สำมะเลเทเมากับเรื่องราวสุราท้องถิ่นไทยและ 7 แบรนด์ที่น่าจับตา

รู้หรือไม่ว่าถ้าย้อนกลับไปในรอยทางประวัติศาสตร์ มนุษยชาติรู้จัก ‘วิธีการร่ำสุรา’ ก่อนประดิษฐ์ตัวอักษรเสียอีก

เพราะตามหลักฐานที่ปรากฏ ในสมัยอารยธรรมสุเมเรียนเมื่อเกือบหกพันปีก่อนที่ถือเป็นอารยธรรมแรกที่มีการประดิษฐ์ตัวอักษร ผู้คนในสมัยนั้นได้รู้จักสุราแล้ว ผ่านความบังเอิญในการเก็บผลผลิตทางการเกษตรที่ทำให้เกิด ‘การหมัก’ โดยไม่รู้ตัว เกิดเป็นเครื่องดื่มที่ทำให้มนุษย์รู้จักความเมามายตั้งแต่ตอนนั้น

เช่นเดียวกับในประเทศไทย ที่ถึงแม้ไม่ได้ปรากฏหลักฐานเด่นชัด แต่ด้วยความที่ผู้คนในพื้นที่รู้จักการปลูกข้าวมานานกว่าห้าพันปี จึงมีการสันนิษฐานว่าสิ่งที่เราเข้าใจว่าเป็น ‘ภูมิปัญญาเหล้าไทย’ นั้นน่าจะมีรากฐานตั้งแต่ก่อนการเกิดขึ้นของประเทศไทยเสียอีก 

แต่ถ้าแบบที่มีลายลักษณ์อักษรบันทึก จะปรากฏหลักฐานจากบันทึกของชาวจีนว่าเมื่อ พ.ศ. 2493-2495 ได้มีการระบุว่าคนไทยรู้จักการนำ ‘อ้อย’ มากลั่นเป็นสุราตั้งแต่ตอนนั้น ยิ่งพอสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็ได้ปรากฏหลักฐานเพิ่มเติมด้วยว่าคนไทยเริ่มรู้จักการกลั่น ผ่านเครื่องดื่มที่คนเรียกว่า ‘เหล้าโรง’ (มาจากคำว่า ‘เหล้าจากโรงงานจีน’) และเมื่อผสมกับการทำการค้ากับตะวันตก จักรวาลความรู้เกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยก็เริ่มแผ่ขยายไปไกล

แต่ถึงกระนั้นด้วยความที่สังคมไทยประกอบสร้างจากศาสนาพุทธเป็นส่วนใหญ่ ความเชื่อเรื่องการอยู่ห่างจากของมึนเมาจึงทำให้วงการสุราในไทยไม่ได้แผ่ขยายไปไกลเท่ากับความรู้เท่าไหร่นัก อย่างในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีบันทึกของลา ลูแบร์ แชรแวส และสังฆราชแห่งเบริธที่กล่าวไว้ด้วยซ้ำว่าสุราได้รับความนิยมน้อยมากในสยาม ถึงแม้รัฐจะเปิดให้มีการผลิตอย่างเสรีจนถึงสมัยของพระเจ้าประสาททองที่เริ่มมีการเก็บอากรสุรา แต่ด้วยหลักของพระพุทธศาสนาที่มีผลต่อสังคมไทย สุราจึงดำรงสถานะเป็นเพียงเครื่องดื่ม ‘ตัวร้าย’ ในระดับหน่วยเล็กอย่างท้องถิ่นเองเลยไม่ได้เกิดการผลิตอย่างจริงจัง

แล้วจุดเปลี่ยนที่สำคัญของสถานการณ์สุราในไทยเกิดขึ้นตรงไหนกัน

ถ้ายึดเป็นช่วงเวลา เป็นตอนสมัยรัชกาลที่ 3-5 ของกรุงรัตนโกสินทร์เลยทีเดียว ที่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าความนิยมในสุราของคนไทยพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ไล่เรียงตั้งแต่บันทึกต่างๆ ที่เริ่มมีการกล่าวว่า ‘พบเห็นชาวไทยมึนเมากันอย่างแพร่หลาย’ หรือ ‘คนขี้เมาอยู่กลางถนนเป็นจำนวนมาก’ ไปจนถึงในแง่ของการผลิตที่พบเห็นโรงกลั่นเพิ่มขึ้นหลายเท่า ทั้งหมดนี้นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นจาก 2 สาเหตุ นั่นคือช่วงเวลาที่ตอนนั้นเป็นยุคที่ชาวจีนอพยพเข้ามาหากินในประเทศไทยจำนวนมาก ซึ่งเป็นพวกเขานี่แหละ ที่พาความต้องการในตลาดและองค์ความรู้ในการสร้างโรงกลั่นตามมาด้วย

ส่วนอีกสาเหตุนั้นเกิดมาจากสนธิสัญญาเบาว์ริงใน พ.ศ. 2398 ที่ทำให้เกิดการทำสัญญาการค้ากับชาติตะวันตกมากขึ้น รวมถึงการยกเลิกสินค้าควบคุมอย่างสุราด้วย ทำให้สุราต่างชาติหลั่งไหลเข้าไทยจนประชาชนสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น เป็นการเสริมปัจจัยให้ผู้คนคุ้นชินมากเข้าไปอีก

แต่ในเวลาเดียวกันนี้เอง ท่ามกลางความนิยมในสุราของประชากรไทยที่พุ่งสูงขึ้น การผลิตสุราท้องถิ่นกลับเติบโตไปด้วยอัตราที่ช้ากว่ากันมากเพราะข้อจำกัดในแง่ของการจัดเก็บภาษี 

จากก่อนหน้านี้ที่การเก็บภาษีอากรสุราปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมของยุคสมัย แต่ในสมัยรัชกาลที่ 6 เป็นต้นมา รัฐส่วนกลางในสมัยนั้นเริ่มตั้งตนเป็นผู้เก็บภาษีอากรสุราด้วยตัวเอง ทำให้เกิดการส่งเสริมการขายเพราะอยากสร้างรายได้มหาศาลให้กับรัฐ เพียงแต่แทนที่จะทำให้วงการนี้เติบโตไปได้ทั้งปึกแผ่น รัฐไทยกลับเลือกวิธีการที่มุ่งเน้นผู้ค้าชาวต่างชาติและโรงงานผลิตสุราของภาคเอกชนรายใหญ่เป็นหลัก ผ่านการเอื้อประโยชน์ในแง่ของภาษีและการตัดตอนผู้ผลิตระดับท้องถิ่น จนเกิดเป็นการ ‘ผูกขาดสุรา’ ที่ค่อยๆ สั่งสมเรื่อยมาจนปัจจุบัน

อย่างในตอนนี้ ด้วยพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 รัฐได้กำหนดให้ผู้ที่มีการผลิตสุราในปริมาณมากเท่านั้น ที่จะสามารถขออนุญาตผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกฮอลล์ได้ อันเป็นการผูกขาดการค้าเสรีและปิดประตูโอกาสของคนรักสุราท้องถิ่นไปโดยปริยาย จนทำให้ที่ผ่านมา ผู้ผลิตพยายามหาทางออกโดยวางผลิตภัณฑ์ของตัวเองเป็น ‘สินค้าแปรรูป’ ทางการเกษตรแทน แต่ถึงกระนั้นด้วยความไม่ชัดเจนก็ทำให้วงการสุราท้องถิ่นไม่เติบโตไปอย่างที่ควรจะเป็นอยู่ดี

จนในช่วงปีที่แล้วและปีนี้นี่เอง ที่ดูเหมือนสายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงกำลังจะมาถึง

ในวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2565 จากการนำเสนอ ‘ร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า’ เข้าสภาโดย ส.ส.เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ดูเหมือนภาคประชาชนและส่วนกลางจะเริ่มเห็นความสำคัญของเรื่องนี้กันมากขึ้นแล้ว ยิ่งการมาถึงของคณะทำงานของรัฐบาลใหม่ ร่าง พ.ร.บ. สุราก้าวหน้าจึงเริ่มดูใกล้ความจริงมากขึ้นไปอีก โดยประเด็นของร่างกฎหมายฉบับนี้คือการกำหนดกฎเกณฑ์ใหม่ให้ครอบคลุมผู้ประกอบการรายย่อยทุกรายด้วย ไม่ใช่ผูกขาดสิทธิการผลิตและจำหน่ายให้กับกลุ่มนายทุนใหญ่เหมือนอย่างที่เคยเป็น

 นอกจากนี้ คณะทำงานที่ผลักดันร่าง พ.ร.บ.นี้ยังได้กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่าการแก้ไขให้เกิดผู้ประกอบการรายย่อยจะสร้างผลประโยชน์ทางอ้อมอีกนานานัปการ ตั้งแต่การเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร กระตุ้นการท่องเที่ยวไปสู่ท้องถิ่น ไปจนถึงสร้างบรรยากาศแห่งความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในประเทศ

ดังนั้นในวาระความเปลี่ยนแปลงที่ใกล้จะมาถึง รวมถึงเมื่ออาทิตย์ที่แล้วที่ว่าที่นายกฯ อย่างพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้กล่าวถึงสุราท้องถิ่นผ่านรายการโทรทัศน์ เราจึงรวบรวมแบรนด์สุราท้องถิ่น 7 แบรนด์มาให้ทุกคนได้ลองดื่มด่ำเรื่องราวกัน เพื่อเป็นการเปิดประตูโลกสุราให้กว้างขึ้นกว่าเดิม

สังเวียน / สุพรรณบุรี

สุรากลั่นจากสุพรรณบุรีที่ใช้อ้อยเป็นวัตถุดิบหลักในหมักให้เกิดแอลกอฮอล์ ก่อนนำไปกลั่นเกิดเป็นสุราท้องถิ่นชั้นดี โดยชื่อแบรนด์ ‘สังเวียน’ มาจากชื่อคุณปู่เจ้าของแบรนด์ ที่เป็นคู่ชีวิตของคุณย่าที่ผลิตสาโทขายเมื่อครั้งอดีต ดังนั้นนี่จึงเป็นการตั้งชื่อเพื่อระลึกถึงคนที่คุณย่ารักและสิ่งที่คุณย่าอยากทำมาตลอดแต่กฎหมายไม่สนับสนุน

Kilo Spirits / กระบี่

แบรนด์สุรากลั่นจากกระบี่ ที่เริ่มต้นจากการหาทำของสามีชาวอังกฤษและภรรยาชาวไทยในช่วงล็อกดาวน์ จนเกิดเป็นแบรนด์สุราท้องถิ่นที่มีสองผลิตภัณฑ์ในเครือ นั่นคือจินและวอดก้า และอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาอย่างรัม ซึ่งทั้งหมดใช้น้ำอ้อยเป็นวัตถุดิบหลักในการหมัก อันเป็นที่มาของรสชาติเฉพาะตัวที่ได้รับความนิยมตั้งแต่เริ่มวางขาย

ฉลองเบย์ / ภูเก็ต

ฉลองเบย์คือเหล้ารัมจากแดนใต้จากเมืองภูเก็ต โดยเกิดจากหญิงสาวชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งที่ติดอยู่ประเทศไทยในช่วงภัยพิบัติสึนามอ ด้วยความประทับใจคนไทยที่ดูแลเธออย่างดีในเวลานั้น เมื่อกลับไปบ้านเกิด เธอจึงนำเอาธุรกิจครอบครัวอย่าง ‘โรงกลั่น’ จากต่างประเทศมาลงทุนในไทยด้วย จนเกิดเป็นแบรนด์รัมอย่าง ‘ฉลองเบย์’ ที่ศึกษาค้นคว้าจนสามารถใช้อ้อยไทยเป็นวัตถุดิบหลัก ผสมกับสูตรการผลิตจากต่างประเทศนั่นเอง

Iron Balls / กรุงเทพฯ

Iron Balls คือเหล้าจินสัญชาติไทยที่ส่งตรงจากโรงกลั่นเล็กๆ ย่านเอกมัย โดยผู้ผลิตตั้งใจให้ Iron Balls เป็นเหล้าจินระดับพรีเมียมจากความคราฟต์และวัตถุดิบไทยอันหลากหลาย อันประกอบไปด้วยมะพร้าว สับปะรดตัดใหม่ ต้นสน ขิง และตะไคร้ เกิดเป็นรสชาติสุราไทยที่แสนจะอินเตอร์  อีกทั้งยังมีบรรจุภัณฑ์แปลกตาเชื้อเชิญให้คนลิ้มลองด้วย

Saku / เขาใหญ่

สุราชุมชนจากเขาใหญ่ที่ได้สูตรตั้งต้นมาจากคุณยายที่เคยทำเหล้าเองสมัยสาวๆ และเมื่อเอามาผสมเข้ากับความรู้สมัยใหม่ที่เจ้าของแบรนด์หาความรู้เองจากโลกอินเทอร์เน็ต จึงเกิดเป็นแบรนด์ ‘Saku’ ที่ได้ชื่อมาจากคุณยายเจ้าของสูตร และใช้วัตถุดิบท้องถิ่นอย่างข้าวโพดมาหมักเหล้าแล้วกลั่น เกิดเป็นสุรารสชาติดีที่เรียกตัวเองว่า ‘สุราชุมชน’ ได้อย่างเต็มตัว

หมาใจดำ / เชียงใหม่ 

มาต่อกันที่สุราพื้นบ้านจากแดนเหนือกันบ้าง ที่วางตัวเองเป็นวอดก้า 40 ดีกรี หรือเหล้าขาวพื้นบ้าน โดยพวกเขาแตกไลน์สินค้าออกเป็นหลากหลายประเภทตามวัตถุดิบที่ใช้ในการกลั่น ตั้งแต่หมาใจดำ Flowery 40 ดีกรี จากน้ำหวานดอกมะพร้าว, หมาใจดำ Banana 40 ดีกรี จากกล้วย, หมาใจดำ มะขามป้อม 40 ดีกรี จากมะขามป้อม และหมาใจดำ ลำก้า 40 ดีกรี จากมันฝรั่ง

ONSON / สกลนคร

แบรนด์เหล้าสกลนครอายุ 5 ปี ที่เกิดจากเจ้าของแบรนด์กลับไปเปิดอาหารที่สกลนครบ้านเกิด จนได้เจอกับเหล้าท้องถิ่นจากลุงข้างบ้านที่กำลังวางแผนเกษียณเลิกทำ แต่ด้วยความเห็นประโยชน์ในองค์ความรู้ของลุง พวกเขาจึงร่วมกันพัฒนาแบรนด์เหล้า ONSON ขึ้นมา โดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่นอย่างอ้อยและช่อดอกมะพร้าวในการหมัก เกิดเป็นเหล้าท้องถิ่นไทยแท้รสชาติจากแดนอีสานอย่างที่เราได้ลิ้มลองกัน

เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างของแบรนด์สุราท้องถิ่นที่เราอยากแนะนำเท่านั้น ยังมีสุราท้องถิ่นจากหลากหลายที่มาก ที่เต็มไปด้วยคุณภาพและควรค่าแก่การบอกต่อ ดังนั้นถ้าเป็นคอแอลกอฮอล์หรืออยากร่ำบรรยากาศในการดื่มด่ำสุราชั้นดี เราก็อยากชวนให้ทุกคนลองเปิดใจให้กับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นเหล่านี้กัน เพราะไม่แน่นะ ในอนาคตที่สุรากลายเป็นเรื่องเสรี เราอาจจะได้เห็น ‘1 ตำบล 1 สุราท้องถิ่น’ ที่ทุกคนในชุมชนแสนภูมิใจก็ได้ ใครจะรู้

อ้างอิง :  

คูน โรงพยาบาลเฉพาะทางที่ดูแลคนไข้แบบประคับประคองเพื่อให้ช่วงเวลาสุดท้ายงดงามที่สุด

เอ่ยถึงโรงพยาบาล ภาพของอาคารสี่เหลี่ยมสีขาวดูหดหู่ใจน่าจะเป็นภาพจำของใครหลายคน และขึ้นชื่อว่าโรงพยาบาล ถ้าไม่ใช่การไปเยี่ยมคุณแม่มือใหม่ที่เพิ่งให้กำเนิดลูกน้อย น้อยคนนักที่อยากไปเยี่ยมดินแดนแห่งนี้ 

แต่ไม่ใช่กับโรงพยาบาลคูน โรงพยาบาลเฉพาะทางแห่งแรกในไทยที่ดูแลรักษาคนไข้แบบประคับประคอง เพราะทันทีที่เราก้าวเท้าเข้ามาในเขตรั้วของโรงพยาบาล เรากลับรู้สึกแตกต่าง

เบื้องหน้าของเราไม่ใช่อาคารเก่าน่าหดหู่ แต่เป็นอาคารสีเอิร์ทโทนดูอบอุ่น ตัดกับโครงสร้างไม้ที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่รีสอร์ต ตลอดทางเดินข้างอาคารคือสวนหย่อมสีเขียวสบายตา ประดับประดาด้วยม้านั่ง ลานกิจกรรม และน้ำพุขนาดกลาง ชวนให้พักผ่อนหย่อนใจ 

“เราอยากให้ที่นี่เป็นเหมือนบ้าน เหมือนรีสอร์ต ไม่อยากให้มันเหมือนโรงพยาบาล” พญ.นิษฐา เอื้ออารีมิตร หรือหมอแนต ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลคูนบอกกับเราแบบนั้น

ความตั้งใจของหมอแนตคืออยากให้คนไทยมีโอกาสเข้าถึงการรักษาแบบประคับประคองมากขึ้นเพื่อออกแบบช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตให้งดงามตามต้องการ เพราะเมื่อเทียบกับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนทั่วไป การดูแลคนไข้ระยะนี้ที่โรงพยาบาลคูนนั้นราคาย่อมเยากว่า ทั้งยังทำให้คนไข้และญาติมีความสุขมากกว่าด้วย

แต่เพราะการดูแลคนไข้แบบประคับประคองนั้นไม่ได้หมายความว่าญาติจะนำคนไข้มาฝากโรงพยาบาลเพื่อให้คนไข้จากไปอย่างสงบที่นี่ กลับกัน อัตราคนไข้ที่อาการดีขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจนั้นมีมากถึง 70% ทั้งที่ก่อนหน้านั้นมีอาการหนัก

เราจึงชวนมาไขข้อข้องใจว่าโรงพยาบาลคูนเพิ่มคุณภาพชีวิตทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณของคนไข้ได้ยังไง การดูแลคนไข้แบบประคับประคองเป็นแบบไหน และธุรกิจโรงพยาบาลเฉพาะทางแบบนี้ต้องดำเนินกิจการยังไง

คุณหมอแนตรอให้คำตอบกับเราที่ใต้ต้นคูนต้นใหญ่ของโรงพยาบาลแล้ว

Pain ของคนไข้ Pain ของคนเป็นหมอ

เช่นเดียวกับหมอคนอื่นๆ หมอแนตเรียนจบมาด้วยหลักสูตรที่เน้นรักษาผู้คนให้หายจากโรค หมอแต่ละคนจะได้รักษาโรคที่แตกต่างกันตามความสนใจและหลักสูตรเฉพาะทางที่เรียนต่อ สำหรับคุณหมอที่นั่งตรงหน้าเรานี้ เธอเรียนจบด้านโรคปอดและเวชบำบัดวิกฤตหรือการรักษาคนไข้ไอซียู

“ถ้าเราเป็นหมอโรคไต เราจะเชี่ยวชาญเรื่องไตมากแต่อาจลืมระบบทางเดินหายใจ หรือลืมระบบหัวใจ แต่ถ้าเราเป็นหมอไอซียูเราจะลืมระบบใดระบบหนึ่งไม่ได้เลย เพราะเวลาคนไข้วิกฤตเราต้องมีความรู้รอบด้าน เราเองที่ชอบรักษาคนไข้แบบองค์รวม เลยเลือกที่จะเรียนและทำงานเกี่ยวกับเวชบำบัดวิกฤต 

“แต่จากงานวิจัย การทำงานไอซียูอย่างเดียวจะเบิร์นเอาต์ง่ายมาก อาจารย์ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าซึ่งเราทำงานอยู่ตอนนั้น จึงแนะนำว่าเราควรจะเรียนด้านปอดด้วย เพื่อที่เราจะได้สลับไปทำงานนั้นงานนี้ได้” 

หมอแนตย้อนเล่าเส้นทางการทำงานให้ฟัง ซึ่งเพียงแค่นี้ เราก็พอเข้าใจว่าเหตุใดเธอจึงเบนความสนใจมาที่การรักษาคนไข้แบบประคับประคอง

“ตอนที่ทำงานไอซียู คนไข้ที่เข้ามาหาเราจะมี 2 แบบ แบบแรกคือน่าสู้ คือเราสามารถรักษาเขาเพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตใกล้เคียงเดิมได้ เช่นคนไข้อายุ 50-60 ปีติดเชื้อในกระแสเลือดรุนแรง หรือเกิดหอบหืดกำเริบจนต้องปั๊มหัวใจ 

“แต่ก็จะมีคนไข้แบบสองคือกลุ่มที่เรามองว่าไม่น่าสู้ เพราะสภาพร่างกายเขาเสื่อมมากจนแม้เราจะรักษาเขาให้ยังมีชีวิตอยู่ได้ แต่เขาอาจไม่มีความสุข เช่น คนไข้อายุ 90 ปีที่อาจสื่อสารไม่ค่อยได้แล้ว คำถามที่เราถามตัวเองตลอดคือไอซียูมันเป็นที่ที่เหมาะสมกับเขาแล้วหรือเปล่า หรือมันพอจะมีวิธีรักษาอื่นๆ ไหมที่ทำให้เราสามารถดูแลคนไข้กลุ่มนี้ให้ดีขึ้นได้”

จากคำถามเล็กๆ นั้นเองที่ทำให้หมอแนตเริ่มกลับมามอง ‘การรักษาแบบประคับประคอง’ ที่เป็นเพียงวิชาเล็กๆ วิชาหนึ่งที่แพทย์ทุกคนต้องเคยเรียนแต่ไม่เคยได้ลงลึกอย่างจริงจัง

ประคับประคองคนไข้ ประคับประคองคนรอบตัว

เอ่ยถึงการรักษาแบบประคับประคองหรือ palliative care เชื่อว่าคนไทยเกือบทุกคนที่ได้ยินคำนี้น่าจะงงไม่น้อย แต่ที่จริงแล้วหมอแนตเล่าว่าการรักษาแบบประคับประคองนั้นมีมานานแล้วและนิยมในต่างประเทศมานานเกือบร้อยปี โดยเฉพาะประเทศแถบสแกนดิเนเวียนที่ขึ้นชื่อเรื่องรัฐสวัสดิการ 

“ในประเทศไทย การรักษาแบบประคับประคองจะได้รับการผลักดันในโรงพยาบาลรัฐเสียส่วนใหญ่ เพราะมันช่วยเซฟค่ารักษาพยาบาลได้มาก”​ มาถึงตรงนี้ เราเริ่มสงสัยว่าที่จริงแล้วการรักษาแบบประคับประคองนั้นเป็นยังไงกันแน่

หมอแนตยกตัวอย่างให้ฟังว่าช่วงที่เธอยังเป็นหมอเวชบำบัดวิกฤตและหมอโรคปอดทั่วไป หน้าที่ของหมอคือการวินิจฉัยอาการคนไข้และแจ้งแผนการรักษาที่จะทำต่อ แต่เมื่อหมอแนตได้เข้าใจการรักษาแบบประคับประคองอย่างถ่องแท้ บทบาทของหมอนั้นเปลี่ยนจากการเป็นผู้พูดมาเป็นผู้ฟัง 

“เราต้องฟังว่าแต่เดิมคนไข้เป็นคนแบบไหน ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เคยพูดอะไรเกี่ยวกับอาการตัวเองไหมว่าเขาอยากรักษาหรือไม่รักษาแบบไหน นอกจากนั้น เราต้องฟังว่าญาติคิดเห็นหรือรู้สึกยังไงบ้างกับการรักษาที่ผ่านมา

“สมมติถ้าคนไข้ไตวาย ตอนเราเป็นหมอไอซียูเราอาจจะเลือกล้างไตต่อไปก็ได้ เพราะในมุมมองของญาติ ถ้าหมอแนะนำอะไร เขาก็มักจะไม่ค่อยขัดการรักษา เพราะถ้าเขาเลือกไม่รักษาเท่ากับว่าเขาเลือกที่จะจบชีวิตคนในครอบครัวตัวเองซึ่งมันเฮิร์ตนะ

“กลับกัน พอเราเป็นหมอประคับประคอง เราจะคุยกับญาติว่าเป้าหมายเขาคืออะไร คือให้คนไข้สุขสบายที่สุดหรือคือให้คนไข้อยู่นานที่สุด ถ้าญาติต้องการอย่างแรก เราจะไม่ล้างไตนะเพราะมันไม่ตอบโจทย์แล้ว แต่เราจะมามององค์ประกอบอื่นๆ ว่าเราจะสามารถดูแลคนไข้คนนี้ได้ด้วยวิธีไหนบ้าง”

ในมุมมองการรักษาแบบประคับประคองนี้เอง หมอแนตสรุปให้เห็นภาพง่ายๆ ว่ามันเหมือนเป็นการรักษาที่ทำให้ทั้งหมอ คนไข้ และครอบครัวมีทางออกในการรักษาที่เหมาะสมและตรงใจมากขึ้น ทั้งในเชิงจิตใจและเม็ดเงิน

“โรงพยาบาลรามาธิบดีเคยทำการศึกษาว่าระหว่างคนไข้ที่ไม่ได้รับการดูแลแบบประคับประคอง และคนไข้ที่ได้รับการดูและแบบประคับประคอง ทั้งสองกลุ่มนี้มีระยะเวลาการมีชีวิตอยู่ใกล้เคียงกัน แต่คนไข้กลุ่มหลังมีค่ารักษาในช่วง 6 เดือนท้ายที่ค่อนข้างนิ่งและไม่สูงมาก ขณะที่ค่ารักษาของคนไข้กลุ่มแรกเพิ่มสูงขึ้น 2-3 เท่าในช่วงท้ายเลย”

โรงพยาบาลที่อยากอุดช่องว่างของสาธารณสุขกรุงเทพฯ

บทเรียนของการรักษาคนไข้แบบประคับประคองไม่ได้ทำให้หมอแนตหยุดอยู่แค่การเป็นหมอประคับประคองตามโรงพยาบาลทั่วไป แต่ความสุขของคนไข้และญาติที่หมอได้รับนั้นทำให้หมอคิดใหญ่กว่านั้น

“หมอได้เห็นว่าอาจารย์ศรีเวียง (รศ. พญ.ศรีเวียง ไพโรจน์กุล) ทำระบบการดูแลคนไข้แบบประคับประคองที่ขอนแก่นไว้ดีมาก ทั้งระบบการศึกษา ระบบการส่งต่อ หันกลับมาดูที่กรุงเทพฯ หมอเห็นว่ามันมีช่องว่างที่ใหญ่มาก 

“ระบบสาธารณสุขในกรุงเทพฯ แบ่งเป็นหลายส่วน ทั้ง กทม. สาธารณสุข โรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลเอกชน แต่ละที่ไม่ได้จับมือกัน ต่างคนต่างทำกันเอง จนหมอรู้สึกว่าโอกาสที่คนไข้คนหนึ่งจะได้รับการดูแลรักษาอย่างทั่วถึงมันยากมาก จนทำให้ในแต่ละปีๆ คนกรุงเทพฯ เสียชีวิตในโรงพยาบาลเป็นแสนคน แล้วการรักษาก่อนเขาจะเสียมันก็ไม่เกิดประโยชน์”

ช่องว่างตรงนี้เองที่ทำให้หมอแนตมองเห็นโอกาสที่จะสร้างบริการทางการแพทย์เฉพาะทางที่คนไข้เห็นได้ง่ายๆ สามารถเข้ามารักษาและปรึกษาได้โดยตรง 

“ปกติแล้วตามโรงพยาบาลเอกชนเขาก็มีการรักษาแบบนี้นะ แต่มันเป็นเพียงแผนกเล็กๆ ที่คนอาจจะไม่เห็น เราคิดว่าการเปิดเป็นโรงพยาบาลสแตนด์อโลนขึ้นมาเลยน่าจะทำให้คนไข้เห็นเราได้ง่ายกว่า” โรงพยาบาลคูนซึ่งอยู่ภายใต้โรงพยาบาลเอกชัย โรงพยาบาลที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งนี้จึงเกิดขึ้น

ความตั้งใจของหมอแนตคือการทำให้คนไทยเข้าถึงการรักษาแบบประคับประคองได้มากที่สุด รูปแบบการรักษาจึงแบ่งออกเป็นหลายแบบ หลายราคาเพื่อให้คนหลากหลายฐานะสามารถเข้าถึงช่วงเวลาสุดท้ายที่งดงามได้มากที่สุด 

ไม่ใช่สถานที่สุดท้าย แต่อาจต่อเวลาให้คนไข้และครอบครัว

ถึงตรงนี้ เชื่อว่าภาพรวมที่ได้ยินได้ฟังจากหมอแนตอาจทำให้หลายคนเข้าใจไปแล้วว่านี่คือสถานที่ที่ญาติๆ จะพาสมาชิกในครอบครัวของตัวเองไปจบชีวิต ไม่ต่างจากการปล่อยคนไข้ไว้ที่โรงพยาบาลอื่นๆ หรือบ้านนักหรอก

แต่ขอบอกว่าเราเองและคนส่วนใหญ่นั้นคิดผิด เพราะจากสถิติที่โรงพยาบาลคูนเก็บมาตลอด 1 ปี โรงพยาบาลคูนสามารถต่อชีวิตคนไข้ได้กว่า 70%

“มีเคสหนึ่ง คนไข้เป็นมะเร็งและใส่เครื่องช่วยหายใจมาเลย เขาย้ายมาจากโรงพยาบาลรัฐบาล ปกติในไอซียูโรงพยาบาลรัฐบาล ถ้าญาติบอกว่าไม่ปั๊มหัวใจก็จะได้ไปอยู่วอร์ดสามัญซึ่งหมอที่มาดูแลก็จะไม่ใช่หมอเฉพาะทาง พอเขาย้ายมาที่เรา ตอนแรกเราก็คุยว่าไม่น่าจะไหว ต้องเสียชีวิตแน่ๆ ความรู้สึกของครอบครัวก็คือมาเพื่อเสียชีวิตแล้ว 

“หมอก็รักษาโดยไม่ทำให้เขารู้สึกทรมานเพิ่มเติม ลองดูว่ามียาตัวไหนที่ปรับได้บ้างไหม เราใช้ศาสตร์หลายๆ อย่างเข้าช่วย และให้ญาติได้มาอยู่กับเขา ไม่ต้องแยกกันอยู่แบบเวลาอยู่ห้องไอซียู ซึ่งมันสำคัญมาก เพราะมันถือเป็นกำลังใจที่ดี สุดท้าย คนไข้ก็หย่าเครื่องช่วยหายใจ บำรุงสารอาหาร จนกลับไปเดินและเล่นกับหลานได้ โดยที่ค่ารักษาไม่ได้สูงเท่าโรงพยาบาลเอกชน”

ทั้งหมดนี้ หมอแนตสะท้อนให้ฟังว่าเป็นผลจากการรักษาแบบประคับประคองที่โรงพยาบาลคูนซึ่งเอาตัวตนของคนไข้เป็นที่ตั้ง เอาโรคเป็นตัวรอง และอาศัยมิติด้านอื่นๆ ของคนไข้มาช่วยเสริมทัพ

“ชีวิตคนเรามันไม่ได้ประกอบไปด้วยร่างกายอย่างเดียว มันมีสังคม เพื่อนฝูง ครอบครัว มีจิตวิญญาณ มีความเชื่ออยู่ และถึงแม้เขาจะป่วย แต่ตัวตนของเขาอาจจะไม่ได้ป่วยตามโรคก็ได้ 

“เวลารับเคสแต่ละครั้ง เราจึงประเมินคนไข้ในทุกมิติ ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ ความเชื่อ สังคม เพื่อดูว่าในมิติต่างๆ เหล่านี้ เราสามารถเสริมอะไรได้บ้างเพื่อทำให้คุณภาพชีวิตโดยรวมของคนไข้ดีขึ้นมาได้”

คำถามที่คนไข้และญาติได้รับจึงอาจไม่ใช่คำถามทั่วไป แต่เป็นคำถามถึงเป้าหมายระยะสั้น เช่น วันนี้พรุ่งนี้อยากทำอะไร มีปัญหาตรงไหนที่อยากให้หมอช่วยเหลือ มีอาการตรงไหนบ้างที่รู้สึกไม่สบาย และอะไรคือข้อจำกัดที่ทำให้คนไข้ไร้ความสุข เพื่อหาทางรักษาที่จะขจัดความเศร้าและความทรมานนั้นออกไป 

“ถ้าคนไข้ได้เวลาพิเศษเพิ่มก็ดี แต่ถ้าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาวะนั้นได้ เราก็ต้องไม่ทำให้เขาทุกข์ทรมานเพิ่ม แล้วยอมรับการจากไปตามธรรมชาติ” หมอแนตอธิบาย

เวลาที่ใช่

“หมอจะคัดคนระดับหนึ่งว่าญาติต้องเข้าใจก่อนว่าเราคือใคร เราทำอะไรได้ดี แล้วที่อื่นทำอะไรได้ดีกว่าเรา พอเราอธิบายชัดเจน เราจึงได้กลุ่มลูกค้าที่เข้าใจการดูแลแบบประคับประคองพอสมควร แต่สิ่งที่เราอยากให้มันเกิดขึ้นก็คืออยากให้คนส่วนมากเข้าใจการรักษาแบบนี้มากขึ้น” หมอแนตเล่า

หนึ่งในข้อมูลสำคัญที่หมอแนตคิดว่าจำเป็นต้องกระจายออกไปให้กว้างกว่านี้คือช่วงเวลาที่ใช่สำหรับการดูแลประคับประคองนั้นเป็นแบบไหน  

“การดูแลแบบประคับประคองมันดีสำหรับทุกคนเมื่อเวลามันใช่ บางเคสญาติมาขอยุติการรักษาจากที่อื่น แต่เราดูแล้วมันยังต้องรักษาอยู่ หมอก็สื่อสารกับเขาตรงๆ บางเคสคนไข้เป็นมะเร็งแล้วจะไม่รับยาอะไรแล้ว ทั้งที่เขายังแข็งแรง เราก็บอกให้เขากลับไปรักษาด้วยซ้ำ”

 คำว่า ‘ใช่’ ที่หมอแนตว่าจึงหมายถึง ช่วงเวลาที่คนไข้ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาดแล้วเริ่มมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี จนตัวคนไข้ชัดเจนว่าไม่ต้องการยื้อคุณภาพชีวิตที่ไม่ดีออกไป คนไข้ของคูนจึงเป็นได้ตั้งแต่ผู้สูงอายุ คนไข้อัลไซเมอร์ คนไข้โรคมะเร็ง โรคหัวใจบางประเภท โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคไตวายระยะสุดท้าย โรคพาร์กินสัน โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเรื้อรัง ฯลฯ

“หลายเคสให้เคมีบำบัดกับที่อื่นอยู่ แต่ระหว่างนั้นเกิดการติดเชื้อจนรู้สึกไม่สบายตัวก็มานอนที่คูนเพื่อให้ยาฆ่าเชื้อจนกลับไปบ้านได้ บางเคสทานอาหารไม่ได้เพราะลำไส้อุดตัน ก็มาให้สารอาหารที่เรา พอดีขึ้นก็กลับไปรักษาต่อที่เดิมได้

“หรือกับคนไข้อัลไซเมอร์ วันแรกๆ เราจะอธิบายให้เขาได้รู้ว่าวันหนึ่งเขาจะเป็นยังไง แล้วถ้าถึงวันนั้น เขาไม่อยากได้รับการรักษาอะไรบ้าง หมออยากให้คนไข้มีโอกาสพูดเพราะหมอเชื่อว่าทุกวันนี้คนไข้อัลไซเมอร์ที่นอนติดเตียงเกือบทุกคนเขาไม่มีโอกาสได้สื่อสารความต้องการของตัวเองตั้งแต่ตอนที่เขายังสุขสบายอยู่

“แต่ถ้าเขาไม่มีโอกาสนั้นแล้วเราก็ต้องคุยกับญาติเพื่อดูว่าแต่ก่อนเขาเป็นคนแบบไหน และพอเขาลืมถึงขั้นหนึ่งจนเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะสำลัก เราก็มีกิจกรรมฝึกกลืน หรือถ้าติดเชื้อ เราก็ให้ยาฆ่าเชื้อกันไป โดยไม่ต้องทำอย่างอื่นอย่างการเจาะเลือด หรือการใช้อุปกรณ์ที่มันทำให้เขาทรมาน”

ทีมเวิร์ก

บุคลากรทางการแพทย์ด้านประคับประคองกำลังมีมากขึ้นเรื่อยๆ ตามความรับรู้ในสังคม และรูปแบบสังคมไทยที่กลายเป็นสังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ แต่นอกจากองค์ความรู้ในการดูแลคนไข้ที่แตกต่างจากการรักษาทั่วไปแล้ว หมอแนตคิดว่าบุคลากรคนนั้นต้องมีลักษณะสำคัญที่หมอมองหา

“empathy หรือความเห็นอกเห็นใจเป็นลักษณะที่สำคัญมาก เพราะเรามองว่าถ้าบุคลากรไม่มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น เขาก็จะเข้าใจความทุกข์ของคนไข้ได้ยาก

“อย่างที่สองที่หมอว่าต้องมีคือซอฟต์สกิลในด้านต่างๆ อย่างหมอมาจากโรงพยาบาลเอกชัย หมอก็เริ่มรีครูตคนจากตรงนั้นโดยดูว่าพยาบาลคนนี้เป็นคนคุยเก่ง คนนี้สื่อสารเก่ง คนนี้ฟังเก่ง เพื่อมาทำงานร่วมกันกับครอบครัวและคนไข้” หมอแนตอธิบายหลักสำคัญของการฟอร์มทีมต้นคูนของเธอ

แต่จากคำว่า ‘ทีม’ ที่เราว่า นอกจากพยาบาล คูนยังมีบุคลากรอีกหลายตำแหน่งที่ช่วยให้เกิดการรักษาแบบองค์รวมซึ่งเป็นใจความสำคัญของการรักษาแบบประคับประคองนี้

“เรายังมีนักศิลปะบำบัดที่เคยทำงานด้านนี้ที่ฮอสพิซ (hospice) เมืองนอกมาก่อน มีอาจารย์ที่เป็นนักดนตรีบำบัดซึ่งทำอยู่ที่ศูนย์บริรักษ์ของศิริราช มีผู้ช่วยพยาบาล มีคุณหมอประคับประคองท่านอื่น และมีตำแหน่งอื่นๆ ที่ช่วยให้คนไข้มีความสุขที่สุดในขั้นตอนการรักษากับเรา”

ทีมงานต้นคูนของหมอแนตทำงานสอดประสานกันเป็นอย่างดี นอกจากคุณหมอและพยาบาลจะเข้ามาดูแลอาการในแต่ละวัน กลุ่มนักกิจกรรมบำบัดก็จะประเมินว่าคนไข้เคสนี้เคยชอบทำอะไร แล้ววันนี้นักกิจกรรมจะชวนคนไข้ทำอะไรในแต่ละวันได้บ้างเพื่อให้คนไข้มีความสุขขึ้นได้ 

พร้อมๆ กัน นักดนตรีบำบัดก็จะใช้ดนตรีเข้ามาประกอบว่าในแต่ละวัน คนไข้สามารถเอนจอยกับดนตรีได้ในรูปแบบไหน จะฟังเพลงคนเดียว ฟังร่วมกับคนไข้คนอื่นๆ หรืออาจให้สมาชิกในครอบครัวร่วมเล่นดนตรีพร้อมกันกับคนไข้ก็ยิ่งดี 

“คนไข้ยังเอาสัตว์ที่เลี้ยงที่บ้านมาอยู่ด้วยได้ หรือถึงไม่มีสัตว์เลี้ยงแต่อยากทำความฝันให้เป็นจริงก็สามารถติดต่อเรื่องสัตว์บำบัดได้เหมือนกัน ที่ผ่านมาก็เคยมีติดต่อเอาหมูแคระมาใช้บำบัดคนไข้ด้วย”

นอกจากกิจกรรมเฉพาะบุคคลแล้ว ในแต่ละสัปดาห์ยังมีกิจกรรมรวมให้คนไข้และญาติแต่ละเคสมาทำร่วมกัน เพื่อแชร์สารทุกข์สุกดิบระหว่างกัน

“หมอเชื่อว่าเราต้องมีทีมที่สามารถซัพพอร์ตได้ครบทุกด้านจริงๆ และมันไม่สามารถเกิดได้ในโรงพยาบาลที่ให้หมอเป็นหลัก เพราะหมอก็จะมองเพียงมิติเรื่องโรค แล้วส่งให้ตำแหน่งอื่นๆ ช่วยดูแลตามที่กำหนดไว้ แต่ที่นี่ หมอให้ทีมดูแลร่วมกันเพราะนี่คือเป้าหมายที่ทุกคนต้องช่วยกัน” หมอแนตบอก

บ้านหลังที่สอง 

“pain point หนึ่งของคนทำงานในโรงพยาบาลคือคนไข้จะขอกลับบ้านตลอดทั้งที่ร่างกายเขายังไม่พร้อม” หมอแนตเกริ่น เมื่อเราเอ่ยถึงความแตกต่างทางสถาปัตยกรรมที่สัมผัสได้

“หลักของเราจึงคือการออกแบบให้โรงพยาบาลคูนดูสบายกว่าเดิม มีความเครียดความหดหู่ของโรงพยาบาลให้น้อยที่สุด”

อย่างที่หมอแนตว่า เพราะตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในเขตของคูน เรากลับรู้สึกเหมือนได้มาพักผ่อนในรีสอร์ตที่เงียบสงบ ไม่รู้สึกว่ากำลังยืนอยู่บนถนนพระราม 2 แม้แต่น้อย

“เราออกแบบพื้นที่ของโรงพยาบาลตามหลัก biophilic design หรือการออกแบบอาคารให้ผสานกับธรรมชาติ เพื่อให้คนไข้และครอบครัวอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด เพราะธรรมชาติจะทำให้ความเครียด ความวิตกกังวลลดลง และอาจทำให้เขาเข้าใจว่าการจากไปมันก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่เขาต้องเจอ”

ส่วนห้องพักของโรงพยาบาลนั้นมีด้วยกัน 30 ห้อง แต่ละห้องออกแบบตกแต่งให้คล้ายบ้านพักอาศัยมากที่สุด นอกจากนั้น โรงพยาบาลคูนยังมีห้องส่วนกลาง อย่างห้องดูหนัง ห้องต้นไม้ ห้องสมาธิ ห้องอโรม่า ที่ช่วยให้คนไข้และครอบครัวได้เปลี่ยนบรรยากาศ

“ถ้าเขาอยู่โรงพยาบาลอื่นๆ เขาแทบจะได้อยู่แต่ในห้อง แต่เราอยากให้เขาออกมาใช้เวลานอกห้องบ้าง จะมาปลูกต้นไม้ก็ได้ มาดูหนังกับครอบครัวที่เราตั้งใจจัดให้เหมือนบ้านก็ได้ ถ้าในห้องของเราไม่มีหนังเรื่องที่อยากดู บอกได้ตลอด เดี๋ยวเราจะหามาให้

“หรืออย่างห้องอโรม่า จะมาทำเวิร์กช็อปเพื่อเลือกกลิ่นหอมๆ ไปไว้ที่ห้องตัวเอง หรือเลือกเบลนด์กลิ่นให้แขกที่มาเยี่ยมก็ได้ เพราะคนไข้จะรู้สึกว่าเขาเป็นผู้รับอยู่ตลอดจนทำให้ศักดิ์ศรีหรือตัวตนของเขาถูกลดทอนลงไป การที่เขาได้กลับมาเป็นผู้ให้ได้อีกครั้งก็อาจทำให้จิตใจของเขากลับมาเข้มแข็งขึ้น”

ห้องที่เราชอบเป็นพิเศษคือห้องสมาธิที่ติดตั้ง sound dome ไว้ เพื่อให้เสียงไม่รบกวนภายนอก ขณะเดียวกัน โดมใสเหนือศีรษะก็ช่วยให้คลื่นอัลฟ่าส่งตรงถึงคนไข้และครอบครัวได้โดยตรง

“อีกสิ่งที่เราอยากให้มีและตั้งใจสร้างขึ้นมาคือมุมระเบียงที่เราว่านอกจากจะให้ความรู้สึกเหมือนบ้าน พื้นที่ตรงนี้ยังทำให้คนไข้และครอบครัวได้มาพูดคุยกับคนห้องข้างๆ ได้ เหมือนเป็นพื้นที่ให้แต่ละบ้านได้แลกเปลี่ยนความคิดและซัพพอร์ตจิตใจซึ่งกันและกัน” หมอแนตอธิบาย

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการเบรนสตอร์มระหว่างหมอแนตเอง, นักออกแบบประสบการณ์ที่เคยออกแบบประสบการณ์ให้กับฮอสพิซที่สตอกโฮล์ม​, สตูดิโอสถาปนิกชื่อดังอย่าง Integrated Field และกระทั่งผู้จัดการโรงแรม 

ต้นคูนที่เติบโต ผลัดใบ และผลิดอก

“เราทำแค่ 30 ห้อง ก็เพราะเราไม่มั่นใจนี่แหละว่าตลาดนี้จะตอบรับมากน้อยแค่ไหน” หมอแนตตอบพลางหัวเราะ เมื่อเรายิงคำถามว่าไอเดียดีๆ แบบนี้ ทำไมจึงจำกัดที่ไม่กี่ห้อง

“จริงๆ ตอนแรกเราควรจะทำมาร์เก็ตรีเสิร์ชใช่ไหม แต่เราก็ไม่ได้ทำ เราใช้แต่ความเชื่อว่ามันจะน่าจะมีลูกค้ากลุ่มนี้อยู่ พอเปิดโรงพยาบาลมาได้ 1 ปี ลูกค้ากลุ่มนี้ก็เข้ามาหาเราเรื่อยๆ เราจึงเริ่มคิดทำที่ที่สองหรือสามเพิ่มขึ้น เราก็เริ่มรู้สึกว่ามาถูกทางแล้ว

“อีกสิ่งที่ทำให้หมอรู้สึกดีที่ได้ทำโรงพยาบาลแห่งนี้ขึ้นมา คือตั้งแต่คูนเปิดทำการ หมอเห็นเลยว่าคนไทยเริ่มสนใจและเข้าใจการดูแลแบบประคับประคองมากขึ้น และนั่นก็ยิ่งทำให้หมออยากสร้างความตระหนักรู้ให้กว้างกว่าเดิมเพราะหมออยากเห็นภาพที่ทุกคนได้รับสิทธิในการดูแลรักษาแบบประคับประคองเหมือนวัคซีนพื้นฐาน และเหมือนแคมเปญลูกเกิดรอด แม่ปลอดภัย” 

แม้หมอแนตจะมีแผนว่าโรงพยาบาลคูนจะเปิดสาขาต่อๆ ไปในอนาคต แต่ในทางหนึ่ง เธอยังคงบอกว่าโรงพยาบาลคูนยังไม่ได้ทำกำไรมากเท่าที่หวัง 

“ในเชิงจิตใจ หมอมองว่าประสบความสำเร็จตามที่เราคาดหวังไว้ แต่ในเชิงธุรกิจ หมออาจจะยังทำไม่ได้ตามเป้าที่เคยคิด เพราะปกติกำไรของโรงพยาบาลนั้นมาจากค่าแล็บ ค่ายา แต่กับคูนที่เน้นรักษาแบบประคับประคอง เราตัดตรงนั้นออกให้มากที่สุดเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไข้และเซฟค่าใช้จ่ายของครอบครัว 

“โจทย์ของเราจึงคือการหากิจกรรมและบริการเสริมให้มากขึ้น เพราะหมอมองว่ามันก็สำคัญกับคนไข้ไม่แพ้ยาตัวหนึ่ง และมันก็เป็นเหตุผลที่หมอเองอยากเปิดโรงพยาบาลคูนขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์คนไข้ที่คิดว่าความหมายของการมีชีวิตอยู่คือคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ใช่การอยู่ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

“เหมือนกับชื่อของโรงพยาบาลที่มาจากต้นคูน เพราะเวลาเราพูดถึงต้นไม้ต้นนี้ แทบไม่เคยมีใครคิดถึงต้นคูนตอนมันมีแต่ใบเขียวๆ แต่ภาพที่เราเห็นคือภาพที่ดอกของเขาบานเต็มต้นซึ่งเป็นช่วงที่คนมองว่าต้นคูนกำลังสวยที่สุด แม้ว่าตอนนั้นจะเป็นตอนที่ใบของมันโรยไปหมดแล้ว

“หมอว่ามันเหมือนกับชีวิตคนเรา ถ้าเราเลือกที่จะเป็นเหมือนต้นคูน แม้ช่วงที่ชีวิตที่เรากำลังร่วงโรย เราก็ยังมีชีวิตที่สวยงามที่สุดได้เหมือนกัน” หมอแนตทิ้งท้าย

สอบถามข้อมูลการรักษาและวางแผนการรักษาเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคมและจิตวิญญาณครอบคลุมทุกมิติเพิ่มเติมได้ที่ koonhospital.com

หยิบหนังสือขึ้นรถไฟ ว่าด้วยกิจกรรมการอ่านระหว่างทางและยุคของกิจการสิ่งพิมพ์

เวลานั่งรถไปทำงาน คุณยังหยิบหนังสือติดมือไปนั่งอ่านระหว่างทางอยู่ไหม ย้อนไปในช่วงศตวรรษที่ 19 ที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นยุคแรกของการนั่งรถไฟ ตอนนั้นคนเมืองเริ่มนั่งรถไฟไอน้ำเพื่อไปทำงานกันเหมือนเราในทุกวันนี้ การเกิดขึ้นของการนั่งรถไฟทุกๆ วันนับเป็นพื้นที่และการใช้เวลาใหม่ของผู้คน ทำให้เกิดกิจกรรมสำคัญนั่นคือการหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านระหว่างทาง การอ่านระหว่างทางนี้ส่งผลกระทบต่อวงการสิ่งพิมพ์และหน้าตาหนังสือจนถึงทุกวันนี้

ในช่วงนี้กรุงเทพฯ กำลังตื่นเต้นกับรถไฟฟ้าสายใหม่ ประกอบกับช่วงปลายเดือนที่ผ่านมาคือวันที่ 22 พฤษภาคม เป็นวันเกิดของเซอร์ อาร์เทอร์ โคนัน ดอยล์ (Arthur Conan Doyle) ผู้เขียนเชอร์ล็อก โฮล์มส์ เจ้าพ่องานเขียนแนวสืบสวนระดับขึ้นหิ้ง ทั้งรถไฟและงานแนวสืบสวนอันที่จริงเป็นของคู่กัน รถไฟเป็นประดิษฐกรรมที่ส่งผลอย่างรุนแรงต่อสังคม และผลด้านหนึ่งที่น่าประหลาดใจคือผลกระทบต่อวงการสิ่งพิมพ์ ความนิยมของงานสืบสวนสอบสวนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เป็นหนึ่งในหนังสือราคาถูกที่คนทั่วไปจะซื้อที่สถานีเพื่ออ่านระหว่างทาง และบ้างก็โยนทิ้งไปเมื่อถึงปลายทาง

งานเขียนประเภทงานสืบสวนสอบสวนเป็นอีกหนึ่งประเภทวรรณกรรมที่เคยเป็นงานของมวลชน เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่แรกเริ่มเลยไม่ได้รับการยอมรับในฐานะวรรณกรรม เป็นเรื่องใหม่ที่แปลกประหลาด แน่นอนว่าเชอร์ล็อก โฮล์มส์ เองเป็นตัวอย่างหนึ่ง เชอร์ล็อก โฮล์มส์ เล่มแรกคือ A Study in Scarlet มีนิตยสารรับซื้อไปก็จริง แต่สุดท้ายสำนักพิมพ์ในขณะนั้นไม่นับว่าเป็นงานสลักสำคัญและเลือกที่จะนำไปอยู่ในฉบับแจกฟรีวันคริสต์มาส งานแนวสืบสวนกลายไปเป็นส่วนหนึ่งของนิตยสารราคาถูกที่เรียกว่า shilling shocker ส่วนหนึ่งของวงการหนังสือราคาถูกหรือ Pulp Fiction หนังสืออ่านง่ายอ่านสนุกและไม่ได้มีราคาอะไร

ทว่าการเกิดขึ้นของกิจกรรมการอ่านระหว่างทางนั้น สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของสังคม และการก่อตัวขึ้นของกิจการรวมถึงประเภทวรรณกรรมที่ตอบสนองกับมวลชนมากขึ้น การผลิตหนังสือในสมัยนั้นเน้นไปที่การอ่านระหว่างทางและกลุ่มผู้อ่านใหม่ๆ ที่ต้องนั่งรถไฟไปทำงานและหาเรื่องที่อ่านเข้าใจง่าย อ่านจบได้ในชั่วระยะเดินทางนั้นๆ

เราจึงขอชวนผู้อ่านนั่งรถไฟฟ้าย้อนกลับไปสมัยปลายยุควิคตอเรียน ชวนดูภาพของผู้คนที่นั่งอยู่บนรถไฟและหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านระหว่างรอ ในความเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมในชีวิตประจำวัน การนั่งเฉยๆ กลับทำให้เกิดรูปแบบหนังสือไปจนถึงประเภทวรรณกรรมใหม่ๆ กระทั่งนำไปสู่รูปแบบการเขียนที่รองรับการอ่านในระหว่างทางอันน่าเบื่อหน่าย

รถไฟ กับเวลาและพื้นที่ (การอ่าน) แบบใหม่

รถไฟถือเป็นนวัตกรรมที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษยชาติ ในคอลัมน์ก่อนเราพูดถึงการสร้างทางรถไฟในอเมริกาที่สัมพันธ์กับแรงงานชาวจีนและการเกิดขึ้นของกิจการร้านซักรีด ครั้งนี้เราจะชวนย้อนไปดูช่วงปลายของยุควิคตอเรียนคือช่วงศตวรรษที่ 19 ในช่วงเวลาที่เราอาจนึกภาพเป็นสุภาพบุรุษในชุดสวยงามและสตรีในชุดคอร์เซตนี้เองเป็นช่วงเวลาที่โลกก้าวเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่ เป็นยุคสมัยที่เราเข้าสู่ความเป็นอุตสาหกรรมและโลกแห่งทุนนิยมที่กำลังสยายปีกขึ้น

แล้วรถไฟสำคัญยังไง ด้านหนึ่งรถไฟคือการวางโครงข่ายการเดินทางที่วิ่งเหมือนเส้นเลือดไปทั่วประเทศ รถจักรสีดำที่พ่นไอน้ำเป็นเหมือนชัยชนะของมนุษยชาติ ภาพของประเทศ ของขอบเขตดินแดนชัดเจนขึ้น ความเป็นมหาอำนาจสัมพันธ์กับการขนส่ง การเชื่อมต่อระหว่างเมืองต่อเมือง จากเมืองหลวงสู่พื้นที่อุตสาหกรรม จากเขตพื้นที่การทำประมงจนเหมือนเมืองที่เป็นที่มั่นของเหมืองอันเป็นวัตถุดิบล้ำค่า ระบบรถไฟทำให้เกิดการวางระบบสำคัญร่วมกันคือระบบเวลา นึกภาพว่าเจ้าโครงข่ายของรถไฟทำให้เมืองต่างๆ ที่เคยมีระบบเวลา ตั้งนาฬิกากันแบบลำลอง ต้องมีระบบเวลาเดียวกันเพื่อให้การเดินทางเชื่อมต่อกันได้อย่างถูกต้องแม่นยำ รถมากี่โมง ถึงที่ปลายทางกี่โมง ระบบเวลาต้องเป็นชุดเดียวกัน

นอกจากภาพใหญ่ของรถไฟที่เป็นพลังสำคัญของจักวรรดิอังกฤษแล้ว ในยุคนั้นเมืองใหญ่ต่างๆ เริ่มเกิดพื้นที่อุตสาหกรรม เกิดการหลั่งไหลจากชนบทเข้าไปทำงานในเมือง และเกิดสิ่งที่เราเรียกว่าย่านชานเมือง (suburb) ขึ้น โดยพร้อมกันนั้น ช่วงปลายยุควิคตอเรียน อัตราการรู้หนังสือเริ่มเพิ่มสูงขึ้น หมายความว่า ในชนชั้นแรงงานเองก็เริ่มได้รับการศึกษาในระดับพื้นฐาน ทีนี้ในระหว่างที่คนนั่งรถไฟไปทำงานจากที่พักอาศัย ในช่วงนี้เองที่ตลาดหนังสือเริ่มเติบโตขึ้นพร้อมคนกลุ่มใหม่ คือแรงงานจำนวนมากที่อ่านหนังสือออก และมีเวลาว่างๆ ระหว่างนั่งรถไฟไปและกลับจากที่ทำงาน

ในช่วงนั้นมีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างประกอบกัน กิจกรรมการอ่านหรือการผลิตหนังสือมีอยู่แล้ว แต่หนังสือเคยเป็นของแพง เมื่อถึงยุคที่กระดาษมีราคาถูกลง เทคโนโลยีการพิมพ์มีประสิทธิภาพขึ้น ผลิตหนังสือให้แมสคือทั้งปริมาณเยอะขึ้นได้และผลิตให้ผู้อ่านในระดับมวลชนได้ ในยุคหนึ่งจึงเกิดปรากฏการณ์หนังสือราคาถูกขึ้นพร้อมๆ กับการเกิดแผงหนังสือที่อยู่ตามสถานีรถไฟ เป็นหนังสือที่ในยุคนั้นอ่านจบแล้วโยนทิ้งเมื่อถึงปลายทาง รวมถึงระบบรถไฟเองที่ทำหน้าที่กระจายหนังสือออกไปทุกหัวระแหงของพื้นที่

ชนชั้นกับวัฒนธรรมการอ่าน อ่านอะไรบนรถไฟ

ก่อนหนังสือจะมีราคาถูกลง ในยุคก่อนการอ่านเป็นเรื่องของผู้ดีมีเงิน คนจะอ่านหนังสือได้แน่นอนว่าต้องมีการศึกษา มีครูมาสอนส่วนตัวที่บ้าน ต้องมีเวลา และต้องมีรสนิยม ธรรมเนียมการพิมพ์หนังสือในสมัยก่อนค่อนข้างมีลำดับชั้นอย่างชัดเจน ธรรมเนียมการพิมพ์หนังสือหรือนวนิยายในต้นศตวรรษที่ 19 ของอังกฤษจะเรียกว่า three-decker นวนิยายหนึ่งเล่มเช่นงานของเจน ออสเทน ที่ยาวๆ จะถูกพิมพ์ออกมาโดยแยกเป็น 3 เล่ม หุ้มปกผ้าเดินด้ายทองสวยงาม ในช่วงนั้นหนังสือแบบนี้นับเป็นของแพงมาก เล่ม 1 จาก 3 เล่มเป็นราคา 10 ชิลลิ่ง ทั้งชุดคือ 30 ชิลลิ่ง ถ้าเทียบเป็นค่าครองชีพ หนังสือชุดหนึ่งเท่ากับค่าแรง 1 สัปดาห์ของชนชั้นกลางระดับล่าง

ในยุคนั้นประเด็นเรื่องชนชั้นค่อนข้างแข็งแรงมากกระทั่งในกิจกรรมการเข้าถึงหนังสือ โดยทั่วไปเมื่อหนังสือเล่มหนึ่งออกมาเป็นระบบ 3 เล่มสวยงาม ในตอนนั้นเมื่อออกฉบับแรกแล้วต้องรอซักพัก บ้างก็รอ 2-3 ปีทางสำนักพิมพ์ถึงจะออกแบบเล่มเดี่ยวปกอ่อน ในช่วงกลางศตวรรษเป็นต้นมาที่รายได้ต่อครัวเรือนเริ่มสูงขึ้นและการออกหนังสือแบบปกอ่อนในเวลาไล่เลี่ยกัน การอ่านในฐานะกิจกรรมสันทนาการ การอ่านนวนิยายเป็นสิ่งที่ครัวเรือนชนชั้นกลางเริ่มเข้าถึงได้ แต่ก็ใช้เวลา หมายถึงใช้เวลาจริงๆ คือคนรวยอ่านฉบับวางแผงครั้งแรกก่อน คนที่จนหน่อยก็รอต่อไป

นอกจากตัวหนังสือเองที่มีระดับราคาและราคาค่อยๆ ถูกลงแล้ว ประเด็นพื้นที่การอ่านก็สำคัญด้วย สำหรับชนชั้นแรงงานที่ไม่ใช่คนชั้นกลาง มีข้อจำกัดในการอ่านและการเข้าถึงหนังสือในหลายระดับมาก อย่างแรกคือไม่มีเวลา ชนชั้นแรงงาน (manual labor) ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทำงานในโรงงาน ส่วนชนชั้นที่มีรายได้สูงกว่าและมีเวลาว่าง–เราเรียกว่าเป็นชนชั้นที่มีเวลาว่าง (leisure class) เงื่อนไขสำคัญอีกอย่างคือแม้ว่าชนชั้นแรงงานจะอ่านหนังสือออกบ้างแล้ว แต่ภาวะของการอยู่อาศัยเช่นการใช้แสงเทียนในตอนกลางคืนก็ทำให้การอ่านที่บ้านไม่สะดวกนัก

ความต้องการและเงื่อนไขใหม่นี้เองทำให้วงการสิ่งพิมพ์ปรับตัว มีการออกหนังสือที่ใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ที่ทำให้หนังสือมีราคาถูกลง เกิดหนังสือที่เรียกว่า yellow-back นวนิยายราคาถูกที่พิมพ์แล้วปกออกสีเหลือง หนึ่งในเจ้าใหญ่ของวงการนวนิยายปกเหลืองคือสำนักพิมพ์ Routledge มีการออกนวนิยายที่เรียกว่า Railway Library ในปี 1848 หนังสือปกเหลืองนับเป็นหนึ่งในนวัตกรรมของการพิมพ์ซ้ำจากวรรณกรรมหรือนวนิยายที่เคยเป็นปกผ้าสวยงามกลายเป็นหนังสือราคาถูก  

ระบบแผงหนังสือก็เกิดขึ้นไล่เลี่ยกัน บริษัทสำคัญคือการเปิดอาณาจักรแผงหนังสือของบริษัท W.H. Smith and Sonbecame ผู้วางกิจการแผงหนังสือในสถานีรถไฟ (railway bookstall) ในทศวรรษ 1850 ในช่วงเวลาต่อมาวงการหนังสือพิมพ์และนิตยสารก็ขานรับกับความเร็วและมวลชน รวมถึงกิจกรรมการอ่านระหว่างเดินทาง ทศวรรษ 1870 เริ่มเกิดหนังสือพิมพ์รายวัน (คือพอมีรถไฟ ข่าวสารจากศูนย์กลางก็เดินทางไวขึ้น คนอ่านเยอะขึ้น) ในสมัยก่อนนิตยสารเช่น The Times ในปี 1803 หรือต้นศตวรรษมีราคา 6 เพนนี มีอัตราการพิมพ์ราว 2,000 ฉบับ ในปี 1880 เกิดนิตยสาร Pall Mall Gazette ขายในราคาเพนนีเดียว และในปี 1896 ก็เกิดหนังสือพิมพ์ The Daily Mail หนังสือพิมพ์ขนาด 8 หน้า ขายในราคาครึ่งเพนนี ส่วน The Times เองก็มียอดขายเพิ่มขึ้น จาก 2,000 ฉบับ พุ่งทะยานไปถึง 70,000 ฉบับในปี 1866 

สำหรับตลาดผู้อ่านจากชนชั้นแรงงานประเมินคร่าวๆ ในปี 1867 จากประชากรทั้งหมด 20 ล้านคน ในทั้งหมดเป็นชนชั้นแรงงาน 16 ล้านคน ตลาดผู้อ่านใหม่นี้จึงเป็นสุดยอดโอกาส มีข้อสังเกตว่าบางสื่อและการทำหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารในยุคนั้นคำนึงถึงการอ่านที่ต้องเข้าใจง่าย อ่านแล้วจับใจความได้เร็วๆ ในช่วงนี้เองที่วงการสิ่งพิมพ์เริ่มเฟื่องฟูขึ้น มีเทคโนโลยีการพิมพ์ภาพเข้ามาช่วย ทำให้นิตยสารหรือหนังสือที่มีภาพประกอบนำเป็นสื่อสำคัญที่ขายให้กับผู้อ่านที่ไม่ต้องมีทักษะการอ่านหรือมีเวลาอ่านมากขึ้น งานภาพประกอบอื่นๆ เช่นงานภาพโฆษณาก็เฟื่องฟูขึ้นพร้อมๆ กัน 

ตัวอย่างสำคัญคือนิตยสาร Tit-Bits ก่อตั้งในปี 1881 เป็นนิตยสารรวมบทความแบบย่อยง่าย ย่อยมาแล้ว แล้วก็มีเรื่องอ่านแบบหวือหวา มีรวมมุกตลก การอ่านบนรถไฟและกลุ่มผู้อ่านใหม่ทำให้การเขียนบทความและฟอร์แมตของสิ่งพิมพ์สนองกับผู้อ่าน บทความต่างๆ มีขนาดสั้นลง เขียนกระชับเข้าใจง่าย นอกจากบทความแล้วพวกนวนิยายก็มีขนาดสั้นลง เรื่องสั้นเกิดแนวต่างๆ ที่เน้นความสนุกสนาน น่าตื่นตาตื่นใจและความใกล้ตัว

ในแง่ของนิตยสารบันเทิงคดี นิตยสารสำหรับชนชั้นกลางที่ราคากลางๆ นอกจาก The Times ที่มียอดขายพุ่งขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 นิตยสารอีกหัวที่น่าพูดถึงคือ The Strand Magazine นิตยสารหลักที่แจ้งเกิดให้กับเชอร์ล็อก โฮล์มส์ ของดอยล์ สำหรับ The Strand เป็นอีกนิตยสารที่มีเป้าหมายเป็นผู้อ่านทั่วไป วางขายฉบับแรกในเดือนมกราคม ปี 1891 ในราคา 6 เพนนี ตัวเลขของการพิมพ์สะท้อนการขยายตัวของผู้อ่านได้เป็นอย่างดีคือยอดขายฉบับแรกเปิดขายได้ที่ 300,000 ฉบับ และไม่นานก็พุ่งถึงครึ่งล้านฉบับ ความเท่ของนิตยสาร The Strand คือไปออกที่อเมริกาด้วยโดยออกช้ากว่าหนึ่งเดือน เป็นเล่มเดียวกันเช่นฉบับเดือนมกราคมของอังกฤษ ก็จะเป็นฉบับกุมภาพันธ์ของอเมริกา เนื้อหาหน้าตาเหมือนกัน สำหรับ The Strand ก็จะมีเนื้อหาเพื่อความบันเทิง มีบทความ เรื่องสั้น นวนิยายอ่านสนุกขนาดสั้นๆ มีเกมให้เล่นฆ่าเวลา

Penny Dreadful, Yellow Back และ Shilling Shocker

นึกภาพบรรยากาศชีวิตและการอ่านในยุคนั้น การอ่านเป็นกิจกรรมที่ผู้คนทำในช่วงเวลาว่างที่มีไม่มากคือว่างจากการทำงาน เรื่องที่เขียนขึ้นที่คนนิยมจะเป็นเรื่องที่อ่านสนุก ตื่นเต้น หรือกระทั่งสัมพันธ์กับบริบทที่ใกล้ตัว ในยุคนั้นจึงเกิดปรากฏการณ์สิ่งพิมพ์ราคาถูกที่ในระยะต่อมาถูกดูแคลนว่างานเหล่านั้นก็ราคาถูก เอาไว้อ่านเล่นไม่ได้มีคุณประโยชน์อะไรด้วย ซึ่งสำนักพิมพ์เองก็ค่อนข้างปรับตัวและเปิดทางเลือกใหม่ๆ ให้กับผู้อ่านโดยมีแนวคิดเรื่องประโยชน์อยู่โดยนัยด้วย

ปรากฏการณ์หนังสือแมสๆ ในยุคแรกคือการเกิดขึ้นของหนังสือเล่มละเพนนีที่เรียกว่า Penny dreadful ถ้าเปรียบเทียบกับบ้านเราก็คล้ายกับกระแสการ์ตูนผีเล่มละบาท หนังสือประเภท Penny dreadful ตัวนิยายเล่มละเพนนีมักจะเป็นเรื่องผี เรื่องสยองขวัญ ฆาตกรรมสมชื่อ dreadful หนังสือนี้จะออกรายสัปดาห์ คือตามอ่านเป็นตอนๆ เล่มหนึ่งยาว 8-16 ตอน มีตัวละครเป็นฆาตกรเช่นสวีนนีย์ ทอดด์ เรื่องผีสางเช่นแวมไพร์ หนังสือผีราคาถูกนี้เกิดขึ้นในปี 1830 และเฟื่องฟูจนถึงทศวรรษ 1870 เป้าหมายสำคัญคือกลุ่มแรงงานผู้ชายที่จะอ่านเรื่องสนุกสนาน สื่อเช่น The Guardian นิยามว่าหนังสือเล่มละเพนนีเป็นเหมือนวิดีโอเกมสำหรับเด็กผู้ชายในยุคนั้น ในช่วงทศวรรษ 1860-1870 มีตัวเลขว่าหนังสือเล่มละเพนนีขายได้หลักล้านฉบับต่อสัปดาห์ มีตัวเลขผู้ผลิตสูงถึงเกือบร้อยราย

ต่อจากยุคเรื่องสยองเล่มละเพนนี ในกลางศตวรรษก็ได้เกิดคู่แข่งของหนังสือสยองเล่มละเพนนีคือเกิดหนังสือกลุ่มปกออกเหลือง ฟังดูไม่ดี แต่จริงๆ คือการที่สำนักพิมพ์ใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ที่ทำให้ปกหนังสือมีความสว่าง มักจะออกเฉดเหลืองตามฉายาหนังสือ (แถมอยู่ไปนานๆ กระดาษก็เหลืองด้วย) กลุ่มหนังสือประเภท yellow-back เป็นนวนิยายที่จบในตัวเอง มีความเป็นเรื่องขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังขายความสดใส (ซึ่งสะท้อนผ่านสีปกด้วย) ยังคงมีความอ่านสนุก อ่านง่าย ไม่ยาวมาก และมีราคาถูก คือราคาประมาณ 1-2 ชิลลิ่ง หนึ่งในจุดเริ่มของเจ้าพ่อวงการหนังสือปัจจุบันคือ Routledge ที่ออกหนังสือชุดห้องสมุดรถไฟ ทาง Routledge ได้นำเอานวนิยาย (ที่เราอาจเรียกว่านิยายน้ำเน่า) เรื่องผจญภัย ไปจนถึงคู่มือการศึกษาและชีวประวัติ อ่านง่ายๆ กลับมาพิมพ์ใหม่ให้มีราคาถูกและเน้นขายให้กับคนที่นั่งรถไฟ เจ้าชุดหนังสือรถไฟของ Routledge เป็นซีรีส์ยาวนานคือออกเรื่อยๆ เรื่อยมาตั้ง 50 ปี โดยรวมแล้วมีทั้งหมด 1,277 เรื่อง

เนื่องด้วยเราเปิดด้วยวันเกิดของดอยล์ เชอร์ล็อก โฮล์มส์ เอง ก็นับว่าเป็นหนังสือกลุ่มที่ไม่เชิงว่าราคาถูกขนาดนั้น แต่ก็ไม่ใช่ของหรูหราระดับขึ้นหิ้ง บางคนนิยามว่าโฮล์มส์เป็นความฮิตส่วนหนึ่งมาจากความหรูหราที่สัมผัสได้ นวนิยายเรื่องยาวของเชอร์ล็อก โฮล์มส์ เล่มแรกอยู่ในกลุ่มหนังสือประเภท shilling shocker คิดเป็นเงินปัจจุบันคือ 5 เพนนี คือเท่าๆ กับพวกหนังสือปกเหลือง งานเขียนของโฮล์มส์ที่นิตยสาร The Strand รับพิมพ์นั้นก็ชื่นชมว่าเป็นงานเขียนชั้นดีที่คนทั่วๆ ไปพอจะซื้อได้ในราคานี้ ไม่ได้ต้องราคาถูกถึงขนาดพวก Penny dreadful 

ทว่าในภาพรวมคนก็ยังมองว่าหนังสือหรือบันเทิงคดีในช่วงนั้นเน้นการเขียนให้หวือหวา พาใจไปจินตนาการ เรื่องสืบสวนก็ว่าด้วยอาชญากรรม ฆาตกรรม พวกงานแนวไซไฟก็ว่าด้วยโลกจินตนาการ พาไปเที่ยวดาวอื่น อีกทีก็เป็นเรื่องผีๆ สางๆ หรือรักๆ ใคร่ๆ งานพวกนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในนิตยสารที่เรียกว่า pulp magazine นิตยสารสีฉูดฉาดที่พิมพ์ด้วยกระดาษจากเยื่อไม้ (wood pulp paper)

อันที่จริง ในระยะต่อมา งานของดอยล์ รวมถึงงานสืบสวนกระทั่งงานไซไฟก็จะมีนักวิชาการด้านวรรณกรรมออกมาปกป้องว่าเป็นงานที่สะท้อนหลายประเด็นร่วมสมัย เช่น The Simple Art of Murder ของเรย์มอนด์ แชนด์เลอร์ (Raymond Chandler) งานแนวสืบสวนหรืองานผีหลอกสัมพันธ์กับบริบทเมือง ความที่เราอยู่กับคนแปลกหน้าเราไม่รู้ว่าข้างบ้านเราจะเป็นฆาตกรไหม หรือพื้นที่เมืองเต็มไปด้วยมุม หลืบหรืออดีตที่ลี้ลับ ประวัติศาสตร์ที่เราไม่รู้จัก หรือข้อสังเกตของวอลเทอร์ เบนจามิน (Walter Benjamin) นักปรัชญาที่ตั้งข้อสังเกตว่าคนที่เดินทางด้วยรถไฟมักจะหยิบงานสืบสวนติดมือไปอ่านระหว่างทางในข้อเขียน Detective Novels, On Tour

ในมิติเชิงสังคม ในช่วงหนังสือปกเหลืองราคาประหยัดเองก็ค่อยๆ ถูกแทนที่และมีคู่แข่ง บางส่วนสัมพันธ์กับบริบทและการอ่านหนังสือที่มีรถไฟเป็นส่วนประกอบที่เปลี่ยนไป เช่น การเปิดรถไฟทางไกลที่มีราคาถูกลง ทำให้คนชั้นกลางสามารถเดินทางไกลๆ ได้ หรือประเด็นเรื่องเวลาทำงานที่ลดลง เกิดวันหยุดสุดสัปดาห์เองก็ทำให้แรงงานมีเวลามากขึ้น การอ่านเพียงระยะสั้นๆ หรืออ่านแล้วทิ้งก็ค่อยๆ ลดความนิยมลง กระทั่งเทคโนโลยีการพิมพ์ที่ดีขึ้น หนังสือสวยงามขึ้น ก็ทำให้เกิดคู่แข่งรายใหม่ และเกิดกลุ่มผู้บริโภคหนังสือหลายกลุ่มขึ้น

คู่แข่งสำคัญของนิยายปกเหลืองของ Routledge คือสำนักพิมพ์ Chatto & Windus เจ้านี้ออกชุดนิยายชื่อ Cheap Editions of Popular Novels คือยังรับเอาบางลักษณะของหนังสือปกเหลืองมา เช่น การเข้าเล่ม การมีภาพปกสวยงาม และโฆษณาที่ปกหลัง แต่ทว่าหนังสือชุดใหม่นี้เน้นความคงทนขึ้น มีการเข้าสันด้วยผ้า (cloth spines) ที่ทนทานขึ้น นวนิยายที่เลือกมาพิมพ์ใหม่ก็เป็นชุดที่ยอดนิยมอยู่แล้ว แต่คำโฆษณาใหม่นี้คือหนังสือชุดนี้จะเป็นหนังสือฉบับที่ทนทานขึ้น เป็นเล่มที่เราจะเก็บไว้อ่านในบ้านก็ได้ เอาใส่กระเป๋าพกพาไปอ่านที่อื่นก็ได้ ในความเปลี่ยนแปลงคือคนเรามีเวลาเยอะขึ้น บ้านมีไฟฟ้าแล้ว การจะอ่านหนังสือก็เป็นอิสระขึ้น หนังสือเองก็ถูกขายว่ายาวขึ้น เล่มหนาขึ้น อ่านได้เนื้อได้หนังขึ้น เป็นสมบัติที่อ่านแล้วเก็บ อ่านแล้วพกพาได้ แถมที่สำคัญหนังสือเทคโนโลยีใหม่นี้มีราคาถูกกว่าพวกปกเหลือง คือปกเหลืองที่ราคา 1-2 ชิลลิ่ง แต่นวนิยายปกอ่อนทำราคาที่ 6 เพนนี

อันที่จริงบรรยากาศของการพิมพ์หนังสือในช่วงนั้นค่อนข้างจะมีความซ้อนกันและเปลี่ยนแปลงไปตามนวัตกรรมและกลุ่มเป้าหมาย สำนักพิมพ์หนึ่งอาจจะออกหนังสือเรื่องเดียวกันในทุกระดับราคา จากแบบปกผ้าชุดสามเล่ม (ราคาประมาณ 30 ชิลลิ่ง) แบบเล่มเดี่ยวพิมพ์ใหม่ราคา 3 ชิลลิ่ง แบบปกเหลืองราคา 1-2 ชิลลิ่ง และแบบปกอ่อนราคา 6 เพนนีหรือถูกกว่านั้น ในราวปี 1890 หนังสือปกอ่อนราคา 6 เพนนีค่อนข้างตีตลาดหนังสือปกเหลืองได้หมด แต่จุดที่น่าสนใจคือด้วยเทคโนโลยีและการแข่งขันของระบบตลาด หนังสือเล่มหนึ่ง เรื่องเดียวกันในที่สุดค่อนข้างเข้าถึงผู้อ่านในทุกกลุ่ม ทุกชนชั้น และสัมพัทธ์ไปตามความต้องการของการอ่านที่ต่างกัน

ประวัติศาสตร์บริโภคหนังสือข้างต้นเป็นกรอบประวัติศาสตร์ช่วงสั้นๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมรวมถึงตัวรูปเล่มหนังสือที่มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในระยะเวลาเพียงราว 100 ปี หนังสือปกอ่อนที่ราคาและคุณค่าปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ความต้องการของผู้อ่านที่สัมพันธ์กับบริบททางสังคม บางส่วนส่งผลต่อเนื่องเป็นบรรพบุรุษของยุคปัจจุบัน เช่น สำนักพิมพ์เพนกวินที่รวมงานคลาสสิกที่มีทั้งปกอ่อนปกแข็งทั้งเพื่อการอ่านและการสะสมในยุคต่อมา ร้านหนังสือที่ยุคหนึ่งเราพบเห็นตั้งแต่ตามสถานีขนส่ง ป้ายรถเมล์ สนามบิน ไปจนถึงเรื่องราวที่ถูกเล่าในนิยายเช่นเรื่องสืบสวนที่มักมีการเดินทาง การนั่งรถไฟ (เชอร์ล็อก โฮล์มส์ เองก็มีฉากคิดคดีบนรถไฟระหว่างเดินทางไปที่เกิดเหตุไกลๆ เสมอ) การใช้เวลาบนเครื่องบิน หรือกระทั่งเกิดเหตุในระหว่างทางเลย เช่น ฆาตกรรมบนรถไฟของอกาธา คริสตี้

ในยุคปัจจุบันเอง การอ่านก็อาจเปลี่ยนแปลงไป การเดินทางในชีวิตประจำวันของเรา เราอาจจะอ่านจากหน้าจอ อ่านจากสื่อออนไลน์ ตัวอักษรกลายเป็นคอนเทนต์ การเขียน การคิด หรือกระบวนการสร้างสรรค์เนื้อหาก็ดูจะกำลังปรับตัวเข้าสู่เวลาและพื้นที่ในรูปแบบใหม่อีกครั้ง หรือกระทั่งกระแสการอ่านหนังสือเล่มเองที่อาจจะทั้งยังมีคุณค่าและความหมายเช่นเดิม ไปจนถึงการกลายเป็นการบริโภคทางวัฒนธรรมที่มีความหมายพิเศษ เช่น การสะสม ความสวยงาม

อ้างอิง

Lock Box ตู้รับฝากสัมภาระเจ้าแรกของไทย ที่หวังให้วิถีชีวิตคนเมือง smart life มากยิ่งขึ้น

เวลาเราเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ เชื่อว่าสิ่งที่ทุกคนโฟกัสเป็นอันดับแรกๆ คือการหารีวิวสถานที่ท่องเที่ยว รีวิวโรงแรม เพื่อทำลิสต์ทำแพลนก่อนออกเดินทางไปท่องโลก 

อีกสิ่งที่เราเห็นตามในโพสต์หรือในกระทู้พันทิปคือการตามหา ‘ตู้ล็อกเกอร์ฝากของ’ เป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ เวลาที่อยากไปเที่ยวต่างเมืองและไม่อยากแบกสัมภาระไปด้วย หรืออยากเดินตัวปลิวแบบไม่ต้องถืออะไร ช้อปปิ้ง เที่ยวเล่นเสร็จแล้วค่อยกลับมาเอา

ถ้าไปเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน หรือบางประเทศในยุโรป ก็แทบจะไม่ต้องเสิร์ชหา เพราะประเทศท่องเที่ยวเหล่านี้มีบริการตู้ล็อกเกอร์ฝากของตามสถานีรถไฟฟ้าสถานีใหญ่ๆ อย่างแน่อน หรือบางประเทศก็มีแทบจะทุกสถานีเสียด้วยซ้ำ

กลับมาที่ประเทศไทยบ้านเรา ประเทศที่จุดหมายปลายทางอันดับท็อปๆ ของโลก มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาปีละ 30-40 ล้านคน มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องทุกปี แต่กลับไม่มีตู้ล็อกเกอร์ฝากของบริการ

“ทำไมเมืองไทยถึงไม่มี” คำถามที่ใครหลายคนคิด และ ‘วิน–อิทธิชัย พูลวรลักษณ์’ ก็สงสัยเช่นนั้น เขาคือผู้ก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท ลอคค์ บอกซ์ กรุ๊ป จำกัด เจ้าของ ‘Lock Box’ ผู้ให้บริการตู้ล็อกเกอร์รับฝากสัมภาระอัตโนมัติ 24 ชั่วโมง รายแรกของไทย

ตู้ล็อกเกอร์สีเหลืองสีสันสดใสเตะตาและมองเห็นมาแต่ไกล ที่ตอนนี้ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งสอดแทรกในชีวิตประจำวันของผู้คน ปัจจุบันเปิดให้บริการทั้งหมด 96 สาขาทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล 

Lock Box ของวินไม่ได้จริงจังเฉพาะการทำตู้ล็อกเกอร์ฝากสัมภาระ แต่ในช่วงปีที่ 6-7 นี้ ตู้ล็อกเกอร์ฝากสัมภาระสีเหลืองยังมีเซอร์วิสใหม่แปลงร่างเป็นตู้รับ-ส่งพัสดุแบบ 24 ชั่วโมงอีกด้วย

ย้อนกลับไป Lock Box ของคุณเกิดขึ้นได้ยังไง

ผมเริ่มธุรกิจนี้อย่างจริงจังเมื่อ 6-7 ปีก่อน เปิดตัวน่าจะช่วงปี 2560 เวลาผมไปเที่ยวรอบโลกจะมีลิสต์ว่าธุรกิจอะไรมี potential บ้าง และธุรกิจอะไรในเมืองไทยยังไม่มี เก็บลิสต์ตั้งแต่ที่เรียนมหาวิทยาลัย พอจบมาผมทำงานสายอสังหาริมทรัพย์มาก่อน และที่บ้านก็อยู่ในวงการนี้อยู่แล้ว ณ วันนั้นก็ลองคุยกับที่บ้านว่าจะให้ผมไปทำเรียลเอสเตท เราจะทำนะ แต่ถ้าไม่ให้ก็ขอออกมาลุยธุรกิจที่ตัวเราอยากทำเอง 

แน่นอนว่าอายุยี่สิบกว่าๆ ในตอนนั้นกับการทำโปรเจกต์หลายพันล้านที่บ้านคงยังไม่ให้แน่ๆ ก็เลยตัดสินใจลุยธุรกิจด้วยตัวเอง

ผมเลือกทำธุรกิจตู้ล็อกเกอร์ที่ผมเห็นศักยภาพ และยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน

พอเป็นธุรกิจที่ในไทยไม่เคยมี ความท้าทายในการปลุกปั้นธุรกิจตู้ล็อกเกอร์ฝากของคืออะไร

เจอเยอะมากเลยนะ ถ้ามองไปที่ญี่ปุ่น เกาหลี หรือพวกประเทศในยุโรป ธูรกิจล็อกเกอร์ที่มีอยู่ตามสถานีรถไฟส่วนใหญ่เจ้าของสถานที่หรือแลนด์ลอร์ดเป็นคนทำเอง เป็นโอเปอเรเตอร์เองหมดนะ แต่ในไทยกลายเป็นว่า Lock Box เป็นเอกชนรายแรกที่ทำบริการตู้ล็อกเกอร์ให้กับทุกฝ่าย

ธุรกิจตู้ล็อกเกอร์คนอยากทำเยอะมากนะ แต่ติดตรงที่ว่าแลนด์ลอร์ดหลายคนไม่เห็นด้วย ประเทศไทยผมว่าค่อนข้างซูเปอร์คอนเซอร์เวทีฟมากๆ คำถามที่เจอบ่อยคือเรื่องของความปลอดภัย 

ตอนแรกที่เริ่มทำ ผมทำ pilot ก่อน เอาตู้แรกไปตั้งที่สถานีมักกะสัน เอาตู้ไปตั้งเลยแบบไม่ทำการตลาดใดๆ ปรากฏว่า cash flow มันก็พอไหว ก็เลยทำดู 2-3 เดือนก็รู้ว่าพอทำได้ธุรกิจนี้ไปได้แน่ๆ  จากนั้นเริ่มคิดการใหญ่ไปคุยกับรถไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้าหลายๆ แห่ง ไปคุยกับหลายๆ ฝ่าย ใช้เวลานานมาก 

‘แล้วจะมั่นใจได้ยังไงว่าเขาจะไม่ใส่ระเบิดเข้ามา เราจะมั่นใจได้ยังว่าจะไม่มียาเสพติด’  ผมเจอคำถามเหล่านี้บ่อยมาก และต้องอธิบายอยู่นานต้องเอาข้อมูลเปรียบเทียบของหลายๆ ประเทศมากางให้ดูว่าแต่ละประเทศมีระบบแบบไหน ซึ่งบางประเทศเอาจริงๆ ก็ไม่ได้มีระบบอะไรมากมายนัก แต่ของ Lock Box มีระบบรักษาความปลอดภัยที่มั่นใจได้

ตอนนี้ยังเจอคำถามเหล่านี้อยู่ไหม

ตอนนี้ไม่เจอแล้ว เหมือน Lock Box พิสูจน์ให้แลนด์ลอร์ดเข้าใจและเห็นแล้ว นี่คือสิ่งที่เป็น handle แรกที่ผมกับทีมแก้ได้ 

ระบบของคุณทำงานยังไง

หลายคนที่เคยเห็นครั้งแรกกลัวความยุ่งยากในการใช้ ตอนแรกเริ่มผมเลยมีคอนเซปต์คือ safe and easy ปลอดภัยและใช้ง่ายไม่กี่ขั้นตอน ส่วนเรื่องความปลอดภัยที่ Lock Box ให้ความสำคัญมากที่สุด Lock Box มีระบบที่สามารถให้ความมั่นใจในการใช้งานทั้งผูกเบอร์โทรศัพท์ ระบบลายนิ้วมือ มีกล้องวงจรปิด แบบขึ้นคลาวด์หมดตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำธุรกิจ สามารถเก็บบันทึกภาพได้ 60 วัน มีระบบคอลเซนเตอร์ 24 ชั่วโมง ซึ่งถ้าใครที่เคยใช้บริการในช่วงแรกแล้วโทรหาคอลเซนเตอร์ผมเป็นคนรับสายเองทั้งหมด 

หรือกรณีฝากสัมภาระแล้วไม่สามารถเปิดตู้ได้ Lock Box คืนเงินชดเชยให้กับลูกค้าภายใน 15 นาที นั่นเป็นสิ่งที่เป็นมาตรฐานของ Lock Box ซึ่งตั้งแต่เปิดบริการมาเคยเจอเออร์เรอร์น้อยมากๆ

เราเห็นตู้ล็อกเกอร์ของคุณไปตั้งอยู่ตามตึกสำนักงานด้วย คุณเลือกโลเคชั่นยังไง

หลายคนอาจมองว่าธุรกิจล็อกเกอร์ต้องโฟกัสแต่ลูกค้าต่างชาติ แต่จริงๆ แล้วลูกค้าของ Lock Box คือทุกคน เป็น everyday product ที่ทุกคนใช้ได้ ยกตัวอย่างคนที่ไปวิ่งตามสวนสาธารณะ ก่อนไปวิ่งเขาก็มาฝากของกับเรา พอวิ่งเสร็จก็กลับมาเอา หรืออย่างการเดินช้อปปิ้งที่อยากเดินตัวปลิว ไม่อยากถือของเยอะก็สามารถมาใช้บริการของเราได้

ล็อกเกอร์เก็บของเป็นธุรกิจออฟไลน์ มันต้องเดินไปใช้ เดินไปหา เพราะฉะนั้นการเลือกโลเคชั่นจะไม่ใช่แค่ตามสถานีรถไฟฟ้าอย่างเดียว ถ้าไปตามสถานีรถไฟฟ้าอย่างเดียวอย่างมากราวๆ 100 สาขาก็หมดแล้ว เพราะฉะนั้นเรามองหาโลเคชั่นที่มีดีมานด์หลากหลายทั้งอาคารสำนักงาน ออฟฟิศ ห้างสรรพสินค้า และสนามบิน

คนอยากใช้ต้องได้ใช้ ผมอยากทำให้ Lock Box เป็นโปรดักต์ที่ทุกคนรู้จัก และรู้ว่ามีอยู่ที่ไหนบ้าง เหมือนที่ทุกคนรู้ว่าตามซอกซอย ตามอาคารต่างๆ มีร้านสะดวกซื้อให้บริการอยู่ตรงไหนบ้าง แบบนั้นเลย

แล้วสิ่งที่ยากในการทำธุรกิจคืออะไร

ผมว่าเป็นเรื่องของการ educate เปลี่ยนพฤติกรรมคนให้มาใช้งาน เพราะตอนแรกๆ คนอาจจะไม่ค่อยกล้ามาใช้ คิดว่าราคาแพง ซึ่งเรามีการรีเสิร์ชหาอัตราค่าบริการที่เหมาะสมกับคนไทยและให้กลับมาใช้ซ้ำได้เรื่อยๆ เรื่องราคาตั้งแต่ Lock Box  เปิดให้บริการมาแทบจะไม่ได้ขึ้นราคาเลย

ตอนนี้ราคาค่าบริการมีแบบไหนบ้าง 

บริการฝากสัมภาระของ Lock Box เริ่มต้นที่ 30 บาท/ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับขนาดของตู้ และมีให้เลือกฝากสัมภาระแบบรายวัน และรายชั่วโมง ที่เมื่อฝากมากกว่า 6 ชั่วโมงขึ้นไประบบจะเจเนอเรตให้เลยว่าฝากแบบไหนคุ้มกว่า 

แต่ละโลเคชั่นไซส์ของตู้สัมภาระก็จะแตกต่างออกไปตามพฤติกรรมของคนในย่านนั้นๆ อย่างเช่นตามสำนักงานก็จะเป็นตู้ที่มีช่องฝากของขนาดเล็กมากกว่าขนาดใหญ่ หรือหากเป็นตามแหล่งที่มีนักท่องเที่ยวก็จะมีไซส์ตู้ขนาดใหญ่ที่ใส่กระเป๋าเดินทางมากกว่า

อะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จและความเชื่อของ Lock Box ที่ยืนระยะอยู่ได้

เอาจริงๆ อุตสาหกรรมนี้ไม่ง่าย มันไม่ใช่แค่การไปสั่งตู้มาตั้งแล้วจบไป ต้องลงทุน infrastructure เยอะมาก สิ่งสำคัญอยู่ที่ระบบหลังบ้านที่จะต้องทำยังไงให้ลูกค้าประทับใจ 

ซึ่งสะท้อนมาที่ความเชื่อในการทำธุรกิจของ Lock Box ที่ผมเชื่อว่าต้องมีความบ้า ความกล้าในระดับนึงเลย เพราะ Lock Box ต้องการทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน อยากทำอะไรสนุกๆ และดีขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นแต่ละช่วงเวลา goal จะไม่เหมือนกันเลย จะเปลี่ยนทุกๆ 2 ปี แต่เป้าหมายใหญ่ที่ครอบไว้คือ อยากรวบรวมคนที่สนุกไปกับการทำธุรกิจ และบิลด์แบรนด์ให้ใหญ่เท่าที่ทำได้

เฟสแรก อย่างที่บอกผมมองตัวเองป็นแค่ safe and easy ณ วันนั้นคือการพรูฟธุรกิจทำให้ Lock Box เกิดขึ้นก่อนแล้วไม่หายไป เพราะ ณ ตอนนั้นผมทำคนเดียว ถ้าใครโทรมาตอนนั้นผมยังรับโทรศัพท์เองกับมือ คอลเซนเตอร์เป็นคนรับสาย เฟซบุ๊ก ไอจี ผมเป็นคนตอบทั้งหมดในช่วงปีแรก 

ถ้ามาถามวันนี้ว่าความท้าทายในตอนนั้นคืออะไร คำตอบน่าจะเป็นแค่หาคนมาทำงานกับ Lock Box ให้ได้ก่อนก็เจ๋งแล้ว

เฟสสอง คือช่วงที่ Lock Box ต้องขยายอย่างมีเสถียรภาพคือโฟกัส EBITDA และ bottom line จะเห็นว่าบางช่วง Lock Box ขยายเร็ว บางช่วงขยายช้า ค่อนข้างคอนเซอร์เวทีฟ และ sustainable

ตอนนี้ถึงเฟส 3 ช่วงที่เปลี่ยนและบู๊แบบ aggressive ขยายธุรกิจและจับมือกับพาร์ตเนอร์ใหม่ๆ พร้อมเติบโตไปเรื่อยๆ

เหมือนไม่กี่เดือนก่อนเราเห็นบริการใหม่จาก Lock Box

ใช่ครับ Lock Box เพิ่งจับมือพาร์ตเนอร์ กับ สบายเทคโนโลยี บริษัทเทคฯ ที่ทำธุรกิจตู้เติมเงินอัตโนมัติ ทำตู้เวนดิ้งแมชชีน เปิดตัวบริการใหม่ที่ชื่อว่า ‘PUDO’ Pick up & Drop Off Service เป็นบริการรับ-ส่งครบในตู้เดียว เพิ่มทางเลือกให้ทุกคนรับ-ส่งพัสดุ ผ่านตู้ล็อกเกอร์ Lock Box แบบครบวงจร

จุดเด่นที่ต่างจากบริการรับ-ส่งจากเจ้าอื่นคือสามารถมาส่งพัสดุได้ 24 ชั่วโมง และราคาที่ถูกกว่าเริ่มต้นในราคา 18 บาท มีให้เลือกใช้บริการรับ-ส่ง 3 แบบคือ ส่งจากตู้ล็อกเกอร์ต้นทางไปยังตู้ล็อกเกอร์ปลายทาง, ส่งจากตู้ล็อกเกอร์ต้นทางไปที่บ้านผู้รับ และส่งจากที่บ้านไปยังตู้ล็อกเกอร์ปลายทาง ที่จะตอบโจทย์ผู้ใช้บริการทุกคน

แล้วคุณมองเห็นอะไร เพราะในธุรกิจขนส่งพัสดุค่อนข้างมีการแข่งขันที่รุนแรง

แน่นอนว่าเกมในธุรกิจขนส่งพัสดุอีคอมเมิร์ซเป็นเกมที่ยาก แต่ตอนนี้คือโอกาสที่ดีที่จะมาลุยอีคอมเมิร์ซในช่วงที่ตลาดค่อนข้างนิ่ง ผ่านยุคทุ่มตลาดและเผาเงินแล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงเริ่มแตกขยายไลน์มายังธุรกิจนี้ 

และผมเองเห็นช่องว่างในการเติบโต Lock Box จะ ride the wave ไปกับกระแสที่กำลังมานี้ Lock Box มีนินจาแวนให้บริการแล้ว และกำลังไปจับมือกับขนส่งหลายๆ เจ้า ที่จะได้เห็นเปิดตัวเร็วนี้ๆ 

Lock Box กับ สบายเทคโนโลยีจะเอาจุดแกร่งของตัวเองมาผนวกกันสร้าง ecosystem ให้แก่กัน และจะขยายบริการให้เป็น 1,000 สาขาในปีนี้

ซึ่งอีคอมเมิร์ซคือตัวสตาร์ท ตอนนี้ Lock Box มีรายได้จากตู้ล็อกเกอร์ โฆษณาอีคอมเมิร์ซ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ยังสามารถต่อยอดบริการพิเศษออกมาได้อีกเยอะมาก ที่อาจจะยังบอกในเวลานี้ไม่ได้ แต่น่าจะได้เห็นเร็วๆ นี้

เพราะคุณไม่ได้อยากเป็นแค่ผู้ให้บริการล็อกเกอร์อย่างเดียว

ใช่ จากวิชั่นเราจะเป็น smarter life ที่สอดรับวิถีชีวิตคนเมืองมากยิ่งขึ้น และ Lock Box จะไม่ได้เป็นแค่ผู้ให้บริการตู้ล็อกเกอร์แค่ของประเทศไทย แต่เราจะเป็น regional player 

Yellow Stuff แบรนด์สารพัดไอเทมกาแฟที่อยากให้ลูกค้ามีประสบการณ์การดื่มที่รื่นรมย์ที่สุด

“ปกติกินกาแฟไหมครับ”

ชายหนุ่มถาม เรารีบพยักหน้ารับ อธิบายต่อว่าไม่ได้ชอบกาแฟแบบไหนเป็นพิเศษ ถึงอย่างนั้นก็พอรู้ในพื้นฐานว่าเมล็ดกาแฟแต่ละแบบให้รสชาติต่างกัน แหล่งปลูก วิธีการคั่ว และอีกสารพัดปัจจัยล้วนมีผล

เขายิ้ม แล้วจัดการดริปเมล็ดที่เพิ่งได้จากอเมริกาด้วยความคล่องแคล่ว ไม่นานกลิ่นหอมกาแฟก็ฟุ้งไปทั่วห้อง เขาหยิบแก้วเซรามิกสีขาวที่รูปทรงต่างกันออกมาจากตู้ 3 ใบ แล้วบอกให้เราชิมกาแฟจากแก้วทั้งหมด

ทั้งที่เป็นกาแฟจากกาเดียวกันแต่กลับให้ความรู้สึกแตกต่าง เรารู้สึกว่าแก้วแรกหวานกว่า แก้วที่สองออกเปรี้ยวนิดๆ ส่วนแก้วสุดท้ายซึ่งเราชอบที่สุด เป็นแก้วที่ชิมแล้วความรู้สึกผ่อนคลาย

นั่นคือครั้งแรกที่เราได้รู้ว่าแก้วกาแฟก็มีผลกับประสบการณ์การดื่ม

“ทรงของแก้วต่างกัน รวมถึงตำแหน่งที่โดนลิ้นก็มีผล เพราะลิ้นของคนเราจะเซนซิทีฟไม่เหมือนกันในแต่ละจุด” ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งข้างเราอธิบาย

เปล่าเลย เราไม่ได้นั่งอยู่ในคาเฟ่ที่ไหน แต่กำลังอยู่ในออฟฟิศของ Yellow Stuff แบรนด์สารพัดสินค้าเกี่ยวกับกาแฟ ที่ขายตั้งแต่ผ้ากันเปื้อนผลิตเอง กระบอกน้ำนำเข้า ไปจนถึงเครื่องชง 

เอก–สมเดช เหลืองทวีบุญ ชายหนุ่มที่ดริปกาแฟให้เรา และ ไช้–อังศุธร หอมเทียนทอง คนที่ช่วยอธิบายประสบการณ์การดื่มให้ฟัง คือสองหุ้นส่วนผู้ปลุกปั้นธุรกิจให้เติบโตด้วยกัน จากธุรกิจเล็กๆ ที่เอกต่อยอดมาจากธุรกิจเครื่องหนังกับเครื่องแก้วของครอบครัว สู่ธุรกิจขายไอเทมกาแฟที่เป็นที่รักของเหล่า coffee lover ทำให้มียอดขายโตกว่า 20 เท่าในเวลาเพียง 2 ปี

Friends Stuff

ก่อนจะเล่าเรื่องธุรกิจ ขอย้อนความเรื่องความสัมพันธ์แบบกระชับสั้น เอกกับไช้รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่นิวซีแลนด์ อยู่ในกลุ่มเพื่อนคนไทยในต่างแดนด้วยกัน ถึงอย่างนั้นก็มีไลฟ์สไตล์เรื่องกาแฟที่แตกต่าง

เอกเป็นคอกาแฟตัวยง หลังจากเรียนจบด้าน Fine Arts และไปทำงานตำแหน่ง Shading and Lighting ในบริษัทแอนิเมชั่นใหญ่อยู่พักหนึ่ง เขาหันมาร่วมธุรกิจกับ เต้–วรัตต์ วิจิตรวาทการ ทำร้านอาหารชื่อ Roast ซึ่งต่อยอดเป็น Roots แบรนด์กาแฟชื่อดังในเวลาต่อมา 

เอกใช้ความรู้เรื่องการออกแบบมาวางคอนเซปต์ร้าน เป็นคนอยู่เบื้องหลังโลโก้และการทำแบรนด์ดิ้งของ Roots ในระยะแรกเริ่ม ระหว่างทำงานนั้นก็อินกับเรื่องเมล็ดและสารพัดไอเทมเกี่ยวกับกาแฟมากขึ้น ต่อยอดมาถึงทุกวันนี้

ส่วนไช้นิยามตัวเองว่าเป็นคนกินกาแฟง่ายๆ (“เช่น ไปถึงพอร์ตแลนด์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองกาแฟ ก็ยังไปกินสตาร์บัคส์” เอกแซว เรียกเสียงหัวเราะครืนจากเรา) แต่ที่อินเป็นพิเศษคือวัสดุที่ใส่เครื่องดื่ม เพราะเขาเป็นคนทำงานสายเทค ไปไหนมาไหนต้องมีกระบอกน้ำติดตัว โดยกระบอกน้ำที่ไช้ปฏิเสธจะใช้เด็ดขาดคือสเตนเลส 

“กาแฟดำหรือน้ำเปล่าไม่มีปัญหาหรอก แต่เมื่อไหร่ที่กินกาแฟนมหรือกาแฟที่มีน้ำตาล พวกนี้จะไปติดที่ร่องกระบอกน้ำแล้วเกิดแบคทีเรีย ซึ่งจะทำให้เราป่วยโดยที่ไม่รู้ตัว” เขาอธิบาย เล่าต่อว่าถ้าเลือกได้ก็จะเลือกกระบอกน้ำที่ทำมาจากเซรามิกมากกว่า เพราะมันล้างง่าย ไม่มีกลิ่น

แม้ไลฟ์สไตล์การกินกาแฟจะต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันแน่ๆ คือทั้งคู่ล้วนอยากมีประสบการณ์การดื่มกาแฟที่ดี ซึ่งนั่นแหละคือคุณค่าที่พวกเขาให้ความสำคัญที่สุดในการทำแบรนด์

Yellow Stuff

Yellow Stuff ก่อตั้งในปี 2015 หลังจาก Roots สาขาแรกเปิดได้ 2 ขวบปี

เพราะหัวใจสำคัญทางธุรกิจของ Roots คือการกลับไปหา ‘ราก’ ของตัวเอง นั่นคือการทำงานกับเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟตั้งแต่ต้นน้ำ เอกจึงได้แรงบันดาลใจในการกลับไปหารากของตัวเองบ้าง

รากที่ว่าคือธุรกิจผลิตเครื่องหนังและนำเข้าเครื่องแก้วของครอบครัวเหลืองทวีบุญ ซึ่งเอกเคยวิ่งเล่นในโรงงานตั้งแต่เด็กๆ 

ช่วงที่ Roots เปิดใหม่ๆ ร้านกำลังมองหาแก้วกาแฟที่ดื่มแล้วรื่นรมย์ ส่วนฝั่งพนักงานก็ต้องการชุดยูนิฟอร์มใหม่ เอกผู้ดูแลเรื่องแบรนด์ดิ้งจึงอาสานำแก้วจากที่บ้านมาให้ใช้ และผลิตผ้ากันเปื้อนให้พนักงานใส่ทำไปทำมา ก็มีลูกค้าจากร้านกาแฟในฮ่องกงติดต่อเข้ามาว่าอยากให้ผลิตผ้ากันเปื้อนให้ เอกจึงเห็นโอกาสในตลาดว่ายังพอมีช่องว่างอยู่“ตอนนั้นทำธุรกิจตามอารมณ์ จริงๆ ไม่ได้คิดอะไรเยอะเลย ชอบอะไรก็ทำ” เขาย้อนความ “เรารู้สึกว่าผ้ากันเปื้อนที่อเมริกา ขายผืนละ 100 ดอลลาร์ยังขายได้ ทำไมผ้ากันเปื้อนของเราจะขายราคานั้นไม่ได้” เป็นราคาที่คนไทยคิดคำนวณแล้วยกมือทาบอกนิดหน่อย แต่เอกก็พิสูจน์แล้วว่าทำให้เสร็จได้ เพราะภายหลัง ธุรกิจผ้ากันเปื้อนของเขาขยับขยายจนขายให้ลูกค้าไปมากกว่า 75 ประเทศ

นอกจากผลิตผ้ากันเปื้อน เอกยังนำเข้าไอเทมเกี่ยวกับกาแฟอย่างแก้วกาแฟ กระบอกน้ำ และเครื่องทำกาแฟที่เขาเห็นว่าในเมืองไทยยังไม่มีขาย แม้เมื่อ 10 ที่แล้ว คนกินกาแฟสาย specialty และ home brewing ในเมืองไทยจะมีไม่เยอะ แต่เอกก็อยากแชร์ความรื่นรมย์ในการดริปกาแฟที่บ้านให้คนอื่น ที่สำคัญคือเชื่อในคุณภาพของแบรนด์ที่เลือกสรรมา ทั้ง ACME & CO, Rivers Drinkware, Duralex ที่เขาเลือกนำเข้ามาในยุคแรก

สิ่งนี้เองที่ดึงดูดให้ไช้กับเอกกลับมาเจอกันอีกครั้ง เพราะไช้มาซื้อกระบอกน้ำกับเขาบ่อยๆ

“ด้วยความที่ผมทำงานออนไลน์มาก่อน การเจาะตลาด (market penetration) คือเรื่องสำคัญมาก ผมเลยถามเอกว่าขายได้เดือนเท่าไหร่…” ไช้บอก ก่อนเอกจะหัวเราะแล้วเสริมว่า “…พอรู้ยอดขาย ไช้ก็คงสงสารผมพอสมควร” 

“เราคิดอยู่ว่ามันเอาอะไรกินวะ คือมันอยู่ได้นะ แต่อยู่คนเดียวน่ะ ในมุมธุรกิจเราเรียนรู้ว่าจะทำยังไงให้มันโต เห็นยอดขายแล้วรู้สึกว่าทำได้มากกว่านี้” 

นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ชายหนุ่มกระโดดเข้าจอยธุรกิจกับเพื่อน หลังจาก Yellow Stuff เปิดมาได้แล้ว 3 ปี

Business Stuff

โควิดทำให้ธุรกิจทุกหย่อมหญ้าซบเซา ไม่เว้นแม้แต่ผ้ากันเปื้อนของเอกที่ยอดพรีออร์เดอร์ทรุด สวนทางกับยอดขายกระบอกน้ำและแก้วกาแฟที่ยังขายได้เรื่อยๆ

“พอไช้เข้ามาเขาทำให้เรารู้ว่า เวลาผลิตสินค้าเองมันต้องดีไซน์และมีสต็อกของเพียงพอ ต้องมีการคุมคนผลิต ต่างจากการที่เรานำเข้าแก้วกาแฟจากแบรนด์นอกแล้วปล่อยขายบนออนไลน์ เป็นกระบวนการที่เราไม่ต้อง QC” เอกกล่าวถึงเหตุผลที่พวกเขามาโฟกัสกับการนำเข้าอุปกรณ์กาแฟมากกว่าการผลิตผ้ากันเปื้อน

“จริงๆ ไม่ได้โฟกัสว่าจะอิมพอร์ตอย่างเดียวหรอก แต่เราโฟกัสกับการส่งต่อของดีๆ ให้ลูกค้ามากกว่า” ไช้บอก แล้วเล่าโมเดลธุรกิจหลังจากเขาเข้ามาเป็นหุ้นส่วนให้ฟัง

“เราทำธุรกิจแบบ e-Distribution เรียกง่ายๆ คือจัดจำหน่ายให้กับแบรนด์ในต่างประเทศ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ไม่มีขายในไทย โดยเริ่มจากการทำออนไลน์ก่อน ด้วยการใช้ทุกแพลตฟอร์มที่อยู่ในตลาดเป็นตัวทำยอดขาย และอีก 10-20% เป็น offline base นั่นคือขายในสาขาต่างๆ ของ Roots หรือมีป๊อปอัพในห้างและอีเวนต์ coffee fest ต่างๆ”

ที่น่าสนใจ คือพวกเขาใช้ระบบ data-driven มากำหนดกลยุทธ์หลักของธุรกิจ

“ในทุกแบรนด์ที่นำเข้ามา เราจะรู้หมดว่าลูกค้าของเราซื้อที่ไหน ซื้อจากตรงไหน และคนกลุ่มไหนเป็นคนซื้อ สิ่งนี้ส่งผลต่อการเปิดช็อปป๊อปอัพของเราด้วย ก่อนหน้านี้อาจจะมีห้างฮิตๆ ที่นิยมไปเปิดช็อปขายของ แต่เมื่อเรามีข้อมูลเหล่านี้อยู่ เราอาจไม่ต้องไปเปิดในห้างเหล่านั้น แต่ไปเปิดในห้างที่ลูกค้าเราอยู่ใกล้ เพื่อที่เราจะทำ service center ให้ลูกค้าเข้าถึงเราได้จริงๆ” ไข้อธิบาย

“ในขณะเดียวกันดาต้าก็มีผลในด้านออนไลน์เช่นกัน เราสามารถดูได้ว่าในช่องทางทั้งหมดมีคนดูสินค้ากี่คน ซื้อกี่คน ทำให้ทายได้ว่าจริงๆ แล้วขายได้เท่าไหร่ และสามารถวิเคราะห์ได้อีกว่าถ้าลดราคาลง อัตราการซื้อจะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่” 

นี่คือความลับที่อยู่เบื้องหลังการเติบโตของยอดขายกว่า 20 เท่าภายใน 2 ปี

Coffee Lovers Stuff

แต่ไม่ใช่แค่ระบบการวิเคราะห์จากข้อมูลเท่านั้นหรอก สิ่งหนึ่งที่ไช้กับเอกมองว่าเป็นหัวใจสำคัญทำให้ธุรกิจเติบโต คือการคัดสรรสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างแท้จริง

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เทรนด์กาแฟ specialty และ home brewing เติบโตขึ้นมากในบ้านเรา ผู้คนจัดให้การดริปกาแฟตอนเช้าอย่างรื่นรมย์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว เพราะฉะนั้น สินค้าทุกตัวของ Yellow Stuff ไม่ว่าจะเป็นแก้ว กระบอกน้ำ กาชง ไปจนถึงเครื่องทำกาแฟ จึงต้องตอบโจทย์ลูกค้าเหล่านี้ให้ได้

สวย ฟังก์ชั่นดี และเข้ากับยุคสมัย คือ 3 คำสำคัญที่พวกเขายึดถือ

“อย่างแรกต้องทำงานตามฟังก์ชั่นได้ อย่างแก้วกาแฟก็ต้องเก็บร้อน เก็บเย็น ให้ประสบการณ์การดื่มตามที่ลูกค้าต้องการ มากกว่านั้นคือการมองแล้วทำให้ลูกค้ารู้สึกเพลินสายตา” เอกว่า

“ยุคนี้คนจะซื้อสินค้าสักตัว เขาจะตัดสินใจว่ามันเชื่อมโยง (relate) กับตัวเขาแค่ไหนด้วย แบรนด์นั้นตอบคุณค่า (value) ที่เขาต้องการได้หรือเปล่า แบรนด์นั้นให้บริการ (service) เขาได้หรือเปล่า และแบรนด์นั้นมีความรับผิดชอบ (responsibility) ต่อสังคมไหม เราว่ามันมีปัจจัยหลายอย่างที่เราก็ต้องเอาลูกค้าเป็นตัวตั้ง และพยายามทำให้สินค้าของเราตอบโจทย์ที่สุด” ไช้เสริม

“การตอบโต้ (interact) กับลูกค้าก็สำคัญ อย่างล่าสุดเราถามลูกค้าว่าถ้านำเข้ากาตัวใหม่น่าจะเป็นสีอะไร ถ้าเราตอบสนองเขาได้ ลูกค้าก็น่าจะพอใจกับเรามากขึ้น”

กลับกัน การน่ารักกับลูกค้าก็ช่วยให้พวกเขาได้เจอลูกค้าที่น่ารัก ยิ่งทำให้พวกเขามีแรงทำธุรกิจต่อไป

“คนกินกาแฟจะเหมือนคนทำศิลปะนิดนึง คือเขาทำสิ่งเดิมในโมเมนต์หนึ่งในทุกวัน กาแฟทำให้เราได้เจอคนหลากหลายสายงาน และเป็นพื้นที่ที่ทำให้หลายคนหลุดออกจากบทบาทของตัวเอง ทุกคนจะสนุกกับการสำรวจ (explore) โลกของกาแฟ พวกเขามีเซนส์ของความเป็นคอมมิวนิตี้เยอะ” เอกยิ้ม

Deep Stuff

แน่นอนว่าการทำธุรกิจล้วนมีจุดประสงค์เพื่ออยู่รอดและเติบโต กระนั้นตัวชี้วัดของพวกเขาในวันนี้ก็ไม่ได้ตายตัว และไม่ใช่เงิน

“สำหรับเรา สิ่งที่อยากเห็นคืออยากให้น้องพนักงานที่ทำงานกับเราสนุก” ไช้บอก ไม่ใช่การตอบเอาสวย แต่เขาอธิบายว่า ความยากของธุรกิจในทุกวันนี้ที่ไม่ว่าแบรนด์ไหนต้องเจอก็คือเรื่องคน

“ปัญหาอย่างเดียวคือคน ทำยังไงให้เขาทำงานแบบไม่ทำงาน ทุกคนมี JD แต่ไม่ได้ทำแค่หน้าที่นั้นโดยที่เราไม่ต้องบอก เราว่านี่คือสิ่งที่ยากสุด แต่ถ้าเขาทำอย่างนั้นได้ เขาต้องรักที่นี่ก่อน สเตปของเราคือทำยังไงให้พนักงานมีความสุขกับที่นี่ ทำให้เขารู้สึกว่าที่นี่แฟร์กับเขา เป็นที่ที่เขาเติบโตได้ และเมื่อไหร่ที่ความสุข พนักงานเติบโต ถึงวันนั้นธุรกิจคงโตได้”

“เรากับไช้เหมือนหยินกับหยางนิดนึง แต่อยู่ด้วยกันแล้วมันเวิร์กนะ ถ้าถามว่าประสบความสำเร็จหรือยัง เราคงบอกว่าประสบความสำเร็จแล้วในจุดนั้น เพราะจากวันแรกที่เราอยู่กับแบรนด์มาตั้งแต่ 0 จนถึงปีที่ 8 นี้ เรารู้สึกว่าเราผ่านช่วงยากๆ บางช่วงมาแล้ว” เอกเสริม

“แต่สิ่งที่เห็นตรงกันกับไช้แน่ๆ คือเรื่องคน ถ้าเราทำให้ที่นี่เป็นที่ทำงาน enjoyable ได้ ธุรกิจของเราก็จะถูกขับเคลื่อน (drive) ให้ไปถึงอีกเลเวลหนึ่ง

“อีกตัวชี้วัดหนึ่งที่เราวัดความสำเร็จได้แน่ๆ เราคิดว่าคือครอบครัว ทั้งเราและไช้มีลูกกันหมด ก่อนไช้เข้ามาเราไม่ได้คิดว่าธุรกิจนี้จะทำให้เราซื้อรถหรือมีครอบครัวได้เลย ตอนที่เราตัดสินใจจะทำธุรกิจร่วมกันคือเรารู้อยู่แล้วว่าจะมีลูก เราจึงตั้งเป้าหมายว่าเราจะทำธุรกิจที่เลี้ยงลูก เลี้ยงครอบครัว ส่งลูกไปโรงเรียนได้ ซึ่งถ้าวัดจากอันนี้ก็คงสำเร็จแล้ว” ชายหนุ่มปิดประโยคด้วยรอยยิ้ม


3 สิ่งสำคัญที่เจ้าของธุรกิจต้องมี
1. “เร็ว เพราะเราจะเห็นอยู่แล้วว่าตลาดโลกเร็วมาก เปลี่ยนตลอดเวลา เวลาจะทำธุรกิจอะไรต้องรีบทำให้เร็ว คำนวณ downsize ให้เร็วว่าเราจะขาดทุนที่เท่าไหร่ คิดให้เร็ว ทำให้เร็ว ล้มแล้วลุกใหม่”
2. “แพสชั่น ถ้าจะทำธุรกิจให้โตได้ คุณต้องมีแพสชั่นกับสิ่งที่คุณจะทำ มันมีเหตุผลลึกๆ ของมันนะว่าทำไม เพราะถ้ากลับไปดูเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จหลายคน ทุกคนไม่ได้ทำงานแปดโมงเช้ากลับห้าโมงเย็น เขาทำงานแปดโมงเช้าถึงแปดโมงเช้า วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ คนที่ไม่มีแพสชั่นกับงานจริงๆ เขาจะทำงานนั้นไม่ได้ ถ้าจะทำให้มันโตจริงต้องมีแพสชั่นกับสิ่งที่อยากทำ”
3. “คน เราต้องให้ความสำคัญกับคน 2 อย่างคือลูกค้ากับพนักงาน องค์กรจะโตได้หรือไม่ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าของหรือกรรมการ แต่ขึ้นอยู่กับพนักงาน เพราะฉะนั้นเลี้ยงเขาให้ดี ทรีตเขาให้ดี แล้ววันหนึ่งธุรกิจจะดำเนินไปได้เอง”

บัสซิ่ง ทรานสิท สตาร์ทอัพ public transport solution ที่อยากให้ขนส่งสาธารณะต่างจังหวัดดีขึ้น

นานทีปีหนฉันจะกลับบ้านต่างจังหวัด เพราะจากกรุงเทพฯ-กาฬสินธุ์เดินทางด้วยรถทัวร์จะใช้เวลาประมาณ 7-8 ชั่วโมง แต่ถ้าเดินทางด้วยเครื่องบินฉันต้องลงที่ขอนแก่นเสียก่อนค่อยต่อรถตู้อีกทีหนึ่ง ซึ่งการเดินทางด้วยเครื่องบินช่วยให้ถึงที่หมายเร็วขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นกรุงเทพฯ-กาฬสินธุ์ก็ใช้เวลานานกว่า 3-4 ชั่วโมง และเดินทางลำบากอยู่ดี

ในฐานะคนต่างจังหวัดฉันรู้ดีว่าขนส่งสาธารณะเมืองภูธรนั้นอยู่ในสถานการณ์ไหน และถ้ามีทางเลือกระหว่างขนส่งสาธารณะและรถส่วนตัวก็ขอใช้รถส่วนตัวเสียดีกว่า แต่แน่นอน หากไม่มีก็คงต้องยอมจำนนกับการเดินทางสาธารณะที่เต็มไปด้วยสารพัดปัญหา

จนเมื่อขอนแก่นพัฒนาเมือง เริ่มมีแผนพัฒนาขนส่งสาธารณะในเมือง จึงเป็นความหวังให้ได้เห็นว่าขนส่งสาธารณะเมืองภูธรกำลังจะดีขึ้น แต่ด้วยปัญหาธุรกิจทำให้เมื่อเดือนมกราคม 2566 ที่ผ่านมา ‘ขอนแก่นซิตี้บัส (Khon Kaen City Bus)’ ภายใต้การบริหารของขอนแก่นพัฒนาเมืองก็ต้องประกาศหยุดเดินรถไปหลังจากเดินทางมาถึงขวบปีที่ 6 

การหยุดชะงักของขอนแก่นซิตี้บัส ไม่เพียงแค่คนขอนแก่นเท่านั้นที่ต้องเจ็บปวด แต่หลายคนรวมถึงฉันที่ต้องพึ่งพาขนส่งสาธารณะก็เจ็บปวดไม่น้อยไปกว่ากัน

ในความมืดมนยังคงมีแสงสว่าง เมื่อ ‘บริษัท บัสซิ่ง ทรานสิท จำกัด’ สตาร์ทอัพที่ทำ public transport solution หรือพัฒนาการแก้ปัญหาขนส่งสาธารณะเมืองขอนแก่นและจังหวัดอื่นๆ ลุกขึ้นมาต่อชีวิตซิตี้บัสเมืองขอนแก่น

บริษัทนี้เกิดขึ้นจากการร่วมมือของคีย์แมน ต้า–ศุภกร ศิริสุนทร, นัท–วัชรชัย วรรณสิทธิ์ และ ภู–ภูริภัทร ลิมป์นิศากร พร้อมด้วย สุชาติ พรมมี, แมค–นพกร ถนอมเสียง, ปัทมาพร โสภัณ และ พรพิมล พ้องเสียง พวกเขาเข้ามาทำตั้งแต่ย้อนดูข้อมูลในอดีตใหม่ทั้งหมดเพื่อนำมาวิเคราะห์ระบบ ออกแบบรถบัสให้มีชีวิตชีวา ไปจนถึงปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีให้มีราคาไม่แพงและเป็นเทคโนโลยีที่ไม่ซับซ้อนและใช้งานได้จริง

แม้ระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรจะไม่เชื้อเชิญให้อยากกลับบ้านบ่อยนัก แต่การกลับบ้านครั้งนี้กลับทำให้ฉันอยากเดินทาง เพราะเป็นการกลับบ้านพร้อมภารกิจสัมภาษณ์ ต้า–ศุภกร ศิริสุนทร หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง ‘บริษัท บัสซิ่ง ทรานสิท จำกัด’ และนักการตลาดผู้หลงใหลในระบบขนส่งสาธารณะ และหวังว่าวันหนึ่งขนส่งสาธารณะต่างจังหวัดจะดีขึ้น

ย้อนกลับไป อะไรคือเหตุผลที่ขอนแก่นซิตี้บัสต้องปิดตัวลง

ใช้คำว่าหยุดให้บริการดีกว่า ก็คือว่าธุรกิจมันขาดทุนต่อเนื่อง หลักๆ เลยจุดแตกหักคือโควิด เพราะกลุ่มผู้ใช้บริการหลักๆ จะเป็นนักเรียน นักศึกษา และคนที่เขาไม่ได้มีฐานะดี ไม่มีรถส่วนตัว คราวนี้พอมีโควิดปุ๊บมัน switched ทันที เพราะคนต้องเวิร์กฟรอมโฮม ต้องเรียนที่บ้าน จำนวนผู้โดยสารมันก็หาย จากเดิมที่มันพอประครองตัวได้ พอโควิดมันกลายเป็นสาหัสเลย หลังจากกลับมาจากโควิดมันก็ไม่ได้ recover ทางขอนแก่นซิตี้บัสหรือขอนแก่นพัฒนาเมืองที่เป็นเจ้าของเขาเริ่มรู้สึกว่าแบกไม่ไหว เลยประกาศว่าจะหยุดเดินรถชั่วคราว แต่ยังไม่ถึงขั้นปิดตัว ใช้คำว่าหยุดให้บริการ เพราะเขายังไม่ได้คืนใบอนุญาตให้ขนส่ง เขาแค่หยุดเพื่อดูว่ามันจะยังไงต่อ แต่เราไม่อยากให้มันหยุดก็เลยเข้าไปขอทำต่อ

ทั้งที่ขอนแก่นซิตี้บัสพักกิจการด้วยปัญหาธุรกิจ แต่พวกคุณก็พร้อมกระโดดลงไปทำสิ่งนี้ มองเห็นความสำคัญอะไรของสิ่งนี้

เรารู้สึกว่าการมีอยู่ของขนส่งสาธารณะมันสำคัญ มันช่วยซัพพอร์ตชีวิตผู้คน มันจำเป็นต้องมี แต่เราก็เข้าใจด้วยว่ามันก็ทำเงินยาก เพราะว่าขนส่งสาธารณะมันคือธุรกิจที่มันเป็น public service (บริการสาธารณะ) หมายความว่าคุณจะเก็บเงินค่าโดยสารแบบตามใจชอบไม่ได้ เพราะมันมีเพดานของค่าเดินทางที่ถูกกำหนดมาโดยนโยบายและกำลังจ่ายของคนที่เป็นยูสเซอร์ ซึ่งนอกจากจะไม่แพงแล้ว ถามว่าไม่ดีได้ไหม ไม่ดีก็ไม่ได้ ก็ต้องดีด้วย ขณะเดียวกันค่าบริการก็ต้องถูก มันเลยดูเป็นธุรกิจที่เป็นไปได้ยาก ซึ่งก็เป็นอีกความท้าทายหนึ่ง 

บัสซิ่งทรานซิสเข้ามาทำอะไรบ้างกับขนส่งสาธารณะที่รับช่วงต่อจากขอนแก่นซิตี้บัส 

ที่จริงแล้ว ธุรกิจที่บัสซิ่งทรานสิททำ หลักๆ คือการพัฒนาโซลูชั่นสำหรับขนส่งสาธารณะ โดยมีโปรเจกต์แรกคือการเข้าไป operate ต่อลมหายใจให้ขอนแก่นซิตี้บัส ให้ไปรอดในระยะยาวได้  พวกเรามองเห็นโอกาสในวิกฤต ก็คือการที่ขนส่งสาธารณะทั่วประเทศมันอยู่ในสถานการณ์เดียวกันคือมัน run down คนเก่าๆ ที่เขาทำขนส่งสาธารณะจะเป็นคนที่อายุเยอะแล้ว คนขับรถสองแถวก็จะเป็นคนแก่ๆ เป็นคุณลุง มีอาเจ็ก อาแปะเป็นเจ้าของสัมปทาน มันเป็นคนหน้าตาแบบนั้น ซึ่งธุรกิจโซลูชั่นของเรามันจะไปตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ มันจะไปทำให้เขา extended ให้ขนส่งสาธารณะมันอยู่ได้ยาวนานขึ้นและให้เขาทำธุรกิจได้ต่อไปได้

นอกจากนี้มันจะเข้ามาเพื่อปรับให้เข้ากับยูสเซอร์ เข้ากับเทรนด์ที่มันเปลี่ยนไปมากขึ้น อย่างเช่นช่วยเขาในเรื่องของเทคโนโลยี เพราะมันจะมีที่เราดูว่าแพตเทิร์นในการขึ้นของคนเป็นยังไง จุดไหนมันเยอะ จุดไหนมันน้อยเราก็จะมา utilize ตารางให้มันแมตช์กับคนโดยที่ไม่ต้องวิ่งรถเปล่า แน่นอนคุณก็จะเซฟเรื่องของค่าเชื้อเพลิงได้ เซฟเรื่องของชั่วโมงการทำงานของคนได้ ลดคาร์บอนอะไรแบบนี้ ถ้าเป็นแต่ก่อนคือรถต้องวิ่งทุก 15 นาที แม้จะไม่มีคนขึ้นก็ตาม ซึ่งเรามองว่ามันคือการเผาแก๊ส เผาน้ำมัน เผาพลังงานเสียไปเปล่าๆ พอเรามีดาต้า เราเห็นข้อมูล มันก็เอามาแพลนเรื่องพวกนี้ได้

อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คุณอยากทำโซลูชั่นของขนส่งสาธารณะ

เพราะมันยังมีอีกหลายเมืองในไทยที่ยังไม่มีขนส่งสาธารณะสักสายเดียวและมีเยอะด้วย ขอนแก่นโชคดีกว่าคนอื่นคือมี 24 สาย บางเมืองจะมีแค่ 1 สาย 2 สาย บางเมืองอาจจะไม่มีเลย เรารู้สึกว่าเราอยากไปซัพพอร์ตเมืองและผู้ประกอบการ ในสเกลเมือง สมมติเขารู้สึกว่าเมืองเขาจำเป็นจะต้องมีขนส่งสาธารณะ เราก็เซอร์วิสเรื่องพวกนี้ได้ สามารถให้คำปรึกษา การออกแบบ ทำระบบว่าถ้าต้องการเริ่มขนส่งสาธารณะโดยเริ่มจากศูนย์จะทำยังไงได้บ้าง ลักษณะขนส่งสาธารณะของเมืองแต่ละเมืองควรเป็นยังไงก็เข้าไปให้คำปรึกษา 

อีกสเกลคือผู้ประกอบการ หรือคนที่เขาทำขนส่งสาธารณะอยู่แล้ว เราก็จะเข้าไปดูว่าสถานการณ์ปัจจุบันของเขามันเป็นยังไง เทคโนโลยีที่เรามีอยู่ตอนนี้จะช่วยเขาได้แค่ไหน อย่างเช่นถ้าเป็นสมัยก่อนมันก็จะมีคนขับคนนึง กระเป๋ารถเมล์คนนึง ถ้าเขาสู้ค่าแรงไม่ไหว ต้องเหลือคนขับแค่คนเดียว มันสามารถเป็นกระเป๋ารถเมล์ออโต้ได้ไหม กระเป๋ารถเมล์ออโต้ที่มันไม่ได้แพงมาก ทำได้ไหม ส่วนระบบหลังบ้านของเราก็จะไปช่วยเขาในเรื่องของการวิเคราะห์ข้อมูล เก็บดาต้า แล้วก็วางแผนเรื่องบริหารจัดการเที่ยวรถให้มันแมตช์กับผู้คนภายใต้ทรัพยากรที่มันอยู่จำกัด 

ระบบขนส่งสาธารณะจะไม่มีปัญหาอะไรเลยถ้ามันถูกอุดหนุน (subsidize) โดยรัฐ แต่ในเมื่อตอนนี้เรายังไม่ไปถึงจุดนั้น เราต้องยอมรับว่าการจะทำให้ขนส่งสาธารณะมีบริการที่ดี หรือวิ่ง 15 นาที 20 นาที มันเป็นไปได้ยาก เพราะทุกคนต้อง utilize ทรัพยากรที่ตัวเองมี รวมถึงต้นทุนที่ต้องใช้และค่าใช้จ่ายต่างๆ ซึ่งพอเป็นธุรกิจมันก็เป็นไปได้ยาก เราก็ต้องเอาโซลูชั่นที่เรามีมาซัพพอร์ตเขา หลักๆ เลยคือเรามองว่าโซลูชั่นที่เรามีมันไม่ได้เป็นโซลูชั่นที่ซับซ้อนหรือราคาแพง สิ่งที่เรามีมันสามารถเอามาเพิ่มคุณภาพการให้บริการได้ รวมถึงเอาไปใช้ในการบริหารเพื่อจะ cover ต้นทุนหรือทำ management ให้มันเป็นไปได้ พอเราเห็นตรงนี้เราเลยคิดว่าธุรกิจนี้มันเป็นไปได้สำหรับพวกเรา 

ขนส่งสาธารณะดูเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยง คุณและทีมบริหารความเสี่ยงยังไง 

แน่นอนเราถูกบีบด้วยค่าโดยสารที่มันมีเพดานของมัน ในขณะเดียวกันก็ต้องทำบริการให้มันดีด้วย ถ้าเราเอาเงินจำนวนมากๆ มาลงทุนกับฝั่งบริการ แน่นอนว่ามันก็ไปไม่ได้ เขาเรียกว่าเอาเงินล้านมาแลกเงินสิบ แต่เราไม่ได้มองแบบนั้น เรามองว่าทักษะที่เรามีสามารถ compare ก้อนของ investment กับ management ในเรื่องของบริการได้โดยที่ไม่ต้องลงทุนเยอะ 

พอเราคิดได้แบบนี้ เรามีโซลูชั่นแบบนี้ คนที่ทำธุรกิจเดียวกันกับเรา คนที่เป็น operator ของขนส่งสาธารณะเขาก็คงต้องการสิ่งนี้แหละ ให้เขาซื้อตู้อัตโนมัติเมืองนอกราคาแพงๆ เขาไม่จ่ายอยู่แล้ว นึกภาพลุงขับรถสองแถว นึกภาพอาเจ็กเจ้าของสายรถเมล์ที่เขาโดนฟาดค่าใบอนุญาตหลายบาท ถ้าเอาโซลูชั่นแพงไปซัพพอร์ตเขา เขาก็ไปไม่ได้ ซึ่งถ้ามันมีเทคโนโลยีที่มันไม่ได้แพง แต่ยังตอบโจทย์เขาอยู่มันก็จะไปช่วยต่อลมหายใจเขา ทุกคน win หมด เพราะคุณภาพของบริการก็เพิ่ม ต้นทุนในการบริหารจัดการ หรือประสิทธิภาพในการบริหารจัดการระบบของ operator เองมันก็ดีขึ้นด้วย ในขณะที่ยังสามารถให้บริการสาธารณะในราคาที่เหมาะสมได้ 

ยากไหมกับการแก้ปัญหาขนส่งสาธารณะในเมืองต่างจังหวัด เพราะดูมันเป็นบริบทที่มีปัญหาเต็มไปหมด

ไม่ได้ยากมาก ด้วยทีมงานของพวกเราแต่ละคนมีแบ็กกราวนด์ที่ทำเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ในทีมจะมีทั้งสายเทค ธุรกิจ และพาร์ตเนอร์อีกคนหนึ่งเขาก็เป็นเจ้าของบริษัทรถเมล์ซึ่งทำเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว พอต่างคนต่างเข้าใจธรรมชาติของธุรกิจและรู้ความถนัดของตัวเอง พอมารวมกันมันเลยพอมีทางจะเป็นไปได้ แต่ถ้าถามว่ามันจะเป็นธุรกิจที่ทำกำไรขนาดนั้นไหมก็อาจจะไม่ แต่คิดว่ามันน่าจะอยู่ได้ น่าจะโอเคพอสมควรในระยะยาว

อย่างซิตี้บัส ผมและทีมได้ไปดูพวกสถิติเก่าๆ และดูเรื่องไฟแนนซ์ตอนที่ซิตี้บัสเปิดใหม่ ช่วงที่มันได้รับความนิยมผลลัพธ์มันทำได้ค่อนข้างดี ซึ่งถ้าเรากลับไปอยู่จุดเดิมได้ผมว่ามันแฮปปี้ ค่าโดยสารกับ fixed cost ต่างๆ มันค่อนข้างควบคุมได้ อันนี้ถ้าเราหาทางเลือกเช่นไปดูเรื่องโฆษณา หรือไปรับจ้างให้บริการเวลามีอีเวนต์มันก็จะเป็นส่วนที่เพิ่มเติมเข้ามา เป็นกำไรที่จะกลับเข้ามาได้ ซึ่งถ้าโมเดลเป็นแบบนี้ มันพอเป็นไปได้ที่จะทำกำไรได้นิดหน่อย 

หากธุรกิจนี้ไม่เป็นไปตามโมเดลที่มองไว้ ไม่กลัวว่าจะต้องกลายเป็นผู้แบกรับปัญหาเหรอ

เราไม่ได้ถึงขั้นมองว่าตัวเองจะมานั่งแบก แต่ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้ ทำยังไงที่มันจะเป็นไปได้ ซึ่งพอลองหาช่องทาง หาวิธีการแฮ็กที่จะทำให้มันไปได้ก็รู้สึกว่ามันจะเป็นไปได้ แต่ถ้าถึงจุดที่หารายได้ไม่ได้เลยแล้วจะต้องแบกไปเลยมันก็จะเป็นโมเดลการกุศล (หัวเราะ) ยังยืนยันว่าที่ทำอยู่ไม่ใช่การทำการกุศล แต่เป็นการทำธุรกิจ คาดหวังกำไร และพอมาลองพิจารณาคิดว่ามันเป็นไปได้ และคิดว่าโซลูชั่นที่ทีมพัฒนาขึ้นมาและเทคโนโลยีที่มีมันมีความหวังที่จะทำให้ธุรกิจสามารถอยู่ได้ 

อะไรทำให้พวกคุณมองว่าเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของตัวเอง

หนึ่งคือพวกเราต่างคนต่างมีความถนัดที่สามารถมาเติมเต็มช่องว่างได้อยู่แล้ว อันที่สองคือพวกเราอินเรื่องนี้ รู้สึกว่าไม่อยากให้มันหายไป รู้สึกว่ามันสำคัญ เลยคิดว่างั้นพวกเรานี่แหละเข้ามาทำดีกว่า แต่ถ้าไปดูเรื่องของความเป็นไปได้แล้วมันยาก แต่เป็นไปได้ไหมก็มีความหวังว่ามันจะเป็นไปได้ เลยลองเสี่ยงกันดู

pain point ขนส่งสาธารณะทั้งตอนทำขอนแก่นซิตี้บัสและบัสซิ่งคืออะไร ว่าด้วยเรื่องเดียวกันไหม

pain point มันมีหลายเลเวลและไม่ใช่แค่ขอนแก่นอย่างเดียวที่เจอ แต่เป็น pain point เดียวกับทุกๆ จังหวัด อันที่หนึ่งคือระบบบ้านเรามองขนส่งสาธารณะเป็นธุรกิจ ไม่ได้มองเป็น public service ไม่ได้มองว่ามันเป็น infrastructure เหมือนกับถนน โรงเรียน หรือโรงพยาบาล พอไม่ได้มองเป็น public service มายด์เซตมันเลยคิดอีกแบบหนึ่ง พอคิดว่าขนส่งสาธารณะมันต้องเป็นแบบ fully commercial มันก็ต้องเป็นระบบแบบสัมปทาน เป็นเรื่องของค่าโดยสารเอย อะไรเอย คราวนี้พอค่าโดยสารมันถูกควบคุม ขณะเดียวกันธุรกิจก็ต้องอยู่ได้ เขาก็ต้องลดคุณภาพบริการลง เช่น รอบรถไม่ค่อยถี่ บริการไม่ค่อยดีและค่อยๆ เสื่อมลงๆ ผลที่ตามมาคือคนก็ใช้น้อยลง เป็นปัญหางูกินหางไม่รู้จบ

ขนส่งสาธารณะเป็นสิ่งที่รัฐไม่ได้มองว่ามันเป็น public service ที่จะต้องได้รับ subsidy (เงินอุดหนุน) เพื่อให้สิ่งนี้ต้องมีอยู่ เขาไม่ได้มองว่ามูลค่าเพิ่มของการมีขนส่งสาธารณะที่ดีจะไปทำให้เมืองมีเศรษฐกิจที่ดี หรือไปลดเรื่องค่าครองชีพผู้คนได้ ไม่ได้มองว่าสิ่งนี้จะทำให้คนอยู่ดีกินดีมากขึ้น หรือมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ถ้ามันไปวัดเรื่องของผลลัพธ์ indirect (ทางอ้อม) เขาอาจจะเห็นว่ามันควรค่าที่จะ subsidize นะ แต่พอมายด์เซตมันเป็นอีกแบบนึงเลยเป็นอย่างที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันว่าขนส่งสาธารณะมันค่อยๆ เสื่อมลง อันนี้ผมว่ามันเป็น pian point ใหญ่ที่สุด

รองลงมาคือเรื่องของคน การใช้ชีวิตของคนในเมืองจะต้องมี accountability (ความรับผิดชอบ) กับสาธารณะมากขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องขนส่งสาธารณะหรือทางเท้า ถ้าสมมติว่าทุกคนเอาสบาย ฉันไม่อยากเดิน อยาก door-to-door ยังไงขนส่งสาธารณะมันไม่เกิดแน่ๆ มันจะอยู่ได้แค่รถส่วนตัวกับแท็กซี่เท่านั้น แต่ถ้าคุณมีความรับผิดชอบว่าฉันไม่เอารถไปเพิ่มให้ถนนหรอก ฉันยอมเดินนิดหน่อยมาปากซอยเพื่อใช้รถไฟฟ้า ขึ้นรถเมล์ มีความรับผิดชอบต่อสาธารณะ ปริมาณรถบนถนนก็อาจจะลดลงได้

คุณบอกว่าด้านหนึ่งคือเรื่องมายด์เซตที่มีต่อขนส่งสาธารณะ ดังนั้นแล้วมายด์เซตแบบไหนถึงจะทำให้ขนส่งสาธารณะไทยหรือขอนแก่นดีกว่าที่เป็นอยู่ 

ถ้าคุณมองอีกมุมหนึ่ง ในมุมของเมืองที่มันพัฒนาจนเจริญแล้ว ขนส่งสาธารณะมันไม่ได้เอามาบริการคนจนนะ แต่เป็นบริการให้กับคนทุกระดับเลย มันเรียกว่า for all ได้จริงๆ อีกส่วนหนึ่งคือเขาเองก็มีความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่จำเป็นต้องใช้รถส่วนตัวก็ได้ เดินนิดๆ หน่อยๆ ก็ได้ ซึ่งมันกลับมาที่ well-being คนด้วยว่าพอเมืองมันเดินได้ ขนส่งสาธารณะทั้งระบบมันทั่วถึง คุณก็ได้ทั้งสุขภาพ ได้ทั้งอากาศบริสุทธิ์

คนขอนแก่นเริ่มบ่นเรื่องรถติดแล้วหรือยัง

ขอนแก่นปกติที่ไปไหนมาไหนในตัวเมืองจะใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที มากสุด 30 นาที ถ้ารถติดก็อาจจะ 30-45 นาที แต่จะไม่ติดเป็นชั่วโมง ติดเป็นชั่วโมงปีนึงมันจะมีแค่บางครั้งบางคราว เช่นปิดถนน มีสอบแพทย์ ก็จะติดเป็นชั่วโมงเพราะมีคนข้างนอกเข้ามากันเยอะ แบบนั้นก็จะอัมพาตเลย แต่ปีนึงมันก็จะมีวันแบบนี้อยู่สัก 10 วัน แต่ถึงอย่างนั้นคนที่นี่ก็ suffer นะไม่ใช่ไม่ suffer กับการที่รถติดเช้าติดเย็น ถ้าเทียบกับกรุงเทพฯ มันคนละเลเวล กรุงเทพฯ มันติดสามชั่วโมงแบบนี้ ถ้าใช้ destination แบบกรุงเทพฯ ขอนแก่นเรียกรถไม่ติด แต่ถามว่าคนที่นี่บ่นรึยัง คือเกิน 15 นาทีบ่นแล้วแหละ เพราะปกติมัน 15-20 นาทีก็ถึง

พอเขาเริ่มบ่นแบบนี้ เขาเห็นแล้วหรือยังว่าขนส่งสาธารณะมันสำคัญ 

ไม่

ก็ยังใช้รถยนต์ส่วนตัวอยู่ดี

ใช่ เหมือนไก่กับไข่อะครับ ถ้าวันนี้ขนส่งสาธารณะมันมีให้บริการแบบทั่วถึงและมีคุณภาพดี คิดว่าคนพร้อมจะเปลี่ยนมาใช้ คนคงไม่ออกรถมาใช้หรอก แต่ถ้าคนต่างจังหวัดรู้สึกว่ามันเดินทางไม่สะดวก แน่นอนถ้าเขามีทางเลือกและมีทุนพอ เขาก็จะเลือกขี่มอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์ 

คนส่วนใหญ่เลือกใช้รถส่วนตัว ดังนั้นดีมานด์การใช้ซิตี้บัสอยู่ตรงไหน 

ดีมานด์คนต่างจังหวัดที่ใช้ขนส่งสาธารณะคือกลุ่มคนที่ไม่ได้มีกำลังเยอะ อันนี้อันที่หนึ่ง อันที่สองก็จะเป็นกลุ่มที่เขายังใช้รถไม่ได้ เช่นนักเรียน อันนี้ก็จะเป็นยูสเซอร์หลักที่เขาใช้ขนส่งสาธารณะ ซึ่งเป็นอีกความท้าทายหนึ่ง เพราะยูสเซอร์ที่เป็นนักเรียนมันขึ้นอยู่กับ seasonal อย่างช่วงปิดเทอม ยูสเซอร์มันจะวูบไปเลย ถ้าเปิดเทอมก็จะกลับมา จะเป็นแพตเทิร์นประมาณนี้

นอกจากนี้กลุ่มที่เล่าให้ฟังที่เป็นยูสเซอร์ปัจจุบันมันยังถูกท้าทายด้วยเทรนด์ที่ว่ามันจะ migration ไปสู่รถส่วนตัว สมมติว่าเด็กนักเรียนพอเขาเริ่มโตขึ้น มีใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ เขาก็อาจจะซื้อมอเตอร์ไซค์มาขี่ นึกออกมั้ยฮะ เทรนด์มันไปทางนั้น มันไม่ได้มาทางนี้ อันนี้มันคือความท้าทายที่เจอของคนที่ทำขนส่งสาธารณะ

ประเด็นหนึ่งของเรื่องนี้คนยังไม่เข้าใจว่าขนส่งสาธารณะมันดีกว่าการใช้รถยนต์ส่วนตัว ตรงนี้โซลูชั่นของบัสซิ่งทรานสิทจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเรื่องความเข้าใจด้วยวิธีใด

หลักๆ เลยเราต้องกลับไปทำความเข้าใจว่าทำไมคนถึงไม่ใช้ขนส่งสาธารณะ ซึ่งมีหลายเรื่องทั้งเรื่องข้อมูลข่าวสาร ความสะดวก เรื่องของบริการ สาเหตุก็อย่างที่เล่าไปว่าทำไมขนส่งสาธารณะบ้านเรามันถึง run down ที่บัสซิ่งทรานสิททำได้คือเราทำให้มันกลับมาในระดับที่ใช้ได้จริง และคงต้องมาดูกันว่าถ้าทำได้จริงคนจะกลับมาใช้ไหม อันนี้มันก็เป็นความท้าทายของผม จริงๆ ไม่อยากพูดว่ามันเป็นของผมหรอก มันคือของเราร่วมกัน เพราะว่าถ้าท้ายที่สุดแล้วขนส่งสาธารณะมันไปไม่ได้ คนที่เจ็บปวดก็คือพวกเราทั้งหมด ไม่ใช่พวกผมคนเดียว 

ตอนนี้ทำไปถึงขั้นตอนไหนแล้ว

ตอนนี้เราเอาระบบที่เคยมีหลายๆ อย่างกลับมาได้หมดแล้ว เรื่องของจุดจอด เรื่องของอะไร พยายาม improve โน่นนั่นนี่ ตอนนี้ก็คือเปิดเทอมก็กำลังดูเรื่องของยอด เรื่องของโมเมนตัมว่าเป็นยังไงบ้าง โอเคหรือเปล่า ก็อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักนิดนึง อันที่เรากำลังเปิดตัวเร็วๆ นี้เป็นตั๋วสะสมเที่ยว คล้ายๆ ตั๋วเดือน อย่างเมืองถ้าทำตั๋วร่วมได้ก็จะดี เชื่อมหลายๆ โหนด หลายๆ สาย เช่นขึ้นซิตี้บัสต่อรถสองแถว 

เหมือนกรุงเทพฯ ก็พยายามทำแล้ว แต่ไม่สำเร็จ ทำไมคุณคิดว่าขอนแก่นสามารถทำได้ 

ในเชิงเทคโนโลยีมันทำได้ไม่ยาก อย่างของกรุงเทพฯ มันไม่เกิดเพราะว่าเขาคุยกันไม่ลงตัวอะไรบางอย่าง รวมถึงเรื่องของกฎระเบียบ และสัญญาสัมปทานต่างๆ ที่เป็นข้อจำกัด

การพัฒนาขนส่งสาธารณะคือการพยายามทำให้การเดินทางของคนในเมืองดีขึ้น ตอนนี้ชีวิตคนในเมืองดีขึ้นแล้วหรือยัง

เอาเป็นว่าเขามีตัวเลือกมากขึ้นดีกว่า เพราะเราไม่สามารถไปวัดในมิติอื่นได้ แต่คนใช้ขนส่งสาธารณะมีตัวเลือกมากขึ้นว่าซิตี้บัสเป็นทางเลือกหนึ่งและเป็นทางเลือกที่ดี คุณไม่ต้องยืนรอโดยไม่รู้ว่ารถจะมาตอนไหน คุณสามารถวางแผนล่วงหน้าได้เพราะว่าเรามีตารางเวลาชัดเจน และดูได้เรื่อยๆ ว่ารถถึงไหนแล้ว ใกล้มาถึงรึยัง ฉันควรจะเดินจากตึกเพื่อมารอขึ้นรถได้รึยัง หรือถ้ารถยังไม่มาก็นั่งกินกาแฟรอก่อน อะไรอย่างนี้ มันวางแผนได้มากขึ้น มีข้อมูลเรียลไทม์มากขึ้น ถ้าคิดว่านี่คือคุณภาพชีวิต นี่คือความซิวิไลซ์ ก็คิดว่าฉันก็ทำแล้วแหละ 

ทำไมถึงเชื่อว่าขนส่งสาธารณะต่างจังหวัดจะดีขึ้น และยกระดับชีวิตผู้คนในเมืองได้

คำนี้ไม่ต้องดีเบต ไม่ต้อง argument อะไรเลย เพราะมันพิสูจน์ด้วยหลายๆ ที่บนโลกนี้มาแล้ว เมืองที่มันซิวิไลซ์ ประเทศที่มันเจริญ อะไรพวกนี้มันเป็นเบสิกของผู้คนมากๆ เรื่องนี้เราไม่ต้องมาโต้เถียงกันเลยว่าใช่ไม่ใช่ มันค่อนข้างพิสูจน์ชัดว่าขนส่งสาธารณะมันจำเป็นสำหรับเมือง ซึ่งเมืองไทยเองก็ต้องมาหาทางออกตรงนี้ร่วมกันว่าจะเอายังไงต่อ ผมเข้ามาทำตรงนี้ก็เพราะว่า ณ ตอนนี้สถานการณ์มันเป็นอย่างนี้ วันนึงอาจจะไม่ต้องมีพวกผมแล้วก็ได้ถ้าอยู่มาวันนึงรัฐบาลเขาบอกว่าเขา subsidize หมด แพงแค่ไหนเขาก็จ่ายให้ประชาชนขึ้นฟรี ทุกคนแฮปปี้ผมก็แฮปปี้นะไม่ได้ติดอะไร (หัวเราะ)

การทำสิ่งนี้มันก็เป็นความท้าทายแหละ แต่มันก็มีหลายเมืองในโลกที่คล้ายๆ กับเรา เคยเป็นเหมือนเรามาก่อนก็คือเป็นคัลเจอร์ของรถยนต์แล้วเขาเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้สำเร็จ ผมก็รู้สึกท้าทายกลับไปที่เมืองไทยเหมือนกัน เราก็อยากเห็นมันเป็นแบบนั้น  

มันท้าทายด้วยอะไร

อันที่หนึ่งระยะเวลา การพัฒนาขนส่งสาธารณะต้องใช้เวลา อันที่สองก็คืออย่างต่างประเทศ เรื่องของ policy เขาเข้มแข็ง เพราะ policy maker เขาเข้าใจว่าสิ่งนี้มันสำคัญยังไง แล้วเขาก็ออกแบบระบบที่มันเฮลตี้ ระบบและนโยบายที่มันเข้าใจจริงๆ ว่า constraint (ข้อจำกัด) มันคือยังไง อันที่สามคือคนเขามี accountability ถ้าสามอันนี้มันเกิดมันก็เป็นไปได้ 

อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ได้เรียนรู้กับการทำธุรกิจเพื่อสาธารณะ

สิ่งที่ได้เรียนรู้คือการมองเห็นว่าการพัฒนาขนส่งสาธารณะมันมี challenge เยอะมาก แต่มันก็ยังมีทิศทางที่จะทำให้เป็นไปได้ มันยังมีช่องทางที่เป็นความหวังอยู่ แล้วเรายังพบว่าเรื่องดีมานด์มันไม่ใช่ว่าไม่มี มันยังมีกลุ่มคนที่ต้องการรถเมล์อยู่พอสมควร ถ้าสิ่งนี้มันหายไปคนเจ็บปวดมันเยอะนะ 

เคยอ่านเรื่องรถไฟคิว-ชิราทากิ ที่ฮอกไกโดที่ต้องรับส่งเด็กผู้หญิงจนจบ ม.6 ไหม มันมีหมู่บ้านหนึ่งที่มีรถไฟวิ่งผ่านแต่เป็นสถานีที่ไม่ค่อยมีคนขึ้น จะมีแค่เด็กผู้หญิงที่ขึ้นประจำเพราะเขาต้องขึ้นรถไฟคันนี้เพื่อไปเรียน แล้ววันนึงเขาก็ประกาศว่ารถไฟจะไม่จอดที่สถานีนี้แล้ว แต่พอมันยังมีเด็กคนนี้ขึ้นอยู่ เขาเลยตัดสินใจว่าเขาจะให้บริการสถานีนี้จนเด็กคนนี้เรียนจบ มายด์เซตแบบนี้มันเมคเซนส์นะ เพราะเขามองเห็นว่ายังไงขนส่งสาธารณะก็ต้องเซอร์วิสคน ถ้าเกิดว่ามันไม่มีสิ่งนี้แล้ว เด็กคนนี้จะทำยังไงต่อ เขาอาจจะไม่มีทางเลือกอื่นในการเดินทางแล้วก็ได้

ภาพของบัสซิ่งทรานสิทที่คุณอยากเห็นในอนาคตเป็นแบบไหน

ถ้าอนาคตแบบในฝันเลยคือไม่มีบัสซิ่งทรานสิทแล้ว หมายความว่าทุกคนเข้าใจสิ่งนี้ ทุกคนกลับมาใช้ขนส่งสาธารณะ สิ่งนี้มันไปได้ รัฐบาล subsidize หรืออะไรก็แล้วแต่ และมันเวิร์ก เราอาจจะไม่ต้องทำอะไรแล้วก็ได้ แต่ภาพนี้เป็นภาพที่เอกซ์ตรีมไป (หัวเราะ)

เป้าหมายสั้นๆ ที่ดูเป็นไปได้ขึ้นมานิดนึงคือเรามองว่าโซลูชั่นของเรามันได้ไปช่วยคนอื่นให้มันไปต่อได้ ถ้ามองว่าบัสซิ่งทรานสิทจะไปยังไงก็คงเป็นทิศทางที่ได้ไปเซอร์วิสคนอื่นๆ และอีกอันหนึ่งที่หวังคือคนกลับมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น เดี๋ยวถ้าคนกลับมาใช้ เขาได้เข้าใจและเรียกร้อง มันคงจะไปต่อได้ เพราะลำพังแค่พวกเราหรือคนที่พยายามเปลี่ยนแปลงมานั่งพูดเรื่องพวกนี้พลังมันยังไม่เยอะพอ