‘THE POWER BAND’ กรณีศึกษาการทำ CSR ให้ยั่งยืนด้วยการจุดประกายฝันให้เยาวชนผู้รักดนตรี

เมื่อพูดถึงชื่อองค์กรของคนไทยที่สนับสนุนคนไทยให้ก้าวไกลสู่เวทีโลก หนึ่งในชื่อที่หลายคนนึกถึงน่าจะเป็นกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เจ้าของโครงการ ‘คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย’ ที่พยามยามผลักดันให้คนไทยได้รับโอกาสในการก้าวสู่เวทีระดับโลกอย่างยั่งยืนทั้งในทางด้านกีฬา ด้านชุมชน และด้านดนตรี

THE POWER BAND คือตัวอย่างของการให้โอกาสทางดนตรีที่คิง เพาเวอร์ จัดขึ้นจนประสบความสำเร็จ และเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะนี่คือเวทีที่ค้นหาสุดยอดวงดนตรีรุ่นใหม่ตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปจากทั่วประเทศภายใต้คอนเซปต์ ‘THE POWER OF POSSIBILITIES ชีวิตไม่หยุดค้นหาความเป็นไปได้’ ซึ่งไม่เพียงแต่จะสนับสนุนให้น้องๆ เยาวชนไทยผู้มีความสามารถด้านดนตรีนำความฝันและทักษะมาปล่อยของประชันกันบนเวที แต่ยังผลักดันให้น้องๆ ได้ไปเจอโอกาสที่ไม่ได้หากันง่ายๆ อย่างการขึ้นเวทีไปเล่นดนตรีกับศิลปินในดวงใจ รวมทั้งได้ปูเส้นทางสู่การเป็นศิลปินในอนาคตให้อีกด้วย

หลังจากประสบความสำเร็จกับซีซั่นแรก THE POWER BAND กลับมาในซีซั่นที่ 2 และจับมือกับ 5 ค่ายเพลงดังของเมืองไทย เพื่อคัดเลือกกันอย่างเข้มข้น จนได้ผู้ชนะที่จะได้ออกซิงเกิลของตัวเองกับ BOXX MUSIC ทว่าความปังยังไม่จบเพียงแค่นั้น เพราะงานนี้ วงดนตรีร็อกตัวจริงของไทยอย่าง Bodyslam ยังเลือกน้องๆ จำนวนหนึ่งที่มีสกิลการร้อง เต้น เล่นดนตรีที่ไม่ธรรมดา ไปขึ้นเวทีคอนเสิร์ต ‘Bodyslam พูดในใจ THE B SIDE CONCERT’ กับวง Bodyslam ตัวเป็นๆ

พวกเรามีโอกาสได้คุยกับ กิ๊ฟซี่–สุทธิดา พันธ์ศรี, น้องฟิล์ม–ปณิชา มณีวรรณ สองสาวชาวเหนือจากวง The PicLic Band และกัส–พัสกร ศรีหะ มือทรัมเป็ตของวงอุดรพิทยานุกูล จังหวัดอุดรธานี ที่ได้ร่วมจอยคอนเสิร์ตกับ Bodyslam ในเพลง ‘คิดฮอด’ ก่อนน้องๆ จะขึ้นเล่นในรอบสุดท้าย ทั้งสามบอกว่า “การได้ขึ้นเวทีกับศิลปินในดวงใจเป็นเหมือนความฝัน เพราะใครจะคิดว่าวันหนึ่งเด็กมัธยมปลายธรรมดาๆ จะได้เล่นดนตรีกับวงที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ แต่เวที THE POWER BAND ก็ทำให้รู้ว่าเป็นไปได้”

นอกจากการได้รับโอกาสที่ไม่ใช่ทุกคนจะได้ พวกเขายังเล่าว่าการได้มาแข่งเวที THE POWER BAND เปิดโลกกว้างให้ตัวเอง นั่นก็เพราะแต่ละคนล้วนเป็นเด็กต่างจังหวัดที่อาจไม่มีโอกาสเข้าถึงเวทีแบบนี้เท่ากับเด็กในกรุงเทพฯ มากนัก ซึ่งนอกจากจะได้เห็นการทำงานของศิลปินตัวจริงแล้วนั้น ก็ยังได้เรียนรู้การทำงานอย่างมืออาชีพ และได้เห็นการซ้อมอย่างจริงจังของพวกพี่ๆ อีกด้วย อีกทั้งพวกเขายังได้เพื่อนใหม่จากการประกวด ได้เห็นความหลากหลาย ความเก่งกาจของเพื่อนๆ จากภาคเหนือจรดภาคใต้ ที่ล้วนเป็นแรงบันดาลใจ และทำให้อยากเดินทางสายดนตรีนี้ต่อไป แถมยังได้คอนเนกชั่นจากเหล่าผู้คนในวงการดนตรี ซึ่งอาจต่อยอดได้ในอนาคตอีกด้วย

พวกเขายังอยากฝากข้อความถึงเพื่อนๆ ที่อยากมาแข่ง THE POWER BAND ซีซั่นที่ 3 ที่กำลังจะเริ่มในไม่ช้านี้ว่า “อยากให้แสดงสกิลด้านดนตรีออกมาให้เต็มที่ เพราะคำว่าดนตรีไม่มีถูกหรือผิด ไม่ว่าจะเล่นแบบไหน ขอแค่ได้เล่น แล้วจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากมันแน่นอน”

ระหว่างได้ฟังเรื่องเล่าของทุกคน เรามองเห็นประกายความสุขในดวงตาของพวกเขาที่ฉายออกมาอย่างชัดเจน  ในแง่หนึ่ง การจัดเวทีประกวดอย่าง THE POWER BAND เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดีในการส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ แต่ในอีกแง่หนึ่ง ประกายความสุขในดวงตาของพวกเขาตอนที่เล่าเรื่องดนตรีนั้นบอกเราชัดเจนว่า เวทีนี้มอบความหวังให้พวกเขา ให้พวกเขารู้ว่าตัวเองก็สามารถเดินทางในเส้นทางศิลปินมืออาชีพได้ ทุกๆ อย่างเป็นไปได้หากพวกเขาลงมือทำ 

บางครั้ง ความหวังอาจเป็นหนึ่งในสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดที่แบรนด์จะมอบกลับคืนสู่คนในสังคมได้ โดยเฉพาะกับกลุ่มเด็กๆ ที่จะเป็นอนาคตของสังคมต่อไป

Nich Cycling จักรยานสัญชาติไทยที่ชนะใจลูกค้าด้วยบริการหลังการขายและความสำเร็จของทีมนักแข่ง

Max Fortune เจ้าของหนังสือ Get Rich in Your Niche กล่าวไว้ว่า “Don’t overlook the most important thing you can do to grow your business and that is marketing.” 

หรือแปลเป็นไทยได้ว่า “อย่ามองข้ามสิ่งสำคัญที่สุดที่คุณทำได้เพื่อทำให้ธุรกิจของคุณเติบโต และนั่นคือการตลาด”

ถ้าเราทุกคนยึดคำพูดที่ว่าเป็นสรณะ เชื่อว่าบนโลกใบนี้คงจะมีผู้ประกอบการรายเล็กรายใหญ่เกิดขึ้นมากมาย แต่ก็เพราะคนเราไม่ได้มีเป้าหมายและความฝันเดียวกัน คนที่จะเปลี่ยนความชอบและสิ่งที่ทำได้เป็นรายได้จึงมีเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น

ยิ่งถ้าความชอบของเราดันเป็นสิ่งที่ชนะใจคนบางกลุ่มในตลาดเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ซื้อทุกราย การจะเอาชนะใจตัวเองให้ฝ่าฟันทุกอุปสรรคเพื่อให้ความชอบเป็นรายได้ก็คงต้องใช้ทั้งไอเดียธุรกิจและแรงผลักดันมหาศาล เช่นเดียวกับ ชิน–ชินธิป บุญโชคหิรัญเมธา ผู้ที่ฝันอยากเป็นนักปั่นจักรยานตั้งแต่ประถม จนเปลี่ยนความฝันนั้นเป็น Nich Cycling แบรนด์จักรยานคัสตอมสัญชาติไทย

“ตั้งแต่ปั่นจักรยานออกถนนได้ ผมก็ไปนั่งอยู่กับอาเจ็กที่ร้านจักรยานแถวบ้านตลอด ไปช่วยเขาหยิบเครื่องมือบ้าง ไปนั่งดูเฉยๆ บ้าง ทั้งที่ก็ทำไม่เป็นหรอก” เขาว่าอย่างนั้น

ในวันที่ Nich Cycling ไม่ได้เป็นเพียงความฝันของเด็กชายชิน แต่เปลี่ยนมาเป็นธุรกิจอายุกว่า 12 ปีได้จริงๆ สิ่งที่ชินบอกกับเราตลอดการสนทนานี้คือไม่ใช่แค่ความชอบเท่านั้นที่จะทำให้คุณได้เป็นเจ้าของธุรกิจ แต่ยังต้องอาศัยความอึด ถึก ทน ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ และมองให้เห็นความต้องการของตลาด ที่แม้จะเป็นตลาดเล็กๆ แต่ก็มีคุณค่าและรายได้มหาศาล

ก่อนจะกลายเป็นธุรกิจที่ยืนระยะมาได้อย่างทุกวันนี้ คุณขับเคลื่อน Nich Cycling ด้วยความรู้สึกแบบไหน

ผมมีแพสชั่นกับจักรยาน แม้จะลืมๆ มันไปบ้างตอนที่เรียนอยู่ แต่พอเริ่มทำงานแล้วกลับมาปั่นจักรยานเพื่อไปทำงานอีกครั้งก็ทำให้จำได้ว่าแต่ก่อนเราเคยชอบมันมากแค่ไหน 

จากที่ปั่นไปทำงานเฉยๆ ผมก็เริ่มรู้สึกสนุกและหันมาปั่นเป็นงานอดิเรกในวันเสาร์-อาทิตย์ แถวเลียบด่วน ก่อนจะไปนัดนักปั่นในเว็บบอร์ดเพื่อไปปั่นตามเส้นทางใหม่ๆ ด้วยกันที่ต่างจังหวัด

ตอนนั้นการปั่นจักรยานในไทยได้รับความนิยมแค่ไหน

ยังไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นคนที่ปั่นเล่นบ้าง บางทีก็ปั่นกันทั้งบริษัทตามแต่จะจัดทริป ส่วนงานแข่งขันจักรยานก็นานๆ มีที พอมีงานครั้งหนึ่ง คนจากทั่วสารทิศเลยไปรวมตัวกัน

แล้วจากแค่ปั่นจักรยานเป็นงานอดิเรก คุณเริ่มมองเห็นลู่ทางธุรกิจในแวดวงนี้ได้ยังไง 

คนปั่นจักรยานมันก็ต้องมีชุดสำหรับใส่ปั่นจักรยานใช่ไหม แต่ในสมัยก่อน ชุดจักรยานมันก็หาซื้อได้ตามร้านใหญ่ๆ เท่านั้น ความหลากหลายของชุดก็น้อยมาก เราเองเลยชอบไปควานหาชุดที่มันดูไม่ซ้ำกับคนอื่นตามร้านต่างๆ

จากแค่ไปค้นๆ ตามร้าน เราก็เริ่มเข้าไปดูใน eBay และลองสั่งเสื้อจาก eBay มาใส่และลองสั่งมาขายเองด้วย ตอนแรกก็ลองซื้อมาขายเล่นๆ แค่ 2 ตัว แต่พอคนเห็นว่าเรามีเสื้อแปลกๆ เราก็เริ่มเห็นว่ามันมีคนต้องการสิ่งนี้อยู่เหมือนกัน 

จากตอนแรกมีเสื้อมือสองของทีมจักรยานอาชีพบ้าง เสื้อมือหนึ่งบ้างก็เริ่มทำแค็ตตาล็อกชุดจักรยานแล้วก็แปะเบอร์ให้คนในเว็บบอร์ดจักรยานมาเลือกซื้อ จากนั้นเราก็ไปสั่งโรงงานที่เขาผลิตส่งทั่วโลกอยู่แล้วมาขาย เหมือนเราเป็นตัวแทนคนหนึ่งในประเทศไทย 

ขายชุดจักรยานอยู่นานแค่ไหนถึงเริ่มขยับขยายมาขายจักรยาน

สมัยนั้นคนจะซื้ออุปกรณ์จักรยาน ไม่ว่าจะล้อ เฟรม หรืออะไรก็ตาม จะต้องไปซื้อที่สิงคโปร์หรือฮ่องกง เพราะในเมืองไทยมีแบรนด์จักรยานไม่กี่แบรนด์ ส่วนใหญ่ก็ราคาสูงเพราะเป็นแบรนด์ระดับเบอร์ต้นๆ ของโลก พอทำชุดขายมาได้ปีนึง พอที่จะมีทุนอยู่บ้าง เลยรู้สึกว่ามันต้องมีช่องทางให้เราทำธุรกิจได้บ้าง

พอคุยกับเพื่อนว่าอยากจะขยับไปทำจักรยานบ้าง เพื่อนก็แนะนำให้รู้จักโรงงาน OEM ที่รับผลิตจักรยานในจีนและไต้หวัน เพราะการจะตั้งโรงงานในไทยได้มันยากมาก นอกจากจะทุนสูงแล้วก็ยังต้องไปแข่งกับโรงงานที่มีอยู่แล้วในต่างประเทศด้วย ศึกษาไปศึกษามาก็เริ่มจากสั่งผลิตล้อออกมาขาย

ทำไมถึงเริ่มจากล้อจักรยานก่อนจะเป็นอุปกรณ์อื่นๆ 

เพราะทุกคนมีรถอยู่แล้ว แล้วส่วนใหญ่คนปั่นจักรยานก็ต้องเปลี่ยนล้อกันตามอายุของมัน เราเลยรู้สึกว่าถ้าเราขายล้อก่อนมันจะขายได้ง่ายกว่า 

จุดแข็งของแบรนด์ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าคัสตอมสินค้านั้นเริ่มตั้งแต่ตอนไหน

เราตั้งใจตั้งแต่แรกอยู่แล้วและมันก็เป็นโมเดลเดียวกับตอนที่ขายชุดจักรยานที่ลูกค้าจะสั่งคัสตอมสี หรือข้อความแบบไหนก็ได้ พอมาทำล้อเราก็ผลิตล้อตามงบและสเปกที่ลูกค้าอยากได้เลย อยากได้ขอบล้อแบบไหน ดุมล้อแบบไหน น้ำหนักเท่าไหร่ ใช้เพื่ออะไร เรารับทำหมด

พอทำล้ออยู่ประมาณ 3 ปี เราก็พอมีทุนและเห็นว่ามันก็ขายได้ เลยเริ่มขยับมาทำเฟรมจักรยานและอุปกรณ์อื่นๆ ทำไปทำมาก็เริ่มติดแบรนด์ตัวเองเข้าไป ซึ่งก็คือ Nich Cycling ที่มาจากชื่อชินในภาษาอังกฤษและก็พ้องกับคำว่า niche market ที่สะท้อนถึงกลุ่มลูกค้าของเราที่มัน niche มากๆ เมื่อเทียบกับแบรนด์ใหญ่ๆ 

วิธีการทำงานของเราคือเราจะเป็นจุดเชื่อมทุกโปรดักต์จากทุกฝ่ายให้มาประกอบกันเป็นจักรยานคันหนึ่ง และเราจะมีทั้งจักรยานที่ทำสำเร็จมาแล้ว และจักรยานที่เรานำมาเพนต์สีด้วยมือเองที่โรงงานของเราเพื่อให้ลูกค้าที่อยากคัสตอมได้จักรยานแบบที่เขาอยากได้ เรียกว่าซื้อครั้งเดียวจบ

ช่วงแรกคนรู้จักแบรนด์จักรยานแบรนด์เล็กๆ ของคุณได้ยังไง

ตอนแรกเริ่มจากแนะนำให้เพื่อนและคนรู้จักที่ปั่นจักรยานด้วยกันได้ลอง แต่ความที่เราไปก่อตั้งกลุ่มที่ชวนคนไปปั่นจักรยานตรงนั้นตรงนี้ พอคนรู้ว่าเราขายและมีการบอกปากต่อปาก คนกลุ่มอื่นๆ ก็กล้าซื้อมากขึ้น 

กลุ่มเพื่อนๆ และคนรู้จักคงเปิดใจได้ไม่ยาก แต่ทำยังไงให้นักปั่นทั่วไปเปิดใจให้ local brand 

ใช่ ความเป็นแบรนด์โลคอลมันยากมากๆ ที่จะทำให้คนเปิดใจ เราโดนมาหมดแล้ว บอกว่าของห่วยบ้าง ของไม่ดีบ้าง แต่ก่อนเราก็เครียดมากนะ แต่พอเริ่มมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น เราก็แก้ไขเฉพาะที่เราบกพร่องจริงๆ และอะไรที่มันไม่จริงเราก็ไม่ได้ไปสนใจ คิดแค่จะทำยังไงให้ของของเรามันดีที่สุด

พอเอาคำดูถูกเป็นแรงให้พัฒนาของดีๆ มาสู้กลับ เราก็มีวิธีการของเราคือพูดไปยังไงเขาก็ไม่เชื่อใช่ไหมว่าของเราก็ดีเทียบเท่ากับแบรนด์ดังๆ ระดับโลก เพราะทั้งที่จริงสายการผลิตของเราและแบรนด์ใหญ่มันผลิตข้างๆ กันและออกจากโรงงานเดียวกันเลย อย่างนั้นเราก็ทำทีมนักปั่นของเราขึ้นมาเพื่อเอา performance เข้าสู้ ปัจจุบันทีมของเรากลายเป็นทีมอาชีพระดับภูมิภาคเอเชีย (UCI Continental) แล้ว

นอกจากการมีทีมเป็นของตัวเองจะช่วยให้แบรนด์ของเราใกล้ชิดกับลูกค้าต่างจังหวัดมากขึ้น การที่เราสะสมเครดิต สะสมจำนวนปี และสะสมผลงานเหล่านี้ได้ ก็ทำให้เราแทบไม่ต้องกังวลกับคำถามเรื่องห่วยไม่ห่วย ดีไม่ดีอีกเลย เพราะคำตอบเหล่านั้นพิสูจน์มาแล้ว และคนที่ถามอาจจะไม่ใช่ทาร์เก็ตของเรา 

ทาร์เก็ตของ Nich Cycling คือใคร

ส่วนใหญ่เป็นคนที่ไม่ได้ยึดติดแบรนด์ เป็นคนที่ไม่ได้เห็นว่าต้องใช้ของหรู ไม่เห็นว่าต้องใช้ของแบรนด์ระดับโลก เรียกว่าเป็นคนที่กล้าใช้ เปิดใจ และเปิดรับความคิดเห็นใหม่ๆ 

ลักษณะนี้สอดคล้องกับดีลเลอร์ตามต่างจังหวัดของเราด้วยนะ คือคนที่จะเป็นดีลเลอร์ของเราก็จะไม่ใช่คนติดแบรนด์เหมือนกัน ส่วนใหญ่เขาจะรู้จักเราอยู่แล้ว และเราก็ต้องทำความรู้จักเขาด้วยเพราะดีลเลอร์ที่เราเลือกจะไม่ใช่ใครก็ได้ แต่ต้องเป็นคนมีความรู้ บางคนเป็นนักแข่งมาก่อน บางคนมีแพสชั่นหรือมีฝีมือและแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้

แล้วปัจจุบันเทรนด์การปั่นจักรยานในไทยเป็นยังไงบ้าง  

เทรนด์ในไทยมันค่อนข้างขึ้นๆ ลงๆ บางปีจำนวนคนปั่นโตเร็วมาก แต่บางปีก็วูบลงมา แต่ถ้ามองลักษณะของการเติบโต เทรนด์มันก็โตขึ้นเรื่อยๆ 

อย่างช่วง Bike For Dad ตลาดจักรยานในไทยก็มี local brand ผุดขึ้นมาค่อนข้างมากเพราะเขาเห็นว่าเม็ดเงินที่หมุนอยู่ในนี้มันสูง แต่ช่วงก่อนโควิดมันก็เริ่มซบเซา แบรนด์ต่างๆ ก็ล้มหายตายจากไป 

จนมาช่วงโควิดนี่แหละที่กระแสการปั่นจักรยานทั้งในไทยและต่างประเทศสูงขึ้นอีกครั้งเพราะคนอยากออกจากบ้าน แล้วการปั่นจักรยานมันก็ไม่ต้องไปปั่นกับใคร ออกไปปั่นคนเดียวก็ได้

ขณะที่แบรนด์อื่นอยู่ไม่ได้ แล้วคุณทำยังไงให้ Nich Cycling อยู่มานานขนาดนี้

มันก็ไม่ได้สวยหรูนะ ช่วงลำบากมันก็มี แต่เราก็ทนเอา แล้วก็ต้องรู้จักบริหารเงิน บริหารคน แต่ยอมรับเลยว่าสิ่งที่ทำให้ Nich Cycling แข็งแรงมาเสมอคือนอกจากคุณภาพท็อปๆ ในราคาที่เข้าถึงได้ การที่ลูกค้าคัสตอมได้ในราคาไม่ถึงแสนแล้ว บริการหลังการขายก็สำคัญมากๆ 

จักรยานมันก็เหมือนรถยนต์ที่อุปกรณ์ต่างๆ มีอายุการใช้งานของมัน ถ้าเราไม่มีบริการหลังการขายที่ดี ลูกค้าก็ไม่รู้ว่าจะซื้อหรือซ่อมอะไหล่ที่ไหน สุดท้ายเขาก็จะเลิกใช้ของเราไปเอง สิ่งนี้มันก็ทำให้เราฮึดสู้เหมือนกัน เพราะถ้าเราปิดไป ไม่สู้ต่อ ลูกค้าก็จะโดนลอยแพ 

การที่เราทำแบรนด์ขึ้นเอง ไม่ใช่ตัวแทนจำหน่ายของแบรนด์ใหญ่ ข้อเสียมันอาจจะเป็นเรื่องทุนและชื่อเสียง แต่ข้อดีคือเราสามารถเลือกทำหรือปรับเปลี่ยนแบบไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องทำแบบตัวแทนจำหน่ายที่แบรนด์ใหญ่มีอะไรใหม่ เราก็ต้องนำเข้าทุกอย่างจนบางทีมันอยู่ไม่ได้ก็ต้องปิดตัว ลูกค้าก็ไม่รู้จะหันไปพึ่งใคร

หลายครั้งที่ได้คุยกับลูกค้าต่างชาติที่เขามาซื้อของเรา นอกจากเขาจะอยากได้ของดีในราคาเข้าถึงได้ อยากสนับสนุนแบรนด์ไทยแล้ว เขาก็อยากได้ความมั่นใจนั่นแหละว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ก็ยังมาซ่อม มาเปลี่ยน มาปรึกษาเราได้ตลอด

เห็นว่า Nich Cycling ร่วมกับ Summit Group เปิดบริษัทจัดอีเวนต์กีฬา Summit Nich ด้วย อะไรทำให้การร่วมงานครั้งนี้เกิดขึ้นได้

เรารับจัดอีเวนต์กีฬามา 7-8 ปีแล้ว เพราะมันไม่ค่อยมีคนทำและไม่ค่อยมีคนมีความรู้ด้านการจัดอีเวนต์เท่าไหร่ โดยเฉพาะการจัดอีเวนต์จักรยานที่เป็นอีเวนต์กีฬาที่ยากที่สุด เนื่องจากมันจัดบนถนนหลวง ไม่ได้จัดในสถานที่ปิด พอไม่มีคนทำแล้วเราเคยมีประสบการณ์การจัดอีเวนต์จักรยานของตัวเองมาก่อน เราก็เลยกลายเป็นคนรับจัดงานไปโดยปริยาย

พอ Summit Group อยากแตกไลน์ผลิตภัณฑ์เป็นคาร์บอนไฟเบอร์ เขาเลยมาศึกษาจักรยานและมีโอกาสคุยกับเรา เลยได้ร่วมมือกันเมื่อปีที่แล้วและก่อตั้งบริษัทใหม่ภายใต้แบรนด์ของ Nich Cycling ขึ้นมา เพื่อรับจัดอีเวนต์กีฬา ทั้งจักรยาน งานวิ่ง งานไตรกีฬา ฯลฯ

จริงๆ ที่ผ่านมามันก็มีช่วงท้อมากๆ แต่เราก็ไม่เคยยอมแพ้และเลิกไปเพราะเรายังมองเห็นโอกาสอยู่ พอ Summit Group เข้ามาร่วมกับเรา มันก็ยิ่งเห็นแสงสว่างว่าเรายังไปต่อได้

พูดได้แล้วหรือยังว่า Nich Cycling ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้แล้ว 

ยังเลย เป้าหมายในไทยคือเราอยากให้ Nich Cycling เข้าถึงคนทุกจังหวัดได้มากกว่านี้ เพราะถ้าเทียบกับแบรนด์ใหญ่ๆ เราก็ยังเป็น niche market ที่คนบางกลุ่มไม่รู้จักอยู่ดี ส่วนเป้าหมายอีกเป้าคือเราอยากส่งออกได้มากกว่านี้ อย่างตอนนี้เราได้ดีลเลอร์ในลาว ญี่ปุ่นแล้ว 

วิธีการของเราตอนนี้คือเราจะต้องให้ทีมระดับภูมิภาคของเราไประดับโลกให้ได้เพื่อให้ลูกค้าในต่างประเทศรู้จักเรามากขึ้น ความท้าทายคือเราจะทำได้หรือเปล่า เขาจะยอมรับไหมเพราะแบรนด์ต่างประเทศก็แข็งแรงมากๆ 

แต่มันก็ต้องลองดูกันสักตั้ง ถูกไหม

What I’ve Learned
1. “เราไม่ใช่ผู้นำโลก โลกมันขยับไปทางไหน เราก็ต้องอัพเดต เรียนรู้ และต้องพร้อมปรับตัวตลอดเวลา”
2. “การจะทำธุรกิจที่ niche มากๆ สิ่งสำคัญคือเราจะยอมแพ้ไม่ได้เพราะถ้ายอมแพ้เมื่อไหร่ก็แปลว่าตาย”
3. “ต้องถึก ต้องอดทน และมีแพสชั่นมากพอ แต่แพสชั่นอย่างเดียวก็กินไม่ได้ เราต้องตีโจทย์ให้แตกว่าทำไมลูกค้าต้องมาซื้อเรา ไม่อย่างนั้นทนไปแต่ไม่มีไอเดียมันก็ตาย”
4. “เราไม่ควรโกหกและขี้เกียจ แต่เราต้องจริงใจและขยัน ถึงจะเอาชนะใจลูกค้าได้”

อะไรคือสิ่งที่ AI สู้มนุษย์ไม่ได้? มุมมองโลกยุค deep tech ของผู้บริหาร จากงาน SEA.T 2023    

ประเด็นที่น่าสนใจในงาน SEA.T หรือ Sounteast Asia Conference 2023 ซึ่งจัดโดยบริษัทที่ปรึกษากลยุทธ์และสื่อดิจิทัล MCFIVA คือการพูดถึง deep tech หรือเทคโนโลยีขั้นสูงที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงโลกอนาคตและวิสัยทัศน์ในการมองเห็นจุดแข็งของมนุษย์ที่เทคโนโลยีซับซ้อนแค่ไหนก็ยังทำไม่ได้อย่างความคิดสร้างสรรค์

Nathan Paterson, Director of Learning, IDEO Tokyo กล่าวในเซสชั่น Future of Design and Creativity with The Rise of AI ว่า ทุกวันนี้ AI อยู่ในแทบทุกอุตสาหกรรม ในวงการศิลปะมี AI อย่าง Dalle ที่เปลี่ยนประโยคให้กลายเป็นภาพวาดโดยไม่ต้องใช้มือวาดอีกต่อไป, แวดวงสถาปัตยกรรมมีโปรแกรม OMA, วงการออกแบบสินค้ามีโปรแกรมอย่าง Airbus และ Autodesk ที่ช่วยทุ่นแรงในการออกแบบ, Microsoft ยังวางแผนที่จะลงทุน 10 ล้านใน OpenAI สตาร์ทอัพที่สร้าง ChatGPT รวมถึงเพิ่มฟีเจอร์ AI ชื่อ Microsoft Copilot เช่น chatbot สำหรับใช้กับโปรแกรมต่างๆ ของ Microsoft นอกจากนี้โปรแกรมล่าสุดที่ทำให้ผู้คนตื่นเต้นคือ Microsoft Designer ที่ช่วยให้งานออกแบบกราฟิกเข้าถึงคนทั่วไปได้มากขึ้น

สิ่งที่หลายคนหวาดหวั่นคือ ถ้า AI อยู่ในทุกวงการขนาดนี้แล้ว ในอนาคตมันจะมาแย่งงานของมนุษย์หรือไม่

เซสชั่น What’s Next For MarTech and Consumer Trend ได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงวิสัยทัศน์ในเรื่องนี้  บี๋–อริยะ พนมยงค์ CEO ของ Transformational Co. Ltd. มองว่า AI เป็นเทคโนโลยีใหม่แต่ไม่ใช่ความท้าทายใหม่ ก่อนมีโลกโซเชียลมีเดียก็มีอาชีพคนทำคอนเทนต์อยู่แล้ว สายคอนเทนต์แค่ต้องเปลี่ยนรูปแบบการทำงานและเรียนทักษะใหม่เพื่อปรับตัวเข้ากับยุคสมัยเท่านั้น การมีเทคโนโลยีใหม่อย่าง AI เข้ามาก็ไม่ต่างกัน

แชมป์–ปิยภูมิ สีชัง Marketing Director, B2B Thailand Michelin มองว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่น่าตื่นเต้นมากกว่าน่ากลัวเพราะสามารถช่วยลดงานรูทีนที่ทำซ้ำและใช้แรงงานซึ่งเป็นการช่วยสนับสนุนให้มนุษย์ทำงานเร็วขึ้นแต่ไม่ได้มาแทนที่งานของมนุษย์ทั้งหมด สิ่งหนึ่งที่ AI ทำไม่ได้คือความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ ตัวอย่างเช่น การคิดสโลแกนที่มีจุดประสงค์เพื่อสื่อสารและขายสินค้ากับมนุษย์ ดังนั้นคนที่ออกแบบการสื่อสารเพื่อมนุษย์ได้ดีจึงยังคงเป็นมนุษย์ แม้ ChatGPT สามารถคิดสโลแกนได้ภายในไม่กี่นาทีในขณะที่ครีเอทีฟต้องใช้ระยะเวลาคิดเป็นวัน แต่ AI ก็ยังคงไม่สามารถนำเสนองานครีเอทีฟได้ดีเท่ามนุษย์

นาธานยกตัวอย่างการใช้ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่ AI ไม่สามารถทำแทนได้ว่า ในภาพยนตร์เรื่อง Toy Story 3 มีการสร้างคาแร็กเตอร์ใหม่อย่าง bear toys ที่ทำให้หลายคนนึกถึงตุ๊กตาหมีตอนเด็ก เขาบอกว่านี่คือตัวอย่างของการใช้วิธีนึกถึงความทรงจำในอดีต (feeling of nostalgia) ในการเล่าเรื่องซึ่ง AI จะไม่สามารถคิดสิ่งที่เชื่อมโยงกับอารมณ์มนุษย์แบบนี้ได้เพราะไม่มีความทรงจำหรือประสบการณ์เหล่านี้

สำหรับนาธานที่เคยทำงานในบริษัทที่เป็นผู้นำด้านความคิดสร้างสรรค์ทั้ง IDEO และ Pixar เขาให้คำแนะนำสำหรับบริษัทที่อยากสร้างวัฒนธรรมแห่งความคิดสร้างสรรค์เพื่อปรับตัวให้ทันกับโลกแห่งเทคโนโลยีในอนาคตว่าสามารถนำ The ABCs for Creative Culture 6 อย่างของ IDEO ไปปรับใช้ได้ การใช้วิธีคิดเหล่านี้จะทำให้มนุษย์สามารถระดมไอเดียใหม่ๆ ได้ไม่แพ้เทคโนโลยี

Ab คือ align beginnings การสร้างประสบการณ์ครั้งแรกให้น่าจดจำเพราะผู้คนมักไม่ลืมความทรงจำครั้งแรกของตัวเอง เช่น ที่ IDEO มีโครงการ IDEO first 30 สำหรับพนักงานใหม่ โดยแต่ละวันในเดือนแรก เมื่อพนักงานเปิดลิ้นชักออกมาจะพบกับโจทย์ง่ายๆ ที่ให้ลองทำสิ่งใหม่เป็นครั้งแรก เช่น  ให้แนะนำตัวกับทุกคนในบริษัททางอีเมลด้วยวิธีสร้างสรรค์

Bc คือ build camaraderies การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ที่ IDEO ทุกวันอังคารจะมี lunch meeting ที่พนักงานทุกคนได้มีช่วงเวลาพูดคุยกันแบบผ่อนคลายหรือมีกิจกรรมอย่างไปเที่ยวสำรวจวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วยกัน

Cd คือ celebrate diversity สนับสนุนการออกไอเดียร่วมกันของคนหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นพนักงานที่อยู่คนละแผนก คนที่มีความรู้ในคนละศาสตร์ โดยสนับสนุนให้ทุกคนเปิดกว้างกับมุมมองที่แตกต่างจากตัวเอง 

De คือ design experiment วัฒนธรรมของ IDEO จะมีกิจกรรมอย่างการทำโปรโตไทป์ เพื่อคิดค้นนวัตกรรมโดยสนับสนุนให้ทุกคนคุ้นชินกับการทดลองและไม่กลัวล้มเหลว 

Ef คือ explore fringes การตั้งคำถามว่าเราจะสร้างวัฒนธรรมที่ผู้คนมีความหวังและอยากสร้างอนาคตที่ดีขึ้นอยู่เสมอได้ยังไง

Fg คือ foster gratitude การทำให้ทุกคนในองค์กรรู้สึกเป็นทีมเดียวกันและสนับสนุนการสร้างความรู้สึกขอบคุณในการร่วมงานกัน

วัฒนธรรมเหล่านี้ช่วยให้มนุษย์สามารถคิดไอเดียสดใหม่และทำให้บริษัทเป็นผู้นำด้านความคิดสร้างสรรค์ได้

ในโลกที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างเครื่องมือ AI หลากหลายแบบเข้ามามากมาย นาธานบอกว่า tool หรือเครื่องมือต่างๆ คือสิ่งที่ใช้สำรวจและทำความเข้าใจโลกใบนี้ หากดีไซเนอร์หรือนักนวัตกรรู้จักตั้งคำถามว่า ‘How things work with humans?’ หรือจะทำยังไงให้เทคโนโลยีเหล่านี้เวิร์กกับมนุษย์ ก็จะสามารถอยู่รอดในโลกยุคหน้าได้อย่างแน่นอน

SUNEV แบรนด์หมวกไทยดีไซน์สวยที่ต่อยอดจากธุรกิจผลิตหมวกส่งออกห้างญี่ปุ่นราคาหลักหมื่น

จากธุรกิจครอบครัวที่ผลิตหมวกส่งออกให้ประเทศญี่ปุ่นกว่า 30 ปีและวางขายตามห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในญี่ปุ่นในราคาที่สูงถึงหลักหมื่น แบรนด์ SUNEV (ซันอีฟ) เป็นหมวกที่ต่อยอดจากการนำ know-how และศาสตร์การผลิตที่ได้จากญี่ปุ่นมาออกแบบหมวกคอลเลกชั่นใหม่สำหรับกลุ่มผู้หญิงวัยรุ่นและปรับราคาให้เหมาะสมกับตลาดไทยในหลักพัน  

วีนัส หาญธนะสุกิจ เป็นผู้สานต่อธุรกิจของครอบครัวที่เริ่มกิจการหมวกด้วยการเข้ามาช่วยดูแลเรื่องการบริหารให้ที่บ้าน ส่วน เท–Liangbo Zheng คู่รักชาวจีนของเธอเชี่ยวชาญด้านดีไซน์หมวกโดยได้เดินทางไปศึกษาศาสตร์การออกแบบที่โรงเรียนสอนทำหมวกเฉพาะทางในญี่ปุ่นและเล่าให้ฟังว่าที่ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมการใส่หมวกที่ลึกซึ้งกว่าไทยมากซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมหมวกที่วางขายในญี่ปุ่นถึงมีราคาสูงเฉียดหมื่น 

จากธุรกิจรูปแบบ OEM ที่ดีไซน์หมวกให้ลูกค้าอยู่แล้ว ทั้งคู่ตัดสินใจสร้างแบรนด์ของตัวเองในไทยและอยากสื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจว่าทำไมหมวกที่มีคุณภาพและออกแบบอย่างใส่ใจถึงมีราคาแพง   

SUNEV มาจากการผสมระหว่าง 2 คำ คือ ‘SUN’ ที่แปลว่าพระอาทิตย์ ซึ่งสื่อถึงความสดใส ส่วน ‘EVE’ คือผู้หญิง พอมารวมกัน ชื่อแบรนด์จึงสื่อถึงผู้หญิงที่สดใส เพราะวีนัสบอกว่าอยากให้ทุกคนใส่หมวกของซันอีฟแล้วรู้สึกถึงความสดใสและมีความมั่นใจมากขึ้นเพื่อให้เข้ากับความหมายของสโลแกนคือ Shining Like the Sun โดยชื่อแบรนด์ตัดตัว ‘E’ ตัวสุดท้ายออกเพื่อที่เวลาอ่านกลับหลังจะกลายเป็นคำว่า VENUS ซึ่งเป็นชื่อของเจ้าของแบรนด์พอดี

ท่ามกลางหมวกหน้าตาคล้ายกันมากมายที่วางขายในตลาดและแข่งขันกันด้วยสงครามราคา วีนัสและเทบอกว่าความจริงแล้วสามารถเพิ่มมูลค่าหมวกให้สูงขึ้นได้ด้วยการออกแบบและการผลิตที่พวกเขาจะเล่าต่อไปนี้

จุดแข็งที่ทำให้คุณได้เปรียบในการเริ่มต้นธุรกิจหมวกคืออะไร 

วีนัส : เริ่มจากมีโรงงานหมวกของครอบครัวที่เริ่มต้นโดยคุณแม่ชื่อ C&H Wear Trading Ltd. ซึ่งมีลูกค้าหลักเป็นห้างญี่ปุ่น เราส่งออกไปญี่ปุ่นเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยทำเป็น OEM (original equipment manufacturer) ที่ผลิตภายใต้แบรนด์ของลูกค้า ถ้าเข้าไปที่ห้างญี่ปุ่น เช่น ห้าง Takashimaya จะเจอมุมที่ขายร่ม ผ้าเช็ดหน้า และหมวก สินค้าหมวกที่เป็นงาน made in Thailand ตามห้างเหล่านั้นส่วนใหญ่จะเป็นของเรา นอกจากงานที่ลูกค้าสั่งทำซึ่งเราผลิตตามวัสดุของลูกค้าแล้ว เราจะเป็นกึ่งๆ ODM (original design manufacturer) ด้วย คือดีไซน์หมวกด้วยโรงงานของเราเอง ทั้งหาผ้าและวัสดุบางชนิดเอง ผลิตและขึ้นแบบดีไซน์ให้ลูกค้า เราจะออกแบบหมวกดีไซน์ใหม่ในทุกปีเพื่อทำเสนอโชว์รูม จะออกเป็นคอลเลกชั่นหน้าร้อนกับหน้าหนาวซึ่งเป็นซีซั่นที่คนญี่ปุ่นนิยมซื้อหมวก ลูกค้าญี่ปุ่นก็จะมาดูว่ามีวัตถุดิบอะไรใหม่บ้าง มีแพตเทิร์นอะไรใหม่แล้วสั่งผลิตโดยปรับเปลี่ยนเป็นสไตล์ของแบรนด์เขา นี่คือสิ่งที่คุณแม่ทำมาตั้งแต่ตอนแรก

อะไรที่ทำให้ธุรกิจหมวกของครอบครัวประสบความสำเร็จในการขายส่งออกให้ห้างญี่ปุ่นมายาวนาน 30 กว่าปี

วีนัส : จุดแข็งคือคุณภาพของสินค้า เรามีเทคนิคพิเศษเฉพาะของเราที่แตกต่างกับโรงงานจีน
สินค้าส่งออกญี่ปุ่นไม่ใช่แค่ผลิตได้เฉยๆ แต่ต้องเนี้ยบ ประณีตและมีความสม่ำเสมอด้านคุณภาพ ด้วยความที่ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการใส่หมวกมาก หมวกที่ขายจะต้องไม่ใช่แค่สวยแต่จะต้องมีฟังก์ชั่นอื่นๆ ด้วย เช่น สามารถซักได้ แอนตี้แบคทีเรีย มีความเบา ใส่สบาย เป็นต้น สินค้าทุกชิ้นต้องผ่านมาตรฐานของญี่ปุ่นเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจ

มีลูกค้าญี่ปุ่นบางเจ้าที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เปิดโรงงานเป็นระยะเวลา 20-30 ปี คือไม่ใช่ทุกบริษัทจะทำส่งออกญี่ปุ่นได้ เพราะมีโรงงานเยอะแยะมากมาย ลูกค้าจะไปสั่งผลิตกับเจ้าไหนก็ได้ สิ่งสำคัญคือทำยังไงเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าไว้ให้ได้นานที่สุด ทำยังไงลูกค้าถึงยังอยากอยู่กับเรา ดังนั้นเราต้องซื่อสัตย์และรักษาคุณภาพของสินค้า เน้นแข่งขันด้วยคุณภาพของสินค้า ไม่เน้นผลิตจำนวนเยอะในราคาถูกและแข่งสงครามราคา ทำให้สามารถรักษามาตรฐานคุณภาพของสินค้ามาอย่างยาวนาน 

คุณมองเห็นโอกาสอะไรในการแตกแบรนด์ใหม่ในไทย 

วีนัส : C&H Wear จะมีฐานลูกค้าเป็นคนญี่ปุ่นวัยกลางคนอายุ 40-60 ปี เราอยากขยายกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่มคนอายุ 20-30  จึงนำวัสดุบางอย่างที่เราใช้ผลิตหมวกส่งออกญี่ปุ่นอยู่แล้วมาต่อยอดและปรับดีไซน์ให้ทันสมัยขึ้นสำหรับวัยรุ่นในชื่อแบรนด์ SUNEV จากการรีเสิร์ชตลาดในไทย พบว่าหมวกส่วนใหญ่จะมีแค่หมวกแก็ป หมวกบักเก็ต ที่เป็นแบบเรียบๆ วัสดุส่วนใหญ่เป็นผ้าแคนวาส ผ้ายีนส์ ที่เป็นแบบเบสิกจริงๆ เลยเป็นจุดเริ่มต้นในการลองทำแบรนด์ที่แตกต่างจากหมวกในตลาดที่มีอยู่

ตลาดหมวกที่ญี่ปุ่นและไทยแตกต่างกันยังไง 

เท : ตอนแรกเราคิดว่า ในเมื่อประเทศไทยร้อนก็น่าจะมีคนใส่หมวกกันเยอะ แต่พอได้เริ่มทำแบรนด์จริงๆ กลับไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะถึงเมืองไทยจะร้อนก็จริง แต่คนไม่ได้ชอบออกมาเดินข้างนอกทำให้ใส่หมวกน้อย แตกต่างกับคนญี่ปุ่นที่มีไลฟ์สไตล์ชอบเดินเยอะอยู่แล้วทำให้หมวกเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน
คนญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมการใส่หมวกที่ลึกซึ้งกว่าคนไทยมาก ทั้งเรื่องของฟังก์ชั่นหมวกที่ไม่ได้เป็นแค่หมวกเพื่อใส่เท่านั้น แต่ต้องมีกิมมิกด้านแฟชั่นหรือฟังก์ชั่นเพิ่มเติมด้วย ราคาของหมวกในห้างญี่ปุ่นเริ่มต้นก็ประมาณ 6,000-10,000 ครับ

ถ้าตลาดหมวกที่ญี่ปุ่นมีความพรีเมียมและขนาดตลาดใหญ่กว่าไทยมาก ทำไมเลือกทำแบรนด์ซันอีฟโดยเจาะตลาดวัยรุ่นในไทย

เท : วัยรุ่นญี่ปุ่นจะเป็นกลุ่มที่ไม่ได้มีกำลังซื้อมากนัก คนที่มีกำลังใช้จ่ายสูงส่วนใหญ่จะเป็นวัยกลางคนขึ้นไป เพราะเป็นสังคมที่พึ่งตนเองเป็นหลัก วัยเริ่มต้นทำงานจะต้องเลี้ยงดูตัวเองซึ่งต่างกับกลุ่มวัยรุ่นไทยที่ยังมีครอบครัวคอยซัพพอร์ต ทำให้มองว่าสำหรับตลาดหมวกวัยรุ่นเหมาะจะเริ่มต้นที่ไทยมากกว่า 

วีนัส : แต่สำหรับแบรนด์ซันอีฟ เราก็พยายามดีลกับลูกค้าญี่ปุ่นอยู่ว่าอยากลองไปเปิดตลาดญี่ปุ่นดูด้วยว่ามันพอจะเป็นไปได้ไหม ตอนนี้ก็กำลังอยู่ในช่วงทดลองอยู่ค่ะ

ในการพัฒนาดีไซน์หมวกให้มีความวัยรุ่นขึ้น คุณศึกษาศาสตร์การออกแบบหมวกมาจากไหน

เท : เรียนออกแบบหมวกที่โรงเรียนสอนทำหมวกที่ญี่ปุ่นซึ่งน่าจะเป็นเจ้าเดียวในโลกที่เป็นการสอนเรื่องหมวกโดยเฉพาะ เนื้อหาก็จะสอนตั้งแต่การหาฐานลูกค้า การหาวัตถุดิบ การทำแพตเทิร์นหมวก เรียนทำหมวกตั้งแต่ต้นจนจบว่าหมวกหนึ่งใบจะต้องออกแบบยังไงบ้าง เดี๋ยวนี้การทำแพตเทิร์นส่วนใหญ่จะเป็นการใช้คอมพิวเตอร์ทำอย่างเสื้อผ้าที่ขึ้นแบบเป็นแพตเทิร์นขนาดใหญ่และตรง สำหรับแพตเทิร์นการทำหมวกที่เป็นทรงกึ่ง 3D จะมีความยากกว่า เราต้องเรียนทำมือร้อยเปอร์เซ็นต์ รวมถึงเย็บเองด้วย ก่อนที่เราจะมีโอกาสได้ไปเรียนด้วยตัวเอง เราคิดว่าหมวกเป็นทรงเรียบง่ายที่น่าจะออกแบบง่าย แต่พอได้เรียนจริงๆ ถึงได้เห็นว่ามันมีรายละเอียดอยู่ในนั้น ทั้งเรื่องของทรงหมวกแบบไหนที่จะเข้ากับทรงหัวแบบไหน หมวกก็มีหลายทรงทั้งทรงโครเชต์ ปีกกว้าง นากาโอริ มิกกี้แฮต โลว์แค็ป ฯลฯ รวมถึงต้องคำนึงถึง curve และแพตเทิร์น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการทำหมวกให้สวยด้วย

หมวกพรีเมียมคุณภาพส่งออกแตกต่างจากหมวกราคาถูกที่เห็นทั่วไปในท้องตลาดยังไง

เท : ถ้าคนที่ไม่รู้แล้วมองหมวกจากแค่ภายนอกจะรู้สึกว่าหมวกราคาแพงกับถูกเหมือนกัน แต่ที่จริงมันแตกต่างกันด้วยน้ำหนัก ความละเอียด และวัสดุ วัสดุที่เราใช้นำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมดซึ่งแทบไม่มีแบรนด์ไหนในไทยทำและเป็นมาตรฐานเดียวกับสินค้าที่ส่งออกญี่ปุ่น เราใช้วัสดุที่มีคุณภาพสอดคล้องกับราคาขาย เพราะหมวกในตลาดที่เราเจอบางใบ เราจะเห็นว่าราคาแพงมากแต่พอพลิกดูวัสดุแล้วกลับไม่สอดคล้องกับราคา

ถ้าเป็นวัสดุจากจีนที่ใช้ทำหมวกซึ่งขายกันในราคาใบละ 200-300 บาท จะเป็นวัตถุดิบเลียนแบบ ทำให้บางทีลูกค้าไม่เข้าใจว่าทำไมหมวกของเราถึงราคาหลักพัน เราก็ต้องพยายามอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจในความแตกต่างของวัสดุแล้วก็คุณภาพ ทำหมวกที่อยากให้ลูกค้าสัมผัสแล้วรู้ได้เลยว่า คุณภาพวัสดุของหมวกเราแตกต่างกับของเจ้าอื่น ไม่เหมือนกับหมวกจากจีนที่ใช้ผ้าบาง อยากให้ลูกค้าสามารถจ่ายเงินแล้วได้รับความพึงพอใจในคุณภาพของสินค้า 

วัสดุพิเศษที่ทำให้หมวกของคุณแตกต่างจากที่อื่นมีอะไรบ้าง   

เท : ที่ญี่ปุ่นจะมีกระดาษวาชิ (Washi) ซึ่งเป็นกระดาษที่ดังมาก นิยมเอามาใช้ผลิตเสื้อผ้า ถุงเท้า  เพราะมีความเบาและระบายอากาศได้ดีทำให้คนญี่ปุ่นชื่นชอบกัน พอมีวัสดุเลียนแบบจากจีน มันก็จะไม่เหมือนกันร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะน้ำหนักจะไม่เบาเหมือนกระดาษวาชิ คนญี่ปุ่นจะไม่ชอบใส่หมวกหนักเลย ตลาดญี่ปุ่นน่าจะเป็นเจ้าเดียวที่ให้ความสำคัญกับเรื่องน้ำหนักหมวกและความพอดีกับทรงหัว คือใส่ออกมาแล้วต้องรู้สึกเบาสบาย

หมวกของเราจะเน้นใช้วัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติ ส่วนใหญ่เป็นงาน natural fiber ซึ่งสามารถซักมือได้ ถ้าเป็นงานผ้าก็จะใช้ผ้าลินินเป็นวัตถุดิบหลัก ถ้าเป็นงานสานก็จะเป็นกระดาษวาชิทั้งหมด บางชิ้นจะผสมหญ้าลาเฟียซึ่งเป็นหญ้าจากมาดากัสการ์ เรียกว่า straw hat มีการนำต้นข้าวมาถักเปียออกมาเป็นงานแฮนด์เมด ซึ่งกระบวนการถักตรงนี้จะใช้เวลานานมาก เขาจะขายมาเป็นมัดซึ่งแค่มัดเดียวก็ราคาหลักพันบาท ถ้ายิ่งเส้นเล็กก็จะใช้เวลาถักนานและยิ่งแพง วัสดุถักจะมีหลายเกรด แต่ละเกรดจะมีความถี่ ความห่าง และความละเอียดแตกต่างกัน 

การออกหมวกคอลเลกชั่นใหม่ในไทยแตกต่างกับในญี่ปุ่นยังไง 

วีนัส : ตลาดญี่ปุ่นจะออกคอลเลกชั่นเป็นสองซีซั่นคือหน้าร้อนและหน้าหนาวเพราะอากาศของที่นั่นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในแต่ละฤดู หน้าร้อนก็จะเป็น Spring/Summer หน้าหนาวก็จะเป็น Autumn/Winter เช่นหมวกจากวัสดุขนที่ใส่กันหนาวได้ แต่ของแบรนด์ซันอีฟเราจะไม่ได้อิงกับฤดู แต่จะมีคอลเลกชั่นพิเศษที่อิงกับซีซั่นบ้าง เช่น มีรุ่นที่เอาวัตถุดิบสำหรับใส่หน้าหนาวอย่างขนอัลปาก้ากับขนแกะมาผสมกัน

คุณอยากให้คนไทยใส่หมวกในโอกาสไหนบ้าง

เท : คนไทยมักจะมองว่าใส่หมวกแล้วต้องไปเที่ยวหรือไปทะเลซึ่งเราไม่อยากให้มองแค่นั้น เราเลยพัฒนาสินค้าให้มีคอลเลกชั่นที่ใส่ใน everyday look ได้ เผื่อวันนี้ผมยุ่ง ไม่อยากสระผมก็ยังสามารถเอาหมวกของเรามาปรับใส่กับลุคในวันนั้นได้ เราอยากให้สามารถใส่หมวกได้ไม่ใช่แค่ตอนรู้สึกร้อน แต่อยากให้หมวกเป็นสิ่งที่เสริมสร้างบุคลิกภาพ เพิ่มความมั่นใจในตัวเอง อย่างในยุโรปกลุ่มชนชั้นสูงก็ใส่หมวกเพื่อเสริมบุคลิกเหมือนกัน

วีนัส : เราเลยพยายามทำสินค้าที่ไม่ใช่แค่หมวกด้วย อยากให้แบรนด์ของเราเป็น hair accessories ที่ลูกค้าสามารถหยิบเอามาใส่ได้ในทุกวัน เลยมีสินค้าอย่างอื่น เช่น ที่คาดผม ให้สามารถใส่ไปเดินห้างได้ ใส่เป็นพร็อพได้

นอกจากการสวมหมวกเป็นแฟชั่นไอเทมแล้ว หมวกแบรนด์คุณเป็นฟังก์ชั่นไอเทมยังไงบ้าง 

วีนัส : สำหรับแบรนด์ของเรา ฟังก์ชั่นที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับหนึ่งเลยคือต้องใส่สบาย ต้องมีน้ำหนักเบา สามารถซักมือได้ บางไอเทมเราทำให้สามารถถอดสายได้เพื่อให้ลูกค้าสามารถปรับการสวมใส่ให้เข้ากับลุคของตัวเองได้

เท : เรื่องของการใส่สบาย เราทำให้ทุกแบบสามารถปรับไซส์ได้ทั้งหมดเพื่อให้กระชับกับทรงหัวของลูกค้า สำหรับบางรุ่นจะใช้ผ้าที่มีคุณสมบัติ UV Cut 99.99% หรือตัดแสงยูวีได้จริงๆ เวลาใส่กันแดด

วีนัส : อย่างในคอลเลกชั่นหน้าของเรา จะนำผ้าซับในที่มีคุณสมบัติแอนตี้แบคทีเรียมาใช้ เพราะเราได้ประสบการณ์ว่า พอใส่หมวกไปนานๆ แล้วเหงื่อออกทำให้อาจเกิดกลิ่นอับและแบคทีเรียหมักหมม ซึ่งผ้านี้จะป้องกันแบคทีเรียแล้วก็ช่วยไม่ให้เกิดกลิ่นอับได้

เท : สิ่งที่เรากำลังพัฒนาต่อจากนี้คือการใช้วัสดุที่ทำความสะอาดได้ง่ายซึ่งจะเหมาะกับผู้หญิง เช่น เวลาผู้หญิงแต่งหน้าแล้วหมวกเลอะเครื่องสำอาง ก็สามารถใช้มือตบคราบสกปรกออกได้เลย เราทำหมวกที่ไม่ใช่แค่กันแดดได้แต่จะต้องมีฟังก์ชั่นมากกว่านั้นและอยู่ในราคาที่ลูกค้าจับต้องได้

มีความท้าทายยังไงในการสร้างแบรนด์หมวกพรีเมียมในตลาดไทยที่ลูกค้าไม่คุ้นเคยกับหมวกราคาสูงเหมือนในญี่ปุ่น

วีนัส : ต้องบอกว่าเป็นความท้าทายมากๆ เพราะว่าแต่เดิมตลาดหมวกที่ไทยไม่ได้มีราคาแพง เป็นหมวกธรรมดา เช่น หมวกแก็ป หมวกบักเก็ต ดังนั้นเมื่อเราเข้ามาแล้วก็อยากจะนำเสนอสินค้าที่ใช้วัตถุดิบนำเข้า ที่มีดีไซน์และคุณภาพมากขึ้น พยายามสื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจว่าคุณภาพสอดคล้องกับราคาอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่แค่ตั้งราคาสูงเพื่อขายแล้วจบ แล้วพอลูกค้าเข้าใจก็จะมีฐานลูกค้าตามมาเอง เพราะก็มีลูกค้าหลายคนเหมือนกันที่เป็นแฟนคลับ ซื้อไปใส่แล้วหลายรอบ แล้วก็กลับมาซื้อหมวกของเราอีกหลายครั้ง

เท : ส่วนหนึ่งเพราะเราเป็นโรงงานที่ผลิตเองด้วย เราเลยทำราคาให้ลูกค้าคนไทยจับต้องได้ในหลักพัน เพราะถ้าหมวกคุณภาพระดับนี้ไปอยู่ในตลาดญี่ปุ่น ราคาจะโดดไปถึงประมาณหนึ่งหมื่นเลย 

คุณเลือกช่องทางการขายยังไงให้เหมาะกับกลุ่มลูกค้า  

วีนัส : เราขายที่ร้านมัลติแบรนด์ตามห้างสรรพสินค้าอย่าง The Selected ไอคอนสยาม, The Wonder Room สยามเซ็นเตอร์, Another Story เอ็มควอเทียร์ และช่องทางออนไลน์ โดยเราเลือกมัลติแบรนด์ที่อยู่ในห้างใหญ่ เพื่อให้สามารถโปรโมตแบรนด์ได้เยอะและมีฐานลูกค้าที่ไม่ใช่แค่คนไทย ต้องมีชาวต่างชาติด้วยเพราะอยากให้ชาวต่างชาติเห็นสินค้าแล้วรู้สึกว่าสินค้าของเราแตกต่างและมีขายแค่ที่นี่เท่านั้น ลูกค้าของเราส่วนใหญ่จะชอบซื้อที่หน้าร้านเพราะได้ลองหมวกว่าเหมาะกับตัวเองไหม ถ้าขายเฉพาะช่องทางออนไลน์ลูกค้าอาจจินตนาการตอนสวมหมวกจากแค่ภาพที่นางแบบใส่ไม่ได้

การขายสินค้าในห้างไทยกับห้างญี่ปุ่นมีความแตกต่างกันยังไง

วีนัส : ค่อนข้างแตกต่างมากค่ะ ด้วยความที่ญี่ปุ่นใส่หมวกเป็นวัฒนธรรมดังนั้นพนักงานขายที่ญี่ปุ่นก็จะมีความรู้เกี่ยวกับหมวกที่สามารถแนะนำลูกค้าได้เยอะกว่า เช่น การจับหมวก พนักงานจะไม่จับที่หัวหมวกแต่จะจับที่บริเวณปีกหมวกเพราะจะทำให้หมวกเสียทรงได้ พนักงานที่ญี่ปุ่นจะได้รับการเทรนมาให้สามารถอธิบายถึงจุดเด่นของสินค้าทั้งวิธีการใช้หมวกที่ถูกต้อง ฟังก์ชั่นต่างๆ ของหมวก การทำความสะอาด การใส่หมวกที่ถูกวิธีไปจนถึงวิธีการเก็บรักษาหมวก รวมทั้งสามารถแนะนำหมวกที่เหมาะกับทรงหัวของลูกค้าเพื่อให้เจอหมวกที่ใช่สำหรับเขา ก็จะแตกต่างกับในไทย อย่างแบรนด์ของเราตอนนี้ที่ยังไม่ได้เป็นร้านใหญ่ ยังอยู่ในมัลติแบรนด์ก็อาจจะยังไม่ได้มีพนักงานของตัวเองที่ได้รับการเทรนมา แต่ในอนาคตเราก็มีแผนที่จะเปิดร้านของตัวเองที่มีการเทรนพนักงานเพื่อส่งต่อข้อมูลให้ลูกค้าได้รู้ว่าจริงๆ ว่าการใส่หมวกที่ถูกต้องเป็นแบบไหน

เท : การขายหมวกในห้างญี่ปุ่นก็จะมีการคุมมาตรฐานเข้มงวดกว่า ต้องมี label เหมือนป้ายเสื้อผ้าที่ระบุว่าแบบไหนซักได้หรือไม่ได้ ใช้วัสดุอะไร ซักแบบไหน ซักมือหรือซักเครื่อง ทุกอย่างต้องผ่านการเทสต์หมดร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างในไทย สินค้าบางอย่างจะระบุแค่ว่าสินค้านี้คืออะไร ไว้สำหรับทำอะไร แต่ของญี่ปุ่นจะเป็นกฎหมายเลยว่าต้องทำการเทสต์และต้องคงสแตนดาร์ดของเขา 

นอกจากแบรนด์ซันอีฟที่ทำหมวกสำหรับผู้หญิงแล้ว คุณมองว่ามีโอกาสอะไรอีกในตลาดหมวกที่อยากทำ

เท : ความจริงเรามีทำหมวกสตรีทแฟชั่นด้วย ชื่อแบรนด์โยชินามิ ที่เน้นกลุ่มยูนิเซ็กซ์ อย่างหมวกแก็ปหรือบักเก็ต เราก็จะใส่รายละเอียดให้แตกต่างจากหมวกที่มีอยู่ในตลาด เช่น การเดินเส้น ใส่ซับใน มีดีเทลประดับด้วยดิ้นให้ดูแตกต่างจากหมวกแก็ปและบักเก็ตทั่วไป อนาคตอยากทำหมวกไฮเอนด์อีกแบรนด์หนึ่งสำหรับผู้ชายที่โตขึ้นหน่อย ให้เป็นหมวกที่สามารถใส่กับสูทได้ เช่น พวกปานามาแฮต เจาะกลุ่มลูกค้าอายุ 30-40 ปี 

คุณได้เรียนรู้อะไรในการทำงานกับชาวต่างชาติที่มีวัฒนธรรมการทำงานแตกต่างกัน 

วีนัส : สำหรับการทำงานกับญี่ปุ่น เรามีกุนซือที่คอยให้คำแนะนำคือคุณแม่ ทำให้เราพอรู้แล้วว่าตลาดญี่ปุ่นและลูกค้าญี่ปุ่นเป็นแบบไหน อะไรทำได้ไม่ได้ ความซื่อสัตย์คือที่หนึ่งของญี่ปุ่น ห้ามโกหกลูกค้าเด็ดขาด เพราะถ้าลูกค้าญี่ปุ่นเสียความเชื่อมั่นแล้ว จะเสียแล้วเสียเลยและสร้างความเชื่อใจกลับมายาก ต้องบอกตรงๆ ได้คือได้ ไม่ได้คือไม่ได้ ไม่พยายามหมกเม็ด นี่คือการทำงานกับคนญี่ปุ่น ถ้าคนญี่ปุ่นไว้ใจเราแล้วก็จะทำงานกับเรายาวๆ เป็นสายสัมพันธ์ที่ยาวนานจริงๆ ถึงทำให้เรามีทุกวันนี้ได้ อย่างช่วงโควิด-19 ที่ถึงมันจะหนักขนาดไหน แต่พอหมดผ่านไปแล้วลูกค้าก็กลับมา

สำหรับการทำงานกับคนรักซึ่งเป็นคนจีน ช่วงแรกเราจะทะเลาะกันบ่อยมาก เพราะต่างคนต่างมีความคิดของตัวเอง คิดว่าไอเดียของตัวเองดีแล้ว ความคิดก็ชนกันแล้วก็ทะเลาะกัน แต่สุดท้ายพอมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคืออยากทำให้บริษัทโตขึ้นก็มานั่งปรับความเข้าใจกัน ก็โชคดีที่ว่าพื้นฐานเราเป็นครอบครัวคนจีนเหมือนกัน ก็ยังมีความใกล้เคียงกันและปรับกันง่าย

ในการต่อยอดธุรกิจครอบครัวและทำงานกับคนรัก คุณมีเคล็ดลับบริหารความสัมพันธ์ยังไงให้ราบรื่น

วีนัส : สิ่งที่สำคัญมากคือต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน ต้องมีการแบ่งหน้าที่และให้ power ซึ่งกันและกัน ไม่มีใครเก่งกว่าใคร เคารพการตัดสินใจของกันและกัน ถ้าในมุมของวีนัสที่เติบโตมา 30 ปีพร้อมๆ กับบริษัท ได้เห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าบริษัทเป็นยังไง ซึ่งพอมาทำต่อจริงๆ เราได้เรียนรู้ว่า เราจะคิดว่าเราเป็นลูกเจ้าของธุรกิจไม่ได้เพราะการทำงานในแต่ละขั้นตอน มีคนที่เก่งกว่าและทำมามากกว่าเรา เราต้องรับฟังเขาแล้วเอามาปรับจูนกันเพื่อหาผลลัพธ์ที่ดีที่สุด 

อย่างเช่นในช่วงแรกเราก็ทะเลาะกับคุณแม่บ้างเพราะด้วยความเป็นครอบครัวเดียวกัน ความเกรงใจก็จะน้อยกว่า แต่เมื่อผ่านการทำงานมาแล้ว ก็ต้องปรับมุมมองการทำงานว่า จริงๆ มันคือเจ้านายกับลูกน้อง แม่เป็นเจ้าของธุรกิจที่ผ่านประสบการณ์ทำงานมากกว่าเรา เชี่ยวชาญกว่าเรา เราต้องเคารพทุกการตัดสินใจและการบริหารของเขา ความเป็นครอบครัวยังมีอยู่เหมือนเดิมเมื่อตอนเรากลับบ้าน แต่ถ้าอยู่ในที่ทำงานเราต้องให้ความเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกันในบทบาทการทำงานด้วย  


What I’ve Learned
1. Diversification พัฒนาสินค้าใหม่ในตลาดใหม่โดยใช้จุดแข็งเดิมของโรงงานหมวกที่โดดเด่นอยู่แล้วในด้านการผลิต
2. Focus on Quality, Not War Price เน้นคุณภาพทำให้ไม่ต้องกระโดดไปแข่งในสงครามราคา 
3. Know-How from the Best Sources อิงความรู้และมาตรฐานจากประเทศที่เป็นสุดยอดของสินค้าหมวดนั้น

คุยกับ ‘หงส์ไทย’ ยาดมกระปุกเขียวที่ยืนระยะด้วยคุณภาพและขาดตลาดเพราะลิซ่า BLACKPINK

‘วิธีดมยาดมที่ถูกต้อง… ถ้าเราจะดมด้วยจมูกข้างขวา ให้ใช้นิ้วชี้ และนิ้วโป้งปิดข้างซ้าย ทีนี้เวลาเราดม สูดขึ้นไปสักปื้ดมันก็จะขึ้นสมอง และทำให้จมูกเราโล่ง’

ประโยคข้างต้นคือเทคนิควิธีใช้ยาดมที่ ‘เก่ง–ธีระพงศ์ ระบือธรรม’ ผู้ก่อตั้งและเจ้าของบริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด วัย 47 ปี บอกกับเราอย่างอารมณ์ดีในวันที่เราไปเยือนออฟฟิศสำนักงานใหญ่ที่อยู่ติดริมถนนย่านพุทธมณฑลสาย 2 

ยาดมหงส์ไทย หรือที่ใครๆ เรียกติดปากว่า ‘ยาดมกระปุกเขียว’ เติบโตมาแล้ว 17 ปี โดดเด่นตั้งแต่บรรจุภัณฑ์ กลิ่นหอมของสมุนไพรที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นอีกตัวช่วยที่เราเชื่อว่าใครหลายคนในที่นี้มีติดตัวแน่ๆ 

จากจุดเริ่มต้นอย่างทุลักทุเล ก่อนจะเติบโตมาจนทุกวันนี้ วันที่ยาดมหงส์ไทยมีรายได้หลักหลายสิบล้าน และเผลอๆ ในปีนี้น่าจะแตะหลักร้อยล้าน มีสินค้าภายใต้แบรนด์หงส์ไทยมากกว่า 50 แบบ และจากที่ผลิตสินค้าได้ไม่เท่าไหร่ ตอนนี้สามารถผลิตสินค้าได้ราว 300,000 ชิ้นต่อเดือน แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค

อะไรคือส่วนผสม เคล็ดลับความสำเร็จของแบรนด์หงส์ไทยที่กำลังฮิตอยู่ตอนนี้ ฮอตฮิตชนิดที่ว่าศิลปินระดับโลกอย่าง ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ยังมียาดมหงส์ไทยติดตัว จนพลอยทำสินค้าขาดตลาดเพราะแฟนๆ แห่ไปซื้อตาม

ขอชวนไปส่องดูสูตรความหอมของยาดมหงส์ไทยกระปุกเขียวไปพร้อมๆ กัน

เริ่มต้นพบพรสวรรค์การขาย

วันที่เราพบเจอกัน ธีระพงศ์บอกกับเราว่าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด อีกไม่เกิน 2 ปีน่าจะได้เห็นโรงงานพื้นที่ขนาด 1 ไร่ พร้อมเครื่องจักรที่มีความเป็นมาตรฐานมากขึ้นของแบรนด์หงส์ไทย ซึ่งตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสำนักงานใหญ่ที่เรากำลังอยู่นี้

โดยก่อนหน้าที่เขาจะเดินทางมาพูดคุยกับเรา เขาเดินทางไปดูพื้นที่ของโรงงานใหม่เรียบร้อยแล้ว

ก่อนที่ภาพอนาคตของหงส์ไทยจะฉายชัดขึ้น ธีระพงศ์เริ่มพาเรานั่งไทม์แมชชีนย้อนไปในอดีต ภาพเก่าๆ ในหัวค่อยๆ พรั่งพรูออกมาเป็นบทสนทนาที่เต็มไปด้วยรสชาติของชีวิตแห่งการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลง

สูตรการทำธุรกิจของหงส์ไทยที่เขาเล่าไม่มีในตำราเล่มใด ทุกอย่างเกิดจากการเรียนรู้ ลอง และพัฒนาไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้ง

“เราไม่ได้เรียนหนังสือ สูตรการทำธุรกิจจึงไม่ได้มีตำรา ไม่มีต้นสายปลายเหตุ แนวการทำธุรกิจของเราเลยอาจจะแปลกๆ หน่อย บางคนบอกมันจะเป็นไปได้เหรอ แต่ทุกวันนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้ว หงส์ไทยทำธุรกิจไปสุด และเดินทางมาถึงเส้นเหมือนกัน”

ในชีวิตคนเราคงไม่มีใครที่จะล่วงรู้ได้ว่าเราควรจะเริ่มต้นสร้างแบรนด์ของตัวเองตอนไหน สำหรับยาดมแบรนด์หงส์ไทยเองก็เช่นกัน

ย้อนกลับไป ธุรกิจยาดมหงส์ไทยของธีระพงศ์เป็นรูปเป็นร่างตอนที่เขาอายุสามสิบ แต่ก่อนหน้านั้นเขาผ่านสารพัดประสบการณ์มาอย่างทุลักทุเล เจอทั้งเรื่องดีที่เอามาใช้กับการทำธุรกิจหงส์ไทยจนถึงปัจจุบัน ส่วนเรื่องร้ายที่เจอก็เก็บเป็นประสบการณ์สอนให้ขึ้นใจ พร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ทันท่วงที

“เส้นทางชีวิตของผม ผมออกมาช่วยเหลือที่บ้านตั้งแต่อายุ 13 ปี เห็นพ่อขับแท็กซี่ทำงานคนเดียว เลี้ยงลูก 6 คน เราเห็นภาพซ้ำๆ ของครอบครัว ช่วงสุดท้ายของชีวิตการเรียนชั้นประถมกลายเป็นช่วงที่เราเข้าใจในการใช้ชีวิต เราถามกับตัวเองว่าถ้าเราไม่เรียน แล้วออกมาช่วยที่บ้านจะดีกว่าไหม จนตัดสินใจไม่เรียน ม.1 อย่างน้อยก็แบ่งเบาภาระ หาประสบการณ์ทำงานเทียบไป”

อายุ 13 กับการหางานไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนนั้นไม่ง่าย ธีระพงศ์ตระเวนไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับเพราะอายุไม่ถึง จนมีคนรู้จักแนะนำให้เขาไปทำงานเป็นพนักงานหยิบของในร้านอิเล็กทรอนิกส์ย่านบ้านหม้อ ประสบการณ์การทำงานที่แรกติดตัวธีระพงศ์จนถึงทุกวันนี้กับการทำธุรกิจแบบครอบครัว

ทำงานเป็นเมสเซนเจอร์ที่โรงพิมพ์ ทำงานถ่ายภาพ ทำโบรชัวร์ และตัดสินใจไปอยู่วัด 1 เดือน ที่เราพูดทั้งหมดนี้ ธีระพงศ์ล้วนทำมาหมดแล้ว

จุดเริ่มต้นที่เปลี่ยนชีวิตที่ทำให้ธีระพงศ์ค้นพบพรสวรรค์ในการขาย การพูด และเริ่มธุรกิจขายแคบหมูและน้ำพริกฝากขายตามร้านโชห่วยคือตอนที่เขาติดทหาร

“เราโดนให้ไปอยู่ร้าน PX ซึ่งเป็นร้านค้าของกองร้อย และต้องทำยอดขายให้ได้มากกว่าคนเก่า คนเก่าทำไว้ 1,200 บาท เราเข้าไปทำก็กลายเป็น 6,000 บาท, 8,000 บาท เยอะสุดก็ 30,000 กว่าต่อเดือน ถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในตอนนั้น

“หลังออกจากทหารเราก็ทำธุรกิจขายแคบหมู ฝากขายตามร้านโชห่วย แม้ธุรกิจแคบหมูและน้ำพริกจะไปได้ดีในช่วงแรก แต่ทว่าธุรกิจก็ค่อยๆ ดิ่ง เราก็เลยรู้สึกว่าแล้วจะยังไงต่อ ก็เลยไม่รู้จะทำอะไร เลยอ่านหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ไปอ่านเจอมุมสร้างอาชีพสอนทำพิมเสนน้ำ เราก็ไปลงคอร์ส และเริ่มลองทำพิมเสนน้ำขายแทนแคบหมูในช่วงปี 2542 ตอนทำขายแรกๆ ก็ยังไม่ตอบโจทย์ ไม่สำเร็จเท่าไหร่ เราก็เปลี่ยนอาชีพไปทำสารคดี และทำพิมเสนน้ำอยู่บ้าง”

หลังเลิกล้มไปในช่วงแรกตอนยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ทำให้ธีระพงศ์กลับมาวางแผนธุรกิจอีกครั้ง 

ครั้งนี้เขาไม่ฝากขายสินค้ากับร้านโชห่วย แต่ทำพิมเสนน้ำวางขายในปั๊มน้ำมันแทน แม้จะจับทางถูก ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่ทว่าคู่แข่งที่มีมากขึ้นและตัดราคากันก็ทำให้ไปไม่รอด

ไม่เพียงแค่พิมเสนน้ำของธีระพงศ์ที่ไปไม่รอด แต่ทั้งตลาดตอนนั้นก็ไม่รอดเช่นกัน

“ช่วงนั้นขายดีมากๆ เกิดการตัดราคากัน เจ้านั้นส่ง 25 เจ้านี้ส่ง 20 ส่วนเจ้าโน้นก็ตัดเหลือ 15 บาท ลูกค้าที่เคยสั่งกับเราก็ถามเราหว่าส่งได้ไหมในราคานี้ เราลองเอามาดูว่าเขาทำยังไง สรุปว่าคุณภาพไม่มี ถามว่าเราทำให้ได้ไหม ทำได้นะ แต่ต้องไปลดสเปก ลดคุณภาพ เลือกต้นทุนต่ำ แต่จะให้ผมทำผมไม่ทำนะ ทำไปลูกค้าก็ใช้ไม่ได้ ที่สุดตลาดก็ค่อยๆ ซาลงเพราะของไม่มีคุณภาพ”

กลับมาอย่างเต็มภาคภูมิด้วยชื่อหงส์ไทย

หลังจากห่างหายจากวงการพิมเสนน้ำไป 2 ปี เขากลับมาสู่การทำธุรกิจนี้อีกครั้งด้วยคำพูดจุดประกายที่รอมาทั้งชีวิตจากลูกค้าที่แวะเวียนมาถามหาสินค้าตลอดช่วงที่หายไป

“หายไปไหนมา ยังมีลูกค้ามาตระเวนหาพิมเสนน้ำของเราอยู่เลยนะ” ธีระพงศ์เล่าด้วยความตื่นเต้นหลังจากแวะกลับไปที่ปั๊มน้ำมันที่เคยเอาพิมเสนน้ำไปวางขาย

และประโยคที่จุดประกายความหวังที่เขารอคอยมาทั้งชีวิต คือคำพูดของลูกค้าที่แวะเวียนมาตามหาพิมเสนน้ำของหงส์ไทยตลอดช่วงเวลาหายไป ที่บอกว่า “เผื่อน้องเขามาส่ง”

เพราะเอาเข้าจริงคงไม่มีใครคอยและตามหาสินค้าที่หายไปจากตลาดแล้วหลายปี

คำหนึ่งที่ธีระพงศ์นึกขึ้นได้ในใจหลังจากนั้นคือ ‘นี่แหละทำอะไรดีๆ แล้วไม่มีวันตาย’ นั่นคือสิ่งที่หงส์ไทยสะสมมา คือคุณภาพและการไม่เอาเปรียบใคร 

ปี 2549 คือการกลับมารอบใหม่ และยาดมหงส์ไทยกระปุกสีเขียวก็ถือกำเนิดขึ้น

“ส่วนชื่อหงส์ไทย ได้มาจากตอนที่เราไปทำงานสารคดี ลงไปที่ภูเก็ตครั้งแรกเจอรูปปั้นหงส์ระหว่างทาง คิดว่าหงส์ตัวนั้นสวยมาก เวลาเดินทางไปทำงานที่ภูเก็ตครั้งไหนๆ เลยเฝ้ามองตลอด พอมาทำพิมเสนน้ำ ตอนจะตั้งชื่อเลยนึกถึงหงส์ตัวนั้น ก็เลยตั้งชื่อแบรนด์ว่าหงส์ไทย”

การกลับมารอบใหม่ของหงส์ไทยครั้งนี้ธีระพงศ์ตั้งใจทำสินค้าชิ้นใหม่ที่ดีกว่าเดิม ทำพิมเสนน้ำเหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมคือถ้าลูกค้าต้องการสินค้าแบบไหน หงส์ไทยก็จะพยายามไปเรียนรู้ ศึกษาพัฒนามาให้ได้ ทำการขายด้วยการเดินขายในตลาดเพื่อเก็บข้อมูล และพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากที่สุด 

ธีระพงศ์ทำทุกอย่างเองตั้งแต่ต้นจนจบทั้งตั้งชื่อ โลโก้ แพ็กเกจจิ้ง พัฒนาสินค้า ถ้าจะบอกว่าหงส์ไทยมีสินค้าเยอะและหลากหลายที่สุดเจ้าหนึ่งในวงการเลยก็ว่าได้ 

“จากเดินขายในช่วงแรก เก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ คนซื้อไปใช้บอกปากต่อปาก จนกลายเป็นที่นิยม จนมาวันนี้เราก็แทบไม่ได้เดินขายแบบเดิมอีกแล้ว แต่สินค้าของหงส์ไทยสามารถซื้อได้ที่ร้านสมุนไพร ร้านสะดวกซื้อ หรือตัวแทนของเราที่มีทั่วประเทศ”

ขาดทุนได้ แต่ต้องไม่ลดคุณภาพ

จากที่มีตึกไม่กี่คูหา มาตอนนี้สำนักงานใหญ่ของแบรนด์หงส์ไทยเป็นตึกออฟฟิศสีเขียวเรียงติดกันหลายสิบคูหา และยังมีสำนักงานสาขากระจายไปหลายแห่ง

จากที่ผลิตสินค้าได้วันละสิบ วันละร้อยชิ้น ตอนนี้มีกำลังผลิตยาดมกระปุกเขียวมากถึงเดือนละ 300,000 ชิ้น

หลักการทำธุรกิจโดยปกติทั่วไปต้องคิดถึงต้นทุน ทำแล้วมีกำไร แต่วิถีการทำธุรกิจของธีระพงศ์กลับไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะเขาเชื่อว่าการพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคคือสิ่งที่ควรทำที่สุด 

ทำออกมาขายแล้วขาดทุนได้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องไม่ลดคุณภาพ

“เมื่อเราพัฒนาสินค้าให้ดีขึ้น เท่ากับว่ากำไรยิ่งน้อยลง เราพัฒนาขึ้นไปอีก กำไรก็น้อยลงไปอีก ถ้าคุณพัฒนาแล้วกำไรมากขึ้น นั่นแปลว่าผู้บริโภคเหลือคุณภาพน้อยลง หงส์ไทยไม่ทำแบบนั้น 

“อย่างสินค้าที่วางขายในตอนนี้มี 5 ผลิตภัณฑ์ที่ทำแล้วขาดทุนตั้งแต่วางขายเลย แต่เราก็เลือกที่จะทำและวางขาย แม้สินค้าทั้งห้าตัวนี้จะขาดทุน แต่เมื่อรวมกับทั้งหมดที่เรามีหักลบกันแล้ว เราก็แค่กำไรน้อยลงเท่านั้นเอง”

หงส์ไทยเลือกที่จะแตกต่าง และพัฒนาจุดยืนเรื่องคุณภาพมาตั้งแต่ต้น ไม่อยู่ในตลาดที่เป็นตัวเลือกและแข่งขันเรื่องราคา แต่ออกมายืนนอกตลาด และทำตลาดของหงส์ไทยเองที่เมื่อลูกค้ามาซื้อแบรนด์หงส์ไทยแล้ว จะไม่กลับไปซื้อแบรนด์อื่นในตลาดอีก

“ที่เราเกิดและเติบโตในยุคนี้ เราเชื่อว่าเพราะเราคิดต่างทั้งระบบ ถ้าเราไม่ให้ใจกับผู้บริโภค คุณก็ไม่มีวันได้ใจผู้บริโภคหรอก

“เรารู้แล้วว่าผู้บริโภคใช้แล้วถูกใจ แต่ถูกใจอย่างเดียวไม่พอ ต้องกลับมาซื้อใหม่ กลับมาซื้อใหม่อย่างเดียวก็ไม่พอ ต้องมาซื้อตลอด เราจะทำยังไงให้กระบวนการตรงนี้เกิดกับผู้บริโภค”

พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง

เชื่อว่าใครที่เคยใช้ยาดมหงส์ไทย หรือตอนนี้มียาดมกระปุกเขียวอยู่ในมือ ลองหยิบขึ้นมาดมดูก็จะรู้ว่ายาดมหงส์ไทยมีกลิ่นที่แตกต่าง

กลิ่นที่แตกต่างของหงส์ไทยนี้ธีระพงศ์บอกกับเราว่า มาจากการพัฒนาที่หงส์ไทยสามารถหาค่ากลางของกลิ่นได้ ทำให้ยาดมของหงส์ไทยใช้ได้กับคนทุกวัย 

ถ้าถามว่าหงส์ไทยพัฒนามากแค่ไหนละก็ ที่เห็นสินค้าที่วางเรียงรายอยู่หน้าเรานี้ ทั้งพิมเสน ยาดม ยานวด ยาหม่อง สเปรย์แอลกอฮอล์สมุนไพร และอีกมากมาย ถูกพัฒนาทั้งหมดรวมกันไม่ต่ำกว่า 500 รอบ 

“เราพัฒนามาตลอด เมื่อลูกค้าตำหนิกลิ่นไม่หอม ตำหนิอะไรมาเราก็เอามาปรับปรุง เราไม่หยุดพัฒนาเลย กลิ่นเป็นศาสตร์ เมื่อเราหาค่ากลางได้ ทำให้ยาดมหงส์ไทยเป็นยาดมที่ทุกกลุ่มดมได้ยาดมกระปุกสีเขียวเป็นกลิ่นสากล กระปุกสีเหลืองเป็นกลิ่นเฉพาะ ส่วนกระปุกสีขาวกลิ่นมาตรฐาน ทุกอย่างพัฒนาแล้วกลิ่นต้องดีกว่าเดิม”

ยาดมหงส์ไทยกระปุกสีเขียวที่ขายดีที่สุดก็พัฒนากลิ่นมาแล้วมากกว่า 30 รอบ 

เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ขวบปีที่ 17 ของแบรนด์หงส์ไทยพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคำตอบของการทำธุรกิจคือคุณภาพ แต่กว่าจะเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ในช่วงขวบปีแรกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน ธีระพงศ์บอกว่าหงส์ไทยปัญหาเจอมาเยอะ 8 ปีแรกเจอมรสุมเรื่องคน เจอภาวะสมองไหล พนักงานเข้าๆ ออกๆ กว่าจะแก้ปัญหาได้ก็ใช้เวลาหลายปีจนวันนี้หงส์ไทยแข็งแกร่งเพราะผ่านมรสุมมาทุกยุค

พนักงานจาก 20 คน ตอนนี้มีกว่า 200 คน และปีนี้น่าจะมีพนักงานถึง 300 คน

รายได้หลักหลายสิบล้าน ก็น่าจะแตะถึงหลักร้อยล้านแน่ๆ

ธีระพงศ์บอกว่าตอนนี้กำลังเข้าสู่ยุคที่ 7 ของเขา นั่นคือยุคที่หงส์ไทยพร้อมที่จะขึ้นไปยืนอยู่ในท็อป 10 ของตลาดยาดมในไทย พร้อมกับขยายใหญ่ที่ตั้งเป้าไม่เกินปี 2568 จะต้องมีโรงงานที่มีมาตรฐานมากขึ้นกว่าเดิม ที่ตอนนี้กำลังเป็นรูปเป็นร่างแล้ว 

และเมื่อต่างชาติมาเที่ยวประเทศไทย แล้วจะซื้อของกลับไปฝากสักชิ้นหนึ่ง หนึ่งในนั้นต้องเป็นสินค้าแบรนด์หงส์ไทย 

ก่อนที่จะถึงภาพที่วาดฝันไว้ในอนาคตนั้น ตอนนี้ธีระพงศ์พาเราขึ้นไปชั้นสองและสามของตึก ลัดเลาะไปดูถึงขั้นตอนการทำยาดมกระปุกสีเขียวตั้งแต่แพ็กเกจจิ้ง แปะสติ๊กเกอร์ บรรจุสมุนไพร ไปจนปิดซีลพร้อมส่งขาย ที่ทุกขั้นตอนล้วนแล้วแต่ทำด้วยคำว่าคุณภาพ 

“ยิ่งใช้ ยิ่งนาน ยิ่งหอม กลายเป็นซิกเนเจอร์ของยาดมหงส์ไทย และหากไม่หอมให้เอาไปตากแดด 

“ใช้นานได้นับปีถ้าไม่ทำหายก่อน” ธีระพงศ์ปิดท้ายบทสนทนา

‘แตกต่าง ปรับตัว’ ความเชื่อของ ‘นวกาญจน์โลหะชลบุรี’ ที่อยากพัฒนาเมืองด้วยฝาท่อมีดีไซน์

เวลาเดินตามท้องถนนในไทย เชื่อว่าสิ่งที่หลายคนโฟกัส ถ้าไม่ใช่วิวด้านหน้าและวิวสองข้างถนนที่เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวาง ก็คงเป็นฟุตพาทที่สมบูรณ์บ้างไม่สมบูรณ์บ้าง ชวนให้สะดุดล้มอยู่ร่ำไป 

กลับกัน ถ้าใครเคยมีโอกาสไปเยือนแดนอาทิตย์อุทัยอย่างญี่ปุ่น ‘ฝาท่อ’ ตามท้องถนนกลับเป็นสิ่งที่ดึงความสนใจของนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติได้เสมอ ฝาท่อสีสันสดใสและสะท้อนอัตลักษณ์ของแต่ละเมืองไม่เพียงสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่ยังถือเป็นการสร้างเมืองแสนน่าอยู่ให้เจ้าของพื้นที่ 

“ทำไมเมืองไทยไม่มีแบบนี้บ้าง” เช่นเดียวกันกับหลายคน ‘แคท–อัชฌาวดี เจียมบรรจง’ ก็สงสัยแบบนั้น แต่ความพิเศษคือเธอเป็นทายาท ‘นวกาญจน์โลหะชลบุรี’ โรงงานทำฝาท่อระบายน้ำ 1 ในไม่ถึง 20 แห่งของไทย จากความสงสัยจึงกลายเป็นแพสชั่นและความอยากทดลอง

จากฝาท่อชิ้นแรกๆ ที่ร่วมพัฒนากับอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีที่โคราช สู่ฝาท่อสีพาสเทลที่สยามสแควร์ตาม Concept Siam Smart City ปัจจุบันนี้เธอยังมีโอกาสร่วมทำฝาท่อให้กับงาน Isan Creative Festival 2023 ที่จัดขึ้นที่จังหวัดขอนแก่น ความน่าสนใจคือฝาท่อทั้ง 3 ตัวที่เธอนำไปจัดแสดงในงานนี้เป็นฝาท่อ AR แรกของไทย 

เธอและพี่ชายอย่าง ‘ภูริทัต เจียมบรรจง’ ไม่เพียงเข้ามาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบภายในโรงงานของคนรุ่นพ่อแม่ให้ดีกว่าเดิม แต่ยังจริงจังกับเรื่องดีไซน์และเทคโนโลยีเพื่อทำให้ฝาท่อไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก นอกจากสร้างเอกลักษณ์ให้ต่างจากโรงงานทำฝาท่อด้วยกันแล้ว สำหรับตัวแคทเองฝาท่อไม่ได้เป็นสิ่งที่ต้องใช้ในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพียงอย่างเดียว แต่การที่เธอยังเข้าไปเป็นส่วนเล็กๆในการลงพื้นที่กับชุมชนจึงเห็นว่า ฝาท่อมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาเมืองไปเป็น creative city และ smart city ในอนาคตได้อย่างมาก

ย้อนกลับไป โรงงานฝาท่อนวกาญจน์เกิดขึ้นได้ยังไง

จริงๆ ต้องย้อนกลับไปรุ่นคุณปู่ที่เสื่อผืนหมอนใบมาจากเมืองจีน หลังจากเข้าไปทำงานในโรงงานต่างๆ ย้ายไปจังหวัดโน้นจังหวัดนี้ ท่านก็กลับมาตั้งโรงงานหล่อเหล็กที่ชลบุรี ปัจจุบันเราใช้เตาไฟฟ้าในการหลอมเหล็ก แต่สมัยก่อนนั้นยังใช้เตาถ่านหินอยู่เลยนะ 

พอมารุ่นคุณพ่อคุณแม่ช่วงแรกๆ ท่านก็ยังทำงานหล่อเหล็กหลายแบบ ทั้งชิ้นส่วนเครื่องจักร ชิ้นส่วนไฮโดรลิก ป้ายถนนอะไรก็ทำ แต่สัก 15 ปีที่ผ่านมา โรงงานเราเพิ่งมาโฟกัสฝาท่อกับตะแกรงเหล็กเพราะมองว่าประเทศไทยกำลังพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นการขยายโครงสร้างพื้นฐาน เช่น งานถนน งานระบบสาธารณูปโภค มันเป็นโครงการที่ไม่มีวันจบอยู่แล้ว 

แล้วตลาดฝาท่อในตอนนี้มันเป็นแบบที่คุณพ่อคุณแม่คาดไว้จริงไหม

จริงนะ เพียงแต่ว่ามันเป็นธุรกิจที่ไม่ได้มีลูกค้าหลากหลายมากนัก แต่เดิมจะวนๆ อยู่ที่ภาครัฐเสียส่วนใหญ่ และแต่ละโรงงานก็จะผลิตสินค้าได้เหมือนๆ กันตามสเปกที่ภาครัฐกำหนด

แม้ทั้งประเทศไทยจะมีโรงงานที่เชี่ยวชาญการทำฝาท่อโดยเฉพาะประมาณ 20 โรงงานเท่านั้น ถือเป็นธุรกิจที่ niche มาก ไม่ใช่ธุรกิจที่คนทั่วไปจะเข้ามาทำ แต่ความที่เราประมูลงานกันด้วยราคา ลูกค้าหลายเจ้าก็จะใช้บริการโรงงานเดิมๆ เพราะเขาไม่รู้ว่ามีโรงงานอื่นอยู่ อีกอย่างเราเองไม่ใช่เจ้าใหญ่ในตลาดนี้ ธุรกิจนี้มันเลยแข่งขันกันดุเดือดจนแทบจะเป็น red ocean เลยก็ว่าได้

เป็นเหตุผลที่คุณและพี่ชายต้องทำฝาท่อสีขึ้นมา

ใช่ ฝาท่อมันก็เป็นธุรกิจที่ไปต่อได้อีก แต่ในเมื่อทุกโรงงานมีจุดร่วมเดียวกันคือ ฝาท่อที่เน้นการใช้งานที่มีคุณภาพ ถ้าเราอยากโดดเด่นเราต้องหา blue ocean ใหม่ๆ ของตัวเอง เราต้องทำสิ่งอื่นที่คนอื่นไม่ทำ เราเลยต้องกล้าที่จะแตกต่าง และคิดว่า ศิลปะการดีไซน์และเทคโนโลยีนี่แหละที่จะทำให้เราโดดเด่นจากที่อื่น และเป็นที่จดจำมากขึ้น 

กว่าจะเป็นฝาท่อที่เน้นงานดีไซน์ ฝาท่อในรุ่นคุณพ่อคุณแม่เป็นแบบไหน

สมัยคุณพ่อก็เป็นแค่ฝาท่อกลมๆ เหลี่ยมๆ แบบที่เราเห็นในปัจจุบันนั่นแหละ เราจะทำทั้งฝาท่อระบายน้ำ ฝาซ่อมบำรุงที่เขาเปิดเข้าไปเพื่อซ่อมบำรุงระบบข้างใน ถ้าฝาท่ออยู่ตรงถนนก็ต้องคำนึงเรื่องการรับน้ำหนักด้วย เช่น ถนนเลี่ยงเมืองที่สิบล้อวิ่งเยอะกับถนนธรรมดาทั่วไปที่มีแค่คนเดินเท้า น้ำหนักและรายละเอียดก็จะไม่เหมือนกัน 

เรียกว่าเป็นฝาท่อที่ผลิตเพื่อการใช้งานล้วนๆ 

ตอนไหนที่คุณอยากเห็นฝาท่อที่รุ่นพ่อแม่ทำมาแตกต่างไปจากเดิม

เราอยู่กับฝาท่อมาตั้งแต่เด็ก ตอนแรกเราก็มองฝาท่อเหมือนกับคนทั่วไปนี่แหละ และคิดว่าถ้ากลับมารับช่วงต่อก็คงจะทำให้ดีเหมือนเดิม จนกระทั่งเราไปเห็นฝาท่อสีๆ ดีไซน์น่ารักๆ ของญี่ปุ่น มันเลยเป็นหนึ่งในความฝันของเราตั้งแต่มาทำธุรกิจของครอบครัวว่า  อยากเห็นประเทศไทยมีฝาท่อสีๆ ที่มีดีไซน์น่ารักแบบนั้น

เราเลยไปเข้าร่วมโครงการ ITAP ของกระทรวงวิทยาศาสตร์ที่ภาครัฐจะให้งบประมาณส่วนหนึ่งในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และทำงานร่วมกับอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหล่อเหล็ก เราลองผิดลองถูกว่าสีแบบไหนจะเกาะกับเนื้อเหล็ก สีแบบไหนทนแดดทนฝนบ้านเรา เพื่อสีจะอยู่ได้นานๆ เพราะเราเองก็ไม่ได้มี know-how การผลิตจากญี่ปุ่น 

ทดลองอยู่ประมาณ 6 เดือนก็สำเร็จเป็นฝาท่อดีไซน์ตัวแรกที่ติดอยู่ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีที่อาจารย์ประจำอยู่ จากนั้นก็เริ่มได้งานชิ้นแรกจาก PMCU จุฬาฯ ที่ต้องการพัฒนาพื้นที่สยามสแควร์

หลังจากโปรเจกต์แรก ชื่อของนวกาญจน์เป็นที่พูดถึงเลยไหม

ตอนนั้นฝาท่อดีไซน์มันยังไม่ได้บูมในไทยเพราะคนยังไม่ได้เห็นมาก แล้วตอนที่เราทำโปรเจกต์กับจุฬาฯ มันก็มีโปรเจกต์พัฒนาคลองโอ่งอ่างของรัฐที่นำเข้าฝาท่อดีไซน์จากญี่ปุ่นเข้ามาเพราะเขาไม่รู้ว่าประเทศไทยผลิตเองได้แล้ว 

เรียกว่าจากโปรเจกต์พัฒนาคลองโอ่งอ่าง คนก็เริ่มให้ความสนใจเรื่องการพัฒนาและปรับภูมิทัศน์เมืองกันมากขึ้น แต่โควิดเข้ามาซะก่อน โปรเจกต์หลายอย่างจึงต้องหยุดไป กระทั่งปัจจุบัน กระแสพัฒนาเมืองยิ่งกลับมาอีกครั้ง บวกกับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอย่างท่านชัชชาติให้ความสนใจด้านนี้ด้วย เราจึงเริ่มมีโอกาสทำงานมากขึ้น

พอฝาท่อดีไซน์เริ่มเป็นกระแส โรงงานอื่นๆ เริ่มหันมาทำฝาท่อดีไซน์บ้างหรือยัง

เริ่มมีขึ้นมาเรื่อยๆ แต่การที่เราเป็นเจ้าแรก พอคนพูดถึงฝาท่อดีไซน์ เขาก็จะนึกถึงเรา แต่การเป็นเจ้าแรกก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะหยุดพัฒนาได้นะ 

จากแต่เดิมที่รุ่นคุณพ่อคุณแม่เน้นฟังก์ชั่น เราเริ่มเข้ามาใส่ดีไซน์ ตอนนี้เราก็เพิ่มคุณค่าให้ฝาท่อดีไซน์ด้วยการใส่เทคโนโลยีลงไป อย่างการแข่งขันฟุตบอลระหว่างแมนยูฯ กับลิเวอร์พูลที่สนามราชมังฯ เราก็ได้ทำฝาท่อที่มีคิวอาร์โค้ดที่สแกนแล้วแสดงข้อมูลโปรโมตงานให้กับการกีฬาแห่งประเทศไทย

พอทำคิวอาร์โค้ดได้แล้ว ล่าสุดเราได้มีโอกาสทำฝาท่อ AR ให้งาน Isan Creative Festival 2023 ซึ่งถือเป็นฝาท่อ AR ชิ้นแรกในไทย

โปรเจกต์ที่ว่าเกิดขึ้นได้ยังไง

จริงๆ เราเคยทำ pilot ของฝาท่อ AR ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีไปแล้ว แต่มันยังไม่ถูกนำมาใช้จริง ด้วยความที่เราสนใจและอยากทำโปรเจกต์นี้มากๆ ที่ผ่านมาเลยพยายามตามหาคนที่เชี่ยวชาญและทำเรื่อง AR ซึ่งมีไม่กี่คนในไทย และเราก็เพิ่งจะรู้จักเขาไม่นานมานี้ 

บังเอิญว่าเขาก็เป็นคนขอนแก่น และเคยทำงานร่วมกับ CEA ขอนแก่นอยู่แล้ว บวกกับขอนแก่นเป็นเมืองต้นแบบ smart city ในไทย และกำลังจะจัดงาน Isan Creative Festival พอดี มันจึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมมากๆ ในการพัฒนาฝาท่อ AR นี้ให้เกิดขึ้นจริง เราซึ่งเป็นพาร์ตเนอร์กับ CEA ขอนแก่นอยู่แล้วจึงเสนอไอเดียให้ทำฝาท่อ AR ในเทศกาลครั้งนี้

การทำงานจะเป็นการที่ CEA ขอนแก่นช่วยประสานให้นักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นมาช่วยออกแบบเพราะเขาย่อมคุ้นเคยกับจังหวัดตัวเองมากกว่าเราอยู่แล้ว จากผลงานทั้งหมด 18-19 ชิ้น กรรมการก็คัดเลือกให้เหลือ 6 ชิ้น จากนั้นก็นำงานออกแบบโพสต์ลงสื่อโซเชียลมีเดียเพื่อให้ประชาชนทั่วไปช่วยกันโหวต จนเหลือ 3 ชิ้นสุดท้ายที่เรานำมาพัฒนา และผลิตเป็นฝาท่อ AR จริง

ภาพใน AR แต่ละชิ้นจะเป็นภาพขอนแก่นในอนาคตที่ขอนแก่นอยากจะพัฒนา มีทั้งรถไฟ สถานีรถไฟ และป้ายบอกทาง ความสนุกคือคนที่เล่นสามารถเข้าไปอยู่ในภาพ AR หรือถ่ายรูปกับ AR ที่เราทำขึ้นได้ เหมือนเวลาเล่นเกม Pokémon Go

ทั้งหมดนี้ใช้ระยะเวลาไม่ถึง 3 เดือนซึ่งถือว่ากระชั้นชิดมาก

ในเมื่อระยะเวลาบีบขนาดนี้ ทำไมคุณไม่เลือกออกแบบและจบงานทุกอย่างด้วยตัวเอง 

จริงๆ แล้วถ้าทำฝาท่อให้ง่ายมันทำได้ แค่จ้างกราฟิก จ้างดีไซเนอร์ก็จบได้ภายใน 1 เดือน แต่เราไม่ได้อยากทำแบบนั้น เราไม่ได้เป็นแค่คนขายฝาท่ออย่างเดียว แต่เป็น co-creation ที่อยากมีส่วนร่วมกับชุมชน รวมถึงอยากให้ชุมชนมีส่วนร่วมกับเมืองของเขา เพราะถ้าชุมชนมีส่วนร่วมมากเท่าไหร่ เขาจะยิ่งรู้สึกภูมิใจ และเป็นส่วนนึงของเมืองของเขามากขึ้นเท่านั้น และจะยิ่งอยากมีส่วนร่วมในการพัฒนาเมืองมากกว่าเดิม

ในมุมของเอกชน ฝาท่อดีไซน์มันอาจจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยว เช่น เห็นฝาท่อลายปลาทูในเข่งที่ท่าฉลอม คนก็รู้แล้วว่าเมืองนี้มีอะไรเด็ด แต่ถ้าในมุมของรัฐ และเป็นมุมมองที่เราคาดหวัง คือจริงๆ แล้วการพัฒนาเมืองมันไม่ใช่การพัฒนาเพื่อคนข้างนอกหรอก แต่มันเป็นการพัฒนาเพื่อให้คนข้างในมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีพื้นที่สาธารณะให้ใช้ มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมกับภาษีที่เขาเสียไป และเมื่อเมืองมันพัฒนาไประยะหนึ่งแล้ว เม็ดเงินการลงทุน รวมถึงการท่องเที่ยวมันจะเข้ามาเองหลังจากนั้น

อย่างประเทศญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงเรื่องฝาท่อมากๆ ฝาท่อของเขาไม่ได้แค่สวยและใช้ได้ แต่ยังมีเกมให้เล่นสะสมการ์ดจากฝาท่อ หรือแม้กระทั่งทำของรางวัลเป็นลายฝาท่อประจำเมือง เพื่อดึงดูดให้ทั้งคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวมีส่วนร่วม 

เราก็หวังว่าสักวันหนึ่ง ฝาท่อดีไซน์พวกนี้มันจะสามารถต่อยอดไปแบบนั้นได้บ้าง เราเลยไม่ได้มีแนวคิดในการทำฝาท่อดีไซน์แบบนี้แค่กับที่ขอนแก่นอย่างเดียว แต่งานอื่นๆ ที่เคยทำและที่กำลังจะทำ เราก็ทำงานร่วมกับชุมชนทั้งหมด

ดีไซน์และเทคโนโลยีเหล่านี้มีผลต่อยอดขายของโรงงานมากแค่ไหน

ลูกค้าเราหลากหลายขึ้นมากเพราะเราสามารถตอบสนองความต้องการของเขาได้มากขึ้น อย่างลูกค้าเอกชนเขาย่อมอยากได้โลโก้หรือดีไซน์ของตัวเองอยู่แล้วซึ่งบริษัทอื่นอาจจะทำไม่ได้หรือไม่ทำเพราะมันเป็นงานที่ดูจุกจิก แต่พอเรารับทำแบบนี้ เราจะได้ทั้งงานห้างสรรพสินค้า โครงการหมู่บ้าน หรือบางคนก็ทำไปใช้ที่บ้านตัวเอง เพราะจะทำแค่ชิ้นเดียวเราก็รับทำ

แต่ถ้าพูดเป็นตัวเงิน ฝาท่อดีไซน์มันมีสัดส่วนที่น้อยมากๆ เมื่อเทียบกับฝาท่อทั่วไปที่เราก็ยังทำอยู่ แต่สิ่งที่เราได้คือ ความแตกต่างที่สร้างสรรค์ และสามารถสร้าง brand awareness ได้

นอกจากเพิ่มคุณค่าให้สินค้า นวกาญจน์ในรุ่นของคุณและพี่ชายเปลี่ยนแปลงไปยังไงอีกบ้าง

เราเข้ามาทำให้หลายอย่างเป็นระบบขึ้น ทำเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียที่ทำให้คนเข้าถึงผลงานของบริษัทมากกว่าเดิม นอกจากนั้นปีที่แล้วเรายังสร้างโรงงานใหม่ เพื่อเพิ่มฐานกำลังผลิตให้มากขึ้น รวมถึงในอนาคตจะปรับเปลี่ยนบางขั้นตอนไปใช้เครื่องจักร 

ที่สำคัญคือ บริษัทเรามีระบบการจัดการคุณภาพที่ได้มาตรฐานสากล ทั้ง ISO 9001:2008 และ 2015 ซึ่งปัจจุบันเรากำลังจะได้ ISO 14001:2015 ที่ให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อม เพราะสุดท้ายเราต้องอยู่ร่วมกับชุมชน และเทรนด์โลกก็ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเรื่อยๆ

ตลอดระยะเวลาที่เข้ามารับช่วงต่อ คิดว่า ปัจจัยอะไรที่ทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนและมั่นคง

ตั้งแต่ช่วงโควิดที่ผ่านมาเรารู้เลยว่าทักษะแรกที่จะทำให้ธุรกิจอยู่ได้อย่างยั่งยืนคือ ทักษะการปรับตัว อย่างที่ 2 เราต้องรู้ว่าจุดแข็งของเราคืออะไรแล้วนำไปต่อยอดเพื่อให้เราไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ อย่างงานฝาท่อดีไซน์ ไม่ใช่อยู่ดีๆ เราจะมาเริ่มทำ แต่มันเกิดจากเรารู้ว่าเราทำฝาท่อธรรมดาได้ดีอยู่แล้ว แต่เราจะพัฒนา และเพิ่มคุณค่าให้สินค้าไปต่อยังไงบ้าง 

อย่างที่สาม เราต้องซื่อสัตย์ต่อลูกค้าเพราะถ้าไม่ซื่อสัตย์ เขาก็จะไม่กลับมาหาเรา คำว่าซื่อสัตย์ในที่นี้มันคือเราต้องส่งสินค้าที่มีคุณภาพให้เขาพร้อมๆ กับบริการที่ดี และสุดท้ายเราต้องจริงใจกับคนในบริษัทของเราด้วย เราต้องทำงานอย่างเอาใจเขามาใส่ใจเรา เพราะถ้าลูกน้องแฮปปี้ในการทำงาน ได้ผลตอบแทนที่ดี เขาโต เราก็โต คนจึงถือเป็นคีย์หลักที่ทำให้บริษัทเติบโตได้เช่นกัน

ภาพของนวกาญจน์ที่คุณอยากเห็นเป็นแบบไหน

สำหรับบริษัท เราหวังว่าวันหนึ่งเราจะเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในการผลิตฝาท่อระบายน้ำที่มีคุณภาพในประเทศไทย เราจะเป็น co-creation ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการบูรณาการความรู้ต่างๆ ให้ฝาท่อมีคุณสมบัติมากกว่าเรื่องของการใช้งานและความปลอดภัย ผสมผสานการดีไซน์ และต่อยอดด้วยเทคโนโลยี

สำหรับตัวเราเอง เราจะต้องมองย้อนกลับไปว่าทำไมประเทศไทยต้องมีบริษัทเรา สิ่งที่เราทำนั้นมอบอะไรให้กับสังคมหรือชุมชนบ้างไหม ซึ่งคำตอบมันคือ เราเองก็อยากเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเมือง และทำถนนหนทางให้คนไทยทุกคนรู้สึกว่ามันน่าใช้ น่าเดิน และน่าอยู่ขึ้นเหมือนที่เรารู้สึกเวลาไปญี่ปุ่น

What I've Learned

1. “รุ่นพ่อรุ่นแม่อาจจะยึดว่าต้อง work hard หรือขยันไว้ก่อน แต่เราว่าสมัยนี้ต้อง work smart อะไรที่สามารถปรับได้ก็ต้องปรับ อะไรที่ใช้เทคโนโลยีช่วยได้เราก็ต้องเอามาใช้”

2. “แต่ก่อนหลายบริษัทอาจบริหารคนในรูปแบบ empower หรือเจ้านายกับลูกน้อง แต่เราว่าปัจจุบันเราต้องนึกถึง empathy คือการเอาใจเขามาใส่ใจเรา และเราจะไม่ใช่เจ้านายอีกแล้ว แต่เราจะคือผู้นำ”

3. “ตั้งแต่โควิด-19 เราว่าเจ้าของธุรกิจจะมีความรู้เฉพาะทางอย่างเดียวไม่ได้ แต่เราต้องมีความรู้หลากหลาย และรู้รอบด้านเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์”

4. “ธุรกิจมันไม่สามารถหยุดนิ่งได้ เราต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้เราอยู่รอดในทุกวิกฤต และได้รับผลประโยชน์ในทุกโอกาส”

Meta, Disney, Microsoft 3 บริษัทใหญ่ กับท่าทีที่เปลี่ยนไปในโลก Metaverse 

เมื่อโควิดคลี่คลาย นโยบายหลายอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังออกมาเพิ่มดอกเบี้ยเพื่อชะลอเงินเฟ้อ จึงทำให้ภาพแห่งโลกความเป็นจริงเริ่มกลับมาชัดเจนมากขึ้น สวนทางกับภาพของ Metaverse ที่หลายบริษัทเคยนฤมิตไว้อย่างสวยงาม

กระแส Metaverse เริ่มมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 กับข่าวใหญ่ที่ Facebook ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อบริษัทในรอบ 17 ปี จาก Facebook มาเป็น Meta โดยซีอีโอและผู้ก่อตั้งของบริษัทอย่าง Mark Zuckerberg บอกถึงเหตุผลของการเปลี่ยนชื่อในครั้งนั้นว่าเพราะ Facebook เป็นชื่อที่ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากสิ่งที่บริษัทฯ ทำนั้นไม่ได้มีแค่โซเชียลมีเดีย แต่ยังรวมไปถึงเทคโนโลยีอย่าง AR, VR ส่วนอีกเหตุผลที่สำคัญก็คือการสะท้อนว่าในอนาคตบริษัทฯ จะมุ่งเน้นไปยังเรื่องของ Metaverse โดยที่ผ่านมา Meta ได้ทุ่มเงินไปกับเรื่องนี้มากถึง 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว

ไม่เพียงแต่ Facebook เพราะในช่วงเวลาเดียวกันก็ยังมีบริษัทระดับโลกอีกหลายแห่งที่กระโดดลงมาเล่นในสนามนี้ ไม่ว่าจะเป็นค้าปลีกอย่าง Walmart ที่ได้ไปเปิดร้านค้าเสมือนจริงอย่าง Walmart Land บนแพลตฟอร์ม Roblox ส่วน Google ก็มีการลงทุนเป็นจำนวน 39.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐในกองทุนไพรเวตอิควิตี้ที่ทำเกี่ยวกับ Metaverse ด้าน Disney เองในช่วงต้นปี 2565 ก็มีการประกาศว่าจะลงทุนบุกตลาด Metaverse อย่างเป็นจริงเป็นจัง หรือกับ Microsoft ก็มีการไปลงทุนด้าน Metaverse กับบริษัทต่างๆ เป็นมูลค่ารวมกว่า 64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยเชื่อว่านี่เป็นการลงทุนเพื่อเทคโนโลยีที่กำลังจะมาในอนาคต

ทว่ากระแสของ Metaverse ก็เริ่มซาไปพร้อมกับโควิด และดูเหมือนว่าความท้าทายของบริษัทที่ทำเรื่อง Metaverse ในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าจะสามารถดึงดูดผู้คนให้มาอยู่ในโลกเสมือนจริงที่พวกเขาสร้างได้มากแค่ไหน แต่คือประเด็นที่ว่าในวันที่เศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย บริษัทเหล่านี้จะมีวิธีจัดการกับ Metaverse เทคโนโลยีที่มีแต่รายจ่าย แต่ยังไม่เห็นปลายทางของการทำกำไรได้อย่างไรมากกว่า

และเมื่อสถานะทางการเงินในปัจจุบันอาจสำคัญกว่าโลกในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ในมีนาคมที่ผ่านมา Disney จึงออกมาประกาศเลย์ออฟพนักงานกว่า 7,000 ตำแหน่ง ซึ่งภายในนั้นมีพนักงานในแผนก Metaverse พร้อมประกาศปิดแผนกนี้ไปด้วย เพื่อที่จะลดรายจ่ายของบริษัท 

ส่วน Microsoft เองก็ได้ยุติการทำ Metaverse แล้วปลดพนักงาน 100 ชีวิตในบริษัทที่ทำงานด้านนี้ออก เพื่อโฟกัสไปยังการทำ ChatGPT ที่ดูจะทำกำไรได้จริงมากกว่า 

ด้าน Meta แม้มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก จะบอกว่าบริษัทจะยังคงทำเรื่อง Metaverse ต่อไป แต่เมื่อปลายปี 2565 มาร์กเองก็ได้ออกมายอมรับว่าช่วงปีนั้นเขาตัดสินใจผิดพลาดลงทุนมากไปในช่วงโควิด จนทำให้ในที่สุดบริษัทต้องหันมาลดรายจ่ายด้วยการปลดพนักงานกว่า 11,000 คนในล็อตแรก และอีกไม่กี่เดือนผ่านมาก็ปลดพนักงานล็อตที่สองเพิ่มอีก 10,000 คน 

แม้มาร์กยังยืนยันที่จะทำ Metaverse ต่อไป แต่ท่าทีของเขาต่อเรื่องนี้กลับไม่ได้แข็งกร้าวและรุกหนักเหมือนอย่างช่วงแรกของการประกาศทำโลกเสมือนจริง จึงเป็นสิ่งที่น่าจับตาดูต่อไปว่าอนาคตทิศทางต่อเรื่องนี้ของ Meta จะเป็นยังไง เพราะหลังจากมาร์กประกาศปลดคนเพื่อลดค่าใช้จ่ายบริษัท ก็ทำให้หุ้นของ Meta เพิ่มขึ้น 7% แล้วแบบนี้แรงกดดันของเหล่านักลงทุนจะสั่นคลอนความเชื่อมั่นที่มาร์กมีต่อ Metaverse ได้มากน้อยขนาดไหน

นอกจาก Crytocurrency, NFT หรือ Metaverse เชื่ออย่างยิ่งว่าในอนาคตอันใกล้จะมีเทคโนโลยีที่ดูมีคอนเซปต์ล้ำๆ ที่เกี่ยวกับด้านการเงินการลงทุนแบบนี้ผุดขึ้นมาอีกจำนวนมากอีกเป็นแน่

และสำหรับคนทั่วไปอย่างเราสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่าความสามารถของเทคโนโลยีว่าจะช่วยให้เราหาเงินได้เพิ่มขึ้นแค่ไหน ก็คือความรู้เท่าทันว่าสิ่งนั้นจะเป็นแนวคิดทางธุรกิจที่ยั่งยืนจริงๆ หรือเป็นเพียงแค่การตลาดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ของบริษัทเท่านั้น

อ้างอิง

หลัก 4P+1 ของ Pica Pen สินค้าสไตล์ลิ่งอายุ 10 ปีที่ใช้พื้นที่ 1×1 ตร.ม.เป็นเกณฑ์การทำงาน

1×1 ตารางเมตร เป็นพื้นที่ไม่ใหญ่ไม่เล็ก พอให้เราได้แสดงความเป็นตัวเองออกมา

ความเป็นตัวเองที่จะทำอะไรก็ได้ ทดลองอะไรก็ได้ ไม่มีใครว่า 1×1 ตารางเมตร จึงเป็นพื้นที่ที่ ‘ก้อง–พิชชากร มีเดช’ ใช้เป็นหลักคิดในการออกแบบสินค้าและทำให้ Pica Pen เดินทางมาจนถึงขวบปีที่ 10 

Pica Pen เป็นแบรนด์สินค้าสไตล์ลิ่งที่ตั้งต้นจากการทำของโบราณที่เข้าถึงยากอย่างปากกาคอแร้งให้ดูเรียบง่ายและเข้ากับยุคสมัย หลังจากได้เห็นปากกคอแร้งของจริงที่ร้านขายเครื่องเขียนเก่าแก่ใกล้มหาวิทยาลัย สมัยที่เขายังเป็นนักเรียนโปรดักต์ดีไซน์และทำของขายเล่นๆ ที่ตลาดนัดนักศึกษา

จากที่ไม่คาดหวังว่าจะมีคนเห็นคุณค่าของปากกคอแร้งทำมือ วันนี้ Pica Pen เดินทางมาไกล ไม่ใช่เพียงปากกาคอแร้งจากวัสดุทองเหลืองที่เขารังสรรค์ขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีดินสอที่ใช้แรงบีบ ดินสอทรงช็อกโกแล็ตบาร์ที่เปิดให้ลูกค้าได้จบงานด้วยตนเอง และล่าสุดยังมีเทียนหอมในวัสดุทองเหลืองออกมาวางจำหน่าย

ทั้งหมดนี้รังสรรค์ขึ้นภายใต้หลักคิดในการออกแบบเฉพาะตัว โดยมีพื้นที่ 1×1 ตารางเมตรเป็นเกณฑ์ในการคิดสินค้าชิ้นใหม่ 

ความสนุกของเรื่องนี้คือแม้ก้องจะไม่คาดหวังอะไรจากการทำแบรนด์ แต่การจะทำให้แบรนด์สุด niche เดินทางมาอย่างยาวนานได้ก็ถือว่าไม่ง่าย ภายใต้ความไม่คาดหวังของก้องจึงซ่อนไอเดียการขับเคลื่อนให้ Pica Pen ยังเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขาได้จนทุกวันนี้

Product
ความเรียบง่ายคือหัวใจสำคัญ

“ตั้งแต่ตอนเรียน ความง่ายๆ คือคีย์สำคัญในการออกแบบ” นักเรียนโปรดักต์ดีไซน์เกริ่น

คำว่า ‘ง่ายๆ’ ของก้องแบ่งออกเป็น 2 ขาด้วยกัน ขาหนึ่งคืองานออกแบบจะต้องไม่ทำให้การผลิตยุ่งยากจนเกินไป เช่นว่ากลไกต่างๆ จะต้องตัดออก ขาที่สองคือความง่ายๆ ที่แปลว่า ‘เรียบง่าย’ เพราะเขาอยากหยิบข้าวของเครื่องใช้ในอดีตให้กลับมามีที่ทางในปัจจุบันโดยไม่เคอะเขิน แนวทางการออกแบบของเขาจึงไม่วินเทจจ๋า ไม่โมเดิร์นจ๋า แต่เน้นให้สินค้าเรียบง่ายทั้งรูปทรงและวัสดุ

“อย่างปากกาคอแร้งสมัยก่อนอาจจะมีโค้งเว้าที่วิจิตรบรรจงตามยุคสมัยนั้น แต่เวลาเราออกแบบเราจะเลือกตัดรายละเอียดเหล่านั้นออกไปให้เส้นสายมันเรียบที่สุด ส่วนวัสดุที่ใช้ก็เลือกเป็นทองเหลืองเพราะมันมีน้ำหนักจึงทำให้เส้นที่ได้มันคม”

ไอเดียเหล่านี้สะท้อนผ่านสโลแกนประจำแบรนด์ของ Pica Pen ที่ว่า “Bringing back values of the past lives again” 

ฟังก์ชั่นนำ ดีไซน์ตาม กิมมิกเป็นบรรทัดฐาน

“สินค้าของเรามันไม่ใช่แค่ปากกา ดินสอ หรือเครื่องเขียน แต่มันคือสิ่งที่จะช่วยส่งเสริมบรรยากาศในการทำงาน มุมมองส่วนตัวของเราที่มีต่อ Pica Pen จึงคือโปรดักต์ที่ดีคือโปรดักต์ที่นอกจากฟังก์ชั่นจะได้แล้ว ดีไซน์ก็ต้องสวย” ก้องเล่า

วิธีการออกแบบสินค้าของก้องจึงคือก่อนจะออกแบบให้สินค้าสวยงาม เขาต้องหารูปแบบสินค้าที่ฟังก์ชั่นเด่นไว้ก่อน เช่นปากกาคอแร้งของเขาจะต้องเฟรนด์ลี่กับคนถนัดทั้งมือซ้ายและขวา เขาก็ต้องออกแบบให้ปากกามีองศาที่ถูกต้อง เขียนแล้วลื่นไหล จากนั้นจึงค่อยมองหาดีไซน์ที่ใช่ ตอบโจทย์เรื่องความสวยงาม และแสดงถึงความเป็น Pica Pen ต่อไป

“ถ้าเรารู้ว่ามันใช้ยังไง เราถึงจะเอาดีไซน์มาครอบมันในขั้นตอนสุดท้ายได้” เขาเล่า 

นอกจากดีไซน์จะได้แล้ว ถ้าเรานั่งพิจารณาสินค้าจากหนึ่งสมองและสองมือของก้อง เราจะเห็นว่าในทุกๆ ชิ้นที่เขาผลิตออกมา ล้วนซ่อนอะไรบางอย่างให้คนรู้สึกสนุกเสมอ ไม่ว่าจะ PEG pencil ดินสอแบบหนีบที่ใช้หนังยางเป็นจุดหมุน ลูกเล่นตรงนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากไม้หนีบผ้าซึ่งเป็นสิ่งของง่ายๆ ในชีวิตประจำวันแต่ทำให้เขาได้รางวัล Design Excellence award (DEmark) 2019 มาครอง

“เราแค่สงสัยว่านอกจากเราจะใช้แรงกดดินสอแล้ว เราสามารถใช้แรงบีบได้ไหม” เขาอธิบายแนวคิดเบื้องหลัง PEG pencil ที่ต้องการแก้ pain point ดินสอไม้ที่ไม่สามารถใช้จนหมดแท่งได้

หรือจะเป็นดินสอที่มีรูปร่างเหมือนบาร์ช็อกโกแล็ตที่เขาเพิ่งได้รับรางวัล DEmark ปี 2022 มาหมาดๆ 

“เราได้แรงบันดาลใจจากบริษัทที่รับทำดินสอและของพรีเมียมจากงานแฟร์งานหนึ่ง เขาวางแผ่นไม้แผ่นใหญ่ที่ยังไม่ได้นำไปแปรรูปเป็นดินสอจนเสร็จ ตอนนั้นรู้สึกว่ามันเหมือนช็อกโกแลตจังเลย แล้วก็ได้ไอเดียมาว่าจริงๆ แล้ว ถ้าเราไม่ทำดินสอให้เสร็จสมบูรณ์ แต่ให้ลูกค้าช่วยผลิตดินสอแท่งนั้นจะสนุกขึ้นไหม” ก้องย้อนเล่า ก่อนสรุปความที่ทำให้เราเห็นถึงเบื้องหลังการออกแบบสินค้าทุกชิ้นของเขาซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่เอาชนะใจลูกค้ามากมาย

“หลักของเราคือทุกงานที่ออกมาจะต้องมีฟังก์ชั่นที่ดี ดีไซน์ที่สวย และกิมมิกบางอย่างเพื่อให้คนจดจำเราได้”  

พื้นที่ 1×1 ตารางเมตร

แม้จุดเริ่มต้นของ Pica Pen จะคือปากกาคอแร้ง และสินค้าต่อๆ มาก็ยังอยู่ในหมวดเครื่องเขียน แต่ก้องเองไม่ได้จำกัดขีดความสามารถของเขาและแบรนด์อยู่แค่นั้น เพราะในมุมมองของนักออกแบบ Pica Pen เป็นอะไรได้มากกว่านั้น

“เรามองว่า Pica Pen มันคือพื้นที่ที่ให้เราได้ดีไซน์เพื่อสไตล์ลิ่ง สินค้าของ Pica Pen จึงเป็นอะไรก็ได้ในพื้นที่ 1×1 ตารางเมตร เป็นพื้นที่ที่ไม่เล็กเกินไป แต่ก็ไม่ใหญ่จนเป็นพื้นที่ห้อง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเขียน เทียนหอมที่เพิ่งวางขายไป ก่อนหน้านี้ก็เคยออกแบบเก้าอี้ไว้ด้วย หรือมันอาจจะเป็นเสื้อผ้าที่ช่วยส่งเสริมให้เราอยากทำงานมากขึ้นก็ได้”

นอกจากคอนเซปต์ที่ว่าจะช่วยให้ก้องได้มีสนามทดลองหลากหลายแบบ เขายังบอกอีกว่าการไม่จำกัดตัวเองตรงนี้ยังทำให้ Pica Pen เข้าถึงกลุ่มคนได้หลากหลายยิ่งขึ้น และน่าจะดีกับแบรนด์หากในอนาคต ผู้คนหลงลืมการใช้เครื่องเขียนทำมือกันไปแล้ว

“อย่างกลุ่มลูกค้าของปากกาคอแร้งก็มักจะเป็นคนที่มีงานอดิเรกหรือชอบทำนู่นทำนี่ คนนึงที่เรายังจำได้ดีคือเขาเล่าว่าตอนนั้นเขาทำงานออฟฟิศอยู่ แต่ตอนเด็กๆ เขาเคยเขียน calligraphy พอเราชวนให้เขาลองใช้ปากกาเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆ ตอนนี้เขาก็เป็นศิลปิน calligraphy ไปแล้ว 

“แต่พอเราเริ่มทำดินสอช็อกโกแลตบาร์ เราก็จะเห็นเลยว่ากลุ่มลูกค้าเราเด็กขึ้น วัยรุ่นขึ้น พอยิ่งทำเทียนหอมออกมา ตอนนี้ลูกค้าก็หลากหลายกว่าเดิม เราเลยมองว่าถ้าในอนาคตกระแสงานคราฟต์มันยิ่งหายหรือเทคโนโลยีมันเข้ามาแทนที่เครื่องเขียนและงานทำมือ เราก็ยิ่งต้องเริ่มปรับตัวด้วยการหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้ Pica Pen เดินต่อไปได้”

Price
ราคากลางที่เข้าถึงได้และเหมาะกับแบรนด์

750-850 บาท คือสนนราคาของปากกาคอแร้งภายใต้แบรนด์ Pica Pen 

1,190 บาท คือราคาของผลงานชิ้นโบแดงอย่าง PEG pencil

และ Pica pencil bar หรือดินสอบาร์ช็อกโกแลตนั้นมีราคาที่ 285 บาท

ราคาเหล่านี้ไม่ใช่ราคาที่คิดจะตั้งขึ้นเองตามใจ แต่ผ่านการรีเสิร์ชราคาเครื่องเขียนและงานทำมือมาอย่างละเอียดเพื่อให้ Pica Pen มีตำแหน่งแห่งที่ที่ถูกต้อง

“ราคาเครื่องเขียนในไทยกับต่างประเทศต่างกันมากๆ เราเองมองว่าตลาดของเราจะมีทั้งตลาดไทยและต่างประเทศ เลยเลือกตั้งราคากลางๆ ของทั้งสองกลุ่ม 

“ถ้าตั้งราคาแพงมากคนไทยก็เข้าไม่ถึง แต่ถ้าตั้งราคาถูกมากเกินไป กลุ่มลูกค้าก็อาจมองว่าของไม่มีคุณภาพ เพราะแบรนด์ของเรามันเป็นแบรนด์ที่ขายสไตล์ลิ่งที่เกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ด้วย”

Place
ที่ที่กลุ่มลูกค้าไป ที่ที่เหมาะกับยุคสมัย

ถ้าย้อนกลับไปเกือบ 10 ปีก่อน Pica Pen ถือเป็นแบรนด์น้องใหม่ที่มีสินค้าแปลกใหม่ เรียกว่าแม้จะเป็นของเดิมๆ ที่คนน่าจะรู้จักอยู่แล้ว แต่ของเดิมๆ ที่ว่าเหมือนจับคุณปู่คุณย่ามาแต่งตัวใหม่ ถ้าย้อนไปเมื่อ 4-5 ปีก่อน ที่งานคราฟต์นั้นมาแรงแบบฉุดไม่อยู่ Pica Pen จึงกลายเป็นที่จับตามองและถึงจุดพีค

ขวบปีแรกๆ Pica Pen จึงปรากฏตัวตามงานแสดงสินค้าคราฟต์ๆ เสียส่วนใหญ่ เพราะนั่นเป็นจุดรวมพลของกลุ่มลูกค้าเรา

“สินค้าของเรามันคราฟต์มากๆ งานที่จะไปมันเลยไม่ใช่งานที่เน้นสินค้าแมส แต่เราจะเน้นตลาดที่คนเดินในงานเน้นเรื่องสุนทรียะ หรือเวลาเรากับลูกค้าคุยกันก็จะคุยในเชิงอารมณ์ความรู้สึกและเรื่องเล่า”

แต่เมื่อสถานการณ์โควิด-19 เข้ามาเบรกเศรษฐกิจ รวมถึงกระแสงานคราฟต์ที่เริ่มเปลี่ยนทิศ ก้องจึงเน้นวางขายสินค้าตามช่องทางออนไลน์มากขึ้น รวมถึงกระจายสินค้าไปตามห้างร้านต่างๆ เพื่อให้กลุ่มลูกค้าของ Pica Pen และคนทั่วไปเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้น

Promotion
ส่งเสริมการขายด้วยการสื่อสารคุณค่าสินค้า

ถ้าพูดถึงโปรโมชั่นหรือการส่งเสริมการขายในลักษณะการลด แลก แจก แถม ก้องบอกกับเราว่า Pica Pen แทบไม่มี เพราะกลุ่มลูกค้าของแบรนด์นี้ไม่ได้เลือกซื้อสินค้าตามราคาที่ลดลง แต่เป็นกลุ่มลูกค้าที่ซื้อ Pica Pen ตามความต้องการเท่านั้น

โปรโมชั่นที่สำคัญที่ทำให้ Pica Pen ขายได้จึงคือการสื่อสารคุณค่าของสินค้าให้ลูกค้าเข้าใจต่างหาก

“วิธีสื่อสารแบรนด์ของเรามันขึ้นกับว่าเราขายสินค้าที่ไหนด้วย ถ้าไปขายตามงานแฟร์มันง่ายอยู่แล้ว เพราะนอกจากเราจะได้เล่าที่มาของสินค้าเอง ลูกค้ายังได้เห็น ได้จับของจริง และเราก็จะใช้ปากกาดินสอทดลองเขียนให้เขาดู ชวนคนที่ไม่เคยลองมาเปลี่ยนประสบการณ์การเขียน ส่วนคนที่เคยเขียนในวัยเด็ก เราก็ชวนเขาย้อนความทรงจำ

“แต่พอเป็นการขายออนไลน์ การสื่อสารแบรนด์มันต้องปรับเยอะมากเพราะคนที่เห็นเราไม่ใช่แค่กลุ่มลูกค้าที่เราไปขายตามงานแล้ว แต่เป็นคนหลากหลายกลุ่ม ช่วงแรกเราเน้นสื่อสารผ่านอารมณ์เหมือนเวลาขายของหน้าร้าน แต่ได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่เวิร์กจริงๆ คือการทำคอนเทนต์ที่ทำให้ลูกค้าเห็นว่าเครื่องเขียนหรือสินค้าของเรามันดียังไง ฟังก์ชั่นเป็นแบบไหน ใช้ในชีวิตประจำวันได้ยังไงบ้างมากกว่า” ก้องว่า

Practice 
ฝึกฝนทดลองคือคีย์สำคัญ

“practice” ก้องตอบเมื่อเราเอ่ยถามถึง P สุดท้ายที่เขานึกถึง

“Pica Pen เกิดขึ้นมาจากการอยากฝึกเขียน calligraphy ของเรา จากนั้นก็เกิดจากการทดลองและฝึกทำสินค้าแต่ละแบบขึ้นมาเรื่อยๆ เกิดจากการที่เราฝึกทักษะต่างๆ ผ่านการปรับสินค้าตามฟีดแบ็ก พอเราผ่านประสบการณ์การฝึกฝนมาเยอะมันเลยทำให้แบรนด์นี้ชัดเจนขึ้นและเราสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้น”

จากการทำขึ้นด้วยความนึกสนุกและไม่คาดหวังใดๆ วันนี้ Pica Pen ไม่ใช่เพียงแบรนด์สินค้า แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นคอมฟอร์ตโซนไว้พักใจ และเป็นเครื่องยืนยันความคิดในการทำงานของก้องได้ดี

“ถึงจะคาดหวังกับแบรนด์มากขึ้นกว่าช่วงแรก แต่เป้าหมายหลักในการทำ Pica Pen ยังคงเดิม คือเราอยากให้ Pica Pen ตอบคำถามเราได้ว่ามีคนคิดแบบเราหรือชอบแบบเราบ้างไหม เราเลยไม่ได้คาดหวังว่าจะขายได้เท่าไหร่หรือจะขายดีมากๆ แต่สิ่งที่อยากได้คือฟีดแบ็กจากลูกค้าว่าของที่เราทำมันดีหรือไม่ดียังไงมากกว่า 

“ดังนั้นถ้าถามว่าภาพ Pica Pen ในอนาคตจะเป็นยังไง ก็ต้องกลับมาที่พื้นที่ 1×1 ตารางเมตร ถ้ามันเต็มเมื่อไหร่ก็น่าจะเติมเต็มตัวเองได้เมื่อนั้น เพราะ Pica Pen เป็นแบรนด์ที่เราทำเมื่อรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่างไปจากการทำงานหลัก 

“มันเหมือนเป็นเซฟโซน เป็นสนามเด็กเล่นเล็กๆ ที่เรารู้สึกว่าเราอยากจะปล่อยมุมมองและประสบการณ์อะไรลงไปก็ได้” เขาทิ้งท้าย 

What I've Learned

1. “ถึงจะทำแบรนด์นี้ด้วยความไม่คาดหวังมากนัก แต่การปรับสินค้าตามฟีดแบ็กของลูกค้ายังคงสำคัญ เพราะนั่นก็คือการทดลองอีกระดับหนึ่ง เมื่อเราปรับไปเรื่อยๆ เราจะเริ่มเข้าใจว่าแบบไหนที่เราจะปรับ แบบไหนที่จะไม่ปรับ”

2. “ทุกธุรกิจมันค่อนข้างใช้ประสบการณ์ต่างกัน ไม่สามารถนำบทเรียนจากธุรกิจหนึ่งไปใช้กับอีกธุรกิจได้ขนาดนั้น คีย์สำคัญคือการมองการแก้ปัญหาให้เป็นการทดลอง”

3. “Pica Pen เป็นสินค้าที่มีตลาดแบบ niche ก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าสินค้าในตลาดนี้จะมีกลุ่มลูกค้ากลุ่มเดียวกัน เช่น niche ที่ชอบของแพง niche ที่ชอบของหายาก หรือ niche ที่ชอบงานออกแบบ ถ้าอยากทำให้ธุรกิจมันไปต่อได้ เราจึงต้องหาให้เจอว่าลูกค้าของเราอยู่ใน niche แบบไหน เขาเป็นใคร แล้วแผนงานทั้งหมดมันจะมาเอง”