ปลั๊กอิน
คุยกับ Anitech เครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติไทย กับวิธีทำให้ปลั๊กไฟของแบรนด์ เป็นของใช้สามัญประจำ (หลาย) บ้าน
ลองมองไปรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่ทำงาน เชื่อว่าหลายคนน่าจะพบเจอกับสินค้าของ Anitech เป็นแน่ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องครัว แก็ดเจ็ตทั้งหลายบนโต๊ะทำงาน หรือของใช้ที่ในอดีตหลายคนคิดว่าไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่มีแบรนด์ก็ได้อย่าง ‘ปลั๊กไฟ’
ด้วยดีไซน์ของสินค้าประกอบกับชื่อรวมถึงภาษาญี่ปุ่นที่อยู่ด้านล่างของโลโก้ หลายคนจึงยังอาจไม่รู้ว่าอันที่จริงแล้ว Anitech คือแบรนด์ของคนไทยขนานแท้ที่ก่อตั้งโดย พิชเยนทร์ หงษ์ภักดี มาตั้งแต่ปี 2006
![Anitech](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/07/BODY-WEB-W-BB-Anitech4-1024x683.jpg)
จากจุดเริ่มต้นที่เดินทางไปฝรั่งเศสตอนอายุ 22 โดยการชักชวนของคนรู้จักให้ไปทำงานเกี่ยวกับด้าน computer engineering ที่ปารีส กระทั่งอายุ 24 จึงบินกลับบ้านเกิดเพื่อทำธุรกิจ OEM (original equipment manufacturer คือการรับจ้างผลิตสินค้าให้คนอื่นเอาไปขายในแบรนด์ของตัวเอง) ที่ผลิตการ์ดรีดเดอร์ เมาส์ คีย์บอร์ด และแก็ดเจ็ตต่างๆ ส่งให้กับหลายแบรนด์ดัง จนมาถึงอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนที่สำคัญคือเมื่อตอนอายุ 27 ที่ได้ขยับขยายมาทำแบรนด์ของตัวเองที่ใช้ชื่อว่า ‘Anitech’ ซึ่งมาจากคำว่า Any Technology โดยมีเมาส์เป็นสินค้าชิ้นแรกของแบรนด์ แล้วจึงต่อยอดมาเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกมากมาย จนมาถึงของใช้สามัญประจำหลายบ้านอย่างปลั๊กไฟที่สุดท้ายเป็นสินค้าที่ขายไปแล้วไม่น่าจะต่ำกว่า 5 ล้านชิ้น
จากเรื่องราวข้างต้นที่เดินทางไปฝรั่งเศสตอนอายุ 22 ทำ OEM ตอนอายุ 24 ทำแบรนด์ของตัวเองตอน 27 ไม่แปลกถ้าใครจะคิดว่าเขาน่าจะเกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่มีเงินถุงเงินถังจนกลายเป็นต้นทุนสำคัญผลักดันให้เขาเดินมาถึงทุกวันนี้ได้ ทว่าความจริงไม่ใช่อย่างนั้น
พิชเยนทร์บอกกับเราว่าเขาคือเด็กธรรมดาที่เติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลางทั่วไป พ่อเป็นข้าราชการเป็นอาจารย์สอนด้านวิศวะ ส่วนแม่เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ เรียนในโรงเรียนไทยทั่วไป และจบมาได้ด้วยการที่แม่ของเขากู้สหกรณ์มาส่งเขาเรียน
แต่ต้นทุนสำคัญที่ผลักดันให้เขาเดินมาถึงทุกวันนี้คือการได้เห็นอุปกรณ์เทคโนโลยีล้ำๆ ซึ่งเป็นเครื่องไม้เครื่องมือในการสอนของพ่อ รวมถึงเหล่าลูกศิษย์ลูกหาที่มักจะแวะเวียนมาที่บ้านและพูดคุยในภาษาคอมพิวเตอร์กับพ่ออยู่บ่อยครั้ง เด็กชายพิชเยนทร์จึงซึมซับสิ่งเหล่านี้เข้ามาทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นส่วนสำคัญที่หล่อหลอมให้เขาชื่นชอบและสนใจเรื่องเทคโนโลยีมาตั้งแต่วัยเด็ก
ส่วนที่เขาได้เดินทางไปทำงานที่ฝรั่งเศสเมื่อตอนอายุ 22 ก็เกิดขึ้นเพราะเพื่อนของแม่ชาวฝรั่งเศสซึ่งทำงานเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์มาเที่ยวที่ไทย พิชเยนทร์จึงได้รับหน้าที่เป็นไกด์ และด้วยนิสัยบวกกับพื้นเพความสนใจในเรื่องเทคโนโลยีเป็นทุนเดิมของพิชเยนทร์ ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกจูนกันติดจนเพื่อนของแม่คนนั้นชวนเขาไปทำงานที่ปารีสด้วย
ด้วยความเป็นคนฐานะปานกลางพิชเยนทร์จึงบอกกับเพื่อนแม่คนดังกล่าวว่าเขาคงไม่มีเงิน 4-5 หมื่นบินไปหรอก ถ้าอยากให้ไปทำงานด้วยก็ส่งตั๋วมา เพื่อนของแม่ก็ทำตามคำขอของเขา
ในวันนั้นที่ไม่มีใครรู้เลยว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางของ Anitech
![Anitech](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/07/BODY-WEB-H-BB-Anitech-683x1024.jpg)
ย้อนกลับไปคิดว่าทำไมตอนนั้นเขาจึงชวนคุณไปทำงานที่ฝรั่งเศส แล้วทำไมคุณจึงกล้าตัดสินใจไป
นาทีที่เขาชวนผมไปมันเกิดจากการที่ผมเรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเทคโนโลยีได้ไวในระดับหนึ่ง ส่วนที่ตัดสินใจไปเพราะคิดแค่ว่าได้ไปปารีสก็เป็นอะไรที่ดีมากแล้ว ตอนนั้นอายุ 22 อยู่ในช่วงเรียนจบใหม่ๆ มีโอกาสอะไรก็คว้าไว้หมด
ตอนทำงานที่ฝรั่งเศสเหมือนภาพที่คิดไว้ก่อนไปไหม
ภาพที่เราวาดฝันถึงปารีสไว้คือความสวยหรู แต่พอไปถึงจริงผมเป็นปลาช็อกน้ำเลย คือเพื่อนแม่ที่เป็นชาวฝรั่งเศสคนนั้นนิสัยเขาเหมือนคนไทย มีความเห็นอกเห็นใจ มีน้ำใจต่างๆ นานา
แต่พอไปเจอคนอื่นๆ นี่ไม่ใช่เลย พวกเขาเย็นชาเหมือนสภาพอากาศ เล่นมุกอะไรไปก็ไม่มีใครตอบ ตอนไปถึงแรกๆ เขาไม่เรียกชื่อผมนะ เขาเรียกไอ้เอเชีย คือเขาไม่สนใจอะไรไปมากกว่าการจะทำยังไงให้โปรเจกต์มันสำเร็จ เพราะไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่มาจากต่างที่ คนอื่นก็เช่นกัน และจุดมุ่งหมายที่ทำให้ทุกคนมาร่วมตัวกันที่นี่ก็เพื่อไขว้คว้าหาความสำเร็จ
เพื่อนแม่คนที่ชวนมาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ช่วยเหลือนะ แต่พอไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ เราไม่สามารถให้ใครมาช่วยเหลือได้ตลอดเวลา เพราะถ้ายิ่งร้องขอความเห็นใจมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้รับการดูถูกมากเท่านั้น
![Anitech](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/07/BODY-WEB-W-BB-Anitech82-1024x683.jpg)
แล้วคุณปรับตัวยังไง
ผมว่ามันก็เหมือนทีมฟุตบอล ดูว่ามีตำแหน่งตรงไหนที่ว่างพอจะให้เราลงไปเล่นได้ พอมองไปกองหน้าก็เก่ง ปีกก็เก่ง งั้นเราเล่นแบ็กได้ไหม
วันที่ไปถึงผมก็เห็นว่ามันมีคนโค้ดดิ้ง มีคนเก่งๆ กี๊กๆ อยู่หมดแล้ว เขาทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองหมด แต่ไอ้การทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองหมดนี่แหละ เป็นช่องว่างให้ผมแทรกตัวลงไปเล่นได้
แทรกตัวยังไง
เพราะมนุษย์เรามีแรงมีเวลาที่จำกัด การทำเองทุกอย่างตั้งแต่โค้ดดิ้งเอง บัดกรีเอง เอาของขึ้นเว็บไซต์เอง ส่งของเอง วางบิลเอง มันทำให้ไม่ให้สามารถขยายธุรกิจได้
แล้วเมืองไทยเรามีข้อดีตรงนี้ มีเอาต์ซอร์ซที่เราเก่งมาก ผมเลยบอกกับทีมว่าสิ่งที่ยูทำอยู่เนี่ย ไอจะเอากลับมาผลิตที่เมืองไทยเอง สุดท้ายมันก็โตสิบเท่า เพราะพอเปลี่ยนมาผลิตที่ไทยต้นทุนถูกลงจากหลักพันเหลือประมาณหลักสิบ แถมทำได้ในปริมาณที่เยอะขึ้นด้วย
ไปๆ กลับๆ ฝรั่งเศสได้อยู่สองปีเพราะผมไม่มีวีซ่าทำงาน ก็กลับมาไทยมาทำงานในบริษัทสินค้าอุปโภค บริโภค ซึ่งผมทำงานเป็นพนักงานประจำมาสิบกว่าปีเลยนะ
![Anitech](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/07/BODY-WEB-W-BB-Anitech8-1024x683.jpg)
แล้วคุณเริ่มทำ OEM ตอนไหน
ก็ทำตอนที่ทำงานประจำไปด้วยนั่นแหละ เราเอาความรู้ที่สั่งสมมาทำ OEM ที่ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการ์ดรีดเดอร์ เมาส์ หูฟัง คีย์บอร์ด ส่งให้กับแบรนด์ดังทั้งหลาย ซึ่งต้องบอกว่าการทำ OEM ของผม ไม่ได้เป็นการสร้างโรงงานขึ้นมาหรือลงทุนซื้อเครื่องจักรด้วยตัวเองนะ เพราะถ้าผมทำโรงงานเองมันจะผลิตสินค้าได้แค่แบบเดียว แต่ถ้าไปผลิตที่จีนเขามีซัพพลายเชนครบ จะทำอะไรที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ก็มีให้เราหมดเลย เห็นแล้วตาเบิกโพลงมาก เอาเป็นว่าโรงงานเล็กๆ ของเขาเนี่ยใหญ่กว่าโรงงานใหญ่ๆ ในบ้านเราอีก คือมีเงินเยอะแค่ไหนก็สู้จีนไม่ได้หรอก เพราะ capacity เขาสูงมาก บางโรงงานใหญ่จนผมนึกว่าเป็นนิคมอุตสาหกรรม
ผมก็เลยเลือกไปผลิตที่จีนแล้วให้โรงงานที่จีนทำตามสเปกแบบที่เรากำหนดไว้ ส่วนเงินที่มีอยู่อย่างจำกัดก็เอาไปทุ่มกับส่วนที่เป็น R&D เอาไปพัฒนาสินค้าแทน ผมไปจีนตั้งแต่ประมาณ 20 ปีที่แล้ว ไปตั้งแต่การเดินทางจากเซินเจิ้นไปกว่างโจวใช้เวลาตั้ง 3 ชั่วโมง เพราะสมัยนั้นถนนหนทางยังไม่ดีเท่าไหร่
จากนั้นก็ใช้วิธีไปเสนอขายให้กับแบรนด์ต่างๆ ด้วยความที่ผมทำงานในบริษัทเกี่ยวกับสินค้าอุปโภค บริโภค ก็เลยทำให้มีความเข้าใจในธุรกิจ และทำให้จับจุดได้ว่าเราต้องสื่อสารยังไงที่จะทำให้ฝ่ายจัดซื้อรู้สึกว่าเราสามารถผลิตสินค้าที่เหมาะกับความเป็นแบรนด์ของเขาได้ บวกกับตอนนั้นยังไม่มีบริษัทไทยที่ไหนทำ OEM แบบเดียวกับที่ผมทำ เลยทำให้ผมได้เกือบทุกงานที่เอาไปนำเสนอ
![Anitech](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/07/BODY-WEB-W-BB-Anitech84-1024x683.jpg)
ถึงจะไม่ได้ลงทุนทำโรงงาน ไม่ได้ซื้อเครื่องจักรด้วยตัวเอง แต่การทำ OEM ก็ดูไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนวัย 24 ตอนนั้นเอาความกล้ามาจากไหน
ผมว่ามันคือความเป็นสปิริตของคนหนุ่มสาว คือความไม่รู้ ไม่รู้ว่าจะต้องวางบิลยังไง ไม่รู้ว่าต้องจัดการแคชโฟลว์แบบไหน เรารู้แค่ในสิ่งที่เราคิดไปเองว่ามันจะเป็นแบบโน้นแบบนี้ เรื่องความกลัวในตอนนั้นมีน้อยมากๆ โดยเฉพาะคนที่ไม่มีอะไรแบบผมเนี่ย มันนึกไม่ออกว่าถ้าผิดพลาดแล้วจะมีอะไรแย่ไปกว่าที่เป็นอยู่ หรือแย่ไปกว่าการเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ใช้เงินแบบเดือนชนเดือน
จริงๆ ตอนนั้นไม่มีคำว่าถ้าแย่กว่านี้แล้วจะเป็นยังไงด้วยซ้ำ มันมีแต่คำว่าถ้าทำได้นะเราจะได้ถอยรถใหม่ จะซื้อนู่นซื้อนี่ ตอนนั้นคิดแค่นั้นเลยจริงๆ
เมื่อ OEM ไปได้สวย แล้วทำไมถึงหันมาทำแบรนด์ Anitech ของตัวเอง
ตอนทำ OEM นี่เหมือนถังน้ำมันเลย ออร์เดอร์หลักล้านถือเป็นเรื่องปกติ จนมีอยู่ช่วงนึงที่เห็นว่าแบรนด์ที่ผมทำ OEM ให้เขาค่อยๆ ลดราคาขายลงเรื่อยๆ อย่างคอมพิวเตอร์จากเดิมขายอยู่ที่ 7 หมื่น ก็ค่อยๆ ลดลงมาเหลือ 5 หมื่น สุดท้ายลงมาอยู่ที่ 3 หมื่น เห็นแบบนี้ก็เลยทำให้รู้สึกว่า เฮ่ย ถ้าเขาลดราคาขาย แล้วสุดท้ายเขาจะไม่มากดราคากับเราหรือ มันเป็น logic ปกติมากๆ และคิดว่าสักวันมันจะกระทบกับเราแน่ๆ
แล้วสารพัด pain point อะไรที่คนทำ OEM เขาเจอกันผมก็เจอหมด ทั้งโดนกดราคา สั่งสินค้าแล้วยังไม่เอา สั่งของไว้เยอะๆ แล้วยังไม่เรียกใช้ ในที่สุดเงินก็จม แคชโฟลว์ก็เริ่มไม่โฟลว์ เลยต้องหาทางออกว่าจะทำยังไง สุดท้ายก็ได้คำตอบว่าต้องสร้างแบรนด์เป็นของตัวเองขึ้นมา
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/07/BODY-WEB-H-BB-Anitech32-683x1024.jpg)
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/07/BODY-WEB-H-BB-Anitech3-683x1024.jpg)
ทำ OEM กับทำแบรนด์แตกต่างกันมากน้อยขนาดไหน
ต่างกันมาก (เน้นเสียง) แค่เรื่องคุยกับลูกค้าก็ต่างกันมากแล้ว อย่างตอนทำ OEM คนที่ผมต้องดีลด้วยคือฝ่ายจัดซื้อขององค์กร แม้เขาจะไม่ชอบเราขนาดไหน แต่ด้วยหัวโขนความเป็นพนักงานจากองค์กร ยังไงแล้วเขาก็จะพูดจาดีกับเรา จะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้
ซึ่งพอมาถึงวันที่ผมทำแบรนด์เป็นของตัวเองแล้วเดินไปตามตู้ตามร้านค้าต่างๆ ในตึกไอทีทั้งหลายมันเป็นอีกโลกนึงเลย ถ้าเขาไม่โอเคเขาโยนนามบัตรเราทิ้งต่อหน้าเลยก็มี แต่ก็ถือเป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องของโลกธุรกิจในมิติที่หลากหลายมากขึ้น
สินค้าแรกภายใต้แบรนด์ Anitech คืออะไร
เมาส์ แล้วก็ตามมาด้วยอุปกรณ์เทคโนโลยีทั้งหลายที่เคยทำตอนเป็น OEM
![Anitech](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/07/BODY-WEB-W-BB-Anitech3-1024x683.jpg)
แล้วสินค้าที่ขายดีที่สุดคืออะไร
ปลั๊กไฟ คิดเป็น 30% ของยอดขายทั้งหมดในตอนนี้ ปีนึงขายไปประมาณ 5-6 แสนชิ้นได้
ตอนนั้นทำไมถึงเริ่มอยากขายปลั๊กไฟ มองเห็นโอกาสอะไร
มันมาจากความคิดที่ผมอยากจะสร้างการเติบโตในธุรกิจ ซึ่งการออกสินค้าใหม่ช่วยเรื่องนี้ได้ จนกระทั่งวันหนึ่งหันไปเห็นปลั๊กไฟในบ้านแล้วก็ทำให้เกิดความรู้สึกว่า เอ๊ะทำไมมันเป็นของที่มีปัญหาเยอะจัง ดีไซน์ก็ไม่ค่อยสวย บางทีก็ลัดวงจร เสียบไปก็มีไฟสปาร์กออกมา มันก็เลยสปาร์กความคิดผมว่าถ้าไม่มีใครทำปลั๊กดีๆ ขาย งั้นเดี๋ยวผมทำเอง พอคนรอบข้างรู้ว่าจะทำปลั๊กไฟขาย เขาก็บอกผมว่าอย่ามาบ้าทำเลย เพราะไอ้ที่ขายอยู่ในท้องตลาดมัน 80-90 บาท แล้วผมจะเอาอะไรไปสู้กับเขา
แต่เวลาจะปล่อยสินค้าใหม่แต่ละครั้งจะต้องมีการคำนวณว่ามีจำนวนผู้ใช้เท่าไหร่ มาร์เก็ตไซส์เท่าไหร่ ซึ่งปลั๊กไฟเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์เรื่องนี้ มาร์เก็ตไซส์ขนาดใหญ่มาก เพราะไม่ว่าบ้านไหนก็ต้องใช้ปลั๊กกันทั้งนั้น
สุดท้ายเลยตัดสินใจทำมันขึ้นมา ใช้เวลาในการ R&D นาน 2 ปี ที่ใช้เวลานานขนาดนี้เพราะคนอื่นไม่ได้อินกับผมมากเท่าไหร่ (หัวเราะ) ก็เลยต้องนั่งทำคนเดียวทั้งหมด อย่างที่บอกไม่มีใครคิดว่าปลั๊กราคาเกือบ 300 จะขายได้ เลยต้องทำเองทุกอย่างตั้งแต่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ดีไซน์ให้มีความโค้งมนมีสีสันต่างๆ แล้วก็พัฒนามาเรื่อยๆ จากปลั๊กที่มีสวิตช์อันเดียว เป็นสวิตช์หลายอัน เพิ่มช่องเสียบ USB หรือปลั๊ก IOT ที่สั่งเปิด-ปิดจากมือถือได้
![Anitech](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/07/BODY-WEB-W-BB-Anitech-1024x683.jpg)
คิดว่าอะไรที่ทำให้สินค้าแสนธรรมดาอย่างปลั๊กไฟ กลายเป็นของขายดีที่สุดของแบรนด์
อาจเป็นเพราะความธรรมดาของมันนี่แหละ ตำราธุรกิจหลายเล่มบอกว่าถ้าอยากประสบความสำเร็จจะต้องทำแบรนด์ทำสินค้าให้เข้าไปอยู่ในใจผู้คนให้ได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไรหรอก เพียงแต่ความสำเร็จในความหมายของ Anitech มันอาจจะแตกต่างออกไป เป็นความเรียบง่ายธรรมดา ไม่ต้องหวือหวา ไม่ต้องอยู่ในใจ แต่อยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนได้ก็เพียงพอ
เปรียบเทียบให้เห็นภาพก็เหมือนเวลาซื้อมือถือใหม่มาที่จะต้องดูแล้วดูอีกเป็นของที่ทะนุถนอมสุดๆ แต่ปลั๊กไฟของ Anitech ไม่ใช่แบบนั้น เรารู้ดีว่ามันเป็นแค่องค์ประกอบในชีวิตของผู้คน คือไม่ได้เห่อ ไม่ได้ดีใจเวลาซื้อมาใหม่ เพียงแต่เวลาใช้แล้วรู้สึกปลอดภัย อยู่ในชีวิตประจำวันทั่วไป เวลาใช้ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่พออยากได้ของใหม่ก็จะมาซื้อของเราซ้ำอีก
อีกอย่างมันอาจเป็นเพราะตัวสินค้าสามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันของผู้คนได้ คือก่อนหน้าที่ Anitech จะทำปลั๊กออกมา ต้องบอกว่าคนไทยส่วนใหญ่คุ้นชินกับปลั๊กสีขาว-ดำ ไม่เคยรู้จักว่าปลั๊กมันสามารถเป็นสีชมพูเป็นสีสันต่างๆ ได้
สังเกตหลายๆ บ้านวางเครื่องเสียงตัวละแสน วางทีวีจอบางเป็นหมื่นไว้ที่ห้องรับแขก แต่ปลั๊กซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อทั้งสองอย่างกลับถูกเอาไปซ่อนอยู่ข้างหลังเพราะมันไม่สวย ผมก็เลยเลือกที่จะทำให้มันสวย ให้มันเป็นของตกแต่งบ้านได้
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/07/BODY-WEB-W-BB-Anitech5-1024x683.jpg)
การที่ปลั๊กไฟสำเร็จแบบที่เราเชื่อ ความรู้สึกเป็นยังไง
ผมว่ามันมีทั้งสองด้านนะ ด้านแรกคือเวลาเราจะทำโปรเจกต์ใหม่ๆ แล้วมีความไม่มั่นใจบางอย่าง เราก็จะใช้ปลั๊กเป็นตัวเปรียบเทียบว่าเราก็เคยทำสิ่งใหม่ๆ สำเร็จมาแล้วนะ มันเป็นสิ่งที่ใช้อินสไปร์ทีมงานได้
ส่วนอีกมุมนึงมันก็เป็นกับดักความสำเร็จที่ทำให้พอเราทำโปรเจกต์ใหม่ๆ ก็อาจจะมีการ์ดตกไปบ้าง ตอนปล่อยออกมาตลาดก็อาจจะไม่ได้ยอมรับเหมือนอย่างที่เราคาดไว้ ถามว่าเฟลไหม ก็คงไม่ได้เฟลอะไรมาก แต่แค่รู้สึกว่าเรื่องปลั๊กเรื่องเดียวมันสอนเราทั้งสองแง่มุมเลย
เมื่อปลั๊กไฟไม่ใช่สิ่งที่คนซื้อกันบ่อยๆ คุณทำยังไงให้ปลั๊กไฟเป็นสินค้าขายดีอันดับ 1 ของแบรนด์
เมื่อก่อนแต่ละบ้านจะมีทีวีไม่กี่เครื่อง มีเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่กี่อย่าง แต่ปัจจุบันที่ราคาของเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ถูกลง บวกกับยุคอินเทอร์เน็ตที่ทำให้คนๆ นึงมีอุปกรณ์ไฟฟ้ามากกว่าหนึ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ และอะไรต่างๆ อีกมากมาย ฉะนั้นการมีปลั๊กพ่วงจำนวนเท่าเดิมมันไม่เพียงพออีกต่อไป ก็เลยทำให้ความต้องการในการใช้ปลั๊กไฟมีมากขึ้นตามไปด้วย
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/07/BODY-WEB-W-BB-Anitech7-1024x683.jpg)
อะไรคือจุดร่วมที่ทั้งปลั๊กไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้าหลายๆ อย่างของ Anitech มีร่วมกัน
จริงๆ มีอยู่ทั้งหมด 3 ข้อด้วยกัน ข้อแรกคือเรื่องดีไซน์ที่สวยงามและใช้งานในชีวิตประจำวันได้แบบง่ายๆ ยกตัวอย่างตอนเริ่มทำเมาส์ ถ้าจำกันได้เมื่อก่อนเมาส์ที่มีวางขายในท้องตลาดมีแต่ตัวใหญ่ๆ ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะมันถูกผลิตมาจากตะวันตกก็เลยต้องดีไซน์ให้เข้ากับมือและการใช้งานของชาวตะวันตก
แต่ลองคิดดูดีๆ คนทำงานวันๆ นึงจับเมาส์มากกว่าจับมือแฟนอีกนะ ผมก็เลยมาทำเมาส์ให้มันดูเล็กลง เหมาะกับมือคนไทยมากขึ้น หรืออย่างปลั๊กไฟเองก็ทำดีไซน์ให้มันสวยงามจากที่เคยเป็นของที่หลบอยู่มุมห้อง ก็เอาขึ้นมาโชว์บนโต๊ะทำงานได้
ข้อสองคือการันตีที่สินค้าของเราสามารถเคลมได้ เพราะการมีการันตีก็ถือเป็นการยืนยันคุณภาพของสินค้าไปได้โดยปริยาย ที่กล้ามีการันตีเพราะสินค้าแต่ละชิ้นใช้เวลา R&D กับมันนานมาก ซึ่งตั้งแต่แบรนด์มา 15 ปี เรามีปริมาณการเคลมสินค้าอยู่แค่ประมาณ 0.7% ติดต่อกันมาจะ 10 ปีแล้วคิดง่ายๆ สินค้า 1,000 มีของส่งกลับมาเคลมแค่ 6-7 ชิ้นเท่านั้น
ข้อสุดท้ายคือความหลากหลาย เพราะผมตั้งใจอยากจะทำให้ Anitech เป็นสินค้าที่ยกระดับชีวิตของผู้คน ซึ่งถ้าจะทำแบบนั้นได้จำเป็นต้องมีสินค้าที่หลากหลายอยู่รอบตัวของเขา ไม่ใช่ทำแค่อย่างเดียวแล้วก็จบ
และในมุมธุรกิจการทำสินค้าที่หลากหลายก็สามารถสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจได้ด้วย ดูอย่างหลายแบรนด์ในต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ เขาไม่ได้ขายของอย่างเดียวแล้วก็จบ เขาทำสินค้าหลายอย่าง มีของหลากหลาย SKU เพื่อสร้าง ecosystem ของแบรนด์ให้กับผู้คน
ทุกวันนี้เวลาเห็นผู้คนใช้ของ Anitech ในชีวิตประจำวันคุณรู้สึกยังไง
เหมือนได้รางวัล
![](https://capitalread.co/wp-content/uploads/2022/07/BODY-WEB-H-BB-Anitech2-683x1024.jpg)