การวางแผนจัดการหนี้บัตรเครดิตในคนรุ่นใหม่ และคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการปลดหนี้

Wealth Done ตอนนี้ มีคำถามจากผู้อ่านทางบ้านส่งมาถามเรื่องการจัดการหนี้มากมายของคนรุ่นใหม่ 

สำคัญที่สุด หนี้ของใครคนนั้นควรจะเป็นคนจัดการใช่ไหมคะ และหนี้ที่เป็นของเราคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ มักจะมีหนี้จากการใช้จ่ายเกินตัวนิดหน่อย ซึ่งวิธีการง่ายมากนั่นคือรูดจ่ายด้วยบัตรเครดิต แล้วหวังว่าเมื่อมีเงินเดือนหน้าเข้ามาค่อยนำออกมาจ่าย ไปเที่ยวก็รูดบัตรเครดิตผ่อนชำระ 10 งวด หรือตั้งใจซื้อของที่ชอบด้วยการผ่อนชำระ 5-6 งวด ส่งผลให้บัตรเครดิตใบนี้เต็ม ก็ไปเปิดบัตรที่ 2 บัตรที่ 3 

การที่บัตรเครดิตยอมให้จ่ายหนี้ขั้นต่ำแค่ 10% อาจจะฟังดูโอเค แต่ทราบหรือไม่ว่าดอกเบี้ยบัตรเครดิตนั้นมีมูลค่าเท่าไหร่ ข้อมูลดอกเบี้ยบัตรเครดิตวันนี้ สูงสุดคือ 28% เลยนะคะ 

ในบทความของ Wealth Done ตอนที่ผ่านๆ มา ถ้ายังจำกันได้ เรามักจะหยิบเรื่องสูตรมหัศจรรย์ตัวเลข 72 มาเล่าให้ฟัง เป็นสูตรการคำนวณดอกเบี้ยทบต้น เพื่อหาจำนวนปีที่ผลตอบแทนจะทบต้น

เช่น ในการลงทุนที่ผลตอบแทน 10% จะใช้เวลาเพียง 7 ปีกว่า (มาจาก 72 หารด้วย 10) เงินนั้นจะเพิ่มจำนวนเป็นอีกเท่า หรือหากนำเงินไปลงทุนทำธุรกิจที่ได้กำไร 20% เท่ากับว่าใช้เวลา 3 ปีกว่า (มาจาก 72 หารด้วย 20) ที่เงินจะงอกเงยทบต้น 

ในทางเดียวกัน ถ้าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายคืนหนี้บัตรเครดิตเท่ากับ 28% 

นำ 72 หารด้วย 28 แปลว่าใช้เวลาเพียง 2 ปีกว่าๆ จำนวนเงินนั้นจะทบต้น 

มันรุนแรงมากเลยใช่ไหมคะ และกลายเป็นว่าที่เราต้องจ่ายไปทุกเดือนไม่จบไม่สิ้นนั้นคือดอกเบี้ยล้วน ๆ เท่ากับว่าเงิน 10 เปอร์เซ็นต์ที่จ่ายไปเป็นขั้นต่ำในแต่ละเดือนไม่พอจะทำลดเงินต้น ยิ่งจะทำให้ดอกเบี้ยเพิ่มพูนมากขึ้นไป เพราะฉะนั้น สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกสุดเวลารายการบัตรเครดิตมาส่งที่บ้าน คือให้ถามตัวเองว่า นี่คือสิ่งที่ต้องใช้ (need) หรือมันคือสิ่งที่ต้องการ (want) ซึ่งคนที่ใช้บัตรเครดิตเกินตัวส่วนใหญ่มักจะพ่ายแพ้ให้กับคำว่า want ทั้งสิ้น

ในฐานะนักการเงินขอแนะนำให้แก้หนี้บัตรเครดิตของใบที่ดอกเบี้ยสูงสุดก่อน ซึ่งดอกเบี้ยของบัตรเครดิตแต่ละใบไม่เท่ากัน และเมื่อตั้งใจจะแก้หนี้ ลำดับแรกสุดคือต้องไม่สร้างเพิ่ม แม้ว่าจะดูเหมือนหักดิบเล็กน้อยถูกมั้ยคะ

จากนั้นมาพยายามลดอันที่ดอกเบี้ยสูงสุดกัน โดยค่าเฉลี่ยของดอกเบี้ยบัตรเครดิตวันนี้ถ้าเป็นของธนาคารใหญ่ๆ หรือธนาคารของรัฐจะอยู่ที่ 18% แต่ถ้าเป็นธนาคารขนาดเล็กหรือแหล่งเงินที่ไม่ใช่ธนาคารดอกเบี้ยอาจจะสูงถึง 28% ซึ่งหลักการคิดดอกเบี้ยจากจำนวนเงินที่ไม่จ่ายหรือคงค้างคือ เขาจะคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันแรกที่คุณรูดใช้บัตรเครดิต ถ้าเป็นไปได้เราควรจ่าย 100% หรือจ่ายคืนให้ได้มากที่สุด แม้บัตรเครดิตบางใบยืดอายุชำระดอกเบี้ยได้ถึง 45 วัน ถึงเวลาครบกำหนดควรจ่าย 100% ให้ได้ 

สำหรับใครที่บอกว่าจ่ายไม่ไหวๆ จริงๆ ก็ไม่อยากจะแนะนำทางนี้นะคะ แต่คนเรามีญาติพี่น้อง อาจจะไปยืมเงินคนสนิทมาปิดหนี้ส่วนนี้ก่อน อย่างน้อยก็ยังพอผ่อนๆ จ่ายได้ ทำยังไงก็ได้ให้ปิดหนี้ของบัตรที่ดอกเบี้ยสูงกว่าก่อน หรือถ้าไม่อยากรบกวนใคร และวงเงินยังพอเหลืออาจจะหยิบยืมเงินจากบัตรเครดิตใบที่ดอกเบี้ยต่ำกว่า มาจ่ายดอกเบี้ยสูง แต่ต้องระวังว่าเวลาถอนเงินจากบัตรเครดิตแต่ละครั้งมีค่าธรรมเนียมในการถอน แถมยังอาจจะเจอดอกเบี้ย 28% และเวลาที่คืนเงินปิดยอดก็อาจจะมีค่าธรรมเนียมอีก มันจุกจิกมาก ทำให้ในความเป็นจริงคุณอาจจะเสียเงินเยอะกว่าเดิมเยอะมากๆ

นอกจากนี้เราจะพบว่าบัตรเครดิตมีรอบวันตัดยอดไม่เหมือนกัน บัตรบางใบตัดวันที่ 10 บางใบตัดวันที่ 20 วันที่ 30 หมายความว่า การใช้จ่ายที่เกิดขึ้นหลังวันที่ 10 ฉันก็ใช้บัตรที่ตัดวันที่ 10 เพื่อเพิ่มเวลาจ่ายชำระซึ่งกว่าบิลจะมาเราจะมีเวลาประมาณ 45 วันในการเคลียร์ นี่คือวิธีการที่เราใช้เป็นประจำ ซึ่งอ่านแล้วไม่ต้องทำตามก็ได้

เรื่องที่น่าสนใจต่อมาคือ บัตรเครดิตบางใบมีสิทธิประโยชน์ที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ เช่น ถ้าชอบกิน บัตรบางใบจะได้รับส่วนลด 10% จากร้านอาหาร หรือถ้าชอบเดินทาง บัตรบางใบเปลี่ยนคะแนนเป็นตั๋วเดินทางได้ หรือบัตร travel card ที่ให้อัตราแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าและใช้งานสะดวกเมื่อต้องเดินทางไปต่างประเทศ และล่าสุดมีบัตรประเภทที่ให้สิทธิการดูสตรีมมิงของ Netflix, WeTV, iQIYI ด้วยนะ

การใช้บัตรเครดิตที่ดีคือ พยายามจ่ายคืนทั้ง 100% เมื่อถึงเวลาปิดครบงวด และมีวินัย ไม่ใช้จนเกินความจำเป็น คุณอาจจะสร้างวินัยด้วยการตั้งเป้าว่าเดือนนี้ขอใช้บัตรเครดิตสำหรับซื้อของที่ชอบสัก 5,000 บาท เป็นต้น 

แล้วถ้าเป็นหนี้เยอะมาก ไม่สามารถหาเงินมาปิดได้ควรเริ่มจากอะไร

จริงๆ ไม่ได้อยากแนะนำอย่างนี้นะคะ แต่ถ้าสมมติว่าไม่ไหวจริงๆ วงเงินมันใหญ่จริงๆ วิธีแรกอาจจะนำบ้านไปวางเพื่อหาเงินมาปิดหนี้ เพราะยังไงแล้วดอกเบี้ยบ้านก็ถูกกว่าดอกเบี้ยบัตรเครดิต วิธีที่สองใช้สินเชื่อรถยนต์ ทั้งสองวิธีนี้ดอกเบี้ยอาจจะน้อยกว่าดอกเบี้ยบัตรเครดิตก็จริงแต่จะทำให้หนี้กลายเป็นหนี้ที่ก้อนใหญ่ขึ้น และเมื่อถึงวันหนึ่งเราอาจจะรู้สึกว่าไม่ไหว จึงอยากแนะนำว่าหากเป็นไปได้ขอให้จำกัดอยู่ในบัตรเครดิตเพราะว่าวงเงินมันน้อยหน่อย แล้วก็ใช้ให้อยู่ในวงเงินให้ได้

เรื่องถัดไปคือการจัดการหนี้สินอย่างอื่น อย่างที่บอกว่าหนี้อะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะซื้อมาถูกหรือแพงไม่รู้แต่ขอให้ได้ใช้ เช่น ซื้อบ้านก็ต้องเป็นบ้านที่ตั้งใจจะอยู่ อย่าเพิ่งไปซื้อเพื่อเก็งกำไรว่าจะปล่อยเช่า ขอให้ลืมเรื่องนั้นไปก่อน

ถ้าซื้อแล้วใช้อย่างน้อยที่สุดก็เป็นความสุขทางใจ ของหลายอย่างมีราคาเพิ่มขึ้นตามกาลเวลาหรืออย่างน้อยราคาก็ไม่ได้ลดลง การซื้อของเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นที่ดินหรืออะไรก็ตาม จะยังไม่ค่อยน่ากลัว ขณะเดียวกันก็มีของหลายอย่างที่ซื้อแล้วราคาลดลงอย่างรวดเร็ว เราต้องศึกษาและทำความเข้าใจด้วยนะคะ

จะว่าไปเรื่องของหนี้บัตรเครดิตไม่ได้เกิดแค่ในคนรุ่นใหม่ และไม่ใช่เป็นเรื่องของเด็กๆ เลย ผู้ใหญ่หลายคนก็ยังวนเวียนบัตรเครดิต ที่น่าตกใจมากก็คือหลายคนทำธุรกิจค้าขายแล้วใช้บัตรเครดิตเป็นเงินหมุน 

เรื่องนี้สำคัญมาก คุณต้องเข้าใจว่าทำไมเราจึงไม่ควรใช้บัตรเครดิตเป็นเงินหมุน เพราะดอกเบี้ยมันแพงมาก หากคิดจะค้าขายควรจะเริ่มจากทุนตัวเองก่อน ไม่ควรเอาอะไรมาเป็นภาระโดยเฉพาะดอกเบี้ยจากบัตรเครดิต เมื่อไหร่คุณไปรูดบัตรเครดิตมา 4 แสนแล้วพยายามเริ่มทำธุรกิจจาก 4 แสนบาท ลองคิดดูว่า 28% ของเงิน 4 แสนคือเท่าไหร่ นี่แทบจะเป็นเรื่องต้องห้าม ห้ามทำและไม่อยากให้ทำเลย ซึ่งหลายคนคิดว่าเขาทำ margin ได้ ก็อาจจะได้ แต่ถ้าคุณเจอเหตุการณ์อย่างโควิดคุณสะดุดทันทีเลย ร้านเปิดไม่ได้ทันที เพราะฉะนั้นหากคิดจะเริ่มธุรกิจอะไร เราอยากให้เริ่มจากทุนส่วนตัวก่อน

ก่อนจะจากกันไป ขอฝากเรื่องเครดิตบูโร อธิบายง่ายๆ ก็คือ คนที่เป็นหนี้บัตรเครดิตเยอะ ติดนาน ไม่ยอมจ่าย ซึ่งมีโอกาสที่ทางธนาคารจะฟ้อง ผลจากการติดเครดิตบูโรทำให้จากนี้ไปจะทำธุรกรรมอื่นๆ ในอนาคตไม่ได้ เช่น การขอกู้บ้าน หรือแค่เปิดบัญชีก็อาจทำไม่ได้เพราะถือว่าเป็นบุคคลที่มีประวัติว่าไม่มีวินัยทางการเงิน 

มีกรณีศึกษาหนึ่ง เขาติดเครดิตบูโรตั้งแต่สมัยเด็กๆ โดยที่เขาก็ไม่รู้ตัว ต่อมาเขาเป็นเจ้าของธุรกิจจะมาทำธุรกรรมเช่าซื้อรถยนต์กับธนาคารปรากฏแบงก์ไม่ให้ผ่านเพราะติดเครดิตบูโร ถ้าจำไม่ผิดเป็นเงินกู้เพื่อการศึกษา ซึ่งเขาไม่จ่ายและทำตัวไม่รู้เรื่องไป ในที่สุดคือพอมากู้ซื้อรถก็ซื้อไม่ได้ ซึ่งหากมีชื่อติดเครดิตบูโรแล้วยังไงก็แก้ไขไม่ได้ 

สิ่งที่แก้ได้คือเขาต้องกลับไปคืนเงินกู้นั้น ซึ่งพอเวลาล่วงเลยมาเป็นสิบปี ทำให้ดอกเบี้ยมีจำนวนมหาศาลมาก นี่คือเรื่องที่คนไม่ค่อยทราบกัน แล้วหลายครั้งที่บางทีไม่ใช่แค่คดีเงินกู้ บางทีศาลฟ้องคุณเสร็จแล้วคุณไม่รู้ตัว คุณกลายเป็นคนติดแบล็กลิสต์แล้ว เงินจะคืนก็ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว ก็ต้องคอยระวังไม่ให้เกิดเพราะมันจะติดตัวไปตลอดชีวิต


WEALTH DONE คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital แล้วรออ่านคำตอบพร้อมกันทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co

Pay Off Your Debt (บัตรเครดิต) หนี้นี้ใครครอง

บัตรเครดิต นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

บัตรเครดิต WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

NORSE Republics ธุรกิจนำเข้าแบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของใช้จากสแกนดิเนเวียน ที่เชื่อว่างานออกแบบที่ดีทำให้ชีวิตคนดีขึ้น

“นอกจากลูกค้าจะได้ลองนั่งอย่างเต็มที่แล้ว พนักงานของที่นี่นั่งทำงานหรือประชุมบนเก้าอี้ทุกตัวในนี้ได้เลย” 

หนึ่งในทีมงานเล่าสวัสดิการที่คนรักเก้าอี้อย่างเราได้ยินแล้วจิตใจไขว้เขว เพราะนอกจากได้ใช้เก้าอี้ผลงานดีไซเนอร์ดังที่เราคุ้นตาจากหน้านิตยสารแต่งบ้านแบบไม่อั้นแล้ว โชว์รูมกึ่งออฟฟิศแห่งนี้ยังตั้งอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นและบ้านเก่ายุค 1950 

เรากำลังอยู่ที่ House of Fritz Hansen ในซอยสมคิด โชว์รูมแห่งเดียวในประเทศไทยที่รวมเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านจากแบรนด์ Fritz Hansen–แบรนด์เฟอร์นิเจอร์จากเดนมาร์ก ได้ครบถ้วนที่สุด เพื่อพบกับ วีกฤษฏิ์ พลาฤทธิ์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ NORSE Republics ผู้นำเข้าแบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านสไตล์สแกนดิเนเวียน อย่าง HAY, Fritz Hansen, Vitra, GUBI และอื่นๆ หลังเรียนจบ อดีตนักเรียนวิศวกรรมศาสตร์อย่างวีกฤษฏิ์ก็ตัดสินใจไปเรียนต่อด้านออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อสานฝันและสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง ระหว่างทางก็ไปตกหลุมรักความเรียบง่ายของงานออกแบบสไตล์นอร์ดิก จึงตัดสินใจเปิดร้านป๊อปอัพเล็กๆ เพื่อทดสอบสมมติฐาน ว่าจะมีใครสนใจและเห็นความงามในงานออกแบบจากประเทศแถบสแกนดิเนเวียนอย่างที่เขาเห็นหรือไม่

NORSE Republics
NORSE Republics

สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ในยุคที่คนยังไม่อินกับฮุกกะหรือวิถีชีวิตดีของชาวสแกนดิเนเวียน วีกฤษฏิ์ ทำให้คนทั้งเมืองรู้จักและตกหลุมรัก HAY อยากได้เก้าอี้ของ Fritz Hansen อยากได้โซฟารูปหัวใจของ Vitra อยากมีเชิงเทียนไว้จุดเทียนในบ้าน อยากถือถุงผ้าสีสวยของ HAY ไปจ่ายตลาด ไปจนถึงยอมจ่ายเงินซื้อเฟอร์นิเจอร์ของแท้ให้เหมือนซื้องานศิลปะได้ยังไง

ตามไปดูวิธีคิดและการทำธุรกิจ ของคนที่ไม่อยากเรียกตัวเองว่าเป็นนักธุรกิจ แต่เป็นคนที่มีความสุขจากการได้ทำงานและอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ชอบ

ไม่ว่าคุณจะกำลังนั่งอ่านบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้อยู่ที่ไหน ระวังมือไปกด F เฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านโดยไม่รู้ตัว 

ป.ล. ระวังภาพประกอบของบทความให้ดีด้วยล่ะ เพราะมาจนวันนี้ เรายังคิดถึงโคมไฟอันนั้นไม่หาย อยากให้เจ้านายและน้องที่ออฟฟิศผ่านมาเห็นจะได้เห็นดีเห็นงามนำมาตกแต่งออฟฟิศ Capital ของเรา

NORSE Republics

ไม่ต่างจากนักเรียนออกแบบทุกคนที่ฝันอยากทำแบรนด์เป็นของตัวเอง อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้คุณตัดสินใจนำเข้าเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านสไตล์สแกนดิเนเวียน ในยุคที่คนยังไม่รู้จักวิถีชีวิตดีแบบฮุกกะด้วยซ้ำ

ผมเป็นคนชอบเฟอร์นิเจอร์ หลังจากเรียนจบด้านวิศวกรรมศาสตร์ วันหนึ่งก็ตัดสินใจไปเรียนต่อด้านออกแบบเพราะอยากทำแบรนด์ของตัวเอง ข้อดีของการไปเรียนต่อที่มิลาน ประเทศอิตาลี คือ มิลานเป็นเมืองที่มีงานดีไซน์แฟร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก นั่นแปลว่าเราจะได้เห็นสินค้าดีไซน์จากทั่วโลก ช่วงแรกที่ไปยังไม่ค่อยมีงานสไตล์สแกนดิเนเวียนเท่าไหร่ แต่หลังจากนั้นไม่นานสแกนดิเนเวียนกลายเป็นเทรนด์ที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และมีให้เห็นทุกที่เลย

พอกลับมาประเทศไทย ที่บ้านผมเป็นโรงงานอุตสาหกรรม เราก็คิดว่าพอจะลงทุนในเครื่องจักรได้บ้าง แต่หลังจากทดลองอยู่ประมาณ 2 ปีก็เรียนรู้ว่าแค่การออกแบบอย่างเดียวไม่พอ กว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์สักชิ้น มีกระบวนการอื่นๆ มากมายที่อยู่เหนือความสามารถและการควบคุมของเรา ทั้งเรื่องการผลิต ทักษะของช่างฝีมือ ซัพพลายเออร์ของวัตถุดิบไม่รู้กี่ร้อยชนิด ตั้งแต่เหล็ก ไม้ ลามิเนต กาว สี ทุกอย่างเลย เรามีมาตรฐานที่อยากจะไปให้ถึง แต่เราก็ทำไม่ได้เสียที เลยตัดสินใจติดต่อกับ HAY

NORSE Republics

ท่ามกลางแบรนด์ดีไซน์มากมาย อะไรคือความพิเศษของ HAY ที่ดึงดูดคุณ

HAY เป็นแบรนด์จากสแกนดิเนเวียนที่มีความร่วมสมัยมากๆ ต้องบอกว่าเดนมาร์กเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมการทำเฟอร์นิเจอร์มาตั้ง 200-300 ปีแล้ว มีเฟอร์นิเจอร์คลาสสิกมากมายเต็มไปหมด ขณะที่ HAY เพิ่งก่อตั้งเมื่อปี 2002 ถือว่าเป็นแบรนด์ใหม่แบรนด์เดียวในเดนมาร์ก และที่ผ่านมาเดนมาร์กไม่มีแบรนด์เกิดขึ้นใหม่มานานแล้ว 

การมาของ HAY เปลี่ยนภาพจำงานดีไซน์ของเดนมาร์กและกลายเป็นว่าคนก็ชอบงานสไตล์นี้ ให้การตอบรับที่ดีจนแบรนด์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว สิ่งที่น่าสนใจคือเขาทำให้แบรนด์เข้าถึงคนหมู่มากได้ แตกต่างจากแบรนด์ดีไซน์ทั่วไปที่คุณอาจจะต้องมีงบประมาณสำหรับซื้อเก้าอี้หรือโซฟาสักตัว

NORSE Republics

นักเรียนออกแบบที่ไม่ได้มีประสบการณ์นำเข้าแบรนด์หรือทำธุรกิจค้าปลีกมาก่อน แนะนำตัวเองยังไงจน HAY ไว้ใจ และให้เป็นตัวแทนจำหน่าย

ผมใช้ความชอบและความเป็นแฟนแบรนด์เข้าสู้ โดยอธิบายเขาหมดเลยว่า ผมรู้จักแบรนด์เขาได้ยังไง ผมรู้จัก HAY จากกรรไกรและสมุดด้วยซ้ำ เริ่มจากการเดินเที่ยวตามร้านขายสินค้าออกแบบในเมือง แล้วสังเกตว่าไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะเจอข้าวของกระจุกกระจิก เครื่องเขียน ของใช้ต่างๆ จับพลิกดูก็เห็นคำว่า HAY ซึ่งตอนนั้นไม่รู้ว่าคืออะไร ไปศึกษาก็พบว่าจริงๆ เป็นบริษัทออกแบบที่โด่งดังเรื่องเฟอร์นิเจอร์ จากนั้นมีโอกาสไปเที่ยวเดนมาร์กก็แวะไปเที่ยวร้านเขา และเมื่อกลับมาที่ประเทศไทย เราก็คิดอยากให้มีร้านแบบนี้บ้าง ผมรู้สึกว่าสินค้าอย่างแจกันและกระติกน้ำ เข้าถึงง่ายกว่าเฟอร์นิเจอร์ ขนาดเรายังรู้จักเขาจากกรรไกรเลย ก็เขียนอีเมลไปบอกเขาอย่างนั้น ซึ่งโชคดีมากที่ผู้บริหารในฝั่งตลาดภูมิภาคเอเชียตอบกลับมาใน 2 วันต่อมา แถมบอกว่าตอนนี้อยู่ประเทศไทยนะ สนใจจะเจอกันไหม 

คุณในตอนนั้นเอาความมั่นใจมาจากไหน

ผมรู้สึกว่าสิ่งที่สำคัญในการติดต่อแบรนด์คือความจริงใจ อย่าไปกลัวว่าเขาจะปฏิเสธ เพราะสุดท้ายถ้าเขาปฏิเสธก็เท่าทุนอยู่ดี คุณไม่ได้เสียอะไรไป เพราะฉะนั้นชอบอะไรก็ทำอย่างนั้นเถอะ ที่ผ่านมา HAY ไม่เคยมีพาร์ตเนอร์ที่เป็นตัวแทนจัดจำหน่าย มีแต่พาร์ตเนอร์ที่เป็นสถาปนิกและอินทีเรียร์ที่ใช้แบรนด์ HAY ในโปรเจกต์ที่ได้รับ แต่ยังไม่มีตัวแทนจัดจำหน่ายและสร้างประสบการณ์แก่ลูกค้า มีหน้าร้านแค่ที่จีนและเกาหลีใต้ หลังจากตอบตกลง เขาก็ชวนไปดูออฟฟิศที่เซี่ยงไฮ้ แล้วช่วยระดมความคิดเพื่อเซตอัพร้านในประเทศไทย

NORSE Republics
NORSE Republics

อะไรคือสิ่งที่คุณตั้งใจทำในวันแรก 

เราเริ่มจากเปิดร้านป๊อปอัพที่สยามเซนเตอร์ ในช่วงปลายปี 2015 เพื่อทดลองตลาด ตั้งใจจะแนะนำแบรนด์ผ่านของแต่งบ้าน ของใช้ และของขวัญคริสต์มาส ซึ่งถ้าตลาดในประเทศไม่สำเร็จ เราก็แค่พับสิ่งนี้เก็บไป แต่สุดท้ายออกมาดีมาก ส่วนหนึ่งเพราะมีนักออกแบบรุ่นใหม่ๆ ที่สนใจแบรนด์ HAY อยู่แล้ว ถ้าเขาได้รับโปรเจกต์ออกแบบและเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ในโครงการ ร้านกาแฟ หรือร้านต่างๆ เขาก็ใช้เฟอร์นิเจอร์ กลายเป็นว่าการเปิดร้านป๊อปอัพนั้น ทำให้เราขายเฟอร์นิเจอร์ได้ดีกว่าข้าวของเครื่องใช้ที่ตั้งใจแต่แรกด้วยซ้ำ ตอนนั้นเลยตัดสินใจไม่ยากเมื่อต้องเปิดร้านที่ Siam Discovery โดยหลังจากเปิดร้าน ใหม่ได้ 2 สัปดาห์ CEO ของแบรนด์ Fritz Hansen (ฟริตซ์ ฮานเซ่น) ก็มาที่ร้านแล้วชวนผมไปดื่มกาแฟกับเขา หลังจากคุยกันไม่ถึงชั่วโมงทาง Fritz Hansen ก็ตกลงให้เราเป็นตัวแทนจำหน่าย

โจทย์ของการดูแลแบรนด์ Fritz Hansen เหมือนหรือแตกต่างจากตอนทำ HAY ยังไง

Fritz Hansen เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงมาก มีสาขาและหน้าร้านอยู่ทั่วยุโรปและเอเชีย และจริงๆ แล้ว Fritz Hansen มีตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยมาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่แบรนด์ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักและประสบความสำเร็จในวงกว้างในบ้านเรา

NORSE Republics
NORSE Republics

ดังนั้นโจทย์ของการทำร้านคือ เราจะทำให้งานออกแบบสไตล์นี้เข้าไปอยู่ในชีวิตคนมากขึ้นได้ยังไง ก็พบว่าที่ผ่านมาตัวแทนจำหน่ายเดิมมีแบรนด์ที่ต้องดูแลเยอะมาก และ Fritz Hansen คงเป็นแบรนด์เล็กๆ ซึ่งขณะนั้นผู้คนส่วนใหญ่จะรู้จักพวกแบรนด์จากอิตาลี อเมริกา และอังกฤษมากกว่า ขณะที่ความพรีเมียมของเดนิชหรือสแกนดิเนเวียนอยู่ที่ craftmanship อยู่ที่ quality อยู่ที่ความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งสมมติถ้าจับเก้าอี้แบรนด์ฝั่งสแกนดิเนเวียน ไปตั้งกับเก้าอี้หัวเสือ แน่นอนว่าดูเผินๆ เก้าอี้หัวเสือก็จะดูแพงกว่า ลูกค้าก็รู้สึกว่าไม่มีเหตุผลที่จะซื้อเก้าอี้หน้าตาเรียบๆ ในราคาที่เท่ากันหรือแพงกว่า

ดังนั้นถ้าเราอยากจะนำเสนอแบรนด์สแกนดิเนเวียนที่ super simple แล้วก็ดีเทลจัดๆ ก็ต้องจับเขามาอยู่ในบริบทที่เขาเป็น ใน environment ที่ถูกต้อง ซึ่งก็เป็นคอนเซปต์การใช้ชีวิตแบบสแกนดิเนเวียนอยู่แล้ว คือเขาไม่ได้เน้นงานดีไซน์เป็นชิ้นๆ แต่เน้นภาพรวม เน้นองค์รวมมากกว่า ว่าจะมิกซ์แอนด์แมตช์เฟอร์นิเจอร์ยังไงให้อยู่แล้วรู้สึก cozy ก็เลยตั้งใจจะทำคอนเซปต์นั้นที่นี่ เนื่องจาก Fritz Hansen เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในยุค 1950 เราก็สนใจหาบ้านเก่ายุคนั้นมาทำร้าน อยากผสมผสานสถาปัตยกรรมแบบไทยและดีไซน์เดนิชเข้าด้วยกัน และพองานดีไซน์เรียบมาอยู่ด้วยกันก็ยิ่งเรียบง่าย ไม่ต้องมีดีเทลมากมายแต่กลับทำให้คนรู้สึกได้ว่ามันมีราคา ถือว่าเรา success ที่พรีเซนต์ความเป็นสแกนดิเนเวียนเข้าถึงกลุ่มคนที่เข้าใจ

NORSE Republics

เวลาที่ใครสักคนจะขายเฟอร์นิเจอร์ คนทั่วไปคงแค่อยากลงทุนทำร้านสวยๆ ในห้างสรรพสินค้าที่คนเห็นเยอะๆ แต่คุณกลับใช้เวลาตามหาบ้านเก่า และออกแบบบ้านทั้งหลังให้เป็นหน้าร้าน สิ่งนี้สำคัญยังไง 

อาจจะเพราะผมเป็นคนมีอีโก้บางอย่างที่รู้สึกว่าถ้าทำไม่ดีก็ไม่ทำดีกว่า เป็นคนอย่างนี้ตั้งแต่เด็ก สมมติถ้าเล่นกีฬาไม่เก่งก็จะไม่เล่นเลย อะไรที่ทำได้ไม่ดีเราก็ไม่ทำ แต่อะไรที่เราชอบและตั้งใจจะทำแล้วก็จะทำให้ดีที่สุด

อีกเรื่องที่สำคัญคือ ในช่วงที่ทำธุรกิจนี้ ผมได้รับพลังที่ดีมาตลอด ทั้งจากคนที่เขาคอยให้กำลังใจและสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า เพื่อน ที่ปรึกษา ทำให้เห็นว่ามีกลุ่มคนที่ชอบในสิ่งที่เราทำจริงๆ เราก็รู้สึกว่าเราได้ energy เหล่านั้นมาเป็นกำลังใจ อย่างที่มาของร้าน จริงๆ บ้านหลังนี้มีทั้งหมด 9 หลัง เป็นบ้านของตระกูลจิตรพงศ์ ที่สร้างในยุคประมาณรัชกาลที่ 3 เป็นครอบครัวที่มีความเป็นศิลปะสูง เขายอมให้เราเข้ามาคุยก่อน ซึ่งโชคดีที่เขารู้จัก Fritz Hansen อยู่แล้ว และบอกว่าไม่เคยให้ใครเช่าสำหรับทำธุรกิจมาก่อน แต่เขายอมให้เราคนแรก ถือเป็นอีกหนึ่งกำลังใจ เพราะถ้าขนาดเจ้าของบ้านยังยอมให้เราทำ แสดงว่ามันก็ต้องมีคนที่ชอบเหมือนเราบ้างแหละ ก็เลยได้ทำและทำได้

NORSE Republics

หลังจาก Fritz Hansen ก็มี Vitra (วิทรา) GUBI (กูบิ) และอื่นๆ อีกมากมาย คุณมีหลักการในการคัดเลือกแบรนด์เหล่านี้ยังไง

เรื่องแรก เรามองหาคาแร็กเตอร์ที่แตกต่างกัน เราจะไม่เลือกแบรนด์ที่ซ้ำกับแบรนด์ที่เราดูแลอยู่ เพราะรู้สึกว่าเป็นการไม่ให้เกียรติและจริงใจกับแบรนด์ที่เราร่วมงานด้วย และทุกครั้งที่เลือกนำเข้าเฟอร์นิเจอร์หรือของแต่งบ้าน ผมจะเห็นคาแร็กเตอร์ของคนที่ใช้ค่อนข้างชัดเจน ดังนั้นถ้าเฟอร์นิเจอร์บางตัวทำให้เห็นคาแร็กเตอร์อื่นที่น่าสนใจ เราก็อยากจะเป็นตัวแทนเพื่อนำเสนอตลาดกลุ่มใหม่ๆ

ส่วนแบรนด์ GUBI กับ &Tradition (แอนด์เทรดดิชัน) อาจจะไม่ได้คลาสสิกอย่าง Fritz Hansen คือมีความเฟมินีนมากกว่า แต่ก็ยังให้ความรู้สึกย้อนยุค ไม่เรียบแบบสแกนดิเนเวียน แต่จะไปทางฝรั่งเศสนิดนึง ถือเป็นการทดลองตลาดแบบเล็กๆ ซึ่งผมพบว่าผลตอบรับดี ลูกค้าชอบเยอะ เราก็เลยมีแพลนจะขยายโชว์รูมที่สุขุมวิท 49 เพิ่มเติม เพื่อรองรับทั้ง 2 แบรนด์นี้ที่กำลังเข้ามา โดยสรุปก็คือจุดร่วมของทั้ง 12 แบรนด์ที่เรามี คือความเรียบง่าย งานฝีมือ และดีเทลที่น่าสนใจ

NORSE Republics
NORSE Republics

อะไรคือความเป็น NORSE Republics ที่คุณอยากสื่อสารผ่านแบรนด์และสินค้าที่ตั้งใจเลือกมา

เราใช้คำว่า Design – Defines You เพราะว่ารู้สึกว่าคนทั่วไปคิดว่างานดีไซน์เป็นสิ่งที่เข้าถึงยากเพราะเข้าใจยาก เราอยากให้คนเข้าใจง่ายๆ ว่า งานดีไซน์ช่วยสะท้อนคาแร็กเตอร์ของคุณ ไม่ต่างจากเสื้อผ้าที่เราเลือกใส่ เราอยากให้คนเห็นเราแบบไหน เราก็แต่งตัวสไตล์นั้น อยากดู formal ก็แต่งตัว formal อยากดู casual เราก็แต่งตัว casual บ้านของคุณก็เช่นกัน เฟอร์นิเจอร์ที่คุณใช้ ผ้าปูที่นอน จาน ชาม ช้อน และส้อมที่เลือก สิ่งเหล่านี้จะบอกว่าคุณเป็นคนแบบไหน 

ยิ่งทำให้เราพยายามเลือกสรรสิ่งที่เหมาะสมกับลูกค้า ค้นหาแบรนด์ที่มีคาแร็กเตอร์ไม่ซ้ำกัน เพราะเห็นโอกาสที่งานดีไซน์จะนำพาคนกลุ่มใหม่ๆ เข้าหาเรา เพิ่มโอกาสให้เราเลือกดีไซน์ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต นั่นแหละคือ NORSE Republics 

ในฐานะที่ทำธุรกิจมา 7 ปี จริงไหมที่กลุ่มคนที่สนใจงานดีไซน์หายากในประเทศนี้

จนถึงวันนี้ลูกค้าหลักก็ยังเป็นกลุ่มคนที่สนใจงานดีไซน์ ซึ่งผมบอกได้เลยว่าลูกค้าเรา 95 เปอร์เซ็นต์ เป็นคนที่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เป็นคนที่ค่อนข้างเคลียร์กับสไตล์ตัวเอง เป็นคนที่เราไม่สามารถจะ influence เขาได้เลยถ้าเขาไม่ชอบ ซึ่งแต่ก่อนเราไม่เคยคิดเรื่องนี้นะ จนเห็นว่าลูกค้าเขาเลือกของเองจริงๆ เขาเดินเข้าร้านมา เขารู้ข้อมูลทุกอย่างของแบรนด์ รู้เกี่ยวกับสินค้าหมดแล้ว รู้ว่าชอบและจะเลือกสีอะไร ชอบหนัง ไม่ชอบหนัง หรือเขาชอบผ้า เขารู้หมดเลยครับ

ถามว่าคนกลุ่มนี้มีเยอะแค่ไหน ผมคิดว่าเยอะนะ อาจจะไม่เท่ากลุ่มที่สนใจเฟอร์นิเจอร์ในกระแส แต่เท่าที่สัมผัสคนที่ชอบงานสไตล์นี้มีอยู่เยอะกว่าที่เคยคิด

NORSE Republics

ธุรกิจนี้เปลี่ยนความเชื่อของคุณแค่ไหนและยังไง

โจทย์ในการทำธุรกิจที่ผ่านมาของผมคือ ผมเชื่อว่ามีคนสนใจงานดีไซน์ ยิ่งคนรุ่นใหม่ที่มีโอกาสท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ เขาได้เห็นอะไรเยอะขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเวลาที่เรามีโอกาสไปยุโรปหรือที่ต่างๆ เรารู้สึกว่าเขาได้ซึมซับวัฒนธรรมด้านดีไซน์ที่ดี ที่จะสามารถสร้าง inspiration ให้กับพวกเขาได้ เขาได้ไปวิ่งเล่นในสวนสาธารณะที่ออกแบบมาอย่างดี ทุกอย่างมีสาธารณูปโภคที่เพียบพร้อม เก้าอี้ที่นั่งสบาย หรืออย่างในโรงเรียนที่ให้ความสนใจกับสุขลักษณะอะไรเหล่านี้ คือทุกอย่างมันถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก 

ซึ่งผมเองก็อยากเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้คนเข้าใจตรงนั้น ผมคิดว่ามิชชั่นของผมหรือบริษัทเราต่อจากนี้ไปคือเรื่องของการสร้างความรู้ความเข้าใจ อย่างน้อยก็ให้เกิดความสนใจว่ามันมีงานดีไซน์ที่ดีต่อเขา 

เพราะฉะนั้นปีนี้เราตั้งใจจะทำ NORSE experience เริ่มจากปีนี้แบรนด์เฟอร์นิเจอร์หลายแบรนด์ออกแบบเฟอร์นิเจอร์คอลเลกชันเอาต์ดอร์เยอะมาก โดยเฉพาะ HAY เราก็เลยร่วมกับโรงแรม The standard หัวหิน เอาเฟอร์นิเจอร์ไปใช้ในโรงแรมให้คนได้ลองใช้ ได้มี experience นอกจากนี้ยังเป็นตัวอย่างให้โรงแรมหรือร้านอาหารเห็นความสำคัญของการออกแบบพื้นที่สาธารณะ (แม้ว่าจะสร้างอยู่ในพื้นที่ปิด) ให้คนมาใช้เวลาร่วมกัน

NORSE Republics

คุณเรียนรู้อะไรจากการทำธุรกิจนี้บ้าง

เรียนรู้ว่าจะไม่ยึดติด เรียนรู้ว่าจะต้องทำอะไรก็ได้ที่ตัวเองมีความรู้สึก จะไม่ทำอะไรที่เราไม่ชอบ แล้วก็จะไม่ยอมทำอะไรที่ทำให้เรานอนไม่หลับ ผมคิดว่าธุรกิจหรืองานมันก็เป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตของเรา ถ้าเราไปยึดติดกับมันมากๆ เราก็จะไม่มีความสุข เพราะฉะนั้นบางอย่างก็ควรจะปล่อยวางบ้าง ในเรื่องที่จำเป็นต้องทำก็ต้องทำ

เราเริ่มจากคนเพียง 3 คน ตอนนี้ถ้ารวม warehouse ด้วยก็มีประมาณ 30 คน ทำกันมาเรื่อยๆ ปรับปรุงอะไรหลายๆ อย่าง จนบริษัทเราขยายขึ้น ทีมงานมากขึ้น เชื่อใจได้มากขึ้น หลายๆ อย่างก็เลยง่าย แล้วมันก็สอนให้เรารู้ว่าบางทีเราก็ต้องรับฟังคนอื่นเหมือนกัน เราจะทำแต่สิ่งที่คิดอย่างเดียวก็ไม่ถูก

NORSE Republics

อะไรคือสิ่งที่วันแรกอาจจะคิดว่าไม่สำคัญ แต่มองย้อนกลับแล้วพบว่าสำคัญมากต่อธุรกิจ

เอาเป็นว่าถ้าย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้นะ ผมคงจะตั้งใจวางแผนมากกว่านี้ อย่างเรื่องโชว์รูม ทุกวันนี้โชว์รูมไม่เคยพอ ผมสร้างใหม่ทุก 1-2 ปีเลย ถ้าแพลนได้ดีกว่านี้ หลายๆ อย่างก็คงสบายกว่านี้ ยกตัวอย่าง เราลงทุนกับ Fritz Hansen เราก็รู้สึกว่าพอแล้วแหละ ไม่อยากกดดันมาก ไม่อยากเครียด เรารู้สึกว่าเราทำแค่นี้ก็โอเคแล้ว 

แต่พอเรามาถึงจุดที่เริ่มรู้สึกว่าทำไมไม่ทำเยอะกว่านั้น คือมันมีจุดนั้นเรื่อยๆ เช่น เราเช่าร้านก็คิดว่า 200 ตารางเมตรก็พอแล้วแหละ ผลก็คือ มันไม่พอ 300 ก็ไม่พอ 400 ก็ไม่พอ 500 ก็ไม่พอ ยังไงก็ไม่พออยู่ดี ก็เลยรู้สึกว่าคนอื่นที่เขาเป็น businessman จริงๆ เขาคงแพลนตัวเองว่าในอีก 5 ปี 10 ปี เขาจะมองตัวเองยังไง จะไปในจุดไหน จะสร้างยอดขายได้เท่าไหร่ จะลงทุนกับอะไรและเท่าไหร่ แต่เราไม่ได้มองไกลขนาดนั้น นั่นเป็นสิ่งที่ผมว่าถ้าย้อนกลับไปแก้ไขได้ก็จะแก้ไขตรงนั้น ที่น่าสนใจก็คือ แม้แต่ตอนนี้ที่ผมพูดว่าอยากวางแผนล่วงหน้าให้ดีกว่านี้ วันนี้เราก็ยังไม่ได้แพลนดีขึ้น เรายังอยู่ในกรอบที่รู้สึกคอมฟอร์ต รู้สึกสบายใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ บางทีเรารู้อยู่แล้วแต่เราแก้ไขไม่ได้เพราะเรารู้ว่าเราเป็นคนอย่างนั้น

NORSE Republics

ทุกวันนี้ตื่นมาทำงานด้วยความรู้สึกหรือความเชื่อแบบไหน

สำหรับผม goal ในวันนี้เป็นเรื่องการใช้ชีวิตมากกว่าเรื่องธุรกิจ ผมอยากใช้ชีวิตให้มีความสุข อยากจะทำงานก็ทำงานให้มีความสุข ไม่เครียดในสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ เราก็แค่ปล่อยมัน ไม่ได้มองว่าต้องใหญ่โตแบบนั้น เราแค่ทำในสิ่งที่เราเชื่อแล้วเราก็แฮปปี้กับผลที่อย่างน้อยมันมีอะไรที่ดี แทนที่จะไปมองแต่ข้อเสีย นอกจากเรื่องนี้ ทุกเช้าตอนตื่นคิดแค่ว่าจะไปส่งลูกทันมั้ย (หัวเราะ)

ความเป็นพ่อสอนอะไรคุณบ้าง

คือต้องบอกว่าเวลามีลูก ทุกครั้งที่ผมมองเขา ผมเห็นคาแร็กเตอร์และความสามารถบางอย่าง ผมคิดว่าถ้าถามทุกคนที่มีลูกในยุคนี้ ทุกคนก็จะพูดเหมือนกัน ซึ่งต้องออกตัวก่อนว่าคงไม่เหมือนยุคพ่อแม่นะ ยุคนั้นผมไม่รู้ แต่ถ้าเป็นคนยุคนี้ ส่วนใหญ่เขาจะรู้ว่าลูกแต่ละคนเกิดมาพร้อมบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่ได้สอนเขา เราไม่ได้ยัดเยียดให้เขา 

มันทำให้เราเรียนรู้ว่า เราควรจะให้โอกาสกับทุกๆ คน ไม่ว่าเขาอยากจะทำอะไรก็ตาม เราควรจะเป็นพ่อที่ไม่บังคับลูกว่าต้องทำอะไร เราควรเป็นพ่อที่เข้าใจและให้โอกาส ให้เขาทำสิ่งที่เขาชอบ ผมว่าทุกคนน่าจะคิดเหมือนกัน

NORSE Republics

อะไรคือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวให้คุณยังคงสนุกกับการทำงาน

ผมชอบธุรกิจตัวเองมาตลอด ผมเป็นคนชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ ไม่ได้จะบอกว่านี่คือดีที่สุดนะ แต่มันดีกับเราที่สุด ดีกับเราทั้งด้านจิตใจ ด้านอารมณ์ ด้านเวลาที่เรามีให้กับคนรอบตัว แม้แต่ขณะเราไปทำงาน เราก็ยังทำในประเทศที่สวยงาม รู้สึกว่าเราอยู่ใน environment ที่เราชอบ ที่เราแฮปปี้

คุณมีคำแนะนำยังไงให้คนเรายังคงทำสิ่งที่ชอบเป็นงานต่อไปได้นานๆ

ก็แล้วแต่ว่าความชอบนั้นคืออะไร ผมมีเพื่อนหลายแบบ และเราชอบแบบนี้ บางคนอาจจะชอบหาเงิน ถ้าเขาชอบหาเงิน เขาอาจจะหาได้เยอะๆ ชอบลงทุน ชอบความเสี่ยง ซึ่งผลสุดท้ายแล้วก็ต้องดูว่าเราชอบอะไรกันแน่ ทุกวันนี้ผมก็มีเพื่อนที่มีชีวิตเพื่อทำงานอย่างเดียว ไปปาร์ตี้กับลูกค้าจนกลับบ้านดึกๆ แต่เขาชอบ แล้วแฟนเขาก็ชอบ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ผมรู้สึกว่าอันนั้นก็ถือว่าดีนะ เราจะไปบอกเขาว่ามันไม่ดีไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่เขาชอบเหมือนกัน

หลายคนเข้ามาบอกผมว่าโชคดีนะที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร เพราะเขาไม่รู้ ผมว่าทุกคนรู้ว่าตัวเองชอบอะไร มันต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่เขาทำแล้วรู้สึกว่าชอบ แต่การที่จะเทิร์นความชอบมาเป็นธุรกิจนั้นต้องอาศัยความกล้าเสี่ยง สมมติบางคนที่บ้านมีธุรกิจของตัวเอง แต่เขาไม่ชอบธุรกิจที่บ้าน แต่สิ่งนั้นทำเงินให้กับเขา เขากล้าหรือไม่ที่จะเดินออกมาทำสิ่งที่เขาชอบโดยไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง ถ้าจะให้แนะนำ หากคุณรู้อยู่แล้วว่าชอบทำอะไร ให้พยายามหาทางออกที่รู้สึกว่าตัวเองจะแฮปปี้ หาทางเดินที่ใช่ ผมเชื่อว่าถ้าคนเราทำอะไรด้วยความชอบ ก็จะทำได้ดี และสุดท้ายเราก็จะทำงานด้วยความไม่อึดอัด

NORSE Republics

วันที่เส้นทางสายปลาแดกของอาหารลาวเริ่มก้าวขึ้นมาอยู่บนโต๊ะอาหารของอเมริกันชน

ข้าวเหนียวนึ่งนุ่มกรุ่นหอม กินคู่กันได้ดีกับลาบปลาตองแนมผักสด แถมด้วยส้มหมูจิ้มกับปลาแดกรสนวลนัวที่เตรียมไว้แกล้มกันกับความแซ่บของตำบักหุ่งในสำรับ

แค่คิดภาพตามก็ยวนยั่วให้น้ำลายสอแล้ว

ความโชคดีอย่างหนึ่งของการอยู่ในประเทศเขตบริเวณอุษาคเนย์ทำให้ประชาชนแถบนี้ อย่างลาว ไทย พม่า กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย ต่างได้สัมผัสกับรสอร่อยจัดจ้านที่นวลนัวของอาหารรสชาติหลากหลาย

นับจากความเป็นที่นิยมของคนบนโลกในภูมิภาคอื่น ถ้าพูดถึงอาหารของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คนส่วนใหญ่อาจคุ้นชินกับอาหารไทย เนื่องด้วยมีการส่งเสริมให้เปิดร้านอาหารไทยในต่างประเทศค่อนข้างมาก แถมร้านอาหารไทยในต่างแดนหลายร้านก็มักปรับจูนรสชาติให้เข้ากับลิ้นของคนพื้นถิ่นที่ร้านไปอาศัยตั้งอยู่โดยยังคงความเป็นอาหารไทยไว้ ฉะนั้นถ้าเราจะพูดว่า อาหารไทยเป็นที่รู้จักกันดีในสายตาของชาวโลกก็อาจจะไม่ผิดนัก

Image : Thip Khao

อาหารไทย = มหาอำนาจแห่งวงการอาหารอเมริกัน (?)

ถ้าเราสุ่มถามชาวตะวันตก (หรือตะวันออกและตะวันออกกลาง) ว่าถ้าเอ่ยถึงประเทศไทยคุณคิดถึงอะไร เชื่อว่าคนสวนใหญ่ไม่พ้นที่จะตอบว่า ‘ต้มยำกุ้ง’ (หรืออาจจะตอบว่า ‘ผัดไทย’ ก็ได้นะ)

ในสหรัฐอเมริกามีร้านอาหารไทยอยู่ประมาณ 5,000 ร้าน ต่อประชากรไทยที่อาศัยอย่างถาวรที่อเมริกาประมาณ 300,000 คน (เทียบสัดส่วนคือร้านอาหารไทย 1 ร้าน ต่อคนไทย 60 คน) นับเป็นสัดส่วนของร้านอาหารที่สูงมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรเจ้าของสัญชาติอาหาร ยิ่งเมื่อเทียบกับประชาชนชาวเม็กซิกัน-อเมริกัน ที่มีจำนวน 36 ล้านคน แต่มีร้านอาหารเม็กซิกันอยู่เพียงแค่ 54,000 ร้านเท่านั้น (เทียบสัดส่วนคือร้านอาหารเม็กซิกัน 1 ร้าน ต่อคนเม็กซิกัน-อเมริกัน 666 คน) อาจจะเรียกได้ว่าร้านอาหารไทยเป็นร้านอาหารที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในอเมริกา

วิธีสังเกตง่ายๆ ว่าร้านอาหารไทยมีจำนวนมากขนาดนั้นอย่างที่ตัวเลขกล่าวอ้างจริงหรือ หากคุณบังเอิญมีโอกาสเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณได้ไปเยี่ยมเยียนรัฐใหญ่ๆ อย่างนิวยอร์ก แคลิฟอร์เนีย หรือเท็กซัส คุณน่าจะได้เห็นร้านอาหารไทย (แถมอาจได้ฝากท้องกับทางร้าน) เป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้านในทริปของคุณอย่างแน่นอน

ยามเมื่ออุษาสาดแสงที่แดน(อาหาร)ลาว

ในขณะปัจจุบันนี้นอกจากอาหารไทยที่ได้รับความนิยมในอเมริกาอยู่แล้ว (อันสังเกตเห็นได้จากจำนวนร้านที่เปิดกิจการและอยู่รอดเป็นจำนวนหลายพันร้าน) แสงอุษาแห่งเอเชียอาคเนย์กำลังสาดส่องไปที่ ‘อาหารลาว’ ให้เริ่มพวยพุ่งแลเฉิดฉายขึ้นในแผนที่อาหารของสหรัฐอเมริกา

Image : Thip Khao

The New York Times เริ่มทำสกู๊ปเกี่ยวกับอาหารลาวและเล่าถึงอาหารลาวว่าเป็นอาหารที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท้องถิ่นแถบแคลิฟอร์เนีย และลอสแอนเจลิสที่ซึ่งมีคนจากพื้นถิ่นแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อพยพไปตั้งถิ่นฐานอยู่จำนวนมาก 

โดยลูกลาว-อเมริกันเลือดใหม่หลายคน เริ่มใช้โซเชียลแพลตฟอร์มในการโปรโมตอาหารลาวในแบบฉบับคนรุ่นใหม่ เช่น Ava Phengsy (เอวา เพียงศรี) บล็อกเกอร์ลาว-อเมริกันกับอินสตาแกรมของเธอ ‘CookingOutLao’ ที่เอวาเพียรโพสต์ทั้งภาพทั้งวิดีโอในการทำอาหารลาวในแบบฉบับลาวแท้ๆ อยู่เป็นประจำ

“อาหารของฉันมันลาวแบบฮาร์ดคอร์” “ฉันไม่ปรุงให้มันอ่อนลงหรอกนะ และฉันจะไม่ทำแบบนั้นด้วย” นี่คือตัวอย่างคำพูดของเอวาที่แสดงถึงอุดมการณ์อันหนักแน่นต่อการส่งต่อความลาวแบบแท้ๆ ถึงผู้ติดตามของเธอ

Image : Thip Khao

อาหารลาวกับความฮาร์ดคอร์

ถ้าคำว่า ‘ฮาร์ดคอร์’ หมายถึง สุดโต่ง หรือไม่ประนีประนอม นอกจากรสชาติความลาวจากอาหารที่เธอปรุงที่เธอบอกว่ามันลาวแบบฮาร์ดคอร์ เพราะเธอใส่และสาดแต่ละเครื่องปรุงทั้งปลาแดก กะปิ น้ำปู น้ำปลา ลงไปในเมนูลาวของเธอแบบไม่มียั้งมือ คงต้องบอกว่าวิธีกินของเธอก็ลาวแบบพื้นถิ่นแท้ๆ ไม่แพ้รสชาติ เพราะเวลาเธอกินอาหารลาว เธอเลือกกินโดยใช้มือจกข้าวเหนียวจิ้มแจ่วบองกินกับไส้อั่ว หรือตองปลาแทนการใช้ช้อนส้อม

เสียงทัพพีเสียดสีกับสาก เป็นอีกเสียงที่เราได้ยินกันบ่อยๆ หากคุณติดตามอินสตาแกรมของเธอ ทักษะการตำบักหุ่ง (แต่ในคลิปเธอออกเสียงว่า ‘ตำหมักหุ่ง’ หรือ ‘Thum mak hoong’) ของเอวาอาจจะเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่ชวนให้คุณน้ำลายไหล เพราะทั้งภาพทั้งเสียงมันช่างนวลนัวกลมกล่อมและแซ่บชวนชิม

อาชีพที่เอวาประกอบในปัจจุบันคือการจัดเคเทอริงส่วนตัว และออกบูทขายอาหารตามงานอีเวนต์ แน่นอนว่าเมนูชูโรงของเอวาที่ไม่ว่าไปที่ไหนก็มีแต่คนขอให้เธอโชว์ฝีมือคือตำบักหุ่ง (ส้มตำลาว–ตำมะละกอใส่ปลาร้า นำ้ปู นำ้ปลา กะปิ ออกรสเค็ม เผ็ด เปรี้ยว ไม่หวานมาก)

รู้ว่าเสี่ยง แต่คงต้องขอลอง

James Syhabout (เจมส์ ชัยโบวท์) มิชลินเชฟและเจ้าของร้าน Commis (ร้านอาหารอเมริกันสองดาวมิชลิน 6 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 2016-2021) ที่โอ๊กแลนด์ แคลิฟอร์เนียเล่าถึงประสบการณ์สมัยที่ครอบครัวของเขาต้องอพยพมาตั้งรกรากอยู่ที่อเมริกาตั้งแต่เขายังเด็ก โดยคุณแม่เชื้อสายลาวของเขาต้องทำงานในร้านอาหารไทยอยู่พักใหญ่จนสามารถตั้งตัวได้และต่อมาคุณแม่ของเจมส์ก็ตัดสินใจเปิดกิจการของตัวเอง และกิจการของคุณแม่คุณเจมส์คือ…

ร้านอาหารไทย

Image : Thip Khao

ในเมื่อมีเชื้อสายลาวก็น่าจะมีความเข้าใจในอาหารลาวอย่างถ่องแท้และลึกซึ้ง เมื่อสบโอกาสแล้ว ทำไมไม่เปิดร้านอาหารลาวล่ะ?

คำตอบของคำถามนี้มีคำอธิบายอยู่ข้างต้น เพราะร้านอาหารไทยในอเมริกาได้รับความนิยมมากกว่า เป็นที่รู้จักมากกว่า ผู้อพยพชาวลาวส่วนใหญ่ (ในสมัยก่อน) จึงมีความกังวลว่าลิ้นและหัวใจของคนอเมริกันจะยังไม่เปิดรับรสชาติของอาหารที่บางทีอาจมีรสขม และรสเผ็ดจัดจ้านหรือความเค็มปี๋ อีกทั้งยังกลิ่นคาวน้ำปลาอีก

พูดง่ายๆ คือ ดูเหมือนกับว่า รสชาติอาหารลาวมันอาจจะดู เสี่ยงเกินไป สำหรับคนอเมริกันในยุคก่อน

แต่ไม่ใช่ในยุคนี้…

ในปัจจุบันเราได้เห็นอาหารลาวมากขึ้น ทั้งในงานเทศกาลอาหาร งานอีเวนต์ หรือตลาดฟลีมาร์เก็ต อีกทั้งเหล่ายูทูบเบอร์ชาวลาว-อเมริกัน ก็พร้อมใจกันทำคอนเทนต์อาหารลาวออกมาตีแผ่ความแซ่บนัวของอาหารลาวสู่สายตาประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ

Image : Thip Khao
Image : Thip Khao

มนตร์เสน่ห์แห่งเมนูลับ

กว่าศตวรรษที่เมนูอาหารลาวถูกเก็บซ่อนไว้ภายใต้ร่มเงาของเล่มเมนูในร้านอาหารไทย ร้านอาหารไทยที่มีเจ้าของเป็นคนลาวบางคนมักจะแทรกเมนูอาหารลาวเข้าไปอย่างแนบเนียน ดังเช่น คุณ Seng Luangrath (เส็ง หลวงราช) เชฟและเจ้าของร้านอาหารลาว Thip Khao ในวอชิงตัน ดี.ซี. ที่พลัดถิ่นจากลาวมาอยู่ที่ค่ายผู้ลี้ภัยนครพนมในปี 1981 และต่อมาย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่อเมริกา

ปี 2010 คุณเส็งซื้อกิจการร้านอาหารไทย ‘Bangkok Golden’ แม้ว่าใจของคุณเส็งจะรักอาหารลาวอย่างสุดหัวใจ แต่คุณเส็งก็ยังต้องคงชื่อร้านที่แสดงความเป็นไทยพร้อมรายการอาหารไทยเอาไว้ในเล่มเมนู

Image : Thip Khao

“มันเป็นเรื่องที่ท้าทายมากเลยค่ะในตอนแรก มีคนไม่มากนักที่รู้จักว่าอาหารลาวคืออะไร ขนาดว่าลาวอยู่ที่ไหนคนยังไม่ค่อยรู้เลย”, “ตอนแรก ฉันไม่กล้าที่จะใส่อาหารลาวในเมนูหรอกค่ะ” 

คำพูดอธิบายถึงความไม่แน่ใจของคุณเส็งต่อรสนิยมการกินอาหารของชาวอเมริกันเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว จนกระทั่งคุณเส็งเริ่มเทรนพ่อครัวแม่ครัวให้ทำอาหารลาวและบอกกับพนักงานเสิร์ฟในร้านว่า ให้แนะนำเมนูลับที่เป็นอาหารลาวให้กับลูกค้า (ที่ลับเพราะมันไม่มีในเมนูนี่ล่ะ)

คงจะเหมือนกับการตระเวนหาบาร์ลับและค่าเฟ่ลับตามลายแทงที่คนแบ่งปันกันในโลกโซเชียล ยิ่งลับเท่าไหร่ยิ่งน่าค้นหามากเท่านั้น เมนูลับของร้านคุณเส็งก็เช่นกัน ยิ่งไม่มีในเมนูคนยิ่งพากันบอกต่อไปเรื่อยๆ บวกกับความสด อร่อย แซ่บหลายๆ ของอาหารลาวที่ดึงดูดเอาเหล่านักชิมทั้งเมืองให้พากันมาสั่ง ‘เมนูลับ’ มากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเมนูลับเริ่มไม่ลับอีกต่อไปแล้ว เพราะคนรู้จักและเป็นที่นิยมมากขึ้น คุณเส็งจึงเอารายการอาหารลาวที่เคยลับขึ้นมาอยู่บนเมนูซะเลย แถมเปลี่ยนชื่อร้านจาก ‘Bangkok Golden’ 

เป็น ‘Padeak’ ที่อ่านเป็นภาษาไทยว่า ปลาแดก

หยิบติ๊บข้าวมากินข้าวกัน

ปี 2014 คุณเส็งเปิดร้าน Thip Khao (ติ๊บข้าว) ร้านอาหารลาวที่มาแรงและถูกเสนอชื่อให้เข้าชิงเป็น 1 ใน 15 ร้านอาหารใหม่มาแรงที่ดีที่สุดของปี 2015 จากนิตยสาร Bon Appétit (นิตยสารอเมริกันที่ตีพิมพ์เรื่องราวของแวดวงอาหารการกินตั้งแต่ปี 1956)

Image : Thip Khao

“มันอะเมซิ่งและเกินจริงจริงๆ ค่ะกับการได้รับเสนอชื่อ” คุณเส็งบอกความรู้สึกในใจ

นอกจากการได้รับเสนอชื่อให้เข้าชิงร้านอาหารที่มาแรงที่สุดในอเมริกา คุณเส็งยังได้ชื่นอกชื่นใจทุกวันกับการที่ได้เห็นลูกค้าตบเท้าก้าวเข้ามากินอาหารลาวของเธออย่างเนืองแน่นทุกวันไม่ขาดสาย

จากเดิมที่เราอาจพบเห็นร้านอาหารไทยเป็นเสมือนตัวแทนของภูมิภาคเอเชียอุษาคเนย์ในผืนดินอเมริกัน ตอนนี้เราอาจได้พบเจอกับอาหารจานลาว อาหารจากประเทศเพื่อนบ้านข้างเคียงที่ไม่เพียงมีแผ่นดินติดกับประเทศไทย แต่อาหารจากฝั่งขวาของแม่น้ำโขงกำลังถูกเสิร์ฟขึ้นไปวางอยู่บนโต๊ะอาหารของคนอเมริกันและได้รับความนิยมเคียงคู่มากับอาหารไทยอย่างแซ่บหลายเช่นกัน

อ้างอิง

‘Womenomics’ นโยบายผลักดันแรงงานผู้หญิงในประเทศวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ ที่ไปไม่ถึงฝั่งฝันของ ชินโซ อาเบะ

โลกยังคงช็อกไม่หายจากข่าวการลอบยิงอดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ (Shinzo Abe) จนถึงแก่ความตายในวันที่ 8 กรกฎาคม 2022 ระหว่างขึ้นปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัครวุฒิสมาชิกที่จังหวัดนารา ด้วยวัยเพียง 67 ปีเท่านั้น อาเบะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของญี่ปุ่น เข้ารับตำแหน่งช่วงปี 2006-2007 และอีกสมัยช่วง 2012-2020 ก่อนที่จะประกาศลาออกในวันที่ 28 สิงหาคม 2020 เนื่องจากปัญหาสุขภาพ

สำหรับประเทศญี่ปุ่นเรื่องนี้ถือว่าสร้างความกังวลไม่น้อย เพราะจากสถิติแล้วอาชญากรรมจากการใช้อาวุธปืนในญี่ปุ่นนั้นถือว่าต่ำมาก โดยเฉลี่ยมีผู้เสียชีวิตไม่ถึง 10 รายต่อปี (ในปี 2017 มีเพียง 3 ราย) เนื่องจากกฎหมายเกี่ยวกับการครอบครองปืนนั้นเข้มงวดอย่างมาก ทำให้ระบบการรักษาความปลอดภัยไม่ได้เข้มงวด จนประชาชนสามารถเข้าถึงตัวอาเบะได้ไม่ยากนัก หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ต่อไปการหาเสียงโดยนักการเมืองคงจะมีความเข้มงวดและเปลี่ยนแปลงอย่างไม่ต้องสงสัย 

สาเหตุของการลอบสังหารครั้งนี้ ผู้ต้องสงสัยให้การหลังจากถูกจับกุมบอกว่าแรงจูงใจไม่ได้เกิดจากความเห็นทางการเมือง แต่แค้น ‘องค์กรหนึ่ง’ ที่เขาเชื่อว่าอาเบะมีความเกี่ยวพันอยู่ (ซึ่งระหว่างที่เขียนบทความนี้ วันที่ 9 กรกฎาคม 2022 ยังไม่มีรายงานเพิ่มเติมมากกว่านี้)

บรรดาผู้นำระดับโลกต่างออกมาแสดงความโศกเศร้ากับการสูญเสียบุคคลสำคัญทางการเมืองระหว่างประเทศ เขาเป็นผู้ที่พยายามพลิกเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ประสบกับภาวะเงินฝืดและการลงทุนภาคเอกชนซบเซามาสองทศวรรษให้กลับมาคึกคักอีกครั้งด้วยยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่รู้จักกันทั่วโลกว่า ‘อาเบะโนมิกส์ (Abenomics)’ ในช่วงการกลับมาดำรงตำแหน่งสมัยที่สองในปี 2012 เป็นต้นมา แม้กระทั่งหลังจากที่เขาลาออกแล้วผลกระทบของยุทธศาสตร์นี้ก็ยังคงมีให้เห็นอยู่

อาเบะใช้มาตรการ ‘ธนูสามดอก’ (Three Arrows of Abenomics) โดยมี 

ธนูดอกที่ 1 – นโยบายการเงิน (Monetary Policy) เพื่อแก้ปัญหาเงินฝืด เพิ่มปริมาณเงินเข้าระบบ ทำให้เงินเยนอ่อนค่าลง

ธนูดอกที่ 2 – มาตรการการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจ (Fiscal Stimulus) ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพิ่มความเชื่อมั่นด้วยการใช้จ่ายภาครัฐ นำงบประมาณรายจ่ายมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน

ธนูดอกที่ 3 – การปฏิรูปโครงสร้าง (Structural Reforms) เพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้แก่ธุรกิจภาคเอกชน ส่งเสริมให้ผู้หญิงเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น (Womenomics)  ลดอัตราการว่างงาน

ผลของการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้ผลดีในปีแรก GDP ขยายตัว 2% อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น 2.76% ตลาดหุ้น Nikkei ปรับตัวสูงขึ้น 30% จำนวนผู้ว่างงานลดลง นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ดูเหมือนความหวังของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่จะกลับมาเฟื่องฟูอยู่ไม่ไกลแล้ว แต่กลายเป็นว่าระยะยาวไม่ได้ประสบผลสำเร็จสักเท่าไหร่เนื่องจากหลายๆ สาเหตุ ตั้งแต่ความเชื่อมั่นในระยะยาวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ไม่มากเพียงพอ ทำให้ธนาคารเอกชนไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ ค่าเยนอ่อนทำให้ต้นทุนสินค้าและน้ำมันที่นำเข้ามามีต้นทุนสูงขึ้น ประชาชนไม่กล้าใช้จ่ายเพราะแม้ว่าจำนวนอัตราว่างงานจะลดลง แต่บริษัทส่วนใหญ่ลดต้นทุนโดยการเลิกจ้างพนักงานประจำ (ซึ่งค่าใช้จ่ายสูง) และหันมาจ้างพนักงานชั่วคราวแทน บางทีจ้างพนักงานที่เกษียณอายุที่ต้องการทำงานด้วยค่าจ้างที่ต่ำกว่าปกติด้วย เพราะฉะนั้นจำนวนคนมีงานเพิ่มขึ้นก็จริง แต่กลับไม่กล้าใช้จ่ายเพราะไม่มั่นใจว่าจะมีเงินใช้ในอนาคตหรือเปล่า

เป้าหมายทางเศรษฐกิจที่ไปไม่ถึงดวงดาวของอาเบะโนมิกส์นั้นยังไม่น่าเสียดายเท่ากับนโยบาย ‘Womenomics’ ที่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะความพยายามส่งเสริมให้ผู้หญิงเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้นนั้นนอกจากจะส่งผลทางบวกต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศแล้ว มันยังช่วยปรับมุมมองวัฒนธรรมความเชื่อที่หยั่งรากลึกในสังคม ลดความเหลื่อมล้ำทางเพศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้หญิงที่อยู่ในประเทศด้วย แต่ตลอดช่วงเวลา 7 ปีที่นโยบายนี้ถูกผลักดันมันยังไปไม่ถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้ แม้ว่าจะมีผู้หญิงถูกจ้างงานเพิ่มหลายล้านคน แต่งานก็ไม่ใช่งานที่มีคุณภาพ และพอเข้าสู่ช่วงโควิดส่วนใหญ่ก็กลับไปว่างงานอีกครั้งหนึ่ง

จริงอยู่ว่านี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะแก้กันง่ายๆ เพราะรากของมันหยั่งลึกมานานแล้วตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้หญิงจะถูกจัดให้รับผิดชอบงานในบ้าน ทำความสะอาด ทำอาหาร เลี้ยงดูลูก ดูแลพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ในขณะที่ผู้ชายทุ่มเทชีวิตเพื่อทำงานฟื้นฟูประเทศชาติหลังสงครามจนทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก สร้างวัฒนธรรม ‘salaryman’ ที่ผู้ชายจงรักภักดีกับบริษัทและแทบไม่แตะงานบ้านช่วยภรรยาเลย

เมื่อประเทศเจริญมากขึ้น แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เริ่มเปลี่ยนไป ผู้หญิงจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกว่าการเป็นแม่หรือแต่งงานทำหน้าที่ภรรยาเหมือนแบบเดิมคือกับดักชีวิต สิ่งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงกับอัตราการเกิดของเด็กที่ลดลง (เพราะผู้หญิงไม่อยากแต่งงานและมีลูก) และทำให้ประเทศเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์

อาเบะพยายามผลักดัน Womenomics ให้เกิดขึ้นเพื่อทดแทนจำนวนแรงงานที่หดตัวลงเรื่อยๆ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการอำนวยความสะดวกให้กับผู้หญิงที่เป็นแม่ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย ทั้งเรื่องกฎหมายการลาคลอดที่ต้องปรับตัว การเพิ่มสถานรับเลี้ยงเด็กให้เพียงพอต่อจำนวนเด็ก โดยการพยายามผ่อนคลายกฎระเบียบสำหรับการเปิดสถานรับเลี้ยงเด็กที่ใหม่ๆ ไปจนถึงการจัดการความไม่เท่าเทียมทางเพศในที่ทำงานอย่างจริงจังด้วย แม้การที่อาเบะออกมาต่อต้านอุดมการณ์ที่กดขี่เพศหญิงอันฝังรากลึกมานานหลายศตวรรษไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็เป็นความพยายามที่น่ายกย่องไม่น้อย (แม้จะมีบางกลุ่มคนที่มองว่าเป็นเรื่องของการเมืองก็ตาม)

ทว่าโครงการนี้ต้องเผชิญกับปัญหามาตลอด ในรายงานของสำนักข่าว The Washington Post ปี 2016 พบว่ามีผู้ชายกว่า 45% เชื่อว่า ‘ผู้หญิงควรอยู่ที่บ้าน’ ทำหน้าที่ภรรยาเหมือนอย่างที่ผ่านมา ฟังดูเหมือนว่าประเทศญี่ปุ่นจะยังไม่พร้อมให้ผู้หญิงเข้ามาสู่ตลาดแรงงานที่สามารถสร้างความแตกต่างได้ โดยเฉพาะในตำแหน่งผู้บริหารของบริษัท เป้าหมายที่อาเบะวางเอาไว้คือมีผู้หญิงอยู่ในตำแหน่งผู้บริหาร 30% ภายในปี 2020 แต่เอาเข้าจริงจำนวนผู้หญิงที่อยู่ในบอร์ดบริหารในปีนั้นมีเพียงแค่ 10.7% ในบริษัทมหาชนที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ 26.7% และถูกจัดอยู่อันดับที่ 120 จากทั้งหมด 156 ประเทศใน World Economic Forum 2021 ของประเทศที่กำลังพยายามขับเคลื่อนเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ

จนถึงตอนนี้ในปี 2022 ช่องว่างระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงในตลาดแรงงานยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศอยู่ รายงานจากสำนักข่าว Nikkei Asia บอกว่าผู้หญิงนั้นทำงานน้อยกว่าผู้ชายโดยเฉลี่ยแล้วอาทิตย์ละกว่า 10 ชั่วโมง แถมผู้หญิงได้รายได้น้อยกว่าผู้ชายเกือบ 25% ซึ่งเป็นช่องว่างที่ใหญ่ที่สุดในระดับประเทศ G7 (แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา) และจากการสำรวจของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นบอกว่า 41% ของผู้หญิงที่ไม่ได้ทำงานประจำจะบอกว่างานที่อยากได้คืองานที่ ‘ไม่รบกวนกับภาระงานบ้าน’  ที่ต้องดูแลอยู่ แสดงให้เห็นว่าแม้จำนวนผู้หญิงจะเข้าสู่ตลาดแรงงานเพิ่มขึ้น แต่ก็เป็นงานที่รายได้น้อย ส่วนใหญ่เป็นงานพาร์ตไทม์ แม้บริษัทใหญ่ๆ อย่าง Toyota พยายามที่จะจ้างผู้หญิงเข้ามาในตำแหน่งผู้บริหารมากขึ้น แต่มันก็ถือว่าเป็นส่วนน้อยมากๆ 

ช่วงที่อาเบะดำรงตำแหน่งเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ได้พยายามมากพอเกี่ยวกับเรื่องนี้ ระหว่างทางไม่ได้มีความพยายามแก้ไขให้มันดีขึ้น กฎต่างๆ ก็ไม่มีการปรับเปลี่ยนให้รวดเร็ว ซึ่งมีการประมาณการณ์เอาไว้ว่าถ้าญี่ปุ่นสามารถแก้ปัญหาเรื่องความเท่าเทียมทางเพศในสังคมและตลาดแรงงานให้ดีขึ้นได้ GDP ของประเทศจะเพิ่มขึ้นกว่า 550,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว

มันน่าเสียดายที่คำสัญญาของอาเบะกลายเป็นเพียงความฝันที่ไม่เกิดขึ้น แต่ถึงยังไงก็ตาม มันก็เป็นประกายแห่งความหวังเล็กๆ ที่พยายามผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในสังคมในรูปแบบที่ชัดเจน ขับเคลื่อนประเทศที่เพศหญิงถูกมองว่าด้อยกว่ามาหลายร้อยปี ปลุกระดมให้ผู้หญิงกว่า 65 ล้านคนในประเทศให้กล้าที่จะออกไปทำในสิ่งที่อยากทำ กล้าฝันถึงอนาคตที่ต้องการ สามารถเป็นอะไรได้มากกว่าแค่ ‘แม่บ้าน’ ถ้าพวกเขาต้องการ ถึงจะไม่สำเร็จตามเป้าหมาย อย่างน้อยมันก็เป็นการปูทางสู่อนาคตที่ดีขึ้นกว่าเดิม แม้จะช้าสักหน่อยก็ตาม

อ้างอิง

คุยกับ Anitech เครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติไทย กับวิธีทำให้ปลั๊กไฟของแบรนด์ เป็นของใช้สามัญประจำ (หลาย) บ้าน

ลองมองไปรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่ทำงาน เชื่อว่าหลายคนน่าจะพบเจอกับสินค้าของ Anitech เป็นแน่ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องครัว แก็ดเจ็ตทั้งหลายบนโต๊ะทำงาน หรือของใช้ที่ในอดีตหลายคนคิดว่าไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่มีแบรนด์ก็ได้อย่าง ‘ปลั๊กไฟ’

ด้วยดีไซน์ของสินค้าประกอบกับชื่อรวมถึงภาษาญี่ปุ่นที่อยู่ด้านล่างของโลโก้ หลายคนจึงยังอาจไม่รู้ว่าอันที่จริงแล้ว Anitech คือแบรนด์ของคนไทยขนานแท้ที่ก่อตั้งโดย พิชเยนทร์ หงษ์ภักดี มาตั้งแต่ปี 2006

Anitech

จากจุดเริ่มต้นที่เดินทางไปฝรั่งเศสตอนอายุ 22 โดยการชักชวนของคนรู้จักให้ไปทำงานเกี่ยวกับด้าน computer engineering ที่ปารีส กระทั่งอายุ 24 จึงบินกลับบ้านเกิดเพื่อทำธุรกิจ OEM (original equipment manufacturer คือการรับจ้างผลิตสินค้าให้คนอื่นเอาไปขายในแบรนด์ของตัวเอง) ที่ผลิตการ์ดรีดเดอร์ เมาส์ คีย์บอร์ด และแก็ดเจ็ตต่างๆ ส่งให้กับหลายแบรนด์ดัง จนมาถึงอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนที่สำคัญคือเมื่อตอนอายุ 27 ที่ได้ขยับขยายมาทำแบรนด์ของตัวเองที่ใช้ชื่อว่า ‘Anitech’ ซึ่งมาจากคำว่า Any Technology โดยมีเมาส์เป็นสินค้าชิ้นแรกของแบรนด์ แล้วจึงต่อยอดมาเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกมากมาย จนมาถึงของใช้สามัญประจำหลายบ้านอย่างปลั๊กไฟที่สุดท้ายเป็นสินค้าที่ขายไปแล้วไม่น่าจะต่ำกว่า 5 ล้านชิ้น

จากเรื่องราวข้างต้นที่เดินทางไปฝรั่งเศสตอนอายุ 22 ทำ OEM ตอนอายุ 24 ทำแบรนด์ของตัวเองตอน 27 ไม่แปลกถ้าใครจะคิดว่าเขาน่าจะเกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่มีเงินถุงเงินถังจนกลายเป็นต้นทุนสำคัญผลักดันให้เขาเดินมาถึงทุกวันนี้ได้ ทว่าความจริงไม่ใช่อย่างนั้น

พิชเยนทร์บอกกับเราว่าเขาคือเด็กธรรมดาที่เติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลางทั่วไป พ่อเป็นข้าราชการเป็นอาจารย์สอนด้านวิศวะ ส่วนแม่เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ เรียนในโรงเรียนไทยทั่วไป และจบมาได้ด้วยการที่แม่ของเขากู้สหกรณ์มาส่งเขาเรียน

แต่ต้นทุนสำคัญที่ผลักดันให้เขาเดินมาถึงทุกวันนี้คือการได้เห็นอุปกรณ์เทคโนโลยีล้ำๆ ซึ่งเป็นเครื่องไม้เครื่องมือในการสอนของพ่อ รวมถึงเหล่าลูกศิษย์ลูกหาที่มักจะแวะเวียนมาที่บ้านและพูดคุยในภาษาคอมพิวเตอร์กับพ่ออยู่บ่อยครั้ง เด็กชายพิชเยนทร์จึงซึมซับสิ่งเหล่านี้เข้ามาทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นส่วนสำคัญที่หล่อหลอมให้เขาชื่นชอบและสนใจเรื่องเทคโนโลยีมาตั้งแต่วัยเด็ก

ส่วนที่เขาได้เดินทางไปทำงานที่ฝรั่งเศสเมื่อตอนอายุ 22 ก็เกิดขึ้นเพราะเพื่อนของแม่ชาวฝรั่งเศสซึ่งทำงานเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์มาเที่ยวที่ไทย พิชเยนทร์จึงได้รับหน้าที่เป็นไกด์ และด้วยนิสัยบวกกับพื้นเพความสนใจในเรื่องเทคโนโลยีเป็นทุนเดิมของพิชเยนทร์ ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกจูนกันติดจนเพื่อนของแม่คนนั้นชวนเขาไปทำงานที่ปารีสด้วย

ด้วยความเป็นคนฐานะปานกลางพิชเยนทร์จึงบอกกับเพื่อนแม่คนดังกล่าวว่าเขาคงไม่มีเงิน 4-5 หมื่นบินไปหรอก ถ้าอยากให้ไปทำงานด้วยก็ส่งตั๋วมา เพื่อนของแม่ก็ทำตามคำขอของเขา 

ในวันนั้นที่ไม่มีใครรู้เลยว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางของ Anitech

Anitech

ย้อนกลับไปคิดว่าทำไมตอนนั้นเขาจึงชวนคุณไปทำงานที่ฝรั่งเศส แล้วทำไมคุณจึงกล้าตัดสินใจไป

นาทีที่เขาชวนผมไปมันเกิดจากการที่ผมเรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเทคโนโลยีได้ไวในระดับหนึ่ง ส่วนที่ตัดสินใจไปเพราะคิดแค่ว่าได้ไปปารีสก็เป็นอะไรที่ดีมากแล้ว ตอนนั้นอายุ 22 อยู่ในช่วงเรียนจบใหม่ๆ มีโอกาสอะไรก็คว้าไว้หมด

ตอนทำงานที่ฝรั่งเศสเหมือนภาพที่คิดไว้ก่อนไปไหม

ภาพที่เราวาดฝันถึงปารีสไว้คือความสวยหรู แต่พอไปถึงจริงผมเป็นปลาช็อกน้ำเลย คือเพื่อนแม่ที่เป็นชาวฝรั่งเศสคนนั้นนิสัยเขาเหมือนคนไทย มีความเห็นอกเห็นใจ มีน้ำใจต่างๆ นานา 

แต่พอไปเจอคนอื่นๆ นี่ไม่ใช่เลย พวกเขาเย็นชาเหมือนสภาพอากาศ เล่นมุกอะไรไปก็ไม่มีใครตอบ ตอนไปถึงแรกๆ เขาไม่เรียกชื่อผมนะ เขาเรียกไอ้เอเชีย คือเขาไม่สนใจอะไรไปมากกว่าการจะทำยังไงให้โปรเจกต์มันสำเร็จ เพราะไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่มาจากต่างที่ คนอื่นก็เช่นกัน และจุดมุ่งหมายที่ทำให้ทุกคนมาร่วมตัวกันที่นี่ก็เพื่อไขว้คว้าหาความสำเร็จ

เพื่อนแม่คนที่ชวนมาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ช่วยเหลือนะ แต่พอไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ เราไม่สามารถให้ใครมาช่วยเหลือได้ตลอดเวลา เพราะถ้ายิ่งร้องขอความเห็นใจมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้รับการดูถูกมากเท่านั้น

Anitech

แล้วคุณปรับตัวยังไง 

ผมว่ามันก็เหมือนทีมฟุตบอล ดูว่ามีตำแหน่งตรงไหนที่ว่างพอจะให้เราลงไปเล่นได้ พอมองไปกองหน้าก็เก่ง ปีกก็เก่ง งั้นเราเล่นแบ็กได้ไหม 

วันที่ไปถึงผมก็เห็นว่ามันมีคนโค้ดดิ้ง มีคนเก่งๆ กี๊กๆ อยู่หมดแล้ว เขาทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองหมด แต่ไอ้การทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองหมดนี่แหละ เป็นช่องว่างให้ผมแทรกตัวลงไปเล่นได้

แทรกตัวยังไง

เพราะมนุษย์เรามีแรงมีเวลาที่จำกัด การทำเองทุกอย่างตั้งแต่โค้ดดิ้งเอง บัดกรีเอง เอาของขึ้นเว็บไซต์เอง ส่งของเอง วางบิลเอง มันทำให้ไม่ให้สามารถขยายธุรกิจได้

แล้วเมืองไทยเรามีข้อดีตรงนี้ มีเอาต์ซอร์ซที่เราเก่งมาก ผมเลยบอกกับทีมว่าสิ่งที่ยูทำอยู่เนี่ย ไอจะเอากลับมาผลิตที่เมืองไทยเอง สุดท้ายมันก็โตสิบเท่า เพราะพอเปลี่ยนมาผลิตที่ไทยต้นทุนถูกลงจากหลักพันเหลือประมาณหลักสิบ แถมทำได้ในปริมาณที่เยอะขึ้นด้วย

ไปๆ กลับๆ ฝรั่งเศสได้อยู่สองปีเพราะผมไม่มีวีซ่าทำงาน ก็กลับมาไทยมาทำงานในบริษัทสินค้าอุปโภค บริโภค ซึ่งผมทำงานเป็นพนักงานประจำมาสิบกว่าปีเลยนะ

Anitech

แล้วคุณเริ่มทำ OEM ตอนไหน

ก็ทำตอนที่ทำงานประจำไปด้วยนั่นแหละ เราเอาความรู้ที่สั่งสมมาทำ OEM ที่ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการ์ดรีดเดอร์ เมาส์ หูฟัง คีย์บอร์ด ส่งให้กับแบรนด์ดังทั้งหลาย ซึ่งต้องบอกว่าการทำ OEM ของผม ไม่ได้เป็นการสร้างโรงงานขึ้นมาหรือลงทุนซื้อเครื่องจักรด้วยตัวเองนะ เพราะถ้าผมทำโรงงานเองมันจะผลิตสินค้าได้แค่แบบเดียว แต่ถ้าไปผลิตที่จีนเขามีซัพพลายเชนครบ จะทำอะไรที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ก็มีให้เราหมดเลย เห็นแล้วตาเบิกโพลงมาก เอาเป็นว่าโรงงานเล็กๆ ของเขาเนี่ยใหญ่กว่าโรงงานใหญ่ๆ ในบ้านเราอีก คือมีเงินเยอะแค่ไหนก็สู้จีนไม่ได้หรอก เพราะ capacity เขาสูงมาก บางโรงงานใหญ่จนผมนึกว่าเป็นนิคมอุตสาหกรรม 

ผมก็เลยเลือกไปผลิตที่จีนแล้วให้โรงงานที่จีนทำตามสเปกแบบที่เรากำหนดไว้ ส่วนเงินที่มีอยู่อย่างจำกัดก็เอาไปทุ่มกับส่วนที่เป็น R&D เอาไปพัฒนาสินค้าแทน ผมไปจีนตั้งแต่ประมาณ 20 ปีที่แล้ว ไปตั้งแต่การเดินทางจากเซินเจิ้นไปกว่างโจวใช้เวลาตั้ง 3 ชั่วโมง เพราะสมัยนั้นถนนหนทางยังไม่ดีเท่าไหร่ 

จากนั้นก็ใช้วิธีไปเสนอขายให้กับแบรนด์ต่างๆ ด้วยความที่ผมทำงานในบริษัทเกี่ยวกับสินค้าอุปโภค บริโภค ก็เลยทำให้มีความเข้าใจในธุรกิจ และทำให้จับจุดได้ว่าเราต้องสื่อสารยังไงที่จะทำให้ฝ่ายจัดซื้อรู้สึกว่าเราสามารถผลิตสินค้าที่เหมาะกับความเป็นแบรนด์ของเขาได้ บวกกับตอนนั้นยังไม่มีบริษัทไทยที่ไหนทำ OEM แบบเดียวกับที่ผมทำ เลยทำให้ผมได้เกือบทุกงานที่เอาไปนำเสนอ

Anitech

ถึงจะไม่ได้ลงทุนทำโรงงาน ไม่ได้ซื้อเครื่องจักรด้วยตัวเอง แต่การทำ OEM ก็ดูไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนวัย 24 ตอนนั้นเอาความกล้ามาจากไหน

ผมว่ามันคือความเป็นสปิริตของคนหนุ่มสาว คือความไม่รู้ ไม่รู้ว่าจะต้องวางบิลยังไง ไม่รู้ว่าต้องจัดการแคชโฟลว์แบบไหน เรารู้แค่ในสิ่งที่เราคิดไปเองว่ามันจะเป็นแบบโน้นแบบนี้ เรื่องความกลัวในตอนนั้นมีน้อยมากๆ โดยเฉพาะคนที่ไม่มีอะไรแบบผมเนี่ย มันนึกไม่ออกว่าถ้าผิดพลาดแล้วจะมีอะไรแย่ไปกว่าที่เป็นอยู่ หรือแย่ไปกว่าการเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ใช้เงินแบบเดือนชนเดือน

จริงๆ ตอนนั้นไม่มีคำว่าถ้าแย่กว่านี้แล้วจะเป็นยังไงด้วยซ้ำ มันมีแต่คำว่าถ้าทำได้นะเราจะได้ถอยรถใหม่ จะซื้อนู่นซื้อนี่ ตอนนั้นคิดแค่นั้นเลยจริงๆ

เมื่อ OEM ไปได้สวย แล้วทำไมถึงหันมาทำแบรนด์ Anitech ของตัวเอง 

ตอนทำ OEM นี่เหมือนถังน้ำมันเลย ออร์เดอร์หลักล้านถือเป็นเรื่องปกติ จนมีอยู่ช่วงนึงที่เห็นว่าแบรนด์ที่ผมทำ OEM ให้เขาค่อยๆ ลดราคาขายลงเรื่อยๆ อย่างคอมพิวเตอร์จากเดิมขายอยู่ที่ 7 หมื่น ก็ค่อยๆ ลดลงมาเหลือ 5 หมื่น สุดท้ายลงมาอยู่ที่ 3 หมื่น เห็นแบบนี้ก็เลยทำให้รู้สึกว่า เฮ่ย ถ้าเขาลดราคาขาย แล้วสุดท้ายเขาจะไม่มากดราคากับเราหรือ มันเป็น logic ปกติมากๆ และคิดว่าสักวันมันจะกระทบกับเราแน่ๆ 

แล้วสารพัด pain point อะไรที่คนทำ OEM เขาเจอกันผมก็เจอหมด ทั้งโดนกดราคา สั่งสินค้าแล้วยังไม่เอา สั่งของไว้เยอะๆ แล้วยังไม่เรียกใช้ ในที่สุดเงินก็จม แคชโฟลว์ก็เริ่มไม่โฟลว์ เลยต้องหาทางออกว่าจะทำยังไง สุดท้ายก็ได้คำตอบว่าต้องสร้างแบรนด์เป็นของตัวเองขึ้นมา

ทำ OEM กับทำแบรนด์แตกต่างกันมากน้อยขนาดไหน 

ต่างกันมาก (เน้นเสียง) แค่เรื่องคุยกับลูกค้าก็ต่างกันมากแล้ว อย่างตอนทำ OEM คนที่ผมต้องดีลด้วยคือฝ่ายจัดซื้อขององค์กร แม้เขาจะไม่ชอบเราขนาดไหน แต่ด้วยหัวโขนความเป็นพนักงานจากองค์กร ยังไงแล้วเขาก็จะพูดจาดีกับเรา จะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้

ซึ่งพอมาถึงวันที่ผมทำแบรนด์เป็นของตัวเองแล้วเดินไปตามตู้ตามร้านค้าต่างๆ ในตึกไอทีทั้งหลายมันเป็นอีกโลกนึงเลย ถ้าเขาไม่โอเคเขาโยนนามบัตรเราทิ้งต่อหน้าเลยก็มี แต่ก็ถือเป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องของโลกธุรกิจในมิติที่หลากหลายมากขึ้น

สินค้าแรกภายใต้แบรนด์ Anitech คืออะไร 

เมาส์ แล้วก็ตามมาด้วยอุปกรณ์เทคโนโลยีทั้งหลายที่เคยทำตอนเป็น OEM

Anitech

แล้วสินค้าที่ขายดีที่สุดคืออะไร 

ปลั๊กไฟ คิดเป็น 30% ของยอดขายทั้งหมดในตอนนี้ ปีนึงขายไปประมาณ 5-6 แสนชิ้นได้

ตอนนั้นทำไมถึงเริ่มอยากขายปลั๊กไฟ มองเห็นโอกาสอะไร

มันมาจากความคิดที่ผมอยากจะสร้างการเติบโตในธุรกิจ ซึ่งการออกสินค้าใหม่ช่วยเรื่องนี้ได้ จนกระทั่งวันหนึ่งหันไปเห็นปลั๊กไฟในบ้านแล้วก็ทำให้เกิดความรู้สึกว่า เอ๊ะทำไมมันเป็นของที่มีปัญหาเยอะจัง ดีไซน์ก็ไม่ค่อยสวย บางทีก็ลัดวงจร เสียบไปก็มีไฟสปาร์กออกมา มันก็เลยสปาร์กความคิดผมว่าถ้าไม่มีใครทำปลั๊กดีๆ ขาย งั้นเดี๋ยวผมทำเอง พอคนรอบข้างรู้ว่าจะทำปลั๊กไฟขาย เขาก็บอกผมว่าอย่ามาบ้าทำเลย เพราะไอ้ที่ขายอยู่ในท้องตลาดมัน 80-90 บาท แล้วผมจะเอาอะไรไปสู้กับเขา

แต่เวลาจะปล่อยสินค้าใหม่แต่ละครั้งจะต้องมีการคำนวณว่ามีจำนวนผู้ใช้เท่าไหร่ มาร์เก็ตไซส์เท่าไหร่ ซึ่งปลั๊กไฟเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์เรื่องนี้ มาร์เก็ตไซส์ขนาดใหญ่มาก เพราะไม่ว่าบ้านไหนก็ต้องใช้ปลั๊กกันทั้งนั้น

สุดท้ายเลยตัดสินใจทำมันขึ้นมา ใช้เวลาในการ R&D นาน 2 ปี ที่ใช้เวลานานขนาดนี้เพราะคนอื่นไม่ได้อินกับผมมากเท่าไหร่ (หัวเราะ) ก็เลยต้องนั่งทำคนเดียวทั้งหมด อย่างที่บอกไม่มีใครคิดว่าปลั๊กราคาเกือบ 300 จะขายได้ เลยต้องทำเองทุกอย่างตั้งแต่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ดีไซน์ให้มีความโค้งมนมีสีสันต่างๆ แล้วก็พัฒนามาเรื่อยๆ จากปลั๊กที่มีสวิตช์อันเดียว เป็นสวิตช์หลายอัน เพิ่มช่องเสียบ USB หรือปลั๊ก IOT ที่สั่งเปิด-ปิดจากมือถือได้

Anitech

คิดว่าอะไรที่ทำให้สินค้าแสนธรรมดาอย่างปลั๊กไฟ กลายเป็นของขายดีที่สุดของแบรนด์

อาจเป็นเพราะความธรรมดาของมันนี่แหละ ตำราธุรกิจหลายเล่มบอกว่าถ้าอยากประสบความสำเร็จจะต้องทำแบรนด์ทำสินค้าให้เข้าไปอยู่ในใจผู้คนให้ได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไรหรอก เพียงแต่ความสำเร็จในความหมายของ Anitech มันอาจจะแตกต่างออกไป เป็นความเรียบง่ายธรรมดา ไม่ต้องหวือหวา ไม่ต้องอยู่ในใจ แต่อยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนได้ก็เพียงพอ

เปรียบเทียบให้เห็นภาพก็เหมือนเวลาซื้อมือถือใหม่มาที่จะต้องดูแล้วดูอีกเป็นของที่ทะนุถนอมสุดๆ แต่ปลั๊กไฟของ Anitech ไม่ใช่แบบนั้น เรารู้ดีว่ามันเป็นแค่องค์ประกอบในชีวิตของผู้คน คือไม่ได้เห่อ ไม่ได้ดีใจเวลาซื้อมาใหม่ เพียงแต่เวลาใช้แล้วรู้สึกปลอดภัย อยู่ในชีวิตประจำวันทั่วไป เวลาใช้ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่พออยากได้ของใหม่ก็จะมาซื้อของเราซ้ำอีก

อีกอย่างมันอาจเป็นเพราะตัวสินค้าสามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันของผู้คนได้ คือก่อนหน้าที่ Anitech จะทำปลั๊กออกมา ต้องบอกว่าคนไทยส่วนใหญ่คุ้นชินกับปลั๊กสีขาว-ดำ ไม่เคยรู้จักว่าปลั๊กมันสามารถเป็นสีชมพูเป็นสีสันต่างๆ ได้

สังเกตหลายๆ บ้านวางเครื่องเสียงตัวละแสน วางทีวีจอบางเป็นหมื่นไว้ที่ห้องรับแขก แต่ปลั๊กซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อทั้งสองอย่างกลับถูกเอาไปซ่อนอยู่ข้างหลังเพราะมันไม่สวย ผมก็เลยเลือกที่จะทำให้มันสวย ให้มันเป็นของตกแต่งบ้านได้

การที่ปลั๊กไฟสำเร็จแบบที่เราเชื่อ ความรู้สึกเป็นยังไง

ผมว่ามันมีทั้งสองด้านนะ ด้านแรกคือเวลาเราจะทำโปรเจกต์ใหม่ๆ แล้วมีความไม่มั่นใจบางอย่าง เราก็จะใช้ปลั๊กเป็นตัวเปรียบเทียบว่าเราก็เคยทำสิ่งใหม่ๆ สำเร็จมาแล้วนะ มันเป็นสิ่งที่ใช้อินสไปร์ทีมงานได้ 

ส่วนอีกมุมนึงมันก็เป็นกับดักความสำเร็จที่ทำให้พอเราทำโปรเจกต์ใหม่ๆ ก็อาจจะมีการ์ดตกไปบ้าง ตอนปล่อยออกมาตลาดก็อาจจะไม่ได้ยอมรับเหมือนอย่างที่เราคาดไว้ ถามว่าเฟลไหม ก็คงไม่ได้เฟลอะไรมาก แต่แค่รู้สึกว่าเรื่องปลั๊กเรื่องเดียวมันสอนเราทั้งสองแง่มุมเลย

เมื่อปลั๊กไฟไม่ใช่สิ่งที่คนซื้อกันบ่อยๆ คุณทำยังไงให้ปลั๊กไฟเป็นสินค้าขายดีอันดับ 1 ของแบรนด์ 

เมื่อก่อนแต่ละบ้านจะมีทีวีไม่กี่เครื่อง มีเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่กี่อย่าง แต่ปัจจุบันที่ราคาของเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ถูกลง บวกกับยุคอินเทอร์เน็ตที่ทำให้คนๆ นึงมีอุปกรณ์ไฟฟ้ามากกว่าหนึ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ และอะไรต่างๆ อีกมากมาย ฉะนั้นการมีปลั๊กพ่วงจำนวนเท่าเดิมมันไม่เพียงพออีกต่อไป ก็เลยทำให้ความต้องการในการใช้ปลั๊กไฟมีมากขึ้นตามไปด้วย

อะไรคือจุดร่วมที่ทั้งปลั๊กไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้าหลายๆ อย่างของ Anitech มีร่วมกัน 

จริงๆ มีอยู่ทั้งหมด 3 ข้อด้วยกัน ข้อแรกคือเรื่องดีไซน์ที่สวยงามและใช้งานในชีวิตประจำวันได้แบบง่ายๆ ยกตัวอย่างตอนเริ่มทำเมาส์ ถ้าจำกันได้เมื่อก่อนเมาส์ที่มีวางขายในท้องตลาดมีแต่ตัวใหญ่ๆ ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะมันถูกผลิตมาจากตะวันตกก็เลยต้องดีไซน์ให้เข้ากับมือและการใช้งานของชาวตะวันตก 

แต่ลองคิดดูดีๆ คนทำงานวันๆ นึงจับเมาส์มากกว่าจับมือแฟนอีกนะ ผมก็เลยมาทำเมาส์ให้มันดูเล็กลง เหมาะกับมือคนไทยมากขึ้น หรืออย่างปลั๊กไฟเองก็ทำดีไซน์ให้มันสวยงามจากที่เคยเป็นของที่หลบอยู่มุมห้อง ก็เอาขึ้นมาโชว์บนโต๊ะทำงานได้

ข้อสองคือการันตีที่สินค้าของเราสามารถเคลมได้ เพราะการมีการันตีก็ถือเป็นการยืนยันคุณภาพของสินค้าไปได้โดยปริยาย ที่กล้ามีการันตีเพราะสินค้าแต่ละชิ้นใช้เวลา R&D กับมันนานมาก ซึ่งตั้งแต่แบรนด์มา 15 ปี เรามีปริมาณการเคลมสินค้าอยู่แค่ประมาณ 0.7% ติดต่อกันมาจะ 10 ปีแล้วคิดง่ายๆ สินค้า 1,000 มีของส่งกลับมาเคลมแค่ 6-7 ชิ้นเท่านั้น 

ข้อสุดท้ายคือความหลากหลาย เพราะผมตั้งใจอยากจะทำให้ Anitech เป็นสินค้าที่ยกระดับชีวิตของผู้คน ซึ่งถ้าจะทำแบบนั้นได้จำเป็นต้องมีสินค้าที่หลากหลายอยู่รอบตัวของเขา ไม่ใช่ทำแค่อย่างเดียวแล้วก็จบ

และในมุมธุรกิจการทำสินค้าที่หลากหลายก็สามารถสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจได้ด้วย ดูอย่างหลายแบรนด์ในต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ เขาไม่ได้ขายของอย่างเดียวแล้วก็จบ เขาทำสินค้าหลายอย่าง มีของหลากหลาย SKU เพื่อสร้าง ecosystem ของแบรนด์ให้กับผู้คน

ทุกวันนี้เวลาเห็นผู้คนใช้ของ Anitech ในชีวิตประจำวันคุณรู้สึกยังไง 

เหมือนได้รางวัล

Day 1 ของ PDM BRAND แบรนด์ที่ปฏิวัติวงการเฟอร์นิเจอร์ด้วยเรื่องเล่าและวิธีการขาย

PDM BRAND

PDM BRAND Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

PDM BRAND

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

‘Broker’ และธุรกิจสีหม่นที่ช่วยสานฝันพ่อแม่ชาวเกาหลีที่มีลูกไม่ได้ให้เป็นจริง

ฮิโรคาสุ โคเรเอดะ เป็นผู้กำกับที่ชอบทำหนังประเภทที่เรากับเพื่อนชอบเรียกว่า ‘แสงสว่างตรงปลายอุโมงค์’ 

ไม่ว่าโลกในหนังจะบิดเบี้ยว ตัวละครจะเจอสถานการณ์ดำมืดแค่ไหน จะต้องมีสักโมเมนต์หนึ่งในเรื่องที่เฉลิมฉลองให้แก่การมีชีวิต ในเวลาเดียวกันมันก็ทำให้เราเหล่าคนดูได้ฉุกคิดถึงคำถามที่ไม่เคยนึกถามมาก่อน อย่างใน Shoplifters (2018) หนังรางวัลปาล์มทองคำเรื่องก่อนของเขา เล่าเรื่องราวของเหล่าคนชายขอบต่างวัยที่มาใช้ชีวิตร่วมกัน ก็ทำให้เราตั้งคำถามกับนิยามของคำว่าครอบครัวว่าจริงๆ แล้วคืออะไร จำเป็นไหมที่คนในครอบครัวจะต้องผูกพันทางสายเลือด

หนังเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง Broker ก็ไม่ต่าง มันพูดถึง baby box หรือกล่องรับเด็กทารกในเกาหลีที่เปิดให้แม่ผู้ไม่พร้อมเลี้ยงเด็กเอาลูกมาหย่อนไว้ เพื่อให้พวกเขาได้ไปเติบโตในสถานที่และครอบครัวที่พร้อมซัพพอร์ตต่อไป หนังเล่าเรื่องราวของซังฮยอน (รับบทโดย ซงคังโฮ) และดงซู (รับบทโดย คังดงวอน) เพื่อนต่างวัยผู้ดูแลเบบี้บอกซ์แห่งหนึ่ง คนแรกเป็นเจ้าของร้านซ่อมเสื้อผ้าโทรมๆ ที่เปิดไปวันๆ ส่วนคนหลังเป็นอดีตเด็กกำพร้าที่ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ทั้งคู่มีงานอดิเรกลับๆ คือการขโมยเด็กที่แม่ทิ้งไว้โดยไม่มีข้อมูลระบุตัวตน เพื่อนำไปขายต่อให้กับพ่อแม่ที่อยากมีลูกแต่ไม่สามารถ

แต่ระหว่างกำลังจะเริ่มทริปขายเด็ก โซยอง (รับบทโดย อีจีอึนหรือ IU) แม่ของเด็กคนล่าสุดก็ปรากฏตัวขึ้นและกลายเป็นนายหน้าคนที่สาม โดยมีสองตำรวจสาว ซูจิน (รับบทโดย แบดูนา) และลี (รับบทโดย อีจูยอง) ที่ติดตามไปแบบลับๆ เพื่อจับกระบวนการค้ามนุษย์นี้ให้ได้คาหนังคาเขา

นายหน้าค้าเด็ก

เห็นชื่อเรื่อง หลายคนอาจจะเดาไปว่านอกจาก Broker จะแปลว่านายหน้า คำคำนี้น่าจะหมายถึงคนที่ผุพังและแตกสลาย ถึงอย่างนั้น ตัวโคเรเอดะเองก็เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าสำหรับเขา Broker แปลตรงตัวว่านายหน้านั่นแหละ เขามองว่านายหน้าคือคนที่อยากให้เด็กขายออกมากที่สุด ซึ่งอาจหมายไม่ได้หมายถึงแก๊งลักเด็กเท่านั้น เพราะเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดหนึ่ง กลับเป็นตำรวจที่ตามสืบคดีนี้เสียเองที่อยากให้เด็กขายออกมากๆ

ระหว่างที่ล้อรถของพวกเขาแล่นไปบนถนน Broker ชวนให้เราสำรวจชีวิตของตัวละครผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ที่เปิดเปลือยตัวตนและรอยแผลของพวกเขาอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนในที่สุดเราก็อดไม่ได้ที่จะโอบรับตัวละครทุกตัวเข้ามาในใจ น้ำตาซึมไปกับโมเมนต์เฉลิมฉลองชีวิตของพวกเขา และแน่นอน หนังชวนให้เราตั้งคำถามกับกล่องรับทารกและ ‘นายหน้า’ ในแง่มุมสีเทาๆ ว่าการมีอยู่ของพวกเขาเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีกันแน่ นับตั้งแต่นาทีแรกๆ ที่ตัวละครของแบดูนาพูดว่า “ถ้ามีลูกแล้วเลี้ยงไม่ได้ จะมีลูกไปทำไม” ซึ่งอาจมีคนเห็นด้วยไม่น้อย ขณะเดียวกัน บางคนอาจมองว่าการส่งต่อเด็กๆ ให้คนที่พร้อมดูแลพวกเขา มันก็ยังดีกว่าการทิ้งไว้ในถังขยะ

กล่องนี้มีรัก

โคเรเอดะได้แรงบันดาลใจในการทำหนังเรื่องนี้ระหว่างเขากำลังรีเสิร์ชข้อมูลมาเขียนบทหนัง Like Father, Like Son และเจอข้อมูล baby box ที่มีอยู่จริงในหลายประเทศ ที่เกาหลีเอง กล่องรับทารกเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2019 จากการริเริ่มของลีจองรัก บาทหลวงประจำโบสถ์แห่งหนึ่งที่สร้างกล่องรับทารกขึ้นมาเพื่อซัพพอร์ตแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เลี้ยงลูกไม่ไหว โดยเขาจะส่งต่อเด็กๆ เหล่านั้นไปตรวจเช็กร่างกายและส่งให้สถานรับเลี้ยงเด็กต่อไป

กล่องรับทารกเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างมากในเกาหลี คนจำนวนหนึ่งบอกว่า baby box นั้นส่งเสริมให้มีการทิ้งเด็กได้ง่ายขึ้น แถมยังเป็นสิ่งที่ขัดต่อสนธิสัญญาของ UN ว่าด้วยเรื่องสิทธิเด็กที่ระบุว่าเด็กทุกคนต้องได้รับการลงทะเบียนตนทันทีที่เกิด (เพราะเด็กที่ถูกทิ้งใน baby box บางคนก็ไม่ได้ลงทะเบียนในขั้นตอนนี้ ทำให้พวกเขาถูกรับไปอุปถัมภ์เป็นบุตรบุญธรรมได้ยาก) แต่อีกฝั่งหนึ่งก็โต้กลับว่าสังคมเกาหลีไม่ได้ซัพพอร์ตแม่เลี้ยงเดี่ยวมากพอ แถมยังตีตราคนที่ท้องโดยไม่แต่งงานว่าเป็นบาปอีก การมีอยู่ของ baby box จึงยังถือว่าเป็นทางเลือกที่มีประโยชน์สำหรับแม่ผู้อับจนหนทาง

ธุรกิจรับเลี้ยงเด็ก

สิ่งที่เราสนใจเป็นพิเศษใน Broker คือธุรกิจสีหม่นที่ต่อยอดมาจากช่องโหว่ของ baby box ซึ่งอาจเอื้อให้เกิดการลักพาตัวเด็กไปขาย ในกรณีที่เด็กคนนั้นไม่มีข้อมูลระบุตัวตน 

การขายเด็กให้ครอบครัวอื่นรับไปเป็นบุตรบุญธรรมอาจไม่ใช่เรื่องใหม่ในเกาหลี นับตั้งแต่ที่รัฐบาลประกาศใช้กฎหมาย The Special Adoption Act ในปี 2012 เพื่อกระตุ้นให้เกิดการอุปถัมภ์เด็กๆ ชาวเกาหลีโดยพ่อแม่เชื้อชาติเดียวกัน และลดการอุปถัมภ์โดยคนต่างชาติให้น้อยลง (เนื่องจากก่อนหน้านั้นมีเด็กเกาหลีถูกส่งออกไปให้คนต่างชาติอุปถัมภ์จำนวนมากตั้งแต่สมัยสงครามเกาหลี พีคสุดๆ คือปี 1985 ที่มีเด็กส่งออกประเทศกว่าแปดพันคน!) รัฐบาลจึงออกกฎว่าหากพ่อแม่คู่ไหนประสงค์จะมอบลูกของตัวเองให้เป็นลูกบุญธรรมของคนอื่น ต้องยื่นเรื่องต่อศาลครอบครัวก่อน และต้องสมัครใจที่จะเปิดเผยข้อมูลนี้สู่สาธารณะด้วย

ประเด็นคือพ่อแม่ผู้รับเลี้ยงเด็กบางคนอยากเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ พวกเขาไม่อยากให้เด็กหรือใครรู้ว่าเด็กไม่ใช่ลูกแท้ๆ และอยากทำตัวประหนึ่งเป็นพ่อแม่จริงๆ ในขณะที่ฝั่งพ่อแม่จริงๆ นั้นก็อยากลบอดีตของตน นั่นทำให้อัตราการรับเลี้ยงบุตรอย่างถูกกฎหมายในประเทศจากหลักพันก็ลงเหลือแค่หลักร้อย และทำให้ธุรกิจขายเด็กเป็นบุตรบุญธรรมแบบผิดกฎหมายนั้นรุ่งเอาๆ

อาจเพราะขั้นตอนการซื้อ-ขายง่ายแสนง่าย และไม่ได้ซับซ้อนชวนตื่นเต้นเหมือนใน Broker ด้วยซ้ำ เพียงแค่พ่อแม่ผู้อยากรับเลี้ยงตามหานายหน้าในเว็บไซต์ลับ ส่งข้อความไปแจ้งความประสงค์ซึ่งสามารถระบุได้ละเอียดถึงขั้นว่าอยากได้ลูกเพศไหนหรือกรุ๊ปเลือดอะไร หลังจากนั้นนายหน้าก็จะหาแม่ที่กำลังตั้งครรภ์มาให้ และลูกค้าต้องจ่ายราคา ‘ค่าแนะนำ’ ที่นายหน้าจะพาลูกค้ากับแม่มารู้จักกัน ซึ่งส่วนมากจะอยู่ที่ราวๆ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ 

สุดท้ายคือตกลงเงื่อนไขกันว่าหลังจากคลอดในคลินิกที่พวกเขาเตี๊ยมกันไว้แล้ว เด็กจะถูกระบุว่าเป็นลูกของพ่อแม่ผู้รับเลี้ยงโดยอัตโนมัติ และวันที่คลอดจริงๆ พ่อแม่ที่จะรับเลี้ยงต้องอยู่ตรงนั้นด้วย ถ้าจะให้สมจริงเข้าไปอีก พ่อแม่ผู้รับเลี้ยงเด็กต้อง ‘แสดง’ ว่ากำลังตั้งครรภ์ลูกคนใหม่เพื่อตบตาคนรอบตัวมาก่อนหน้านั้นเลย

นี่เองคือกระบวนการที่ทำให้การอุปถัมภ์นี้สำเร็จได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากศาลครอบครัว ซึ่งตามรายงานของสำนักข่าวโชซุนเคยรายงานไว้ว่าในปี 2014 มีอัตรา ‘การอุปถัมภ์เป็นบุตรบุญธรรมแบบส่วนตัว (personal adoption) เกิดขึ้นทั้งในเกาหลีและต่างประเทศหลายสิบครั้งในหนึ่งวันเลยทีเดียวไม่ต่างจากขบวนการขายเด็กจาก baby box ใน Broker หากใช้ข้อกฎหมายมาวัด มันคือการละเมิดสิทธิเด็กที่ยังไม่รู้ประสีประสา แต่ในทางกลับกัน ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเราคือคนที่ตกอยู่ในที่นั่งของพ่อแม่ผู้อยากมีลูกมากแต่ไม่สามารถมีได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร หรือเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่สู้ชีวิตยังไงชีวิตก็สู้กลับจนเลี้ยงลูกไม่ไหว ธุรกิจนี้อาจเป็นแสงสว่างตรงปลายอุโมงค์ของเราก็ได้ ใครจะรู้

อ้างอิง

sahamongkolfilm.com

koreatimes.co.kr

youtube.com

chosun.com

mpakusa.blogspot.com

hollywoodreporter.com

รู้จัก Contextual Marketing เมื่อดาต้ามาเจอกับการตลาดในบริบทที่ใช่ ไอศครีมก็ขายดีได้แม้ในตอนมีพายุหิมะ

แม้คำว่า data-driven marketing หรือการใช้ดาต้าในธุรกิจจะเป็นคำที่เราได้ยินบ่อยๆ กันในยุคนี้ แต่ก็ยังมีหลายคนนักที่ไม่เข้าใจและไม่รู้ว่าจะเอาดาต้าที่มีอยู่ในมือไปช่วย drive ธุรกิจของตัวเองได้ยังไงกัน

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาบนเวทีงาน Creative Talk 2022 มีเซสชั่นหนึ่งที่เราคิดว่าน่าจะอธิบายเรื่องของการทำ data-driven marketing ได้อย่างเข้าใจง่ายและเห็นภาพ

สปีกเกอร์ของเซสชั่นนี้คือ ณัฐพล ม่วงทำ เจ้าของเพจ การตลาดวันละตอน และอาจารย์สอนด้าน data analytic and visualization โดยหัวข้อที่ณัฐพลพูดในวันนั้นคือเรื่องของ The Future Of Creative & Contextual Marketing In Data Era หรือแปลให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือการนำเรื่องของดาต้ามาบวกกับบริทบทที่ใช้ แล้วใส่ความครีเอทีฟเข้าไป เป็นเหมือนการพาสินค้าไปอยู่ในที่ที่คนอยากซื้อมากกว่าการที่เราอยากขายด้วยวิธีการที่สร้างสรรค์

เริ่มที่ case study แรกที่ณัฐพลนำมาเล่าให้ฟัง เมื่อซัมเมอร์เป็นเหมือนช่วงเวลาไฮซีซั่นที่ไอศครีมหลายแบรนด์อัดงบการตลาด ทำโฆษณา ออกเมนูใหม่ เพราะคงไม่มีช่วงเวลาไหนจะขายไอศครีมได้ดีไปกว่าหน้าร้อนอีกแล้ว ทว่าแบรนด์ไอศครีมชื่อดังในต่างประเทศอย่าง Ben & Jerry’s กลับตัดสินใจที่จะใช้งบการตลาดออกไอศครีมรสชาติใหม่ในช่วงที่อากาศหนาวและพายุหิมะกำลังถล่มเมือง

ซึ่งการที่ Ben & Jerry’s กล้าทำในสิ่งที่สินค้าอย่างไอศครีมมักไม่ค่อยทำกันสักเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ อยากทำก็ทำขึ้นมาเลย แต่เกิดจากการเห็นดาต้าว่าในช่วงที่มีพายุตกหนัก แต่อัตราการคลิกซื้อไอศครีมกลับเพิ่มสูงขึ้น

เมื่อเห็นดาต้าที่ขัดกับความเชื่อของหลายคนที่คิดว่าไอศครีมคือสิ่งที่ขายดีในหน้าร้อน ทำให้ทางแบรนด์หาอินไซต์ว่าคนแบบไหนกันนะที่อยากกินไอศครีมในเวลาที่อากาศหนาวพายุหิมะถล่มแบบนี้ และนั่นก็ทำให้แบรนด์ได้พบกับข้อมูลที่น่าสนใจว่าเมื่อเวลาหิมะตก คนออกจากบ้านไปไหนไม่ได้ ดังนั้นแล้วสิ่งที่ทำได้ก็คือการนั่งอยู่ในบ้าน ซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม เปิดฮีตเตอร์ และกินไอศครีมไปพร้อมๆ กับการดูซีรีส์

เมื่อเห็นอินไซต์แบบนี้การทำการตลาดของ Ben & Jerry’s จึงเปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยเก็บงบเอาไว้สำหรับใช้ในช่วงหน้าร้อน ก็เปลี่ยนมาเป็นการดูบริบทโดยรอบ ดูสภาพอากาศในแต่ละช่วงเวลา หากวันไหนที่อากาศแย่จนไม่สามารถออกจากบ้านได้ก็ค่อยทำแคมเปญยิงโฆษณาออกไปเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนซื้อไอศครีมไปตุนเอาไว้ที่บ้าน

โดยอีกหนึ่งผลลัพธ์ของการเอาดาต้ามารวมกับบริบทนี้ก็ยังทำให้ Ben & Jerry’s ออกไอศครีมรสชาติใหม่ที่มีชื่อว่า Netflix and Chill’d เพื่อให้ผู้คนได้กินไอศครีมชิลล์ๆ ตอนดูเน็ตฟลิกซ์อีกด้วย

และไม่ใช่แค่ที่ต่างประเทศเท่านั้น แต่สภาพอากาศก็ยังส่งผลต่อการทำ contextual marketing ของธุรกิจในไทยด้วยเช่นกัน

จากการที่ณัฐพลได้ไปพูดคุยกับเจ้าของร้านกาแฟแบรนด์ Class Cafe แล้วได้พบข้อมูลที่น่าสนใจว่าเมื่อคนไทยส่วนใหญ่ชอบดื่มกาแฟแบบเย็นและปั่นมากกว่ากาแฟร้อน ดังนั้นสัดส่วนการขายกาแฟร้อนของที่ร้านจึงอยู่ที่ประมาณ 10% แม้หน้าหนาวจะมีคนกินกาแฟร้อนมากขึ้นมาบ้าง แต่ตัวเลขก็ขยับขึ้นมาที่ราวๆ 15% เท่านั้น

ทว่ากลับมีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งที่ผู้คนมากินกาแฟร้อนชนิดที่ว่าตัวเลข 10% ได้ขยับมาเกือบเป็น 50% ก็คือตอนที่อากาศเย็นลงอย่างฉับพลันประมาณ 4-5 องศา เพราะเมื่อคนตื่นเช้ามาจะรู้สึกหนาวอย่างฉับพลันก็ทำให้มีความอยากจะกินกาแฟร้อน

เมื่อเห็นดาต้าและบริบทแบบนี้ ทำให้หากมีพยากรณ์อากาศบอกว่าอากาศจะเย็นลงอีกเมื่อไหร่ ทางร้านก็สามารถเตรียมสตรีมนมสำหรับทำกาแฟร้อนเอาไว้ได้ และมีสินค้าขายเพียงพอต่อความต้องการของผู้คนที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันนั่นเอง

ไม่เพียงแค่เรื่องของสภาพอากาศ แต่สถานที่ที่แตกต่างกันออกไปก็ยังส่งผลให้แบรนด์เดียวกันทำการตลาดที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ณัฐพลหยิบยกสบู่ล้างมื้อแบรนด์คิเรอิคิเรอิมาเล่าเป็น case study ให้ฟังว่าในช่วงที่โควิดกำลังระบาดหนักในบ้านเรา แต่ละพื้นที่ก็มีระดับการระบาดที่แตกต่างกันออกไปตั้งแต่เขียว เหลือง ไปจนถึงแดง คิเรอิคิเรอิจึงทำการตลาดที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่ จุดไหนเสี่ยงมากก็ยิ่งได้ส่วนลดมาก จุดไหนเสี่ยงน้อยก็จะได้ส่วนลดน้อยลงลดหลั่นกันไป เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้คนมาซื้อสบู่ล้างมือมากขึ้น

เรื่องของช่วงเวลาที่ถูกต้องก็สามารถเอามาทำเป็น contextual marketing ได้เช่นกัน อย่างเช่นสุริยุปราคา แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ แต่แบรนด์ Master Card ก็สามารถหยิบจับช่วงเวลานี้มาทำเป็นแคมเปญได้อย่างสนุกสนาน เพราะเมื่อตอนที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เคลื่อนที่มาซ้อนทับกันนั้น มีลักษณะที่คล้ายกับโลโก้วงกลมสีแดงและสีเหลืองของ Master Card ที่ทับซ้อนกันอยู่ ทางแบรนด์จึงใช้ช่วงเวลาดังกล่าวในการลดราคาสินค้าให้ผู้คนมาช้อปปิ้งกันด้วยบัตร Master Card ถือเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่สร้างการจดจำของแบรนด์ได้อย่างน่าสนใจ

อ่านมาจนถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่าแล้วอะไรบ้างล่ะที่เราจะสามารถหยิบจับมาทำ contextual marketing ได้ ณัฐพลบอกบนเวทีว่าจริงๆ แล้วมันก็คือสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเรานั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นภาษา สภาพอากาศ​ สถานที่ พฤติกรรมของลูกค้าหรือสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้น

เมื่อมีความต้องการของผู้คนเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันกับที่แบรนด์สามารถนำเสนอสินค้าของตัวเองด้วยวิธีการที่สร้างสรรค์ได้ ก็จะทำให้แบรนด์สามารถขายของได้โดยใช้ความพยายามในการขายที่น้อยกว่าการขายในบริบทที่ไม่ใช่

และจากเรื่องราวที่ณัฐพลได้นำมาเล่านี้ จึงทำให้นึกขึ้นได้ว่าอันที่จริงแล้วหลายๆ ธุรกิจที่ขายไม่ดี ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่ตัวสินค้าเสมอไป แต่อาจเป็นเพราะยังไม่เจอบริบทที่ใช่ก็เป็นได้เช่นกัน

เกิดอะไรขึ้นหลังแมคโดนัลด์ในรัสเซียปิดตัว แล้วเกิดแบรนด์ใหม่ ‘Vkusno & tochka’

Vkusno & tochka

Vkusno & tochka Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด