Month: August 2023
Nintendo 5 ชิ้นสุดคลาสสิกของพล่ากุ้ง และฮั้ว อัครพล ที่รักและเล่นได้ไม่มีเบื่อ
ปรากฏการณ์หลัง ‘Twitter’ รีแบรนด์เป็น ‘X’ เมื่อนกสีฟ้ากลายพันธุ์สู่ Super App
ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ผู้ใช้ทวิตเตอร์ส่วนใหญ่คงได้เห็นการมาถึงของเครื่องหมาย X สีดำที่มุมบนซ้ายของหน้าจอ แทนที่นกสีฟ้าตัวเล็กๆ ที่คุ้นเคย สร้างความประหลาดใจให้ผู้ใช้หลายสิบล้านคนอย่างมาก กับการรีแบรนด์ที่ไม่มีใครรู้มาก่อน
ที่ผ่านมาเราอาจคุ้นเคยกับการรีแบรนด์ที่เน้นการเปลี่ยนโลโก้ เปลี่ยน CI ต่างๆ เพื่อเพิ่มความสดใหม่ให้องค์กร โดยมากมักจะไม่เปลี่ยนชื่อแบรนด์ด้วยเหตุผลทางกฎหมาย และการจดจำของผู้บริโภค แต่สำหรับ Twitter ภายใต้การนำของ อีลอน มัสก์ ได้พลิกโฉม Twitter ไปอย่างสิ้นเชิง แม้กระทั่งชื่อแบรนด์

จุดเริ่มต้นการปฏิวัติ
นับตั้งแต่ที่อีลอน มัสก์ เข้ามาเป็นหัวเรือใหญ่ของทวิตเตอร์ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงมหาศาล
เริ่มตั้งแต่การปลดพนักงานจำนวนมาก การปรับวัฒนธรรมองค์กร การยืนยันตัวตนแบบชำระเงิน การเปลี่ยนรูปแบบรายได้ หรือแม้แต่กำหนดให้มีเฉพาะ Dark Mode ทุกย่างก้าวล้วนเป็นประเด็นที่ได้รับการพูดถึงและวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ล่าสุดอีลอน มัสก์ ได้สร้างความฮือฮาอีกครั้ง ด้วยการรีแบรนด์ทวิตเตอร์ครั้งใหญ่
ต้องบอกว่าทวิตเตอร์ไม่ใช่แบรนด์เดียวที่ตัดสินใจเปลี่ยนทั้งชื่อและโลโก้ ก่อนหน้านี้เฟซบุ๊กก็เปลี่ยนชื่อเป็น Meta หรือ HBO ที่เปลี่ยนเป็น Max บางแบรนด์ก็ประสบความสำเร็จ บางแบรนด์ผลลัพธ์ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด
หนึ่งในตัวอย่างของการรีแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จคือ Dunkin’ แบรนด์โดนัทที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1950 ที่เดิมทีใช้ชื่อว่า Dunkin’ Donuts และมีการตัดคำว่า Donuts ออกจากชื่อแบรนด์และโลโก้ เพื่อการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มที่หลากหลายขึ้น หนึ่งในการการันตีความสำเร็จของ Dunkin อยู่ที่การตอบสนองของลูกค้า ที่สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลง ซึ่งการรีแบรนด์ของ Dunkin’ ได้ขยายไปสู่ฐานลูกค้าใหม่ๆ โดยยังคงไว้ซึ่งความผูกพันที่แบรนด์มีต่อลูกค้าเดิม

กลายพันธุ์ สู่ SuperApp
กลับมาที่ทวิตเตอร์ หลายคนมองว่าไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ทำให้ผู้ใช้รู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง เนื่องจากเป็นการรีแบรนด์โดยไม่ปรึกษาหรือบอกล่วงหน้า ซึ่งอาจเป็นการทำโดยไม่มีแผนชัดเจน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเสียงต่อต้านออกมาเป็นระยะ อีลอน มัสก์ ก็ไม่มีท่าทีว่าจะคล้อยตามแต่อย่างใด
โฆษกของ X ให้ข้อมูลว่า X ถือเป็นตัวแทนของคนยุคใหม่ ที่ต้องการการสื่อสารแบบไร้ขีดจำกัด ทั้งรูปแบบเสียง วิดีโอ ข้อความ และการชำระเงิน เพื่อก้าวสู่การเป็น Super App หรือ Everyday App ด้านอีลอน มัสก์ ได้ตอกย้ำเป้าหมายในการยกเครื่องรีแบรนด์ครั้งนี้ว่า ต้องการให้ X เป็นแอปฯ ที่คล้ายกับ WeChat ของจีน และเป็นแอพฯ ที่ไม่มีแอพฯ ไหนในสหรัฐฯ เทียบเท่าได้
เมื่อความตั้งใจของอีลอน มัสก์ ต้องการให้ X มีบริการทางการเงิน จึงส่งผลต่อโลกคริปโตฯ ด้วย ทำให้ราคา Cogecoin (DOGE) ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 0.077 ดอลลาร์สหรัฐ (2.65 บาท) เนื่องจากนักลงทุนคริปโตฯ พร้อมกันซื้อโดยหวังว่า X จะทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ
เมื่อ X ทำได้มากกว่าการสื่อสาร จึงมีการตั้งข้อสงสัยว่า ผู้ใช้งานจะสับสนหรือไม่ และถ้ามีผู้ใช้งานน้อยลงเรื่อยๆ จะทำยังไง ถ้าดูจากกรณีศึกษาของ Tesla จะพบว่ามีการทำโฆษณาค่อนข้างน้อย เนื่องจากตามความเชื่อของอีลอน มัสก์ ที่บอกว่า สินค้าที่ดีไม่จำเป็นต้องโฆษณาเยอะ หากแอพฯ มีคุณภาพมากพอ ตอบสนองผู้ใช้งานได้ดี ผู้ใช้งานก็ไม่หายไปไหน
Xนี้มีที่มา
การรีแบรนด์ครั้งนี้ ทำให้ผู้ใช้ทวิตเตอร์ทั่วโลกขนหัวลุกไปตามๆ กัน จากโลโก้นกสีฟ้าที่คุ้นเคย เปลี่ยนเป็น ‘X’ ที่มีความมินิมอลมากขึ้น คำเฉพาะต่างๆ ที่เกี่ยวกับการทวิตจะยังใช้อยู่ไหม ต้องขอแสดงความเสียใจต่อแฟนๆ ของทวิตเตอร์ด้วย เนื่องจากทาง X กล่าวว่า ต่อจากนี้ทวิตเตอร์จะถูกเรียกว่า X และข้อมูลอื่นๆ ในเว็บไซต์ก็ถูกแทนที่ด้วย X ทั้งหมด จาก Twitter Blue เปลี่ยนเป็น X Blue และ Twitter Help Center เปลี่ยนเป็น X Help Center จริงๆ แล้ว หลังจากที่อีลอน มัสก์เข้าซื้อกิจการของทวิตเตอร์เมื่อปีที่แล้ว เขาได้ก่อตั้งบริษัทใหม่ในชื่อ X Corp ตั้งแต่ปี 1999 สำหรับการทำธุรกรรมต่างๆ (ปัจจุบันคือ Paypal)
จะเห็นว่า X อยู่ในทุกส่วนของอีลอน มัสก์ตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งบริษัท SpaceX รถยนต์ไฟฟ้า Tesla SUV รุ่น X.AI หรือแม้แต่ชื่อของลูกชายเขา X Æ A-12 อ่านออกเสียงว่า X Ash A Twelve ปัจจุบัน X ได้เปลี่ยนปุ่ม ‘Tweet’ เป็น ‘Post’ และการ ‘Retweet’ เปลี่ยนเป็น ‘Repost’ เรียบร้อยแล้ว

จะเป็นยังไง ถ้าไม่สามารถสลัดชื่อ Twitter ออกจากสมองได้
แน่นอนว่าไม่มีใครเปลี่ยนได้ทันที กว่าจะพูดว่า X ได้ติดปากแทนคำว่าทวิตเตอร์ต้องใช้เวลาพอสมควร และการที่ผู้ใช้ยังติดปากเรียกว่าทวิตเตอร์ ก็เป็นข้อดีที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับผู้ใช้ว่าผูกพันกันมากแค่ไหน หน้าที่ของอีลอน มัสก์ ต่อจากนี้คือ ต้องสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง X กับผู้ใช้งานให้ได้
ดูเหมือนนักการตลาดหลายคนจะมองว่าการรีแบรนด์ครั้งนี้ว่าไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก Mike Proulx นักวิเคราะห์จาก Forrester กล่าวว่า เป็นการเสี่ยงอย่างยิ่งที่เอาความชอบตัวเองมาควบคุมธุรกิจ และคู่แข่งก็เปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ อีลอน มัสก์ ได้ลบล้างชื่อเสียงของแบรนด์ (ทวิตเตอร์) ที่มีมาตลอด 17 ปี และมีมูลค่าแบรนด์สูงถึง 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แม้การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน ทว่า X ก็ทุบสถิติใหม่ด้วยการมียอดผู้ใช้งาน 540 ล้านคนต่อเดือน นับเป็นสถิติสูงสุดเท่าที่เคยทำมา ในท้ายที่สุด การรีแบรนด์ของทวิตเตอร์สู่ X เป็นการประกาศที่ชัดเจนที่สุดว่านี่ไม่ใช่โซเชียลเน็ตเวิร์กแบบเดิมอีกต่อไป แต่เป็น Super App ที่พร้อมให้บริการรอบด้าน
สำหรับหน่วยงานหรือองค์กรทั่วโลกที่ใช้นกสีฟ้า คงถึงเวลาต้องเปลี่ยนเป็น X แล้ว การรีแบรนด์ครั้งนี้อาจเป็นสัญญาณว่ายุคสมัยของทวิตเตอร์ได้สิ้นสุดลง ผู้ใช้งานอย่างเราคงทำได้แค่คิดถึงวันเก่าๆ และมูฟออนสู่ X ในรูปแบบ Super App
อ้างอิง
- nytimes.com/2023/08/03/technology/twitter-x-tweets-elon-musk.html
- theverge.com/2023/7/27/23810140/elon-musk-twitter-x-dark-mode-only
- marketingweek.com/twitter-rebrand-x-mistake
- cnbc.com/2023/07/24/elon-musk-risks-more-damage-to-twitter-business-after-name-change-to-x.html
วิธีคิดช็อกโกแลตดริงก์กระป๋องสุดคิวต์ที่ทำให้ Chocoholic แก้ pain point ของคราฟต์ช็อกโกแลตได้
พูดถึง ‘ช็อกโกแลต’ น่าจะมีคนยกมือแสดงตัวว่าเป็นแฟนคลับขนมหวานวัยเด็กชนิดนี้กันเยอะแน่ๆ แต่ก็เชื่อว่าคงมีอีกหลายคนที่มองว่าแม้ช็อกโกแลตจะอร่อยถูกใจ แต่ส่วนผสมอื่นๆ ที่พ่วงมาด้วยอย่างน้ำตาล ไขมัน หรือสารปรุงแต่งต่างๆ ช่างไม่ดีกับสุขภาพเอาเสียเลย แต่นั่นคงไม่ใช่กับ ‘คราฟต์ช็อกโกแลต’ ที่คราฟต์จากโกโก้ที่ปลูกอย่างใส่ใจ แล้วจึงนำมาผ่านกระบวนการหมัก ตาก คั่ว กะเทาะเปลือก บด และเทมเปอร์
ส่วนผสมหลักๆ มีเพียงเมล็ดโกโก้และน้ำตาลคุณภาพที่ผสมในกระบวนการคั่วเพื่อดึงรสชาติ ปราศจากสารปรุงแต่งอื่นๆ ที่เราจะเห็นบนหลังซองช็อกโกแลตที่หาซื้อได้ง่ายๆ ตามห้าง ความพิเศษของคราฟต์ช็อกโกแลตยังอยู่ที่กลิ่นรสที่เราจะไม่ได้เพียงความขม หวาน หรือเปรี้ยว แต่เรายังจะได้กลิ่นดอกไม้ ผลไม้ และสารพัดกลิ่นที่บ่งบอกที่มาของแหล่งปลูกนั้นๆ ได้ดี

ที่ผ่านมาวงการคราฟต์ช็อกโกแลตไทยนั้นค่อยๆ เติบโตตามลำดับ จากไม่เป็นที่รู้จักก็เริ่มมีงานแฟร์เป็นของตัวเอง แต่หนึ่งใน pain point ที่เราเองในฐานะผู้บริโภคประสบ และเจ้าของแบรนด์หลายรายก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน คือคราฟต์ช็อกโกแลตนั้นดูเข้าถึงยาก ทั้งในเชิงราคาและกลิ่นรสที่คนไทยยังไม่คุ้นเคย
เพราะแบบนั้นเอง ครั้งแรกที่เราได้เห็น Chocoholic เราจึงอยากรู้เรื่องราวและที่มาของแบรนด์ทันที เพราะ Chocoholic โดดเด่นเรื่องการหยิบจับโกโก้จากเกษตรกรไทยมาเบลนด์เป็นช็อกโกแลตดริงก์ดื่มง่ายในกระป๋องอะลูมิเนียมลายเส้นน่ารัก ชนิดที่ถ้าใครเดินผ่านก็ต้องหันกลับมามองกันบ้าง ภาพลักษณ์ของความเข้าถึงยากจึงค่อยๆ กลายเป็นความสนุกที่ทุกวัยโดนใจ ทั้งการทำเป็นช็อกโกแลตดริงก์ดื่มคล่องคอก็ทำให้คนเปิดใจกับรสชาติได้ง่ายกว่า
อ๋อมแอ๋ม–ฉัตร์ฐิตา อิสระกิจปภัสร์, เบนซ์–กัญจน์สุธา อิสระกิจปภัสร์, บอส–ณัฐนนท์ อัตตะไพบูลย์ และอาย–พิชญา พยอมแย้ม คือสหายผู้ก่อตั้งแบรนด์ช็อกโกแลตดริงก์ที่ว่า ด้วยความตั้งใจอยากให้คนไทยเข้าใจที่มาของคราฟต์ช็อกโกแลต รวมถึงช่วยให้เกษตรกรไทยผู้ปลูกโกโก้มีช่องทางกระจายสินค้า

ความสนุก ความน่ารัก และความเข้าถึงง่าย ดูจะเป็นคีย์สำคัญที่ทั้งสี่คนยึดเป็นหลักในการฟูมฟักแบรนด์ Chocoholic ขึ้นมา แต่หลังจากที่เราได้สนทนากับทั้งสี่คนกว่าครึ่งค่อนวัน เรากลับพบว่าการสร้างแบรนด์ที่คนยังไม่เปิดรับมากนักนั้นต้องอาศัยกลยุทธ์และประสบการณ์มากมาย
ว่าแต่สูตรการก่อร่างสร้าง Chocoholic ขึ้นมานั้นจะเป็นแบบไหน ขอชวนทุกคนเปิดประสาทสัมผัสทั้งห้า ค่อยๆ จิบช็อกโกแลตดริงก์และเรียนรู้เรื่องราวไปพร้อมๆ กัน

Product
เข้าใจอย่างลงลึก
ความประทับใจแรกที่เบนซ์และแอ๋มมีต่อคราฟต์ช็อกโกแลตนั้นเกิดขึ้นที่งานกาแฟ ที่มีแบรนด์คราฟต์ช็อกโกแลตกระจายตัวเป็นบูธเล็กๆ ตามจุดต่างๆ
“แอ๋มชอบกินช็อกโกแลตอยู่แล้วชนิดที่ต้องกินทุกวัน แต่ช็อกโกแลตที่เรากินมันประกอบด้วยผงโกโก้ นมข้น น้ำตาล น้ำหวาน พอเราได้ไปชิมช็อกโกแลตดริงก์ในงานครั้งนั้น เรารู้สึกว่ามันนวล นัวๆ มันมีบอดี้ รวมๆ คือแตกต่างจากช็อกโกแลตที่เรากินมาตลอด ทั้งที่เขาไม่ได้เติมอะไรลงไป ที่สำคัญมันยังมีกลิ่นดอกไม้ ผลไม้ เราก็เริ่มสงสัยว่ากลิ่นพวกนี้มาจากไหน” แอ๋มเปิดประเด็นหลังเราย้อนถามถึงจุดเริ่มต้น
ส่วนเบนซ์เองที่แต่เดิมหลงใหลเรื่องกาแฟและชาอยู่แล้ว เมื่อได้มาเจอคราฟต์ช็อกโกแลตที่มีความละเอียดอ่อนและกระบวนการซับซ้อนไม่ต่างกัน เขาก็เริ่มอยากลงลึก
“อย่างกาแฟถ้าเราอยากได้กลิ่นรสแบบนี้ เราต้องเอาเมล็ดหลายแหล่งมาผสมกัน แต่พอเป็นช็อกโกแลต เรากินตัวนี้มันก็ได้กลิ่นมะพร้าวแล้ว ไปกินอีกตัวก็เจอกล้วยเลย บางตัวกินไปได้กลิ่นสมุนไพร มีความขมปลายๆ แล้วตบท้ายเราได้เป็นกลิ่นสับปะรด เรารู้สึกว่ามันว้าวมากๆ


“ที่สำคัญ ผมว้าวสังคมคนทำคราฟต์ช็อกโกแลต เพราะถ้าจะทำธุรกิจสักอย่าง ผมไม่อยากตีรันฟันแทง ไม่อยากแข่งหรือกดราคากันไปมา ตอนที่ไปงานกาแฟครั้งนั้น เราเจอร้านคราฟต์ช็อกโกแลต 4-5 ร้าน แล้วทุกคนยืนคุยกันได้หมดเลย เอาช็อกโกแลตของตัวเองมายืนชิม ยืนแชร์กันว่ามันเป็นยังไง ผมฟังแล้วรู้สึกว่านี่แหละ สังคมแบบที่เราต้องการ”
แม้ตอนแรกเขาจะตัดสินใจลงเรียนคอร์สคราฟต์ช็อกโกแลตสั้นๆ ไม่ได้คิดพัฒนาเป็นธุรกิจ แต่ยิ่งเรียนเบนซ์ก็ยิ่งอยากลงลึก เพื่อหาสูตรคราฟต์ช็อกโกแลตแบบที่ตัวเองต้องการ มากไปกว่านั้น เขายิ่งเข้าใจว่าประเทศไทยปลูกโกโก้เองได้ ทั้งแต่ละแหล่งปลูกยังให้กลิ่นรสที่ไม่เหมือนกัน และเมื่อนำมาเบลนด์กันก็จะได้ผลลัพธ์ใหม่ๆ ที่เต็มไปด้วยความสนุก เบนซ์จึงเริ่มอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อให้อยู่กับสิ่งนี้ได้นานๆ
“มากกว่านั้นคือเราได้รู้ว่าเกษตรกรเขาต้องการคนไปช่วยพัฒนา เพราะเขาก็จะได้ผลผลิตที่ดี ราคาก็ดีกว่า เราเองก็จะได้วัตถุดิบที่ต้องการ เราเลยอยากทำอะไรที่มันสนุก แล้วก็สร้างประโยชน์กับคนอื่นได้”
การรวมตัวกันของสี่สหายจึงเกิดขึ้นเพื่อสร้างแบรนด์คราฟต์ช็อกโกแลตที่เข้าถึงง่าย!

เมนูแก้ pain point ให้คนไทย
เรามักจะเห็นแบรนด์คราฟต์ช็อกโกแลตที่เน้นขายช็อกโกแลตบาร์มากกว่า และถึงเป็นช็อกโกแลตดริงก์ก็ยังไม่เคยเห็นเจ้าไหนที่ทำแบบนำกลับบ้านได้มากนัก มุมมองที่เราเห็นนี้เองก็เป็นมุมเดียวกับที่ทั้งสี่คนมองว่าเป็นช่องว่างของตลาด
“คนไทยมักจะมองช็อกโกแลตเป็นขนม บวกกับคนสมัยนี้ไม่ทานหวาน พอมันเป็นแบบนั้นเขาก็จะแอนตี้ช็อกโกแลตกัน ยิ่งถ้าทำเป็นช็อกโกแลตบาร์แบบที่คนคุ้นเคย เขาจะยิ่งมองว่าเป็นขนมเข้าไปใหญ่เลย เราเลยคิดว่าอย่างนั้นเราทำเครื่องดื่มดีไหม
“แล้วเราก็พรีเซนต์ว่าส่วนผสมนี้มีอะไรบ้าง ใช้ช็อกโกแลตและน้ำตาลในกระบวนการคั่วเท่าไหร่ แล้วเวลาไปออกบูทก็ชงให้เขาดูสดๆ ไปเลยว่าเราใช้ช็อกโกแลตบาร์ที่ผ่านการเติมน้ำตาลในกระบวนการคั่วแล้ว มาสตีมกับนมนะ ไม่ได้มีไขมันอื่นๆ หรือครีมเทียมผสม คนก็น่าจะเปิดใจมากขึ้น” เบนซ์เล่าถึงแนวคิดตั้งต้น
ข้อดีของการทำช็อกโกแลตที่คนนำกลับบ้านไปทานได้คือความแตกต่าง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยกลิ่นรสที่อาจไม่ชัดเจนเท่ากับทานสดๆ หน้าร้านถ้าเก็บไว้นานเกิน 7 วัน หน้าที่สำคัญของพวกเขาจึงคือการสื่อสารให้คนเข้าใจ


รสชาติหลากหลาย ตอบโจทย์คนทุกกลุ่ม
กินง่าย ดื่มง่าย อร่อย และไม่ทำร้ายสุขภาพ คือสิ่งที่แอ๋มนิยามช็อกโกแลตดริงก์ของ Chocoholic เพราะภาพที่พาร์ตเนอร์ทั้งสี่คนอยากให้ chocoholic เป็นคือการเป็นแบรนด์คราฟต์ช็อกโกแลตที่เข้าถึงง่าย
แรกเริ่มเมนูช็อกโกแลตดริงก์ที่เบนซ์คิดค้นจึงคือเมนู Chocolate Signature ที่มีช็อกโกแลต 70% และมีน้ำตาลซึ่งใส่เข้าไปตั้งแต่กระบวนการคั่วอีก 30% เพื่อดึงกลิ่นรส เมนูนี้จะมีความนัตตี้ ผสมเบอร์รี และเรซินเบาๆ ถือเป็นเมนูทานง่าย ไม่มีกลิ่นซับซ้อนจนคนไม่เข้าใจ และเมนู Holic No.1 ที่มีช็อกโกแลต 80% ส่วนน้ำตาลในกระบวนการคั่วนั้นอยู่ที่ 20% รสชาติจึงหวานน้อยกว่าเมนูแรก
“เราอยากให้คนลองชิมว่ามันต่างกันจริงไหม ที่สำคัญ คนทานหวานน้อยกันมากขึ้น บางคนขอแบบไม่ใส่นมเลยก็มี” เบนซ์อธิบาย จุดร่วมของช็อกโกแลต 2 เมนูแรกคือโกโก้นั้นมาจากหลายแหล่งปลูก แต่เมื่อคนเริ่มเปิดใจมากขึ้น เขาก็เริ่มคิดค้นช็อกโกแลตดริงก์สูตรอื่นๆ ซึ่งเมล็ดโกโก้นั้นมาจากแหล่งปลูกเดียวหรือที่เรียกว่า single origin



ไม่ว่าจะ Thang Kwian โกโก้จากระยองที่มีกลิ่นผลไม้ตากแห้งเบาๆ ทั้งยังเป็นตัวที่เหมาะกับคนชอบทานหวานน้อย เพราะเปอร์เซ็นต์ช็อกโกแลตสูงถึง 80 ตัว, Phuket ที่มีกลิ่นมอลต์ ผลไม้ และบิสกิต, Lampang ที่มีความฟรุตตี้ผสมผสานกับผลไม้แห้ง และ Kamphang Phet ที่มีทั้งกลิ่นผลไม้ มอลต์ และบิสกิต
ดูๆ แล้วหลายคนอาจสงสัยว่ากลิ่นรสของบางตัวก็เหมือนกันนี่นา แต่ที่จริงแล้ว คราฟต์ช็อกโกแลตละเอียดกว่านั้นมาก เช่นกลิ่นนัตตี้ ก็ยังแยกย่อยไปอีกว่าเป็นถั่วแบบไหน จะถั่วลิสง อัลมอนด์ พิตาชิโอ แมคคาเดเมีย ฯลฯ หรือถ้ากลิ่นผลไม้ จะเป็นกลิ่นอะไรได้บ้าง
“เราเป็นด่านหน้าที่เจอลูกค้า เราเลยอยากทำให้เมนูมันมีทางเลือกให้ลูกค้าด้วย คนที่ชอบเปรี้ยวๆ ก็กินตัวนี้ได้เลย แต่ถ้าคนเพิ่งเริ่มก็ลองอีกตัวไหม พอเขาชินแล้วก็ค่อยๆ เพิ่มระดับตัวอื่นๆ ให้เขาได้ทำความเข้าใจ” เบนซ์บอกความตั้งใจ
นี่ล่ะคือความสนุกของคราฟต์ช็อกโกแลตที่เราอยากชวนทุกคนไปสัมผัสด้วยตัวเอง

แพกเกจจิ้งที่เป็นประตูบานแรก
“ผลตอบรับเหรอ ถ้าครั้งแรกที่ออกร้านเลยอะเฟล” เบนซ์ย้อนเล่าเมื่อเราถามถึงผลตอบรับจากความตั้งใจในการคิดค้นสินค้าที่แตกต่าง
“เฟลมากเพราะเราเสิร์ฟในแก้วพลาสติกธรรมดา คนก็รู้สึกว่าช็อกโกแลตอะไรแก้วละ 100 กว่าบาท เขาก็เดินผ่านไปเลย ถ้าไม่เดินผ่านก็มาซื้อครอฟเฟิลที่ขายคู่กันมากกว่า เราเลยกลับมาทำการบ้านกันใหม่ว่าจะปรับยังไงบ้าง” แอ๋มเสริม
เมื่อคิดว่าต้องหาแพกเกจจิ้งใหม่ แอ๋มที่สนใจเรื่องวัสดุเพื่อสิ่งแวดล้อมอยู่แล้วจึงค้นพบว่ากระป๋องอะลูมิเนียมนั้นรีไซเคิลได้ 100% โดยไม่จำเป็นต้องลอกสติ๊กเกอร์ออก ลูกค้ายังนำไปใช้ปลูกต้นไม้ ใส่ของ เอาไปขายต่อก็ได้ อะลูมิเนียมยังกันแสงแดดและคุมอุณหภูมิได้ดีกว่า ทั้งยังน้ำหนักเบากว่าขวดแก้ว เหมาะกับการขนส่ง ที่สำคัญ ในตลาดเดียวกันยังไม่เคยมีใครใช้อะลูมิเนียมด้วย
“มีคนเคยบอกว่าราคาช็อกโกแลตสูงขนาดนี้เพราะกระป๋องแน่เลย แต่เราขอบอกเลยว่าเราไม่ได้บวกค่าแพกเกจจิ้งลงไป แล้วกระป๋องอะลูมิเนียมราคาต่างจากพลาสติกไม่กี่บาท” แอ๋มอธิบาย
เมื่อได้วัสดุที่ใช่ เบนซ์ที่เป็นกราฟิกดีไซน์เนอร์อยู่แล้วจึงเริ่มออกแบบคาแร็กเตอร์ของช็อกโกแลตแต่ละเมนูเพื่อให้คาแร็กเตอร์บ่งบอกที่มาของเมล็ดโกโก้ที่ใช้ด้วย

แบรนดิ้งชัดเจนเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้
ความตั้งใจแรกของทั้งสี่คนคือการทำแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์สนุก ให้คนเห็นแล้วรู้สึกว่ากินช็อกโกแลตแล้วผ่อนคลาย แต่ครั้งแรกๆ พวกเขาตีความคำว่า ‘สนุก’ ผ่านภาพประกอบที่ดูน่ารักขี้เล่น และมีองค์ประกอบรายล้อมมากมาย
ภาพลักษณ์นั้นทำให้ลูกค้าบางคนมองว่า ‘เด็กมากเกินไป’ เป็นผลมาจากการที่พวกเขามองกลุ่มลูกค้ากว้างๆ นั่นคือกลุ่มคนทำงานที่มีรายได้ปานกลางด้วยราคาสินค้าที่ค่อนข้างสูงกว่าท้องตลาด
“เราก็ได้รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของเราคือคนเพศไหนก็ได้ ไม่ได้จำกัดอายุ แต่เขามองหาสินค้าที่มีคุณภาพโดยที่เขาไม่ได้สนใจราคาเท่าไหร่ เขาจึงเป็นคนกล้าลองสิ่งใหม่ๆ แต่สิ่งนั้นมันต้องดูคูล ดูสมกับเขา”
จากกลุ่มเป้าหมายนั้น เบนซ์มองว่าความสนุกที่มองจะสะท้อนผ่านการเลือกใช้สีสัน ไม่ใช่การใส่องค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ ลงไป เพื่อให้ภาพที่ออกมายังดูเรียบง่าย แล้วจึงเลือกใช้ฟอนต์ที่โมเดิร์นขึ้น



“อย่างตัว Thang Kwian จังหวัดระยอง เป็นที่ที่ผมไปกี่รอบก็เจอแต่ฝน เมล็ดที่ได้มันจะมีความเป็นผลไม้แห้งสูงมาก มีความเปรี้ยวปลายๆ เหมือนส้มเขียวหวาน แล้วก็มีกลิ่นหมัก ผมเลยอยากให้คาแร็กเตอร์ของ Thang Kwian สื่อสารถึงความเป็นผลไม้ฤดูฝน จึงได้เป็นรูปทรงกล้วย จากนั้นก็ใส่กางเกงให้เขาเพื่อใส่ความแฟชั่นลงไป ส่วนสีพื้นหลังก็เลือกให้ตัดกันหน่อย เพื่อให้ฟอนต์มันเด่นชัด” เบนซ์อธิบาย ก่อนที่แอ๋มจะเล่าถึงผลลัพธ์หลังจากนั้น
“กลายเป็นว่าคนเดินผ่านหน้าร้านแล้วเอ๊ะว่าอะไร จากนั้นก็เข้ามาคุย เข้ามาถามว่ามันคืออะไร การเล่าเรื่องราวต่างๆ มันก็ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน” ข้อดีของการทำทั้งแบบพร้อมดื่มและแบบกลับบ้านยังคือความแตกต่างที่ทำให้พี่ๆ ในวงการคราฟต์ช็อกโกแลตพร้อมโยนลูกค้ามาให้ Chocoholic ด้วย
“จากการปรับเปลี่ยนครั้งนั้นทำให้เราได้เข้าใจว่าภาพลักษณ์สำคัญมากๆ มันกลายเป็นการตลาดโดยที่เราไม่ต้องเสียเงิน เป็นการตลาดที่คนแค่ถือออกไปจากร้านก็มีอีก 30 คนเดินกลับมาหา แล้วเดี๋ยวนี้ ทุกคนซื้ออะไรไป เขาก็อยากถ่ายรูปลงโซเชียล คนก็จะเห็นสินค้าของเราต่อไปเรื่อยๆ” แอ๋มสรุปบทเรียนสำคัญ

Price
ราคามาตรฐานที่โอบอุ้มชุมชนคราฟต์ช็อกโกแลต
ช็อกโกแลตดริงก์ของ Chocoholic ราคา 135 บาท ถ้าเปลี่ยนจากนมวัวเป็นนมโอ๊ตจะอยู่ที่ 155 บาท
ส่วนช็อกโกแลตบาร์ที่ทุกคนคุ้นเคยราคา 160 บาท ช็อกโกแลตสำหรับนำกลับไปชงเป็นช็อกโกแลตดริงก์ที่บ้าน ปริมาณ 300 กรัม ราคา 690 บาท และช็อกโกแลตคอร์นเฟลกส์ราคา 120 บาท
ถ้าเทียบกับราคาช็อกโกแลตที่เราซื้อตามห้างสรรพสินค้า หรือร้านขายของชำทั่วไป แน่นอนว่าราคาของ Chocoholic ย่อมสูงกว่า แต่ทั้งสี่คนกลับบอกเราว่านี่คือราคามาตรฐานของคราฟต์ช็อกโกแลตที่ใช้โกโก้แท้ๆ ปราศจากสารปรุงแต่ง
“เราก็กลัวนะว่าจะมีคนเข้าใจไหม แต่ต้นทุนเราสูงกว่าราคาท้องตลาด สมมติท้องตลาดขายราคา 45 บาท แต่ต้นทุนเราเกือบ 60 แล้ว ด้วยตลาดก็ยังถือว่าใหม่มากๆ ใหม่กว่ากาแฟเยอะ คนที่ทำก็ยังเป็นการทำกันเล็กๆ ในครัวเรือน ไม่ใช่เชิงอุตสาหกรรมเท่ากาแฟ ต้นทุนหลายๆ อย่างจึงแพงกว่ากาแฟเยอะมาก อย่างเช่นเราได้โกโก้ผลสดมา 1 ตัน มันจะเหลือเป็นเมล็ดสดเพียง 100 กิโลกรัม
“จากนั้นก็นำมาผ่านกระบวนการต่างๆ แล้วสุดท้ายจะได้แค่ 10 กิโลฯ ในการทำคราฟต์ช็อกโกแลต ที่สำคัญเรายังไม่ได้ดึงตัวบัตเทอร์ซึ่งเป็นสารสำคัญที่มีประโยชน์และเพิ่มความหอมอร่อยของโกโก้ออกมา แต่ช็อกโกแลตอุตสาหกรรมเขาจะดึงออกกันเสียส่วนมาก” เบนซ์เล่าเบื้องหลัง



การสื่อสารเรื่องราวและที่มาเบื้องหลังจึงสำคัญมาก บวกกับเมื่อชุมชนคราฟต์ช็อกโกแลตก็ขายราคาเท่าๆ กัน ผู้คนจึงเริ่มเข้าใจถึงที่มาของราคานี้
“พอสารที่เราสื่อมันตรงกันลูกค้าก็เข้าใจ กลุ่มลูกค้าเราอาจจะเล็ก แต่เขาจะเป็นลูกค้าประจำที่ซื้อแล้วซื้ออีก บางคนถามว่าจำผมได้ไหม ผมสั่งทุกเดือนเลย วันนี้ก็มาจากนครปฐมเพื่อมาซื้อของเรากลับไป เราก็แอบดีใจที่มีคนเข้าใจสินค้า เพราะต้นทุนที่สูงของเรามันก็มาจากการที่เราให้ราคาที่เป็นธรรมกับพี่ๆ น้องๆ เกษตรกร” แอ๋มอธิบาย และนั่นหมายความว่าทุกๆ ใบเสร็จที่ลูกค้าจ่ายถือเป็นการสนับสนุนเกษตรกรไทยด้วย
เธอยังเล่าว่าแม้ต้นทุนของโกโก้ที่ได้มานั้นสูงต่ำไม่เท่ากัน แต่ Chocoholic กลับเลือกตั้งราคาเดียวต่อสินค้าหนึ่งชนิด เพราะอยากให้ลูกค้าได้ลองหลากหลายรสชาติและไม่อยากให้ความชอบของลูกค้าถูกตีกรอบด้วยราคา
“เวลากินรสชาตินั้นรสชาตินี้ มันเหมือนเราได้พาเขาไปเที่ยวจังหวัดต้นทาง” เธอว่าอย่างนั้น

Place
โลเคชั่นที่ใช่และเหมาะกับกลุ่มลูกค้า
Chocoholic จำเป็นต้องพาตัวเองออกไปหาผู้คนเพื่อส่งต่อเรื่องราวและให้ลูกค้าได้ทดลองชิมของอร่อยจากเกษตรกรไทย พวกเขาจึงเน้นการออกบูทเป็นหลัก และมีช่องทางออนไลน์เป็นตัวเสริม
“การออกบูทมันเป็นอะไรที่สื่อสารได้ง่ายที่สุด ตรงที่สุด เขามีคำถามอะไรก็ถามได้เลย กลับกันถ้าเขาสั่งช็อกโกแลตไปกินที่บ้านแล้วมันเปรี้ยว การจะอธิบายให้เขาฟังมันค่อนข้างยาก แต่ถ้ามาที่บูทเราก็อธิบายได้เลยว่าที่มันเปรี้ยวเพราะแบบนั้นแบบนี้ค่ะ” แอ๋มบอก
พูดกันตามตรง สินค้าของ Chocoholic นั้นดีงามทั้งรสชาติ การออกแบบ ไปจนถึงคุณค่าต่อเกษตรกรไทย ชนิดที่เราเองก็คิดว่าสินค้าน่าจะขายตัวเองได้โดยไม่ต้องใช้กำลังแรงกายอะไรมาก แต่ข้อสังเกตของเราผิดคาด เพราะทั้ง 4 คนกลับบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าที่ตั้งของร้านนั้นสำคัญไม่น้อย
“ตอนแรกๆ ที่เราวางขายเราไปออกบูทเล็กๆ ที่งานหนึ่งบริเวณนอกกรุงเทพฯ ชั้นใน กลายเป็นว่าคนไม่เข้าใจ เราก็ท้อแล้วนะว่ามันจะขายได้ไหม เราจะอยู่กับมันต่อได้หรือเปล่า แต่พอรอบต่อไปเราได้มาขายกลางเมือง ฟีดแบ็กมันสุดยอดเลย เราเลยได้เรียนรู้ว่าของมันต้องอยู่ให้ถูกที่”
คำว่า ‘ถูกที่’ ที่แอ๋มบอกกับเราหมายรวมตั้งแต่งานคราฟต์ช็อกโกแลต งานกาแฟ และงานรวมสารพัดขนมหวานที่สถานที่งานจะต้องอยู่กลางเมืองที่มีกลุ่มลูกค้าที่ให้คุณค่ากับงานคราฟต์และงานศิลปะ แต่ถ้าอยู่รอบนอกเมืองก็ต้องแน่ใจว่าคนเดินงานจะมากพอ เช่นงาน Thailand Coffee Fest ที่ผ่านมาก็พิสูจน์ว่าที่ตั้งนอกเมืองก็ขายได้เช่นกัน
“เอาจริงๆ แม้กระทั่งสถานที่เดียวกัน แต่ถ้าผิดเวลา หรือแม้กระทั่งผิดออร์แกไนซ์ก็มีผลต่อยอดขาย เพราะถ้าออร์แกไนซ์จัดดี โปรโมตเก่ง แบรนด์เล็กๆ แบบเราก็จะได้ลูกค้าไปด้วย” เธอว่าอย่างนั้น

Promotion
ช็อกชวนชิม ชอบจริงๆ ค่อยเปิดใจรับฟัง
ความคราฟต์ตั้งแต่กระบวนการปลูกโกโก้จนถึงกระบวนการทำช็อกโกแลตบาร์และช็อกโกแลตดริงก์นั้นเป็นเรื่องแสนนามธรรมและอธิบายให้เห็นเป็นภาพได้ยาก กลยุทธ์ชวนให้ชิมจึงเป็นประตูบานแรกที่ทั้งสี่คนใช้ดึงดูดลูกค้า จากนั้นจึงค่อยๆ เล่าเรื่องราวเบื้องหลังที่มาของแบรนด์ให้ฟัง
“ส่วนใหญ่คนอื่นจะให้กินแบบช็อกโกแลตบาร์ แต่เราชงช็อกโกแลตดริงก์ให้ชิมเลย เพราะเราว่ามันเข้าใจง่าย ชิมง่ายกว่าและลื่นคอกว่าด้วย แล้วที่สำคัญถ้าเราเอาแต่เล่าเรื่องของเราก่อน คนที่เขาไม่มีเวลาเขาอาจเดินผ่านไปเลยก็ได้ แต่พอเราให้ชิมแล้วเขาสนใจหยุดฟัง เราก็แค่เล่าต่อ มันจะทำให้คนเปิดใจกว่าเยอะเลย” เบนซ์เล่าประสบการณ์ก่อนที่แอ๋มจะเสริมว่า
“ถ้าคนที่ไม่มีเวลา เราก็จะถามก่อนว่าชอบแบบไหน หวานมาก หวานน้อย เพื่อให้เขาได้ชิมตัวที่เขาน่าจะชอบ แต่ถ้าคนที่มีเวลาเราจะเสิร์ฟตามสเตป จากที่รสชาติเข้าถึงได้ง่ายค่อยๆ ไปรสชาติที่ซับซ้อนขึ้น”


หัวใจสำคัญคือการสื่อสารเรื่องราวเบื้องหลัง
เมื่อคนชิมแล้วว้าว ทั้งสงสัยว่าทำไมช็อกโกแลตดริงก์ที่ได้ชิมนั้นแตกต่างจากที่เคยทานมาตลอด ทั้งสี่คนจะเริ่มอธิบายที่มาให้ทุกคนฟังถึงแหล่งปลูก เกษตรกรเจ้าของแหล่ง พื้นเพดั้งเดิมของสวนนั้นๆ ไปจนถึงกระบวนการทำที่หยิบเอาช็อกโกแลตบาร์มาชงสดๆ กับนมหน้าร้านโดยไม่มีน้ำตาลหรืออะไรผสม
“เราเคยเข้าใจว่าปลายน้ำอย่างเราจะไปสำคัญกับวงการช็อกโกแลตได้ยังไง แต่จากการขายหน้าร้านมันทำให้เราได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเราเหมือนด่านหน้าให้พี่ๆ เกษตรกร ถ้าเราพรีเซนต์ดี เล่าเรื่องดี แล้วขายดี เขาก็จะขายดีไปด้วย ที่สำคัญเรายังได้ฟีดแบ็กกลับไปให้เกษตรกร ให้เขามีกำลังใจ ให้เขารู้ว่าตรงไหนที่ควรพัฒนา” แอ๋มบอก
นอกจากการสื่อสารที่บูทแล้ว ที่ผ่านมา Chocoholic ยังเคยจัดเวิร์กช็อปสนุกๆ ให้ลูกค้าได้เบลนด์ช็อกโกแลตดริงก์ของตัวเอง พร้อมๆ กับการเรียนรู้กระบวนการเบื้องหลังกว่าจะมาเป็นคราฟต์ช็อกโกแลต

โปรโมชั่นเอาใจคนสำคัญ
กลยุทธ์การส่งเสริมการขายของ Chocoholic ยังไม่จบแค่นั้น ทั้งคู่ยังมีโปรโมชั่นซื้อเซต 3 กระป๋องลดไปเลย 15 บาท โปรโมชั่นซื้อ 10 กระป๋องแถมช็อกโกแลตดริงก์ 1 กระป๋อง หรือช็อกโกแลตบาร์ 1 บาร์ และถ้าซื้อครบ 15 กระป๋อง รับไปเลยส่วนลด 15% ในการซื้อครั้งต่อไป
“เรามีลูกค้าประจำที่กินประจำ เขาก็จะถามว่าไม่มีสะสมแต้มเหรอ พี่สั่งทุกอาทิตย์เลยนะ เราก็เอาฟีดแบ็กตรงนั้นมาทำเป็นโปรโมชั่นนี้นี่แหละ”
นอกจากโปรลด แลก แจก แถมของร้านแล้ว Chocoholic ยังมีกิมมิกน่ารักๆ ที่สะท้อนความเป็นชุมชนชาวคราฟต์ของวงการช็อกโกแลตอีกด้วย เช่นถ้าลูกค้ามีใบเสร็จจากร้านหนึ่ง ก็นำมาเป็นส่วนลดของร้าน Chocoholic ได้ ซึ่งเป็นวิธีการแชร์ลูกค้า ที่ร่วมกันทำกับร้านอื่นๆ
“มันเป็นการแชร์ลูกค้ากันในคอมมิวนิตี้ที่เรารู้สึกว่ามันน่ารักดีนะ แล้วลูกค้าก็จะไม่รู้สึกกดดันที่จะเลือกซื้อของในบริเวณนั้น” แอ๋มเสริม

Passion
แพสชั่นคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ในวงการนี้
“จริงๆ เราหาคำเยอะมากๆ ว่าคำไหนที่จะเหมาะกับการเป็นอีก P ที่สำคัญกับการทำ Chocoholic สุดท้ายคำที่มันเป็นเราที่สุดคือคำว่า passion” แอ๋มตอบทันทีหลังจากเราชวนย้อนคิดว่านอกจากหลัก 4P ทางธุรกิจ เธอและพาร์ตเนอร์อีก 3 คนคิดว่าหลักอะไรอีกบ้างที่ทำให้แบรนด์เกิดขึ้นและเดินทางมาถึงทุกวันนี้
“ผมรู้สึกว่าแพสชั่นมันคือสิ่งที่เราพร้อมจะไปกับมัน เพราะเราชอบ เราหลงใหล เรารู้เป้าหมาย และเราจะทุ่มเทและอยู่กับมันได้จริงๆ แม้จะเจอปัญหา เราจะไม่ค่อยมองว่ามันคือปัญหา แล้วไอ้คำคำนี้มันทำให้มาเจอกลุ่มคนที่มีแพสชั่นเดียวกันนั่นก็คือคนที่อยากขับเคลื่อนวงการคราฟต์ช็อกโกแลตไทย มันยิ่งทำให้เรารู้ว่าเราทำไปเพื่ออะไร สิ่งที่เราทำจะมีประโยชน์กับใคร
“แม้เวลาเราไปแข่งทำช็อกโกแลต เราก็ไม่ได้มองว่าเขาคือคู่แข่ง แต่เขาคือเพื่อนที่เราไปยืนคุยกันได้และเชียร์กันได้ มันเป็นคอมมิวนิตี้ในอุดมคติที่เราอยากอยู่ มันเป็นคอมมิวนิตี้ที่ทุกคนมารวมตัวกันด้วยแพสชั่นเดียวกัน” เบนซ์อธิบายคำว่า ‘แพสชั่น’ ในมุมของเขา


นอกจากแพสชั่นจะทำให้พวกเขาได้เจอคอมมิวนิตี้ดีๆ แล้ว ทั้งสี่คนยังมองว่าคำคำนี้เป็นตัวพิสูจน์ว่าใครจะสามารถอยู่กับเจ้าคราฟต์ช็อกโกแลตได้เช่นกัน เพราะการจะทำแบรนด์คราฟต์ช็อกโกแลตขึ้นมาได้สักแบรนด์ไม่ได้อาศัยเพียงจำนวนเงิน แต่จะต้องอาศัยเวลาและความพยายามมหาศาล
“ถ้าไม่มีคำคำนี้ เราคงไม่มานั่งทำอะไรแบบนี้ เราคิดกันด้วยซ้ำว่าถ้าวันนึงสิ่งนี้มันทำเงินให้เราไม่ได้แล้ว เรายังอยู่กับมันได้ไหม คำตอบเราก็ตรงกันนะว่าเรายังอยู่ เรายังชอบมัน เรายังทำมันต่อแน่นอน” แอ๋มบอกความตั้งใจ
ภาพของ Chocoholic ที่ทั้งสี่คนวาดไว้จึงไม่ใช่เพียงแบรนด์คราฟต์ช็อกโกแลตทั่วไป แต่พวกเขาอาจพัฒนาตนเองเป็นหนึ่งในคนที่เข้าใจโกโก้ในมุมของเกษตรกร เป็น maker ที่คั่วโกโก้เอง และสามารถผลิตคราฟต์ช็อกโกแลตให้ร้านค้าร้านอาหาร แชร์ความรู้ประสบการณ์เพื่อขับเคลื่อนวงการคราฟต์ช็อกโกแลตไทยให้ไปไกลกว่าเดิม

What I’ve Learned
เบนซ์ : การไม่หยุดอยู่กับที่และการพร้อมแก้ปัญหาเป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจนี้มากๆ เพราะระหว่างทางมันจะเกิดปัญหาอยู่เสมอ
แอ๋ม : เราต้องรู้ให้จริง เราต้องบอกเกษตรกรให้ได้ว่าผลลัพธ์ต่างๆ ที่ออกมาเป็นแบบนี้เพราะอะไร เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นบนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น ถ้าเรารู้จริง เราก็จะได้วัตถุดิบที่ดี เกษตรกรก็จะพัฒนาและเขาก็จะได้ราคาที่ดีขึ้นด้วย
ZEN เจาะอินไซต์แม่ของทุกบ้าน ผ่านแคมเปญ Priceless Menu เมนูนี้…ไม่อยากให้แม่กังวลเรื่องราคา
“แพงไหม.. ถ้าแพงไม่เอา” เชื่อว่าลูกๆ ทุกคนต้องเคยได้ยินประโยคนี้จากแม่ ที่พูดด้วยความเกรงใจ และไม่ยอมให้ลูกเลี้ยงเพราะกลัวว่าจะเป็นการสิ้นเปลือง
ไม่ว่าจะเป็นบ้านไหน ทุกบ้านต้องเจอเหตุการณ์ที่แม่ของลูกๆ บ่นเรื่องการใช้เงินด้วยความเป็นห่วง แม้กระทั่งในวันสำคัญอย่างวันแม่ที่ลูกอยากพาไปกินของอร่อยในโอกาสสุดพิเศษ แต่ก็กลัวว่าจะแพงเกินไป จนไม่ยอมให้ลูกเลี้ยง
หากใครยังจำได้ ในช่วงที่ผ่านมา ZEN ได้เปิดตัวแคมเปญ ‘Mom, It’s OK Not To Cook.’ เชิดชูแม่ที่ทำอาหารไม่เก่ง ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีในโลกออนไลน์ ปีนี้ ZEN กลับมาสานต่อความสำเร็จอีกครั้งในแคมเปญ ‘Priceless Menu’ เมนูนี้..ไม่อยากให้แม่กังวลเรื่องราคา ด้วยการเล่นกับอินไซต์เรื่องการบ่นของแม่เวลาเห็นราคาอาหาร (ที่ไม่ว่าเท่าไหร่ก็บ่นว่าแพง) เพราะจุดร่วมของแม่แทบทุกคนคือล้วนกังวลเป็นห่วงลูก ไม่อยากให้เสียเงินมากเกินไป



ความกังวลเรื่องราคาไม่ได้เกิดแค่กับแม่เท่านั้น แต่สำหรับลูกการสั่งอาหารโดยไม่ให้แม่รู้ราคาก็เครียดไม่แพ้กัน เมื่อไม่ให้ความกังวลอันงดงามของทั้งแม่และลูกเป็นอุปสรรคของมื้อสำคัญ งานนี้ ZEN จึงแก้ปัญหาด้วยการครีเอตเมนูเล่มพิเศษเฉพาะวันแม่ ที่ ‘ซ่อน’ ราคาอาหาร เปลี่ยนเป็นสตอรีน่ารักๆ ระหว่างแม่กับลูก ซึ่งเมื่อลูกสแกน QR code บนเมนู จะเจอเมนูเวอร์ชั่นที่มีราคาจริง ส่วนแม่จะเห็นเพียงเมนูที่ไม่ปรากฏตัวเลขราคา ดังนั้นลูกๆ จึงสบายใจได้
ยังไม่หมดเท่านั้น เมื่อสแกนเมนูสั่งอาหารแล้ว เมนูนั้นสามารถกลายเป็นการ์ดวันแม่ให้ลูกๆ ได้เขียนความในใจมอบให้แม่และเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้อีกด้วย ความน่าสนใจของ Card Limited Edition นอกจากสตอรีที่เล่าถึงสิ่งที่แม่ทำแล้วชวนอมยิ้ม ยังอยู่ที่ภาพอาหารและอิริยาบถต่างๆ ของแม่ ทั้งการกวาดบ้าน ตากผ้า รีดผ้า ขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียน และอาบน้ำให้ลูก ล้วนเป็นสิ่งที่เราเห็นแม่ทำมาตลอด ซึ่ง ZEN ได้นำมาถ่ายทอดได้อย่างน่ารักและลึกซึ้ง โดยเรื่องราวเหล่านี้ยังอาจนำไปสู่บทสนทนาดีๆ บนโต๊ะอาหาร


แนวคิดการสร้างสตอรีสุดซึ้งของ ZEN เริ่มจากความเข้าใจอินไซต์ของลูกค้า และเลือกเรื่องราวที่จะสื่อสารให้สอดคล้องกับโมเมนต์ในช่วงเวลานั้น ทั้งการหากิจกรรมที่เหมาะสม หรือนำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เพื่อเชื่อม generation gap เปลี่ยนช่องว่างระหว่างวัยให้กลายเป็นพื้นที่สมบูรณ์แบบ
วิธีที่ ZEN สื่อสารผ่านแคมเปญนี้ เป็นการใช้สตอรีที่สะท้อนความสัมพันธ์ในครอบครัว สร้างความผูกพันทางอารมณ์และความรู้สึก ด้วยการบอกเล่าผ่านประสบการณ์ที่ทุกคนเคยเจอ ถือเป็นแคมเปญที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์ของแม่ลูกผ่านอาหาร ผสานออนไลน์สู่ออฟไลน์ได้ลงตัว ZEN จึงเปรียบเสมือนสื่อกลางที่สร้างโอกาสดีๆ ระหว่างแม่กับลูกได้อย่างน่าประทับใจ เและเปลี่ยนบรรยากาศให้วันแม่อบอุ่นกว่าที่เคย
วันแม่ปีนี้ พาแม่ไปเลี้ยงข้าวแบบสบายใจไม่ต้องกังวลเรื่องราคาได้ที่ ZEN ทุกสาขา พร้อมสะสม Card Limited Edition ที่หาไม่ได้จากที่ไหน เฉพาะวันที่ 12 สิงหาคมนี้เท่านั้น!
Loopers แพลตฟอร์มซื้อ-ขายเสื้อผ้ามือสองที่แก้ pain point ให้คนขายสบายและคนซื้อแฮปปี้ที่สุด
“เสื้อผ้าหนึ่งตัวผลิตขึ้นมาเพื่อให้ใส่ได้ 30-50 ครั้ง” ชายหนุ่มให้ข้อมูล
“ใส่ได้แทบจะตลอดชีวิต” หญิงสาวเสริม
แต่ในชีวิตใครหลายคน เสื้อผ้าบางตัวกลับถูกใส่เพียงครั้งสองครั้ง จากนั้นถูกแขวนไว้นิ่งๆ ในตู้เสื้อผ้า ท่ามกลางชุดจำนวนมหึมาที่แทบจะไม่ถูกหยิบมาใส่เหมือนกัน
ชายหนุ่มและหญิงสาวที่ว่าคือ กอล์ฟ–ศรัณย์ ศิริภัทรประวัติ และ เกด–พิชามาศ ชัยงาม คู่รักผู้ก่อตั้ง Loopers แพลตฟอร์มส่งต่อเสื้อผ้ามือสองออนไลน์ที่ก่อตั้งขึ้นจาก pain point ในย่อหน้าข้างบน กับพาร์ตเนอร์อีกหนึ่งคนคือ ลูกกอล์ฟ–คณาธิป สุนทรรักษ์ (ใช่ พี่ลูกกอล์ฟแห่งสถาบันสอนภาษา ANGKRIZ และรายการ ‘ถกถาม’ นั่นแหละ) ด้วยความตั้งใจจะลบภาพจำของเสื้อผ้ามือสองที่เคยถูกมองว่าเป็นขยะหรือเสื้อผ้าคนตาย จนกลายเป็นเว็บไซต์ตัวกลางที่จำหน่ายสินค้ามือสองคุณภาพดีไม่แพ้มือหนึ่ง บางชิ้นราคาถูกกว่าครึ่ง ที่สำคัญคือคนขายไม่ต้องทำอะไร แค่ส่งชุดที่ไม่อยากใส่แล้วมาให้ทีม Loopers แล้วพวกเขาจะจัดการต่อให้เอง

แพลตฟอร์มเปิดตัวครั้งแรกราวหนึ่งปีก่อน จนถึงตอนนี้มีเสื้อผ้าในคลังมากกว่า 2 หมื่นชุด และลูกค้า DM เข้ามาชมจนแทบไม่ต้องจ้างใครมารีวิวโปรโมต เพียงเท่านี้ก็พอบอกได้แล้วว่า Loopers ประสบความสำเร็จแค่ไหน
แต่ลึกลงไป เมื่อได้นั่งคุยกับศรัณย์และพิชามาศจริงๆ เราจึงได้รู้ว่าหัวใจหลักที่ทำให้แพลตฟอร์มปังได้ขนาดนี้ คือความเป๊ะในระบบหลังบ้านของพวกเขา มากกว่านั้น มันคือความเชื่อที่ว่า สิ่งเล็กๆ ในชีวิตประจำวันของเราสามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ให้กับคนรอบข้างและโลกที่เราอยู่ได้
บนโลกใบนี้ยังมีเสื้อผ้าคุณภาพดีอีกหลายล้านชิ้นที่ยังมีคุณค่า และสมควรจะถูกใส่มากกว่าแค่ครั้งสองครั้ง บทสนทนานี้บอกเราอย่างนั้น
รู้มาว่าคุณทั้งสองคนอยู่ในอุตสาหกรรมสิ่งทออยู่แล้ว
พิชามาศ : ใช่ เรารับช่วงต่อโรงงานผลิตยูนิฟอร์มมาจากพ่อแม่
ศรัณย์ : ส่วนเราทำโรงงานผลิตเสื้อผ้าให้กับองค์กร หน่วยงานต่างๆ ทั้งชุดพนักงาน หรือชุดที่ใส่ในการส่งเสริมการขาย
พูดได้ว่าผูกพันกับเสื้อผ้ามาทั้งชีวิต
พิชามาศ : เราเห็นกระบวนการทำเสื้อผ้ามาตั้งแต่เกิด คลุกคลีกับคนเย็บ คนแพ็กของ ดีไซเนอร์ พอยิ่งมารับช่วงต่อยิ่งทำให้เราเก่งเรื่องเสื้อผ้าโดยไม่รู้ตัว ไอเทมติดตัวของเราสองคนคือสายวัดตัวและ calibrator เทียบสีแพนโทน เราพกกันเป็นเรื่องปกติเพราะมันเป็นอาชีพเรา
ศรัณย์ : ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาเพื่อนถามว่านี่ผ้าอะไร เราจับแล้วตอบได้เลย แล้วทุกคนก็จะแบบ “เฮ่ย รู้ได้ไง” แต่สำหรับเรามันโคตรเบสิก
พิชามาศ : หรือเวลาไปเดินห้าง เราก็จะแยกกันเดินตามร้านขายเสื้อผ้า ชอบเข้าไปดูการจัดวาง การตัดเย็บ แหวกดูตะเข็บ ดูเนื้อผ้า ดมกลิ่นตามประสาคนทำ (หัวเราะ)

จากคนคุ้นเคยในอุตสาหกรรมสิ่งทอ กลายเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มส่งต่อเสื้อผ้ามือสองได้ยังไง
พิชามาศ : เราชอบการแต่งตัว ชอบการเลือกเสื้อผ้าดีๆ มาใส่ และจะหงุดหงิดเวลาเจอเสื้อผ้าที่ตัดเย็บไม่ดี กลายเป็นว่าจุดหนึ่งเรามีเสื้อผ้าเยอะ แล้วเรารู้ว่าเรามีโอกาสจะใส่มันแค่ตัวละไม่กี่ครั้ง เราบอกเพื่อนๆ เสมอว่าฉันมีเสื้อผ้าแบบนี้นะ ยืมได้นะ มีแนวคิดแบบนี้มานานเป็นสิบๆ ปี
Loopers เกิดขึ้นด้วยแนวคิดนี้แหละ เรามีเสื้อผ้าเยอะและเราอยากให้มันถูกใส่บ่อยๆ แต่จะทำอย่างนั้นได้ยังไง ก็ต้องขายหรือส่งต่อ ตอนแรกเราเปิดไอจีหนึ่งมาขาย แต่เราพบว่ากระบวนการกว่าจะขายได้นั้นมีเยอะมาก ทั้งต้องถ่ายรูป วัดไซส์ ตั้งราคา คุยกับลูกค้า หาแพ็กเกจส่งของ เดาว่าอีกฝ่ายเป็นมิจฉาชีพหรือเปล่า ทำได้ 4-5 ตัวก็ไม่เอนจอย ไม่ทำแล้วเพราะขี้เกียจทำ ไม่มีเวลา
แต่สุดท้ายก็คิดได้ว่า ถ้าเราไม่ทำเสื้อผ้าดีๆ คงไม่ถูกส่งต่อสิ จากนั้นเลยลองเปลี่ยนวิธีใหม่เพราะคิดว่าเราไม่ได้เกิดมาเพื่อขายของ เลยทำเป็นแพลตฟอร์มในการส่งต่อเสื้อผ้าคุณภาพดี ใส่ได้อีกหลายครั้ง โดยมีเราเป็นตัวกลางกรองให้ เพราะเราคิดว่าหลายคนคงมีเสื้อผ้าเยอะแต่ขี้เกียจทำหรือไม่มีเวลาเหมือนเรา

ก่อนจะก่อตั้ง Loopers ในไทยมีแพลตฟอร์มที่ช่วยส่งต่อเสื้อผ้ามือสองหรือเปล่า
พิชามาศ : จริงๆ มี แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ใครจะลงขายเองก็ทำได้ เขาไม่มีคนกรองให้ อาจมีของปลอม ของที่ไม่ใช่เสื้อผ้ามือสอง หรือรูปภาพที่ไม่ใช่สินค้าจริงบ้าง ต้องกังวลว่าคนขายเป็นมิจฉาชีพไหม พอเราเข้าไปดูแล้วรู้สึกว่าแพลตฟอร์มนั้นไม่น่าใช้ และคิดว่าคนอื่นก็คงคิดเหมือนกัน เราเลยอยากทำแพลตฟอร์มที่ไว้ใจได้ มีหน้าตาของระบบที่ใช้งานง่าย มีกระบวนการชัดเจน แค่ผู้ขายส่งสินค้ามาให้แล้วเราเคลียร์ต่อให้ ผู้ซื้อก็สบายใจ
ก่อนหน้านี้ไม่มีแพลตฟอร์มลักษณะนี้ในไทยเลย เราก็ตั้งคำถามว่า “หรือมันจะไม่เวิร์กล่ะ?” แต่พอเสิร์ชกว้างขึ้น เราพบว่ามันเคยมีในเมืองนอกแล้วและมีเยอะมาก บางแพลตฟอร์มประสบความสำเร็จมากจนเข้าตลาดหุ้นได้ นี่ก็พิสูจน์ได้ระดับหนึ่งว่ามันเวิร์ก
ส่วนใหญ่เสื้อผ้ามือสองมักจะขายตามตลาดนัดหรืออีเวนต์ทั่วไป ทำไมจึงเลือกทำแพลตฟอร์มบนออนไลน์
พิชามาศ : เราซื้อเสื้อผ้าออนไลน์ โดยเฉพาะเสื้อผ้ามือสองที่เราชอบซื้อผ่านไอจี แต่พออยู่ในไอจีแล้วไม่สะดวกในแง่ที่ว่า เราต้องมานั่งหาว่าเขาเชื่อถือได้ไหม เสื้อผ้าแบบที่ต้องการก็หายาก มันไม่มีที่เดียวที่รวมมาให้เราเลย และเราคิดว่ามีคนที่หาเว็บไซต์แบบนี้เหมือนเราอยู่ อยากดูอะไรก็เข้ามาฟิลเตอร์หาเองได้ ไม่ต้อง DM ไปหาแม่ค้า ที่สำคัญคือซื้อได้ตลอดเวลา
มีเคสหนึ่งที่เกิดขึ้นช่วงบอลโลกเมื่อปีที่แล้ว อาร์เจนตินาแข่งกับฝรั่งเศส กว่าจะแข่งจบก็เวลาตี 2 ตี 3 ตอนนั้นเรายังไม่นอน แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียง ‘กริ๊ง’ ดังขึ้นมา ปรากฏว่ามีแฟนบอลมาซื้อเสื้อบอลทีมอาร์เจนตินา (หัวเราะ) นี่คือข้อได้เปรียบของแพลตฟอร์มออนไลน์ เพราะร้านมือสองทั่วไปลูกค้าจะขับรถออกไปซื้อ 24 ชั่วโมงแบบนี้ก็ไม่ได้
ศรัณย์ : อีกอย่างคือร้านสินค้ามือสองส่วนใหญ่ที่เชื่อถือได้จะขายสินค้าระดับ high-end แบบ luxury ไปเลย แต่สินค้าที่มูลค่าน้อยลงมายังไม่มีใครทำ หลายร้านยังไม่มีความน่าเชื่อถือพอ เรามองเห็นช่องว่างตรงนี้ด้วย

จาก pain point ที่มองเห็น คุณนำมาออกแบบแพลตฟอร์มต่อยังไง
พิชามาศ : เราออกแบบจากความต้องการของเราเป็นหลัก ชัดเจนเรื่องสิ่งที่จะมีในแพลตฟอร์มตั้งแต่แรก ตั้งต้นว่าภาพสินค้าในแพลตฟอร์มต้องสวย มีรายละเอียดระบุไว้ชัดเจน มีการวัดไซส์เสื้อผ้าทุกส่วน ลงรายละเอียดยิบย่อยให้ผู้ใช้เห็น
อีกอย่างคือการสื่อสารคอนเซปต์ แรกๆ เรากลัวว่าคนอื่นจะมองว่าแพลตฟอร์มนี้จะเป็นศูนย์รวมของเสื้อผ้าที่ถูกโละ เราไม่อยากให้คนมองแบบนั้นเลยใช้เวลาคิดคอนเซปต์นานมาก สุดท้ายก็สรุปได้ว่านี่คือแพลตฟอร์มในการวนของที่ยังใช้ต่อได้ วนของที่มีคุณภาพดีให้คนอื่น
ศรัณย์ : แท็กไลน์ของเราคือ “ส่งเสื้อให้เพื่อนสนิทใส่ต่อ”
พิชามาศ : ใช่ เพราะคิดดูว่าถ้าเพื่อนสนิทส่งเสื้อผ้าไม่ดีให้เราแล้วเราจะทำยังไง ด่าใช่ไหม เราก็เป็นแบบนั้น เราเลยอยากให้การส่งต่อใน Loopers เป็นเหมือนการส่งต่อของดีๆ ที่ต้องคัดมาให้เพื่อนเพราะเดี๋ยวเพื่อนด่า (หัวเราะ) เราชอบบอกกับเจ้าของเสื้อผ้าว่านี่คือตู้เสื้อผ้าออนไลน์ของคุณนะ และจะมีการโชว์หน้าบนเว็บไซต์เราด้วย เขาก็อาจจะเขินถ้าส่งเสื้อผ้าสภาพไม่ดีมา วิธีนี้ทำให้เราใช้เวลากับการคัดเสื้อผ้าน้อยลง เจอเสื้อผ้าที่ใช่มากขึ้น
แต่เหนืออื่นใด เราอยากสื่อสารเรื่องนี้กับผู้ใช้ด้วยความเห็นอกเห็นใจ ไม่อยากให้รู้สึกว่าเป็นการสั่งหรือว่าเขา ไม่โทษเขาว่าเสื้อผ้าแบบไหนที่เราไม่ต้องการ อย่างเรื่องฟาสต์แฟชั่นก็เหมือนกัน เราจะไม่บอกใครว่า “คุณซื้อฟาสต์แฟชั่นคุณไม่รักษ์โลกเลย” จุดประสงค์หนึ่งของ Loopers คือการเป็นแพลตฟอร์มเสื้อผ้ามือสองที่มาช่วยลดโลกร้อนก็จริง แต่เราเห็นจากหลายๆ เพจสิ่งแวดล้อมที่มีวิธีการสื่อสารแบบโทษผู้ใช้แล้วทำให้คนอ่านอึดอัด บางคนเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า “มันผิดมากเหรอวะที่วันนี้ฉันใส่ฟาสต์แฟชั่น” เราพยายามไม่เป็นอย่างนั้น แต่จะบอกว่า “โอเคคุณใส่ได้ แค่ใส่ให้นานขึ้น หรือถ้าคุณไม่มีโอกาสใส่มันให้นานขึ้นก็มาส่งต่อกับเรา แต่เสื้อผ้าต้องอยู่ในสภาพดีนะ”

มีเกณฑ์หรือเงื่อนไขในการคัดเลือกเสื้อผ้ามือสองแต่ละตัวยังไง แบบไหนที่จะอยู่บน Loopers ได้
พิชามาศ : เราใช้เกณฑ์เรื่องคุณภาพเสื้อผ้าอย่างเดียว เสื้อผ้าตัวหนึ่งเราจะตรวจทั้งหมด 12 จุด ตามไบเบิลการดูเสื้อผ้าของเรา ตั้งแต่ตะเข็บรักแร้ กระดุมต้องอยู่ครบทุกเม็ด ซิปต้องใช้ได้ มีป้ายแบรนด์ ไม่มีรอยขาด ไม่มีรอยเยอะมากเกินไป ฯลฯ ถ้าคุณภาพตรงนี้ผ่านเราจะปล่อยขาย
เราไม่มีเกณฑ์เรื่องดีไซน์หรือสไตล์ และจะไม่ตัดสินว่าสไตล์นี้ไม่น่าจะมีคนซื้อหรอก ส่งกลับเจ้าของดีกว่า หรือสไตล์นี้ไม่ใช่เราเลย เพราะเราพบว่าเสื้อผ้าทุกแบบที่ถูกผลิตมามันมีความต้องการอยู่แล้ว ถึงเราจะไม่ชอบแต่เดี๋ยวมันก็มีคนชอบ เพราะคนที่ชอบแต่งตัวเขาจะคิดออกว่าอะไรที่เหมาะกับเขา
ศรัณย์ : เรามาตกผลึกเรื่องนี้ได้ช่วงที่ขายแรกๆ เพราะมีเสื้อตัวหนึ่งที่ถ่ายรูปไม่ค่อยสวย เราคุยกับเกดอยู่ว่าเดี๋ยวเอาตัวนี้มาถ่ายรูปใหม่ดีกว่า แต่ยังไม่ทันได้ถ่ายเลย เสื้อตัวนั้นก็ถูกขายไปแล้ว (หัวเราะ)
กระบวนการก่อนที่เสื้อผ้าตัวหนึ่งจะเดินทางจากเจ้าของเดิมสู่เจ้าของใหม่ ต้องผ่านอะไรบ้าง
พิชามาศ : เล่าอย่างนี้ สมมติวันนี้คุณกลับบ้านไปแล้วรู้ว่ามีเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่แล้วอยู่ ยังทำใจทิ้งไม่ได้เพราะมันมีราคาสูง คุณภาพยังดีอยู่ คุณก็ลงทะเบียนใน Loopers แล้วแพ็กส่งมาให้เรา แล้วบอกราคาคร่าวๆ ว่าอยากให้ขายเท่าไหร่ โดยราคาขั้นต่ำของเราคือ 300 บาท
พอส่งมาที่ Loopers แล้ว เราจะแจ้งกลับเมื่อได้รับของแล้ว จากนั้นจะคัดตามเกณฑ์ที่เรามี ถ้าคัดแล้วเราไม่ติดอะไร ทางเราจะเอาขึ้นหุ่น ถ่ายรูปทุกมุม โดยเป็นรูปที่ซูมแล้วต้องเห็นชัดถ้าหากเสื้อผ้าตัวนั้นมีตำหนิ เสร็จแล้วก็ลงรายละเอียดในแพลตฟอร์มว่าเสื้อผ้าตัวนี้เป็นแบรนด์อะไร ความยาวเท่าไหร่ มีตำหนิจุดไหน หรือบอกสิ่งที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น อย่างของกระโปรงก็จะมีซับใน เป็นต้น เราจะระบุสิ่งเหล่านี้แล้วอัพโหลดขึ้นเว็บไซต์
พอน้องตัวนั้นอยู่บนเว็บไซต์ มีคนเห็น ถูกใจ กดซื้อ เราจะส่งให้เขาจนเรียบร้อย พอถึงรอบเงินที่ต้องจ่ายทางเราจะโอนให้ รายได้ของเราก็จะมาจากการหักค่าการจัดการ ซึ่งจะเริ่มต้นที่ 35% แต่ถ้าราคามากกว่า 1,500 เราจะหักค่าดำเนินการลดลงเหลือ 25%

เท่าที่ฟัง รู้สึกว่ากระบวนการระหว่างทางมีหลายขั้นตอนมาก อะไรทำให้คุณอยากลงไปทำเองทุกขั้นตอนขนาดนี้
พิชามาศ : เราอยากดูแลเองก่อนในช่วงหนึ่ง เพื่อเราจะได้รู้ว่าปัญหาจะเกิดจากจุดไหนได้บ้าง แล้วทำไบเบิลของเราเพื่อเป็นคู่มือ พอพ้นช่วงนั้นมาแล้วเราก็ฝากน้องๆ ในทีมช่วยดูแทน จริงๆ ที่อยากดูทุกขั้นตอนเพราะเราไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ว่าน้องๆ เดินมาถามแล้วตอบไม่ได้เพราะเราไม่เคยผ่านงานมาก่อน
เปิดใช้แพลตฟอร์มมาเกือบ 2 ปีแล้ว สินค้าแบบไหนขายดีที่สุด และทำไมถึงขายดี
พิชามาศ : สินค้าสตรีทแฟชั่นทั่วไป ราคาประมาณ 400-800 บาท และส่วนใหญ่ก็เป็นฟาสต์แฟชั่น เพราะฟาสต์แฟชั่นเขาคิดมาแล้วว่าจะผลิตแบบไหนให้คนหมู่มาก
ลูกค้าส่วนใหญ่ในเว็บ Loopers จะเป็น first jobber หรือน้องๆ เจนฯ Z ที่เขาซื้อเสื้อผ้ามือสองอยู่แล้ว แค่เราทำให้มันสะดวกกับเขาเท่านั้นแหละ เดี๋ยวเขาจะยอมเป็นลูกค้าเราเอง แล้วส่วนใหญ่ 70% ของลูกค้าเก่ากลับมาซื้อซ้ำ เพราะเขารู้ว่าสินค้ามีคุณภาพ ไม่ต้องเสี่ยงซื้อกับมิจฉาชีพที่ของไม่ตรงปก
ศรัณย์ : ลูกค้าส่วนใหญ่จะซื้อแค่ตัวเดียวเพื่อลองใช้ก่อน แล้วเขาเห็นว่าคุณภาพดี ไม่ใช่สินค้ามือสองแบบที่เขารู้จัก บางทีราคาถูกกว่ามือหนึ่งเกินครึ่ง เขาก็จะประทับใจจนมาซื้อซ้ำ อีกอย่างคือ Loopers เป็นแพลตฟอร์มที่มีเสื้อผ้าเยอะ และเขามีเวลาที่จะเลือกได้เยอะขึ้นด้วยซ้ำ
ที่บอกว่าเยอะคือเยอะแค่ไหน
พิชามาศ : ตอนนี้มี 20,000 ยูนิตแบบไม่ซ้ำกันเลย เราเข้าเว็บไซต์ตัวเองเรายังกลัวเลยว่าเราจะได้เสื้อผ้าตัวใหม่แน่ๆ (หัวเราะ) เพราะตามพฤติกรรมคนซื้อเสื้อผ้าเขาซื้อบ่อยอยู่แล้ว อย่างผู้หญิงเวลาจะไปไหนก็จะคิดว่าแต่งตัวอะไรดี เคยซื้อมือหนึ่งราคาเท่านี้ แต่แค่เปลี่ยนที่มาซื้อมือสองที่คุณภาพดีประมาณเดิมแต่จ่ายถูกกว่า ทำไมจะไม่เปลี่ยน เปลี่ยนแล้วไม่พอ กลายเป็นบอกต่อคนรอบตัวอีก ลูกค้าของเราจะเป็นลักษณะนี้ คือเป็นนางบอกต่อทั้งหลาย (หัวเราะ) เราเลยไม่ได้เสียเงินกับการจ้างอินฟลูฯ หรือออกสื่อเท่าไหร่เลย เพราะเรามีลูกค้าที่ขยันบอกต่อแทนเราตลอด


ร้านเสื้อผ้าส่วนใหญ่จะขาดแคลนรีวิว แต่ Loopers มีคนส่งมาตลอดเวลาจน DM แทบระเบิด เพราะเขาเห็นคุณภาพของเสื้อผ้าและความตั้งใจในการส่งต่อให้คนอื่น ชอบการมีอยู่ของเรา หรืออย่างฝั่งเจ้าของเดิม เขาเคยรักเสื้อผ้าตัวหนึ่งมากแต่ไม่ได้ใส่ เพราะไลฟ์สไตล์เปลี่ยนไป เช่น “ตอนนี้ฉันต้องเลี้ยงลูกน่ะ ใส่ตัวนี้ไม่ได้แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าฉันไม่รักมัน และฉันก็บริจาคไม่ลง” พอเขาส่งต่อให้เราแล้วเห็นว่ามีคนเอาเสื้อผ้าตัวนั้นไปใส่ มันเป็นความภาคภูมิใจของการวนใส่ต่อ เขาก็รู้สึกขอบคุณเรา และสิ่งนี้ก็กลับมาเติมเต็มเราในฐานะคนทำด้วยเหมือนกัน
มองในภาพกว้างกว่านั้น คุณคิดว่าการมีอยู่ของ Loopers ส่งผลกระทบต่อสังคมและโลกใบนี้ยังไง
พิชามาศ : ส่งผลเยอะโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ จริงๆ การใส่เสื้อผ้าตัวเดิม ใช้ของที่มีอยู่มันส่งผลเยอะอยู่แล้ว เพราะกระบวนการผลิตเสื้อผ้าหนึ่งตัวนั้นซับซ้อนมาก ต้องใช้ทรัพยากรโลก คน เวลา ความเชี่ยวชาญหลายอย่าง ถ้าเราตัดตรงนี้ไปได้มันก็ลดการต้องผลิตใหม่ เซฟทรัพยากรได้แบบมหาศาล และตั้งแต่ที่เปิด Loopers มา เราเซฟกันมาได้เป็นหมื่นๆ ตัวแล้ว ถ้าเกิดเราเป็นที่รู้จักมากขึ้นเราจะสามารถเซฟได้อีกเป็นล้านๆ ตัวเลย
และจริงๆ การกลับมาใช้ของเดิมก็ไม่ควรหยุดอยู่กับเสื้อผ้า แต่รวมถึงไลฟ์สไตล์ด้านอื่นๆ พอลูกค้าของเราได้มาเป็นชาวลูป หลายคนมีวิธีคิดในการใช้ของเดิมๆ กับทุกอย่างรอบตัว เขาจะคิดว่าอันไหนยังใช้ได้อยู่ก็ใช้ อันไหนยังใช้ได้แต่รู้สึกไม่เหมาะกับเขาแล้ว เขาก็ส่งต่อ อย่างเสื้อผ้าเด็กเนี่ย ปีหนึ่งต้องเปลี่ยนประมาณ 7-8 ไซส์ พ่อแม่ต้องซื้อเสื้อผ้ามหาศาล บางคนก็อาจนำมาวนมาส่งต่อได้เหมือนกัน

กลับกัน พฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่หลายคนหันมาสนใจไลฟ์สไตล์แบบกรีนๆ มากขึ้น สิ่งนี้ส่งผลต่อธุรกิจของคุณในแง่ไหน
พิชามาศ : เราคิดว่าเขารักเรามากขึ้นนะ เพราะเขาเห็นว่าธุรกิจแบบไหนที่ตอบโจทย์หรือคุณค่าของเขาได้ น้องๆ เจนฯ Z หรือ Alpha หลายคนเราไม่ต้องไปบอกเขาเลยว่าทำแบบไหนจะไม่ดีต่อสิ่งแวดล้อม เขารู้กันอยู่แล้ว แค่บอกเถอะว่ามีทางเลือกอะไรบ้าง เขาพร้อมจะเปลี่ยน ลูกค้าของเราหลายคนเป็น active citizen สนใจการเมืองและสิ่งแวดล้อมจริงจัง ถ้ามีเรื่องอะไรที่เขาเห็นว่าเรายังทำได้ดีกว่านี้ เขาหันมาบอกเราตรงๆ เลยนะ จะมีคนที่พูดว่า “สวัสดีค่ะ ขออนุญาตนะคะ วันนี้มาใช้ Loopers แล้วคิดว่ามีสิ่งที่แนะนำได้ ทำไม่ได้ไม่เป็นไรนะคะ” เขาบอกมาเป็นข้อๆ แล้วพอคุยเรื่องนี้จบเขาก็หันไปคุยเล่นอย่างอื่น เรื่องไร้สาระ เรื่องแมว เราเจอคนแบบนี้เยอะมาก
แรกๆ เรารู้สึกท้าทายกับการรับมือเหมือนกัน เพราะเราไม่รู้ว่าธรรมชาติของเขาเป็นแบบนี้ แต่พอรู้ว่าลูกค้าของเราชอบให้คำแนะนำ ชอบการมีส่วนร่วม เราก็รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เพราะเอาจริงๆ เขาน่ารักกับเรามาก เวลาเขาเจอปัญหาเรื่องอะไรแล้วมาแจ้ง เราก็ขอโทษเขาไปแล้วบอกว่าจะแก้ไข เขาก็ “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวรอ” อะไรอย่างนี้ มันมีความอะลุ้มอล่วยกับเรา
สิ่งที่คุณยึดถือไว้ตลอดในการทำธุรกิจคืออะไร
พิชามาศ : เราจริงจังกับการแก้ไขปัญหา จริงจังกับการอ่านคอมเมนต์ ดู DM เช็กอินบอกซ์ เราไม่ปล่อยผ่านเลยเพราะเราอยากฟังเสียงลูกค้าตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเสียงชมหรือคำแนะนำก็ตาม อย่างคำชม เราได้รับแล้วต้องกลับมาดูด้วยนะว่าเขาชมเพราะขั้นตอนไหน แล้วเราจะทำยังไงให้ลูกค้าคนอื่นรู้สึกแบบที่คนนี้รู้สึก เราจริงจังกับเรื่องนี้มากตั้งแต่วันแรก
คุณรู้สึกว่าสิ่งที่ทำมีคุณค่าตอนไหน ใช่ตอนที่ได้รับคอมเมนต์ชมแบบนี้หรือเปล่า
พิชามาศ : ตอนที่มือถือส่งเสียงดัง ‘กริ๊ง’ แจ้งเตือนว่ามีคนซื้อ ในแง่หนึ่งก็คือเสียงแจ้งเตือนว่ามียอดขายแต่อีกแง่หมายถึงมีเสื้อผ้าถูกส่งต่อแล้ว เพราะนี่คือความตั้งใจของเราตั้งแต่แรกที่อยากให้เสื้อผ้าตัวหนึ่งได้ถูกใช้งานหลายครั้ง
วันนี้ กำไรสำคัญกับคุณแค่ไหน
พิชามาศ : สำคัญมาก เพราะมีกำไรเราถึงอยากทำธุรกิจ ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้สำคัญมากจนเราต้องเอาเปรียบคนทำงานหรือเอาเปรียบสิ่งแวดล้อม กำไรทำให้เรามีความสุขแต่เราอยากทำมันได้ในระยะยาว
ศรัณย์ : ความโปร่งใสคืออีกสิ่งสำคัญสำหรับเรา ตั้งแต่ day 2 เราค่อนข้างมีความโปร่งใสในการทำงาน อย่างโปรแกรมที่เราใช้ทั้งหมดก็ใช้ของที่ถูกลิขสิทธิ์ หรือเสื้อผ้าที่อยู่ในแพลตฟอร์มก็ต้องมีแบรนด์ ไม่ใช่ของผิดลิขสิทธิ์เหมือนกัน

แล้วคุณมองอนาคตของแบรนด์ยังไงต่อ
พิชามาศ : ตอนนี้เราเน้นเรื่องเสื้อผ้าแฟชั่นเพราะอยากทำให้แบรนด์แข็งแรงก่อน ส่วนในอนาคตเราอยากโฟกัสกับการวนใช้ไปเรื่อยๆ ขยายไปสู่ประเภทเสื้อผ้าใหม่ๆ เช่น กระเป๋า อุปกรณ์กีฬา เสื้อผ้าเด็ก เสื้อผ้าแม่ เพราะแม่ท้องแค่ 9 เดือนเอง แต่เสื้อผ้าอยู่ไปอีก 200-300 ปี อยากให้แม่ๆ ซื้อเสื้อผ้ามือสองดีกว่า แล้วเอาเงินไปซื้อนมลูกเพิ่ม อะไรแบบนี้
ศรัณย์ : ถ้าเราโตมากพอก็อยากมี offline store เพราะมันคือ user experience อย่างหนึ่ง อยากให้ลูกค้าเดินเข้าช็อปมาแล้วเห็นเสื้อผ้าที่เป็นไซส์ตัวเองให้เลือก หนึ่งไซส์อาจจะมี 500 แบบ แต่เสื้อผ้าแต่ละตัวจะมีแค่ตัวเดียว มันจะต่างจากร้านเสื้อผ้าทั่วไปที่เดินเข้าร้านจะเจอแค่ 3-4 แบบ แต่คุณเข้า Loopers มาจะมีร้อยแบบให้ลอง โดยที่เป็นไซส์ของคุณ นี่คืออีกก้าวหนึ่งในอนาคตที่เราอยากทำ
การได้ทำแพลตฟอร์มส่งต่อเสื้อผ้ามือสองให้ wear วนไปได้เรื่อยๆ มีความหมายกับคุณยังไง
ศรัณย์ : การได้เห็นว่าเราสามารถทำให้เจ้าของเสื้อผ้า ลูกค้าที่ซื้อ ลูกน้อง จนถึงสิ่งแวดล้อมแฮปปี้ มันทำให้เราอยากทำต่อ มีกำลังใจในการทำงาน และอยากผลักดันให้มันไปไกลกว่านี้อีกเยอะๆ
พิชามาศ : มันทำให้เราเห็นอย่างชัดเจนเลยว่าฉันอยู่ได้ทั้งชีวิตโดยที่ไม่ต้องซื้อเสื้อผ้ามือหนึ่งเลยก็ได้ เพราะเราเห็นปริมาณเสื้อผ้ามือสองคุณภาพดีที่ถูกส่งต่อมามีเยอะมาก มีคนเข้าใจสิ่งนี้ แล้วมันเป็นทรัพยากรที่ทุกคนมีอยู่ในตู้แต่ไม่มีเวลาจัดการมัน เราคิดว่านี่แหละคือสิ่งที่เราต้องพิสูจน์กันต่อไปให้ทุกคนเห็นว่าถ้าเราอยู่ได้ คนอื่นก็อยู่ได้โดยไม่ต้องซื้อใหม่เหมือนกัน

3 คำแนะนำให้คนทำธุรกิจสายกรีน จากพิชามาศ-ศรัณย์ แห่ง Loopers
- “สื่อสารด้วยความเห็นใจ ไม่เบลมใคร การทำแบรนด์เพื่อสิ่งแวดล้อมควรเข้าถึงได้ง่าย ต้องไม่ทำให้ชอยส์เรื่องการรักษ์โลกเป็นพริวิเลจ”
- “ถ้าจะทำธุรกิจรักษ์โลก ก็ต้องรักษ์โลกจริงๆ นะ เพราะถ้าไม่เห็นว่าเรารักษ์โลกไปเพื่ออะไร เราจะคิดกระบวนการทำงานไม่ออกเลย”
- “ฟังความคิดเห็นลูกค้า เห็นปุ๊บแล้วแก้ปัญหาให้เขาเลย เพราะการที่ลูกค้าคอมเมนต์ นั่นแปลว่าเขายังใส่ใจเรา”
‘De-Influencing’ ขั้วตรงข้ามของ Influencer รีวิวสินค้าแบบของมัน (ไม่จำเป็น) ต้องมี
Influencer ถูกขนานนามว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลในโลกออนไลน์ เพราะเมื่อไหร่ที่อินฟลูฯ ทั้งหลายกล่าวถึงสินค้า สาธิตการใช้งาน หรือป้ายยา ย่อมส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้ติดตาม จนกลายเป็นผู้ขับเคลื่อนทางการตลาดที่แบรนด์สินค้าขาดไม่ได้ ทว่าการโน้มน้าวให้ซื้อสินค้าในลักษณะการรีวิว อาจเป็นการอวยหรือรีวิวเกินจริง ทั้งๆ ที่ของบางอย่างไม่จำเป็นต้องมีก็ได้
จากรายงาน The Influencer Marketing Benchmark Report 2023 เผยว่า ในปี 2023 มูลค่าตลาดอินฟลูเอนเซอร์จะเติบโตและมีมูลค่าา 21.1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเติบโตมากกว่าปีที่แล้วกว่า 29% ที่มี 16.4 พันล้านดอลลาร์ และ 83% ขององค์กรได้เตรียมงบการตลาดสำหรับ Influencer Marketing ไว้โดยเฉพาะ และอีก 17% เป็นงบสำหรับการประชาสัมพันธ์โดยมีอินฟลูเอนเซอร์เข้ามาเอี่ยวด้วย นั่นหมายความว่าในมุมของแบรนด์และองค์กรต่างๆ อินฟลูเอนเซอร์เป็นผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดอย่างแท้จริง
โดยปกติแล้ว วัฒนธรรมการรีวิวของอินฟลูเอนเซอร์มักส่งเสริมการบริโภคที่มากเกินไปไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ ทำให้เกิดปรากฎการณ์ Overspending หรือการซื้อเกินความจำเป็น เพื่อให้ตนเองไม่ตกเทรนด์ ซึ่งเทรนด์การรีวิวนี้มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อวงการแฟชัน และความงาม เช่น แบรนด์ Shein ผู้ผลิตเสื้อผ้ารายใหญ่ของโลกที่ปล่อยคาร์บอนออกสู่โลก 8-10% และสร้างมลพิษทางน้ำถึง 20% (ข้อมูลจาก ResearchGate) เมื่อมีการรีวิวเยอะ ย่อมทำให้เกิดการซื้อมากขึ้นตามไปด้วย สอดคล้องกับรายงานของ GWI ที่เผยว่า นับตั้งแต่ปี 2015 มีอัตราการค้นหาสินค้าบนโซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้น 43% ดังนั้น ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็จะมีอินฟลูเอนเซอร์คอยกระซิบข้างหูคุณอยู่เสมอว่าควรซื้ออะไร และทำไมต้องมี
เมื่ออินฟลูเอนเซอร์เริ่มรีวิวแบบไร้ขอบเขต กล่าวชื่นชม พูดถึงข้อดี หรืออวยจนเกินความเป็นจริง ทำให้ผู้บริโภคเริ่มสูญเสียความเชื่อมั่นต่อนักรีวิว จึงทำให้เกิดกระแสขั้วตรงข้ามคือ ดีอินฟลูเอนเซอร์ (De-Influencing) เป็นกระแสที่เกิดขึ้นบนโลกโซเชียล ที่เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ต้องการปกป้องผู้ติดตามจากการซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็น หรือไม่คุ้มค่าเงิน คริส รูบี้ นักวิเคราะห์สังคมออนไลน์ และประธาน Ruby Media Group ได้กล่าวว่า การที่อินฟลูเอนเซอร์รีวิวแบบดึงสติให้ผู้ติดตาม เป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ทบทวนว่าจริงๆ แล้วต้องการสิ่งนี้หรือไม่ เพื่อที่จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของการโฆษณา
กระแสดีอินฟลูเอนเซอร์ได้รับความนิยมอย่างมากใน Instagram, TikTok และ YouTube โดยแพลตฟอร์มที่นำพากระแสนี้มาแรงที่สุดคือ TikTok ถ้าคุณเป็น TikToker สามารถเสิร์จหาวิดีโอเหล่านี้ได้ง่ายๆ ผ่านแฮชแท็ก #DeInfluencing ที่มียอดวิวกว่า 233 ล้านครั้ง แล้วจะพบวิดีโอการรีวิวสินค้าที่ไม่จำเป็นต้องซื้อ ไม่ควรซื้อ ซึ่งบางคลิปมียอดวิวหลายล้าน
ด้าน Michelle Skidelsky นักออกแบบและอินฟลูเอนเซอร์ชาวแคนาดา ได้แสดงความคิดเห็นกับผู้ติดตามกว่า 173,000 คนของเธอว่า ทุกคนไม่จำเป็นต้องมีเสื้อผ้าใหม่ทุกคอลเลกชัน และเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้ก็เป็น Fash Fashion ที่มีราคาแพง ถ้าคุณจะไปเที่ยว หรือไปคอนเสิร์ต ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อชุดใหม่ทั้งหมด แค่ Mix & Match ของที่มีก็เพียงพอแล้ว
สำหรับในบ้านเรา เริ่มมีอินฟลูเอนเซอร์ที่รีวิวแบบดีอินฟลูเอนเซอร์ เช่น อายตา จากช่อง Eyeta ที่รีวิวสินค้าที่ใช้แล้วไม่ชอบ หรือการแนะนำสินค้าที่แทนกันได้ในราคาที่ถูกกว่า เป็นการรีวิวโดยเปิดโอกาสให้ผู้ติดตามได้พิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจซื้อ
กระแสเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า อินฟลูเอนเซอร์หรือครีเอเตอร์เริ่มทำคอนเทนต์ในแบบที่สอดคล้องกับสภาพสังคมและเศรษฐกิจมากขึ้น ในยุคที่ต้องผู้คนต้องประหยัด การซื้อสินค้าราคาแพงอาจมากเกินความจำเป็น ดังนั้น แทนที่จะแนะนำของสินค้าหรูหรา เปลี่ยนการแนะนำสินค้าที่คล้ายกัน คุณสมบัติใกล้เคียงกัน เพื่อให้ผู้ติดตามได้ประโยชน์ที่สุด
แม้ว่าในช่วงหลายปีมานี้ อินฟลูเอนเซอร์จะบอกเราว่า ของมันต้องมี ยังไงก็ต้องซื้อ ทำให้ผู้คนเสพติดการชอปปิ้ง และถือคติว่าของมันต้องมี ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ผู้คนซื้อสินค้าตาม แม้ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาแค่รับเงินมาเพื่อกล่าวชมสินค้าโดยไม่ได้ใช้จริง
จากกระแส #DeInfluencing ที่เกิดขึ้น ทำให้ตอนนี้ผู้บริโภคตื่นตัวกับคอนเทนต์ที่รับชมมากขึ้น มีการคิดไตร่ตรอง ตั้งสติก่อนตัดสินใจซื้อ และการที่อินฟลูเอนเซอร์รีวิวตามกระแสดีอินฟลูเอนเซอร์ ก็ไม่ได้หมายความว่ายุคของอินฟลูเอนเซอร์สิ้นสุดลง หรือเป็นจุดจบของอุตสาหกรรมอินฟลูเอนเซอร์ แต่เป็นเพียงการรีวิวสินค้าในอีกเวอร์ชันหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น ในฝั่งของอินฟลูเอนเซอร์ ไม่ว่าจะรีวิวเรื่องไหนก็ตาม ความจริงใจ ความไว้วางใจ เป็นสิ่งสำคัญที่จะมอบให้แก่ผู้บริโภค
อ้างอิงข้องมูลจาก
เบื้องหลังธุรกิจร้านอาหารในหนังที่มีปารีสเป็นฉาก ทั้ง Emily in Paris, Midnight in Paris, Julie & Julia
คู่มือประกอบสร้าง IKEA ให้กลายเป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่คนหลงรักกว่า 80 ปี

หากนึกถึงที่ที่หนึ่งที่คุณสามารถเดินเที่ยวเล่น ดูเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน หาแรงบันดาลใจในการจัดมุมใหม่ในบ้านของคุณ แถมยังเดินจมอยู่ในนั้นได้ทั้งวันโดยไม่เบื่อ และเมื่อหิวก็หาของกินในนั้นได้ แน่นอนว่าสถานที่นี้จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก ‘อิเกีย’ แบรนด์เฟอร์นิเจอร์เจ้าดังส่งตรงมาจากประเทศสวีเดน
อิเกียย่อมาจากตัวอักษร 4 ตัว ได้แก่ ‘I’ ‘K’ ‘E’ ‘A’ โดย I และ K ประกอบรวมจากอักษรตัวแรกของชื่อผู้ก่อตั้งอย่าง ‘Ingvar’ ‘Kamprad’ (อิงวาร์ คัมพราด) ตัวอักษรที่สามอย่าง E มาจาก ‘Elmtaryd’ ชื่อฟาร์มที่อิงวาร์เติบโตขึ้นมา และตัวสุดท้ายคือ A มาจาก ‘Agunnaryd’ เป็นชื่อหมู่บ้านใกล้เคียง

อิงวาร์เกิดในครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยมากนัก แต่เขามีหัวธุรกิจตั้งแต่ยังเด็ก เช่น ตั้งแต่อายุได้เพียง 5 ขวบ เขาก็แบ่งไม้ขีดไฟใส่กล่องเพื่อให้ขายได้ในราคาถูกลง ซึ่งนี่อาจสะท้อนถึงกลยุทธ์การทำสินค้าราคาถูกของ IKEA ในปัจจุบันก็ได้!
กระทั่งปี 1943 ขณะที่อิงวาร์อายุเพียง 17 ปีเท่านั้น เขาเริ่มต้นขายปากกา กระเป๋าสตางค์ และกรอบรูปผ่านไปรษณีย์ และหันมาขายเฟอร์นิเจอร์และก่อตั้งอิเกียขึ้นอย่างเป็นทางการในอีก 5 ปีต่อมา ด้วยเงินที่พ่อมอบให้ ทั้งตั้งมั่นว่าจะต้อง ‘ทำให้ชีวิตประจำวันของใครหลายคนดีขึ้น’ ด้วยการ ‘เสนอผลิตภัณฑ์ตกแต่งบ้านที่ออกแบบมาอย่างดี ใช้งานได้ดี ในราคาถูกมากที่คนจำนวนมากที่สุดจะสามารถซื้อได้’

นอกจากนั้น เขายังตั้งใจว่าจะต้อง ‘ขยายความเป็นสวีเดนไปทั่วทุกมุมโลก’ เมื่อประสบความสำเร็จในประเทศ อิงวาร์ก็เริ่มขยายสาขาไปทั่วทุกมุมโลกจนปัจจุบันสาขาของอิเกียนั้นมีทั้งหมด 460 สาขา ส่วนในประเทศไทยได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2011
วิสัยทัศน์ของอิงวาร์ข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้คนตกหลุมรักและมีเฟอร์นิเจอร์อิเกียเต็มบ้าน เฟอร์นิเจอร์สัญชาติสวีเดนแบรนด์นี้ยังมีเคล็ดไม่ลับอีกมากที่ทำให้อิเกียเอาชนะใจคนทั้งโลกมากว่า 80 ปี
จากที่อิเกียเปิดให้เราได้ประกอบเฟอร์นิเจอร์ของแบรนด์ด้วยตัวเองแล้ว คราวนี้เราจะชวนไปดูวิธีประกอบสร้างแบรนด์ของอิเกียจนกลายเป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่คนหลงรักกว่า 80 ปี

1. กลยุทธ์การออกแบบที่ใส่ใจลูกค้าทุกแง่มุม
ขึ้นชื่อว่าอิเกียผู้ออกแบบผลงานชิ้นโด่งดังอย่าง BILLY Bookcase ที่ลือว่าขายออกทุกๆ 5 วินาที ฉะนั้นเบื้องหลังเฟอร์นิเจอร์อิเกียทุกชิ้นย่อมมีที่ไปที่มา นั่นก็คืออิเกียยึด ‘Democratic Design’ หรือ ‘การออกแบบที่ใส่ใจทุกแง่มุม’ เป็นแนวคิดการออกแบบตั้งแต่ปี 1995 จนปัจจุบัน
แนวคิดที่ว่าประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 5 อย่าง ข้อแรก อิเกียเน้นผลิตสินค้าที่ ‘ราคา’ ย่อมเยาที่ทุกคนเข้าถึงได้ เช่น โต๊ะเก้าอี้ทานข้าวทั้งเซตในราคาไม่ถึง 5,000 บาท ขณะที่แบรนด์อื่นนั้นปาเข้าไปที่หลักหมื่นแล้ว แต่สินค้าราคาถูกก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ดีเพราะหลักการข้อสองของอิเกีย คือสินค้าต้องมี ‘คุณภาพ’ และ ‘คงทน’


ข้อสามคือ ‘การใช้งาน’ อิเกียเน้นออกแบบสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและทำให้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภคสะดวกสบายมากขึ้น เช่น SLÄKT/สเลค เตียงนอนที่มีที่เก็บของด้านล่างเตียง หรือจะเป็น SKÅDIS/สกัวดิส ชุดแผ่นแขวนจัดเก็บที่เนรมิตให้พื้นที่เล็กๆ ในห้องให้มีระเบียบและวางของได้มากขึ้น
ฟังก์ชั่นก็ต้องได้ แต่ความสวยงามเหนือกาลเวลาก็ต้องมี องค์ประกอบข้อที่สี่ที่อิเกียให้ความสำคัญจึงคือเรื่อง ‘รูปทรง’ อย่างเจ้า GLADOM/กลาดุม โต๊ะที่ยกถาดด้านบนออกได้ นอกจากจะราคาดีเพียง 499 บาท สีสันที่มีให้เลือกก็ยังสวยถูกใจ ทั้งรูปทรงก็ดูคลาสสิก เหมาะกับบ้านทุกสไตล์ ชนิดที่ Tali Roth ผู้ก่อตั้ง Tali Roth Interior Design ที่ออกแบบพื้นที่เก๋ๆ ทั่วโลกยังบอกว่า “ฉันรักชิ้นนี้! สี รูปทรง และความเรียบง่ายล้วนบ่งบอกความเป็นฉัน แถมยังแมตช์ได้ง่ายด้วย”


และข้อสุดท้ายคือความยั่งยืน สมกับที่เป็นประเทศจากแถบสแกนดิเนเวียสุดๆ อิเกียเน้นผลิตสินค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคม เช่น วัสดุต้องนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และบางครั้งก็พัฒนาวัสดุที่ทนทานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้แทนวัสดุเก่า
2. Gruen Effect เขาวงกตแห่งอิเกียที่รู้ตัวอีกทีก็เสียเงินจนได้
เจ้าปรากฏการณ์ Gruen Effect เป็นอาการของคนที่ถูกสภาพแวดล้อมกลืนเข้าไป อาการที่ว่าทำให้คุณลืมว่าจริงๆ แล้วตัวเองมาที่นี่ทำไม เดินไปเรื่อยๆ จนลืมสิ้นว่าตอนนี้กี่โมง มากไปกว่านั้นมือไม้ของคุณอาจจะสั่น จากการอยากได้นั่นได้นี่ (impluse buys) สุดท้ายมองในกระเป๋าเหลืองอิเกียอีกที ของก็เต็มไปหมดแล้ว นี่แหละคือทริกที่ทำให้อิเกียตกลูกค้าได้ทั่วโลกซึ่งการสร้าง Gruen Effect ของอิเกียมีด้วยกันดังนี้
เทคนิคที่ 1: เขาวงกตแห่งอิเกีย
อิเกียวางผังร้านให้เป็นแบบ ‘fixed path’ หรือทางที่กำหนดทางเดินไว้แล้ว ผังที่ว่าเป็นเขาวงกตดีๆ ที่ทำให้เราหลงซื้อและลืมเวลาไปทั้งหมด ถ้าคุณอยากได้ชั้นวางของแล้วเดินเข้าไปที่ร้านอื่นๆ เดินไม่นานก็คงได้ของกลับบ้านเรียบร้อย กลับกันเมื่อเดินในอิเกีย คุณจะเจอของทุกอย่างที่ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อ

ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ โคมไฟ ของจุกจิก กว่าจะถึงจุดที่ชั้นวางของตั้งอยู่ ตะกร้าที่ถือมาก็เต็มไปด้วยสินค้าที่ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อซะแล้ว เป็นผลจากการที่อิเกียต้องการสร้างประสบการณ์ให้คนได้มาเดินเล่น พลางจินตนาการไปด้วยว่าอยากให้ห้องหรือบ้านเป็นยังไง ไม่ใช่ร้านที่เดินซื้อของเสร็จก็จากไป
ความเป็นเขาวงกตของอิเกียนั้นส่งผลสำคัญอีกหนึ่งอย่าง นั่นคือถ้าเดินผ่านของที่อยากได้แล้วไม่หยิบใส่ตะกร้าเดี๋ยวนั้น คุณต้องเดินย้อนกลับมาเอาของชิ้นนั้นอีกรอบ เมื่อคนเห็นของที่อยากได้ ส่วนใหญ่จึงมักหยิบของเหล่านั้นติดตะกร้ามาด้วยทันที สิ่งนี้คือหลักการ ‘scarcity effect’ เช่น ถ้าพูดคำว่า ‘ชิ้นสุดท้าย’ ‘โอกาสสุดท้าย’ ‘วันสุดท้าย’ คนก็จะแห่ซื้อทันที
เทคนิคที่ 2 : เอากระจกที่ไหนส่อง กระจกอิเกียไง
ตามทางเดินเขาวงกตที่ว่า อิเกียยังวางกระจกไว้ทั่วร้านเพราะการส่องกระจกช่วยให้ลูกค้ารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของร้านมากขึ้น เมื่อรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง การตัดสินใจซื้อก็ง่ายขึ้น
เทคนิคที่ 3 : อำนาจแห่งการเป็นเจ้าของ (ในจินตนาการ)
อิเกียทำให้คนส่วนใหญ่วาดฝันว่าอยากให้บ้านของตนเองเป็นแบบนั้นแบบนี้ เมื่อเดินไปทางไหนก็จะเจอแต่ของที่อยากจะจับจอง จินตนาการว่าถ้าสิ่งนี้ไปวางอยู่ที่ห้องจะเป็นยังไง สุดท้ายคำพูดที่ว่า ‘ของมันต้องมี’ ก็จะกำเริบ
อาการนี้เรียกว่า ‘endowment effect’ หรืออาการรู้สึกถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ที่คนเราจะให้คุณค่าต่อสิ่งที่พวกเขารู้สึกถึงความเป็นเจ้าของมากกว่าของทั่วไปๆ พอเริ่มอยากเป็นเจ้าของ บวกกับขี้เกียจเดินย้อนกลับไปในเขาวงกตแห่งอิเกีย โอกาสในการซื้อของลูกค้าก็สูงขึ้น

เทคนิคที่ 4 : ซื้อเลย ราคาเท่านี้คุ้ม!
สินค้าที่อิเกียนั้นราคาถูกอยู่แล้ว แต่ก็จะมีสินค้าประเภทหนึ่งที่ถูกกว่าเดิมแบบไม่ซื้อไม่ได้ โดยเฉพาะโซน ‘Open the Wallet’ แปลตรงตัวก็คือโซนกระเป๋าตังค์รั่ว ที่มักจะมีของประเภทถังขยะพลาสติก กระถางดอกไม้ สลิปเปอร์ ลูกกลิ้งขจัดฝุ่น
การเสียเงินให้กับของเหล่านี้เกิดจาก ‘anchoring effect’ ซึ่ง ‘ณัฐวุฒิ เผ่าทวี’ นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมได้นิยามว่า ‘ความประทับใจเเรก’ นั่นคือคนเรามักจะปักใจกับข้อมูลแรกที่ได้รับมา เช่น เสื้อ A ถ้าวางเดี่ยวๆ ราคา 500 บาท บางคนอาจจะคิดว่ามันแพง แต่ถ้าข้างๆ เสื้อ A เป็นเสื้อ B ราคา 1,000 บาท คนก็จะคิดว่าเสื้อ A ก็ไม่ได้แพงนะ เพราะเขาเหล่านั้นปักใจเชื่อไปแล้วว่าราคาเสื้อที่แพงคือ 1,000 ไม่ใช่ 500
ดังนั้น เมื่อเทียบราคาเฟอร์นิเจอร์ในโซนอื่นๆ กับราคาของในโซน Open the Wallet แน่นอนว่าด้วยทฤษฎีนี้ ถ้าเราซื้อของในโซน Open the Wallet ยังไงก็คุ้ม ซึ่งก็จะเชื่อมไปอีกว่าถ้าคนสามารถซื้อของเล็กๆ ได้ ครั้งหน้าถ้างบในการซื้อของเยอะขึ้น โอกาสในการซื้อของชิ้นใหญ่ก็มีมากขึ้น

เทคนิคที่ 6 : อารมณ์ดีเพราะมีมีตบอล
ย้อนไปตอนที่อิเกียเปิดตัวแรกๆ และยังไม่มีร้านอาหาร ถ้าลูกค้าเดินดูสินค้าในอิเกียแล้วเกิดหิว ก็ต้องเดินออกไปซื้ออาหารซึ่งอาจทำให้เสียลูกค้าได้ เพราะเชื่อว่า “การทำธุรกิจในยามท้องหิวเป็นเรื่องที่หิน” ในปี 1960 อิงวาร์จึงเปิด IKEA Restaurant & Café แห่งแรกที่อิเกียสาขาแรกใน Älmhult ประเทศสวีเดน
แน่นอนว่ามีตบอลรสอร่อยของอิเกียเกิดขึ้นที่นี่ และเมื่อท้องไม่หิว ลูกค้าก็ย่อมอารมณ์ดีขึ้น กลิ่นของอาหารยังช่วยให้สมองหลั่งสารเคมี ‘โดปามีน’ ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ตัดสินใจซื้อของได้ง่ายขึ้น


3. เปิดโอกาสให้สินค้าสื่อสารกับลูกค้า
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้คนตกหลุมรักอิเกียได้ไม่ยาก และไม่รู้สึกว่ากำลังเดินดูสินค้า แต่เดินดูไอเดียมากกว่าคือห้องโชว์รูมที่นำสารพัดสินค้าจากอิเกียมาจับเข้าคู่กันและจัดขึ้นอย่างน่ารักน่าอาศัย ชวนให้เราอยากจะมีบ้านหรือห้องแบบอิเกียไปจริงๆ
นี่คือการตลาดแบบประสาทสัมผัส (sensory marketing) Richard La Graauw ผู้กำกับศิลป์ของอิเกียอเมริกาให้สัมภาษณ์ว่า อิเกียเป็นสถานที่ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้บริโภคได้ ‘เห็น จับ และลอง’ นั่นคือเมื่อผู้บริโภคเดินเข้าไปในห้อง สิ่งแรกที่จะได้เห็นคือไอเดียการตกแต่งที่ดึงดูดให้เดินเข้าไปสำรวจ
จากนั้นถ้าสินค้าดึงดูดสายตา ใครจะไม่อยากหยิบมาลองดู ทั้งผิวสัมผัส น้ำหนัก อุณหภูมิ ก็ทำให้คนหวนนึกถึงสินค้าที่เคยใช้ ความต้องการในการซื้อสินค้าก็มากขึ้น นอกจากนั้น ห้องโชว์รูมยังทำให้ลูกค้าเห็นภาพว่าสินค้าใช้งานแบบไหนได้บ้าง ถือเป็นการใช้สินค้าสื่อสารการออกแบบ ดีไซน์ การใช้งาน ดึงดูดผู้บริโภคโดยตรง โดยไม่ต้องใช้เซลส์หรือคนพูดแทนเลย
4. แพ็กเกจแบบกล่องแบนและ IKEA Effect ที่ทำให้คนตกหลุมรักกับของที่ได้ประกอบเอง
อิงวาร์เริ่มขายเฟอร์นิเจอร์ในปี 1948 พอปี 1951 การส่งเฟอร์นิเจอร์ก็มีค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นจากขนาดที่ใหญ่ของสินค้า แนวคิดสินค้าอิเกียราคาถูกลง จึงเริ่มต้นขึ้น เรื่องมันเริ่มที่ว่าในปี 1956 Gillis Lundgren พนักงานคนที่สี่และดีไซเนอร์แห่งอิเกีย ต้องการขนย้ายโต๊ะตัวหนึ่งไปสตูดิโอเพื่อถ่ายรูปทำแค็ตตาล็อก


แต่คุณพระไม่ช่วย! โต๊ะตัวนั้นมันใหญ่เกินกว่าที่จะบรรทุกไปกับรถที่เขาเตรียมจะบรรทุกมัน เขาเลยปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่า “ทำไมเราไม่ถอดขาโต๊ะออกนะ” จากไอเดียเล็กๆ ในวันนั้นสู่อิเกียในวันนี้ เพราะพอสินค้าอยู่ในกล่องแบนๆ สามารถส่งสินค้าได้ง่ายขึ้นและมากขึ้นต่อหนึ่งคันรถ ทั้งยังลดความเสียหายของสินค้าได้ดี สินค้าอิเกียจึงมีต้นทุนที่ถูกลง และนั่นย่อมทำให้ราคาเข้าถึงได้ง่ายขึ้นด้วย

จาก pain point เรื่องการขนส่ง กลายเป็นว่าการบรรจุสินค้าลงในกล่องแบนแล้วให้คนไปประกอบสินค้าเองทำให้คนติดใจการประกอบเฟอร์นิเจอร์อิเกียไปซะอย่างนั้น อย่างในปี 2011 ได้มีการจัดการทดลองหนึ่งขึ้น ผลลัพธ์คือกลุ่มทดลองที่ประกอบเฟอร์นิเจอร์ของอิเกียสำเร็จ ให้คุณค่ากับงานที่ตนประกอบสูงกว่าค่าจริง
อาการนี้เกิดจากการที่คนรู้สึกดีกับของชิ้นหนึ่งๆ เมื่อเขาต้องใส่ความพยายามลงไปในของสิ่งนั้น (competence และ effort justification) และให้คุณค่ากับสิ่งนั้น (endowment effect) นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่า IKEA Effect ครั้งหน้าเมื่ออยากแต่งบ้านอีกครั้งลูกค้าก็อยากสร้างอารมณ์เหล่านี้ขึ้นมาอีก เขาก็จะตรงไปซื้อสินค้าที่อิเกีย


5. คงเอกลักษณ์ของตนเองพร้อมโอบกอดวัฒนธรรมของคนท้องถิ่น
คติหนึ่งของอิงวาร์คือ ‘การขยาย (อิเกีย) เป็นหน้าที่ของเรา’ อิเกียมีสาขาด้วยกันทั้งหมด 460 สาขา จาก 62 ประเทศทั่วโลก การขยายสาขาไปตามมุมโลกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ด้วยวัฒนธรรมที่หลากหลายและแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ทำให้อิเกียต้องจัดการหากลยุทธ์ที่จะชนะใจคนในพื้นที่นั้นๆ ให้ได้ ซึ่งก็คือการยอมรับและปรับเปลี่ยนตามวัฒนธรรมที่ตั้ง
ก่อนจะมีสาขามากมายทั่วทุกมุมโลก อิเกียย่อมเคยพบเจออุปสรรคมาก่อน ย้อนกลับไปเมื่อปี 1973 ที่อิเกียกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น และขยายกิจการไปที่สวิสเซอร์แลนด์และเยอรมนีได้ ด้วยความฮึกเหิม ในปี 1974 อิเกียได้ขยายสาขาไปยังแดนอาทิตย์อุทัยอย่างญี่ปุ่นและนี่ก็เป็นจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ของอิเกีย
อิเกียเปิดสาขาที่ญี่ปุ่นนาน 12 ปีและจำต้องปิดตัวไป เพราะประเทศญี่ปุ่นขึ้นชื่อด้านการบริการ แน่นอนว่าแนวคิดการต่อเฟอร์นิเจอร์เอง ณ ตอนนั้น ไม่ใช่วิถีทาง ทั้งดีไซน์ยังไม่พอดีกับขนาดบ้านของคนญี่ปุ่นอีก แต่เพราะอิเกียไม่ล้มเลิกง่ายๆ กว่า 20 ปีหลังจากนั้นอิเกียก็กลับมาเปิดที่ญี่ปุ่นอีกครั้ง

ครั้งนี้อิเกียได้ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมญี่ปุ่น บ้านสไตล์ญี่ปุ่น จากนั้นก็นำข้อมูลที่ได้มาเป็นข้อมูลตั้งต้นในการคัดเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีอยู่แล้ว โดยเลือกดีไซน์ที่เหมาะและพอดีกับขนาดบ้านของคนญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังเพิ่มการบริการขนส่ง และการบริการประกอบให้ที่บ้านอีกด้วย การเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นทำให้ในปัจจุบันญี่ปุ่นมีสาขากว่า 12 สาขาทั่วประเทศ
จากบทเรียนนั้นเองทำให้ปัจจุบันอิเกียพร้อมปรับกลยุทธ์การตลาดและดีไซน์ให้เข้ากับวัฒนธรรมในแต่ละประเทศเสมอ เช่น ปรับวัสดุการทำเฟอร์นิเจอร์ในประเทศอินเดียให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ และปรับเปลี่ยนรูปแบบสินค้าตามพื้นที่ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมแค็ตตาล็อกอิเกียถึงต้องมีด้วยกันถึง 4 เวอร์ชั่นคือ ยุโรป อเมริกาเหนือ ออสเตรีย และเอเชีย

6. IKEA Family กับโปรโมชั่นและกิจกรรมสุดพิเศษสำหรับสมาชิก
สิ่งหนึ่งที่ทำให้อิเกียประสบความสำเร็จและยังมีลูกค้าต่อเนื่องคือ บัตร Family Card ของอิเกีย ที่แตกต่างจากบัตรสมาชิกของที่อื่นๆ IKEA Family สร้างขึ้นเพื่อสำรวจความชอบของสมาชิก และทำความต้องการและความฝันของลูกค้าให้เป็นจริง
นอกจากนำข้อมูลจากการใช้บัตรไปพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้แล้ว สิทธิพิเศษต่างๆ ยังทำให้ลูกค้ากลายเป็นแฟนตัวยงที่ไม่ยอมนอกใจอิเกียไปไหน ตั้งแต่คูปองเงินสด สินค้าราคาพิเศษ สิทธิพิเศษในเดือนเกิด กาแฟและชาฟรี ส่วนลดอาหาร รู้ข่าวสารและโปรโมชั่นก่อนใคร
ที่น่าสนใจสำหรับสายแต่งบ้านและเวิร์กช็อป อิเกียมีกิจกรรมดีๆ สำหรับสมาชิกทุกเดือน ท้ังยังมีสิทธิพิเศษ ส่วนลด กิจกรรมสุดเจ๋งที่มีแค่สมาชิกเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมได้ ซึ่งแน่นอนว่าใครก็ชอบเป็นคนพิเศษ

7. ที่ตั้งห่างจากตัวเมืองเพื่อให้คนตั้งใจมาช้อป
อิเกียมักจะตั้งอยู่แถวชานเมืองเพราะขนาดร้านที่ใหญ่ราวๆ 27,871 ตารางเมตรนั้นทำให้หาที่ในเมืองยากเกินไป และที่สำคัญต้องมีที่จอดรถเยอะๆ ดังนั้นถ้าเราๆ ท่านๆ ไม่ได้อยู่ใกล้แบบเดินถึงก็ต้องวางแผนมาอย่างดีว่าอยากซื้ออะไรกลับบ้านเพื่อไม่ให้เสียเที่ยว

ความรู้สึกเหล่านี้เกิดจาก ‘sunk cost fallacy’ ซึ่งเป็นหลักจิตวิทยาที่ว่าด้วยเรื่องการตัดสินใจที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลของมนุษย์ เกิดจากการที่เมื่อตัดสินใจลงทุนอะไรแล้ว ก็จะคาดหวังกับผลลัพธ์จากสิ่งที่ลงทุนไป โดยลืมคิดถึงข้อจำกัดอื่นๆ เช่นเดียวกันกับการไปอิเกียนั่นเอง


8. ทำให้คนเชื่อมั่นด้วยการรับประกันสินค้า 365 วัน
ด้วยจุดขายเรื่องราคาที่ถูกกว่าเจ้าไหนๆ จนอิเกียก็โดนคู่แข่งแบนในระยะแรกๆ ผู้คนอาจมองว่าราคาที่ถูกแสนถูกนี้จะมาพร้อมกับเฟอร์นิเจอร์ที่ไร้คุณภาพ แต่ตรงข้าม! เพราะ pain point นั้นเอง อิเกียจึงยิ่งต้องใส่ใจกับคุณภาพสินค้าและออกนโยบายการรับประกันสินค้าให้ลูกค้ารู้สึกใจชื้น
อย่างนโยบายเปลี่ยนคืนสินค้าภายใน 365 วัน หากลูกค้าใช้ไปแล้วพบว่าไม่ได้ชอบหรือไม่ถูกใจกับคุณภาพหรือดีไซน์ ทั้งยังมีรับประกันสินค้า 10-25 ปี ที่เคยมีคนเคลมสินค้าแล้วจริงๆ ช่วยสร้างความเชื่อใจว่าถ้าสินค้าไม่ดีพอ แบรนด์ก็คงไม่กล้ารับประกันขนาดนั้น แถมยังสร้างประสบการณ์การซื้อของที่ดีจนทำให้อิเกียมีลูกค้าประจำ
9. รักษ์โลกไปกับโซน Circular Shop เพื่อการใช้สินค้าอย่างยั่งยืน
ปัจจุบันโลกได้เข้าสู่ภาวะโลกร้อน และมีความเป็นไปได้ที่จะทวีความรุนแรงขึ้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการทำแคมเปญสินค้าที่มีความยั่งยืน ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคสนใจแบรนด์นั้นๆ มากขึ้น ก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจซื้อ
แม้อิเกียจะออกแบบเฟอร์นิเจอร์ให้ยั่งยืนแล้วก็ตาม แต่แคมเปญรักษ์โลกอาจไม่ส่งตรงถึงผู้บริโภคมากพอ อิเกียจึงหยิบหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้ โดยการเปิด Circular Shop ที่รับซื้อสินค้ามือสองแบรนด์อิเกีย แล้วนำมาขายในราคาที่ถูกลงกว่าเดิมครึ่งต่อครึ่ง


ถ้าสินค้าที่เรานำมาขายไม่ผ่านการตรวจสอบ แต่เราก็ไม่ต้องการสินค้านั้นอีกแล้ว อิเกียก็มีจุดรับรองสินค้าที่ศูนย์รีไซเคิล (recycling center) ที่แบรนด์จะนำไปบริจาคต่อไป นอกจากนี้ศูนย์รีไซเคิลที่อิเกียยังเปิดรับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า และขยะอันตรายอื่นๆ ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าอิเกียต้องการสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืนจริงๆ

10. ปรับตัวตามยุคสมัยจนครองใจคนทั่วโลกกว่า 80 ปี
นอกจากเคล็ดลับที่เรากล่าวมาจะทำให้อิเกียเป็นไอคอนแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่ครองใจคนมานานกว่า 80 ปี อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ การเป็นตัวเองและยึดมั่นในสิ่งที่เชื่อและตั้งใจซึ่งการเป็นตัวเองที่ว่านั้นก็ประกอบขึ้นจากหลักการหลากหลาย
ทั้งการยึดมั่นกับ ‘การทำให้ชีวิตประจำวันของใครหลายคนดีขึ้น’ การคงคอนเซปต์เฟอร์นิเจอร์ที่ใครก็ต้องรู้ว่ามาจากประเทศสวีเดน ทั้งชื่อสินค้า กระทั่งการเสิร์ฟมีตบอลที่มีธงสวีเดนเล็กๆ ปักอยู่
Juan Alcacer ศาสตราจารย์ที่โรงเรียนธุรกิจของฮาร์วาร์ดได้พูดในพ็อดแคสต์ว่า “พวกเขา (อิเกีย) โอบกอดความเป็นสวีเดนให้เป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ คุณจะไม่ค่อยเห็นบริษัทข้ามชาติที่ทำแบบนี้ นี่จึงทำให้อิเกียเป็นอิเกียมาจนถึงทุกวันนี้”
แต่ถึงอย่างนั้นอิเกียก็ไม่ดื้อรั้น เพราะอิเกียยังพร้อมปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสิ่งรอบตัวด้วย ทั้งยังน้อมรับฟีดแบ็กของลูกค้าผ่านการออกแบบที่ตอบโจทย์ทุกคน และสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้กับลูกค้าทั้งออนไลน์และออนไซต์
Barbara Martin Coppola ผู้บริหารสูงสุดในสายงานข้อมูล (CDO) ของอิเกีย กล่าวไว้ในคอลัมน์ Q&A ว่า “ตอนเริ่มทำงานที่อิเกียเจ้านายของเขาเคยพูดว่า เราเปลี่ยนเกือบทุกอย่าง และสำหรับเขา เขาคิดว่านี่หมายถึง แม้อิเกียจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่าง แต่จิตวิญญาณของบริษัทของเรายังคงเดิม”
ขอบคุณภาพจาก : IKEA
ธนาคารในอาคารไร้หลังคาและขนมคาลบี้ เรื่องราวภาคธุรกิจที่พยุงฮิโรชิม่าหลังโดนทิ้งปรมาณู
เช้าวันที่ 6 สิงหาคม เป็นวันที่อากาศอันปลอดโปร่งแจ่มใสของเมืองฮิโรชิม่า ถูกเผาด้วยความร้อนและแรงระเบิดมหาศาล นับเป็นครั้งแรกของมวลมนุษยชาติที่สร้างและลงมือใช้อาวุธนิวเคลียร์ได้สำเร็จ พลานุภาพวิทยาศาสตร์ทำให้เมืองแทบทั้งเมืองของฮิโรชิม่าราบเป็นหน้ากลอง อุณหภูมิอากาศในตอนนั้นถูกเผาไหม้ขึ้นไปที่หลักพันองศาเซลเซียส
นอกจากความตายและความโกลาหลแล้ว สิ่งที่พยานส่วนใหญ่พูดถึงคือความไม่เชื่อสายตาตัวเอง โลกอยู่ในภาวะสู้รบและสงคราม โดยฉพาะญี่ปุ่นเองก็เผชิญกับการสู้รบมาโดยตลอด แต่ความรุนแรงในการรบไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เมืองทั้งเมืองสูญสลายไปในพริบตา
เราอาจเห็นภาพกลุ่มควัน เห็นเมืองที่กลายเป็นกองซากปรักหักพัง เห็นรอยไหม้ที่ลายเสื้อกิโมโนฝังเข้าไปในผิวหนัง ในภาพความเสียหายมหาศาลในชั่ววินาที พื้นที่เมืองหายไป 1 ใน 3 คาดการณ์ผู้เสียชีวิตในทันทีที่ราว 80,000 คนจากประชากรราว 400,000 คนของเมือง ก่อนตัวเลขจะพุ่งสูงขึ้นในวันต่อๆ มา
ที่กลางเมืองฮิโรชิม่ามีแม่น้ำไหลผ่าน ภาพหนึ่งที่บรรยายคือผู้คนต่างวิ่งและลงไปยังแม่น้ำเพื่อหนีจากความร้อน ส่วนใหญ่เสียชีวิตลงที่แม่น้ำ ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่าแม่น้ำลอยฟ่องไปด้วยศพและชิ้นส่วนร่างกาย และระงมไปด้วยเสียงโหวกเหวกครวญคราง เมืองทั้งเมืองถูกปกคลุมไปด้วยโกลาหลและความตาย
แต่ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแทบจะทันทีในวันนั้น ท่ามกลางหายนะและเมืองที่ดูจะล่มสลายและถูกลบออกจากแผนที่ ฮิโรชิม่าและผู้คนของเมืองเรียกได้ว่าลุกขึ้นยืนหยัดแทบจะได้ในวันเดียวกัน และถ้าเรานิยามอย่างคร่าวๆ ฮิโรชิม่าเป็นเมืองที่เริ่มกลับมามีลมหายใจอีกครั้งได้ด้วยเวลาเพียงสองวันหลังการระเบิด หนึ่งในภาคส่วนที่ร่วมพยุงและดูแลซึ่งกันและกันคือภาคประชาชนและภาคธุรกิจที่เรียกได้ว่าฝ่าควันไฟและกลับมาให้บริการกับผู้คนแทบจะในทันที
นี่คือเรื่องราวนับจากนั้น หลังจากวันที่เมืองราบเป็นหน้ากลอง

ลุกขึ้นกลางเถ้าถ่าน และหยัดยืนได้ในสองวัน
ก่อนอื่นอยากให้ภาพเมืองฮิโรชิม่าโดยสังเขปก่อน ฮิโรชิม่าค่อนข้างเป็นพื้นที่เมืองที่มีการพัฒนา คือเป็นเมืองที่มีความหนาแน่น เป็นศูนย์กลางความเจริญ ในยุคหลังด้วยความเป็นเมืองท่า เมืองฮิโรชิม่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางการทหารเมืองหนึ่ง มีศูนย์บัญชาการ ตรงนี้เองที่เป็นสาเหตุอันน่าเศร้าหนึ่งที่อเมริกาเลือกฮิโรชิม่าเป็นเป้าหมายของระเบิดลูกแรก คือเมืองฮิโรชิม่ามีศูนย์กลางเมืองที่ค่อนข้างหนาแน่น ความแน่นขนัดของเมืองนี้จะแสดงแสนยานุภาพของอาวุธใหม่ได้อย่างประจักษ์มากกว่า และฮิโรชิม่านับเป็นเมืองสำคัญทางการทหารที่ยังไม่เคยตกเป็นเป้าหมายในการโจมตีในช่วงสงครามโลกมาก่อน
ทีนี้ แม้ว่าเมืองฮิโรชิม่าจะเป็นที่มีความหนาแน่น แต่อาคารบ้านเรือนของฮิโรชิม่าในยุคนั้นคือทศวรรษ 1940 อาคารบ้านเรือนที่กระจุกตัวอยู่ส่วนใหญ่เป็นอาคารที่ปลูกด้วยไม้ ดังนั้นอาคารไม้จึงสลายไปในพริบตาทั้งจากแรงระเบิดและจากเปลวไฟ หนึ่งในสองอาคารสำคัญที่ยังต้านทานแรงระเบิดได้คืออาคารของธนาคารกลาง (Bank of Japan)
ตัวอาคารของธนาคารกลางสาขาฮิโรชิม่าด้านหนึ่งมีบทบาทในการส่งเงินจากรัฐบาลมายังฮิโรชิม่า ส่วนใหญ่ในกิจการทหาร ตัวอาคารกลางของญี่ปุ่นนี้นอกจากจะเป็นอาคารสมัยใหม่แล้ว อันที่จริงการก่อสร้างอาคารมีบริบทของการเป็นอาคารทางยุทธศาสตร์คือก่อสร้างโดยคำนึงถึงความแข็งแรง ก่อสร้างด้วยคอนกรีตเสริมแรง มีโครงสร้างป้องกันพิเศษที่ประตูและหน้าต่าง
ในวันนั้น เมื่อเมืองทั้งหมดราบกลายเป็นเถ้าธุลี ในการกอบกู้ร่างและหาพื้นที่รักษาพยาบาล อันที่จริงฮิโรชิม่าค่อยๆ ลุกขึ้นในเย็นวันนั้น และภาคส่วนต่างๆ ของเมืองก็ค่อยๆ ยืนหยัดขึ้นแทบจะในทันที ถ้าเรานิยามอย่างคร่าวๆ คือ ฮิโรชิม่าลุกขึ้นกลับมาเริ่มยืนและก้าวเดินอีกครั้งคือสองวันนับจากที่เมืองกลายเป็นซากปรักหักพัง และหนึ่งในพื้นที่ภาคธุรกิจที่กลับมามีชีวิตก็คือในตึกของธนาคารกลางแห่งนี้


คือแม้ว่าธนาคารกลางจะก่อสร้างโดยมีความแข็งแรง แต่จริงๆ ตัวอาคารเองก็พังเสียหาย หลังคาเปิดออก และวินาทีที่ระเบิดลง คนทำงานในอาคารเสียชีวิตอย่างน้อย 20 คนในทันที ในวันที่ 8 สิงหาคมคือ 2 วันหลังจากนั้น ธนาคารกลางได้กลับมาเปิดทำการ และเปิดพื้นที่ให้กับธนาคารอื่นๆ อีก 11 แห่งเข้าใช้พื้นที่สำนักงานและห้องนิรภัย ธนาคารของเมืองจึงกลับมาเปิดทำการในเวลาเพียง 2 วัน ในตอนนั้นเจ้าหน้าที่ธนาคารเปิดให้บริการภายในอาคารที่ประตูและหลังคาพังจากไฟและแรงระเบิด ให้บริการดำเนินไปใต้ท้องฟ้ากว้าง กลางแดดและกลางฝน มีบันทึกว่าเจ้าหน้าที่และผู้รับบริการต้องกางร่มในการฝากถอนหรือทำธุรกรรมอื่นๆ
การลุกขึ้นของเมืองช่วงไม่กี่วันแรกส่วนใหญ่คือการกู้คืนสาธารณูปโภค แน่นอนว่าธนาคารเป็นส่วนสำคัญหนึ่งในการสนับสนุนด้านการเงินในการเยียวยาฟื้นฟู แต่สาธารณูปโภคอื่นๆ ที่กลับมาให้บริการอย่างรวดเร็วนั้นมีข้อสังเกตว่าเป็นความพยายามของรัฐก็จริง แต่ความสำเร็จน่าจะมาจากภาคประชาชนด้วย สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นแทบจะทันทีหลังจากเหตุระเบิดคือการส่งความช่วยเหลือจากเมืองใกล้เคียงเช่นฟุชู คุเระ และยามากุจิ ตรงนี้เองเป็นภาพที่คล้ายกับที่เราคุ้นตาในปัจจุบันคือเมื่อเกิดเหตุร้ายหรือความเสียหายต่างๆ ผู้คนก็พร้อมที่จะเข้าช่วยเหลือทั้งด้วยกำลังหรือทรัพยากรแทบจะในทันที
นอกจากธนาคารแล้ว สาธารณูปโภคของเมืองได้รับการกู้คืนและกลับมาให้บริการอำนวยความสะดวกภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ ระบบไฟฟ้าเริ่มกลับมาจ่ายให้บ้านเรือนได้ในวันที่ 7 สิงหาคม หนึ่งวันหลังการระเบิด โดยจ่ายให้ได้ราว 30% ของครัวเรือนทั้งหมดที่ไม่ถูกเพลิงไหม้ โดยหลังจากนั้นไม่กี่เดือนคือสิ้นเดือนพฤศจิกายน ไฟฟ้าก็กลับมาจ่ายให้ครัวเรือนได้ครบ 100% ระบบประปาเริ่มกลับมาทำงานในเวลาเพียง 4 วันนับจากการระเบิด ชุมสายที่เสียคนทำงานไปทั้งหมดแต่อุปกรณ์หลักๆ ยังใช้งานได้ก็เริ่มกลับมาให้บริการในช่วงกลางเดือนสิงหาคม
รถรางได้รับผลกระทบหนักพอสมควร ระบบรถกลางที่วิ่งกลางเมืองฮิโรชิม่าเหลือรถที่พอจะใช้ได้ราว 15 คันจาก 123 คัน ใน 15 มีเพียง 3 คันที่ใช้งานได้โดยสมบูรณ์ แต่รถรางก็เริ่มกลับมาให้บริการในวันที่ 9 สิงหาคม มีรายงานข่าวว่าการกลับมาให้บริการนี้เพิ่มกำลังใจให้ผู้คนเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากรถราง รถไฟก็ค่อยๆ กลับมาให้บริการอย่างเร็วที่สุด อันที่จริงรถไฟค่อนข้างกลับมาให้บริการแทบจะทันทีเช่นรถไฟระหว่างฮิโรชิม่าและไซโจ ชานเมือง รถไฟทำงานทันทีในบ่ายวันนั้นเพื่อพาผู้คนอพยพออกจากกลางเมือง หนึ่งวันหลังจากนั้น รถไฟสายอุจินะ (Ujina Line) ที่วิ่งระหว่างเมืองฮิโรชิม่ากับอุจินะ เขตท่าเรือที่ห่างออกไป 7 กิโลเมตรก็กลับมาเปิดให้บริการ และอีกวันถัดจากนั้น รถไฟสายซันโย (Sanyo Line) ที่วิ่งระหว่างเมืองฮิโรชิม่าและฟุกุโอกะก็กลับมาให้บริการในวันที่ 8 สิงหาคม

Peace Memorial City และการเปลี่ยนจากกองทัพสู่ผู้ประกอบการ
อย่างไรก็ตาม การฟื้นฟูเมือง รวมถึงพื้นที่เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของฮิโรชิม่าเองก็มีเงื่อนไขและช่วงเวลาของตัวเอง เช่นอันที่จริงพื้นที่อุตสาหกรรมของฮิโรชิม่าได้รับผลกระทบหรือเสียหายน้อยกว่าที่คาด แต่ภาพใหญ่ของญี่ปุ่นในช่วงหลังปี 1945 ประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิตและมีปัญหาด้านพลังงาน นอกจากนี้ฮิโรชิม่ายังเจอปัญหาการขาดแคลนแรงงานซึ่งก็ไปสัมพันธ์กับการฟื้นฟูเมืองขึ้นใหม่ ซึ่งไปได้ผลจริงๆ คือการเกิดขึ้นของแผน Hiroshima Peace Memorial City Construction Law ในปี 1949 สี่ปีนับจากนั้น ต่อเนื่องด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นยุคหลังสงคราม และผลจากสงครามเกาหลีในปี 1950 ที่ทำให้อุตสาหกรรมของฮิโรชิม่าเติบโตขึ้น
หนึ่งในกลไกสำคัญคือแผน Hiroshima Peace Memorial City ตัวแผนเป็นแผนจากรัฐบาลกลางที่บอกว่าฮิโรชิม่าจะกลายเป็นเมืองแห่งการจดจำ ในแผนมีกระบวนการหลายอย่างเช่นการวาดภาพฮิโรชิม่าในฐานะเมืองในอุดมคติ เป็นเมืองรายล้อมด้วยธรรมชาติ มีสวน ซึ่งก่อนหน้านี้ฮิโรชิม่าก็อยากจะฟื้นฟูเมือง แต่รายได้เช่นภาษีของเมืองยังไม่ฟื้นกลับมา คือไม่มีเงิน แผนจากรัฐบาลกลางหรือฮิโรชิม่าที่กลายเป็นวาระแห่งชาติมีเงื่อนไขสำคัญอย่างหนึ่งคือการยกที่ดินที่เป็นของรัฐและของกองทัพให้ใช้งานได้ฟรี ตรงนี้เองที่ฮิโรชิม่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง เช่นพื้นที่กลางเมืองบริเวณปราสาทฮิโรชิม่าที่เคยเป็นไข่แดงทางการทหารถูกพัฒนาไปเป็นโครงการที่พักอาศัยแนวตั้งพร้อมสวนสาธารณะที่มาแก้ปัญหาที่อยู่ของคนยากจนและคนเกาหลีที่เป็นอีกปัญหาจากการกวาดต้อนเชลยสงคราม
ในยุคหลังสงครามของญี่ปุ่นและในฮิโรชิม่าเอง การปลดภาระและปรับพื้นที่ทางการทหารนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในพื้นที่อุตสาหกรรมของเมือง เช่นพวกโรงผลิตเกี่ยวกับขนส่งของกองทัพถูกขายให้มิตซูบิชิ อู่ต่อเรือรบสำคัญ Kure Naval Arsenal เปลี่ยนมือและเปลี่ยนการใช้งานไปในบริษัทเอกชน มีการปลดล็อกกิจการท่าเรือ อู่ต่อเรือและการขนส่งสินค้า ประกอบกับเกิดภาวะน่าสนใจคือการสิ้นสุดลงของพื้นที่ทางการทหารและการถูกบังคับให้ผลิตสิ่งต่างๆ เพื่อป้อนกองทัพหรือการสู้รบในยุคสงคราม เมื่อคนตกงาน กลายเป็นว่าเกิดกิจการขนาดกลางและขนาดเล็ก

หนึ่งในนั้นคือโทโย โคโย (Toyo Kogyo) หรือมาสด้า ในช่วงสงคราม โทโยประดิษฐ์และผลิตรถสามล้อและถูกบังคับให้ผลิตป้อนให้กองทัพเท่านั้น หลังจากนั้นพอสิ้นสุดสงคราม โทโยที่เคยอึดอัดจากการผลิตสรรพาวุธและได้รับอนุญาตให้ใช้อุตสาหการของตัวเองเพื่อพลเรือน คือจากที่ถูกบังคับให้ใช้เพื่อการทำลายกลายมาเป็นสร้างสรรค์ ในตอนนั้นมีโรงงานและโรงเหล็กจำนวนมากที่มีทั้งอุปกรณ์ มีแรง มีความรู้ และเคยถูกควบคุมไว้ เมื่อได้รับอิสระก็เลยโบยบิน อยากผลิต จะคิด หรือจะช่วยสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ก็เลยทำกันเต็มที่
ทีนี้แผนการสร้างเมืองใหม่ก็สร้างเมืองได้สมใจ อิทธิพลกองทัพคลายลง พื้นที่อุตสาหกรรมเฟื่องฟูขึ้น เมืองโต แรงงานมากขึ้น ตัวเลขการจ้างงานของฮิโรชิม่าเพิ่มขึ้น ในช่วงทศวรรษ 1950 ฮิโรชิม่าได้รับประโยชน์จากสงครามอีกครั้งคือสงครามเกาหลี (เริ่มในปี 1950) สงครามในเกาหลีทำให้เกิดความต้องการสินค้าที่เกี่ยวข้องทั้งอุปกรณ์ เคมีภัณฑ์ เหล็ก เครื่องจักร ไปจนถึงอาหาร เช่นอาหารกระป๋อง และอุตสาหกรรมอาหารนี่แหละที่ทำให้เกิดขนมที่เราอาจจะกินไปเมื่อไม่กี่วันก่อน คือขนมคาลบี้ที่เป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมที่เฟื่องฟูขึ้นหลังสงคราม นอกจากความเฟื่องฟูในเชิงอุตสาหกรรมแล้ว คาลบี้ยังเริ่มต้นจากการแก้ปัญหาในภาวะขาดแคลนอาหารของเมืองฮิโรชิม่าและภาวะทุพโภชนาการด้วยอุตสาหกรรมอาหาร

คาลบี้ อาหารที่มีคุณภาพในยามยาก
แน่นอนว่าเรารู้จักคาลบี้ ขนมขบเคี้ยวรสกุ้งที่มีผลิตไทยในไทยด้วย นอกจากขนมที่ผลิตและจำหน่ายในไทยแล้ว เราอาจรู้จักขนมของคาลบี้ในฐานะแบรนด์ขนมของญี่ปุ่นที่หลายๆ ครั้งเรามักไปหิ้วมาจากดองกี้หรือร้านสะดวกซื้อของญี่ปุ่น เช่นขนมมันฝรั่งยี่ห้อจากาบี้ (Jagabee) ปัจจุบันคาลบี้เป็นอาณาจักรขนมขบเคี้ยวยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นและก็มีการตั้งเครือในประเทศไทยคือคาลบี้ธนาวัธน์
คาลบี้เป็นบริษัทเริ่มต้นที่ฮิโรชิม่า และเกิดในช่วงที่ฮิโรชิม่ากำลังฟื้นตัว ผู้ก่อตั้งคาลบี้คือ ทาคาชิ มัตสึโอะ (Takashi Matsuo) ก่อตั้งขึ้นเดือนเมษายนของปี 1949 ช่วงปีที่ฮิโรชิม่าฟื้นขึ้นแต่ก็ยังไม่ได้เติบโตขึ้นเป็นอย่างดี ในช่วง 4 ปีหลังระเบิดนิวเคลียร์ เมืองฮิโรชิม่าแม้จะเข้มแข็งแต่ก็ยังลำบาก สาธารณูปโภคฟื้นตัวแล้วก็จริง แต่ผู้คนเช่นเด็กกำพร้า ผู้คนที่บาดเจ็บ ทหารผ่านศึก ผู้ได้รับผลกระทบจากรังสีก็ยังมีความเป็นอยู่ที่ไม่ดีนัก และแน่นอน อาหารเป็นสิ่งที่ยังขาดแคลนอยู่มาก
อาหารที่มีคุณภาพ สารอาหารที่เหมาะสมกับสุขภาพ เช่น ปลา เนื้อ นม และผักเป็นสิ่งที่หายาก ได้รับการปันส่วนอย่างจำกัด ในช่วงนั้นชาวเมือง รวมถึงตัวมัตสึโอะเองได้รับผลกระทบ เริ่มเกิดภาวะทุพโภชนาการจากการขาดวิตามิน โดยเฉพาะอาการเหน็บชาที่เกิดจากการขาดวิตามินบี 1 ซึ่งอาการเหน็บชาหรือโรค Beriberi นำไปสู่ปัญหาอื่นๆ เมื่อไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ รวมถึงช่วงนั้นเริ่มมีความเจ็บป่วยอื่นๆ จากการขาดสารอาหารกันเป็นจำนวนมาก

สปอยล์เลยว่าแม้แต่ชื่อบริษัทคาลบี้ ก็มาจากผลิตภัณฑ์แรกที่มัตสึโอะลงมือผลิตขายเพื่อร่วมรับมือและแก้ไขทั้งภาวะขาดแคลนอาหารและภาวะทุพโภชนาการในยุคหลังสงคราม ในปีแรกของการก่อตั้ง ขนมอย่างแรกที่ถูกผลิตขึ้นตั้งชื่อว่าคาลบี้ คาราเมล โดยคำว่าคาลบี้มาจากสารอาหารสำคัญสองอย่างคือ Cal จากแคลเซียม และ bee มาจากวิตามินบี 1 คาลบี้จึงเป็นตัวแทนของสารอาหารจากผลิตภัณฑ์อาหารที่มัตสึโอะตั้งใจผลิตขึ้นเพื่อให้ชาวเมืองทั้งอิ่มท้องและได้รับสารอาหารสำคัญ ตอนแรกบริษัทชื่อว่า Matsuo Food Processing หกปีให้หลังคาลบี้รสคาราเมลเป็นที่รู้จัก ก็เลยเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็นคาลบี้ตามสินค้าชิ้นแรกซะเลย
ทีนี้ขอเท้าความไปที่ภูมิหลังหรือที่มาของมัตสึโอะเล็กน้อย ตัวมัตสึโอะเป็นทายาทบริษัทเกี่ยวกับธุรกิจรำข้าว แต่ในตอนที่อายุได้เพียง 18 ปีก็ได้รับช่วงต่อกิจการซึ่งในตอนนั้นประสบภาวะหนี้สินอย่างมหาศาล เพื่อเป็นการแก้ปัญหาซึ่งถือว่าอัจฉริยะพอสมควรสำหรับอายุน้อยร้อยหนี้ มัตสึโอะเลยหันเหทิศทางธุรกิจและปรับไปสู่การผลิตอาหารที่เน้นการหาวัตถุดิบที่เคยไร้ประโยชน์มาผลิตเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ หนึ่งในอุปกรณ์แรกของมัตสึโอะคือการประดิษฐ์เครื่องสกัดจมูกข้าวจากรำข้าวที่ถือว่าเป็นขยะอุตสาหกรรมในขณะนั้น พอได้จมูกข้าวมาก็เอาไปผสมกับหญ้าป่าและส่วนผสมอื่นๆ ผลิตเป็นเกี๊ยวเพื่อเป็นอาหารทดแทน
เกี๊ยวของมัตสึโอะได้รับคำชื่นชมอย่างมากเพราะช่วยแก้ไขภาวะขาดแคลนอาหารของเมืองได้เป็นอย่างดี ตรงนี้จึงนำไปสู่หัวใจของกิจการคือการผลิตอาหารจากสิ่งที่คนมองไม่เห็นค่า และการผลิตอาหารที่ดีต่อสุขภาพ รากฐานของคาลบี้จึงค่อนข้างสัมพันธ์ทั้งกับบริบทเมืองฮิโรชิม่า การปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมในยุคหลังสงคราม การตอบสนองต่อปัญหาจากสงครามคือการขาดแคลนอาหาร และความยืดหยุ่นเปลี่ยนแปลงในฐานะนักประดิษฐ์และผู้ประกอบการ
ขั้นตอนการเริ่มกิจการผลิตอาหารและอาหารแปรรูปจริงๆ ก็ไม่ได้เรียบง่ายนัก ระยะแรกคือในช่วงปี 1947 ก่อนก่อตั้งบริษัทผลิตอาหาร มัตสึโอะก็ได้ผลิตขนมหวานและคาราเมลจากมันหวานและจมูกข้าวแล้ว ตอนนั้นไม่ประสบความสำเร็จเพราะความชอบของคนเปลี่ยนไปมา พอมาถึงผลิตภัณฑ์แรกคือคาลบี้ คาราเมลก็ใช้องค์ประกอบเดียวกันคือเป็นขนมที่ผลิตจากมันเทศและธัญพืช

ทีนี้คิดถึงคาลบี้ เราคิดถึงข้าวเกรียบ ซึ่งข้าวเกรียบแท่งรสกุ้งที่กินกันทั่วโลกรวมถึงบ้านเราก็มาจากดีเอ็นเอและความขาดแคลนด้วย คือในช่วงทศวรรษ 1950 ช่วงนั้นยังว่ามีความขาดแคลนด้านอาหารอยู่ วัตถุดิบสำคัญคือข้าวยังเป็นวัตถุดิบที่หายากและมีราคาแพง มัตสึโอะมองเห็นว่าช่วงนั้นมีแป้งสาลีที่นำเข้ามาอย่างมากมายจากสหรัฐฯ มีคุณสมบัติที่ไม่แตกต่างจากข้าวที่หายากและมีราคาแพง
ในปี 1955 มัตสึโอะได้ดันผลิตภัณฑ์ที่ถือได้ว่าเป็นข้าวเกรียบข้าวสาลี (wheat crackers) แรกของญี่ปุ่น มัตสึโอะตั้งชื่อว่าเป็นคัปปะอาราเระ (Kappa Arare) ยืมชื่อปีศาจคัปปะมาเป็นตัวแทน จากการเปิดตัวข้าวเกรียบจากข้าวสาลี ขนมตระกูลคัปปะของคาลบี้ก็ขายดีและพิสูจน์ความคิดของมัตสึโอะอีกครั้ง และเจ้าขนมในคัปปะนี้เองก็ได้พัฒนามาสู่สุดยอดข้าวเกรียบที่กลายเป็นต้นแบบของข้าวเกรียบโลกคือคัปปะเอบิเซน (Kappa Ebisen) ซึ่งก็คือข้าวเกรียบแท่งรสกุ้งนั่นเอง
คัปปะเอบิเซน ก็คือเจ้าขนมคาลบี้ที่เราเรียกกันอย่างลำลอง เป็นข้าวเกรียบแท่งๆ รสกุ้งที่ตัวมันเองกลายเป็นสินค้าหลักในการตีตลาดในระดับโลกรวมถึงเมืองไทยด้วย เจ้าคัปปะเอบิเซนเปิดตัวในปี 1964 ซึ่งที่มาของขนมนี้มาจากคุณมัตสึโอะและบริบทเมืองฮิโรชิม่าอีกแล้ว คือครั้งหนึ่งมัตสึโอะผ่านไปที่อ่าวที่ทะเลเซโตะ (Seto) ซึ่งเป็นพื้นที่หนึ่งที่เสียหายหนักจากระเบิด ทีนี้ตอนนั้นเองมัตสึโอะเห็นกุ้งที่ชาวประมงเอามาตากแห้ง กุ้งนั้นทำให้มัตสึโอะนึกย้อนไปยังความทรงจำวัยเด็กที่แม่ของเขาจับกุ้งจากแม่น้ำและนำมาทอดเป็นเทมปุระ ซึ่งกุ้งเทมปุระนับเป็นสุดยอดของพิเศษสำหรับเขา และคิดขึ้นว่า ทำไมถึงไม่ทำข้าวเกรียบรสกุ้ง จนสุดท้ายจากการทดลองหลายๆ ครั้งก็ได้เป็นต้นแบบและผลิตภัณฑ์ข้าวเกรียบกุ้งที่ขายดีมาจนถึงทุกวันนี้


เจ้าคัปปะเอบิเซนนับเป็นผลิตภัณฑ์สุดท้ายในตระกูลคัปปะที่มีรากฐานมาจากการปรับใช้ข้าวสาลีมาเป็นขนมกินเล่น เจ้าข้าวเกรียบรสกุ้งนี้กลายเป็นสินค้าขายดีในทันที กลายเป็นขนมที่กินง่ายและได้รับความนิยมโดยเฉพาะในร้านคาราโอเกะหรือในร้านขนมขบเคี้ยว นอกจากการปรับแป้งสาลียังมีผลิตภัณฑ์อื่นเช่น ขนม Sapporo Potato ที่พัฒนาโดยเอามันฝรั่งที่เคยบริโภคในรูปแบบแป้งมันฝรั่งมาทำเป็นขนม หรือขนม JagaRico ก็พัฒนาขึ้นจากการใช้มันฝรั่งตกเกรดที่นำไปใช้ผลิตมันฝรั่งแผ่นไม่ได้ เอามาผ่านกรรมวิธีและผลิตออกมาเป็นรูปแบบแท่งคล้ายเฟรนช์ฟรายส์
จากการกลับไปดูภาพของฮิโรชิม่าหลังเหตุระเบิด การค่อยๆ ลุกขึ้นและเติบโตขึ้นใหม่จากเถ้าถ่านของภาคธุรกิจ จนสุดท้ายกลายมาเป็นข้าวเกรียบแท่งในมือเรา ทั้งหมดนี้มีประวัติศาสตร์ ที่มา และบริบทที่สัมพันธ์กับบาดแผล ความรุนแรงก็จริง แต่หลายส่วนสัมพันธ์กับการยืนหยัดขึ้นใหม่อีกครั้ง รวมถึงการใช้นวัตกรรมและปรัชญาการทำงาน เช่นคาลบี้เองก็มีแนวคิดในการผลิตอาหารให้เมืองซึ่งในนวัตกรรมอาหารของคาลบี้เองก็มีมิติอื่นๆ อีกมากมายเช่นปรัชญาการทำงาน การค้นคว้า หรือการใช้ความก้าวหน้าที่คิดค้นขึ้นในการตอบสนองโจทย์ทั้งของตัวบริษัทเอง และตอบสนองกับโจทย์รอบๆ ตัวด้วย
อ้างอิง
- britannica.com/event/atomic-bombings-of-Hiroshima-and-Nagasaki
- cres.hiroshima-u.ac.jp/kiyou/26/26_01.pdf
- scmp.com/lifestyle/food-drink/article/3012553/calbee-how-snack-foods-company-post-nuclear-hiroshima-became
- hiroshimaforpeace.com/en/reconstruction/page-1-7
- theguardian.com/cities/2016/apr/18/story-of-cities-hiroshima-japan-nuclear-destruction
- peace-tourism.com/en/story/bankofjapanhiroshimabranch.html
- calbee.co.jp/en/rd/dna
- scmp.com/lifestyle/food-drink/article/3012553/calbee-how-snack-foods-company-post-nuclear-hiroshima-became
- smethailandclub.com/entrepreneur/8665.html
- hiroshimaforpeace.com/en/building-column-6former-hiroshima-branch-of-the-bank-of-japan