำระบบซอฟต์แวร์มาช่วยพัฒนาการจัดการสต็อกจนสามารถเติบโตเป็นสตาร์ทอัพ Series B ในทุกวันนี้

คลังสินค้าในโลกยุคใหม่นั้นสามารถช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ดาต้าจากสต็อกหลังบ้านและบริหารสต็อกให้เงินลงทุนไม่จมได้ไปจนถึงเป็นตัวช่วยในการวางแผนการลงทุนในอนาคตให้สามารถขายได้กำไรดีและกระจายแหล่งการขายให้ทั่วถึง

กว่า MyCloud Fulfillment จะเติบโตมาถึงวันนี้เมฆบอกว่าบทบาท CEO ของสตาร์ทอัพต้องอาศัยวิสัยทัศน์ที่ต้องมองไกล มองกว้าง มองลึกให้เป็น และยังต้องกล้าเสี่ยงและกล้าทิ้ง ผ่านการรื้อทิ้งสิ่งเก่าทั้งหมดและทำใหม่มาหลายครั้ง ไม่ยึดติดแม้จะสำเร็จแล้วและคิดใหญ่ไม่ใช่แค่ทำบริษัทเพื่อกำไรแต่อยากลดความเหลื่อมล้ำในประเทศและสนับสนุนผู้ประกอบการไทย

ตอนเริ่มธุรกิจคุณรู้ได้ยังไงว่าวันหนึ่งธุรกิจหลังบ้านอย่างคลังสินค้าออนไลน์จะเป็นธุรกิจดาวรุ่ง

ก่อนหน้าที่จะทำ MyCloud Fulfillment ตอนปี 2013 เราเคยทำธุรกิจจิวเวลรีมาก่อน เป็นเว็บไซต์ e-Commerce ที่สามารถ customize เลือกตัวเรือน เลือกพลอย และสลักชื่อได้ ซึ่งสมัยนั้นเป็นสิ่งที่ค่อนข้างใหม่มาก ตอนนั้น Lazada เพิ่งเข้ามา Shopee และ Kerry ก็ยังไม่มี ช่วงแรกก็ขายดี แต่พบว่าใช้เวลาอย่างมากในการจัดการหลังบ้านด้วยตัวเองซึ่งทำให้เสียเวลามาก ต้องมีความมั่นใจในการจัดการสต็อกสินค้า เวลามีออร์เดอร์เข้ามาก็ต้องแพ็กของ จัดการส่งของและผลิตให้ทัน ช่วงนั้นเราไปออกบูทขายของก็สังเกตเห็นว่าธุรกิจที่ขายดีมากๆ มักจะมีปัญหาหลังบ้านคล้ายกัน เช่น สต็อกของไม่พอ มีคนมาขอเปลี่ยนไซส์ ต้องขนของกลับจากบูท ทำให้เรารู้สึกว่าถ้าขายดีกว่านี้คงต้องมานั่งง่วนกับสิ่งเหล่านี้มากขึ้นไปอีก ก็เลยเป็นประเด็นว่าเรื่องหลังบ้านเป็นเรื่องใหญ่และค่อนข้างเห็นภาพว่ายังไง e-Commerce ก็น่าจะมาตั้งแต่ตอนนั้น

วันที่เปลี่ยนบทบาทจากทำแบรนด์ของตัวเองมาทำคลังสินค้า คุณมองเห็นโอกาสในการสร้างอิมแพกต์ที่เปลี่ยนไปยังไง

เราคิดจากมุมมองตัวเองว่าถ้าทำธุรกิจจิวเวลรีถึงจุดหนึ่งมันจะโตได้เท่านี้แหละ แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นคือธุรกิจไปต่อไม่ได้เพราะติดเรื่องหลังบ้านเหล่านี้ ความจริงบริษัทใหญ่ที่ขายดีอาจไม่ใช่เพราะทำโฆษณาได้ดีที่สุดก็ได้ แต่เพราะสามารถกระจายสินค้าได้ทั่วประเทศไทยไปทุกห้างหรือทุกภาค แล้วธุรกิจของคนตัวเล็กหรือธุรกิจขนาดกลางมักไม่สามารถกระจายสินค้าได้ทั่วถึงเท่าบริษัทใหญ่ สินค้าบางอย่างของ SMEs เช่น สบู่ หรือยาอาจจะมีคุณภาพดีกว่าแบรนด์ใหญ่ก็ได้แต่กระจายสินค้าให้เข้าถึงได้ไม่กี่ที่ และบริษัทหนึ่งบริษัทก็มักจะไม่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองทั้งหมด นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่เราอยากทำธุรกิจนี้เพราะอยากช่วยให้ SMEs ไทยไปต่อได้ ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กเติบโตไปกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้ มันไม่ควรมีข้ออ้างว่าธุรกิจขนาดเล็กไม่มีกำลังทรัพย์หรือมีกำลังคลังและกำลังผลิตไม่เท่าแบรนด์ขนาดใหญ่ เราเลยอยากช่วยให้เขาไปต่อได้

ในมุมมองของคุณ ความลำบากที่ผู้ประกอบการ e-Commerce ต้องเจอคืออะไร

การจัดการทั้งหน้าบ้านและหลังบ้านไปพร้อมกันเป็นเรื่องลำบาก ทุกวันนี้ต้องขายของหลายช่องทางทั้งใน Lazada, Shopee และ social commerce เช่น TikTok, LINE SHOPPING มีช่องทางออฟไลน์และอีเวนต์ที่ต้องเข้าร่วม แค่จัดการช่องทางของตัวเองให้ขายหลายช่องทางก็ค่อนข้างลำบากแล้ว การจัดการหลังบ้านยังต้องสต็อกของให้เพียงพอ มีของที่ถูกต้อง สามารถแพ็กของได้ทัน ถ้าเราไปดูรีวิวใน marketplace รีวิวทั้งหมดจะเกี่ยวกับเรื่องการขนส่ง เช่น การแพ็กของสวย พูดได้ว่าการจัดการหลังร้านคือประสบการณ์ที่ดีที่ทำให้ลูกค้าซื้อซ้ำและบอกต่อซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าเราไม่สามารถจัดการออร์เดอร์ได้ ไม่มีพื้นที่ทำ ไม่มีคนทำให้ หรือไม่มีระบบรองรับก็จะจัดการได้ลำบาก

โซลูชั่นที่คลังสินค้าออนไลน์ช่วยแก้ปัญหาให้ผู้ประกอบการคืออะไรบ้าง

หนึ่ง คือเรื่องของระบบการจัดการตามช่องทางการขายต่างๆ เมื่อมีออร์เดอร์มาแล้วระบบจะสามารถอัพเดตจำนวนสต็อกที่เหลืออยู่กลับไป ทำให้เราสามารถขายได้ทุกช่องทางโดยที่ไม่ต้องเอาสต็อกไปจมกับที่ใดที่หนึ่ง สามารถเอาของหนึ่งแบบไปขายหลายที่ได้ เวลาออร์เดอร์เข้ามาก็ไม่ต้องกังวลเพราะสุดท้ายเราสามารถจัดการได้อย่างอัตโนมัติ ไม่ต้องเข้าไปจัดการด้วยตัวเอง

สอง คือเรื่องของสินค้า เราเอาของมาเก็บกับเรา แพ็กของให้และส่งให้ทัน การเลื่อนของจากออร์เดอร์ในระบบมาสู่คลังและจัดการส่งถึงมือลูกค้าเป็นสิ่งที่เราทำ โดยรวมคือจัดการหลังบ้านให้ตั้งแต่ channel management ไปจนถึง order management ต่างๆ

แล้ว MyCloud Fulfillment มีจุดแข็งที่แตกต่างจากคลังสินค้าเจ้าอื่นยังไง

หนึ่ง คือการสนับสนุนการขายหลายช่องทาง เราอยากเพิ่มโอกาสในการขายให้ผู้ประกอบการให้ได้มากที่สุด ทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้ามีของหนึ่งอย่างแต่ขายได้มากที่สุดเท่าที่จะขายได้ 

สอง คือเรื่องของความยืดหยุ่น หรือความสามารถในการเปลี่ยนแปลง เพิ่มและลดจำนวนคนแพ็กสินค้าได้ตามช่วงที่ขายได้ของระบบ สามารถจ่ายเงินตามที่ใช้จริง

และสุดท้าย สาม คือการ customize ตามความต้องการของลูกค้าแต่ละร้าน เช่น ใช้กล่องแบบพิเศษของร้านค้า ผูกโบว์ที่แพ็กเกจ การใช้โปรโมชั่น การขายแบบจัดเซต หรือสร้างรุ่นสินค้าต่างๆ ในการขาย สิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนตามใจร้านค้า

กล้าพูดว่าเราเป็นคลังสินค้าอันดับหนึ่งในใจที่ลูกค้าจะเลือก ราคาอาจจะไม่ได้ดีเท่าคนอื่น แต่ด้วยคุณค่าที่เราส่งให้จากประสบการณ์ที่เราทำงานมานาน มีการลงทุนที่น่าเชื่อถือ มีพื้นที่คลังขนาดใหญ่และความสามารถในการแพ็กของ ผ่านการจัดการให้ร้านค้าที่ค่อนข้างหลากหลาย ลูกค้าอยู่กับเราได้นานและเราสามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับลูกค้าได้จริง

การจัดการคลังสินค้าที่ดีช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการขายดีขึ้นได้ยังไง

การดูว่าหลังบ้านเป็นยังไงจะช่วยให้เราสามารถวางแผนการลงทุนในอนาคตได้ เพราะการจัดการสต็อกที่ดีไม่ใช่แค่การจัดการว่าของพอหรือไม่พอแต่คือการวางแผนว่าจะแบ่งเงินลงทุนยังไงให้ขายดี ถ้าเก็บสต็อกเยอะเกินไป ของก็จม ขายไม่ออก กลายเป็นเงินหนัก ขายของไม่ได้ไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเก็บสต็อกน้อยเกินไปก็ไม่พอขาย มันต้องมานั่งบาลานซ์ว่าสต็อกของเท่าไหร่ถึงจะดี

การทำ e-Commerce จะมีช่วงที่ขายดีอย่างช่วงโปรโมชั่นกับช่วงที่ค่อนข้างนิ่งรวมถึงมีช่วงที่เราอาจจะโตขึ้น 5 เท่าหรือ 10 เท่าแล้วต้องส่งของภายใน 1-2 วัน การจัดการสต็อกจึงเป็นเรื่องความสามารถในการจัดการออร์เดอร์ที่เพิ่มขึ้น จัดการให้ขายดีและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แบบยั่งยืน ซื้อมาร้อยชิ้นแล้วขายได้ร้อยชิ้น ไม่งั้นก็อาจจะทำให้ติดกับดักแล้วไปต่อไม่ได้

เป้าหมายตอนตั้งบริษัทของเราคือคำว่า flow logistics คือช่วยให้การบริหารจัดการโฟลว์มากขึ้น ให้สินค้าไหลไปเรื่อยๆ ได้เหมือนน้ำ ไม่ติดคอขวด ไม่ค้างหรือแช่สเตตัสที่ใดที่หนึ่งมากจนเกินไป บริหารให้ต้นทุนน้อย เงินไม่จมและขายดีขึ้นได้

แปลว่าคลังสินค้าที่ดีคือของต้องโฟลว์ ออกตลอดใช่ไหม  

ถูก คลังสินค้าที่ดีคือคลังที่ไม่มีของเยอะหรือไม่ค้างไว้นาน เพราะถ้าของเยอะแสดงว่าสินค้ายังขายไม่ออกซึ่งจะมีค่าเสียโอกาสในการขายและต้นทุนของค่าเช่าพื้นที่ สินค้าควรมาปุ๊บแล้วออกปั๊บ นั่นคือเพอร์เฟกต์ นึกถึงภาพของสนามบิน คนไม่ได้อยากไปนั่งรอที่สนามบินนาน เข้ามาไม่กี่ชั่วโมงแล้วออกไปคือเยี่ยมที่สุด โลจิสติกส์ก็เหมือนกัน มันควรขึ้นรถแล้วถึงเลย ไม่ควรกองรอไว้นาน ถ้าเข้ามาที่คลังวันเดียวแล้วออกไปจะดีมาก

คุณใช้เทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาระบบคลังสินค้าให้มีความโฟลว์ยังไงบ้าง

การทำงานคลังสินค้าแบ่งเป็นส่วนคือก่อนซื้อซึ่งเป็นหน้าที่ของร้านค้ากับหลังซื้อซึ่งเราตอบโจทย์ด้วยการทำระบบซอฟต์แวร์ที่โฟลว์ตั้งแต่ต้นจนจบจนถึงมือลูกค้า เริ่มต้นตั้งแต่การเชื่อมต่อการรับออร์เดอร์เมื่อมีคำสั่งซื้อ จะใช้ระบบ order management system มาเชื่อมต่อและบริหารจัดการหลายช่องทางการขายรวมถึงการตั้งค่าทั้งการจัดโปรโมชั่น จัดของแถมต่างๆ จากนั้นจะส่งไป warehouse system ซึ่งเป็นการจัดการคลังตั้งแต่หยิบของ เก็บของ แพ็กของ ส่งของ และสุดท้ายคือ transportation management system มันเป็นระบบที่เชื่อมต่อกันทั้งหมดตั้งแต่ออร์เดอร์จนถึงมือลูกค้าจริงๆ

ระบบช่วยให้งานที่ทับซ้อนกันสามารถทำงานได้อัตโนมัติและช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น ถูกต้องมากขึ้น ผิดพลาดน้อยลงและไม่เสียเวลา เวลาที่มีออร์เดอร์เพิ่มขึ้นก็สามารถเพิ่มคนได้โดยไม่ต้องมานั่งจำ ออร์เดอร์ที่ถูกดูดมาจะต้องถูกแปลงเป็นคำสั่งในการหยิบของ แพ็กของโดยอัตโนมัติและส่งต่อไปยังระบบคลังสินค้า พอระบบที่ถูกวางไว้ มันร้อยเรียงกันเป็นระบบที่มีกระบวนการชัดเจนอยู่แล้ว เวลามีงานเพิ่ม เราก็แค่เพิ่มคนทำงาน แล้วพนักงานก็แค่สแกนและแพ็ก มันก็ทำให้การจัดการดีเทลต่างๆ ที่ยิบย่อยมันอยู่ในระบบอยู่แล้ว เช่น เวลาแต่ละร้านอยาก customize กล่องพัสดุเป็นพิเศษ

แล้วคุณเปลี่ยนดาต้าในระบบมาเป็นอินไซต์ให้ผู้ประกอบการยังไง

ดาต้ามีส่วนสำคัญสองส่วนที่จะทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นได้ หนึ่งคือสร้างรายได้เพิ่มและสองลดต้นทุนลง ความสามารถของคลังสินค้าด้านการขายคือการทำให้ผู้ประกอบการเห็นภาพว่าเขาควรจะขายยังไงให้ดีขึ้นด้วยการใช้ดาต้าเข้ามาช่วย

อย่างแรกคือข้อมูลที่แนะนำว่าควรขายช่วงเวลาไหนดี จัดโปรโมชั่นแบบไหนดี ขายที่จังหวัดไหนดี สินค้าตัวไหนขายได้คู่กับอะไรมากกว่ากัน รวมถึงระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการ fulfillment ที่เราหยิบของ แพ็กของ ส่งของด้วยว่าทันไหม ถ้าหากตรงไหนไม่ดี ผู้ประกอบการจะได้เพิ่มยอดขายได้

อีกด้านหนึ่งคือเรื่องลดต้นทุน ทำยังไงให้สามารถใช้ต้นทุนลดลง เราจะมี dashboard ว่าค่าใช้จ่ายของแต่ละแบรนด์เป็นยังไง ออร์เดอร์นี้ใช้ค่าหยิบ ค่าแพ็ก และค่าส่งไปเท่าไหร่ จะได้ดูว่าออร์เดอร์นี้กำไรหรือเปล่า บางทีส่งไปขายได้ 100 บาทแต่ต้นทุน 90 บาท ทำให้อาจจะไม่ได้กำไรเยอะก็ได้ รวมถึงมี dashboard ข้อมูลด้าน inventory (สินค้าคงคลัง) ที่เราสามารถดูได้ว่า สินค้าไหนขายดีแต่ดันเก็บสต็อกของไว้น้อยหรือตัวไหนขายน้อยแต่เก็บสต็อกของไว้เยอะ ลองนึกภาพสมมติสั่งรองเท้าไซส์เท่ากันสิบคู่ มันไม่มีทางที่ไซส์ XXL จะมีคนซื้อพร้อมกันสิบคนได้ ต้องมีบางไซส์ที่คนซื้อเยอะกว่า เสื้อผ้าก็เหมือนกัน ดังนั้นการจัดการสต็อกให้เหมาะสมกับการขายได้เพื่อให้เงินไม่จมสต็อกจึงเป็นเรื่องสำคัญ

เหล่านี้เป็น first party data ของเราที่ไม่ต้องไปวัดแข่งกับใครแต่วัดกับแบรนด์ตัวเองว่าโตขึ้นจากเมื่อวานหรือยัง สามารถคุมต้นทุนให้ถูกลง ขายได้มากขึ้น และมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อนไหม การทำแบบนี้ได้ก็จะทำให้การบริหารจัดการมีความโฟลว์มากขึ้นเรื่อยๆ 

ความเสี่ยงที่สุดของธุรกิจคลังสินค้าออนไลน์คืออะไร

ถ้าวันที่ marketplace เหลือแค่อันเดียวและทุกคนต้องขายผูกขาดกับเจ้านั้นทั้งหมดเจ้าเดียวซึ่งจะทำให้เขาสามารถสั่งการได้ว่าจะให้เก็บสินค้าที่คลังไหนหรือส่งผ่านคลังไหน มันจะเป็นเหมือนการปฏิวัติทำให้เราเสียอิสระไป แต่ความเสี่ยงนั้นน่าจะไกลตัวอยู่ดี เพราะว่าทุกวันนี้มีหลายช่องทางทั้ง Lazada, Shopee, TikTok Shop, LINE SHOPPING ถ้าเรามองการขายแบบดั้งเดิม มันก็ยังมีเจ้าใหญ่อย่างน้อยสองคนเสมอ ไม่ใช่หนึ่ง ถึงแม้ในเมืองนอกจะชัดเจนไปแล้วว่าเหลือแค่เจ้าใหญ่เจ้าเดียวที่คุมตลาดอย่าง Amazon แต่ประเทศไทยจะแตกต่างจากประเทศอื่นตรงที่คนไทยซื้อผ่าน social commerce เยอะ ฝรั่งจะไม่ค่อยคุยเล่นกัน เขาจะเดินห้างเพื่อไปซื้อของแล้วก็กลับ แต่คนไทยไปห้างแล้วอยู่ได้ทั้งวัน เป็นสายคุยตามอารมณ์ ซื้อผ่าน Facebook, Line, TikTok Shop ซึ่งตราบใดที่ยังมีตรงนี้อยู่ เท่ากับว่าธุรกิจเรายังอยู่ได้ ถ้าดูตัวเลขจะพบว่าราว 50% ของ e-Commerce ในประเทศไทยมาจาก social commerce ซึ่งเยอะมาก มันเป็นเอกลักษณ์ไม่เพียงเฉพาะประเทศไทยเท่านั้นแต่เป็นเหมือนกันทั้งเซาท์อีสต์เอเชีย

พอแลนด์สเคปของ e-Commerce ในไทยเป็นแบบนี้แล้วส่งผลต่อการทำคลังสินค้าในทุกวันนี้ยังไง

เราพยายามเตือนตัวเองว่าอย่าลืมทำฟีเจอร์เพื่อลูกค้าทั้งสองฝั่ง ทั้งสำหรับคนที่ขายของผ่าน market place และ social commerce ไม่งั้นเราจะเสี่ยงเหมือนกัน มันจะเหมือนเลือกพันธมิตรคนใดคนหนึ่งหรือเหมือนเลือกแบงก์ที่เดียว เนื่องจาก marketplace จะมีเรื่องของการเชื่อมต่อเพื่อดูดออร์เดอร์และเน้นการจัดการโปรโมชั่นผ่านแคมเปญ ทำให้เราที่เป็นคนจัดการส่วนกลางต้องมีระบบดูดออร์เดอร์และระบบจัดการโปรโมชั่นต่างๆ แต่ถ้าเป็น social commerce จะเน้นฟีเจอร์การออกใบกำกับภาษี, สแกน QR code, จ่ายเงิน และโอนเงิน บางร้านจะเป็นการจัดการเรื่องแชต

ความจริงเวลาที่เราทำงานให้กับลูกค้าที่ขายใน Lazada และ Shopee ค่อนข้างที่จะง่ายกว่าและได้เงินเร็วกว่า รวมถึงได้ลูกค้าเจ้าใหญ่กว่าด้วยแต่เรารู้ว่าลูกค้ากลุ่มนี้จะอยู่กับเราไม่นาน วันที่เขาใหญ่มากเพียงพอเขาก็ต้องไป การบริหารความเสี่ยงของเราคือพยายามบาลานซ์ประเภทลูกค้า เราพยายามเป็นกลางและกระจายออกไปโดยไม่ยึดติดกับอะไรมากเกินไป เช่น พอ TikTok Shop มา เราก็เข้าไปจับได้ แต่วันหนึ่งมันก็ต้องมีอะไรใหม่เข้ามาอีก การไม่ยึดติดและพัฒนาใหม่เรื่อยๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญ

แล้วคุณป้องกันความเสี่ยงจากการโดนดิสริปต์ในอนาคตยังไง

การขยายธุรกิจของเราจะต้องอยู่ในประเทศลักษณะคล้ายไทย ถ้าเราขยายไปต่อที่อเมริกา การเอาชนะของเราอาจจะยาก การที่เราจะไปหาประเทศไหน ประเทศนั้นต้องมีหลายช่องทาง ต้องมี social commerce ต้องมีแชตกัน และเราก็พัฒนาระบบเพื่อรองรับกับการซื้อสินค้าผ่านโซเชียลมีเดียซึ่งเหมาะกับเซาท์อีสต์เอเชีย 

วิกฤตที่หนักที่สุดตั้งแต่ทำคลังสินค้าออนไลน์มาคืออะไร

คือเรื่องการพัฒนาระบบโดยนักพัฒนาซอฟต์แวร์เพราะเราไม่ได้เป็นคนทำเอง เราเป็นคนสายธุรกิจ เราเรียนการตลาดมา เราเห็นโอกาส เห็นปัญหา เห็นลูกค้า และเห็นสิ่งที่เราทำได้ แต่เราไม่รู้ know-how ทางเทคนิคต่างๆ เรารู้ why แต่ไม่รู้ how ทำให้เสียเงินไปเยอะมากกับการทดลองทำระบบ ซึ่งไม่ได้เป็นความผิดของแค่นักพัฒนาแต่เป็นเพราะตัวเราเองด้วย 

เราทำระบบมาตั้งแต่เวอร์ชั่น 1, 2, 3 โดยแต่ละเวอร์ชั่นลงทุนไปเกือบสิบล้านบาท ตอนที่ทำเวอร์ชั่น 1 สำหรับรองรับจำนวนออร์เดอร์ได้ราวเดือนละ 2,000 ออร์เดอร์ก็รู้สึกว่าเยอะแล้ว ตอนแรกก็สร้างเรือที่รองรับได้แค่นั้น แต่เรือลำนั้นถึงจะใส่ไม้หรือใส่ตะปูเพิ่มมากเท่าไหร่แต่มันก็รองรับได้แค่นี้ พอออร์เดอร์มีมากขึ้น เราก็ต้องสร้างเรือลำใหม่ ถ้าเราอยากไปต่อก็ต้องขึ้นเรือใหม่ สร้างฟีเจอร์ใหม่และใช้ภาษาโค้ดใหม่ๆ เข้ามาพัฒนา ทำให้ในแต่ละครั้งพอสร้างเสร็จแล้วแต่ก็ต้องโยนเวอร์ชั่นก่อนทิ้งไป เงินก็หายวับไปเลย

ตอนแรกเราก็จ้างคนนอกมาทำระบบแต่สุดท้ายพบปัญหาเยอะ เราไม่รู้ทิศทางว่าจะไปยังไงต่อ ก่อนมี CTO (chief technology officer) ในบริษัทจำได้ว่าวิกฤตหนักที่สุดคือพอทำงานอยู่แล้วระบบฟรีซและชัตดาวน์แล้วข้อมูลไหลย้อนกลับไปเป็นค่าดีฟอลต์ของวันก่อน ข้อมูลทุกอย่างที่เราทำมาก็ต้องจดใส่กระดาษแทน เป็นอย่างนั้นอยู่สองวัน พอวันที่สามก็คิดว่าบริษัทเราเจ๊งได้เลย เพราะไม่รู้ว่าจะจดได้อีกกี่วัน เราไม่รู้แล้วว่าออร์เดอร์มันหายไปเท่าไหร่บ้าง

แล้วคุณแก้ปัญหาในสิ่งที่คุณไม่มีความรู้ได้ยังไง

หาพาร์ตเนอร์ที่มาช่วยเราได้ ตอนนั้นมีผู้เชี่ยวชาญมาช่วยดูว่าโครงสร้างของระบบมันเกิดขึ้นจากอะไร ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นก็รู้ว่าเราต้องมีคนที่รู้เรื่องและเชี่ยวชาญด้านระบบอยู่ในบริษัทของเรา ไม่อย่างนั้นเราจะเหมือนหอยทากคลานในอวกาศที่ไม่รู้เรื่องแล้วก็ทำอะไรไม่ได้เลย เมื่อก่อนเราทำเหมือนว่าเรารู้เรื่องระบบ แต่เราต้องกล้าพูดและหาคนมาช่วยในสิ่งที่เราไม่รู้ ซึ่งเราก็เปลี่ยนตำแหน่ง CTO ไปแล้วสามคนกว่าจะพบคนที่ใช่ ใช้เวลาหน่อยแต่สุดท้ายก็เจอคนที่เชื่อเรื่องเดียวกับเรา พร้อมที่จะมาช่วยเราและเราไว้วางใจเขาได้ แต่กว่าจะถึงวันนี้ก็เสียหายไปเยอะ ถ้าพูดถึงวิกฤตอื่นๆ ความจริงมันก็มี แต่เป็นเรื่องที่เรารู้ว่าจะแก้ยังไง รู้ว่าจะต้องใช้เงินหรือใช้คนเพื่อแก้ปัญหาให้ได้ แต่เรื่องระบบเหล่านี้มันไม่มีใครช่วยเราได้ วันนี้ก็โชคดีที่มี CTO มาช่วยแก้ปัญหาให้เราได้  

สำหรับ MyCloud Fulfillment การหาพาร์ตเนอร์สำคัญกับธุรกิจยังไง

การหาพาร์ตเนอร์คือการดูว่าเราขาดอะไรและอยากได้อะไรเพื่อไปต่อ การระดมทุนของสตาร์ทอัพเป็นเรื่องของการหาพาร์ตเนอร์ อย่างตอนเป็นสตาร์ทอัพ Series A เราได้พาร์ตเนอร์ที่เป็น investor จากตลาดทรัพย์ของประเทศไทยมาช่วยเซตอัพโครงสร้างบริษัทให้ดีขึ้นตั้งแต่วันแรกๆ มันไม่มีสูตรตายตัวหรอกว่าทำธุรกิจมันต้องทำยังไง เหมือนเราเรียนมาแค่นี้ เราจะไปต่อได้ ก็ต้องมีผู้ใหญ่ช่วยแนะนำเราได้

พอ Series B เรามีพาร์ตเนอร์เข้ามาช่วยลงทุนกับเรา เขาช่วยซัพพอร์ตให้เราใหญ่ขึ้นและกล้าขยาย อย่าง SCGJWD Logistics ก็ช่วยซัพพอร์ตด้านคลังและโลจิสติกส์ บางครั้งเราอยากได้คลังตรงนี้ เขาก็ช่วยเสกคลังเพิ่มขึ้นได้ทำให้มีลูกค้าเพิ่มขึ้น หรืออย่าง SCB10X ก็เข้ามาช่วยเรื่องการเงิน การหาคนและเชื่อมกับแบงก์ต่างๆ

นอกจากพาร์ตเนอร์ที่ดีแล้ว อะไรคือสิ่งที่ทำให้ MyCloud Fulfillment เป็นสตาร์ทอัพที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด

มันคือการกล้าเสี่ยง ตอนนี้เราเป็นคลังสินค้าที่ใหญ่กว่าคลังอื่นๆ ซึ่งเราก็เคยผ่านจุดที่เป็นคลังขนาดเล็กมา แต่จุดที่ทำให้เราโตคือช่วงโควิด-19 จังหวะนั้นเราคิดว่ายังไงต่อไปคลังสินค้าก็มา เราก็ลงทุนล่วงหน้าไปเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคนและสถานที่ จังหวะนั้นเรายังไม่มีลูกค้าเพิ่ม แต่เราซื้อไปก่อนเพราะเรารู้ว่าลูกค้ามีความต้องการ การกล้าตัดสินใจในช่วงวิกฤตทำให้เราอยู่ในการแข่งขันได้ วันนั้นหากเราไม่กล้าเช่าคลังเพิ่ม ไม่กล้ารับลูกค้าใหญ่ ไม่กล้าไปข้างหน้า หรือไม่กล้าท้าทายตัวเองทางทิศทางที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เราก็อาจจะไม่มาถึงวันนี้ การกล้าเสี่ยงจึงถือเป็นสิ่งสำคัญในฐานะเจ้าของธุรกิจที่ต้องตัดสินใจว่าความเสี่ยงอันนี้คุ้มไหม เสี่ยงไปแล้วมีผลดีหรือเสี่ยงเกินไปแล้วจะทำให้เสียหาย

การเป็นนักธุรกิจที่กล้าเสี่ยงต้องมีมายด์เซตแบบไหน

ความจริงแล้วการตัดสินใจในทุกครั้งของเราเป็นเรื่องยาก ไม่ใช่แค่ระบบแต่เป็นเรื่องของคลังด้วย บางครั้งอุตส่าห์สร้างคลังมาเสร็จแล้วแต่เราก็ย้ายคลังและเริ่มใหม่ ตอนแรกที่เริ่มธุรกิจเราทำเป็นตึกสามชั้นแล้วพบว่าการส่งต่อออร์เดอร์มันจะช้า ก็เลยขยายใหม่ให้เป็นแนวราบและกว้างขวางขึ้นแบบในปัจจุบัน

หลายครั้งมากที่เราต้องทิ้งสิ่งเก่าและมีความเสี่ยงมาก เช่น พอย้ายโลเคชั่นคลังหรือออฟฟิศ เราก็จะเสียพนักงานไป ทุกๆ ที่ที่เราไปต่อ มันจะมีคนที่ไม่ได้ไปต่อกับเรา แต่ถ้าสามารถทิ้งแล้วไปต่อข้างหน้าได้โดยรู้ว่าล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ได้ ไม่ยึดติดกับอดีตและพร้อมที่จะไปต่อได้ มันก็ไม่น่ากลัวกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มันเป็นเรื่องปกติที่เราจะต้องทิ้งบางอย่างไปแล้วเริ่มต้นใหม่ ดีกว่ายึดติดกับสิ่งเดิม การกระจายความเสี่ยงที่ดีคือการที่เราเริ่มใหม่ได้หมดและเปลี่ยนตัวเองได้เสมอเพราะไม่มีอะไรที่มันเป็น legacy ตลอดไป นั่นเรียกว่าการกระจายความเสี่ยงที่ดีที่สุดแล้ว

ทั้งนี้การกระจายความเสี่ยงในแต่ละช่วงอายุก็ไม่เหมือนกัน ตอนเด็กเราอาจจะล้มได้ แต่พอแก่เราอาจจะล้มแล้วล้มเลย ความเสี่ยงที่จะรับได้ในแต่ละช่วงมันต่างกัน ตอนเด็กเราเต็มที่ เราลุย แต่เงินไม่เยอะ ตอนนี้เรามีเงิน อาจจะเสี่ยงมากขึ้นได้แต่แรงหรือการโฟกัสอาจจะสำคัญกว่า ความสามารถในการรับความเสี่ยงอาจจะเปลี่ยนไป ข้อดีคือเราอยู่ในธุรกิจที่โตอยู่แล้ว อยู่ที่ตัวเราเองว่าจะทำยังไงให้โต หากคลื่นแรงและสูงเราจะทำยังไง จะกล้าโต้คลื่นไปเรื่อยๆ กล้าลงทุนหรือกล้าตัดสินใจไหม เหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ชี้ว่าเราจะเติบโตหรือไม่

การทำธุรกิจตอนที่มีสเกลเล็กและสเกลใหญ่มีความแตกต่างกันยังไง

แตกต่างเยอะเพราะธุรกิจมีสเตปเหมือนชีวิตคนที่มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ตอน Series A ที่เริ่มต้นมันสนุก มันคือการ proof your product พิสูจน์ว่าโปรดักต์ของเราเป็นที่ต้องการของตลาด ขายได้และเป็นสิ่งที่โลกต้องการ สิ่งที่เราทำคือทั้งไปขายของเอง ดูลูกค้าว่าแฮปปี้ไหม แก้ปัญหาไป พลิกแพลงโปรดักต์เราเพื่อให้มั่นใจว่าเป็นสิ่งที่ลูกค้าอยากได้จริงๆ จะขายราคาเท่าไหร่ดี เพิ่มอะไรได้อีกบ้าง สตาร์ทอัพ Series A มันเป็นแบบนั้น ส่วน Series B ไม่ใช่แค่ proof product แต่เป็น proof your company ของขายได้แต่บริษัทจะไปต่อได้ไกลหรือเปล่า 

แล้วการโตแบบก้าวกระโดดทำให้บริษัทต้องปรับตัวยังไงบ้าง

สตาร์ทอัพเป็นธุรกิจที่พอเริ่มแล้วต้องรีบเติบโตอย่างรวดเร็ว มันเหมือนกินยาเร่งโตหรือเหมือนไก่กินโปรตีน ที่จริงร่างกายเราโตแต่เราอาจจะยังเป็นเด็กอยู่ก็ได้ คือธุรกิจเติบโตขึ้นมากแล้วแต่เรายังเด็ก ดังนั้นการที่ทำให้ตัวเองต้องโตไวตามธุรกิจก็ต้องเป็นคนจิตแข็งระดับหนึ่ง ซึ่งมันไม่ใช่แค่ founder แต่พนักงานก็ต้องโตเร็วด้วยเช่นกัน พนักงานบางคนก็คัลเจอร์ช็อกรับไม่ไหวก็มี คิดว่าบริหารยากขึ้นเยอะ 

ถ้ามองในแง่ดีคือเมื่อก่อนเราทำได้ทีละอย่าง แต่ตอนนี้เราทำได้หลายอย่างโดยที่เราไม่ต้องทำเอง เมื่อก่อนมันอยู่ที่เรามากๆ ตื่นสายก็ทำได้น้อยลง ตื่นเช้าก็ทำได้มากขึ้น เราป่วยทีบริษัทก็ทำอะไรไม่ได้ แต่วันนี้เรามีทีมงาน ซึ่งบริษัทเรามาได้เพราะทีมงาน ทีมเราดีด้วย ทุกๆ สเตจมีข้อดีข้อเสีย มันเปลี่ยนไปแต่คิดว่ามันยากคนละแบบ

บทบาท CEO ของคุณในวันแรกกับวันนี้แตกต่างกันยังไง

ในจุดเริ่มต้นของการทำสตาร์ทอัพ CEO ต้องเป็นเถ้าแก่ลุยๆ  เรามาด้วยความเชื่อ เน้นก้าวเดินไปข้างหน้า ไม่อยากมองข้างหลังเยอะ ตอนที่ทำแรกๆ เราก็เป็นเถ้าแก่ที่สู้เลย ลุยเลย ไม่ได้มีการแพลนมากแต่ตอนนี้พอมีตัวเลขมากขึ้นก็ต้องใส่ใจดีเทลมากขึ้น ต้องมี data improvement (การนำดาต้ามาพัฒนาองค์กร) มากขึ้น เพราะแค่เปอร์เซ็นต์ของตัวเลขต่างกันแค่ 1-2% ข้อมูลก็แตกต่างกันเยอะแล้ว เมื่อก่อนตัวเลข 1-2% อาจหมายถึงเงินแค่หลักร้อย หลักพัน แต่ตอนนี้มันอาจจะเป็นหลักแสนหรือหลักล้าน ตัวเลขมันใหญ่ขึ้นและคนเยอะขึ้น มันเลยยิ่งต้องดูตัวเลขมากขึ้น

เวลาต้องดูแลบริษัทใหญ่ที่มีคน 900 กว่าคน มีแผนกย่อยและหัวหน้ากลายเป็นเราต้องดูแลคนหลากหลายมากขึ้น ต้องมี governance (การบริหารจัดการ) โดยแบ่งความเท่าเทียมกัน ทำยังไงให้เขารู้สึกว่าเราไม่ได้รักข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป ทำยังให้ไม่ทะเลาะกัน มันเป็นเรื่องที่ใช้เวลาครึ่งหนึ่งในการบริหารไปเลยว่าทำยังไงให้คนในหมู่บ้านและประเทศของเราไม่ตีกัน  

ในฐานะ CEO ก็ต้องเปลี่ยนตัวเองไปเรื่อยๆ มันก็เป็นสิ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนของตัวเองที่ต้องพยายามหาจุดที่เราสร้างคุณค่าได้ดีที่สุด ตอนนี้ Series B ก็กำลังจะถึงจุดอิ่มตัว มันกำลังจะไปสเตจต่อไปแล้ว ก็เลยต้องพยายามเปลี่ยนบทบาทอีก ยิ่งโตยิ่งต้องทิ้งบริษัทมากขึ้นด้วยซ้ำ เหมือนลูกโตแล้วเราก็ปล่อยเขาเดินเอง เราไม่ต้องไปนั่งโอ๋เขาตลอดเวลา แล้วตัวเราก็ไปหาโอกาสอย่างอื่นให้บริษัทแทน เปรียบบริษัทเป็นเหมือนปราสาทแล้วเราเป็นคนออกไปวิ่งหาทรัพยากรข้างนอก 

ในฐานะผู้ทำคลังสินค้าที่สนับสนุนผู้ประกอบการ คำแนะนำสำหรับคนทำธุรกิจ e-Commerce คืออะไร 

e-Commerce จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ รุ่นลูกรุ่นหลานจะเดินซูเปอร์มาร์เก็ตน้อยลงและซื้อออนไลน์มากขึ้น จะอยู่แต่กับมือถือ อยู่ที่นิ้ว และอยู่ที่ตามากกว่าเท้า เพราะฉะนั้นกลุ่มลูกค้าของเราจะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปทุกคนที่ขายของยังไงก็ต้องมีช่องทางออนไลน์ โลกมันไปทางนี้ การเปลี่ยนแปลงสู่โลก digitization เป็นของจริง ประเทศที่ไปไกลแล้วอย่างอเมริกาก็ใช้โดรนส่งของกันแล้ว

ถ้าแนะนำคนทำ e-Commerce คือมันเป็นโลกข้างหน้าที่ต้องลุย มองภาพกว้างให้เป็นก่อนและมองภาพอนาคตยาวๆ ให้ออกว่าทั่วโลกทำอะไรกันอยู่ อเมริกาและจีนทำอะไรกันอยู่  มองข้างหน้าและมองรอบๆ ให้เป็น นอกจากมองใหญ่แล้วมามองเล็กในดีเทลว่าเราเก่งอะไรแล้วทำอะไรได้เพราะสมรภูมินี้จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เราต้องมามองตัวเองได้ว่าเราถนัดอะไร เมื่อก่อนซื้อของจากจีนมาก็ขายได้แต่วันนี้ไม่มีทาง ขายของยากขึ้นเยอะและการแข่งขันก็โหดขึ้นเยอะมาก มี cross border e-Commerce ที่คนจีนเอาสินค้าเข้ามาขายโดยไม่เสียภาษีนำเข้า เมื่อก่อนขายสบู่ แชมพู อาหารเสริมทางออนไลน์ไม่มี วันนี้มีหมดแล้ว แต่ก็ยังมีช่องว่างตลาดและโอกาสในการขายอะไรที่แตกต่าง ต้องเข้ามามองตัวเองมากขึ้นว่าเราถนัดอะไร

เราเลยต้องมองให้เห็น ไม่มองแค่การแข่งขัน แต่มองให้ไกล มองให้กว้าง ให้ลึก ซึ่งมันมีอยู่แล้วในทุกคน ตลอดเส้นทางการเดินทางที่ผ่านมาของทุกคนล้วนมีประสบการณ์ที่แตกต่างจากคนอื่นอยู่แล้วและต้องมองให้ออกว่าเราจะไม่แข่งกับคนอื่นในด้านไหนด้วยเพื่อที่จะได้รู้ว่าต้องให้ใครมาช่วย เช่น เราไม่เก่งบัญชี ก็ตัดงานส่วนนี้ออกให้คนอื่นมาทำ ถ้าไม่เก่งโอเปอเรชั่นก็ตัดออกแล้วหาพาร์ตเนอร์มาช่วยทำ ต้องมองให้ลึกและโฟกัสกับสิ่งที่เราทำได้  เพราะถ้าเราทำทุกอย่างจะสะดุดขาตัวเอง

แล้วคุณมองเห็นเทรนด์ว่าอะไรขายดีบ้างจากคลังสินค้าของคุณ

คำพูดว่าขายอะไรดี สิ่งนี้ควรเลิกถามเพราะถามไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าทุกคนบอกว่าทำสิ่งนี้แล้วดีแปลว่าเราอาจจะกำลังมาผิดทาง ย้อนกลับไปตอนที่เริ่มทำคลังสินค้าออนไลน์ คนก็คิดว่าเราโง่ ความจริงแล้ววันที่เราเริ่มทำบริษัท เราก็ไม่ได้ฉลาด เราไปเมืองจีนมาแล้วเห็นคลังแบบนี้ก็เลยทำตามเขา ตอนที่เราเห็นเป็นช่วงปี 2013-2014 เราเห็นว่าวันหนึ่งประเทศไทยต้องเป็นอย่างนี้แน่เลย คลังสินค้าใหญ่ๆ ที่พ่อเราทำ วันหนึ่งมันอาจจะกลายเป็นแบบนี้ เราไปเรียนอเมริกามา เราเคยเห็นภาพหอมหาวิทยาลัยที่นั่นมีลิฟต์ส่งของ แต่ย้อนกลับไปตอนปี 2013 ยังไม่มีใครนึกออกว่าลิฟต์จะใช้ส่งของได้ เราเห็นเทศกาล boxing day และ black friday ที่มีโปรโมชั่นให้คนช้อปปิ้งเยอะๆ เลยมองเห็นโอกาส

วิสัยทัศน์จึงเป็นสิ่งสำคัญในธุรกิจมากและที่เริ่มต้นจากธุรกิจที่บ้านเพราะมีพนักงานและคลังสินค้าอยู่แล้ว พอเราเริ่มต้นปุ๊บก็มีคนเก่งอยู่กับเราอยู่แล้ว เหมือนเราใช้ทางลัด เราอยู่เลเวล 100 อยู่แล้วและเอาทรัพยากรจากเลเวล 100 นั้นมาใช้ต่อ เราทำธุรกิจไม่ใช่เพราะเราเก่ง เราแค่เห็น ที่จริงไม่ต้องไปเมืองนอกก็ได้ แค่ศึกษาอ่านข่าวก็ทำให้มุมมองกว้างไกลขึ้นแล้ว

มองภาพธุรกิจ MyCloud Fulfillment ในอนาคตเป็นยังไง

จุดประสงค์ตั้งต้นที่เราเขียนไว้ตั้งแต่ปีเริ่มธุรกิจคือ อยากให้ธุรกิจ SMEs ไทยไปต่อได้ จัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตได้อย่างยั่งยืน และเราก็ยึดวิสัยทัศน์นั้นมาตลอด เรามองตัวเองเป็นเหมือนกระทรวงพัฒนา SMEs ที่ไม่ใช่แค่พัฒนาบริษัทแต่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ อยากมีพื้นที่คลังแบบนี้ให้สามารถเข้าถึงผู้ประกอบการมากขึ้น ทำไมแบรนด์ของใช้หรืออาหารของผู้ประกอบการรายเล็กบางเจ้าที่ทำได้ดีอยู่แล้วถึงแพ้เจ้าใหญ่ไม่กี่เจ้า ทำไมเขาไปต่อไม่ได้ มิชชั่นของเราคือการลดความเหลื่อมล้ำเหล่านี้ ทำให้โลจิสติกส์หรือคลังสินค้ามีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้มากขึ้น

นอกจากนี้เรายังมองไปถึงการพาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ อยากให้บริษัทนี้เป็นพาร์ตหนึ่งของประเทศแล้วมีหลายคนอยากเข้ามาทำงาน เรามองเห็นภาพบริษัทเป็นโลจิสติกส์แบบใหม่ ที่ผ่านมาโลจิสติกส์อาจเน้นขนส่งผ่านรถ เรือ ตู้ เครื่องบิน ในอนาคตมันอาจจะขนส่งผ่านโดรน ใช้ระบบที่ผ่านข้อมูลและผ่านคอมพิวเตอร์มากขึ้น แบบนี้มันยังไม่มี แล้วถ้าประเทศไทยไม่มี เราก็กำลังจะแพ้ เราเลยอยากมีโฟกัสหลักเป็นการซัพพอร์ตคนในประเทศไทยก่อน แล้ววันที่เราทำได้แข็งแรงมากพอถึงจะหยิบยื่นไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

ข้อมูลติดต่อ
Website : mycloudfulfillment.com
Facebook : facebook.com/MyCloud Fulfillment
Instagram : @MyCloud Fulfillment
โทร. 02-138-9920

วัฒนธรรมบุฟเฟต์หลากหลายชาติ ตั้งแต่สแกนดิเนเวีย คาสิโนในลาสเวกัส จนถึงร้านหมูกระทะไทย

ทุกวันนี้คำว่า ‘บุฟเฟต์’ ดูเป็นศัพท์สากลที่คนต่างชาติต่างภาษาต่างพากันเข้าใจความหมายของมันได้โดยไว โดยไม่ต้องมีใครอธิบายว่ามันหมายถึงการกินได้โดยไม่อั้นจนกว่าคุณจะอิ่มท้อง อยู่ที่ว่ากระเพาะของคุณจะใหญ่เล็กหรือกินได้มากน้อยเพียงใด

ย้อนเวลากลับไปในอดีต คำว่า บุฟเฟต์ ยังไม่ใช่ศัพท์สากลที่ทุกคนเข้าใจกันอย่างกว้างขวางเช่นทุกวันนี้ บางคนบอกว่าการกินแบบบุฟเฟต์มาจากอังกฤษในสมัยยุคศตวรรษที่ 18 โดยในงานเลี้ยงจะมีโต๊ะเฟอร์นิเจอร์เล็กๆ แบบฝรั่งเศส ที่ใช้สำหรับวางอาหารและเครื่องดื่มในระหว่างที่แขกผู้ร่วมงานกำลังเพลิดเพลินกับบทสนทนา แขกผู้ร่วมงานก็จะยืนรับประทานอาหารและวางจานอาหารไว้ที่โต๊ะเล็กๆ นี้ และจิ้มกินอาหารไปด้วย พูดคุยกันไปด้วย โดยว่ากันว่าการยืนกินในลักษณะแบบนี้เรียกว่า The usual stand-up buffet supper

แต่อีกส่วนหนึ่งของโลกก็ว่ากันว่าวัฒนธรรมการกินไม่อั้นนั้นมีจุดเริ่มต้นที่สวีเดนราวยุคศตวรรษที่ 16 เชื่อกันว่ากลุ่มคนที่เป็นพวกพ่อค้าและคนชนชั้นสูงของสวีเดนมีการจัดเตรียมอาหารเรียกน้ำย่อยเพื่อต้อนรับแขกคนสำคัญที่อาจจะเป็นคู่ค้า เพื่อนฝูง หรือแขกต่างบ้านต่างเมืองที่มาเยี่ยมเยือนก่อนที่จะถึงเวลามื้ออาหาร

และเจ้าอาหารเรียกน้ำย่อยที่จัดเตรียมไว้นี่แหละ คือที่มาของการกินบุฟเฟต์

อาหารเรียกน้ำย่อยที่จัดเตรียมไว้เหล่านี้ ชาวสวีเดนเรียกว่า brännvinsbord ประกอบไปด้วยขนมปังที่หั่นไว้แบบพอดีคำ ชีส เนย ปลา และเนื้อสัตว์รมควันต่างๆ เสิร์ฟเคียงคู่ไปกับแอลกอฮอลล์ที่ให้ดื่มเรียกน้ำย่อยแบบไม่อั้น ผู้คนจะเดินมาหยิบกินเมื่อไหร่และมากเท่าไหร่ก็ได้ โดยการเสิร์ฟอาหารเรียกน้ำย่อยเหล่านี้เปรียบเสมือนการเปิดโอกาสให้เหล่าแขกทั้งหลายได้มีโอกาสยืนและพบปะพูดคุยกันก่อนที่มื้ออาหารจะเริ่ม

โดยปกติแล้วอาหารเรียกน้ำย่อยจะเสิร์ฟก่อนที่มื้ออาหารจริงๆ จะเริ่มสัก 2-5 ชั่วโมง และในบางกรณีก็จะจัดแยกห้องชาย-หญิงด้วย จึงมักจะเป็นโอกาสที่ดีที่แขกในงานจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้ ทั้งอาหารเล็กน้อยอุ่นท้องก่อนมื้ออาหารใหญ่ และทั้งแอลกอฮอล์ที่เสิร์ฟแบบเบาๆ พอให้ทุกคนได้ผ่อนคลาย

กระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 18 การเสิร์ฟอาหารเรียกน้ำย่อยแบบ  brännvinsbord ถูกเปลี่ยนเป็นการเสิร์ฟอาหารที่เรียกว่า smörgåsbord โดยเจ้า smörgåsbord ถูกปฏิบัติให้เป็นหนึ่งในอาหารที่เสิร์ฟในมื้ออาหาร เป็นการเสิร์ฟอาหารแบบให้ผู้คนเลือกหยิบจับคู่ของอาหารต่างๆ ที่วางเรียงรายอยู่เพื่อรับประทานเอง ก่อนการเสิร์ฟอาหารมื้อหลัก โดยเจ้า smörgåsbord มักประกอบไปด้วยปลาหมักเกลือ ไข่ ผักและผลไม้

ก็เลยกลายเป็นว่า อาหารเรียกน้ำย่อยที่มีแอลกอฮอล์ที่เคยเสิร์ฟให้กินแบบไม่อั้นก่อนมื้ออาหารเริ่ม 2-5 ชั่วโมง ได้รับความนิยมจนเป็นหนึ่งในการเสิร์ฟอาหารที่ชาวสวีเดนหลงรักจวบจนทุกวันนี้

นอกจากในงานเลี้ยงสังสรรค์ของพ่อค้าวาณิช รูปแบบการจัดเลี้ยงอาหารเรียกน้ำย่อยแบบ smörgåsbord ได้แพร่หลายไปยังห้องอาหารโรงแรมและห้องอาหารสถานีรถไฟในสวีเดนในเวลาต่อมา และยังคงคอนเซปต์ให้แขกผู้เข้าพักหรือลูกค้าสามารถมาเลือกตักอาหารต่างๆ ทั้งปลารมควัน ไข่ ผลไม้ได้เองตามชอบใจ

จนกระทั่งในปี 1912 ปีที่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกถูกจัดขึ้นที่สตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน นอกจากการจัดแข่งกีฬาระดับโลกครั้งนี้จะเป็นการเปิดประตูรับนักกีฬาและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสู่ความงดงามของประเทศสวีเดนแล้ว คนที่เดินทางมาจากทุกสารทิศทั่วโลกยังมีโอกาสได้เห็นและเรียนรู้วัฒนธรรมต่างๆ ของคนสวีเดนด้วย รวมทั้งการเสิร์ฟอาหารแบบ smörgåsbord ซึ่งเป็นที่ถูกอกถูกใจคนหลายชาติหลายภาษาที่ได้มาเยี่ยมเยือนสวีเดนในคราวนั้น 

ปี 1939 การเสิร์ฟอาหารแบบ smörgåsbord ได้บินไกลมาทักทายคนอเมริกันถึงประเทศในงาน World Fair ที่จัดขึ้นที่นิวยอร์กในซุ้มของประเทศสวีเดน หรือ Swedish Pavillian เท่ากับว่าคนอเมริกันได้รู้จักการกินแบบให้คนเดินมาตักอาหารกินเองแบบเรื่อยๆ และคนสามารถมิกซ์แอนด์แมตช์อาหารที่วางรายอยู่ตรงหน้าได้เองโดยอิสระ

ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานปรากฏแบบแน่ชัดว่ามีลูกจ้างของร้านอาหารหนึ่งในคาสิโนของเวกัสมาร่วมงาน World Fair ที่นิวยอร์กหรือไม่ แต่ในช่วงปี 1940 ร้านอาหารหนึ่งในลาสเวกัสที่ชื่อว่า El Rancho Vegas ได้ทำการเสิร์ฟอาหารแบบ smörgåsbord ให้เป็นแบบบุฟเฟต์ หรือเสิร์ฟแบบไม่อั้น จัดอาหารวางเรียงรายอยู่ตรงบริเวณในร้านและให้ลูกค้าสามารถเดินมาตักอาหารเองได้ตามใจชอบขึ้น ซึ่งก็ถือเป็นร้านอาหารแห่งแรกในอเมริกาที่ขายอาหารแบบบุฟเฟต์ 

และผลตอบรับของการขายอาหารแบบ smörgåsbord ก็ดีเกินคาด ต่อมาจึงมีการขายบุฟเฟต์แบบจริงจัง คือมีการใส่อาหารชนิดอื่นเข้าไปด้วยที่เรียกว่า The Buckaroo Buffet ในคาสิโนที่ลาสเวกัส ขายในราคาเพียงหัวละ 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น การขายแบบบุฟเฟต์เต็มรูปแบบคราวนี้ของร้านอาหารในคาสิโนได้รับการตอบรับที่ดีเช่นเคยจนทำให้คาสิโนได้เงินลดลง (ในช่วงเวลาที่คนพากันออกมากินบุฟเฟต์) แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ตรงที่คนตะลุมบอนมากินบุฟเฟต์ แล้วทำให้คนหายจากโต๊ะคาสิโน (เพราะสุดท้ายเขาเหล่านั้นก็กลับมานั่งเล่นพนันที่โต๊ะคาสิโนอยู่ดีหลังกินเสร็จ) ประเด็นสำคัญของการขายบุฟเฟต์หรือการนำร้านอาหารที่ว่าดีที่ว่าเด่น หรือที่ว่าดังมาไว้ในคาสิโนคือ การดึงดูดให้คนใช้เวลาอยู่ในคาสิโนให้ได้มากที่สุด 

เพราะการคนที่ใช้เวลาอยู่ในคาสิโนมาก หมายความว่า คนเหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะเล่นพนันในคาสิโนมากขึ้น ดังนั้นอาหารจึงเป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กที่ใช้ดึงดูดคนให้อยู่ในคาสิโน 

และการขายอาหารแบบบุฟเฟต์คือหนึ่งในแม่เหล็กก้อนนั้นที่ทำให้คนแห่พากันมาที่คาสิโน

ตัดภาพมาที่สยามประเทศแห่งอุษาอาคเนย์ ดูเหมือนกับว่าประชาชนบ้านเรารักการกินบุฟเฟต์กันแบบไม่ต้องสงสัย สังเกตได้จากความนิยมของการเปิดร้านอาหารบุฟเฟต์ในประเทศไทยที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดตั้งแต่ร้านอาหารบุฟเฟต์แบบพรีเมียมตามโรงแรมห้าดาว ไปจนถึงบุฟเฟต์ที่หากินได้ทั่วไปแบบบ้านๆ แบบบุฟเฟต์หมูกระทะที่จ่ายได้ในราคาสบายกระเป๋าเพียงมื้อละไม่ถึง 200 บาท

ไม่ว่าบุฟเฟต์จะถูกเสิร์ฟที่ไหนก็ตามบนโลก จุดร่วมที่ดูคล้ายคลึงกันของโลกตะวันตกและตะวันออกคือ การกินบุฟเฟต์นั้นอนุญาตให้เราได้บริหารความคิดสร้างสรรค์และได้ลองในสิ่งที่หลากหลาย อาหารบางอย่างบางชนิดถ้าให้สั่งมาลองเองกับตัวแบบเต็มปริมาณเราก็คงจะไม่สั่ง แต่ถ้ามาในรูปแบบบุฟเฟต์เราอาจจะอยากลองตักมาชิมดูสักชิ้นสักคำ แถมยังเป็นการเปิดโอกาสให้ได้ผสมปนเปเมนูที่รักชอบได้แบบไร้ขีดจำกัดอีกต่างหาก

นอกจากการได้บริหารความคิดสร้างสรรค์ ได้เลือกที่รักมักที่ชัง คือตักแต่อาหารแบบที่ชอบ ไม่ตักอาหารแบบที่ไม่ชอบแล้ว การกินบุฟเฟต์ยังดูเป็นสวรรค์ของคนกินจุ เพราะคุณสามารถจ่ายเงินในราคาเดียวกันกับที่คนกินน้อย แต่คุณสามารถกินมันอย่างไม่อั้นจนอิ่มท้องได้ นี่คงจะเป็นหนึ่งในจุดแข็งที่สุดที่ทำให้วัฒนธรรมการกินบุฟเฟต์ฟุ้งกระจายไปไกลทั่วโลก

จะการกิน cold cut และชีสบอร์ดแบบไม่อั้นที่สวีเดนหรือกินบุฟเฟต์ขาปูทะเลที่ลาสเวกัส หรือปิ้งย่างหมูกระทะแบบไม่อั้นที่เมืองไทย เชื่อว่าคุณจะได้อิ่มทั้งท้องอิ่มทั้งหัวใจเมื่อได้กินอาหารมื้อที่คุณชอบในแบบที่คุณคิดว่าใช่ ที่บุฟเฟต์อนุญาตให้คุณได้สร้างสรรค์ออกแบบมื้ออาหารเองได้แบบตามใจชอบ

อ้างอิง

ร้องไห้บ้างบางคราว Crybaby ศิลปะการสัมผัสหัวใจ ในอาร์ตทอยระดับปรากฏการณ์ 

Everybody/Cries/Sometimes

‘เราร้องไห้บ้างในบางคราว’ เป็นประโยคที่เราฟังครั้งแรกก็รู้สึกเข้าอกเข้าใจได้ ประโยคนี้เองเป็นชื่อนิทรรศการ Everybody/Cries/Sometimes นิทรรศการเดี่ยวครั้งที่ 2 ของเจ้า Crybaby หนึ่งในคาแร็กเตอร์ระดับปรากฏการณ์ของวงการอาร์ตทอย โลกของของเล่นที่ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของเด็กแต่เป็นงานสะสม ผลงานออกแบบในฐานะงานศิลปะรูปแบบหนึ่ง 

ถามว่า Crybaby เป็นปรากฏการณ์ประมาณไหน คือวันเปิดนิทรรศการวันแรกก็มีคนต่อคิวเข้าชมและกวาดสินค้าไปแทบจะหมดภายในวันแรก เจ้าเด็กน้ำตานองหน้าเป็นผลงานของศิลปินไทยเพียงคนเดียวที่ทำงานร่วมกับ POP MART และเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้า Crybaby การครอบครองน้ำตานองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลงานล็อตก่อนหน้ามีการรีเซลกันในราคาที่พุ่งทะยานไม่แพ้คาแร็กเตอร์อื่นๆ ที่ร่วมวงการ

แล้วเจ้าเด็ก(?) น้ำตานองนี้มีเสน่ห์ตรงไหน ทำไมถึงได้บุกเข้าไปครองใจตลาดจีนอันยิ่งใหญ่และกลายเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ผู้ผลิตและจำหน่ายของเล่นที่มีพื้นที่การขายทั่วโลก อะไรคือพลังพิเศษของ ‘มอลลี่’ หรือ มด–นิสา ศรีคำดี หนึ่งในศิลปินและนักออกแบบสาวไทยที่ฮอตและนับได้ว่าประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่ง

ในโอกาสที่ Crybaby กลับมาเปิดนิทรรศการเดี่ยวเป็นครั้งที่ 2 กับความสำเร็จในวงการศิลปะและโลกที่เราเรียกว่าอาร์ตทอย หนึ่งในพื้นที่การบริโภคใหม่ในนามของศิลปะและการสะสม เราจึงชวนมอลลี่เปิดสตูดิโอพูดคุยสำรวจความหมายของน้ำตา การสร้างผลงาน และการยืนระยะจากความรักไปสู่การงานและการทำธุรกิจ จากความซับซ้อนของความรู้สึกสู่การสื่อสารที่เรียบง่ายแต่สัมผัสใจ และประเด็นเรื่องการกลับมาสู่พื้นที่กายภาพที่เปิดพื้นที่ที่เปิดการร้องไห้ให้เป็นเรื่องธรรมดา

ทุกคน/ร้องไห้/บ้าง 

นิทรรศการครั้งนี้อธิบายความเป็น Crybaby ยังไงบ้าง

นิทรรศการครั้งแรก (Cry Me A River ในปี 2022) เราพูดในเรื่องที่เล็ก คือเริ่มที่ตัวเรา ค่อนข้างให้ภาพว่า Crybaby เป็นอะไร เป็นการจุดประกายให้ทุกคนตระหนักว่า ‘เราเองก็ร้องไห้แล้วมันโอเค’ ในครั้งนี้เราอยากพูดให้ไกลกว่านั้น คือใครๆ ก็ร้องไห้ ฉันก็ร้องไห้ เธอก็ร้องไห้ พวกเราทุกคนก็เช่นกัน เป็นขั้นที่ไม่ใช่แค่บอกตัวเราเองแล้วว่ามันโอเค แต่เป็นการปลอบใจกันและกันด้วย

งานนิทรรศการรวมถึง Crybaby พูดถึงเรื่องการร้องไห้ แต่ไม่ได้อยากให้คนมาเห็นงานแล้วเศร้า เราพูดถึงการร้องไห้ก็จริง แต่ไม่ได้บอกว่าต้องจมอยู่กับการเศร้า การร้องไห้เป็นกระบวนการของการปลดปล่อย พอเราร้องไห้แล้วรู้สึกดีขึ้น ร้องไห้เพื่อที่เราจะได้ก้าวผ่านมันไป เพื่อที่เราจะได้เข้าใจความรู้สึกตัวเองมากขึ้น

เราพูดถึงผลลัพธ์ของการร้องไห้ ตรงนี้เป็นเป้าหมายของเรามากกว่า เราพูดถึงข้อดีของการร้องไห้ ในขณะเดียวกันเราก็เคารพเหตุผลและอารมณ์ของการร้องไห้ที่หลากหลาย เราต่างร้องไห้ด้วยหลายเหตุผล การร้องไห้เองก็มีหลายรูปแบบ

Crybaby/ไม่/เป็นอะไร

ทำคาแร็กเตอร์ที่เกี่ยวกับน้ำตา เพราะเป็นคนอ่อนไหวหรือเปล่า

คนคิดว่าเราทำ Crybaby เพราะเราเป็นคนขี้แย แต่จริงๆ คือไม่ เราเองเป็นคนหนึ่งที่ติดอยู่ในกรอบสังคม คือห้ามแสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็น เราเป็นพี่คนโต เราถูกเลี้ยงให้ต้องเข้มแข็งตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เรามีความรู้สึกอะไรมากมาย เราต้องกดความรู้สึกอะไรทั้งหลายเอาไว้ เราแสดงว่าเราไม่เป็นไรเพราะถ้าเราเป็นอะไร มันไม่มีใครปลอบใจเรา ดังนั้นเราต้องเข้มแข็งเพื่อที่จะผ่านมันไปให้ได้ เราเลยรู้สึกว่าเราสร้าง Crybaby ให้มันร้องไห้แทนเรา

เรามีคำถามตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เวลาที่ร้องไห้ ผู้ใหญ่พ่อแม่จะดุ จะห้ามไม่ให้เราร้องไห้ ให้เราเงียบ เราก็เลยสงสัยเสมอว่าทำไมเราถึงร้องไห้ไม่ได้ พอโตขึ้น ความรู้สึกซับซ้อนมากขึ้น จากการร้องไห้จากความต้องการพื้นฐาน เราพบว่าการร้องไห้ไม่ใช่การเสียใจ มันมีทั้งความตื้นตันใจ ปีติยินดี 

ทีนี้ เราค่อนข้างหลงใหลในน้ำตา ช่วงที่เป็นนักศึกษาเรามีเป็นเหมือนไดอารีแต่ใช้วิธีการวาดรูป พอไปเจอเรื่องราวอะไรที่กระทบความรู้สึกหรือกระเทือนจิตใจ ก็จะกลับมาวาดลงในไดอารี ในตอนนั้นวาดเป็นตัวกระต่าย คือเป็น Rabbit Cry ยังไม่เป็นตัวเบบี้ในปัจจุบัน แต่มีน้ำตาเม็ดเป้งเหมือนกัน

Crybaby/เป็น/อะไร 

คาแร็กเตอร์ที่เราสร้างขึ้นมาตั้งใจให้มันเป็นอะไร

จำไม่ได้เลย ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจออกแบบให้เป็นอะไร คือมันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง ตอนนั้นมันเป็นเหมือนไดอารี เป็นบันทึก ตัวมันเองเลยเป็นเหมือนอินเนอร์ เป็นความรู้สึก เป็นความชอบ แล้วเราก็วาดมันออกมา

จริงๆ Crybaby ไม่เชิงเป็นเบบี้ ตัวมันเองไม่ได้สื่อเป็นรูปธรรม แต่ค่อนข้างเป็นนามธรรมมากๆ ที่จริง Crybaby ไม่ได้มีเพศ ไม่ได้เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย อันที่จริงไม่ได้เป็นแม้แต่มนุษย์ด้วยซ้ำ Crybaby เป็นอะไรก็ได้ 

ตอนที่เราสร้าง Crybaby ขึ้นมาตัวแรก ตอนแรกเราไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นอะไรทั้งสิ้น เราแค่ตื่นมาแล้วมีเวลา คือโดยส่วนตัวเป็นคนชอบงานประดิษฐ์ คอลเลกชั่นแรกที่ทำคือทำมือ ไม่ได้สเกตช์ลงกระดาษด้วยซ้ำ เคยมั้ย มีความรู้สึกว่าเราต้องทำอะไรสักอย่าง จำได้วันที่ทำคือเราตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าต้องทำ ทำไมฉันไม่ทำ ลุกขึ้นมาก็ทำเลย กลายเป็นว่าจากวันที่ลุกขึ้นมาเราทำมันมาตลอด 2 เดือนโดยที่หยุดไม่ได้

Crybaby/เป็น/Art Toy

อาร์ตทอยถือว่าค่อนข้างใหม่ คาแร็กเตอร์กลายเป็นอาร์ตทอยได้ยังไง

ในตอนนั้นไม่ได้คิดว่าต้องทำเพื่ออะไร หมายถึงทำเป็นอาร์ตทอยหรืออะไร ใจบอกว่าให้ลุยให้ทำ พอทำเสร็จถึงพอรู้ว่า โอเค คนไทยก็มีอาร์ตทอย แต่ไม่ทันได้รู้ลึกว่ามีตลาดแบบระดับต่างประเทศจริงจัง คือเราไม่รู้เลย ตอนนั้นเราโพสต์รูปตัวโปรโตไทป์ลงไอจี พอดีเห็นเขาติดแฮชแท็กเราก็ติดด้วย ตอนนั้นมีผู้หญิงจีนเห็นแล้วก็ดีเอ็มมาว่าเมื่อไหร่จะขาย ขายเมื่อไหร่บอก เราเองก็ไม่ได้คิดเรื่องขาย

ผ่านไปหลายเดือนเราก็เริ่มศึกษาจนรู้คร่าวๆ บางส่วน ก็เลยตัดสินใจขาย พอลงขายมีคนเห็นแล้วก็เลยเอารูปนั้นไปโพสต์ในกรุ๊ปแชตที่จีน ก็เลยบูมเกิดเป็นกระแสขึ้นมา 

โอเค ถ้าจะนิยามว่า Crybaby เป็นอาร์ตทอยตั้งแต่ตอนนั้นเลยก็ถูกต้อง ถึงเราจะไม่ได้ตั้งใจให้เป็นหรือไม่เป็นอะไร แต่ถือว่ามันไปโลดแล่นในวงการเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเราก็ไม่ได้รังเกียจอะไรกับคำว่าของเล่น ตอนเด็กมีความฝันด้วยซ้ำว่าโตขึ้นจะเป็นทอยดีไซเนอร์ คือตัวเองหลงใหลในงานคราฟต์ ทำตุ๊กตาไปแจก ออกแบบคาแร็กเตอร์ มองย้อนไปคือเราชอบแจก ส่วนนึงคือหลงใหลในคาแร็กเตอร์ญี่ปุ่น รายการแบบทีวีแชมป์เปี้ยน มันจะมีมาสคอตน่ารักๆ หรืออะไรเล็กๆ เราชอบแล้วก็ทำ ทำแจกเพื่อน  ไม่ได้คิดว่าเป็นอะไรได้ในอนาคต แค่ว่าเราชอบ

POP MART/ขาย/Crybaby 

ทำไมถึงได้ร่วมงานกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง POP MART

POP MART แวะเวียนมาตั้งแต่ปีแรก ปี 2017 POP MART เริ่มมาทักทายเรื่อยๆ จนประมาณ 3 ปีถึงได้ร่วมงานจริงจัง เป็นช่วงก่อนโควิดพอดี คือเซ็นสัญญาช่วงก่อนมีโควิด การออกงานเลยเลื่อนออกมานิดนึง

POP MART เป็นบริษัทที่ใหญ่มาก ค่อนข้างมีความเป็นมืออาชีพสูง มีหลายฝ่าย เขาก็ส่งทีมงานมาติดต่อ งานแรกเป็นโปรดักต์ที่เป็นฟิกเกอร์น้องที่นอน ตัวกล่องสุ่มแรกเป็น Crying in The Woods ปัจจุบันกล่องสุ่มออกมา 4 ซีรีส์

การทำงานเดิมเราจะออกงานเป็นช่วง พอเป็นกล่องสุ่มเราต้องออกพร้อมกัน 13-14 ดีไซน์ เป็นซีรีส์เดียวกัน ทีนี้แต่ละตัวเราก็ต้องใส่สตอรีหรือใส่สีให้เป็นทิศทางเดียวกัน การทำกล่องสุ่มคล้ายๆ ทำนิทรรศการเดี่ยว ทำงานช่วงแรกเราก็ต้องเรียนรู้ระบบการทำงานเหมือนกัน มีการเอาไปขึ้น 3 มิติ เราก็ต้องดูว่าขั้นตอนไหนเราทำอะไรได้ ช่วงไหนแก้ได้แก้ไม่ได้ 

ตัวกล่องสุ่มชุดแรกนานหน่อย ใช้เวลาประมาณหนึ่งปี เพราะเรายังไม่มีโมเดลของกล่องสุ่ม หรือรูปแบบคอนเซปต์ต่างๆ เพื่อวางเป็นแกนหลักไว้สำหรับซีรีส์ถัดๆ ไป

ถามว่าทำงานกับแบรนด์ใหญ่เราเปลี่ยนไหม คิดว่าเปลี่ยน จริงๆ เราเองก็ค่อนข้างดื้อ มีความเป็นตัวของตัวเอง การทำงานก็ต้องปรับจูนเหมือนกัน อาทิ ทาง POP MART เองมีการเอาข้อมูลบางอย่างเช่นข้อมูลทางการตลาดหรือสถิติมาช่วยปรับแก้งานของเรา จริงๆ ตรงนี้เราเลือกได้ว่าจะปรับไหม แต่ก็ทำให้เรารู้จักประนีประนอมมากขึ้น คือเราก็ยังดื้ออยู่แต่ก็ประนีประนอม

นิทรรศ/การ/Cry

การเปลี่ยนจากตัวงานออกแบบเป็นชิ้นๆ เป็นพื้นที่กายภาพอย่างนิทรรศการ วิธีคิดเปลี่ยนไปยังไงบ้าง

คือถ้ามองบันไดในการทำงาน ขั้นแรกเราได้ทำทอย ขั้นที่สองเราเป็นที่รู้จัก ขั้นที่สามได้ทำกับ POP MART คือเป็นสเกลที่โตขึ้นมีพื้นที่ขายทั่วโลก ถัดจากนั้นคือเราก็ถามตัวเองว่าอยากทำอะไรต่อ ก็ทำนิทรรศการสิ 

นิทรรศการเป็นพื้นที่ที่คนทั่วไปมาสัมผัสได้ ไม่ใช่แค่คนซื้อ เป็นพื้นที่ที่เราสามารถส่งเมสเซจถึงคนทั่วไปได้ พอปีแรก (2022) ก็กระแสดีมากๆ พอปีที่ 2 เราก็อยากทำให้มันขยายใหญ่ขึ้น

ถ้าสังเกตงานนิทรรศการเราจะไม่มีแผงกั้น ไม่มีที่ครอบ จบงานทุกครั้งเราต้องซ่อมงานทั้งตัวสคัลป์เจอร์หรือภาพวาด ความใกล้ชิดกับงานเป็นเงื่อนไขที่เราจะบอกทั้งผู้ซื้องานหรือแกลเลอรีไว้ก่อนเลย คือเราอยากให้คนมาดูสามารถเข้าใกล้งานให้ได้ง่ายที่สุด

เราทำงาน เพนต์งานออกมาอย่างจริงใจ เราไม่อยากให้มีอะไรมาขัดขวาง ให้คนเข้าไม่ถึง ให้มีพื้นที่มากีดกันคนออกจากตัวงาน ในการชมงานเราขอความร่วมมือ ไม่ได้อยากให้จับงานขนาดนั้น แต่บางอย่างเช่นสคัลป์เจอร์ก็จับได้บ้าง

ชิ้นงานบางตัวเราสร้างมันมาสำหรับการจับ ให้ขยำขยี้ได้ เช่นงานครั้งนี้เป็นน้องตัวใหญ่ หรือม็อกอัพเป็นเฟอร์ เป็นขนนิ่มๆ เราอยากให้เขาได้มากอดมัน มากอดน้ำตา อย่างเตียงข้างล่างที่เป็นเตียงใหญ่ 14 เมตร ถ้าไปเหยียบจะเจอว่ามันนิ่ม

เราสร้างพื้นที่ขึ้นมาให้คนมาเอนกาย มาพักสักครู่ เหมือนเราบอกให้รู้ ให้ทุกคนได้รู้สึกว่าได้มาร้องไห้อย่างสบายๆ

งานครั้งนี้นับว่าเหนื่อยมากๆ เหนื่อยที่สุดนับตั้งแต่เกิดมา เราทำโปรแกรม นิทรรศการทุกจุดเราคิดหมด พรมหรือรอยสักที่ป้ายไปตามพื้นเราก็หาวิธีทำ งานนี้เหมือนเอาตัวเราครึ่งนึงไปใส่ไว้ เอาวิญญาณไปใส่ไว้เลย

ของเล่น/เป็น/ศิลปะ

อาร์ตทอยเองมีความซับซ้อน ตกลงแล้วสำหรับมอลลี่ อะไรคือคำว่าอาร์ตในอาร์ตทอย

มันมีอะไรแบบนี้เหมือนกัน งานเราเริ่มจากการเป็นแค่ของเล่น มีคนบอกว่าถ้าอยากไปไกลก็ควรจะเลิกทำทอย มันเป็นงาน mass production แต่เรารู้สึกว่าเราดื้อ เราอยากจะเป็นคนแรกที่ทำให้เห็นว่าของเล็กๆ เรื่องเล็กๆ แบบนี้ก็คืองานศิลปะเหมือนกัน ศิลปะไม่ควรจะมีขอบเขต คือทุกวันนี้รู้สึกว่าคนก็เปิดรับนะ การที่งานศิลปะที่ถูกบรรจุอยู่ในอะไรเล็กๆ เป็นความเล็กๆ น้อยๆ ที่เข้าถึงผู้คนได้ 

ศิลปะไม่ควรถูกจำกัดด้วยแมตทีเรียล มันควรจะเปิดกว้างกว่านั้น เราว่าศิลปะมันเป็นสิ่งที่เราใช้เปิดไปสู่อะไรสักอย่าง การมาจำกัดว่าอันนี้เป็นหรือไม่เป็นศิลปะอาจจะไม่แฟร์เท่าไหร่

ในแง่ของพื้นที่เช่นแกลเลอรี ถ้าเทียบจากปีที่แล้วมาปีนี้คือมันเปลี่ยนเยอะมาก มีกลุ่มผู้สนใจเยอะขึ้นมาก ศิลปะก็ดูเหมือนจะเข้าถึงได้มากขึ้นมาก การเปลี่ยนแปลงอาจจะมาจากอะไรเล็กๆ ได้

สำหรับเราความรู้สึกเบื้องต้นแค่ว่า อันนี้น่ารัก สำหรับเราแค่นี้คือประสบความสำเร็จในระดับนึงแล้ว แล้วก็มีหลายๆ คนที่ส่งข้อความมาหาเราว่าเขาเคยอยู่ในภาวะซึมเศร้า พอเขาเห็นตัวนี้ครั้งแรกแล้วเขาไม่ได้รู้สึกเศร้า แต่เขารู้สึกว่าตัวเขามีคนร้องไห้เป็นเพื่อน เหมือนมันช่วยเยียวยาในส่วนหนึ่ง เรารู้สึกว่าอันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ แล้วมันก็ได้ผล ตัว Crybaby มันมีอิทธิพลในทางที่ดีต่อผู้คน 

คือเราไม่ได้คาดหวังอะไรใหญ่โต งานเราไม่ได้พูดเรื่องอะไรยิ่งใหญ่ แต่พูดถึงสิ่งเล็กๆ ที่อยู่ในตัวผู้คน ความรู้สึกเล็กๆ เช่นว่าการร้องไห้ง่ายๆ หรือความอ่อนแอวูบเดียว การเปิดไปสู่สิ่งเล็กๆ ที่เรามองข้ามไป หรือเปิดพื้นที่สาธารณะที่โอเคกับการแสดงความรู้สึก กับความเศร้า ก็เป็นการเปิดไปสู่อะไรบางอย่างของมนุษย์ด้วย

ตัว Crybaby มันมีความเรียบง่าย ตรงไปตรงมา คือความรู้สึกความคิด และจิตใจของมนุษย์มันซับซ้อนอยู่แล้ว ตัวคาแร็กเตอร์หรือนิทรรศการ คือการคลี่คลายความรู้สึกที่ซับซ้อนลงมาในระดับนึง 

ความรัก/เป็น/งาน

จากที่เราทำ Crybaby จากความรัก ตอนนี้กลายเป็นงาน เป็นธุรกิจแล้ว ความรักมีปัญหาไหม

เราโชคดีตรงเราเอาความรักเป็นที่ตั้ง และเราโชคดีที่พอเราทำสิ่งที่รักแล้วมีคนบริโภค ทุกอย่างของ Crybaby เริ่มจากความรักล้วนๆ คือในแง่การเป็นธุรกิจ เราเจอมาเยอะเหมือนกัน มายด์เซตของการทำธุรกิจก็สำคัญ คือเป็นเรื่องทำมาหากินก็มีเรื่องเงิน เรื่องงาน แต่ด้วยความที่ตอนทำ Crybaby เป็นช่วงวัยที่ค่อนข้างพร้อมในการรับมือเรื่องธุรกิจ ก็เลยค่อนข้างเป็นไปโดยอัตโนมัติ 

เราอาจเริ่มด้วยใจรัก แต่ก็กลับมาสู่เรื่องการงาน การที่เราทำงานมันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่มันมีเรื่องอื่น คนอื่น สิ่งที่ยากที่สุดคือการไปเกี่ยวข้องกับผู้คน ก็มีบ้างที่ไม่ไหว แต่อย่างที่บอก พอมันมีความรักเป็นที่ตั้ง มันก็ทำต่อเอง

ยกตัวอย่างปัญหามีตั้งแต่ที่ไปผลิตของที่จีนแล้วไม่ได้ตามสเปก มีโดนโกงบ้าง ขายของโดยที่เราไม่รู้ คือขายลับหลัง ทำของออกมาแล้วพังระหว่างจัดส่ง วัตถุดิบต้องนำเข้าแล้วก็ต้องหาคนไปหิ้วมา จริงๆ มีปัญหาเยอะมาก หรือช่วงที่เริ่มทำบริษัทและช่วงเริ่มทำงานกับ POPMART แล้วเจอโควิดก็สำคัญ ช็อกไปเลยปีนึง ไปจีนก็ไม่ได้ ไปดูโรงงานไม่ได้ ไม่ได้เห็นคุณภาพโรงงาน ช่วงนั้นนับว่าธุรกิจมีปัญหาเลย พองานไม่ได้ คุณภาพไม่ได้ก็เลยมีปัญหาต่อเนื่องทั้งกับลูกค้า พวกนี้บางส่วนมาจากโควิดด้วย

โชคดีของเราอีกอย่างคือเราได้หุ้นส่วนดี เป็นกอล์ฟกับกอล์ฟที่ชื่อเหมือนกันอีกต่างหาก ทั้งสองคนก็จะดูแลในส่วนที่พี่ไม่เก่ง เช่น ดูเรื่องเงิน ภาษี และเอกสาร ส่วนอีกคนก็ช่วยดูงานผลิตหรืองานครีเอทีฟ ติดต่อประสานงาน

ตรงนี้ด้วยวัย ประสบการณ์ แรงใจ และผู้สนับสนุน ช่วยให้เราผ่านสิ่งต่างๆ ไปได้จริงๆ ทั้งในแง่ธุรกิจหรือในฐานะคนคนนึง

หลัก/การ/พื้นฐาน

อยากให้สรุปความเชื่อมั่นต่อ Crybaby และให้คำแนะนำกับคนที่อยากทำงานทั้งทางอาร์ตทอยและงานศิลปะให้อยู่รอด

เราเชื่อว่า Crybaby พูดถึงเรื่องใหม่ หนึ่ง คือพูดในสิ่งที่คนอาจจะไม่ได้พูดถึงมันมาก่อน สอง คือ Crybaby พูดถึงสิ่งที่ใกล้ตัวเรามากๆ เป็นอารมณ์ความรู้สึก เป็นเรื่องที่อยู่ในตัวเรา ตัวมันเองเลยน่าจะเข้าถึงสัมผัสใจผู้คนได้ สาม คือด้วยแรงผลักดันของส่วนธุรกิจและคู่ธุรกิจเช่น POP MART หรือทางแกลเลอรี ทั้งหมดนี้ก็จะเป็นแรงช่วยผลักดันให้ไปไกลมากขึ้นได้

เราคิดว่าถ้าเราทำงานให้ดี ให้โดดเด่น หาจุดที่ไม่ซ้ำใคร คือแบรนด์จะเห็นไม่เห็น สักวันนึงก็จะมีคนมาเห็นเราเอง สำหรับเราคิดว่าไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรือเรื่องอะไรก็ตาม การเลือกทำในสิ่งที่เรารู้จัก รัก และไม่ซ้ำใคร เราว่าอันนี้มันต้องได้ดี

เต่าเหยียบโลก แบรนด์ไทยที่จริงจังกับการทำโปรดักต์ระงับกลิ่นกายที่ยืนระยะด้วยคุณภาพ

จะมีสักกี่แบรนด์ที่ไม่ต้องอธิบายใดๆ เพียงแค่เห็นหน้าตาบรรจุภัณฑ์ก็รู้เลยทันทีว่าเป็นแบรนด์อะไร

และจะมีสักกี่แบรนด์ที่กล้าใช้คำโฆษณาที่ว่า ‘รับประกันความพึงพอใจ เห็นผลภายใน 1 วัน’ ได้อย่างมั่นใจ และไม่เกินจริงอย่างแบรนด์ที่เรากำลังจะพูดถึงในคอลัมน์ Brand Belief  ตอนนี้

เต่าเหยียบโลก แบรนด์ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายจากสมุนไพรที่เป็นผู้บุกเบิกตลาด ‘แป้งระงับกลิ่นกาย’ เจ้าแรกๆ ของไทยที่อยู่คู่คนไทยมาเกือบ 30 ปี

แป้งผงในขวดสีเหลืองที่หน้าตาดูออกจะบ้านๆ ธรรมดาๆ มาพร้อมกับโลโก้เต่าเหยียบลูกโลก ขายในราคาหลักสิบ เติบโตจากคุณภาพ และพลังจากการบอกต่อของผู้ใช้จริงในเว็บพันทิปเมื่อสิบปีก่อน 

จากจุดเริ่มต้นธุรกิจอย่างจริงจังในวัย 40 ของ สมชาย จันทิพย์วงษ์ ที่คลุกคลีกับสมุนไพรและเป็นนักปรุงยาในร้านขายยามากว่ายี่สิบปี ตอนนี้ส่งไม้ต่อมายังทายาทรุ่นสองของเขาทั้งสามคน ที่กำลังช่วยกันปลุกปั้นแบรนด์เต่าเหยียบโลกให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับความฝันใหญ่ด้วยการเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายอันดับ 3 ของประเทศ

อะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จของเต่าเหยียบโลกที่ขายแค่แป้งระงับกลิ่นกาย แต่ ณ ตอนนี้สามารถสร้างรายได้หลักร้อยล้านบาท

สมชาย จันทิพย์วงษ์ ผู้ก่อตั้ง และ วิศรุต จันทิพย์วงษ์ ลูกชายคนเล็กผู้เป็น​ทายาทรุ่นที่สองของบริษัท ไทย เฮิร์บ เอนเตอร์ไพรซ์ จำกัด รอให้คำตอบอยู่ที่โรงงานย่านสุขสวัสดิ์ที่อยู่ด้านหน้าเราตรงนี้แล้ว

จากลูกจ้างปรุงยาสู่เจ้าของธุรกิจ

แม้หมอดูหลายๆ คน จะดูดวงและบอกกับสมชายว่าเขานั้นไม่ได้มีดวงเป็นเถ้าแก่แน่ๆ แต่สิ่งที่เราเห็นอยู่กลับตรงกันข้าม

เพราะเบื้องหน้าที่เราเห็นนี้เป็นโรงงานขนาดใหญ่บนพื้นที่ 5 ไร่ย่านสุขสวัสดิ์ มีทั้งโกดังเก็บสินค้าที่มีสต็อกสินค้าวางเรียงกันอยู่มากมาย มีห้องบรรจุ มีพนักงานมากมายกำลังทำงานกันอย่างขันแข็ง

สมชายนั่งสนทนากับเราอย่างเป็นกันเอง และค่อยๆ พาย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นของการทำแบรนด์เต่าเหยียบโลก ในช่วงชีวิตของเขาอาจจะไม่ได้สวยหรูนัก มิหนำซ้ำยังออกจากงานในวัย 40 

“ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดจบแค่ ป.4 หลังจากนั้นได้ไปเรียนในโรงเรียนสอนภาษาจีนเล็กๆ ในจังหวัดนครปฐมอยู่ 4 ปี พออายุ 17 ป๊าก็พาผมไปฝากเข้าทำงานเป็นเด็กปรุงยา หยิบยา ที่ร้านขายยาในตัวจังหวัด พอทำได้ปีกว่าๆ พี่ชายก็พาเข้ากรุงเทพฯ

“พอมากรุงเทพฯ ผมก็มาทำงานที่ร้านขายยาย่านวงเวียนใหญ่อยู่แผนกขายยาแผนโบราณ ทำอยู่ที่นั่นตลอด 20 ปี ทำงานปรุงยา หยิบยาเก่งจนเป็นถึงหลงจู๊เลยนะ พอเราเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรมากๆ ก็ไปสอบใบเภสัชด้านยาแผนโบราณที่กระทรวงสาธารณสุข แล้วก็สอบใบเวชกรรมมาได้ด้วย”

จุดเปลี่ยนที่เป็นจุดเริ่มต้นคือ จังหวะที่ภรรยาของเขาเดินมาทักว่า “ทำไมใต้วงแขนเสื้อของเฮียนั้นเป็นคราบเหลืองๆ แข็งๆ ซักไม่ออก” บวกกับความรู้จากการเป็นนักปรุงยาในร้านขายยามาตลอดกว่า 20 ปี และสูตรลับการทำแป้งระงับกลิ่นกายที่ได้มาจากรุ่นพี่พยาบาลมาที่สั่งปรุงยาและแบ่งปันให้ เขาทดลองทำใช้เองมาก่อนถึง 10 ปี

“ทำงานที่ร้านขายยาอยู่นานได้ปรุงยามากมาย จุดหนึ่งผมเองมีปัญหาน้อยใจกับเถ้าแก่ เลยตัดสินใจลาออกตอนอายุ 40 ลาออกแบบไม่ยังไม่รู้จะไปทำงานที่ไหน ว่างงานอยู่ 6 เดือน จนนึกได้ว่าตัวเองมีวิชาติดตัวมาด้วย มีสูตรแป้งระงับกลิ่นที่ได้มาจึงลองทำขายขึ้น”

ธุรกิจแป้งระงับกลิ่นกายชื่อ ‘จับเต่า’ มีส่วนผสมเบสหลักคือสารส้ม จึงเริ่มขึ้นในปี 2539 และวางขายอยู่หน้ากระจกร้านเสริมสวยของภรรยาตัวเองเป็นครั้งแรก

ชื่อแบรนด์ตรงตัวคือจุดแข็ง

จริงที่ว่าชื่อและโลโก้ของแบรนด์คือองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริโภคจดจำได้ เราจึงมักเห็นชื่อแบรนด์เพราะๆ โลโก้สวยๆ ของผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย

แต่กับแป้งระงับกลิ่นกายของสมชายนั้นเลือกใช้คำแบบตรงตัว เพราะอยากสื่อสารเข้าใจง่าย สมชายบอกว่าเพราะเราทำสินค้าเกี่ยวกับรักแร้ คนชอบเรียกว่ากลิ่นเต่า เขาจึงใช้โลโก้เป็นรูปเต่า และใช้ชื่อแรกว่า ‘จับเต่า’ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นชื่อ ‘เต่าเหยียบโลก’ ในปัจจุบัน

สมชายมองว่า “กลิ่นเต่าไม่ได้มีแค่คนไทย แต่คนทั่วโลกก็มีกลิ่นเต่า พอเราทำสินค้าที่ระงับกลิ่นที่มันสามารถใช้ได้กับทุกคนมันจึงเป็นที่มาของชื่อเต่าเหยียบโลก”

แม้ดูโบราณ และไม่สวยในสายตาของใครหลายคน แต่นี่คือตัวตนและความแข็งแกร่งที่ทำให้ผู้บริโภคจดจำได้ 

เต่าเหยียบโลกเคยลองปรับโลโก้ให้ดูมินิมอลขึ้น ปรับชื่อให้ดูทันสมัยใช้คำภาษาอังกฤษมาแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่ามองไม่เห็นความต่างเมื่อวางเรียงอยู่บนเชลฟ์กับสินค้าแบรนด์อื่น ผู้บริโภคสับสนคิดว่าเป็นของปลอมเสียอีก และที่สำคัญสุดคือไม่ใช่ดีเอ็นเอของแบรนด์ จนในที่สุดก็ต้องกลับที่จุดแข็งของตัวเองมาใช้แบบเดิมที่เป็นโลโก้ที่รูปเต่าเหยียบบนลูกโลกที่เห็นอย่างทุกวันนี้

3 ขุมกำลังลูกเต่าเข้ามาช่วยทำธุรกิจ

ฟีดแบ็กตอบรับกลับมาจากลูกค้าที่ทดลองซื้อไปใช้เป็นไปในทางบวก และแป้งระงับกลิ่นกายของสมชายช่วยลดกลิ่นเต่าได้จริง เต่าเหยียบโลกค่อยๆ เติบโตอย่างเงียบๆ เรื่อยๆ กลายเป็นที่รู้จักในกลุ่มรุ่นแม่ที่เข้าร้านเสริมสวย 

“สินค้าทุกอย่างเราทำทดลองใช้เองก่อนขาย เราใช้แล้วมันได้ผลจริง เสื้อไม่มีคราบเหลืองๆ กลิ่นเต่าก็ไม่มี ลูกค้าที่ซื้อไปใช้ก็ชอบ แม้จะมีลูกค้าบางคนบนว่าแป้งพอทาแล้วจับตัวเป็นก้อนๆ ผมก็นำมาปรับปรุงสูตรนะ” สมชายบอกกับเรา

ก่อนที่เต่าเหยียบโลกจะดังเป็นพลุแตกเมื่อช่วงสิบปีก่อนที่มีคนรีวิวผลิตภัณฑ์ลงในเว็บไซต์พันทิปห้องโต๊ะเครื่องแป้ง น่าสนใจขนาดที่ว่าร้านสะดวกซื้ออย่างเซเว่นฯ ติดต่อให้เอาสินค้าไปวางขาย 

“จุดขายคือการบอกต่อกันปากต่อปาก ซึ่งคนรู้จักการใช้โรลออนอยู่แล้ว ปัญหาหนึ่งคือมันเหนียวเหนอะหนะ เป็นคราบเหลือง คนรู้ปัญหาอยู่แต่ไม่รู้จะแก้ยังไง พอคนมาใช้แป้งเต่าเหยียบโลกที่แห้งสบาย มันเลยเป็นเหมือนสิ่งที่ช่วยแก้ปัญหาจากการใช้โรลออน

“ช่วงที่ป๊าวางขายตอนนั้นคือสินค้ามีสูตรเดียว ช่องทางการขายก็มีแบบเดียวคือฝากขายตามร้านเสริมสวย ที่พีคๆ คือมีคนไปโพสต์ตั้งกระทู้ มีการพูดถึงบอกต่อ มีคนตามหาอยากลองใช้ แต่ไม่รู้จะหาซื้อได้จากที่ไหน แม้มีเซเว่นฯ ติดต่อเข้ามา แต่ในเวลานั้นเป็นช่วงที่เต่าเหยียบโลกยังไม่พร้อมหลายๆ ด้าน เลยปฏิเสธไป

“มองย้อนกลับไปมันมีโอกาสเข้ามามากมาย เอาจริงมันไม่มีคำว่าพร้อมมาก่อน มันเหมือนกับเราต้องลองผิดลองถูก พอเราเห็นโอกาสเราเลยตัดสินใจเลือกทำงานที่บ้านเลยตั้งแต่เรียนจบมา เพราะกลัวว่าจะสายเกินไป ช่วงที่กำลังจะเรียนจบเต่าเหยียบโลกเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่ก็ยังได้ยินปัญหาฟีดแบ็กต่างๆ มาตลอด ซึ่งมันรอการพัฒนาอยู่ คิดว่าถ้าไปทำงานที่อื่นก่อนกลับมาทำที่บ้าน คำถามคือต้องใช้เวลาอีกกี่ปีที่เราจะกลับมาพัฒนาแบรนด์ของครอบครัว  เมื่อมีโอกาสแล้วเลยต้องรีบคว้าไว้” วิศรุตผู้เป็นลูกชายเล่าเสริม

ความท้าทายและโอกาสที่เข้ามาแบบรอไม่ได้ของเต่าเหยียบโลกทำให้ในปี 2557 เป็นปีที่ทายาททั้งสามคนมาสานต่อธุรกิจของครอบครัวอย่างเต็มตัว และปรับโฉมเต่าเหยียบโลกใหม่ทั้งหมด

ปรับปรุง พัฒนา และคุณภาพคือสูตรความสำเร็จ

หนึ่งในสิ่งที่ยืนยันความสำเร็จของการทำธุรกิจแน่นอนว่าคือรายได้และกำไร มองย้อนกลับมาที่เต่าเหยียบโลกก็สำเร็จในแบบนั้น เพราะรายได้ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่ง 5 ปีย้อนหลังรายได้ของบริษัทอยู่ที่ราวๆ 80 ล้าน, 90 ล้าน และ 125 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา

แต่สูตรสำเร็จของเต่าเหยียบโลกนอกจากตัวเงินแล้ว มีด้วยกัน 3 ส่วน คือคุณภาพ การปรับปรุง และการพัฒนา

ทั้งสมชายและวิศรุตบอกกับเราอย่างหนักแน่นว่า เต่าเหยียบโลกอยู่ได้ด้วยคุณภาพที่รักษามาตลอดเกือบ 30 ปี เพราะแม้ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นจากราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น เต่าเหยียบโลกเลือกที่จะไม่ลดคุณภาพลงแม้แต่น้อย และซื่อสัตย์กับลูกค้ามาโดยตลอด 

อย่างที่บอกไปช่วงต้น เต่าเหยียบโลกรับฟังฟีดแบ็กของผู้บริโภค ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ แก้ pain point จากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง ‘ภาพลักษณ์ที่ดูโบราณและไม่กล้าหยิบใช้’ คือโจทย์ใหญ่ที่ทายาททั้งสามคนต้องเร่งปรังปรุงจนกลายมาเป็นการรีแบรนด์ครั้งใหญ่เมื่อปีที่ผ่านมา ตั้งแต่แพ็กเกจจิ้ง โลโก้ ไปจนถึงการทำการตลาด และการใช้พรีเซนเตอร์

วิศรุตขยายความให้เราฟังอย่างละเอียดเพิ่มว่า “แน่นอนว่าคุณภาพสินค้าดีอยู่แล้ว ส่วนภาพลักษณ์คือปัจจัยที่จะมาเติมเต็มให้แบรนด์สำเร็จมากขึ้นกว่านี้ เลยเป็นที่มาของการปรับโฉมและรีแบรนดิ้งให้ทันสมัยมากขึ้น ซึ่งก่อนที่จะเป็นอย่างที่วางขายตอนนี้ก็ปรับไปหลายรอบเหมือนกัน

“ช่วงปี 2563 เต่าเหยียบโลกมีความต้องการปรับแบรนด์แล้ว เราเรียนจบการตลาดมา เราวิ่งตามหาเอเจนซีเจ้าดังๆ ที่เก่งเรื่องปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ช่วยปรับภาพลักษณ์ให้ ซึ่งเอเจนซีทำตามโจทย์ของเราที่ให้ไปนะ ได้ออกมาเป็นโลโก้ใหม่ที่ดูทันสมัย ฟอนต์ไม่ดูโบราณ แต่กลับกลายเป็นว่าเต่าที่เคยเป็นซิกเนเจอร์ที่ทำให้คนจดจำแบรนด์ได้ กลับกลายเป็นว่าไม่มีคนจำได้เลย และไม่ใช่ตัวตนของเต่าเหยียบโลก เราและคนที่บ้านตัดสินใจยอมล้มโปรเจกต์นี้ และกลับมานั่งคุยกันใหม่อีกครั้ง 

“มาสู่ในปี 2565 เลยจ้างเอเจนซีอีกเจ้านึง ผลที่ออกมาตรงใจกับเรา เป็นดีเอ็นเอของเรามากกว่า โลโก้เต่าเหยียบลูกโลกแบบเดิมแต่ปรับเพียงเล็กน้อยให้ทันสมัยขึ้น ซึ่งถ้าลองดูโฉมใหม่กับโฉมเก่าอาจจะไม่ได้เปลี่ยนมาก แค่ลดทอนความโบราณ จากลูกโลกแบนๆ ก็เป็นกลมๆ อะไรประมาณนี้

“โลโก้เต่าเหยียบโลกคือจุดขาย ที่เราไม่ควรทิ้งไป”

เพิ่มสินค้าใหม่จากอินไซต์ผู้บริโภค

จากปรับแบรนดิ้งก็มาสู่การพัฒนาสูตรและเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้หลากหลายมากขึ้น ตอนนี้แบรนด์เต่าเหยียบโลกมีผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายทั้งหมด 5 ชนิด แบ่งเป็นแป้งทาระงับกลิ่นกาย 7 สูตร, โรลออน 1 สูตร, แป้งทาระงับกลิ่นเท้า 2 สูตร, สเปรย์สารส้มแบบน้ำ และสบู่ 3 สูตร

พร้อมทั้งมีแผนการขยายธุรกิจเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายให้ครอบคลุมมากขึ้น ตอกย้ำการเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายจากธรรมชาติ ชูจุดเด่นให้แตกต่างจากคู่แข่ง

“แต่ก่อนเรามีมายด์เซตเดิมๆ เราคิดว่าการทำหลายๆ สูตรออกมา สินค้าของเต่าเหยียบโลกจะแย่งยอดขายกันเองมั้ยนะ แต่กลายเป็นว่ายอดขายของเต่าเหยียบโลกโตขึ้นทั้งหมดในไลน์สินค้าที่ออกมา 

“คีย์สำคัญคือการตอบโจทย์ลูกค้า ถ้าเราอยากแข่งกับแบรนด์ระดับโลกที่เขาดูทันสมัย เราก็ต้องทำแบรนด์ของเราให้ตอบโจทย์และเข้าถึงผู้บริโภคเช่นเดียวกัน 

“สูตรใหม่ๆ ที่พัฒนาเราได้อินไซต์จากผู้บริโภคเลย นะ อย่างเช่นแป้งระงับกลิ่นเท้าที่ทำออกมาคือมีคนเอาแป้งระงับกลิ่นเต่ารุ่นซิกเนเจอร์ของเราไปโรยทาที่เท้า ปรากฏว่ามันก็ช่วยลดกลิ่นได้เหมือนกัน เราก็เลยพัฒนาสินค้าใหม่เป็นแป้งระงับกลิ่นเท้าโดยเฉพาะเลย”

นอกจากนี้เต่าเหยียบโลกยังปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์มาเป็นขวดฝาเปิด-ปิดที่อยู่ติดกับขวด พร้อมกับสามารถหมุนเติมรีฟีลได้ ปรับฉลากเป็นแบบฟิล์มหดเพื่อให้สามารถเอาสินค้าเข้าไปวางขายในร้านโมเดิร์นเทรด และใช้พรีเซนเตอร์เป็นกระบอกเสียงมากขึ้น

จากกลุ่มลูกค้าที่เป็นแม่บ้านตามร้านเสริมสวย ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าหลักของเต่าเหยียบโลกคือวัยทำงาน รองลงมาเป็นวัยนักเรียน มหาวิทยาลัย

จากที่ผลิตแป้งระงับกลิ่นกายต่อวันได้แค่หลักพันขวด ปัจจุบันเต่าเหยียบโลกเติบโตขยายใหญ่จนสามารถผลิตแป้งระงับกลิ่นกายได้วันละ 50,000 ขวด

แล้วก้าวถัดไปของเต่าเหยียบโลกจะเป็นยังไง ยังมีอะไรที่ท้าทายอยู่บ้าง 

“เราอยากเป็นแบรนด์ระงับกลิ่นกายอันดับ 3 ของประเทศ มีรายได้ 300-400 ล้าน ซึ่งตอนนี้เต่าเหยียบโลกมีรายได้ 100 ล้าน ก็เป็นเป้าหมายที่น่าจะอยู่ไม่ไกล และอาจจะทำสินค้าใหม่ๆ ที่นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายดูบ้าง” 

นั่นคือคำตอบของทายาทรุ่น 2 ที่ตอบกับเราอย่างมั่นใจในช่วงท้ายของบทสนทนาที่ฉายให้เห็นภาพอนาคตของเต่าเหยียบโลก–เต่าที่ค่อยๆ เดินอย่างช้าๆ กำลังเร่งสปีดให้เดินทางตามภาพที่วางไว้อย่างน่าติดตาม

เส้นทาง LINE MAN Wongnai จากติดลบ สู่อาณาจักรอีโคซิสเต็มร้านอาหารไทยที่เยอะที่สุด 

ทุกวันนี้จะกินอาหาร สั่งของ ส่งพัสดุเร่งด่วน กระทั่งโดยสารไปยังสถานที่ต่างๆ เชื่อว่าหลายคนก็น่าจะพึ่งพาแอพฯ เดลิเวอรีกัน ช่างแตกต่างจากช่วงก่อนโควิด-19 ระบาดที่เราแทบนึกไม่ออกว่าบริการเดลิเวอรีจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกคนได้ยังไง ทำให้ธุรกิจนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงที่ผ่านมา

ตลาดนี้จึงกลายเป็น red ocean ที่มีผู้เล่นเข้ามาไม่ขาดสาย ดูคล้ายว่าทำกำไรมหาศาล แต่พูดกันตามตรง ผู้เล่นที่แข็งแกร่งด้านฐานข้อมูล ปรับตัวไว และมีนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาตอบโจทย์ลูกค้าต่างหากที่จะพลิกเกมกลับมาทำกำไรได้ และ LINE MAN Wongnai ก็เป็นหนึ่งในผู้เล่นนั้น

ปัจจุบัน LINE MAN Wongnai คือผู้เล่นยักษ์ใหญ่รายเดียวที่บริหารโดยคนไทย และมากกว่าการเป็นบริการเดลิเวอรีเช่นแอพฯ อื่นๆ LINE MAN Wongnai ยังถือเป็นบริษัทที่จริงจังเรื่องการพัฒนาอีโคซิสเต็มร้านอาหารในประเทศไทยมากที่สุดอีกด้วย เพราะหลังจาก Wongnai ควบรวมกับ LINE MAN เมื่อปี 2020 ไม่นานมานี้ ยังก้าวมาเป็นยูนิคอร์นตัวที่ 4 ของไทย ด้วยมูลค่าบริษัทปัจจุบันอยู่ที่ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ซีอีโออย่าง ยอด ชินสุภัคกุล ยังได้เข้าซื้อกิจการสตาร์ทอัพไทยอย่าง FoodStory ที่ร่วมพาร์ตเนอร์กันมาตั้งแต่ปี 2018 เพื่อพัฒนาระบบ POS (Point of Sale)ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มร้านอาหารในประเทศมากกว่าเดิม 

กว่าจะมาถึงจุดนี้ ยอดต้องพาบริษัทก้าวผ่านจุดวิกฤตและปรับตัวมาหลายต่อหลายครั้ง Capital จึงจะพาไปสำรวจอาณาจักร LINE MAN Wongnai ที่พลิกวิกฤตติดลบ สู่อาณาจักรอีโคซิสเต็มร้านอาหารในประเทศไทยที่เยอะที่สุด ทั้งยังเตรียมตัววางแผนเข้า IPO ในอีกไม่กี่ปีนี้ 

1. อดทนฝ่าฟันอุปสรรค

ย้อนกลับไปในปี 2010 ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยยังไม่มีแอพพลิเคชั่น ค้นหาและรีวิวอาหารเหมือนชาวต่างชาติ ยอด ชินสุภัคกุล และเพื่อนอีก 3 คนร่วมกันก่อตั้ง Wongnai เพื่อตอบโจทย์จริตคนไทยที่หลงรักการกินเป็นชีวิตจิตใจ 

แม้ในช่วงแรกความนิยมยังไม่มากพอที่จะสร้างกำไรได้ แต่หลังจากปลุกปั้นจนได้รับเงินลงทุนจากนักลงทุนถึง 2 ครั้ง สถานการณ์บริษัทก็พลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือ 

จากเดิม Wongnai มียอดผู้ใช้งานเพียงหลักแสนก็เติบโตจนมีผู้ใช้งานเป็นหลักล้านคนภายในระยะเวลาไม่นาน ประกอบกับช่วงที่สมาร์ตโฟนกลายเป็นอวัยวะชิ้นที่ 33 Wongnai ก็กลายเป็นเทคสตาร์ทอัพที่เติบโตสูงสุด

2. มองการณ์ไกล และพร้อมปรับตัวตามสถานการณ์

ทักษะของการพร้อมเปลี่ยนแปลงคงเป็นทักษะของสตาร์ทอัพอยู่แล้ว แต่ผู้นำทัพอย่างยอดก็สะท้อนทักษะที่ว่าผ่านการปรับเปลี่ยนองค์กรไปตามสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที

เดิมที่เป็นแค่แอพลิเคชั่นบริการค้นหาและรีวิวร้านอาหารเท่านั้น ยอดก็เริ่มขยับขยายมาทำสื่อเกี่ยวกับการรีวิวหลากหลายแบบ เช่น Wongnai Beauty, Wongnai Travel, Wongnai Cooking รวมไปถึงสื่อด้านธุรกิจและไอทีอย่าง Brand Inside และ Blognone 

กระทั่งในปี 2016 เป็นอีกครั้งที่ผู้นำอย่างยอดมองเห็นช่องทางธุรกิจใหม่ อย่างฟู้ดเดลิเวอรีที่เติบโตขึ้นมหาศาลในต่างประเทศอีกทั้งยังสอดคล้องไปกับชีวิตผู้คนได้อย่างไร้รอยต่อ Wongnai จึงไม่ได้เป็นเพียงแอพฯ หรือเว็บไซต์ค้นหาและรีวิวร้านอาหารอีกต่อไป แต่ยังพาร์ตเนอร์กับ LINE MAN เพื่อให้ผู้คนสั่งอาหารกับ LINE MAN ได้ด้วย!

3. ฐานข้อมูลแน่นจากการควบรวม LINE MAN Wongnai

หลังจากพาร์ตเนอร์กับ LINE MAN นาน 4 ปี ในปี 2020 ทั้ง 2 บริษัทก็ควบรวมเป็น LINE MAN Wongnai ด้วยเงินลงทุน 110 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากบริษัท BRV Capital Management 

ทำให้ LINE MAN Wongnai เป็นผู้นำแพลตฟอร์ม On-Demand และข้อมูลร้านอาหารของไทยโดยทันที ยิ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะฐานข้อมูลร้านอาหารเพื่อใช้ในการพัฒนาธุรกิจมหาศาล รวมถึงฐานผู้ใช้งาน LINE ในไทยกว่า 47 ล้านคนทั่วประเทศ

นอกจากนั้น ระบบยังเชื่อมโยงถึงกันได้ เรียกว่าเป็นการเชื่อมต่ออีโคซิสเต็มระหว่างลูกค้าและร้านอาหารเข้าไว้ด้วยกันผ่านเทคโนโลยี ที่พร้อมนำไปใช้ต่อยอดพัฒนาการจัดการร้านให้แข็งแรงและยั่งยืน  

4. สร้างอีโคซิสเต็มขององค์กรและร้านอาหารได้ครบวงจรและมีประสิทธิภาพ

หลังจากควบรวมเป็น LINE MAN Wongnai ได้ 3 ปี ประจวบกับสถานการณ์ตลาดธุรกิจอาหารนั้นกลับมาเติบโตตามสถานการณ์การโควิด-19 ที่คลี่คลาย

ผู้นำทัพที่จำเป็นต้องมีทักษะการมองการณ์ไกลอย่างยอดจึงตัดสินใจเข้าซื้อ FoodStory สตาร์ทอัพไทยที่พาร์ตเนอร์พัฒนา Wongnai POS ตั้งแต่ปี 2018 เพื่อขยายศักยภาพให้กับระบบ POS หรือระบบการจัดการร้านอาหารที่มีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือร้านอาหารได้จริง ทำให้ LINE MAN Wongnai เป็นบริษัทที่มี Restaurant Ecosystem ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในไทย 

“การเข้าซื้อกิจการ FoodStory คือ การรวมทรัพยากรของผู้พัฒนาระบบจัดการร้านอาหารที่ทำงานใกล้ชิดกับร้านอาหารทั่วประเทศมานานกว่า 11 ปีเข้ากับแพลตฟอร์มที่มีข้อมูลร้านอาหารมากที่สุดในไทย ตอนนี้เราจึงถือเป็นอันดับ 1 ในตลาด POS สำหรับร้านอาหาร 

“ร้านอาหารกว่า 55,000 ร้านทั่วประเทศที่เลือกใช้ Wongnai POS และ FoodStory POS คิดเป็นสัดส่วน 40% ของตลาดนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้สร้างมูลค่าการซื้อขายรวม (GMV) กว่า 180,000 ล้านบาท และจัดการออร์เดอร์ร้านอาหารไปแล้วรวมกว่า 636 ล้านออร์เดอร์ ซึ่งช่วยลดปริมาณการใช้กระดาษไปถึง 323 ตัน เป็นสิ่งสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งด้านฐานข้อมูลและประสิทธิภาพของเรา ซึ่งน่าจะเหนือกว่าคู่แข่งแน่นอน” ยอดอธิบาย

แม้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่ายอดร้านค้าผู้ใช้งานจะเพิ่มขึ้นจากเดิมเท่าไหร่ หลังจากเข้าซื้อ FoodStory แต่ก็คาดการณ์ได้ว่าการกระจายทีมให้ครอบคลุม 77 จังหวัด รวมถึงการมีฐานข้อมูลที่แน่นกว่าเจ้าไหนๆ จะทำให้ Wongnai POS ครองส่วนตลาด POS ได้มากกว่าเดิม 

5. ไม่หยุดคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้ประสบการณ์ร้านอาหารในไทยสมบูณ์

หนึ่งในสิ่งที่ LINE MAN Wongnai ให้ความสำคัญเสมอมา คือการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาแก้ปัญหาให้คนไทยอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์ Pin For Me ที่ให้ผู้รับของปักโลเคชั่นได้เอง ฟีเจอร์​ LINE MAN Party ที่สั่งอาหารแบบกลุ่มได้ 

แน่นอนว่าเมื่อเข้าซื้อกิจการ FoodStory แล้ว LINE MAN Wongnai ย่อมไม่ทำให้ธุรกิจร้านอาหารผิดหวัง เพราะหลังจากควบรวม ยอดตั้งเป้าว่าจะต้องพัฒนาฟีเจอร์ในระบบ POS ให้ได้มากกว่าเดิม ทั้งที่แต่เดิม FoodStory ก็ได้พัฒนาไว้มากถึง 500 ฟีเจอร์แล้วก็ตาม นอกจากนั้น ยอดยังตั้งเป้าพัฒนา POS ให้ตอบโจทย์ร้านอาหารทุกรูปแบบ ทั้งร้านขนาดเล็ก ร้านอาหารจานเดียว คาเฟ่ ร้านอาหารไฟน์ไดนิ่ง ไปจนกระทั่งร้านบุฟเฟต์ที่มีหลายสาขา 

ถ้าจะยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ ว่าการควบรวมครั้งนี้ช่วยให้ร้านอาหารในไทยบริหารจัดการร้านได้ดียิ่งขึ้นยังไง คงต้องยกตัวอย่างฟีเจอร์ที่เพิ่งเปิดตัวไปอย่าง Mobile Order ที่เปิดให้ลูกค้าสามารถสั่งออร์เดอร์เองผ่านคิวอาร์โค้ด จากนั้นออร์เดอร์ก็จะเด้งเข้าไปในครัวโดยที่พนักงานไม่ต้องคอยจดออร์เดอร์ 

นอกจากช่วยลดความผิดพลาดในการสั่งออร์เดอร์ ลดต้นทุนในการจัดทำเล่มเมนู ลดจำนวนพนักงานและลดปริมาณงานลง แต่เพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ โดยจ่ายเพียงขั้นต่ำ 20 บาทต่อวัน ระบบที่ว่ายังช่วยวิเคราะห์การบริหารจัดการต้นทุน ออร์เดอร์ที่ได้รับความนิยม ไปจนถึงวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจได้ด้วย

“การควบรวมบริษัทที่เมดอินไทยแลนด์เข้าด้วยกันครั้งนี้ก็เพื่อพัฒนาให้เราเราอยากจะเป็น Operating System ให้ร้านอาหารไทย ช่วยให้เขาลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และเติบโตได้อย่างยั่งยืน” ยอดอธิบาย

ไม่แปลกใจ หาก LINE MAN Wongnai จะเดินทางมาถึงทุกวันนี้ วันที่กลายเป็นอาณาจักรอีโคซิสเต็มร้านอาหารในไทยที่บริหารโดยคนไทย เพื่อคนไทยจริงๆ

อ้างอิง

NIA เปิดแผนเพิ่มดัชนีนวัตกรรมไทยสู่อันดับที่ 30 ของโลก ภายในปี 2030

งานวิจัยและนวัตกรรมของไทยส่วนมากมักจบอยู่แค่ในกระดาษ ไม่มีการนำไปใช้หรือต่อยอด ถึงขั้นมีหลายคนมองว่างานวิจัยนั้นเป็นงานวิจัยขึ้นหิ้ง ซึ่งในความเป็นจริงนวัตกรรมต่างๆ ที่ทุ่มเทเวลาคิดค้นควรต้องถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะในทางธุรกิจหรือมิติอื่นๆ ในสังคม เพราะแท้จริงแล้วนวัตกรรมคือสิ่งที่ช่วยแก้ปัญหาให้มนุษย์ ทว่าการจะพัฒนานวัตกรรมต้องมีแรงสนับสนุนอย่างมาก ทั้งเรื่องบุคลากร องค์ความรู้ เงินลงทุน ฯลฯ

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เล่าถึง pain point ของนวัตกรรมไทยว่า ผู้ประกอบการไทยยังไม่กล้าใช้นวัตกรรมจากคนไทยด้วยกันเท่าไหร่ ต้องมีงานวิจัยรองรับหรือมีผู้ใช้งานมาก่อน ซึ่งต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนก่อนนำมาใช้ในไลน์ผลิต ดังนั้น หน้าที่สำคัญของ NIA คือ การพัฒนานวัตกรรมให้สร้างรายได้ และสร้างความเชื่อมั่นไปสู่ผู้ประกอบการ

เมื่อไม่นานมานี้ องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ได้ประกาศผลการจัดอันดับดัชนีนวัตกรรมโลก พบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 43 และอยู่ในอันดับที่ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย 

ปัจจุบันนวัตกรรมไทยมีระบบนิเวศที่เข้มแข็งขึ้น มีหลายหน่วยงานให้การสนับสนุนอย่างเชื่อมโยงกัน บวกกับมีจำนวนผู้ประกอบการนวัตกรรมเพิ่มขึ้น ทำให้ NIA ในฐานะของผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม (focal conductor) ได้วางกลยุทธ์หลัก 7 ข้อในการขับเคลื่อนดัชนีนวัตกรรมไทยสู่อันดับที่ 30 ภายในปี 2030 ประกอบด้วย

  1. สร้างและยกระดับความสามารถผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมในอุตสาหกรรมเป้าหมายร่วมกับเครือข่าย ตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยเน้น 5 อุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ เกษตรและอาหาร ท่องเที่ยว สุขภาพ พลังงานและสิ่งแวดล้อม และซอฟต์พาวเวอร์ ใช้ culture innovation ชูจุดเด่นเรื่องความครีเอทีฟ เห็นได้ว่านวัตกรรมไม่ใช่แค่เรื่องวิทยาศาสตร์ แต่รวมถึงศิลปะและวัฒนธรรม
  2. ส่งเสริมนวัตกรรมแบบเปิดและทำให้ระบบนวัตกรรมไทยเปิดกว้าง เน้นเชื่อมโยงผู้ประกอบการกับแหล่งเงินทุนอื่นๆ เป็นการให้ทุนรายอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับภูมิภาค เพื่อกระจายโอกาสการเข้าถึงแหล่งทุน
  3. ส่งเสริมการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ร่วมกับมหาวิทยาลัยและอุทยานวิทยาศาสตร์
  4. เป็นศูนย์การสร้างระบบนิเวศที่ส่งเสริมนวัตกรรม เชื่อมโยงการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ เช่น การจัดงานอีเวนต์ขนาดใหญ่ที่มีหลายหน่วยงานร่วมออกบูท เพื่อให้เห็นกระบวนการทำงานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
  5. ส่งเสริมตลาดนวัตกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ร่วมมือกับแพลตฟอร์ม e-Commerce เพื่อทำแค็ตตาล็อกสินค้านวัตกรรม หรือร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อขยายตลาด
  6. สร้างความตระหนักถึงความสำคัญของนวัตกรรม ผ่านโครงการ Innovation Thailand ประกวดนวัตกรรม งาน SITE และงาน Ubon Art Fest โดยตั้งเป้าผู้ร่วมงานไว้ที่ 50,000 ราย ทั้งออนไลน์และออฟไลน์
  7. พัฒนาองค์กร เน้นการทำงานแบบ cross functional ลดขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน มีการวัดผลความสำเร็จที่ชัดเจน

นอกจากนี้ NIA ยังมีแนวทางการยกระดับนวัตกรรมไทยด้วย ‘2 ลด 3 เพิ่ม’ ประกอบด้วย ลดความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะผู้ประกอบการในต่างจังหวัด ที่ต้องเข้าถึงแหล่งลงทุนและนวัตกรรมได้ง่าย ลดอุปสรรค การเข้าถึงนวัตกรรมทุกภาคส่วน การเชื่อมโยงตลาดและโครงสร้างพื้นฐาน แก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโต เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพิ่มจำนวนนวัตกรให้ได้ 10,000 ราย ภายใน 4 ปี และเพิ่มศักยภาพด้านธุรกิจ เพื่อให้แข่งขันกับนวัตกรรมจากต่างประเทศ

นวัตกรรมเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศให้แข่งขันได้ในสังคมโลก ในอดีตประเทศไทยอาศัยสินค้าเกษตรเป็นผู้เล่นหลัก แทนที่จะส่งออกวัตถุดิบอย่างเดียว หากมีนวัตกรรมที่ดี ก็นำมาต่อยอดและเพิ่มมูลค่าได้มากขึ้น

ผลการจัดอันดับและกลยุทธ์เหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่าทุกภาคส่วนของไทย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน การศึกษา ประชาชน พยายามยกระดับความสามารถนวัตกรรม เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง สู่ประเทศรายได้สูง ด้วยนวัตกรรมและงานวิจัยต่างๆ ก้าวสู่ประเทศนวัตกรรมในอันดับที่ 30 ภายในปี 2030 ตามที่วางเป้าหมายเอาไว้