Metaverse

Meta, Disney, Microsoft 3 บริษัทใหญ่ กับท่าทีที่เปลี่ยนไปในโลก Metaverse 

เมื่อโควิดคลี่คลาย นโยบายหลายอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังออกมาเพิ่มดอกเบี้ยเพื่อชะลอเงินเฟ้อ จึงทำให้ภาพแห่งโลกความเป็นจริงเริ่มกลับมาชัดเจนมากขึ้น สวนทางกับภาพของ Metaverse ที่หลายบริษัทเคยนฤมิตไว้อย่างสวยงาม

กระแส Metaverse เริ่มมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 กับข่าวใหญ่ที่ Facebook ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อบริษัทในรอบ 17 ปี จาก Facebook มาเป็น Meta โดยซีอีโอและผู้ก่อตั้งของบริษัทอย่าง Mark Zuckerberg บอกถึงเหตุผลของการเปลี่ยนชื่อในครั้งนั้นว่าเพราะ Facebook เป็นชื่อที่ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากสิ่งที่บริษัทฯ ทำนั้นไม่ได้มีแค่โซเชียลมีเดีย แต่ยังรวมไปถึงเทคโนโลยีอย่าง AR, VR ส่วนอีกเหตุผลที่สำคัญก็คือการสะท้อนว่าในอนาคตบริษัทฯ จะมุ่งเน้นไปยังเรื่องของ Metaverse โดยที่ผ่านมา Meta ได้ทุ่มเงินไปกับเรื่องนี้มากถึง 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว

ไม่เพียงแต่ Facebook เพราะในช่วงเวลาเดียวกันก็ยังมีบริษัทระดับโลกอีกหลายแห่งที่กระโดดลงมาเล่นในสนามนี้ ไม่ว่าจะเป็นค้าปลีกอย่าง Walmart ที่ได้ไปเปิดร้านค้าเสมือนจริงอย่าง Walmart Land บนแพลตฟอร์ม Roblox ส่วน Google ก็มีการลงทุนเป็นจำนวน 39.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐในกองทุนไพรเวตอิควิตี้ที่ทำเกี่ยวกับ Metaverse ด้าน Disney เองในช่วงต้นปี 2565 ก็มีการประกาศว่าจะลงทุนบุกตลาด Metaverse อย่างเป็นจริงเป็นจัง หรือกับ Microsoft ก็มีการไปลงทุนด้าน Metaverse กับบริษัทต่างๆ เป็นมูลค่ารวมกว่า 64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยเชื่อว่านี่เป็นการลงทุนเพื่อเทคโนโลยีที่กำลังจะมาในอนาคต

ทว่ากระแสของ Metaverse ก็เริ่มซาไปพร้อมกับโควิด และดูเหมือนว่าความท้าทายของบริษัทที่ทำเรื่อง Metaverse ในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าจะสามารถดึงดูดผู้คนให้มาอยู่ในโลกเสมือนจริงที่พวกเขาสร้างได้มากแค่ไหน แต่คือประเด็นที่ว่าในวันที่เศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย บริษัทเหล่านี้จะมีวิธีจัดการกับ Metaverse เทคโนโลยีที่มีแต่รายจ่าย แต่ยังไม่เห็นปลายทางของการทำกำไรได้อย่างไรมากกว่า

และเมื่อสถานะทางการเงินในปัจจุบันอาจสำคัญกว่าโลกในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ในมีนาคมที่ผ่านมา Disney จึงออกมาประกาศเลย์ออฟพนักงานกว่า 7,000 ตำแหน่ง ซึ่งภายในนั้นมีพนักงานในแผนก Metaverse พร้อมประกาศปิดแผนกนี้ไปด้วย เพื่อที่จะลดรายจ่ายของบริษัท 

ส่วน Microsoft เองก็ได้ยุติการทำ Metaverse แล้วปลดพนักงาน 100 ชีวิตในบริษัทที่ทำงานด้านนี้ออก เพื่อโฟกัสไปยังการทำ ChatGPT ที่ดูจะทำกำไรได้จริงมากกว่า 

ด้าน Meta แม้มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก จะบอกว่าบริษัทจะยังคงทำเรื่อง Metaverse ต่อไป แต่เมื่อปลายปี 2565 มาร์กเองก็ได้ออกมายอมรับว่าช่วงปีนั้นเขาตัดสินใจผิดพลาดลงทุนมากไปในช่วงโควิด จนทำให้ในที่สุดบริษัทต้องหันมาลดรายจ่ายด้วยการปลดพนักงานกว่า 11,000 คนในล็อตแรก และอีกไม่กี่เดือนผ่านมาก็ปลดพนักงานล็อตที่สองเพิ่มอีก 10,000 คน 

แม้มาร์กยังยืนยันที่จะทำ Metaverse ต่อไป แต่ท่าทีของเขาต่อเรื่องนี้กลับไม่ได้แข็งกร้าวและรุกหนักเหมือนอย่างช่วงแรกของการประกาศทำโลกเสมือนจริง จึงเป็นสิ่งที่น่าจับตาดูต่อไปว่าอนาคตทิศทางต่อเรื่องนี้ของ Meta จะเป็นยังไง เพราะหลังจากมาร์กประกาศปลดคนเพื่อลดค่าใช้จ่ายบริษัท ก็ทำให้หุ้นของ Meta เพิ่มขึ้น 7% แล้วแบบนี้แรงกดดันของเหล่านักลงทุนจะสั่นคลอนความเชื่อมั่นที่มาร์กมีต่อ Metaverse ได้มากน้อยขนาดไหน

นอกจาก Crytocurrency, NFT หรือ Metaverse เชื่ออย่างยิ่งว่าในอนาคตอันใกล้จะมีเทคโนโลยีที่ดูมีคอนเซปต์ล้ำๆ ที่เกี่ยวกับด้านการเงินการลงทุนแบบนี้ผุดขึ้นมาอีกจำนวนมากอีกเป็นแน่

และสำหรับคนทั่วไปอย่างเราสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่าความสามารถของเทคโนโลยีว่าจะช่วยให้เราหาเงินได้เพิ่มขึ้นแค่ไหน ก็คือความรู้เท่าทันว่าสิ่งนั้นจะเป็นแนวคิดทางธุรกิจที่ยั่งยืนจริงๆ หรือเป็นเพียงแค่การตลาดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ของบริษัทเท่านั้น

อ้างอิง

Writer

บรรณาธิการธุรกิจ มีความสนใจเรื่องกลยุทธ์ธุรกิจ-การตลาด และชื่นชอบการเข้าโรงงานเพื่อดูเบื้องหลังการผลิตเป็นอย่างยิ่ง

You Might Also Like