THE POWER BAND คือตัวอย่างของการให้โอกาสทางดนตรีที่คิง เพาเวอร์ จัดขึ้นจนประสบความสำเร็จ และเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะนี่คือเวทีที่ค้นหาสุดยอดวงดนตรีรุ่นใหม่ตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปจากทั่วประเทศภายใต้คอนเซปต์ ‘THE POWER OF POSSIBILITIES ชีวิตไม่หยุดค้นหาความเป็นไปได้’ ซึ่งไม่เพียงแต่จะสนับสนุนให้น้องๆ เยาวชนไทยผู้มีความสามารถด้านดนตรีนำความฝันและทักษะมาปล่อยของประชันกันบนเวที แต่ยังผลักดันให้น้องๆ ได้ไปเจอโอกาสที่ไม่ได้หากันง่ายๆ อย่างการขึ้นเวทีไปเล่นดนตรีกับศิลปินในดวงใจ รวมทั้งได้ปูเส้นทางสู่การเป็นศิลปินในอนาคตให้อีกด้วย
หลังจากประสบความสำเร็จกับซีซั่นแรก THE POWER BAND กลับมาในซีซั่นที่ 2 และจับมือกับ 5 ค่ายเพลงดังของเมืองไทย เพื่อคัดเลือกกันอย่างเข้มข้น จนได้ผู้ชนะที่จะได้ออกซิงเกิลของตัวเองกับ BOXX MUSIC ทว่าความปังยังไม่จบเพียงแค่นั้น เพราะงานนี้ วงดนตรีร็อกตัวจริงของไทยอย่าง Bodyslam ยังเลือกน้องๆ จำนวนหนึ่งที่มีสกิลการร้อง เต้น เล่นดนตรีที่ไม่ธรรมดา ไปขึ้นเวทีคอนเสิร์ต ‘Bodyslam พูดในใจ THE B SIDE CONCERT’ กับวง Bodyslam ตัวเป็นๆ
พวกเรามีโอกาสได้คุยกับ กิ๊ฟซี่–สุทธิดา พันธ์ศรี, น้องฟิล์ม–ปณิชา มณีวรรณ สองสาวชาวเหนือจากวง The PicLic Band และกัส–พัสกร ศรีหะ มือทรัมเป็ตของวงอุดรพิทยานุกูล จังหวัดอุดรธานี ที่ได้ร่วมจอยคอนเสิร์ตกับ Bodyslam ในเพลง ‘คิดฮอด’ ก่อนน้องๆ จะขึ้นเล่นในรอบสุดท้าย ทั้งสามบอกว่า “การได้ขึ้นเวทีกับศิลปินในดวงใจเป็นเหมือนความฝัน เพราะใครจะคิดว่าวันหนึ่งเด็กมัธยมปลายธรรมดาๆ จะได้เล่นดนตรีกับวงที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ แต่เวที THE POWER BAND ก็ทำให้รู้ว่าเป็นไปได้”
นอกจากการได้รับโอกาสที่ไม่ใช่ทุกคนจะได้ พวกเขายังเล่าว่าการได้มาแข่งเวที THE POWER BAND เปิดโลกกว้างให้ตัวเอง นั่นก็เพราะแต่ละคนล้วนเป็นเด็กต่างจังหวัดที่อาจไม่มีโอกาสเข้าถึงเวทีแบบนี้เท่ากับเด็กในกรุงเทพฯ มากนัก ซึ่งนอกจากจะได้เห็นการทำงานของศิลปินตัวจริงแล้วนั้น ก็ยังได้เรียนรู้การทำงานอย่างมืออาชีพ และได้เห็นการซ้อมอย่างจริงจังของพวกพี่ๆ อีกด้วย อีกทั้งพวกเขายังได้เพื่อนใหม่จากการประกวด ได้เห็นความหลากหลาย ความเก่งกาจของเพื่อนๆ จากภาคเหนือจรดภาคใต้ ที่ล้วนเป็นแรงบันดาลใจ และทำให้อยากเดินทางสายดนตรีนี้ต่อไป แถมยังได้คอนเนกชั่นจากเหล่าผู้คนในวงการดนตรี ซึ่งอาจต่อยอดได้ในอนาคตอีกด้วย
พวกเขายังอยากฝากข้อความถึงเพื่อนๆ ที่อยากมาแข่ง THE POWER BAND ซีซั่นที่ 3 ที่กำลังจะเริ่มในไม่ช้านี้ว่า “อยากให้แสดงสกิลด้านดนตรีออกมาให้เต็มที่ เพราะคำว่าดนตรีไม่มีถูกหรือผิด ไม่ว่าจะเล่นแบบไหน ขอแค่ได้เล่น แล้วจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากมันแน่นอน”
ระหว่างได้ฟังเรื่องเล่าของทุกคน เรามองเห็นประกายความสุขในดวงตาของพวกเขาที่ฉายออกมาอย่างชัดเจน ในแง่หนึ่ง การจัดเวทีประกวดอย่าง THE POWER BAND เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดีในการส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ แต่ในอีกแง่หนึ่ง ประกายความสุขในดวงตาของพวกเขาตอนที่เล่าเรื่องดนตรีนั้นบอกเราชัดเจนว่า เวทีนี้มอบความหวังให้พวกเขา ให้พวกเขารู้ว่าตัวเองก็สามารถเดินทางในเส้นทางศิลปินมืออาชีพได้ ทุกๆ อย่างเป็นไปได้หากพวกเขาลงมือทำ
Max Fortune เจ้าของหนังสือ Get Rich in Your Niche กล่าวไว้ว่า “Don’t overlook the most important thing you can do to grow your business and that is marketing.”
อย่างช่วง Bike For Dad ตลาดจักรยานในไทยก็มี local brand ผุดขึ้นมาค่อนข้างมากเพราะเขาเห็นว่าเม็ดเงินที่หมุนอยู่ในนี้มันสูง แต่ช่วงก่อนโควิดมันก็เริ่มซบเซา แบรนด์ต่างๆ ก็ล้มหายตายจากไป
ประเด็นที่น่าสนใจในงาน SEA.T หรือ Sounteast Asia Conference 2023 ซึ่งจัดโดยบริษัทที่ปรึกษากลยุทธ์และสื่อดิจิทัล MCFIVA คือการพูดถึง deep tech หรือเทคโนโลยีขั้นสูงที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงโลกอนาคตและวิสัยทัศน์ในการมองเห็นจุดแข็งของมนุษย์ที่เทคโนโลยีซับซ้อนแค่ไหนก็ยังทำไม่ได้อย่างความคิดสร้างสรรค์
Nathan Paterson, Director of Learning, IDEO Tokyo กล่าวในเซสชั่น Future of Design and Creativity with The Rise of AI ว่า ทุกวันนี้ AI อยู่ในแทบทุกอุตสาหกรรม ในวงการศิลปะมี AI อย่าง Dalle ที่เปลี่ยนประโยคให้กลายเป็นภาพวาดโดยไม่ต้องใช้มือวาดอีกต่อไป, แวดวงสถาปัตยกรรมมีโปรแกรม OMA, วงการออกแบบสินค้ามีโปรแกรมอย่าง Airbus และ Autodesk ที่ช่วยทุ่นแรงในการออกแบบ, Microsoft ยังวางแผนที่จะลงทุน 10 ล้านใน OpenAI สตาร์ทอัพที่สร้าง ChatGPT รวมถึงเพิ่มฟีเจอร์ AI ชื่อ Microsoft Copilot เช่น chatbot สำหรับใช้กับโปรแกรมต่างๆ ของ Microsoft นอกจากนี้โปรแกรมล่าสุดที่ทำให้ผู้คนตื่นเต้นคือ Microsoft Designer ที่ช่วยให้งานออกแบบกราฟิกเข้าถึงคนทั่วไปได้มากขึ้น
สิ่งที่หลายคนหวาดหวั่นคือ ถ้า AI อยู่ในทุกวงการขนาดนี้แล้ว ในอนาคตมันจะมาแย่งงานของมนุษย์หรือไม่
เซสชั่น What’s Next For MarTech and Consumer Trend ได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงวิสัยทัศน์ในเรื่องนี้ บี๋–อริยะ พนมยงค์ CEO ของ Transformational Co. Ltd. มองว่า AI เป็นเทคโนโลยีใหม่แต่ไม่ใช่ความท้าทายใหม่ ก่อนมีโลกโซเชียลมีเดียก็มีอาชีพคนทำคอนเทนต์อยู่แล้ว สายคอนเทนต์แค่ต้องเปลี่ยนรูปแบบการทำงานและเรียนทักษะใหม่เพื่อปรับตัวเข้ากับยุคสมัยเท่านั้น การมีเทคโนโลยีใหม่อย่าง AI เข้ามาก็ไม่ต่างกัน
แชมป์–ปิยภูมิ สีชัง Marketing Director, B2B Thailand Michelin มองว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่น่าตื่นเต้นมากกว่าน่ากลัวเพราะสามารถช่วยลดงานรูทีนที่ทำซ้ำและใช้แรงงานซึ่งเป็นการช่วยสนับสนุนให้มนุษย์ทำงานเร็วขึ้นแต่ไม่ได้มาแทนที่งานของมนุษย์ทั้งหมด สิ่งหนึ่งที่ AI ทำไม่ได้คือความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ ตัวอย่างเช่น การคิดสโลแกนที่มีจุดประสงค์เพื่อสื่อสารและขายสินค้ากับมนุษย์ ดังนั้นคนที่ออกแบบการสื่อสารเพื่อมนุษย์ได้ดีจึงยังคงเป็นมนุษย์ แม้ ChatGPT สามารถคิดสโลแกนได้ภายในไม่กี่นาทีในขณะที่ครีเอทีฟต้องใช้ระยะเวลาคิดเป็นวัน แต่ AI ก็ยังคงไม่สามารถนำเสนองานครีเอทีฟได้ดีเท่ามนุษย์
นาธานยกตัวอย่างการใช้ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่ AI ไม่สามารถทำแทนได้ว่า ในภาพยนตร์เรื่อง Toy Story 3 มีการสร้างคาแร็กเตอร์ใหม่อย่าง bear toys ที่ทำให้หลายคนนึกถึงตุ๊กตาหมีตอนเด็ก เขาบอกว่านี่คือตัวอย่างของการใช้วิธีนึกถึงความทรงจำในอดีต (feeling of nostalgia) ในการเล่าเรื่องซึ่ง AI จะไม่สามารถคิดสิ่งที่เชื่อมโยงกับอารมณ์มนุษย์แบบนี้ได้เพราะไม่มีความทรงจำหรือประสบการณ์เหล่านี้
สำหรับนาธานที่เคยทำงานในบริษัทที่เป็นผู้นำด้านความคิดสร้างสรรค์ทั้ง IDEO และ Pixar เขาให้คำแนะนำสำหรับบริษัทที่อยากสร้างวัฒนธรรมแห่งความคิดสร้างสรรค์เพื่อปรับตัวให้ทันกับโลกแห่งเทคโนโลยีในอนาคตว่าสามารถนำ The ABCs for Creative Culture 6 อย่างของ IDEO ไปปรับใช้ได้ การใช้วิธีคิดเหล่านี้จะทำให้มนุษย์สามารถระดมไอเดียใหม่ๆ ได้ไม่แพ้เทคโนโลยี
Ab คือ align beginnings การสร้างประสบการณ์ครั้งแรกให้น่าจดจำเพราะผู้คนมักไม่ลืมความทรงจำครั้งแรกของตัวเอง เช่น ที่ IDEO มีโครงการ IDEO first 30 สำหรับพนักงานใหม่ โดยแต่ละวันในเดือนแรก เมื่อพนักงานเปิดลิ้นชักออกมาจะพบกับโจทย์ง่ายๆ ที่ให้ลองทำสิ่งใหม่เป็นครั้งแรก เช่น ให้แนะนำตัวกับทุกคนในบริษัททางอีเมลด้วยวิธีสร้างสรรค์
ในโลกที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างเครื่องมือ AI หลากหลายแบบเข้ามามากมาย นาธานบอกว่า tool หรือเครื่องมือต่างๆ คือสิ่งที่ใช้สำรวจและทำความเข้าใจโลกใบนี้ หากดีไซเนอร์หรือนักนวัตกรรู้จักตั้งคำถามว่า ‘How things work with humans?’ หรือจะทำยังไงให้เทคโนโลยีเหล่านี้เวิร์กกับมนุษย์ ก็จะสามารถอยู่รอดในโลกยุคหน้าได้อย่างแน่นอน
วีนัส : เราขายที่ร้านมัลติแบรนด์ตามห้างสรรพสินค้าอย่าง The Selected ไอคอนสยาม, The Wonder Room สยามเซ็นเตอร์, Another Story เอ็มควอเทียร์ และช่องทางออนไลน์ โดยเราเลือกมัลติแบรนด์ที่อยู่ในห้างใหญ่ เพื่อให้สามารถโปรโมตแบรนด์ได้เยอะและมีฐานลูกค้าที่ไม่ใช่แค่คนไทย ต้องมีชาวต่างชาติด้วยเพราะอยากให้ชาวต่างชาติเห็นสินค้าแล้วรู้สึกว่าสินค้าของเราแตกต่างและมีขายแค่ที่นี่เท่านั้น ลูกค้าของเราส่วนใหญ่จะชอบซื้อที่หน้าร้านเพราะได้ลองหมวกว่าเหมาะกับตัวเองไหม ถ้าขายเฉพาะช่องทางออนไลน์ลูกค้าอาจจินตนาการตอนสวมหมวกจากแค่ภาพที่นางแบบใส่ไม่ได้
What I’ve Learned
1. Diversification พัฒนาสินค้าใหม่ในตลาดใหม่โดยใช้จุดแข็งเดิมของโรงงานหมวกที่โดดเด่นอยู่แล้วในด้านการผลิต
2. Focus on Quality, Not War Price เน้นคุณภาพทำให้ไม่ต้องกระโดดไปแข่งในสงครามราคา
3. Know-How from the Best Sources อิงความรู้และมาตรฐานจากประเทศที่เป็นสุดยอดของสินค้าหมวดนั้น
พอทำคิวอาร์โค้ดได้แล้ว ล่าสุดเราได้มีโอกาสทำฝาท่อ AR ให้งาน Isan Creative Festival 2023 ซึ่งถือเป็นฝาท่อ AR ชิ้นแรกในไทย
โปรเจกต์ที่ว่าเกิดขึ้นได้ยังไง
จริงๆ เราเคยทำ pilot ของฝาท่อ AR ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีไปแล้ว แต่มันยังไม่ถูกนำมาใช้จริง ด้วยความที่เราสนใจและอยากทำโปรเจกต์นี้มากๆ ที่ผ่านมาเลยพยายามตามหาคนที่เชี่ยวชาญและทำเรื่อง AR ซึ่งมีไม่กี่คนในไทย และเราก็เพิ่งจะรู้จักเขาไม่นานมานี้
บังเอิญว่าเขาก็เป็นคนขอนแก่น และเคยทำงานร่วมกับ CEA ขอนแก่นอยู่แล้ว บวกกับขอนแก่นเป็นเมืองต้นแบบ smart city ในไทย และกำลังจะจัดงาน Isan Creative Festival พอดี มันจึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมมากๆ ในการพัฒนาฝาท่อ AR นี้ให้เกิดขึ้นจริง เราซึ่งเป็นพาร์ตเนอร์กับ CEA ขอนแก่นอยู่แล้วจึงเสนอไอเดียให้ทำฝาท่อ AR ในเทศกาลครั้งนี้
การทำงานจะเป็นการที่ CEA ขอนแก่นช่วยประสานให้นักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นมาช่วยออกแบบเพราะเขาย่อมคุ้นเคยกับจังหวัดตัวเองมากกว่าเราอยู่แล้ว จากผลงานทั้งหมด 18-19 ชิ้น กรรมการก็คัดเลือกให้เหลือ 6 ชิ้น จากนั้นก็นำงานออกแบบโพสต์ลงสื่อโซเชียลมีเดียเพื่อให้ประชาชนทั่วไปช่วยกันโหวต จนเหลือ 3 ชิ้นสุดท้ายที่เรานำมาพัฒนา และผลิตเป็นฝาท่อ AR จริง
ภาพใน AR แต่ละชิ้นจะเป็นภาพขอนแก่นในอนาคตที่ขอนแก่นอยากจะพัฒนา มีทั้งรถไฟ สถานีรถไฟ และป้ายบอกทาง ความสนุกคือคนที่เล่นสามารถเข้าไปอยู่ในภาพ AR หรือถ่ายรูปกับ AR ที่เราทำขึ้นได้ เหมือนเวลาเล่นเกม Pokémon Go