Teeth Time คลินิกทำฟันที่อุดทุก pain point ของคนไข้และหมอฟันด้วยงานดีไซน์

ตั้งแต่ฟันน้ำนมยังขึ้นไม่ครบทุกซี่จนถึงวันนี้ที่ผ่านการรักษารากฟันมาแล้วเรายังไม่เคยเห็นคลินิกทำฟันที่ไหน–ทั้งในไทยและต่างประเทศ–ที่มีหน้าตาเหมือน Teeth Time สักแห่ง

เริ่มจาก facade สีขาวด้านหน้าที่ดูเหมือนว่าจะเป็นคาเฟ่ เปิดประตูเข้ามาเจอล็อบบี้โปร่ง โล่ง ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สไตล์นอร์ดิก มองออกไปด้านนอกมีสวนร่มรื่น เห็นช่องแสงลอดลงมาจากหลังคาด้านบนที่เจาะเป็นรูปวงกลม

ให้มองอีกกี่ที ที่นี่ก็ไม่ใช่คลินิกทำฟัน

teeth time

ถึงอย่างนั้นเราขอยืนยันอีกครั้งว่าที่นี่คือสถานที่รักษาฟันจริงๆ ที่มีจุดเริ่มต้นคือการแก้ pain point ของคนไข้เวลาไปทำฟันและแก้ pain point ของ ‘หมอฟัน’ ไปในตัว

แต่ที่เกินคาดคือนอกจากงานดีไซน์จะอุด pain point ทั้งหลายจนหายดี มันยังทำให้ธุรกิจไปได้ดีตั้งแต่แรกเปิดกิจการ

เช้าวันหนึ่งก่อนคลินิกจะเปิดและคนไข้จะทยอยเข้ามารักษาแบบไม่ขาดสาย เราจึงนัดกับผู้ก่อตั้งและสถาปนิกขอมาสำรวจคลินิกแห่งนี้ทุกซอกทุกมุมเพื่อหาคำตอบว่าเพียงปรับงานดีไซน์ ทุกแง่มุมของธุรกิจนั้นดีขึ้นได้ยังไง

ทำฟันคือฝันร้าย

คลินิกทันตกรรม Teeth Time เกิดขึ้นโดยหุ้นส่วนสามคน นั่นคือ ปฐวี นวลพลับ, ทันตแพทย์หญิง อัญชลี สุจิวโรดม หรือ หมอเมี่ยง ภรรยาของปฐวี และรุ่นน้องของหมอเมี่ยงอย่าง ทันตแพทย์หญิง รพีญา รชากรพัฒน์ หรือ หมอหมิว

ปฐวีมีอาชีพหลักเป็นวิศวกรโยธาและมีภรรยาเป็นหมอฟัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มีความลับที่ไม่อยากบอกใคร

เขากลัวการทำฟันขึ้นใจ

“ตั้งแต่เด็ก ทุกครั้งที่แม่พาไปทำฟันผมรู้สึกว่ามันน่ากลัวมาก เหมือนต้องเข้าห้องเชือด แค่นั่งรอหน้าห้องทำฟัน ฟังเสียงอุปกรณ์ครืดๆๆ ก็กลัวจนตัวสั่น กระทั่งทุกวันนี้ผมก็ยังไม่ค่อยอยากทำฟัน มันฝังใจ มี perception ต่อการทำฟันที่ไม่โอเค”

teeth time

“คนไข้ส่วนใหญ่จะกลัวเสียง” หมอหมิวเสริมในมุมของหมอ “บางคนจะบอกเลยว่าเขามีประสบการณ์การทำฟันในวัยเด็กที่ไม่ดี เขากลัวเสียงนี้มากเลย หรือขอพักบ่อยหน่อย”

ก่อนหน้านี้ปฐวีและหมอเมี่ยงเปิดคลินิกทำฟันอยู่ที่ทาวน์อินทาวน์ แต่หลังจากแต่งงานทั้งคู่ก็คุยกันว่าอยากเปิดคลินิกทำฟันใกล้ๆ บ้านที่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ พวกเขาจึงเริ่มตามหาที่ดินแปลงที่ใช่กระทั่งเจอทำเลถูกใจริมถนนพรานนก – พุทธมณฑลสาย 4 และได้หมอหมิวมาเป็นหุ้นส่วนอีกคน พร้อมกับได้ชื่อ Teeth Time ที่ล้อกับคำว่า Tea Time หรือเวลาน้ำชา ช่วยคุมคอนเซปต์การทำฟันแบบสบายๆ ไม่น่ากังวล

ไม่นานหลังจากนั้น ไอเดียคลินิกในฝันก็ถูกส่งต่อให้ กาจวิศว์ ริเริ่มวนิชย์ ผู้ก่อตั้งและดีไซน์ไดเรกเตอร์ของสตูดิโอ Physicalist ทำให้เป็นจริง

teeth time

อุดทุก pain point ด้วยงานดีไซน์

“บรีฟที่ทางทีมให้มามันเคลียร์มาก นั่นคือการออกแบบบรรยากาศที่ช่วยให้การทำฟันเป็นกิจกรรมที่ไม่น่ากลัว ดังนั้นเราเลยมีโจทย์หลักว่าอะไรที่ทำให้การทำฟันน่ากลัว เราจะทำตรงข้ามกับสิ่งนั้นให้หมด” 

กาจวิศว์เล่าว่าสิ่งที่เป็นหัวใจของ Teeth Time คือ “ความโปร่งและสว่าง เป็นภาพที่เห็นตรงกันมาตั้งแต่วันแรกเพราะมันตรงกันข้ามกับคลินิกที่เช่าตึกมาทำ”

เพื่อความโปร่ง ล็อบบี้จึงมีเพดานสูงเป็นพิเศษเพื่อให้การนั่งรอทำฟันไม่อึดอัด ผนังด้านในของตึกเป็นบานกระจกยาวตลอดแนวอาคารรับแสงธรรมชาติตลอดวัน ส่วนคอร์ตยาร์ดตรงกลางแทนที่จะทำเป็นห้องตรวจเพื่อรับคนไข้ให้เยอะขึ้นที่นี่กลับทิ้งสเปซเป็นพื้นที่สีเขียวช่วยสงบใจคนไข้ขี้กลัว

teeth time
teeth time

และนอกจากต้นเสม็ดแดงฟอร์มสวยตรงกลางสวน สิ่งที่สะกดทุกสายตาให้หยุดมองตั้งแต่เปิดประตูเข้ามาคือหลังคาเจาะรูปวงกลมมองเห็นท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนสีไปในแต่ละช่วงเวลา

“คอนเซปต์ของเราคือคุณสามารถเห็นภูมิทัศน์ด้านนอกได้จากทุกจุดในโซนคนไข้เพราะมันให้บรรยากาศเหมือนเราอยู่ในสวนจริงๆ แม้ว่าเราจะอยู่ในที่ร่มก็ตาม” ปฐวีอธิบาย

“ผมชอบคอนเซปต์ของกาจมาก เขาบอกว่าอาคารของเราเป็นรูปทรงเรขาคณิตทั้งหมดก็เลยอยากให้สวนซึ่งเป็นไฮไลต์ไม่เป็นเรขาคณิต”

“เราอยากสร้างความรู้สึกฟรีฟอร์ม” กาจวิศว์เสริม “ในสวนจะมีความกวนๆ นิดนึง เราตัดแบ่งครึ่งหนึ่งเป็นหิน อีกครึ่งเป็นต้นไม้ให้มีความเป็นเรขาคณิตมากๆ แต่ต้นไม้ที่เป็นประธานของสวนกลับมีฟอร์มเลื้อย ให้ความรู้สึกอ่อนช้อยในตึกที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม วงกลม”

ถัดจากโซนล็อบบี้คือโซนห้องทำฟันที่ออกแบบให้ไม่อึดอัดด้วยหน้าต่างวงกลมเปิดรับแสงและวิว และเมื่อเปิดประตูหน้าห้องก็สามารถมองออกไปเห็นสวนได้เลย

ไม่ต้องใช้เวลานาน เราก็สังเกตได้ว่าที่นี่มีกระจกเยอะกว่าคลินิกทำฟันทั่วไปมาก กาจวิศว์เฉลยว่าไม่เพียงกระจกใสจะให้ฟังก์ชั่นความโปร่ง มันยังช่วยลดทอน ‘ความลึกลับ’ อันเป็นคาแร็กเตอร์ของคลินิกทำฟันที่หลายคนหวาดกลัว

“อาคารที่เปิดโล่งทำให้รู้สึกว่าการทำฟันไม่ลึกลับ ปกติเวลาลงทะเบียนเสร็จเราจะต้องไปนั่งในโถง รอให้พยาบาลพาเข้าไปที่ไหน เจออะไรก็ไม่รู้ แต่กับที่นี่ เรานั่งที่ล็อบบี้ก็เห็นประตูห้องทำฟัน รู้ว่า อ๋อ เดี๋ยวเราจะต้องไปตรงนั้น ความรู้สึกก็ผ่อนคลายขึ้น”

ทั้งหมดที่ปฐวีและกาจวิศว์เล่ามาคือสิ่งที่ตามองเห็น แต่ที่พวกเขาใส่ใจไม่แพ้กันคือสิ่งที่หูได้ยิน

เพราะเป็นผู้ประสบภัยจากเสียงของกิจกรรมทำฟันโดยตรง เมื่อได้สร้างคลินิกขึ้นจากศูนย์ ปฐวีจึงลงมือวางระบบปั๊มและท่อด้วยตัวเองโดยย้ายปั๊มลมและอุปกรณ์ที่ทำให้เกิดเสียงออกไปไว้ด้านนอกอาคารติดกับห้องเอกซ์เรย์ที่มีผนังปูนหนา เพื่อให้เสียงเล็ดลอดไปถึงห้องทำฟันให้น้อยที่สุด

“เสียงน่ากลัวๆ ที่เราได้ยินตอนทำฟันส่วนหนึ่งมาจากพวกปั๊มน้ำ ปั๊มลม ซึ่งส่วนใหญ่เขาจะเอาไว้ใกล้ๆ ห้องทำฟันเพราะไม่ต้องเดินท่อไกล ข้อเสียคือทำให้เสียงดัง ตอนออกแบบคลินิกผมเลยย้ายอุปกรณ์ที่ทำให้เกิดเสียงไปไว้ข้างหลังคลินิกทั้งหมด คนไข้ที่ทำฟันอยู่จะไม่ได้ยิน ได้ยินแค่เสียงที่มาจากอุปกรณ์ที่อยู่ใต้เก้าอี้ทำฟันเท่านั้น”

ที่คิดละเอียดยิ่งกว่าคือการที่ปฐวีรีเควสต์ให้วางห้องทำฟันเป็นแนวยาวตลอดตัวอาคาร ไม่เพียงมันจะทำให้รับแสงและวิวได้เท่าเทียมกัน แต่ยังเอื้อต่อการเดินระบบท่อให้มีจุดโค้งงอน้อยที่สุด แรงดันของปั๊มจึงไม่ตกและทำให้เครื่องมือแพทย์ใช้งานได้อย่างเสถียรที่สุด

“เราพยายามทำให้การสร้างอาคารขึ้นมาใหม่เกิดประโยชน์สูงสุด ตอบทุกโจทย์ ทั้งโจทย์ทางวิศวกรรม โจทย์ทางดีไซน์ คนทำงาน และคนที่มาทำฟัน” กาจวิศว์สรุป

คลินิกทำฟันที่ไม่เหมือนคลินิกทำฟัน

“ประโยคแรกที่ผมบอกกาจตอนจะสร้างที่นี่ คือผมอยากได้คลินิกที่ดูรู้ว่าเป็นคลินิกทำฟันแต่ไม่เหมือนคลินิกทำฟัน” ปฐวีเล่าพร้อมหัวเราะให้กับบรีฟของตัวเอง

teeth time

จากโจทย์นี้ กาจวิศว์จึงตีความออกมาว่าแม้ในแวบแรกคนจะไม่รู้ว่าที่นี่เป็นคลินิกทำฟัน แต่อาคารต้องเด่นเป็นจุดสังเกตให้คนที่ขับรถผ่าน และคนต้องรู้ว่าเขาสามารถเข้ามาใช้งานที่แห่งนี้ได้

“เพราะด้านหน้าของคลินิกเป็นถนน คนจะเห็นอาคารจากในรถซึ่งกำลังแล่นเท่านั้น ตัวอาคารจึงต้องมีความสูงพอสมควรไม่อย่างนั้นคนจะขับรถผ่านไปเลย เราจึงทำส่วนหน้าของอาคารให้สูงเป็นส่วนของ facade และล็อบบี้ซึ่งต้องการความโปร่ง แต่ในส่วนอื่นๆ ของตึกนั้นไม่ได้ต้องการความสูงมาก อาคารจึงมีลักษณะสูงข้างหน้าแล้วเอนมาเตี้ยข้างหลังสอดคล้องกับระบบระบายน้ำ

“อีกอย่าง ด้วยบริบทของอาคารที่เข้าถึงได้จากทางรถเท่านั้น เราจึงทำ facade เป็นโค้งขนาดใหญ่ทั้งด้านหน้าและด้านข้างเพื่อให้มองเห็นอาคารจากทุกด้านของถนน และแทนที่จะซ่อนลานจอดรถไว้ด้านหลังเราก็เลือกทำลานด้านหน้าให้เป็นที่จอดรถเพื่อให้คนที่ขับรถรับรู้ว่าฉันเอารถเข้าไปจอดได้นะ”

teeth time
teeth time

และอย่างสุดท้ายที่ช่วยสื่อสารความเป็นคลินิก ปฐวีบอกว่าคือโลโก้ที่ทำหน้าที่บอกว่าอาคารสีขาวแห่งนี้มีฟังก์ชั่นอะไร

แน่นอนว่ายังคงคอนเซปต์การขจัดภาพจำฝังแน่นของคลินิกทำฟันให้หมดเกลี้ยง

“เรื่องโลโก้ต้องให้เครดิตคุณเฟย (ก่อเกียรติ กิตติโสภณพงศ์ จากทีม InFO)” ปฐวีออกปาก “ผมอยากได้โลโก้ที่ไม่มีรูปฟัน ไม่มีคำว่า smile จากชื่อ Teeth Time คุณเฟยเลยครีเอตเป็นนาฬิกาที่มีเข็มเป็นรูปแปรงสีฟันให้อย่างที่เห็น”

เท่านี้ แม้ด้านนอกจะเหมือนคาเฟ่แค่ไหน แต่เพียงเห็นโลโก้ขนาดใหญ่บนอาคารก็พอเดาได้ไม่ยากใช่ไหมว่าที่นี่ให้บริการอะไร

กิจกรรมสำหรับทุกเพศทุกวัย

นอกจากกินข้าว นั่งดูละคร และร้องคาราโอเกะ ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่ง กิจกรรมที่คน 3 เจเนอเรชั่นในครอบครัวทำร่วมกันได้จะเป็นการทำฟัน

ถึงงานดีไซน์จะโดดเด่นล้ำหน้า แต่ชื่อของหุ้นส่วนที่เป็นทันตแพทย์ถึง 2 คนก็การันตีได้ว่าพวกเขาจริงจังกับการรักษาไม่แพ้ใคร โดยใช้เครื่องมือและวัสดุได้มาตรฐาน และมีทันตแพทย์ทุกประเภทเพื่อครอบคลุมลูกค้าให้หลากหลายที่สุด

“คำว่าหลากหลายของเราคือครอบครัว ผมมองว่าการทำฟันเป็นเรื่องของคนทุกเพศทุกวัยในครอบครัว อย่างเมื่อวันก่อนก็มีครอบครัวหนึ่งที่มารักษาทั้งคุณตา คุณยาย พ่อ แม่ ลูกๆ เราเห็นคน 3 เจเนอเรชั่นมาพร้อมกัน พบคุณหมอคนละท่าน คุณหมอฟันปลอม หมอเด็ก หมอทั่วไป (หัวเราะ)”​ ปฐวีเล่าจนเราเห็นภาพ

“พื้นที่ของเราและ facility ที่เตรียมไว้ก็เหมาะสำหรับการที่ครอบครัวจะมานั่งรอได้ คุณแม่มารักษา คุณพ่อมาดื่มกาแฟ ลูกๆ วิ่งเล่น ไปปีนสไลเดอร์กัน”

เขาขยายความต่อว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เลือกทำเลนี้ก็เป็นเพราะทาร์เก็ตครอบครัวนี่เอง

“ผมกับภรรยาแต่งงานกันมา 5-6 ปีและอาศัยอยู่แถวนี้ เราสังเกตว่าคนที่อยู่แถวนี้ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวใหม่อายุประมาณ 30-50 ปีเหมือนๆ กับเรา ใช้ชีวิตชานเมือง มีความรีแลกซ์”

พูดถึงครอบครัวใหม่ก็ต้องนึกถึงเด็กเล็กซึ่งปฐวีไม่อยากให้จดจำว่าการทำฟันเป็นเรื่องน่ากลัว Teeth Time จึงมีห้องทำฟันสำหรับเด็กซึ่งมีสเตชั่นหน้าตาน่ารักจนผู้ใหญ่อย่างเราอยากลดอายุลงไปสัก 20 ปี จะได้เจอพี่ไดโนเสาร์เหมือนเด็กๆ สมัยนี้

“ผมเองตอนเด็กๆ ไปนั่งอยู่หน้าห้องทำฟันตัวสั่นดิกๆ แต่ที่นี่ ผมเห็นเด็กๆ อายุประมาณ 6-7 ขวบถามแม่ว่าเมื่อไหร่จะได้เข้าห้องทำฟันสักที จะไปเจอพี่ไดโนเสาร์ มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่เรารู้สึกตอนเด็กๆ เลย”

“เรารู้สึกว่าการปลูกฝังเด็กให้ไม่กลัวการทำฟันเป็นเรื่องที่ดีมากๆ” หมอหมิวขอเสริม “ที่ผ่านมาเราเจอคนไข้เยอะมากที่กลัวการทำฟันเพราะมีประสบการณ์ที่ไม่ดีในวัยเด็กเขาเลยไม่เคยดูแลฟันเลย เจออีกทีอายุ 30 กว่าแต่ฟันพังหมดแล้วก็มี ถ้าเราสามารถทำให้เด็กๆ มีประสบการณ์ที่ดี ไม่กลัวหมอฟัน อยากดูแลฟันมันจะกลายเป็นจุดเล็กๆ ที่ส่งผลดีต่อเขาในระยะยาว”

ออฟฟิศที่หมอฟันอยากมาทำงานทุกวัน

อย่างที่บอกไว้ตอนต้นบทความว่า Teeth Time ตั้งใจอุด pain point ทุกจุดที่เกิดขึ้นได้ในคลินิกทำฟัน

สำหรับปฐวี pain point เหล่านั้นไม่ใช่แค่ปัญหาที่คนไข้ต้องเจอ แต่รวมไปถึงคุณภาพชีวิตของหมอฟัน ผู้ที่หลายคนลืมไปว่าต้องใช้เวลาอยู่ในคลินิกมากที่สุด

“ภรรยาผมเขาฝันอยากเป็นหมอฟันมาตั้งแต่เด็กแต่ความฝันของเขามีข้อจำกัดบางอย่าง ในทีนี้หมายถึงขอบเขตในการทำงานของเขาที่คับแคบ อยู่แต่ในห้อง ผมจะเห็นเขาบ่นปวดหัว อึดอัดเสมอ สุดท้ายแล้วการออกแบบที่นี่เลยเป็นเรื่องส่วนตัวด้วย เราคิดว่าหมอฟันน่าจะมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีได้เหมือนคนอาชีพอื่นๆ”

ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าห้องทันตกรรมสำหรับผู้ใหญ่ทั้ง 3 ห้องมีอุปกรณ์เหมือนกันก็จริงแต่ดีเทลการตกแต่งภายในไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเลย์เอาต์ของหน้าต่างหรือสีของสเตชั่นทำฟันและเฟอร์นิเจอร์ เพื่อให้คุณหมอและสตาฟฟ์ได้สนุกกับการเปลี่ยนบรรยากาศทุกๆ ครั้งที่ได้ย้ายไปทำงานในห้องใหม่

“ธุรกิจทำฟันก็คืองานบริการประเภทหนึ่ง ถ้าเราทำให้พนักงานทุกคนของเรามีความสุขไม่ได้ พนักงานของเราก็จะไม่สามารถทำให้ลูกค้ามีความสุขและมีรอยยิ้มกลับไปได้เช่นกัน ฉะนั้นถ้าเราทำพื้นที่ให้เขาอยู่แล้วสบายลูกค้าของเราก็ได้ประโยชน์ด้วย” ปฐวีขยายความ

หากถามว่าคลินิกนี้น่าทำงานแค่ไหน หุ้นส่วนทั้งสามขอตอบด้วยจำนวนใบสมัครของหมอฟันที่ส่งเข้ามาแม้คลินิกจะเพิ่งเปิดให้บริการได้ราว 2 เดือน

“จริงๆ การออกแบบของกาจทำให้วิธีการทำธุรกิจเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน” ปฐวีบอก “สิ่งที่ไม่คาดฝันคือปกติหมอฟันจะหายากมากๆ เวลาเปิดคลินิกใหม่เราจะต้องไปเชิญคุณหมอมาทำงานกับเรา แต่ที่นี่คุณหมอที่โปรไฟล์ดีๆ หลายท่านก็สมัครเข้ามา น่าจะประมาณ 40 คนแล้ว เวลามาเห็นของจริงเขาก็ถ่ายรูปกัน”

“เพราะที่สุดที่นี่ก็เป็น workplace นะ มันเป็นที่ทำงานของเขา” กาจวิศว์เสริม

ธุรกิจดีได้เมื่องานดีไซน์ดี

ตอนที่นัดหมายกันทางโทรศัพท์ ปฐวีแอบบอกว่า “ตอนนี้ผลตอบรับเกินคาดไปมาก” และขอนัดคุยกันเช้าเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้การถ่ายภาพไปรบกวนคนไข้นัดแรกๆ ของวัน

และหลังจากคิวแรกของวันมาถึง เราก็เห็นว่ามีคนไข้ทยอยมาแบบไม่ขาดช่วงแม้จะเป็นวันธรรมดา หมอหมิวเองกระซิบว่าตอนนี้มีคิวจองทำฟันยาวเหยียด โดยเฉพาะคิวคุณหมอเด็กที่ยาวไปถึงเดือนเมษายน

แต่ที่เซอร์ไพรส์เราได้มากกว่าคิวนานข้ามเดือนคือคนไข้ที่ลงทุนเดินทางข้ามจังหวัดหรือข้ามประเทศเพื่อมาทำฟันที่นี่

“สำหรับธุรกิจทำฟันปกติเราจะมองทาร์เก็ตเป็นคนที่อาศัยอยู่บริเวณรอบๆ เพราะคนส่วนใหญ่ทำฟันใกล้บ้าน แต่พอเปิดให้บริการโจทย์ที่เราตั้งไว้มันผิดไปเลย เรามีคนไข้จากที่ไกลๆ มารักษาเพราะเห็นว่าคลินิกของเราสวย ขับรถมาจากปทุมฯ บ้าง อยุธยาบ้าง หรือคนที่อยู่เยอรมนีกลับมาบ้านที่เมืองไทยเขาก็แวะมาทำ” ปฐวีเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

ในที่นี้งานดีไซน์จึงเหมือนเป็นพาหนะพาคลินิกไปเจอคนที่อยู่ไกล สร้างโอกาสในการได้ลูกค้าใหม่ๆ ที่จะกลายเป็นลูกค้าประจำในอนาคต

“ผมมองว่าหมอฟันคือสุดยอดอาชีพช่างเลยนะ ซึ่งเมื่อคนเราเจอช่างที่ใช่แล้วเขาจะไม่ค่อยเปลี่ยนช่างกันหรอก เหมือนเวลาเจอช่างตัดผมที่ถูกใจ ช่างย้ายไปไหนเราก็ย้ายตาม กับการทำฟันเองก็เหมือนกัน ถ้าลูกค้าได้มาเจอหมอที่เขาชอบที่นี่แล้วเขาก็จะกลับมาอีกเรื่อยๆ” กาจวิศว์ให้ความเห็น ก่อนปฐวีจะเอ่ยปากเห็นด้วย

สำหรับคนริเริ่มโครงการอย่างเขา นี่คือการลงทุนที่คุ้มค่าในทุกมิติแม้ว่าจะต้องใช้เงินมากกว่าคลินิกทำฟันทั่วไปมากก็ตาม

“ผมรู้อยู่แล้วว่ามันต้องใช้เงินเยอะ จริงๆ หมอฟันไม่จำเป็นต้องทำคลินิกแบบนี้ก็ได้ ยังไงก็มีคนไข้อยู่แล้วเพราะว่าปวดอะไรก็ไม่เท่าปวดฟัน แต่เรามองว่านอกจากดีกับคนไข้แล้วหมอฟันเองก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน ดังนั้นเราอาจจะคืนทุนช้ากว่าคนอื่นแต่ถ้าเราทำให้คนไข้ประทับใจเราก็มีโอกาสได้ดูแลเขาไปตลอด กระทั่งได้ดูแลครอบครัว ลูกหลานของเขา ผมว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้ธุรกิจยั่งยืน อยู่ได้ในระยะยาวมากกว่าจะคิดแค่ว่าเราจะคืนทุนภายใน 3 ปี 5 ปี

“ทุกวันนี้บางคนก็แวะเข้ามาถ่ายรูปแล้วถามว่าที่นี่คืออะไร แวะเข้ามาขอถ่ายรูปด้านในบ้าง เราก็เชิญเขาเข้ามา จะทานกาแฟก็ได้ เราคิดว่าทุกคนต้องทำฟันอยู่แล้ว ถ้าเราต้อนรับเขาเดี๋ยวเขาก็จะกลับมาเอง”

“เวลาเห็นฟีดแบ็กว่าคลินิกสวย แน่นอนผมดีใจอยู่แล้ว แต่ส่วนตัวที่ผมประทับใจมากๆ คือธุรกิจมันไปได้ดี ผมว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่พิสูจน์ว่าอาคารได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว” กาจวิศว์สรุปพร้อมรอยยิ้ม

และแน่นอนว่ามันเป็นรอยยิ้มที่คราฟต์โดยคลินิกทันตกรรมชื่อ Teeth Time

ทำไมต้องวางแผนทางการเงิน?

“ทำไมต้องวางแผนทางการเงิน”

คุณเห็นอาคารหลังใหญ่ๆ หรือสะพานสูงๆ นั่นไหมคะ

ก่อนจะลงมือสร้างอาคารหรือสะพานที่เห็นได้ ต้องผ่านการคิดและแก้ไขแบบร่างการก่อสร้างทั้งนั้น อยู่ๆ วิศวกรและช่างฝีมือจะลุกขึ้นมาปักเสาแล้วสร้างตึกสูงขึ้นมา 30 ชั้นเลยคงไม่ได้

ไม่ต่างจากเวลาเราไปสนามกอล์ฟ เขาจะให้แผนที่เรามาว่าหลุมทั้ง 18 หลุมอยู่ตรงไหน แต่ละหลุมมีลักษณะอย่างไร เพื่อให้เราวางแผนพิชิตแต่ละหลุม แต่ละเป้าหมาย เพราะถ้าต้องลองหาทั้ง 18 หลุมด้วยตัวเองอาจจะต้องใช้เวลาตีกอล์ฟ 3 ปี

กระบวนของการวางแผนทางการเงินฟังดูแล้วอาจเป็นศัพท์ที่ยากและไกลตัว แต่จริงๆ แล้ว การวางแผนทางการเงินก็คือการวางแผนชีวิต เราอยากมีชีวิตยังไง อยากใช้จ่ายเท่าไหร่ และมีเรื่องราวที่ต้องเตรียมพร้อมยังไงบ้าง

หลายคนอาจจะบอกว่าชีวิตมันไม่ได้มีโอกาสให้วางแผนหรอก เพราะทุกวันนี้มีอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะ ทุกอย่างเข้ามาปะทะจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ใช่ไหมคะ 

จริงๆ การวางแผนทางการเงิน ไม่ใช่การวางแผนระยะยาวอย่างเดียวนะคะ แค่เราวางแผนสำหรับชั่วโมงหน้า หรือวางแผนสำหรับอาทิตย์นี้ ก็ถือเป็นการวางแผนทางการเงินทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าตัวเราต้องถามตัวเองว่าอยากได้แผนสำหรับอะไร

ทุกครั้งที่คุยเรื่องนี้ ทุกคนจะพูดถึงนิยามความรวยเสมอ แต่นิยามคำว่ารวยของเราไม่ได้วัดที่เม็ดเงิน แต่คือ การมีชีวิตในวันพรุ่งนี้ดีกว่าวันนี้ แล้วมีชีวิตในวันมะรืนที่ดีกว่าวันพรุ่งนี้ คือทุกวันขอให้ดีขึ้น ซึ่งคำว่าดีขึ้นไม่ได้วัดด้วยเงินเลยนะคะ ดีขึ้นอาจจะหมายถึงสุขภาพดีขึ้น มีเวลาในชีวิตมากขึ้น ได้ทำอะไรอย่างที่อยากทำมากขึ้น ได้ทำอะไรที่มีความหมาย หรือสร้างแรงบันดาลใจแก่คนอื่น

แน่นอนว่าในเรื่องของเงิน ถ้ามีพอใช้พอจ่ายหรือทำให้รู้สึกมั่นคงปลอดภัย มันก็ทำให้เรามีเวลาเอื้อไปคิดหรือวางแผนทำอย่างอื่นได้ สิ่งสำคัญก็คืออย่าให้มีข้อจำกัดที่ต้องทำงานทุกวันเพียงเพื่อจะหาเงินได้อย่างเดียว แต่ลองลุกขึ้นมาวางแผนชีวิต เพราะบางทีคุณภาพชีวิตที่เราต้องการไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมาย อย่างความรู้ใหม่ที่ได้เรียนรู้ในแต่ละวัน สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในชีวิตกลายเป็นว่าเป็นของที่ใช้เงินซื้อไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ ญาติพี่น้อง คนที่สนิท คนที่เรารัก คนที่รักเรา แม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ เช่น ต้องการอ้อมกอด ต้องการมือที่ตบหลังอะไรอย่างนี้ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากการใช้เงินเลย ไปจนถึงสิ่งที่เราค้นพบว่า ตื่นมาวันนี้ขอให้ยังมีลมหายใจ สุขภาพร่างกายแข็งแรง นี่ก็เรียกว่าถูกรางวัลที่ 1 ประจำวันแล้วนะ ดังนั้นเมื่อตระหนักถึงความธรรมดาหรือความปกติใกล้ๆ ตัวแล้ว คุณอาจพบว่า คุณโคตรจะรวยเลย

กลับมาที่เรื่องเงิน ระหว่างที่เราเรียนวิชาเรื่องการหาเงินมาตลอดชีวิต เรียนจบมาเพื่อทำงาน แล้วทำงานเพื่อมีสตางค์บางส่วนไปใช้ชีวิต เราแทบไม่ลองเรียนวิชาที่สำคัญอย่างการใช้เงินกันบ้าง วิชาที่สอนการต่อเงิน เช่น เก็บออมเงินขึ้นมา นำเงินไปลงทุน หรือเอาเงินไปวางให้ถูกที่ถูกทางเพื่อส่งผลต่อเรา เช่น ไปลงเรียนหนังสือเพื่อวิชาความรู้ ไปซื้อบ้านสักหลังเพื่อเราจะได้มีที่พักพิง หรือคนในครอบครัวจะได้มีเราเป็นที่พึ่ง เป็นต้น 

ถึงอย่างนั้น การวางแผนการเงินอาจจะไม่สำคัญเลยสำหรับใครบางคน แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ เราคิดว่าเรื่องนี้สำคัญ เพราะถ้าคุณต้องการมีชีวิตวันพรุ่งนี้ดีกว่าวันนี้ มันไม่ได้หมายถึงเงิน แต่หมายถึงสิ่งที่อยากได้ เช่น ในเงินจำนวน 1 แสนเท่ากัน สำหรับบางคนวางแผนใช้ 1 ปี บางคน 1 เดือน บางคน 1 อาทิตย์ และบางคน 1 วัน ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่เม็ดเงินจะมากจะน้อย หากอยู่ที่เราจะสามารถใช้เงินแบบนี้ได้ตลอดไปหรือไม่

สิ่งที่เรากำลังคุยวันนี้คือ ทำยังไงล่ะ ให้คุณได้คุณภาพชีวิตอย่างที่คุณอยากได้ ทุกอย่างเกิดจากการวางแผน สุดท้ายเราจะพบว่าไม่ว่าเงินที่คุณได้รับจะมากน้อยเพียงใด ถ้าคุณไม่เก็บมันก็ไม่เหลือ ในขณะที่บางคนได้เงินพอสมควร แต่รู้จักจัดสรรปันส่วนเงินเก็บมันก็งอกงามได้ ซึ่งอาจจะไม่เห็นผลวันนี้หรอก แต่เมื่อผ่านไป 1 ปี 2 ปี 5 ปีมันแตกต่างกันมาก ระหว่างคนที่วางแผนทางการเงินและคนที่ไม่วางแผนทางการเงิน

แตกต่างกันยังไงใช่ไหมคะ 

สมมติ เราและเพื่อนทำงานที่หนึ่ง เงินเดือนก็ใกล้ๆ กัน ผ่านไป 10 ปี ทำไมคนนึงมีบ้าน ทำไมมีรถ ทำไมไม่มีหนี้ ทำไมไปเที่ยวเมืองนอกได้ แล้วฉันทำอะไรอยู่เนี่ย นี่คือความแตกต่าง

ขณะเดียวกันแผนที่ดีต้องเกิดจากความกล้าที่จะตั้งเป้าหมาย และเป้าหมายที่ดีต้องเป็นเป้าหมายที่ S.M.A.R.T. ซึ่งมาจาก S–Specific คือเป้าหมายต้องชัดเจน ต้องการเก็บเงินเท่าไหร่, M–Measure คือ วัดผลได้เลย 1 2 3 4 5 บาทว่ากันมา, A–Achievement คือทำได้, R–Reasonable คือสมเหตุสมผล และ T–Timing คือเวลา ใน 1 ปีคุณต้องการเก็บเงินเท่าไหร่ เราชอบท้าทุกคนที่เจอว่า มาลองหาเงินและเก็บเงินให้ได้สักล้านนึงภายใน 5 ปีกันไหม ไหนมาลองวางแผนให้กับตัวเอง

สิ่งที่สำคัญต่อแผนมากๆ นอกจาก SMART ก็คือ ‘วินัย’ 

ถ้าคุณมีวินัยในการทำงาน มีวินัยในการวางแผนทางการเงินแล้ว อุปสรรคอื่นๆ ไม่ใช่ประเด็นเลย ไม่ว่าจะเป็นการที่ระหว่างทางเราอ่อนโยนกับตัวเองมากเกินไป คิดว่าสิ่งที่กำลังทำเป็นสิ่งที่ยากเกินกว่ากำลังตัวเองจะทำไหว 

คือถ้ามนุษย์กลัวสิ่งที่ยากเกินกำลังมันก็คงไม่มีการวิ่ง 100 เมตรที่ต่ำกว่า 10 วินาทีได้ เพราะทุกคนคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ เช่นกันกับการวิ่งมาราธอน มีคนใช้เวลาวิ่งต่ำกว่า 2 ชั่วโมงได้ มีคนทำได้จริงๆ 

โลกเราจะเป็นยังไง ถ้าทุกคนเชื่อว่าตัวเองทำได้แค่นี้ มันคงไม่ก้าวหน้ามาถึงวันนี้ใช่ไหมคะ 

ชีวิตของเราก็ไม่ต่างกัน เพราะมีคนบางคนไม่ยอมแพ้ และคิดว่าโลกนี้มันไม่ได้มีแค่นี้ แต่มีจุดที่ดีกว่านี้ได้อีก ชีวิตเขาเหล่านั้นจึงดีกว่าเดิมได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรากำลังจะทำวันนี้ในแง่ของการวางแผนทางการเงินก็คือ เรากล้าไหมที่จะทลายข้อจำกัดของตัวเองแล้วก็ตั้งเป้าให้มีวินัย

เคยสงสัยไหมคะ เมื่อการวางแผนทางการเงินสำคัญขนาดนี้ ทำไมความรู้เรื่องการเงินถึงไม่แพร่หลาย 

นั่นเป็นเพราะแทนที่จะทำให้เกิดความเข้าใจ เราถูกยัดเยียดหรือพาไปที่เรื่องโปรดักต์แทน ไม่ว่าจะเป็นธนาคารที่ชวนให้ฝากเงิน หรือใครก็ตามที่มาแนะนำให้ลงทุนในหุ้น ซื้อกองทุนรวม ซื้อประกัน ทั้งหมดนี้วิ่งไปที่โปรดักต์ 

แล้วอะไรที่ผลตอบแทนที่สูงกว่าที่รับรู้ปกติมันไม่มีทางที่จะไม่มีความเสี่ยง เมื่อเราไม่เข้าใจสิ่งนี้พอลงทุนไปแล้วปรากฏว่ามันมีความเสี่ยงก็กลายเป็นความกลัว แล้วในที่สุดก็เลยไม่กล้าที่จะเข้าไป

ดังนั้นแทนที่จะไปวิ่งที่ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เราควรทำให้คนเข้าใจเรื่องของการวางแผน รู้จัก asset allocation หรือการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน เช่น ในช่วงแรกถ้าเราเก็บสตางค์ได้เท่านี้ เป้าหมายเราเท่านี้ จริง ๆ แล้วเราอาจไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอะไรเลย ลงทุนแค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องไปเล่นคริปโตฯ หรืออะไรที่มันเสี่ยงมากมายขนาดนั้น 

แต่ถามว่าถ้าคุณอยากลงทุนโปรดักต์ที่เสี่ยงทำได้ไหม ได้ แต่คุณต้องการจัดเงินให้เพียงพอว่า เงินที่คุณลงในโปรดักต์ ที่เสี่ยงนั้น หากเกิดอะไรขึ้นคุณจะยังไม่ได้รับผลกระทบ เป็นต้น

เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าการวางแผนทางการเงินนั้นสำคัญอย่างไร แต่ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ หรือมันไม่ใช่อย่างที่คิดก็เปลี่ยนแผนสิคะ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย เพราะแผนที่เรากำลังคุยกันนั้น ใช่การปักเสาเข็มขึ้นตึกซะที่ไหน แต่มันเป็นแผนที่อยู่ในตัวคุณ

ความยากของเรื่องนี้คือบางทีมันต้องศึกษาด้วยตัวเอง ทำความเข้าใจสิ่งที่เราอยากจะเห็นอย่างแท้จริง วันนี้มีเพจ มีเว็บไซต์ต่างๆ มากมายที่สอนเรื่องการวางแผนทางการเงิน มีเรื่องราวที่เขียนเกี่ยวกับการวางแผนทางการเงินมากมายมหาศาล ถ้าคุณไม่เบื่อจนเกินไป คุณก็ลองไปศึกษา ลองหาอ่านดู ข้อมูลเรื่องพวกนี้เยอะมากแต่เราไม่ได้ใส่ใจเพราะเราไม่ได้รู้สึกว่าวันหนึ่งเราต้องวางแผน เรารู้สึกว่าทุกเดือนยังมีเงินเดือน ยังทำงานได้อยู่ มันเลยไม่ต้องคิดอะไรไกล แต่ถ้าวันหนึ่งลองเงินขาดมือ หรือยามเกิดเรื่องไม่คาดฝันคนที่เขามีการวางแผนทางการเงิน มีเงินเก็บ เขาก็ชิลล์ๆ ขณะที่บางคนที่แทบจะล้มประดาตาย เพราะว่าถ้าขายไม่ได้ 1 วัน หรือขาดรายได้ 1 วันก็ขาดเงินที่จะมาใช้ดำรงชีวิตต่อเลย เป็นต้น

ดังนั้น มาทำให้การวางแผนเป็นเรื่องง่ายๆ ในชีวิตกันค่ะ เราชอบเล่าเรื่องนี้มาก มีน้องคนหนึ่งมีความฝันอยากไปดูฟุตบอลโลกมาก ซึ่ง 4 ปีจะจัด 1 ครั้ง ปีที่เขาอยากไปดูประเทศอังกฤษเป็นเจ้าภาพ เขาก็วางแผนเลย ศึกษาการจะซื้อตั๋วบอลโลกว่าต้องเตรียมตัวยังไง ต้องเก็บสตางค์ยังไง เขาจะไปดูบอลที่ไหนบ้าง เขาจะใช้อะไร วันไหนนอนบ้านเพื่อน โปรแกรมแต่ละวันทำอะไรบ้าง อย่างนี้ เห็นไหมว่าคุณก็สนุกกับการวางแผน

หรือถ้าใครอยากฝันอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นสักครั้ง งั้นคุณก็ลองวางแผนที่จะไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก ว่าต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง ที่จะไปแล้วเที่ยวให้สนุก ไปแล้วได้ทำอะไรที่คุณชอบ เรื่องราวเหล่านี้ก็คือการวางแผนทางการเงินทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นการวางแผนทางการเงินไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย เราอาจจะไม่เคยรู้ว่าเราเคยเตรียมพร้อมเรื่องราวเหล่านี้มาเรียบร้อยแล้ว

Wealth Done ตอนต่อๆ ไป เรามาหาคำตอบพร้อมกันนะคะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการวางแผนเพื่อลูก วางแผนเพื่อเกษียณ วางแผนเพื่อซื้อบ้านซื้อรถ หรือแม้แต่เรื่องแต่งงาน เมื่อไหร่ควรแต่งงาน แล้วควรจัดงานแบบไหน หรือเมื่อถึงจุดหนึ่งเราจะพบว่า ตัวเราควรจัดการเงินที่มียังไง หรือวันที่ตัวเราได้รับโอกาสใหม่ๆ ในชีวิตเราควรเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งนั้นยังไง

มาทำให้การวางแผนทางการเงินเป็นเรื่องสนุกในชีวิตกันค่ะ คุณจะพบว่ามันไม่น่าเบื่อเลย แถมเต็มไปด้วยความท้าทายจริงๆ


WEALTH DONE คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital แล้วรออ่านคำตอบพร้อมกันทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co

เมื่อสงกรานต์มีแค่ 3 วัน แล้ว ‘น้ำอบนางลอย’ ทำยังไงให้ธุรกิจอยู่คู่เทศกาลมาได้นานหลายปี

จากจุดเริ่มต้นเมื่อราว 100 กว่าปีก่อนหน้าที่คุณย่าเฮียง ธ.เชียงทอง นำสูตรการปรุงน้ำอบที่ได้จากเพื่อนในวังมาดัดแปลงใส่กลิ่นหอมต่างๆ เข้าไป ก่อนจะเริ่มขายน้ำอบที่แรกในตลาด ‘นางลอย’ ข้างวัดบพิตรพิมุข จนกลิ่นหอมโชยของน้ำอบได้ลอยไปเตะจมูกของใครหลายคนและทำให้น้ำอบนางลอยได้รับความนิยมแบบปากต่อปาก ในฐานะเครื่องหอมที่เอามาประพรมตามร่างกาย

กระทั่งยุคสมัยเปลี่ยนไป น้ำอบนางลอยก็ได้เปลี่ยนจากการเป็นเครื่องหอมที่ผู้คนใช้กันในชีวิตประจำวัน กลายมาเป็นของใช้ประจำปีในเทศกาลสงกรานต์ 

เมื่อ 1 ปี มี 365 วัน แต่วันสงกรานต์มีเพียง 3 วัน แล้วอีก 362 วันที่เหลือน้ำอบนางลอยทำยังไงให้ธุรกิจยังสามารถยืนระยะอยู่ไปจนถึงสงกรานต์ถัดๆ ไปและกลายมาเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวันขึ้นปีใหม่ไทยนี้ได้

คงจะไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ดีไปกว่า ดิษฐพงศ์ ธ.เชียงทอง ทายาทรุ่นที่ 4 ของแบรนด์น้ำอบนางลอย ที่จะมาเล่าถึงความท้าทาย ความสนุก และการทำธุรกิจที่อิงกับเทศกาลที่ตลอดทั้งปีมีช่วงนาทีทองเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น

เตรียมตัวทั้งปีเพื่อ 3 วัน

หลังวันที่ 15 เมษายนของทุกปี ดิษฐพงศ์จะให้พนักงานได้พักกันประมาณ 1 เดือน เป็นเหมือนการชาร์จแบตเตอรีให้ร่างกายหลังจากโหมงานกันอย่างหนักเพื่อให้มีจำนวนสินค้าขายเพียงพอต่อความต้องการของผู้คนในช่วงไฮซีซั่น เมื่อชาร์จแบตฯ กันอย่างเต็มอิ่ม ดิษฐพงศ์และทีมงานก็จะกลับมาลุยงานกันต่ออีกครั้งในช่วงเดือนพฤษภาคมเพื่อเตรียมทำน้ำอบนางลอยสำหรับขายในเทศกาลสงกรานต์ปีถัดไป

ที่ต้องใช้เวลาเตรียมการล่วงหน้านานถึงเพียงนี้ นั่นเพราะกระบวนการผลิตที่มีความพิถีพิถัน เอาแค่ขั้นตอนการตระเตรียมวัตถุดิบต่างๆ เพื่อให้พร้อมต่อการนำไปอบก็ใช้เวลาหนึ่งเดือนถึงเดือนกว่าแล้ว อีกทั้งน้ำอบนางลอยที่ส่งถึงมือทุกคนล้วนแต่ทำด้วยมือคนแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ผ่านเครื่องจักรแต่อย่างใด พนักงานทั้งหมดก็มีแค่ 20 กว่าคน กำลังการผลิตแต่ละวันก็ไม่ได้เยอะมาก จึงจำเป็นต้องเผื่อเวลาไว้มากในการเตรียมสต็อกเพื่อที่จะได้มีสินค้าขายในสงกรานต์ปีหน้าอย่างเพียงพอ

“คนนิยมใช้น้ำอบนางลอยในวันที่ 13-15 ก็จริง แต่ในช่วงเวลาที่ทีมงานต้องง่วนกับการทำงานสุดๆ ก็คือเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมของทุกปี เพราะจะเป็นช่วงที่ต้องทยอยส่งสินค้าไปให้กลุ่มลูกค้าหลักที่อยู่ทั่วประเทศ ซึ่งก็คือร้านขายสังฆภัณฑ์เพื่อให้ร้านเหล่านั้นได้มีเวลาสต็อกสินค้า แล้วพอถึงวันสงกรานต์เขาก็จะเอาน้ำอบมาวางขายหน้าร้านได้ทันที” 

จนเมื่อน้ำอบที่ซุ่มผลิตมาทั้งปีเริ่มกระจายออกไปเกือบหมด ดิษฐพงศ์ก็จะมาประเมินต่อว่าสงกรานต์ปีนั้นจะมีออร์เดอร์เข้ามาอีกไหม ถ้ามีต้องเร่งทำอีกเท่าไหร่ จนเมื่อจบสงกรานต์ก็จะให้พนักงานได้พักและกลับมาทำงานใหม่อีกครั้งในช่วงเดือนพฤษภาคม วนลูปไปเรื่อยๆ อย่างนี้ทุกปี

เทศกาลที่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ 

แม้แต่ละปีวันสงกรานต์จะเป็นช่วงเวลาเดิม แต่สถานการณ์แต่ละปีก็ต่างกันออกไป

อย่างเมื่อราว 5-6 ปีก่อนหน้าที่มีการกระตุ้นให้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยในช่วงสงกรานต์เป็นพิเศษ เวลานั้นมีออร์เดอร์หลั่งไหลเข้ามาเกินกว่าที่คาด ดิษฐพงศ์จึงต้องเร่งกำลังการผลิตอย่างกะทันหัน ขอความร่วมมือจากพนักงานและคนในครอบครัวให้มาช่วยผลิตเพื่อให้มีสินค้าเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า 

พอจบแต่ละปีเขาจึงจำเป็นต้องประมวลผลว่าปีที่ผ่านมาเจออะไรบ้าง ครั้งต่อไปควรจะเพิ่มหรือลดการผลิตยังไง แล้วปีหน้ามีแนวโน้มว่าจะเป็นแบบไหน เพื่อที่จะได้วางแผนสำหรับสงกรานต์ครั้งถัดไป โดยจากประสบการณ์ที่ทำมาหลายปี ความคลาดเคลื่อนในการคาดคะเนแต่ละครั้งจึงค่อนข้างแม่นยำ ไม่ต่างจากสิ่งที่ตั้งสมมติฐานเอาไว้มากสักเท่าไหร่ 

จนกระทั่งการมาของโควิด

“โควิดเป็นอะไรที่กระทบที่สุดตั้งแต่ผมเข้ามาทำตรงนี้แล้ว ตอนนั้นที่เจอโควิดมันเป็นเหมือนจังหวะช็อต คือไม่รู้เลยว่าถ้าไม่มีสงกรานต์มันจะเกิดอะไรขึ้น 

“ปี 2020 ขายแทบไม่ได้เลย เปรียบเทียบเป็นเลขกลมๆ ให้เห็นภาพ สมมติปกติปีๆ หนึ่งผลิต 100 ขวด ขายได้ 60-70 ขวดคือเท่าทุน แต่พอโควิดเราขายได้แค่ 35 ขวด ของที่ผลิตออกมาในปีนั้นเลยอยู่เต็มโกดังไปหมด นอกจากขายไม่ได้เรายังต้องยืดระยะเวลาชำระเงินให้ลูกค้าที่เป็นคู่ค้าของเรามาตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณพ่อ เพราะธุรกิจที่เราทำมันเป็นความสัมพันธ์หลายๆ ทาง ไม่ใช่แค่ผลิต ขาย แล้วก็จบไป

“แต่ยังโชคดีที่สินค้าของเรามันมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน นับตั้งแต่วันผลิตถ้ายังไม่เปิดขวดเลยจะเก็บได้นาน 2-3 ปี ฉะนั้นของที่ผลิตในปี 2020 ก็เลยยังเอามาขายในปี 2021 ได้โดยที่คุณภาพของสินค้ายังเหมือนเดิมทุกอย่าง”

ยอดขายนอกเทศกาล 

แม้ยอดขายกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของน้ำอบนางลอยจะมาจากช่วงสงกรานต์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าช่วงเวลาอื่นๆ น้ำอบนางลอยจะง่วนอยู่แต่กับการเตรียมของจนไม่ได้ขายของเลย 

ดิษฐพงศ์เล่าให้ฟังว่าร้านสังฆภัณฑ์ตามต่างจังหวัดก็ยังมีการสั่งน้ำอบอยู่เรื่อยๆ ตลอดทั้งปี เพราะแต่ละพื้นที่ก็จะจัดงานประเพณีประจำจังหวัดกันอยู่ตลอด หรืออย่างงานขึ้นบ้านใหม่หรืองานแต่งงานก็ยังมีการใช้น้ำอบอยู่ด้วยเช่นกัน

นอกจากน้ำอบแล้วก็ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นอย่างดินสอพอง เทียนหอมสำหรับใช้อบขนมที่ยอดขายเติบโตขึ้นในช่วงโควิดรอบแรกที่หลายคนหันมาทำอาหารกัน หรือเทียนหอมที่ใช้จุดเพื่อสร้างบรรยากาศโดยเอากลิ่นเอกลักษณ์ของแบรนด์อย่างกลิ่นน้ำอบและกลิ่นแป้งร่ำมาทำให้อยู่ในรูปลักษณ์ที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ในยุคปัจจุบัน ทั้งยังทำให้ผู้คนได้รับกลิ่นอายของความเป็นน้ำอบนางลอยได้ แม้จะไม่ได้อยู่ในช่วงสงกรานต์ก็ตาม 

รวมไปถึงการที่องค์กรใหญ่ๆ มาออร์เดอร์ให้ทำน้ำอบนางลอยสำหรับเอาไว้มอบเป็นของที่ระลึก ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่สร้างรายได้ให้กับธุรกิจเช่นกัน

ความท้าทายของการเป็นสินค้าที่อิงตามเทศกาล

ในมุมของดิษฐพงศ์ ความท้าทายของการทำสินค้าที่อิงกับเทศกาลคือเรื่องความยากในการบริหารจัดการเรื่องการเงิน ที่ต้องทำให้เงินก้อนใหญ่ซึ่งได้มาจากช่วงระยะเวลาเดียวสามารถหล่อเลี้ยงองค์กรไปได้ตลอดทั้งปี 

“หลักๆ เลยคือเราต้องมีการบริหารเงินที่ดีมากๆ เพราะทั้งปีเราจะได้เงินก้อนเดียว ดังนั้นการใช้จ่ายระหว่างทางไม่ว่าจะเป็นค่าพนักงาน ค่าวัตถุดิบ และค่าใช้จ่ายยิบย่อยต่างๆ ที่เป็นต้นทุน เราต้องทำให้ดี วางแผนให้ดี แล้วก็อย่างที่บอกว่าช่วงโควิดที่ผ่านมาเรามีการช่วยเหลือคู่ค้าด้วยการยืดเวลาในการชำระหนี้ ซึ่งเราจะทำแบบนี้ไม่ได้เลยหากไม่ได้มีการจัดการเรื่องเงินที่ดีมากพอ”

ไม่หวงความรู้เพื่อให้แบรนด์ยังคงอยู่คู่กับเทศกาล 

โดยปกติแล้วกิจการครอบครัวที่ขายสินค้าในลักษณะที่มีสูตรลับเฉพาะตัวมักไม่ค่อยเปิดให้ดูเบื้องหลังในการทำสักเท่าไหร่ด้วยกลัวว่าความลับทางธุรกิจอาจแพร่งพรายออกไป แต่กับน้ำอบนางลอยไม่ใช่อย่างนั้นเพราะตั้งแต่มาถึงที่โรงงานผลิต ดิษฐพงศ์ก็เริ่มพาเราดูขั้นตอนการผลิตตั้งแต่สเตปแรกถึงสเตปสุดท้าย ด้วยเพราะเขาให้ความสำคัญในแง่ของการทำให้คนได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของแบรนด์ มากกว่าที่จะมาหวงแหนเก็บสิ่งที่รู้ไว้ลำพังจนอาจทำให้มันค่อยๆ สูญหายไปตามกาลเวลา 

“ของบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมไทยหลายอย่างมันค่อยๆ สูญหายไปตามกาลเวลา แต่โชคดีที่สงกรานต์ยังไม่หายไปไหน น้ำอบของเราก็เลยยังอยู่มาได้ตามไปด้วย ผมก็เลยมองว่าการที่เรามาแชร์วิธีทำน้ำอบก็จะทำให้คนสนใจและรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของเรา แล้วเปิดให้ดูวิธีทำไปก็ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะมาทำเหมือนเราได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะมันยังมีดีเทลอะไรต่างๆ อีกมากมายที่ต้องอาศัยความละเอียดและทักษะงานฝีมือ เพราะเรายังทำน้ำอบด้วยมืออยู่ทุกขวด”

ด้วยความเป็นแบรนด์ที่อยู่คู่กับคนไทยมายาวนาน น้ำอบนางลอยจึงมักจะถูกหยิบยกไปเป็น case study ของการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยเฉพาะกับคลาสการสร้างแบรนด์และการตลาด ซึ่งก็มีอยู่เคสหนึ่งที่ดิษฐพงศ์รู้สึกชอบและให้ความสนใจเป็นพิเศษ

“จุดเริ่มต้นมาจากการที่มีน้องนักศึกษาคนหนึ่งเห็นว่าน้ำอบที่เราทำอยู่มันเป็นแบบขวด ซึ่งขนส่งทีมันมีน้ำหนักมาก แล้วบางครั้งพอส่งไปไกลๆ ก็มีการแตกบ้างอะไรบ้าง เขาก็เลยเสนอไอเดียมาทำเป็นน้ำอบให้อยู่ในรูปแบบผงแทน จากนั้นก็มาพูดคุยกัน มาเอาน้ำอบของเราไปผ่านกระบวนการต่างๆ เอาน้ำออกอะไรออก สุดท้ายก็กลายมาเป็นน้ำอบผงจริงๆ ผสมน้ำแล้วใช้ได้ทันที

“แล้วก็เอามาให้ผมเทสต์ ผมก็บอกน้องว่าเขาทำน้ำอบผงสำเร็จนะ เพียงแต่อาจยังไม่ใช่น้ำอบแบบของนางลอย เพราะการดึงน้ำออกทำให้มันแห้ง มันก็ทำให้กลิ่นของเปลือกชะลูดที่เราต้มกับน้ำหายไปด้วย หรือสีที่ชงออกมาก็จะไม่เหมือนกับสีของนางลอย แล้วผมก็บอกให้น้องเขาทำขายได้เลยนะเพราะน้ำอบมันเป็นผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน สูตรใครสูตรมันมาตั้งแต่โบราณแล้ว เหมือนกับผัดกะเพราที่แต่ละบ้านก็มีสูตรไม่เหมือนกัน”

ความท้าทายของการเข้ามาสานต่อธุรกิจที่มีมานานกว่า 100 ปี 

เมื่อมองไปยังบริบทสถานการณ์โดยรอบ หากบอกว่าน้ำอบนางลอยคือธุรกิจที่เต็มไปด้วยความท้าทายก็คงจะไม่ผิดแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันหรือกับสถานการณ์โควิดที่ไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่ หรือในวันหน้าเทศกาลสงกรานต์จะกลับมาคึกคักอย่างในอดีตไหม ทว่าดิษฐพงศ์กลับไม่ได้มองว่าสิ่งที่เขาเจอเป็นโจทย์ที่โหดหินกว่าคนรุ่นย่ารุ่นพ่อจนทำให้ถอดใจไปแต่อย่างใด 

“ผมมองว่ามันเป็นความท้าทายที่ต่างกัน รุ่นที่หนึ่งความท้าทายของเขาก็คือการสร้างกิจการขึ้นมา แล้วกว่าจะทำให้กิจการนั้นได้รับความนิยมอีกมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย 

“รุ่นที่ 2 กับ 3 เป็นช่วงที่คุณปู่กับคุณพ่อผมทำควบคู่กันไป ความท้าทายคือการสร้างฐานลูกค้าเพิ่ม เพราะเขามองว่าแค่ตลาดในกรุงเทพฯ นั้นยังไม่เพียงพอ ต้องไปตีตลาดในต่างจังหวัดเพราะคนในต่างจังหวัดก็ใช้น้ำอบเหมือนกัน แต่สมัยก่อนมันยังไม่ได้มีโทรศัพท์ เทคโนโลยียังไม่ได้เป็นเหมือนอย่างทุกวันนี้ คุณปู่กับคุณพ่อก็ต้องไปตระเวนตามร้านขายสังฆภัณฑ์ในจังหวัดต่างๆ ไปแบบนี้ทุกปี สุดท้ายเขาก็ทำสำเร็จสร้างฐานลูกค้าที่แข็งแรงมากจนถึงทุกวันนี้ได้

“เพราะฉะนั้นพอมาถึงรุ่นผมมันก็คือการรักษาและต่อยอดมันออกไป ถามว่าท้าทายไหม กดดันไหม แน่นอนเรื่องพวกนี้ต้องมีอยู่แล้วแหละ ด้วยสถานการณ์ต่างๆ ที่เข้ามามากมาย แต่ที่ตัดสินใจมาทำตรงนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องของหน้าที่ ไม่ใช่แค่เพราะเราเป็นลูกชายคนโตของบ้านเลยต้องมารับไม้ต่อ แต่เพราะเราเติบโตกับสิ่งนี้มาโดยตลอด เราสนุกที่ได้อยู่กับมัน มันเป็นทั้งความชอบแล้วก็ความภูมิใจเล็กๆ ด้วยว่าสิ่งที่เราทำมันยังสามารถอยู่ได้ท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป หรือกับแบรนด์อื่นๆ ที่เกิดมาพร้อมกันแล้วหายไปจากตลาดแล้ว แต่น้ำอบนางลอยก็ยังสามารถอยู่มาได้จนถึงวันนี้

“ถามว่าในฐานะทายาทเราประสบความสำเร็จหรือยัง ก็ต้องบอกว่ายัง เพียงแต่ทุกวันนี้ยังรู้สึกสนุกและอยากจะพยายามกับมันมากขึ้นอยู่เรื่อยๆ ”

แนวคิดเบื้องหลังความสำเร็จของ SC GRAND แบรนด์สิ่งทอรีไซเคิลที่ส่งต่อแนวคิดรักษ์โลกมาตั้งแต่รุ่นยาย

เศษผ้าสีสันสดใสคละรวมกันในกระบะเล็กๆ ตรงหน้าเรา ท่ามกลางกล่องบรรจุเศษผ้านับร้อยที่ตั้งซ้อนกันในโกดังเป็นฉากหลัง

เราหยิบเศษผ้าขึ้นมาสัมผัสความนิ่มขณะฟังเสียงเครื่องจักรในโรงงาน จินตนาการถึงปลายทางของเศษผ้าเหล่านี้ที่น่าจะกลายเป็นเสื้อสักตัว

บ่ายวันหนึ่งที่อากาศดี เรายืนอยู่ที่โรงงานของ SC GRAND ธุรกิจผลิตและจำหน่ายสิ่งทอรีไซเคิลที่เป็นแบรนด์แรกๆ ที่ทำให้ใครหลายคนหันมาสนใจเรื่องสิ่งทอเพื่อความยั่งยืนมาตั้งแต่สมัยที่โลกยังไม่รู้จักคำว่า sustainable

ย้อนกลับไปกว่า 50 ปีก่อน ‘แสงเจริญการฝ้าย’ เริ่มต้นจากการเป็นธุรกิจรับซื้อของเหลือใช้จากอุตสาหกรรมแฟชั่นมาขายให้กับคู่ค้า หลังจากส่งไม้ต่อให้ทายาทมาแล้ว 3 รุ่นก็เปลี่ยนชื่อเป็น SC GRAND และขยับจากธุรกิจซื้อมาขายไป กลายเป็นผู้ผลิตที่จริงจังกับการลดผลกระทบไม่ดีต่อสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการ พวกเขายังสนุกสนานกับการกระโดดไปคอลแล็บกับธุรกิจต่างสายงานอย่างเฟอร์นิเจอร์ Yothaka และเครื่องดื่ม KOI Thé แถมเปิดแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองชื่อ CIRCULAR ที่สยามเพื่อโชว์เคสสินค้า ให้หลายคนได้เห็นว่าปลายทางของวัตถุดิบไม่มีมูลค่าก็สามารถกลายเป็นชุดสวยๆ ได้

หลังจากปล่อยให้เราอยู่กับผ้าได้ไม่นาน วัธ–จิรโรจน์ พจนาวราพันธุ์ ก็เดินเข้ามาต้อนรับเราในชุดสบายๆ (แน่นอนว่าเป็นชุดของแบรนด์ CIRCULAR) ชายหนุ่มคนนี้คือทายาทรุ่น 3 และผู้บริหารคนล่าสุดของ SC GRAND ผู้อยู่เบื้องหลังทิศทางใหม่ๆ ที่เราเพิ่งพูดถึง จิรโรจน์ชวนเราเดินทัวร์โรงงาน แล้วเริ่มเล่าเรื่องราวธุรกิจสิ่งทอยั่งยืนที่เขากับครอบครัวอยู่กับมันมาทั้งชีวิต–และคิดว่าจะอยู่ไปตลอดชีวิตให้เราฟัง

1

“ทำอุจจาระให้เป็นทอง”

ในบทสัมภาษณ์ของนักธุรกิจหลายคน เรามักคุ้นชินกับประโยคแนวๆ ‘ทำธุรกิจนี้เพราะอยากแก้เพนพอยต์บางอย่าง’ ซึ่งเพนต์พอยต์ที่ว่ามักเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็เจอ แต่ไม่มีใครฉุกคิดแก้ปัญหา

ถ้าธุรกิจคือการกำไรจากเพนพอยต์ของผู้บริโภค คำว่าธุรกิจของ SC GRAND คงมีนิยามต่างออกไป พวกเขาไม่มีเพนพอยต์ ไม่ได้มองเห็นความพิเศษในสิ่งของธรรมดา

แต่ไปไกลกว่านั้น พวกเขาเห็นความพิเศษในสิ่งของที่ใครหลายคนมองว่าไม่มีค่า นั่นคือขยะจากอุตสาหกรรมแฟชั่น

ย้อนกลับไปราวเจ็ดสิบปีที่แล้ว สมัยอากงและคุณยายของจิรโรจน์ยังเป็นหนุ่มสาว ทั้งคู่พบกันในโรงงานสิ่งทอใหญ่แห่งหนึ่ง การงานบันดาลให้ได้ใกล้ชิด ผูกพัน จนตกลงปลงใจใช้ชีวิตร่วมกัน 

นอกจากความรักจะผลิบานที่นั่น อีกหนึ่งสิ่งที่จุดประกายขึ้นพร้อมกันคือวิสัยทัศน์อันสร้างสรรค์ของคุณยาย 

“คุณยายมีสายตาที่มองเห็นคุณค่าในสิ่งที่คนอื่นมองข้ามอยู่เสมอ” จิรโรจน์เล่า แล้วเท้าความให้ฟังว่าก่อนยายจะมาเป็นสาวโรงงาน ท่านก็เคยรับกะลามะพร้าวเหลือใช้จากตลาดมาขายต่อ พอได้มาอยู่กับสิ่งทอทุกวัน ท่านก็เห็นว่าเศษผ้าเหลือใช้จากการผลิตมีลักษณะคล้ายนุ่นที่สามารถนำไปยัดไส้ตุ๊กตา ผ้านวม หรือเพาะเห็ด จึงขอซื้อขยะเหล่านั้นมาขายต่อให้โรงงานในไทยและต่างประเทศ

“คนสมัยก่อนชอบพูดว่าคุณยายทำอุจจาระให้เป็นทอง คุณยายเองก็เคยบอกกับผมตั้งแต่เด็กๆ ว่าโรงงานเราเป็นโรงงานขยะ สินค้าของเราเป็นเกรดล่าง ซึ่งมันก็จริง เพราะเรารับซื้อของเสียจากภาคอุตสาหกรรมแฟชั่น ทั้งเศษด้ายจากโรงงานทอผ้า เศษผ้าจากโรงงานตัดเย็บ หรือของเสียอื่นๆ มาขายต่อ 

“เรานำของที่ไม่มีมูลค่ามาทำให้มีมูลค่าสูงขึ้น นั่นคือดีเอ็นเอของเรา”

แต่ใครจะคิดว่าธุรกิจเกรดล่างที่ว่าจะประสบความสำเร็จมาก ถึงขนาดสามารถออกมาตั้งโรงงานของตัวเอง

คุณยายวิภาในอดีต

2

“สิ่งที่มันเติมเต็มตัวเราจริงๆ คืออะไร”

แสงเจริญการฝ้าย คือชื่อของโรงงานที่เพื่อนๆ ตั้งให้ ซึ่งได้แรงบันดาลใจจาก ‘สว่าง’ ชื่อของอากง

แค่ฟังก็แอบเดาได้ว่าหัวเรือใหญ่ของโรงงานคงหนีไม่พ้นชายเจ้าของชื่อแน่ๆ แต่จิรโรจน์กลับเซอร์ไพรส์เราด้วยการเฉลยว่า เรี่ยวแรงหลักของแสงเจริญจริงๆ แล้วคือคุณยาย ‘วิภา’ ต่างหาก

และถ้าจะบอกว่าคุณยายคนนี้คือ wonder woman ของวงการสิ่งทอก็คงไม่เกินจริง

“สมัยก่อนคนจะเรียกคุณยายว่าเจ๊บางปะกอก” ผู้เป็นทายาทรุ่นที่ 3 หัวเราะ “เพราะโรงงานเมื่อก่อนอยู่แถวบางปะกอก ช่วงทำโรงงานแรกๆ อากงจะเป็นคนกำหนดวิสัยทัศน์ คิดนู่นคิดนี่ แต่คนที่วางแผนและสร้างแสงเจริญขึ้นมาจริงๆ คือคุณยาย ท่านไฟต์ติดต่อซื้อ-ขายวัตถุดิบ ประสานงานลูกค้า หลายโรงงานมีเจ้าของเป็นผู้ชาย คุณยายก็จะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เข้าไปอยู่ในวงการสิ่งทอตอนนั้น”

หลังจากคุมโรงงานอยู่หลายปีจนมีทายาทมารับช่วงต่อ คุณยายก็ไม่ได้ปล่อยมือจากการเป็นแม่ทัพทันที เธอจัดแจงให้คนในตระกูลมาช่วยกันบริหารโรงงาน โดยแบ่งหน้าที่ตามนิสัยของลูกแต่ละคน อย่างน้าสาวของจิรโรจน์ที่เก่งเรื่องตัวเลขก็มาช่วยดูเรื่องการเงินและการผลิต ส่วนแม่ของเขาที่เก่งภาษาก็มาช่วยดูเรื่องการนำเข้าและส่งออกสินค้า

โรงงานแห่งเก่า

ในยุคที่คำว่า sustainable ยังไม่ป๊อปปูลาร์ เจ๊บางปะกอกคนนี้ก็รับบทผู้มาก่อนกาล อัพสเกลแสงเจริญการฝ้าย ซึ่งเคยเป็นธุรกิจซื้อมาขายไปให้กลายเป็นโรงงานปั่นด้ายจากเศษผ้าเหลือใช้ จนมีผลิตภัณฑ์เส้นใยของตัวเองที่สามารถส่งต่อให้แบรนด์ต่างๆ นำไปผลิตสินค้า mass production (ผลิตทีละเยอะๆ) อาทิ ไม้ม็อบถูพื้น

ภาพคุณยายที่เป็นหญิงแกร่ง และเข้มงวดอยู่ในสายตาของจิรโรจน์ผู้เป็นหลานชายมาตลอด อาจเพราะเขาตัวติดกับคุณยายมาตั้งแต่เด็ก ตอนคุณยายมาโรงงานก็ติดสอยห้อยตามมาด้วยเสมอ จิรโรจน์จึงซึมซับแนวคิดและวิธีการทำงานของคุณยายมาโดยปริยาย

“คุณยายเคยบอกบ่อยๆ ว่าที่เขายอมลำบาก เพราะเขาไม่อยากให้ลูกหลานลำบาก เขาเลยพยายามสู้และสร้างทุกอย่างขึ้นมา” คือหนึ่งในคำที่ยายพูดบ่อยที่สุด

ถึงอย่างนั้น จิรโรจน์ก็ไม่เคยเห็นภาพว่าวันหนึ่งเขาจะได้มารับช่วงต่อกิจการของที่บ้าน

“สมัยวัยรุ่นเราก็มีหลายทางให้เดิน ไม่จำเป็นต้องกลับมาทำกิจการต่อจากที่บ้านด้วยซ้ำ อย่างตอน cryptocurrency บูม เคยมีบริษัทใหญ่ที่เป็นท็อปไฟว์ในตลาดมาชวนเราไปลงทุน หรือช่วงเจ็ดปีที่แล้วก็มีโอกาสจะเข้าไปตลาดการเงิน”

ก่อนจะมาเป็นผู้บริหาร จิรโรจน์เคยเข้ามาช่วยเหลืองานที่โรงงานบ้างเมื่อครอบครัวขอความช่วยเหลือ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเขาก็เรียนรู้เรื่องธุรกิจจากการทำร้านเสื้อผ้า แบรนด์รองเท้า ไปจนถึงแพลตฟอร์มเว็บไซต์ขายของแฮนด์เมดจากเมืองไทย

“เราทำมาหลายอย่าง ผิดพลาดมาก็เยอะ เพราะแต่ก่อนเราไม่ค่อยรอบคอบ ทำอะไรก็ลุยอย่างเดียวเลย ช่วงอายุประมาณ 28-29 เราหลงทางเหมือนกัน เป็นช่วงที่ตัดสินใจว่าจะไปทางไหนดี

“มีวันหนึ่งได้ไปงานรับปริญญาของน้องที่รู้จัก เขาจบ MIT ที่อังกฤษแล้วมหาวิทยาลัยก็เชิญคนเก่งๆ มาพูดให้ฟัง มีคำพูดหนึ่งที่เราจำได้ขึ้นใจคือ ‘What is your purpose of life? ทำให้เราคิดต่อว่าจริงๆ แล้วเป้าหมายในชีวิตของเรา สิ่งที่มันเติมเต็มตัวเราจริงๆ คืออะไร และเราว่ามันคือการดูแลคนในครอบครัว ทุกวันที่เรามีชีวิตอยู่ เราอยากดูแลครอบครัวหรือทำสิ่งที่เชื่อมโยงกับเขา”

อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้จิรโรจน์อยากเข้ามารับช่วงต่อ คือระบบภายในที่มีช่องโหว่เอื้อให้เกิดการฉ้อโกงขึ้นจากคนในบริษัท “เป็นปัญหาที่สะสมมาตลอด 20 ปีเพราะว่าความไว้ใจ” เขาว่า ซึ่งการฉ้อโกงก็เกิดขึ้นจริงๆ 

โชคดีในโชคร้าย จิรโรจน์เข้ามาแก้ปัญหานั้นจนทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ โมเมนต์นั้นเองทำให้เขาเข้าใจภาพรวมของบริษัทที่เคยวิ่งเล่นมาตั้งแต่เด็กๆ อย่างถ่องแท้ ชายหนุ่มกับน้องชายจึงตัดสินใจเข้ามาช่วยงานเต็มตัวในที่สุด

ฝ่ายบริหาร SC GRAND ทั้งสามรุ่น แถวบนจากซ้ายคือคุณยายวิภา อากงสว่าง แถวล่างคือคุณน้าของจิรโรจน์ คุณแม่ของจิรโรจน์ และจิรโรจน์

3

“พิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเราทำจริง”

แน่นอนว่าการเข้ามารับช่วงต่อธุรกิจอายุมากกว่า 50 ปีนั้นไม่ง่าย บางทีอาจจะยากพอๆ กับการเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองด้วยซ้ำ

เมื่อได้นั่งบนเก้าอี้ของผู้บริหาร จิรโรจน์เริ่มมองเห็นจุดบอดและคอมฟอร์ตโซน ที่แสงเจริญมีมานาน อย่างการเป็นธุรกิจแบบ B2B ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าประจำคือคนทำธุรกิจ ส่งผลให้โรงงานพึ่งพิงลูกค้ามากเกินไป ไหนจะระบบทำงานแบบเน้นแรงงานคน ไม่นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนา

เหนืออื่นใด จิรโรจน์บอกว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดที่เจอคือการสื่อสารกับคนที่บ้าน

“เมื่อก่อนบริษัทใช้ชื่อแสงเจริญการฝ้าย แต่เราบอกว่ามันเชย ขอเปลี่ยนเป็นแสงเจริญแกรนด์ได้ไหม เราอยากให้แบรนด์น่าจดจำ เหมือนคิดถึงซอฟต์แวร์ก็คิดถึงไมโครซอฟต์ คิดถึงชิพก็คิดถึง Intel พอคิดถึงเรื่องผ้ารีไซเคิล เราก็อยากเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่คนจะคิดถึง

“แต่ก็เจอคำถามว่าทำไมต้องเปลี่ยนแปลง ทำไมต้องสร้างแบรนด์ ทำไมต้องให้งบโฆษณา ทำไมต้องมีระบบระเบียบ การสื่อสารเป็นเรื่องที่เราค่อนข้างหนักใจพอสมควรในช่วงแรก แต่เราไม่ซีเรียสเพราะเข้าใจว่าเขาอาจยังไม่เห็นในสิ่งเดียวกับที่เรามองเห็น”

มันเหนื่อยกว่าการทำธุรกิจของตัวเองไหม–เราอดสงสัยไม่ได้

“จริงๆ มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียนะ ถ้าทำธุรกิจของตัวเอง การที่เราสามารถตัดสินใจอะไรได้ง่ายๆ เร็วๆ แล้วไม่มีคนมาค้าน นั่นก็อันตราย เมื่อก่อนตอนเราเด็กกว่านี้เรามีความอดทนต่ำ ไม่ค่อยฟังใคร ดื้อ เอาแต่ใจ เราว่านั่นคือข้อเสียที่ทำให้เราไม่ได้มาทำแสงเจริญเต็มตัว แต่พอตอนนี้เราก็ต้องพิสูจน์ว่าอนาคตมันจะเติบโตจริงๆ ก็ค่อยๆ ทำมันไป พิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเราทำจริงนะ และมันเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย”

สิ่งที่จิรโรจน์ ‘ทำจริง’ มีตั้งแต่การนำเครื่องจักรและเทคโนโลยี ERP มาช่วยในโรงงาน ให้ข้อมูลทุกอย่างสามารถเรียกดูได้จากศูนย์กลาง ไปจนถึงการทบทวนคุณค่าของ SC GRAND ที่ทำให้เกิดการเจาะตลาดใหม่ๆ 

“เรามองว่าถ้าเดินตามแนวทางเดิมต่อไป บริษัทจะไม่ยั่งยืนแน่นอน เลยต้องมาคุยกับที่บ้านว่าคุณค่าของเรามันอยู่ตรงไหน อะไรคือสิ่งที่เราส่งมอบให้กับลูกค้า อะไรคือดีเอ็นเอขององค์กรเรา ซึ่งปัจจุบันเราเห็นว่า climate change ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกกำลังส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งแสงเจริญมีคุณค่าที่สอดคล้องและสามารถไปซัพพอร์ตตรงนั้นได้”

4

“เราอยากให้สิ่งที่เราทำจับต้องได้” 

จากเดิมที่เคยผลิตเส้นด้ายให้กับธุรกิจสิ่งทอ SC GRAND ขยับขยายมาผลิตผ้าสำเร็จที่มีทั้งผลิตลงสต็อกและผลิตตามที่ลูกค้าต้องการ โดยไม่กำหนดขั้นต่ำ จะสั่งผ้าเพื่อนำไปตัดเสื้อแค่หนึ่งตัวก็ทำได้

พวกเขายังรับผลิตยูนิฟอร์มให้กับองค์กรภาครัฐและเอกชน โดยเน้นแนวคิดการใช้วัตถุดิบรีไซเคิลเป็นสำคัญ มีโปรเจกต์ close(d) loop ที่จับมือกับแบรนด์ต่างๆ ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่แบรนด์เสื้อผ้าเท่านั้น อาทิ KOI Thé นำยูนิฟอร์มเก่าที่ไม่ใช้แล้วมาผลิตเป็นชุดใหม่ให้ แถมยังสนุกกับการข้ามไปคอแลปกับคนต่างวงการ เช่นการจับมือกับสุวรรณ คงขุนเทียน เจ้าของแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ Yothaka ผลิต home textile ลายเก๋ รวมทั้งพัฒนาผ้าร่วมกับแบรนด์แฟชั่นยั่งยืนในฮ่องกง ญี่ปุ่น และยุโรป

“เราอยากให้สิ่งที่เราทำจับต้องได้ อยากให้ทุกคนเห็นว่าผ้ารีไซเคิลสามารถสร้างสรรค์สินค้าที่ทั้งสนุกและหลากหลาย และส่งเสริมอุตสาหกรรมอื่นๆ ให้ดีขึ้นได้โดยการซัพพอร์ตเส้นใยหรือผ้าจาก SC GRAND” เขาเล่า

ยังไม่พอ จิรโรจน์ยังเปิด Circular ร้านเสื้อผ้าสไตล์ minimal classy เพื่อสื่อสารให้คู่ค้าและคนทั่วไปได้เห็นว่าผ้ารีไซเคิลจาก SC GRAND ที่ไม่ได้ผ่านการฟอกย้อมก็สามารถแปลงร่างเป็นเสื้อหนึ่งตัว หรือชุดหนึ่งชุดที่สามารถใส่ได้ในชีวิตประจำวัน 

“เราว่าการทำให้ SC GRAND ไปยืนเป็น first choice ด้าน sustainable textile ได้ หรือเป็นแบรนด์ที่ทุกคนคิดถึงเมื่อคิดถึงผ้ารีไซเคิล เราจำเป็นต้องสื่อสารออกไปให้เห็นเรื่องราวและคุณค่าของเรา สิ่งที่เราสื่อสารไม่ได้ปรุงแต่งขึ้นมาแต่คือความจริง คือเรื่องราวที่ส่งทอดผ่านกันมาตั้งแต่รุ่นคุณยาย”

5

 “คำพูด ลูกค้า เครดิต–3 สิ่งนี้คือสิ่งสำคัญ”

ในยุคที่คำว่าแฟชั่นยั่งยืนกำลังได้รับความนิยม หลายแบรนด์หันมาทำแคมเปญที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ขณะเดียวกัน ปฏิเสธไม่ได้ว่า greenwashing หรือการสร้างภาพว่ารักษ์โลกแต่ไม่ได้ทำจริงๆ ก็เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคจับตามอง

จิรโรจน์เห็นด้วย และบอกเราว่าความจริงใจคือหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดที่เขาอยากสื่อสารออกไป

“เรามีการทำ certified ชื่อ GRS (Global Recycle Standard) เพื่อพิสูจน์ว่าวัตถุดิบของเราผ่านการรีไซเคิลจริง ปลอดสารเคมี และเป็นออร์แกนิกจริงๆ มีการทำ LCA (Life Cycle Assessment) กับบริษัทในแคนาดาที่เขาทำกับแบรนด์แฟชั่นยั่งยืนหลายๆ แบรนด์ทั่วโลก เพื่อวัดอิมแพกต์ว่าเส้นใยของเราช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้เท่าไหร่ เราอยากให้ลูกค้าเห็นว่า SC GRAND โปร่งใส ตรวจสอบได้” ชายหนุ่มเน้นย้ำ

“คำพูด ลูกค้า เครดิต–3 สิ่งนี้คือสิ่งสำคัญ เมื่อก่อนยายเติบโตได้เพราะมีคนให้เครดิตยายพอสมควรในการซื้อ-ขาย เสียเงินยังไม่สำคัญเท่าเสียเครดิต เราเลยให้ความสำคัญกับการทำให้ลูกค้าเห็นว่าเราอยากส่งมอบสิ่งดีๆ”

แม้ตอนนี้ SC GRAND จะมีอายุมากกว่า 55 ปี ส่งต่อธุรกิจสู่ทายาทมากกว่า 3 รุ่น แต่จิรโรจน์ก็ยังมองว่าองค์กรของพวกเขายังเป็นคนตัวเล็กมากในวงการสิ่งทอ ยังมีหนทางอีกยาวไกล และมีอีกหลากหลายความเป็นไปได้ให้จิรโรจน์และครอบครัวได้ลองทำ

แฟชั่นเพื่อความยั่งยืนไม่ได้เป็นแค่กระแสที่ผ่านมาแล้วผ่านไปฉันใด SC GRAND ก็คาดหวังว่าจะเติบโตอย่างยั่งยืนไปเรื่อยๆ อย่างนั้น

“เราผูกพันกับครอบครัว ผูกพันกับยาย อยากให้สิ่งที่อากงกับคุณยายโตได้แม้เราจะไม่อยู่ก็ตาม เรามองว่าจริงๆ ธุรกิจไหนบนโลกก็ตามมันมีโอกาสหมดแหละ แต่สาเหตุที่เรากลับมาสานต่อตรงนี้เพราะรู้สึกว่ามันทั้ง challenging และ fulfilling ความหมายคือมันเป็นงานที่ท้าทาย เราจะไม่ได้อยู่สบาย แต่มันจะเติมเต็มอะไรบางอย่าง นอกจากกำไรแล้วมันยังช่วยสร้างผลกระทบที่ดีต่อคนรอบข้างด้วย

“คุณยายอยากให้รุ่นลูกรุ่นหลานสบาย เราอยากคงคุณค่านั้นไว้ด้วยการส่งมอบสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับลูกหลานของเราเหมือนกัน”

เมื่อรอยแผลจากความสะบักสะบอมในชีวิตมอบประสบการณ์แสนล้ำค่า

เมื่อปีก่อน พี่สาธิต กาลวันตวานิช แห่ง Propaganda ส่งเพลงที่ชื่อว่า ตีนที่มองไม่เห็น มาให้ผมฟัง เป็นเพลงของวงนั่งเล่นที่ประกอบด้วยปรมาจารย์ชั้นครูทางดนตรีมารวมตัวกัน เพลงนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตพี่สาธิตเองที่ระหกระเหิน ลองผิดลองถูก เจ็บตัวมานับครั้งไม่ถ้วนกว่าจะประสบความสำเร็จได้   

นอกจากจะส่งเพลงให้ฟังแล้ว พี่สาธิตยังชวนให้เขียนบทความที่เกิดจากความรู้สึกและประสบการณ์ส่วนตัวผมเมื่อได้ยินเพลงนี้ แค่ผมฟังเพลงไปรอบเดียวก็เคลิ้มๆ ไปด้วยซ้ำว่าเพลงนี้นี่มันชีวิตผมเหมือนกันนี่นา เนื้อหาของเพลงมีอยู่ว่า

วันนั้น ฉันยืนอยู่บนปากเหว มีแม่น้ำสายหนึ่งที่เชี่ยวกราก ลึกลงไปในซอกผา อยู่ดีๆ มีตีนที่มองไม่เห็น ถีบฉันจนต้องกระเด็น ตกลงไปในสายน้ำ ที่ไหลบ่า 

* จม…ไม่จม ไม่มีเวลาให้มัวระทมใดๆ ตาย…ไม่ตาย ยังไงยังไงต้องตะกายให้ถึงฝั่ง

** และแล้วก็ได้รู้ ถ้ามนุษย์ไม่ยอมสิ้นหวัง อาจจะมีรางวัล จากฟ้าเบื้องบน แด่คนที่ไม่ยอมแพ้ 

ถ้าไม่มีวันนั้น คงไม่มีวันนี้ ไม่มีเสี้ยวนาที ให้จดจำอย่างภาคภูมิใจ จะเดินก้าวไปช้าๆ จ้องตากับปัญหาไม่หวั่นไหว ใช้ชีวิตต่อไป อย่างเข้าใจและยอมรับมัน 

วันนี้ ฉันยืนอยู่บนฝั่งนี้ มองกลับไปดูสายน้ำเชี่ยว ที่ฉันได้ว่ายข้ามมา อยากขอบคุณ ขอบคุณตีนที่มองไม่เห็น ที่ถีบฉันจนต้องกระเด็น ให้ได้เห็นว่าชีวิตช่างมีค่า

ผมเคยคิดว่าตัวเองนั้นมีดวงที่ค่อนข้างซวยเมื่อเทียบกับคนอื่น พอชีวิตเริ่มดีทีไรก็มักจะมีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้นกับตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ช่วงแรกๆ ก็คิดน้อยใจอยู่เหมือนกัน พอหน้าที่การงานดีก็มีอันต้องมีหัวหน้าใหม่ที่ไม่ชอบ พอช่วงที่กำลังเพลิดเพลินกับการใช้ชีวิตก็มีอันต้องเข้าโรงพยาบาลถึงขนาดนอน CCU พอมั่นใจในตัวเองหน่อยว่าเก่ง ก็มีอันต้องได้งานที่ทำแล้วก็ล้มเหลวซะงั้น หรือแม้แต่ล่าสุดในช่วงโควิด ชีวิตราบรื่นอยู่ดีๆ ก็ถูกให้ทำ food delivery ชื่อโรบินฮู้ดที่มองยังไงก็ไม่น่าทำทัน ต่อให้ทำทันก็ไม่น่ารอด…

เหมือนมีอะไรที่มองไม่เห็นคอยตบหัว ถีบเราตกน้ำอยู่ทุกครั้งที่ชีวิตโอเค

แต่เมื่อไม่นานมานี้ น้องคนหนึ่งที่มาสัมภาษณ์ผม ถามว่าถ้าย้อนกลับไปได้อยากแก้ไข หรือไม่อยากเจออะไรในชีวิตบ้าง ผมก็นึกได้ว่า ผมชอบตัวเองที่เป็นอยู่ตอนนี้มากๆ  และที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็เพราะเรื่องที่คิดว่าซวยว่าเลวร้ายในอดีตที่เคยเกิดขึ้นนั้น มันให้บทเรียนชีวิตกับผมเยอะมาก ทำให้ผมเป็นผู้เป็นคน มีความคิดที่ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต แถมสุขภาพก็แข็งแรงกว่าตอนหนุ่มๆ ด้วยซ้ำ

ผมก็เลยตอบน้องเขาไปว่า ไม่อยากย้อนไปแก้หรืออยากลบเรื่องที่เคยคิดว่าซวยใดๆ ออกไปจากชีวิตเลย น้องเขาฟังแล้วก็ทำหน้างงๆ

เหตุผลเพราะเมื่อมาคิดถึงความซวยในชีวิตทุกครั้ง พอผ่านมาแล้วนั้น มันมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นเสมอ

ตอนที่ผมเจอหัวหน้าใหม่ที่ไม่ชอบทำให้ต้องลาออกจากบริษัทอันเป็นที่รักไปอย่างเจ็บปวด ทำให้ผมเข้าใจถึงความสำคัญและคุณค่าของคนรอบตัว เห็นคนมีค่ากว่าข้าวของเครื่องใช้มาก ตอนที่ผมต้องมีอันเจ็บป่วย เข้าโรงพยาบาล เป็น Panic Disorder อยู่พักใหญ่ ทำให้ผมต้องมาดูแลตัวเองจริงจัง มีวินัยการออกกำลังกายที่ติดตัวมาจนทำให้ผมแข็งแรงมีสุขภาพที่ดีในวัยห้าสิบกว่าๆ

ตอนที่ผมคิดว่าตัวเองเก่ง ความล้มเหลวก็ทำให้ผมตัวเล็กลง มีใจที่เปิดกว้าง มี beginner’s mind ที่ทำให้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อีกเยอะมาก หรือแม้แต่ล่าสุด ตอนที่ผมต้องถูกให้ทำอะไรยากๆ ที่แทบจะเป็นไปไม่ได้อย่างโครงการ Robinhood ก็ทำให้ผมเรียนรู้ถึงการเอาตัวรอด เข้าใจเรื่อง purpose ที่สำคัญมากๆ ในการสร้างธุรกิจในปัจจุบัน

เรื่องราวที่เคยคิดว่าโชคร้าย มองย้อนกลับไปแล้วคือโชคดีทั้งสิ้น

เราทุกคนคงโดนตีนที่มองไม่เห็นถีบตกน้ำแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวกันอยู่บ่อยครั้งและทุกครั้งเราก็คงไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่พอเกิดขึ้นแล้ว เราจะก่นด่าความซวยนั้น หรือพยายามหาประโยชน์กับบทเรียนชีวิตที่เราได้จากเรื่องซวยๆ เหล่านั้น คงขึ้นอยู่กับแต่ละคนไป

สำหรับผมแล้ว ในตอนนี้ก็คงมีแต่คำขอบคุณแรงถีบจากฟากฟ้าที่มาเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ มาเตือนผมในยามที่อีโก้เบ่งบาน มากระตุ้นให้เห็นความสำคัญในเรื่องที่สำคัญจริงๆ มาบีบบังคับให้ผมต้องมีวินัยกับตัวเอง

รอยแผลจากความสะบักสะบอมนั้นกลายเป็นความเข้าใจชีวิต เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ามากๆ ที่ยิ่งคิดก็ยิ่งต้องขอบคุณความซวย ความโชคร้ายเหล่านั้นเสียจริงๆ นับว่าเป็นโชคดีในชีวิตเป็นอย่างยิ่ง และเกือบจะโชคร้ายเอาด้วยซ้ำที่ไม่รู้ว่าตัวเองโชคดีแบบนี้

ตีนที่มองไม่เห็นคู่นั้นเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการสะกิดให้ผมได้เห็นความลับของฟ้าอย่างชัดเจน

คุยกับ Yell Advertising เอเจนซีไทยอายุ 13 ปี เรื่องวงการโฆษณา และการรักษาให้คนเก่งอยู่กับองค์กร

การดูแลคนในองค์กรว่าเป็นเรื่องที่ยากแล้ว การดูแลคนเก่งให้อยู่กับองค์กรไปนานๆ นั้นยากยิ่งกว่า และการดูแลคนเก่งให้อยู่นานๆ ในเอเจนซีโฆษณา–วงการที่หลายต่อหลายต่างก็บอกว่าพนักงานในวงการนี้มี turn over rate สูง เปลี่ยนงานบ่อย ก็ยิ่งเป็นอะไรที่ยากทวีคูณเข้าไปอีก

วันนี้เราจึงชวน โอห์ม–ดิศรา อุดมเดช CEO และ Founder ของ Yell Advertising เอเจนซีโฆษณาสัญชาติไทยเจ้าของผลงานโฆษณาที่น่าจะเคยผ่านตาใครหลายคนอย่าง ‘จีบได้แฟนตายแล้ว’ โฆษณาที่สร้างสรรค์ให้กับบัตร The One Card จนกลายเป็นไวรัลเมื่อปี 2016 และอีกหลายงานโฆษณารางวัลระดับนานาชาติในปีที่ผ่านมา มาพูดคุยกัน

เพราะรู้มาว่าจากจำนวนพนักงานกว่า 100 คน ค่าเฉลี่ยการทำงานของพนักงานที่นี่นั้นอยู่ที่ประมาณ 5 ปี และกว่า 1 ใน 3 เป็นพนักงานที่อยู่มาตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเมื่อสิบกว่าปีก่อนหน้า

ย้อนกลับไปก่อนที่จะก่อตั้ง Yell หลังจากเรียนจบในสายนิเทศศาสตร์ โอห์มเริ่มต้นทำงานด้วยการเป็น Copywriter ต่อด้วยเป็นครีเอทีฟในบริษัทโฆษณา หลังจากนั้นจึงออกมาเป็นฟรีแลนซ์เพื่อรับงานกับเพื่อนๆ ที่รู้จัก จนเมื่อทำไปได้สักพักจากฟรีแลนซ์ก็นำไปสู่การรวมตัวกับกลุ่มเพื่อนเพื่อเปิด Yell ในปี 2009 

ทว่าบริบทการเปิดเอเจนซีโฆษณาเมื่อสิบปีที่แล้วกับทุกวันนี้นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในอดีตที่ยังไม่มีเรื่องของ digital marketing หรือ digital media เข้ามา การจะทำบริษัทเอเจนซีจึงต้องใช้เงินทุนเป็นจำนวนมาก ทั้งเงินในการเซตทีมงาน เงินในการจองสื่อ และเงินที่ต้องใช้เพื่อเป็นต้นทุนในการทำธุรกิจอีกมากมาย  

การเริ่มต้นธุรกิจของ Yell จึงเป็นการระดมทุนจากนายทุน เป็นการทำ crowdfunding แบบมาก่อนกาลตั้งแต่คำว่าสตาร์ทอัพยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในไทยเหมือนอย่างทุกวันนี้ จนในที่สุดเขาก็ได้เงินทุนก้อนแรก 5 ล้านบาทมาทำธุรกิจอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่ทำไปได้ราว 3-4 ปี โอห์มบอกกับเราว่า ‘จะเจ๊งเอา’ เพราะหุ้นส่วนในตอนเริ่มต้นล้วนแต่มีพื้นฐานมาจากการเป็นครีเอทีฟมากกว่าการทำธุรกิจ บ้างเลยตัดสินใจถอนหุ้นออกไป บ้างเลือกที่จะไปทำอย่างอื่น เหลือตัวเขาในวัย 29 ที่กำลังยืนอยู่บนทางแยกของการตัดสินใจว่าจะกลับไปทำงานในบริษัทเอเจนซีของคนอื่นเหมือนเดิม หรือบริษัทของตัวเองที่หลายคนเลือกถอนหุ้นออกไปแล้วดี

แน่นอนเขาเลือกอย่างหลัง และเพื่อประคองให้องค์กรได้ไปต่อ จึงตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางของ Yell จากเดิมที่เน้นทำงานเชิงสร้างสรรค์ ก็ปรับมาเป็นงานเชิงสร้างสรรค์ที่ผนวกความเป็นดิจิทัลเข้าไปด้วย

จนถึงวันนี้ Yell กลายเป็นเอเจนซีโฆษณาสัญชาติไทยที่ยังคงยืนระยะท่ามกลางความท้าทายของธุรกิจเอเจนซีที่มีเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันจากบริษัทใหญ่ที่เป็นเน็ตเวิร์กข้ามชาติ เอเจนซีขนาดเล็กสายสเปเชียลลิสต์ที่เกิดขึ้นใหม่มากมาย หรือแม้แต่ความท้าทายของเทคโนโลยีที่ทำให้ลูกค้าเข้าถึงสื่อ เข้าถึงผู้บริโภคได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายดายมากขึ้นก็ตาม 

อะไรคือความเชื่อมั่นของคุณในการทำเอเจนซีโฆษณา ตั้งแต่อดีตที่ตัดสินใจทำธุรกิจที่กำลังจะเจ๊งต่อ และปัจจุบันกับการทำธุรกิจที่เจอความท้าทายรอบด้าน

อย่างแรกคือผมว่าถ้าเราทุ่มเทและพยายามมากพอ เราก็จะเชื่อมั่นได้ว่าสิ่งที่เราคิดมันมีเหตุผลมารองรับ สุดท้ายเราก็จะกล้าเสี่ยงกับมัน เสี่ยงกับสิ่งที่เรารู้

ส่วนอย่างที่สอง พอเราทำธุรกิจมาสักพักเราเริ่มมีความผูกพันกับคนมากขึ้น หลายคนเติบโตมาพร้อมกับเรา เอาใจช่วยเรามาตลอด แล้วถ้าเกิดเราวงแตกไม่ทำออฟฟิศแล้ว ทีนี้คนที่เขาอุตส่าห์ให้ความไว้วางใจกับเราเขาจะทำยังไงล่ะ 

การมาของเทคโนโลยีทำให้บางคนบอกว่าธุรกิจเอเจนซีโฆษณาจะโดนดิสรัปต์ คุณคิดเห็นยังไง

คือถ้าทำตัวเป็นเอเจนซีที่แค่รวมแพ็กแล้วเอามาขายลูกค้าอย่างเดียวคงอยู่ไม่ได้ เพราะถ้าผู้บริโภคปรับ แบรนด์ปรับ เอเจนซีโฆษณาก็ต้องปรับด้วยเช่นกัน เพราะทั้งคน ทั้งแบรนด์ ทั้งเอเจนซีล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิต มันควรจะเติบโตไปตามโลกตามยุคสมัย

ในมุมผู้บริโภค ด้วยความที่ตอนนี้สามารถดูข้อมูลได้จากหลายด้าน ดังนั้นในมุมของการทำโฆษณาเนี่ยผู้คนเขาจะคาดหวังกับแบรนด์มากขึ้น ไม่ใช่ว่าทำโฆษณาแบบนี้แต่พอคนเขาไปถึงจุดขายกลับไม่เป็นแบบที่โฆษณาบอก หรือบางแบรนด์ทำ CSR มาก แต่คุณไม่ตอบคำถามในสิ่งที่คนเขาสงสัยเกี่ยวกับแบรนด์คุณ ไม่ตอบตรงๆ เอาแต่บอกว่าฉันทำดีเรื่องอื่น แล้วใครจะไปเชื่อล่ะ

ในมุมแบรนด์ เขาสามารถเดินตรงไปหาผู้กำกับที่เขาชอบ ไปเลือกอินฟลูเอนเซอร์ ไปซื้อสื่อเองได้เลย เพราะเฟซบุ๊กกับกูเกิลก็ไม่ได้ห้ามให้ลูกค้าซื้อโฆษณาเอง

จากความเปลี่ยนแปลงที่ว่าทำให้คุณต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานด้วยไหม

ในมุมของ Yell เราทำสิ่งที่เรียกว่า communication as a service ซึ่งคำว่า service ในที่นี้ไม่ใช่การบริการลูกค้า แต่คือการ ‘แก้ปัญหา’ ให้ลูกค้า เรามักจะบอกกับน้องในทีมเสมอว่าถ้าลูกค้าเขาไม่มีปัญหาเขาไม่มาหาเราหรอก เพราะเขาทำเองได้ สมัยนี้มันไม่ได้ยากขนาดนั้นแล้ว

นอกจากนี้วิธีในการทำงานก็ยังต้องเปลี่ยนไปด้วย จากสิบปีที่แล้ว เราอาจจะมีเวลาสักสัปดาห์สองสัปดาห์ในการทำอาร์ตเวิร์กสักชิ้น ส่วนตอนนี้ 48 ชั่วโมงก็ถือว่าหรูหรามากแล้วในการทำอาร์ตเวิร์ก ไม่ใช่แค่ชิ้นเดียวนะแต่เป็นหลายชิ้น เพราะแต่ละสื่อก็ต้องการอาร์ตเวิร์กที่ต่างกันไปในแต่ละบริบท หรือการมาของเทคโนโลยีที่ทำให้เราเชื่อมโยงผลลัพธ์ในการทำโฆษณาได้ดีมากขึ้น

โชคดีหน่อยว่าคนของเราเองเติบโตมาในยุคออนไลน์พอดี ค่าเฉลี่ยอายุอยู่ที่ 30 กว่าๆ ก็เลยมีความเข้าใจในเรื่องของเทคโนโลยีและทำให้เราไม่ต้องปรับแต่งอะไรในองค์กรเพื่อก้าวให้ทันกับโลกดิจิทัล 

ณ ปัจจุบันคุณมองอุตสาหกรรมเอเจนซีโฆษณายังไง 

ถ้าเป็นช่วงก่อนโควิดถือว่าเป็นอะไรที่คึกคักเลย เพราะเมื่อเทคโนโลยีพัฒนา ด้วยต้นทุนที่ต่ำลงก็ทำให้คนหันมาเปิดเอเจนซีโฆษณา เราจะเห็นว่าช่วงก่อนโควิดมีบริษัทเอเจนซีโฆษณาเล็กๆ เกิดขึ้นมากมาย

แต่พอมาเจอโควิด คราวนี้แหละมันจะมาเป็นตัววัดว่าธุรกิจนั้นๆ มีพื้นฐานที่แข็งแรง มี cash flow ที่ดีหรือไม่ รู้จักวิธีเล่นกับ credit term เพราะอย่าลืมว่าสกิลการทำงานกับสกิลการทำเงินนั้นมันคนละเรื่องกัน สกิลการทำงานคือเราทำให้ลูกค้า ส่วนสกิลการทำเงินคือเราต้องทำให้องค์กรอยู่ได้ สองปีที่ผ่านมาเราเลยจะเห็นเอเจนซีหลายๆ เจ้าล้มหายไปจากตลาด

อีกอย่างคือลูกค้าจะค่อนข้างมีความเปราะบางมากในช่วงโควิด เขาจะมีความคาดหวังกับเรามากขึ้น ว่าเงินที่จ่ายมามันต้องเอามาทำให้เกิดความคุ้มค่าที่สุด และนั่นก็ทำให้เราต้องคอยทำงานคอยแก้ปัญหาให้กับลูกค้ามากขึ้นด้วยเช่นกัน

ที่ว่าแก้ปัญหาให้ลูกค้าคุณทำยังไง 

เวลาลูกค้ามาหาเราเขาไม่ได้มาด้วยโจทย์ที่สมบูรณ์ มันมักจะเป็นโจทย์กว้างๆ สมมติเช่นเขาอยากจะให้ยอดขายไตรมาสนี้เพิ่มขึ้น 35 เปอร์เซ็นต์ คำถามคือแล้วเขาจะทำยังไง อันนี้ก็เป็นหน้าที่ของเราแล้วที่จะต้องเซอร์วิสไอเดียให้กับเขา

อีกอย่างคือเรามักจะบอกกับน้องๆ ในทีมว่าลูกค้ามักจะไม่ค่อยพูดสิ่งที่ตัวเองคิดหรอก หนึ่งในวิธีการแก้ปัญหาของเรา คือต้องมองให้ออกว่าสิ่งที่ลูกค้าต้องการจริงๆ มันคืออะไรกันแน่ 

ทำไมลูกค้าถึงไม่ค่อยพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ 

คือมนุษย์มีความซับซ้อน การที่เขาจะแสดงออกถึงตัวตนในห้องประชุมบางครั้งมันก็อาจเป็นเรื่องที่ลำบากและส่งผลต่อการใช้ชีวิตอยู่ในองค์กร ดังนั้นเวลาประชุมกันเขาอาจไม่กล้าพูดในสิ่งที่คิดจริงๆ ออกมาเพราะเขาอาจไม่ได้คิดเห็นเหมือนผู้บริหารที่กำลังนั่งอยู่ในห้องเดียวกัน

หรือด้วยความชำนาญในคนละสายงาน เวลาคอมเมนต์ เช่นตัวอาร์ตเวิร์ก ลูกค้าให้เรากลับมาแก้ว่าใส่สีขาวตรงนี้หน่อย พอใส่ไปให้แล้วเขาก็ยังแก้กลับมาอีก ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องการอาจไม่ใช่สีขาว แต่อยากให้ชิ้นงานดูสว่างขึ้น อะไรแบบนี้เป็นต้น มันเลยเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องมองให้ออกว่าความต้องการจริงๆ ของลูกค้าคืออะไร แล้วก็เข้าไปช่วยแก้ปัญหาให้กับเขา แล้วค่อยส่งกลับไปด้วยโซลูชั่น ที่อยู่ในรูปแบบของงานครีเอทีฟ แพลนมีเดีย หรืออะไรก็ว่าไป 

ทีนี้พอมันเป็นงานที่ต้องแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าตลอดเวลา ก็เลยทำให้เรามีนโยบายที่เรียกว่า Safety Net ให้กับพนักงาน คือทำงานที่ Yell เนี่ยคุณทำงานอย่างเดียวไปเลย ไม่ต้องเอามาปวดหัวเรื่องอื่น ไอ้อย่างอื่นๆ ในชีวิตที่ดูวุ่นวาย เดี๋ยวบริษัทดูแลให้เอง

ดูแลยังไง 

เอาเป็นว่าพื้นฐานชีวิตมนุษย์คนนึงต้องเจออะไรเราดูแลให้หมด อย่างเรื่องเข้างาน บริษัทเราให้พนักงาน work from anywhere มา 3 ปีแล้วก่อนจะมีโควิดซะอีก เราไม่มี workhour ที่ชัดเจน เพราะบางทีลูกค้ามี crisis ตอน 4 ทุ่ม น้องๆ ก็ต้องลุกขึ้นมาแก้ปัญหากลางดึกให้ ซึ่งมันนอกเวลางาน แล้วแบบนี้เราจะให้เขาตื่นมาเข้างานแบบ office hour ได้ยังไง มันไม่แฟร์สำหรับเขาเท่าไหร่ 

ทุกวันนี้คนที่เข้าบริษัททุกวันมีแค่ 2 คน คือผมกับลุงซาที่เป็น รปภ. ส่วนที่เหลือก็ทำงานออนไลน์กันไป ทำที่ไหนก็ได้เอาว่าเสร็จตามความรับผิดชอบก็พอ 

คือกระบวนทัศน์ของออฟฟิศมันเปลี่ยนไปแล้ว มันไม่ได้เหมือนยุคอุตสาหกรรมที่ต้องเข้าที่ทำงานกันตรงเวลาเป๊ะๆ กันทุกคนเพื่อที่จะต้องส่งต่องานกันเป็นทอด ๆ ออฟฟิศในยุคนี้มันควรจะเป็นพื้นที่ที่เอาไว้ให้ collaborate สำหรับเรื่องยากๆ หรือเป็นที่เอาไว้นัดเจอเพื่อมาสนุกกันมาเฮฮากันเป็นพอ เพราะปัจจุบันนี้เทคโนโลยีมันขนาดนี้ คุณจะทำงานที่ไหนก็ได้ 

คุณทำยังไงให้ความยืดหยุ่นในการทำงานไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของงาน

อย่างแรกเลยนะ ถ้าคิดว่าคนทำงานของเราเขาไม่เพอร์ฟอร์มหรือไม่มีวินัยที่ดี คราวนี้ก็ต้องกลับไปดูวิธี recuit ของเราก่อนเลยว่าเราเลือกคนแบบไหนเข้ามา 

ดังนั้นการสัมภาษณ์งานที่ Yell มันเลยจะเป็นอะไรที่เรื่องมากนิดนึง คือทำเทสต์อะไรต่าง ๆ เสร็จแล้วก็จะมีการสัมภาษณ์อีก 3 รอบ รอบแรก HR รอบสองหัวหน้าของแต่ละทีม ส่วนรอบสามเป็นเราเอง แล้วเราจะเป็นคนสัมภาษณ์พนักงานทุกคนก่อนเข้ามาทำงานที่นี่ ดังนั้นถ้าเขาทำงานไม่ได้ตามที่วางไว้ ก็ต้องดูแล้วว่าตอนแรกเราเลือกเขามายังไง

อย่างที่สองคือการดีไซน์วิธีการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่คนคนนึงอยู่ในสังคมเดียวกับคนที่มีคุณภาพและมีความรับผิดชอบ เขาจะไม่ยอมรับมาตรฐานที่มันต่ำกว่านั้น แปลว่าถ้าคนคนนั้นเขาไม่ได้อยู่ในมาตรฐานความขยันเดียวกันหรือเอาจริงเอาจังในการทำงานร่วมกัน เขาก็จะไม่มีความสุขแล้วก็จะอยู่ไม่ได้ 

มันฟังดูแล้วกดดันนะ เราก็เลยมีนโยบาย Safety Net เอาไว้ให้พนักงาน คือซัพพอร์ตแทบจะทุกด้านของชีวิตให้คุณแทบไม่ต้องจ่ายอะไรเลย ดูแลแบบ 360 องศา เพื่อให้น้องๆ ได้โฟกัสไปที่เรื่องการทำงานอย่างเดียว

แล้วคนแบบไหนที่มักจะผ่านด่านการสัมภาษณ์ของคุณ

คือเราไม่ได้อยากได้ความเก่ง ณ ขณะนั้นของเขา แต่จะมองให้ออกว่าคนนี้อีกสักปีสองปีถ้าเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ช่วยส่งเสริม เขาจะเก่งขึ้นยังไงได้บ้าง 

พอไม่ได้มองที่ความเก่งในวันสัมภาษณ์มันก็เลยอาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าเราเป็นเอเจนซีโฆษณาที่มีคนจากหลากหลายสาขาหลายคณะมาทำงานด้วยมาก ไม่ใช่แค่นิเทศ แต่มีทั้งรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ หรือโบราณคดี

ที่เลือกเด็กจากหลายคณะ เพราะเราคิดว่ามนุษย์ ความสนใจ 3 ปี 5 ปีมันมีเปลี่ยนนะ วันนั้นเราอาจสนใจเรื่องนึง แต่ตอนเรียนอยู่มหา’ลัยเราอาจสนใจอีกเรื่องนึงแล้วอาจทำให้คนพบทักษะอะไรบางอย่างในตัวเองก็เป็นได้ 

อย่างครีเอทีฟของเราก็มีคนเรียนจบโบราณคดีมาเหมือนกัน แล้วก็รู้สึกว่าจริงๆ แล้วเด็กโบราณคดีมีแนวโน้มที่จะเป็น copywriter ที่เก่งนะ เพราะส่วนใหญ่เขาจะสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ เขามีพื้นฐานการอ่านการหาข้อมูลที่ดี เชื่อมโยงภาพในอดีตมาสู่ปัจจุบันและอนาคตได้ มันเลยทำให้เราเห็นว่า เฮ่ย จริงๆ แล้วมันไม่ได้สำคัญเลยว่าเขาจะเรียนจบจากไหนมา แล้วสิ่งที่เขาถูกหล่อหลอมและเติบโตมา ทำให้เราได้มุมมองที่แตกต่างออกไปด้วย

คือเราว่าถ้าจะทำให้องค์กรมีชีวิต มันต้องมีความหลากหลายและแตกต่าง ทั้งในเรื่องของประสบการณ์ รสนิยม หรืออะไรต่างๆ ซึ่งถ้าเราคิดว่าจะรับแต่เด็กนิเทศเท่านั้นเอาแต่คนที่มีแบ็กกราวด์ใกล้เคียงกันมาเท่านั้น แต่ในขณะที่ลูกค้าของเราอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรมทั้งอสังหาฯ เครื่องดื่ม แฟชั่น e-Commerce และอะไรอีกมากมาย ถ้าคิดว่าจะเอาแต่คนที่มีความคิดคล้ายกันมาทำงานด้วยกัน การทำความเข้าใจ การแก้ปัญหาให้กับลูกค้ามันก็อาจจะยากขึ้นตามไปด้วย

แล้วคุณรักษาให้คนเก่งๆ อยู่ในองค์กรไปนานๆ ได้ยังไง 

ตอบแบบฮาร์ดๆ เลยนะ กับคนเก่งอย่าไปเสือกกับเขามาก นึกออกไหม คือคนเก่งเราต้องให้พื้นที่กับเขาได้ตัดสินใจเอง อย่าไปยุ่งอย่าไปจัดการกับเขามาก หน้าที่ของคนเป็นหัวหน้าคือต้องคอยซัพพอร์ตเขา แน่นอนสิ่งที่เขาทำมันต้องมีความผิดพลาดอยู่แล้วแหละ แต่ในฐานะหัวหน้าอย่าไปยุ่งกับเขามาก เรามีหน้าที่จำกัดความเสียหายให้กับเขาก็พอ

จำกัดความเสียหายที่ว่าหมายถึงอะไร

ธรรมชาติของงานครีเอทีฟกับงานอินโนเวชั่นคือความผิดพลาด ดังนั้นถ้าเกิดเขาดันผิดพลาดขึ้นมาแล้วคนเป็นหัวหน้ากลับไปบอกเขาว่าอย่าผิดพลาดอีก เขาก็จะไม่กล้าคิดอะไรใหม่ๆ ทำแต่อะไรเดิมๆ เซฟๆ เอาแค่ให้มันผ่านไปก็พอ

วิธีการจำกัดความเสียหายของเราก็คือ ในไอเดียที่เขาคิด เขาต้องเห็นภาพใหญ่ด้วยว่าตัวงานมันจะเกิดผลกระทบกับส่วนไหนต่อองค์กรของเราและลูกค้าบ้าง ดังนั้นในพื้นที่ของคุณคุณเอาไปเลยร้อยเปอร์เซ็นต์ เราไม่ยุ่ง แต่ถ้ามันเกินร้อยเปอร์เซ็นต์มา อันนี้ก็ต้องมาแชร์การตัดสินใจร่วมกับคนอื่นหรือหัวหน้าด้วยเหมือนกัน

ดูคุณลงทุนกับพนักงานไม่น้อย ทั้งที่หลายคนบอกว่าคนสายงานเอเจนซีเปลี่ยนงานกันบ่อย 2-3 ปี ก็ย้ายองค์กรแล้ว คุณคิดเห็นกับเรื่องนี้ยังไง

อย่างที่บอกไปตอนต้น งานของเรามันคือการแก้ปัญหา มันคือ communication as a service ถ้าจะให้คนของเราไปเซอร์วิสลูกค้าได้ อย่างแรกเลยต้องเซอร์วิสให้คนในองค์กรเขารู้สึกโอเคก่อน ไม่งั้นเขาจะไปเซอร์วิสลูกค้าได้ยังไง คือเราบังคับใครไม่ได้ ถึงคุณจะสั่งให้เขาทำงานอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ถึงหน้างานจริงๆ เขาก็ทำได้ไม่ดีหรอก เขาก็แค่ทำไปตามหน้าที่ตรงนั้น ดังนั้นเราต้องดูแลเขา ทำให้เวลาเขาไปเจอกับลูกค้าแล้วเกิดความรู้สึกว่าอยากจะช่วยลูกค้าแก้ปัญหาจริงๆ

เท่าที่คุยกันมาคุณดูเป็นคนที่เชื่อมั่นในพนักงานไม่น้อย อะไรที่ทำให้คุณมีความเชื่อแบบนี้ 

อาจเพราะด้วยแบ็กกราวด์ของเราเองที่ไม่ใช่เด็กเรียนเก่งอะไรมากมาย ไม่ได้จบจากมหาลัย Ivy League เบอร์ต้นๆ ของโลกอะไรเลย แต่เราก็รู้สึกว่าจริงๆ แล้วมนุษย์มีศักยภาพในตัวเองนะ เพียงแต่แต่ละคนอาจมีต้นทุนที่ไม่เท่ากัน 

ถามว่าต้นทุนนี้มันส่งผลกับชีวิตยังไง เราว่าหลายๆ อย่างเลยนะ บางคนที่มีต้นทุนที่ดีเขาก็สามารถโฟกัสในสิ่งที่เขาอยากทำ ในสิ่งที่เขาชอบได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปพะว้าพะวงกับเรื่องอื่น แต่สำหรับคนอื่นๆ ที่อาจไม่ได้มีต้นทุนชีวิตที่ดีมากเท่า ดังนั้นก็เลยคิดว่าถ้าเขาได้มาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ช่วยส่งเสริมเขา เราน่าจะสามารถดึงศักยภาพที่หลบซ่อนอยู่ในตัวเขาออกมาได้ 

เรายินดีที่จะให้ความเชื่อมั่นกับน้องๆ ทุกคนใน Yell อย่างเต็มที่ มันก็เลยเป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่าทำไมเราถึงอยากจะขยายเพดานความสำเร็จของ Yell ให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะหลายคนอยู่กับเรามาตั้งแต่เริ่มทำบริษัท อยู่กันมาสิบกว่าปี เราเลยอยากทำให้เขารู้สึกว่าเราจริงใจ แล้วเราก็อยากจะดีขึ้นให้เขาอยู่กับเรานานๆ ด้วยเหมือนกัน

เราเชื่ออย่างเต็มหัวใจว่าถ้าอยากได้ศักยภาพมนุษย์ ขั้นแรกเลยนะเราต้องเชื่อมั่นในความเป็นมนุษย์ก่อน 

คิดว่าการเป็นเอเจนซีสัญชาติไทย มีข้อดีหรือข้อด้อยยังไงในสนามธุรกิจโฆษณาที่มีความท้าทายอย่างนี้

ข้อดีอย่างแรกที่เห็นได้ชัดเลยนะ คือเราเข้าใจบริบทความเป็นไทย ซึ่งความเป็นไทยมันเป็นอะไรที่ซับซ้อนมากๆ แล้วการที่เรามีความเข้าใจอินไซต์มากขึ้น ก็จะทำให้โฆษณาของเรามีประสิทธิภาพด้วยเหมือนกัน

ข้อดีข้อที่สองคือเมื่อเราไม่ต้องทำตามนโยบายของบริษัทแม่ในต่างประเทศ เราก็สามารถจัดโครงสร้างองค์กรได้ลีนขึ้น ไวขึ้น เคลื่อนตัวได้เร็วกว่า พอเราลีนมากๆ ทุกคนที่อยู่ในหน้าที่ตำแหน่งของตัวเองเขาก็สามารถจะตัดสินใจได้ด้วยตัวเองแบบไม่ต้องมีลำดับขั้นมากมาย ตัดสินใจได้เร็วก็ส่งผลต่อการทำงานลูกค้าได้เร็วขึ้นด้วยเช่นกัน  

ส่วนในมุมการเป็นเอเจนซี่ต่างชาติก็อาจทำให้มีแต้มต่อมากกว่าในแง่ของการเป็นเน็ตเวิร์กกิ้ง แชร์ข้อมูลในเน็ตเวิร์กเดียวกันเองว่าในแต่ละประเทศเป็นยังไงบ้าง หรืออย่างของ Yell เองเรามี Regional Hub ที่สิงคโปร์เวลา pitch โปรเจกต์ครั้งเดียว แต่ก็สามารถทำแคมเปญได้ในอีกหลายประเทศเลย

หลายคนอาจมองว่าความสำเร็จของการทำเอเจนซีโฆษณาคือรางวัลทั้งหลาย สำหรับคุณความสำเร็จคืออะไร

สำหรับผมความสำเร็จคือการที่ปัญหาของลูกค้าถูกแก้ไข ส่วนเรื่องรางวัลถือเป็นผลพลอยได้ เป็นเหมือน track record ของน้องๆ ที่เขาช่วยกันทำงานนั้นมา

Side Story

ก่อนจบบทสนทนามีอีกเรื่องราวที่โอห์มเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญพนักงานได้เป็นอย่างดี

โอห์มบอกกับเราว่าที่ Yell Advertising มี CEO อยู่สองคนด้วยกัน คนแรกคือตัวเขาเอง ส่วนคนที่สองคือ ลุงซา – ซา สุขเสรี  ที่โอห์มยกให้เป็น ‘Chief Everything Officer’ เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยระดับแอดวานซ์ 

“คือถ้าใครมาออฟฟิศของ Yell จะต้องได้พูดคุยกับลุงซา ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นคนยืนอยู่ด่านหน้าก่อนเข้าบริษัท แต่คือคนที่มักจะเข้าไปอำนวยความสะดวกให้กับพนักงานและผู้ที่มาเยี่ยมเยียนออฟฟิศของ Yell อยู่อย่างเสมอ 

ลุงซาทำงานมาที่ Yell มาได้สองปีกับอีกแปดเดือน เป็นรปภ.ระดับแอดวานซ์ คือลุงซาสามารถจำทะเบียนรถของพนักงานได้ทุกคัน ท่องได้ทุกตัวอักษรทุกตัวเลข ชื่อพนักงานร้อยกว่าคนก็จำได้ทั้งหมด เวลาเข้างานของลุงซาคือ 7 โมง แต่เขามักมาถึงก่อนเสมอเพื่อตรวจตราความเรียบร้อยก่อนเข้างาน” โอห์มเล่าถึงลุงซา 

ส่วนลุงซาเองบอกกับเราว่า เขามีความสุขมากที่ได้ทำงานที่ Yell บอกว่าที่นี่ดูแลดีมาก แตกต่างกับที่อื่นที่เคยทำงานมาอย่างสิ้นเชิง มีน้ำมีขนมให้บริการตลอด ไม่มีใครมาคอยจุกจิกหรือสั่งงานมากมาย ส่วนน้องๆ ที่นี่ทุกคนก็น่ารักและเป็นมิตร เมื่อมาถึงออฟฟิศก็จะทักทายกับลุงซาก่อนเข้าไปทำงานเสมอ

ลุงซามีความสุขในการทำงานที่นี่ ถึงกับบอกกับเราว่า “ผมอยากทำงานที่นี่ไปนานๆ ทำจนกว่าลูกจะเรียนจบ”

รู้จัก 8 ธุรกิจของคนดนตรี วิธีเอาตัวรอดช่วงโควิด-19

ปลายปี 2019 ทั่วโลกต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในหลายๆ เรื่องเนื่องจากโรคระบาด สิ่งที่เห็นชัดที่สุดในวิกฤตครั้งนี้เห็นทีจะไม่พ้นเรื่องเศรษฐกิจ ที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่สเกลใหญ่ไปจนถึงคนตัวเล็กๆ หลายคนถูกบริษัทเลิกจ้าง ส่วนอีกหลายคนต้องจำใจเลิกทำอาชีพที่ครั้งหนึ่งเคยได้ทำมันด้วยความรัก แต่เมื่อมันไม่สามารถสร้างรายได้ให้อีกต่อไปก็ป่วยการจะดันทุรังทำต่อในช่วงเวลาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้

หากใครได้ตามข่าวสารบ้านเราในช่วงหนึ่งก็น่าจะคุ้นกับเรื่องราวของกลุ่มอาชีพที่ ‘โดนปิดก่อน เปิดทีหลัง’ เพราะถูกมองว่าเป็นต้นเหตุของการระบาด แถมยังไม่ได้รับการเยียวยามาเป็นเวลาหลายเดือน การที่จะต้องลุ้นว่าจะถูกล็อกดาวน์ไหม และจะได้กลับไปทำงานเมื่อไหร่ ทำให้รายได้ที่ไม่ได้สูงนักและการว่าจ้างที่ไม่แน่นอนอยู่แล้วกลับยิ่งไม่มั่นคงขึ้นไปอีก 

เหล่าผู้ประกอบการผับบาร์รายเล็ก อีเวนต์ออร์แกไนเซอร์ บาร์เทนเดอร์ นักดนตรี ดีเจ และอีกหลายอาชีพที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคของรัฐ จึงร่วมกันทำให้เกิด ‘สมาพันธ์ผู้ประกอบอาชีพธุรกิจกลางคืนและธุรกิจบันเทิงแห่งประเทศไทย’ ขึ้น พวกเขาร่วมกันเคลื่อนไหว ผลักดัน ยื่นหนังสือเรียกร้องให้รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือ จนล่าสุดรัฐยอมไฟเขียวเงินเยียวยาให้รายละ 5,000 บาท โดยจ่ายระลอกแรกไปเมื่อธันวาคม 2564 และอีกครั้งเมื่อมกราคม 2565 

แต่กว่าคนกลุ่มนี้จะได้รับเงินช่วยเหลือ คนที่ยื้อกันมาตั้งแต่ล็อกดาวน์รอบแรกก็ยื้อไม่ไหวต้องขายเครื่องดนตรีซึ่งเป็นเครื่องมือหากินของตัวเอง เพราะเอาเข้าจริงก็ไม่รู้จะได้เล่นดนตรีอีกไหม ทั้งยังต้องไปเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพื่อจะไปทำอาชีพอื่นที่ตัวเองก็ไม่ได้ถนัด แต่เพื่อที่จะได้เอาเงินมาโปะค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าบ้าน ผ่อนรถไปก่อน ทว่าในเรื่องร้ายๆ ก็มีบางคนที่ได้หยุดมองดูสิ่งใกล้ตัว และได้ค้นพบว่านี่คือความชอบอีกอย่างที่พวกเขาไม่เคยนึกถึงมาก่อน จนหยิบมาสร้างเป็นธุรกิจเล็กๆ ของตัวเองที่ทำไปทำมาสักพักก็เข้ามือ! 

เมื่อคนที่คลุกคลีอยู่กับเสียงดนตรีต้องมาวางแผนค้าขาย มันก็คงมีความทุลักทุเลกันบ้างในตอนเริ่ม แต่ทุกคนก็อาศัยการเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และใช้แพสชั่นปลุกปั้นออกมาเป็นแบรนด์ที่น่าสนใจไม่ต่างไปจากงานเพลง เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักศิลปินและแบรนด์ของพวกเขากัน

“เราถือว่าโชคดีนะ ที่ได้ทำร้านที่เป็นความชอบส่วนตัว แล้วค่อยมองเห็นโอกาสที่จะทำรายได้ทดแทนงานดนตรีที่หายไป”

เติ้ล–คัมภิรดา แก้วมีแสง
นักร้องนำและคีย์บอร์ด วง Two Pills After Meal
เจ้าของธุรกิจของแต่งบ้าน พรมวินเทจ Little Miss Something

ทำไมถึงเลือกทำธุรกิจนี้ 

ช่วงล็อกดาวน์ต้นปี 2020 เรากลับมาอยู่บ้านที่ขอนแก่นพอดี ก็เลยหาอะไรทำ ลองแต่งบ้าน ซื้อผ้ามาตกแต่ง เอฟของจนหยุดไม่ได้ สนุกกับการหาของมากๆ ประมูลทุกวัน พอเยอะๆ ไม่มีที่จะวางในบ้านแล้วก็เริ่มรู้สึกผิด เลยคิดว่า เมื่อหยุดซื้อไม่ได้ งั้นปล่อยขายทางไอจีด้วยเลยละกัน 

จุดเด่นของ Little Miss Something

เราเลือกของที่เราชอบและใช้ได้จริงมา ถ้าเกิดขายไม่ได้ก็เอาไว้แต่งบ้านตัวเองต่อไป เพราะงั้นสไตล์ที่เลือกก็คือมาจากความชอบของเรา คัดงานแรร์ หรือโทนสีที่ดูวินเทจ มีความ 60-70s ฮิปปี้หน่อย เพราะงานไหมพรมถักแบบนี้นิยมมากๆ ในยุคนั้น รวมถึงดิสเพลย์พรีวิวของร้านแต่ละรอบ เราจะจัดเป็นแนว maximalism สีเยอะๆ หลายแพตเทิร์นมาจัดวางรวมกันในมุมต่างๆ ของบ้าน มีธีมต่างกันไป เหมือนเป็นตัวอย่างให้ลูกค้าหรือคนที่ติดตามได้ดูเป็นแนวทางในการแต่งบ้านด้วย สนุกดี เราใช้เกือบครบทุกมุมในบ้านแล้ว ขาดแค่โรงรถกับห้องน้ำ (หัวเราะ) ก่อนส่งเราจะซักทำความสะอาด เก็บงาน ซ่อมแซมให้ก่อนส่งด้วย ใช้น้ำยาซักผ้าแบบเดียวกับที่เราใช้ ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มสำหรับคนที่แพ้ง่าย อยากให้ไปถึงบ้านลูกค้าแล้วพร้อมใช้งานเลย 

ตอนนี้เราหัดถักเอง ก็จะมีงานออกแบบที่ไม่เหมือนใครด้วย เช่น มู่ลี่แต่งประตู ม่านหน้าต่าง โคมไฟ ที่รองแก้ว ปลอกหมอน ซึ่งลูกค้าสามารถสั่งทำขนาดที่พอดี หรือเลือกโทนสีที่ชอบได้ ที่หัดทำคือเริ่มจากหาซื้อมาแต่งบ้านเองแล้วไม่มี ก็เลยทำเองซะเลย

ตอนนี้วงเป็นยังไงบ้าง

Two Pills After Meal ไม่ได้เล่นดนตรีกันเลยตั้งแต่มีโควิด งานแบ็กอัพก็เงียบกันหมด ร้านนี้ช่วยให้เราอยู่รอดได้จริง แต่ก็คิดถึงคอนเสิร์ต คิดถึงทีมงาน เพื่อนๆ ที่ค่าย (Smallroom) และการทำงานที่กรุงเทพฯ ด้วยเหมือนกัน เหมือนส่วนนึงในชีวิตขาดหายไป ตอนนี้ก็ถักงานวนไปรอวันที่ทุกอย่างดีขึ้น

จะได้กลับมาเล่นดนตรีกันอีก… แต่ร้านนี้ก็จะยังอยู่ต่อไปนะ

“สำหรับเรายังถือว่าโชคดีกว่าเพื่อนๆ นักดนตรีอีกหลายคน เพราะเรามีงานประจำในช่วงที่มีโควิด รายได้เลยไม่ได้ถึงกับหายไปหมด แต่ก็หายไปเยอะเหมือนกันประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ได้ ก็ต้องเอาเงินเก็บออกมาใช้เกือบหมด เพราะรถก็ยังต้องผ่อน ค่าใช้จ่ายที่บ้านก็มี มันไม่ได้ถึงกับเคว้ง แต่ว่าก็ต้องรัดเข็มขัด”

ปอม
ศิลปินอิสระ
เจ้าของธุรกิจ AfterGlow

ทำไมเลือกทำธุรกิจนี้

หลักๆ นอกจากสนใจและมีแพสชั่นกับเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวแล้ว เรารู้สึกว่าถ้าสังคมไทยเปิดกว้างกับเรื่องเซ็กซ์ได้มากขึ้นก็ดี เพราะเราว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติมาก เหมือนกินข้าว หิวก็กิน แล้วในปริมาณที่พอดีก็มีประโยชน์กับร่างกายและสุขภาพจิตด้วย 

เราว่าพ่อแม่เราปล่อยแล้วนะ แต่ตอนเด็กๆ สมัยมีแฟนใหม่ๆ เราจะถูกห้ามพูดเรื่องเซ็กซ์ โดนสอนว่าห้ามชิงสุกก่อนห่ามไม่งั้นจะดูเป็นผู้หญิงไม่ดี แม่พูดตลอดว่า ‘ทำตัวเองให้มีค่านะลูก’ เราก็ได้แต่คิดว่าค่าคนเรามันวัดกันที่ตรงนี้หรอ เราไม่เคยมี sex talk กับพ่อแม่ เขาไม่สอนเรา เราก็ไม่กล้าถาม ส่วนที่โรงเรียน เราเรียนหญิงล้วนมาก็ไม่ได้สอนอะไรเลย มันเหมือนกับส่งเด็กไปรบ ให้มาแต่ปืนแต่ไม่สอนวิธีใช้ สุดท้ายคนเดียวที่เราคุยและขอคำปรึกษาได้กลายเป็นหมอสูติฯ ที่เราหาอยู่ตอนนั้น จำได้ว่าโทรหาเขาบ่อยมาก ทั้งที่จริงๆ แล้วเรื่องนี้ควรเป็นเรื่องที่คุยกันในครอบครัวได้

อีกเรื่องคือเราอยากให้เรื่องการช่วยตัวเองของผู้หญิงเป็นเรื่องปกติ เรารู้สึกว่าการที่เรารู้จักร่างกายตัวเองดีพอ ได้เรียนรู้ว่าเราชอบอะไรแบบไหน มันช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองและช่วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคู่ของเราได้ด้วย เพราะการที่เราชอบแบบนึง แฟนชอบอีกแบบนึง ถ้ากล้าเปิดใจคุยกันเราว่ามันปรับกันได้ เราว่าการสื่อสารสำคัญมากๆ แต่คนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่กล้าคุยเพราะคิดว่าบางทีรสนิยมในเรื่องเพศของตัวเองเป็นเรื่องแปลก หรืออาจทำให้อีกฝ่ายเสียความมั่นใจ

AfterGlow มีจุดเด่นยังไง

เราเรียกตัวเองว่าเป็น Pleasure Items and Educational Content คือเป็น content platform ที่ชวนคุยเรื่องเพศ ความรัก ความสัมพันธ์ในแบบสนุกและเป็นมิตรสำหรับผู้หญิง แต่ถ้าผู้ชายที่อยากเข้าใจผู้หญิงก็แวะเข้ามาอ่านได้เหมือนกัน เนื้อหาเบาๆ อ่านง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้และสนับสนุนให้ผู้หญิงมั่นใจในร่างกายตัวเอง กล้าพูด กล้าสื่อสารมากขึ้น ในอนาคตเราคิดว่าอยากทำพอดแคสต์เพิ่ม หลังจากนั้นคงชวน therapist มาทำแพลตฟอร์มที่ให้คำปรึกษาเรื่องเซ็กซ์กับความสัมพันธ์แบบจริงจังไปเลย แต่ก็ยังเป็นแผนในระยะยาวอยู่ 

แล้วเราก็มีรับพรีออร์เดอร์ pleasure items ที่เราเลือกดีไซน์ สีสัน รูปทรงน่ารักหลายๆ แบบ คุณภาพดี ปลอดภัยกับร่างกาย คือเรารู้สึกว่าในไทยไม่ได้มีตัวเลือกเยอะขนาดนั้น ของที่ขายอยู่ตามท้องตลาดคุณภาพก็ไม่ได้ดี ยกตัวอย่างถ้าซิลิโคนไม่ได้เป็นเกรดการแพทย์ medical grade  นอกจากจะเสื่อมสภาพเร็วแล้ว ก็อาจจะทำให้ผิวหนังรู้สึกระคายเคืองด้วย แถมดีไซน์ยังไม่น่าใช้ เราเลยอยากเพิ่มทางเลือกให้กับสาวๆ ที่อยากจะทำความรู้จักร่างกายตัวเองและกำลังมองหาอุปกรณ์ชิ้นแรกอยู่ เพราะสุดท้ายแล้วการช่วยตัวเองมันคือสิทธิของเรา ร่างกายของเรา

“ถ้านับกันจริงๆ ตั้งแต่ต้นปี 2020 จนถึงปัจจุบัน อาชีพอย่างนักดนตรี ครูสอนดนตรีก็ค่อนข้างโดนผลกระทบเยอะครับ ทั้งไม่มีงานเล่น งานสอนก็น้อยลงเพราะผู้ปกครองก็ต้องห่วงลูกๆ ที่จะต้องออกจากบ้านมาเจอผู้คน แต่ก็ยังหวังให้มันกลับมาดีขึ้นเรื่อยๆ แหละครับ”

กร วิชิตทรัพยากร
มือกลองวง KUNST, H1F4 และ ACID JOB
เจ้าของธุรกิจสลัดมันฝรั่ง Tamaya

ทำไมเลือกทำธุรกิจนี้ 

เดิมทีผมสอนตีกลองด้วยแต่พอโควิดเข้ามาชั่วโมงเรียนก็น้อยลง ให้สอนออนไลน์ก็สอนลำบาก ช่วงที่งานดนตรีเริ่มน้อยลงมากๆ ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยลองคุยกับแฟนว่าลองหาอะไรทำไหม ก็คิดว่าจะขายของกินแบบที่เพื่อนๆ นักดนตรีหลายคนก็ทำ แต่ผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีเพราะส่วนตัวก็ไม่ได้ทำอาหารกินเอง แต่แล้วก็ดันนึกถึงเมนูสลัดมันฝรั่งที่แม่ผมเคยทำให้กิน ก็เลยลองถามสูตรเขาดูว่าทำยังไง แล้วก็ไปศึกษาต่อในยูทูบ จากนั้นก็มาลองผิดลองถูกประมาณ 3 รอบจนได้สูตรเฉพาะของเราเอง 

Tamaya ต่างจากสลัดมันฝรั่งที่อื่นยังไง

ตอนพัฒนาสูตรผมลองหาสูตรหลายแบบมากๆ ครับ แต่ก็จะยังอยู่ในสไตล์ญี่ปุ่นที่ตัวผมเองชอบกิน แบบที่อิซากายะเสิร์ฟน่ะครับ แล้วก็เกิดไอเดียขึ้นมาอีกอย่างว่าเราน่าจะมีอะไรโรยเป็นท็อปปิ้ง ก็ตกผลึกออกมาเป็น crispy bacon ที่ดูจะเข้าท่ามากที่สุด พอทำแล้วก็ลองให้เพื่อนๆ ที่สนิทกันชิม หลายคนก็บอกว่าโอเค ตอนนี้ขายมาได้ 5 เดือนแล้วก็ยังมีลูกค้ามาเรื่อยๆ ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะทำไปได้นานแค่ไหนเหมือนกันแต่ตอนนี้ก็ต้องเอาตัวรอดไว้ก่อนครับ

“จากที่โควิดระบาดเฟสแรก คิดว่าใช้เวลาประมาณปีนึง จนมันเกิดรอบสอง ผมกะว่าอีกสองปีน่าจะดีขึ้น แต่พอรอบสาม สี่ ผมไม่แน่ใจแล้วว่าสงครามนี้จะจบเมื่อไหร่ มันก็ทำให้ผมต้องปรับตัว จากเป็นนักดนตรีฟูลไทม์ก็ต้องลองหันมาจับธุรกิจอื่นบ้าง”

คิท–ชาคริต เกิดสกุล และ แม่น–กวิน ศิรินาวิน
มือกลองและนักร้องนำ วง Bedroom Audio
เจ้าของธุรกิจเบเกอรีพรีเมียม Sweet Sentence

ทำไมถึงเลือกทำธุรกิจนี้

คิท : ช่วงที่สถานการณ์ไม่ค่อยดี งานประจำที่เป็นงานดนตรีก็หดหาย รายได้ก็เป็นศูนย์ ล็อกดาวน์แรกผมขายข้าวกะเพราในครัวหลังบ้านที่กรุงเทพ ฯ จนรายได้โอเคและกำลังกลับมาฟื้นตัว แต่พอล็อกดาวน์รอบสอง รายได้ก็เลยลดลงไปอีก เงินทุนที่มีก็เริ่มร่อยหรอ พี่แม่นที่เป็นนักร้องนำของวงเลยเสนอว่าจะลงทุนให้ แล้วเขาก็มีเพื่อนที่ขายเบเกอรีที่โคราชอยู่แล้วก็อยากให้ลองร่วมงานกัน คิดว่าอยากลองเรียนรู้ตรงนี้จะได้ต่อยอดไปทำอย่างอื่นด้วย ผมเรียนรู้การทำขนมใหม่หมดเพราะไม่เคยมีประสบการณ์ แต่คนที่มาร่วมทีมด้วยเขาเก่งมาก เขาศึกษามาจากยูทูบ อ่านหนังสือมาอีกทีแล้วลองทำ มันก็ได้ผล อร่อย

พอมาทำเบเกอรีก็รู้สึกว่าทำงานสบายขึ้น เพราะครัวเบเกอรีไม่ร้อนระอุ เรื่องเสียง วัตถุดิบ มันควบคุมได้ง่ายกว่า แต่ขั้นตอนการทำละเอียดกว่าพอสมควร แล้วการมาทำตรงนี้เราก็ได้ทำเองเกือบหมด เลื่อยไม้ ขัดเหล็ก ต่อประปา ทำบัญชี วางระบบกันเอง ยันหน้าร้าน ทำแทบทุกอย่าง (หัวเราะ)

Sweet Sentence ต่างจากเบเกอรีที่อื่นยังไง

คิท : ขนมของเราแตกต่างด้วยวัตถุดิบ เราเลือกวัตถุดิบออร์แกนิกครับ ทั้งตัวเจ้าของสูตรและทีมพวกผมเคยลองแล้ว ลองใช้วัตถุดิบที่หาซื้อได้ทั่วไป ที่เป็นไข่ใช้สารเร่ง เทียบกับไข่ออร์แกนิกจริง ๆ ที่เป็นไก่ปล่อยให้เดินตามธรรมชาติแล้วออกไข่เอง พอมาใช้ทำ รสชาติ กลิ่น สัมผัสต่าง ๆ มันต่างกันเยอะมากเลย เราใส่ใจรายละเอียดในการทำมาก หลายอย่างลองผิดลองถูกจนได้สูตรที่พวกเรา 4-5 คนชอบ แล้วออกนำมาเสนอให้ได้ลองชิมกันครับ ถึงจะเปิดในลำปาง แต่ว่าก็มีบางโปรดักต์ที่ส่งได้ทั่วประเทศ อย่างป๊อปคอร์น อัลมอนด์ชอร์ตเบรด คล้ายๆ คุกกี้หรือถั่วตัดบ้านเรา แล้วก็มีบราวนี่ที่ส่งต่างจังหวัดได้ครับ

“ในช่วงที่ผ่านมาเราประสบปัญหามากมาย ทั้งธุรกิจร้านกาแฟ (Ageha Cafe) วงดนตรีที่ไม่มีงานแสดงสด รวมถึงการขายสินค้าต่างๆ ของวงก็ดร็อปลงไปตามวิกฤตของธุรกิจดนตรีด้วยเช่นกัน เราจึงพยายามหาทางรอดในหลายๆ อย่าง ทั้งขายเสื้อผ้ามือสอง ทำเทียนหอมขาย จนพบว่าเรามีความสามารถพอที่จะเริ่มทำธุรกิจใหม่ๆ ได้”

ฮอน–ณรงค์ฤทธิ์ อิทธิพลนาวากุล
ฟรอนต์​แมนวง Hope the Flowers Co-founder
ร้านขายหินและคริสตัล Crystal of Hope

ทำไมเลือกทำธุรกิจนี้

เริ่มจากที่เราเห็นความสวยงามของหินและคริสตัล ก็รู้สึกว่ามันคือความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ จนเริ่มศึกษาความหมายและที่มาต่างๆ ของหินแต่ละประเภท และได้พบว่าในหินแต่ละก้อนนั้นมีแร่ธาตุที่ต่างกันเลยทำให้เกิดสีหรือรูปทรงที่ต่างกัน และในเชิง spiritual พวกหินก็มีพลังการรักษาที่ซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งหลายคนก็มีความเชื่อว่าถ้าหากเราพกไว้กับตัว หรือมีไว้ในครอบครอง อาจจะทำให้รู้สึกดีขึ้นกับสิ่งรอบตัว เราเลยเริ่มจากการสะสมเป็นของตัวเองก่อน และคิดว่าอยากให้เพื่อนๆ ได้รับพลังงานดีๆ เหมือนกับที่เราได้รับ จึงเริ่มหาหิน คริสตัลมาส่งต่อ จนเกิดเป็น Crystal of Hope

Crystal of Hope ต่างจากร้านอื่นๆ ยังไง

อาจจะเป็นการที่ธุรกิจของเราเกิดขึ้นจากวงดนตรีที่เราทำ มีการเชื่อมต่อกันจากการเอาชื่อวงมาใช้เป็นชื่อร้าน กลายเป็นการซัพพอร์ตซึ่งกันและกันในทางอ้อม ซึ่งใครตามวงดนตรีเราก็จะรู้จักร้านของเรา หรือใครที่ชอบหินจากร้านเราก็อาจจะมีโอกาสได้ไปฟังเพลงของวงเรา เราเองก็ไม่ได้คิดมาก่อนว่าธุรกิจของเรามีจุดเด่นกว่าร้านอื่นๆ ไหม แต่ตั้งใจว่าราคาที่เราส่งต่อจะไม่แพงจนเกินไป

“ทั้งๆ ที่การซ้อม การเรียนดนตรีของเรา มันก็มีอยู่และเกิดขึ้นจริงๆ แต่ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง คนหมู่มากเลยมองว่าการเล่นดนตรีหรือการจะยึดอาชีพนักดนตรีเป็นหลัก คือการอยู่ในโลกแห่งความฝัน”

มาย–สรัญธร ทวีรัตน์
นักร้องนำวง Supergoods
Co-founder ของ Silver Hub สังคมดนตรีออนไลน์เพื่อวัยเก๋า

ทำไมเลือกทำธุรกิจนี้

นอกจากทำวง เราก็รับงานร้องอีเวนต์ อัดคอรัส รับทุกอย่างที่เลี้ยงชีพได้ แต่พอโควิดมารายได้ก็หายไปเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ ยังพอโชคดีที่อีกขานึงก็เป็นคุณครูสอนร้องเพลงด้วย แล้วสถานการณ์ดันทำให้เราไปเจอนักเรียนไม่ได้ก็คิดว่าเรียนออนไลน์น่าจะเป็นช่องทางที่สะดวกทั้งกับผู้เรียนและผู้สอน ยุคนี้ทุกคนมีมือถือ อยู่ที่ไหนก็เรียนผ่าน Zoom ได้ แต่กลายเป็นว่าเหมือนตอนนี้ทุกคนเจอปัญหากับการเรียนออนไลน์ ทั้งข้อจำกัดในการเข้าถึงอุปกรณ์ ปัญหาทางเทคนิค การโฟกัสกับบทเรียนทำได้ไม่เท่าตอนเข้าห้องเรียน เราเลยสนใจว่าเราจะสอนออนไลน์ยังไงให้ได้ผล เรากับทีมสนุกที่ได้มามองหาข้อดีของมัน ต้องหาวิธีว่าจะปรับตัวตามสถานการณ์ปัจจุบันยังไงถึงจะเหมาะสม เพื่อให้ผู้เรียนได้รับทักษะติดตัว แล้วก็จะได้หยิบแบบฝึกหัดมาทบทวนและใช้ได้ตลอด

จุดเด่นของ Silver Hub

เป็นแผนการสอน 1 คอร์ส คอร์สละ 12 ครั้ง ที่เหมาะสำหรับสอนผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ค่อนข้างสะดวก ประหยัดเวลา เพราะเป็นการเรียนการสอนแบบยืดหยุ่นตามความต้องการผู้เรียนเป็นหลัก แล้วการที่มันออนไลน์ก็ทำให้เขาได้คลุกคลีกับสังคมออนไลน์มากขึ้น ที่สำคัญคือเป็นพื้นที่ให้ผู้สูงวัยที่เคยหรือไม่เคยได้อยู่กับดนตรี ได้มาสัมผัสกับดนตรี บางคนก็ได้สานฝันวัยเด็กที่เคยอยากเป็นนักร้อง ถ้ามองในแง่รายได้ เรามองว่าสังคมคนผู้สูงอายุกำลังเยอะขึ้น ถ้าเรามีนักเรียนแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ของผู้สูงอายุทั่วประเทศ ธุรกิจนี้ก็น่าจะไปได้สวย

ความรู้สึกก่อนและหลังจากที่ได้มาทำ Silver Hub 

จากโควิดสองปีกว่านี้ เราเพิ่งเข้าใจจริงๆ ว่าอาชีพนักดนตรีในไทยไม่มั่นคงและไม่ได้รับการคุ้มครองจากอะไรเลย ไม่แปลกใจที่หลายๆ คนล้มเลิกความตั้งใจของตัวเองแล้วไปทำอะไรที่คิดว่า ‘มั่นคง’ กว่า โดยมีแง่คิดว่า ‘ยอมรับและอยู่ในความเป็นจริง’ มีนักดนตรีหลายคนมากที่ฝึกซ้อมหนัก มีความสามารถ แต่ไม่สามารถหาเลี้ยงชีพได้จากอาชีพนี้ ถ้าเป็นไปได้อยากให้รัฐมีกฎหมายคุ้มครองหรือสนับสนุนดนตรีและศิลปะอย่างเปิดกว้างมากกว่านี้

พอเราได้มาสอนโปรแกรมนี้ทำให้ตอนนี้เรามีนักเรียนอายุ 19 และนักเรียนอายุ 73 ถึงตัวเลขจะห่างกันขนาดนี้แต่ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะมีความเหมือนกันในหลายๆ เรื่อง อย่างวิธีการสื่อสาร ตั้งใจเรียน ไม่ตั้งใจเรียน งอแงบ้าง  ไม่ทำการบ้านบ้าง คล้ายกันมาก ซึ่งการเข้าใจตรงนี้ก็เป็นประโยชน์กับเราในทางอ้อมเหมือนกัน เรารู้สึกสบายใจขึ้นเวลาคุยกับผู้ใหญ่ และในขณะเดียวกันก็เคารพการตัดสินใจและเข้าใจพลังวัยรุ่นของเด็กๆ มากขึ้นด้วย 

“การเป็นดีเจคือการเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ซึ่งมีต้นทุนเหมือนกัน แต่ทุกวันนี้ดีเจยังเป็นอาชีพหลักไม่ได้”

ยุ้งยิ้ง–พรพิชชา จันทนวัลย์
DJ Yoongying
เจ้าของธุรกิจ Aged Salmon Delivery Soysaucebangkok

ทำไมเลือกทำธุรกิจนี้

ช่วงโควิดระลอกแรก เราทำ Poke bowl กินเองที่บ้านบ่อย จนเพื่อนเห็นในสตอรีอินสตาแกรมก็มาขอชิม เราเลยลองส่งให้เพื่อนหลายคนกินแล้วเขาก็ติดใจเพราะวัตถุดิบเราสดใหม่มากๆ เรามองเห็นโอกาสทางธุรกิจในจุดนี้ก็เลยพัฒนามาเป็นเมนูข้าวแซลมอน เราเอจปลาเองด้วยเทคนิคการปรุงอาหารแบบโอมากาเสะ เลยมองไว้ว่าในอนาคตเราอยากผลิตอาหารที่มีคุณภาพแบบนี้ให้ทุกคนได้ทานกันบ่อยๆ ในราคาที่จับต้องได้

จุดเด่นของ Soysaucebangkok

เราจะให้ลูกค้าพรีออร์เดอร์ส่งเป็นรอบๆ ทุกวันพุธ พฤหัสบดี เราจะสามารถคุมสต็อกวัตถุดิบได้เพราะอยากให้มั่นใจได้ว่าทำสดใหม่ทุกวัน ปลาแซลมอนนำเข้าจากนอร์เวย์คัดพิเศษทุกตัว แพ็กเกจจิ้งและพรีเซนเทชั่นไม่เหมือนใคร และ Instagrammable

ความลำบากใจของอาชีพดีเจที่ไม่ค่อยมีใครรู้

การที่ไม่ค่อยถูกให้ค่าในความสามารถเท่ากับอาชีพอื่นๆ เรามองว่าการเป็นดีเจคือการเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ การมอบความสนุกให้กับผู้ชม ซึ่งมันก็มีต้นทุนเหมือนกัน อาจจะจับต้องเป็นสิ่งของไม่ได้เหมือนอาหารหรือข้าวของ แต่โปรดักต์ของดีเจคือแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ ต่อให้ทุกวันนี้การเล่นดีเจยังทำเป็นอาชีพหลักไม่ได้ แต่เราก็หวังว่าในอนาคตเราจะได้เห็นวงการดีเจไทยเติบโตไปได้ไกล เหมือนกับที่เราฝันกันไว้ว่าอยากให้ที่นี่มีเทศกาลดนตรีดีๆ แบบในยุโรปนะ

“การบังคับให้ใครไปเริ่มใหม่ ในสิ่งที่เขาไม่จำเป็นต้องถนัด ไม่ใช่ใครก็จะทำได้ แล้วมันจะมีความสุข หรือทำให้พวกเขารอดไปกับวิกฤตได้ทุกคน”

บิว–รังสรรค์ ปัญญาใจ
นักร้องนำวง Lemon Soup
เจ้าของธุรกิจร้านอาหารเหนือ กำกิ๋นสุก

ทำไมถึงเลือกทำธุรกิจนี้

จริงๆ อีกธุรกิจที่เราทำมาก่อนมันคืองาน music production ที่ Welfare 6 ถามว่ามันเป็นธุรกิจที่ดีไหม มันไปได้ดี สบายๆ ของมันเลย มันคืองานออกแบบเสียงที่ใช้ศิลปะกับวิทยาศาสต์มารวมกัน แต่ถ้าถามว่ามันมีความเสี่ยงไหม มันก็มีในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของรสนิยม ความงาม ความไพเราะ แล้วก็การให้คุณค่ากับงานเสียงปัจจุบัน ที่ดูเหมือนจะลดมูลค่าลงไปเยอะกว่าเมื่อก่อนซะอีก เพราะด้วยเทคโนโลยีหรือการถูก disrupt ด้วยแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งเอาจริงๆ ดนตรีเชิงพาณิชย์ก็ยังไม่ใช่ปัจจัยสำคัญสำหรับการใช้ชีวิตของผู้คนในยุคโรคระบาดแบบนี้

เราก็เลยคิดว่าควรจะกระจายความเสี่ยงออกไป กับธุรกิจที่มันเป็นปัจจัยพื้นฐานของผู้คน อะไรที่โรคระบาดมาแต่เราก็ยังต้องใช้มันอยู่ ก็มีหลายๆ อย่าง เช่นเสื้อผ้า ขายพวกอุปกรณ์โน่นนี่ แต่เราเลือกอาหารซึ่งเป็นความสนใจอีกอย่างหนึ่งของเรา 

ผมไม่ใช่เชฟหรือเรียนทำอาหารมาจริงจัง แต่ต้นทุนทางบ้านที่พอจะมีสนับสนุนได้ก็คือ know-how เรื่องอาหารเหนือ ให้เจาะจงลงไปอีกคือลาบเหนือ อาหารพื้นเมืองเหนือ แล้วช่วงล็อกดาวน์แรกก็มีโอกาสลองตลาดมาบ้าง ก็มองเห็นโอกาสบางอย่างในธุรกิจร้านอาหารเหนือ เราเป็นคนเหนือเข้ากรุงเทพฯ มาตั้งแต่วัยรุ่น เรามองหาร้านอาหารเหนือที่ทำรสชาติแบบที่เราอยากกินก็ยังไม่ค่อยมีเท่าไหร่ เลยอยากสร้างประสบการณ์นั้น คือถ้าจะมีอาหารสักร้าน เราก็อยากได้ร้านในแบบที่เราอยากไปนั่งกิน

จริงๆ เราอยากทำร้านมาก่อนหน้านี้แล้ว อาจจะดูสวนทางกับคนอื่นๆ ที่ทำร้านอาหารซึ่งก็ลำบากกันมาตั้งแต่ช่วงที่ผ่านมา แต่เราก็ถามตัวเองว่า ถ้าไม่ทำตอนนี้แล้วจะทำเมื่อไหร่ ก็พยายามวางแผนรัดกุมพอสมควร ใช้บทเรียนจากที่เราเห็นมา เอามาปรับมาใช้ พยายามทำเองทุกอย่างให้ได้มากที่สุด ประกอบกับเราก็ว่างมาก ช่วงนั้น งานมันหายไป 60 เปอร์เซ็นต์ เลยกล้าลองเสี่ยงกับมันสักตั้ง เลยเกิดเป็นร้าน กำกิ๋นสุก 

กำกิ๋นสุก พยายามมอบประสบการณ์ให้กับคนที่มา 

กำกิ๋นสุก คือร้านลาบเหนือ ลาบเมียง ที่มีอาหารพื้นเมืองหลายเมนูซ่อนอยู่ คุณจะได้กินอาหารเหนือที่ทำใหม่เกือบทั้งหมด จานต่อจาน เหมือนเวลาไปกินข้าวบ้านเพื่อนที่เหนือเลย ซึ่งก็มีร้านประเภทนี้อยู่บ้างแต่ไม่ได้เยอะเท่าร้านอาหารอีสาน แล้วเราก็อยากให้บรรยากาศมันสบายๆ เหมือนมานั่งกินบ้านเพื่อนจริงๆ เราเองไม่ได้บอกว่าอาหารเหนือร้านเราดั้งเดิมนะครับ แต่รับประกันว่าเหมือนกินรสมือแม่ผม 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นอาหารที่คนเหนือ คนเมียงกินกันจริงๆ ในชีวิตประจำวัน แล้ววัตถุดิบอย่างน้ำพริกลาบ น้ำพริกข่า น้ำพริกแกง ไส้อั่ว แคบหมู น้ำพริกตาแดง ก็ส่งตรงมาจากบ้านที่แพร่ มันมีอีกหลากหลายสไตล์ที่ควรจะได้ชิม ไม่ว่าจะร้านเรา หรือร้านอื่นๆ บ้านอื่นๆ สูตรอื่นๆ เราอยากทำให้อาหารเหนือกระจายสู่วงกว้าง

ด้วยเราทำงานทั้งภาพและเสียงมาก่อนในเชิง communication design เราเลยสามารถจบงานพวกงานภาพ งานเสียง โพสต์บนโซเชียลฯ หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ได้ด้วยตัวเราเอง มันเลยสะท้อนตัวตนของเราได้ชัดเจนอย่างที่ใจเราอยากได้มากที่สุด มันจะมีความลงตัวในความไม่ลงต้วบางอย่างที่เห็นแล้วก็จะไม่ได้รู้สึกตั้งใจขายขนาดนั้น แต่ก็ผ่านการออกแบบมาอย่างดี

คิดว่าจะได้กลับไปเล่นดนตรีเมื่อไหร่

ถามว่านี่คือธุรกิจเพื่อประครองตัวสำหรับกลับไปทำงานภาคดนตรีต่อไปไหม ก็คิดว่ามันคือธุรกิจอีกไลน์ที่ต้องคู่กันไปกับงาน music production ในอนาคตอยู่แล้ว ทุกวันก็ยังแบ่งเวลาทำงานเสียง 60:40 แล้วก็ยังคิดแผนธุรกิจที่เราจะปรับตัวเองให้งานดนตรี งานเสียงของเรา เข้าไปอยู่ในหมวดหมู่ที่เป็นปัจจัยในการดำรงอยู่ได้ยังไงบ้าง ที่ไม่ใช่แค่เพื่อความบันเทิงอย่างเดียว ก็ตั้งใจจะใช้งานพวกนี้มาช่วยกันผลักดันธุรกิจร้านอาหารของเราไปด้วย 

มันเหนื่อยบ้าง แล้วก็ใจหายบ้างในตอนแรกที่เราต้องเปลี่ยนจากงานเสียงมาเป็นงานครัวแบบ 50:50 แต่เรากลับมองว่าเราโชคดีที่ตอนทำงานเพลงก็ได้เอาสิ่งที่เคยเป็นงานอดิเรกที่เราชอบมาก่อนมาทำเป็นอาชีพ เป็นธุรกิจได้ อาหารก็เป็นอีกงานอดิเรกหนึ่งที่เราก็โชคดี ที่ได้ทำให้มันเป็นงานที่เราอยู่กับมันได้โดยไม่ฝืน ไม่เบื่อ แต่หลายคนก็อาจจะไม่ได้โชคดีแบบเรา งานดนตรี การเล่นดนตรี อาจจะเป็นสิ่งสำคัญและความสุขสูงสุดในชีวิตเขาก็ได้

อาชีพคนดนตรี นักดนตรี รัฐก็ควรมีทางออก ทางแก้ปัญหาเยียวยาให้เขาโดยไม่ได้ใช้แค่การเยียวยาด้วยเงินไม่กี่บาท สิ่งที่นักดนตรีหรือคนในวงการดนตรีทำได้มีมูลค่ามากกว่านั้น ถ้ารัฐให้คุณค่าและให้ความสำคัญกับกับธุรกิจทุกธุรกิจอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม สุดท้ายแม้ไม่ใช่ปัจจัยหลัก แต่ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนบนโลกได้รู้สึกว่า พวกเราได้ใช้ชีวิต ไม่ใช่แค่มีชีวิตรอด

ถอดรหัสความหมายของตัวเลขในชื่อเรียกแบรนด์และร้านดัง 1-9

ถ้าเราสังเกตชื่อร้านหรือแบรนด์จะพบว่ามีจำนวนไม่น้อยที่ชื่อมี ‘ตัวเลข’ เข้ามาเกี่ยวข้อง อาจด้วยความบังเอิญหรือความง่ายต่อการจดจำก็ตาม

หากกรอกในช่องค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดจำพวก ร้าน ชื่อ ตัวเลข คุณจะได้พบกับสารพันตำราทางโหราศาสตร์ที่เกี่ยวข้อกับการตั้งชื่อด้วย ‘เลขศาสตร์’ หรือการถอดรหัสตัวเลขออกมาเป็นสิริมงคลทั้งหลายตามความเชื่อด้วยเหมือนกัน

เป็นไปได้ว่าเหล่าหมายเลขที่ปรากฏบนชื่อเรียกของแบรนด์อาจมีความหมายสำคัญมากกว่าทำหน้าที่ห้อยท้ายให้จดจำง่ายเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะอิงตามหลักการใด ก็ต้องยอมรับว่าร้านรวงที่มีชื่อเรียกเป็นหมายเลขล้วนมีความน่าสนใจ และทำให้เราเกิดความสงสัยได้จริงๆ จนอยากชวนมาหาความหมายของตัวเลขที่ซ่อนอยู่ในชื่อแบรนด์ต่อไปนี้ 

หมายเลข 1

สุกี้ยากี้ นัมเบอร์วัน 金牌火鍋

จากสุกี้แต้จิ๋วสูตรต้นตำรับกว่า 60 ปี ของต้นตระกูลธีรวชิรกุล ต่อยอดมาสู่จักรวาลร้านสุกี้ของลูกหลานและคนในครอบครัวหลากหลายแบรนด์ที่ล้วนเป็นสูตรเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นโอเด้ง เอี้ยวฮั้ว เอี่ยวไถ่ และนัมเบอร์วัน

สุเวทย์ ธีรวชิรกุล หนึ่งในทายาทเจ้าของสูตรสุกี้ เล่าเอาไว้ว่าแรกเริ่มร้านที่เป็นเครือญาติคนในครอบครัวเหล่านี้ใช้สูตรเดียวกันทั้งหมดจากอากง แต่ต่อมาต่างคนต่างก็นำไปปรับและทำในแบบของตัวเอง ซึ่งสายครอบครัวของเขาคือร้านสุกี้นัมเบอร์วัน เปิดสาขาแรกที่สะพานควาย และมีช่วงที่ต้องหยุดกิจการไปนานถึง 10 ปี เนื่องจากไม่มีคนสานต่อ ก่อนจะนำกลับมาเปิดอีกครั้งในรูปโฉมใหม่ที่ทันสมัยและได้มาตรฐานกว่าเดิม ภายใต้การบริหารของ ปทุมไรซมิล แอนด์ แกรนารี จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือเดียวกับข้าวมาบุญครอง และศูนย์อาหาร Food Legends by MBK โดยการนำของสุเวทย์เอง

ส่วนที่มาของชื่อร้านสุกี้ยากี้หมายเลข 1 หรือนัมเบอร์วัน น่าจะมาจากความเป็นร้านสุกี้ต้นตำรับแห่งแรกที่สาขาสะพานควาย นับเป็นสุกี้สไตล์แต้จิ๋วเจ้าแรกของเมืองไทย ซึ่งสร้างความภูมิใจให้ครอบครัว และกลายมาเป็นแนวคิดในการทำธุรกิจอื่นๆ ด้วย

อ้างอิง : mbkgroup.co.th/th/business/food/sukiyaki?lang=th&parent=business&menu=food&submenu=sukiyaki

หมายเลข 2 

Double Dogs Tea Room 

Double Dogs Tea Room คือร้านชาที่ตั้งอยู่ในตึกคูหาเดียวบนถนนเยาวราชที่คนรักชารู้จักเป็นอย่างดี ที่นี่เต็มไปด้วยใบชาที่ผ่านการคัดสรรในระดับพิถีพิถันโดย จงรักษ์ กิตติวรการ ผู้เป็นเจ้าของร้าน และ Tea Master หรือผู้เชี่ยวชาญด้านชาก็สุดแท้แต่จะเรียก 

ใบชาของ Double Dogs Tea Room มีคาแร็กเตอร์หลากหลายให้เลือกชง ทั้งชาที่ได้จากเอเชียและยุโรป อีกความน่าสนใจอยู่ตรงที่โรงชาแห่งนี้ไม่ใช่แค่ขายชาหนึ่งกาแล้วจบ แต่พร้อมจะให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องใบชา การเลือกภาชนะ กรรมวิธีชงและชิม รวมถึงการจับคู่ขนมกับชาที่รสเข้ากันให้กับลูกค้าด้วย 

ส่วนชื่อ ‘หมา 2 ตัว’ ตามนิยามของผู้ก่อตั้ง คือเรื่องเล่าระหว่างขั้นตอนการทำร้านกับเพื่อนอีกคน ช่วงเวลาระหว่างปรับปรุงพื้นที่ตึกแห่งนี้ ผู้เป็นเพื่อนเกิดฝันถึงสุนัขสองตัว ซึ่งตามเส้นเรื่องในฝันเข้าใจได้ว่าเป็นวิญญาณของเจ้าที่ จงรักษ์เลยนำความฝันมาตั้งเป็นชื่อร้านชาหมา 2 ตัวนั่นเอง

อ้างอิง : รายการ The Next Gen youtube.com/watch?v=lEAD5F9VKv0&t=303s

หมายเลข 3 

สามแม่ครัว Three Lady Cooks

แบรนด์อาหารกระป๋องที่มีโลโก้เป็นแม่ครัวสาวทั้งสามนี้ก่อตั้งโดยสุวัฒน์ อุดมบัณฑิตกุล กับเพื่อนที่เคยประกอบอาชีพพนักงานขายมาด้วยกันที่ชวนกันลาออกมาทำธุรกิจอาหารกระป๋องโดยเริ่มจากปลาในซอสมะเขือเทศ 

ต่อมาในปี 2517 สามแม่ครัวจดทะเบียนเป็นบริษัท รอแยลฟู้ดส์ จำกัด และมีผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องอื่นๆ เช่น ฉู่ฉี่ปลา น้ำพริกปลา มัสมั่น ห่อหมก ผักกาดดอง ไปจนถึงเครื่องปรุงรสอย่างซอสหอยนางรม ปัจจุบันมีโรงงาน 3 แห่งด้วยกัน คือโรงงานสมุทรสาคร โรงงานปัตตานี และโรงงานเวียดนาม ภายใต้ชื่อแบรนด์ บา โก ก๋าย หรือสามแม่ครัวในภาษาเวียดนาม 

ส่วนชื่อสามแม่ครัว เดิมทีใช้เพียง ‘แม่ครัว’ เพื่อสื่อถึงรสมือในการทำอาหารว่าอร่อยกว่ามีแม่ครัวคนเดียวทำเป็นแน่ และเลข 3 ก็เป็นสิริมงคล (ผู้เขียนคิดว่าน่าจะมาจากความเชื่อที่ว่าเลข 3 ในภาษาจีนออกเสียงว่า ซาน ซึ่งคล้ายกับ 生 เซิงที่แปลว่าการเกิด) จึงใช้ชื่อสามแม่ครัวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

อ้างอิง : threeladycooks.com

หมายเลข 4

ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว 

ชื่อเรียก ‘ชายสี่’ นี้ไม่ได้เกิดจากผู้ชายสี่คน แต่มาจากผู้ชายคนเดียวคือ พันธ์รบ กำลา ผู้ก่อตั้งธุรกิจร้านขายบะหมี่แฟรนไชส์ที่มีรถเข็นหน้าตาคุ้นเคยตั้งอยู่ทุกหัวถนน

สิ่งที่ทำให้ชายสี่บะหมี่เกี๊ยวขยายธุรกิจแฟรนไชส์ได้รวดเร็วคือแนวคิด ‘รวยแล้วบอกต่อ’ ของพันธ์รบ จากการใช้ตัวเองพิสูจน์ให้ลูกค้าแฟรนไชส์เห็นว่าทุกคนสามารถมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้จริงจากการขายบะหมี่แบบเขา บวกกับวิสัยทัศน์ที่เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจของแบรนด์ คือ เจ้าแห่งเส้น (เป็นผู้นำในการผลิตเส้นและจำหน่ายเส้นต่างๆ) รถเข็นสากล (นำรูปแบบรถเข็นอาหารไปประสบความสำเร็จในระดับอาเซียน เช่น ลาว กัมพูชา เมียนมาร์) ครัวของทุกบ้าน (ต้องการให้ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์เข้าไปอยู่ในห้องครัวของทุกบ้าน) และอาหารของทุกคน (เป้าหมายที่อยากให้ทุกคนกินได้ มีการขอเครื่องหมายฮาลาลให้กับสินค้าบางประเภท และมีแนวคิดที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับทุกคนต่อไป) ทั้ง 4 ข้อนี้ของชายสี่ฯ บวกกับรสชาติที่คุ้นเคย ราคาเป็นมิตร และจำนวนสาขา ทำให้ชายสี่บะหมี่เกี๊ยวเป็นที่รู้จักและครองใจผู้บริโภคมานานกว่า 30 ปีแล้ว 

ส่วนที่ว่าทำไมต้องชื่อชายสี่ก็มาจากเหตุผลแสนง่ายแต่น่าสนใจ พันธ์รบเคยให้สัมภาษณ์ว่าด้วยความที่ตัวเขาเองชอบดูหนังจีนอย่างมาก และตัวละครที่ถูกเรียกว่า ‘องค์ชายสี่’ ติดอยู่ในหัวมาตลอด เลยเอามาตั้งเป็นชื่อให้เรียกได้ติดหูติดปากลูกค้าด้วยเหมือนกัน

อ้างอิง : chaixi.co.th/about-us.html

หมายเลข 5

ไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น 

ขุนศึก, ลูกอีสาน, ผู้ใหญ่ลีกับนางมา, บุญชู, น้ำพุ, อนึ่ง คิดถึงพอสังเขป, กลิ่นสีและกาวแป้ง, กว่าจะรู้เดียงสา, ข้างหลังภาพ (เวอร์ชั่นกำกับโดย เปี๊ยก โปสเตอร์), คู่กรรม (เวอร์ชั่นกำกับโดย รุจน์ รณภพ), ฟ้าทะลายโจร, หมานคร, มนต์รักทรานซิสเตอร์ และ Last Life in the Universe เรื่องรักน้อยนิดมหาศาล 

ถ้าเอ่ยถึงหนังไทยที่โด่งดังและสร้างชื่อให้กับผู้กำกับและนักแสดงเป็นอย่างมากก็ต้องนึกถึงรายชื่อภาพยนตร์ไทยยอดฮิตตลอดกาลเหล่านี้ และถ้าใครได้ผ่านตาหนังไทยเหล่านี้มาบ้างก็ต้องคุ้นเคยกับสัญลักษณ์ดวงดาวทั้งห้าที่โคจรอยู่รอบโลกดวงหนึ่ง ของบริษัทผู้สร้างภาพยนตร์ไทย หรือเรียกติดปากว่าค่ายหนังไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น อย่างแน่นอน 

ไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น เป็นบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์ไทยที่ก่อตั้งในปี 2516 โดย เกียรติ เอี่ยมพึ่งพร และเพียง 3 ปีหลังจากเริ่มดำเนินธุรกิจ ในปี 2519 ไฟว์สตาร์ยังเป็นค่ายหนังเจ้าแรกที่พาหนังไทยไปฉายในต่างประเทศ ประเดิมด้วยเรื่องขุนศึก ที่ได้รับรางวัลจากเวทีการประกวดภาพยนตร์เอเชีย-แปซิฟิค เมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ กลับมาด้วย นอกจากนี้ยังทำสถิติรายได้สูงสุดในยุคนั้น คือราว 20-30 ล้านบาท ซึ่งเทียบได้กับหนังไทย 100 ล้านในยุคปัจจุบัน

ปัจจุบันไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น บริหารโดย เกียรติกมล และ อภิรดี เอี่ยมพึ่งพร ทายาททั้งสองของผู้ก่อตั้ง และยังดำเนินธุรกิจภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ ซีรีส์ให้กับผู้ชมคนไทยมากว่า 50 ปี และคง ‘คุณภาพระดับห้าดาว’ เอาไว้ตลอดมา

อ้างอิง : fivestarproduction.co.th

หมายเลข 6 

กระจกหกด้าน 

กระจกหกด้าน รายการประเภทสารคดีรายการแรกของประเทศไทย ดำเนินการโดยบริษัท ทริลเลี่ยนส์ แอนด์ ทรีไลอ้อนส์ จำกัด โดยมี สุชาดี มณีวงศ์ เป็นทั้งผู้ผลิตรายการ คนเขียนบท และคนให้เสียงบรรยายในรายการมากว่า 40 ปี 

รายการกระจกหกด้าน เกิดขึ้นจากการประกวดรายการสารคดีของธนาคารแห่งหนึ่งที่สุชาดีได้รับรางวัลชนะเลิศ และได้โอกาสจากช่อง 7 ให้ออกอากาศวันละ 15 นาทีในทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ ช่วงเวลาที่ผู้คนสมัยนั้นต่างรอดูละครเย็น ทำให้เสียงพากย์ของสุชาดีฝังอยู่ในความทรงจำของทุกคน และอีกสิ่งที่จำได้ไม่ลืมคือเพลงเปิดรายการที่หลายคนอาจเข้าใจว่าเป็นท่วงทำนองที่ทีมรายการแต่งขึ้นมาเอง แต่ที่จริงคือเพลง Dancing Flames ของ Mannheim Steamroller ที่ล้ำเอามากๆ (ฟังได้ที่ youtube.com/watch?v=LIm6bKVkarU

ส่วนชื่อรายการที่ฟังดูพุทธมากขนาดนี้ เกิดจากที่ช่วงแรกกระจกหกด้านเน้นเล่าเรื่องราวของธรรมะ สุชาดีจึงนำคำสอนของพระพุทธเจ้าที่กล่าวถึงทิศทั้งหก ประกอบด้วยเบื้องหน้า เบื้องขวา เบื้องหลัง เบื้องซ้าย เบื้องบน และเบื้องล่าง สื่อถึงการปฏิบัติตัวต่อผู้คนที่อยู่รอบตัวเราทั้งหมดให้อยู่อย่างมีความสุข มาปรับให้เข้ากับปัจจุบัน เกิดเป็นรายการชื่อกระจกหกด้านขึ้นมา

ปัจจุบัน กระจกหกด้าน ได้ปรับรูปแบบเป็นรายการออนไลน์ ในช่องยูทูบที่มีชื่อว่า Krajokhokdan Official และมีรายการ ไชโย โอป้า ที่สุชาดีรับบทผู้ดำเนินรายการเบื้องหน้าเป็นครั้งแรก 

อ้างอิง : เบื้องลึกที่ไม่มีใครรู้ เจ้าของเสียงในตำนานรายการทีวี กระจกหกด้าน
youtube.com/watch?v=Gs-Sfq7vwcM&t=369s

หมายเลข 7 

Seven Sins

แบรนด์ชาบูที่เรียกติดปากกันว่า ‘ชาบูคนบาป’ มาจากคอนเซปต์ของบาป 7 ประการในหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ที่ว่าด้วย 7 สิ่งที่เป็นบาปเมื่อมนุษย์ทำตามสัญชาตญาณหรือความต้องการของตัวเองมากเกินไป 

บาปทั้ง 7 นี้แบ่งออกเป็น Lust (ราคะ), Gluttony (ตะกละ), Greed (โลภะ), Sloth (เกียจคร้าน), Wrath (โทสะ), Envy (ริษยา) และ Pride (อัตตา) 

และจุดเด่นของ Seven Sins คือลูกค้าสามารถเลือกซุปได้ตามชื่อเรียกบาปทั้ง 7 ประการ เช่น Greed ซุปปลาแห้งแทนรสชาติของคนไม่รู้จักพอ, Sloth ซุปสุกี้นำด้ำคือรสชาติของคนขี้เกียจ, Lust ซุปกระดูกหมูแทนรสชาติของราคะ หรือ Envy ซุปหมาล่าเป็นรสชาติของความริษยา เป็นการกินชาบูแบบที่ได้เรียนรู้ศีลธรรมไปด้วย

อ้างอิง : facebook.com/SevenSinsThailand

หมายเลข 8 

Hachiban Ramen ร้านราเมนหมายเลข 8

ฮะจิบัง ประเทศไทย เริ่มดำเนินกิจการในปี 2534 โดยร่วมทุนกับฮะจิบัง ประเทศญี่ปุ่น เปิดสาขาแรกที่ สีลม คอมเพล็กซ์ ส่วนสาขาแรกบนโลกเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นสัก 24 ปี เป็นร้านเล็กๆ ขายราเมนอยู่ไม่กี่แบบ ตั้งอยู่บนถนนหลวงสาย 8 เขตคางะ เมืองอิชิกาวะ ประเทศญี่ปุ่น โดย โจจิ โกโต้ เมื่อขายดีจนคิวยาวทุกวัน เขาจึงเริ่มขยายสาขาและพัฒนาเรื่อยมาจนกลายเป็นร้านสาขาที่มีกว่า 100 สาขาในญี่ปุ่น และอีกกว่า 130 สาขาในประเทศไทย

ส่วนที่มาของชื่อร้านหมายเลข 8 นั้น แน่นอนว่ามาจากถนนสายหลักหมายเลข 8 ทำเลที่ตั้งของร้านแรกที่ญี่ปุ่น และคำว่า ‘ฮะจิบัง’ มีความหมายตามสัญลักษณ์ที่เป็นตัวเลข 8 อารบิก สื่อถึงความเป็นสิริมงคล 2 อย่าง คือตัวเลข 8 ที่เมื่อมองในแนวตั้งดูคล้ายตุ๊กตาล้มลุก อันเป็นเครื่องหมายของความมั่นคงและเสถียรภาพ (stability) แต่หากมองในแนวนอนจะคล้ายกับเครื่องหมายอินฟินิตี้ (infinity) สื่อถึงความเป็นนิรันดร์ของแบรนด์ฮะจิบังนั่นเอง

อ้างอิง : hachiban.co.th/th/history

หมายเลข 9 

ขนมไทยเก้าพี่น้อง 

ร้านขนมไทยเก้าพี่น้อง มีจุดเริ่มต้นจากครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีลูกทั้งหมด 9 คนด้วยกัน โดยครอบครัวนี้เปิดร้านอาหารตามสั่ง และผู้เป็นแม่ต้องการหารายได้เสริม จึงริเริ่มเรียนรู้การทำขนมไทยและลองวางขายที่หน้าร้านอาหารตามสั่ง ก่อนจะขยับขยายมาเปิดสาขาแรกที่ตลาด อ.ต.ก.ในปี 2522 

กรกมล ลีลาธีรภัทร ทายาทคนที่ 7 เล่าว่าคุณพ่อของเธอเป็นคนตั้งชื่อร้าน โดยบอกว่าบ้านเรามีลูกเก้าคนก็เอาชื่อ ‘เก้าพี่น้อง’ ละกัน ส่วนเรื่องโลโก้ก็ได้รับคำแนะนำจากคุณพ่อเช่นกัน ซึ่งเธอนึกไม่ถึงว่าคุณพ่อที่เป็นคนจีนจะเข้าใจบริบทแบบไทยและมีวิสัยทัศน์ที่ทำให้แบรนด์อยู่ได้นานจนถึงปัจจุบัน

ขนมไทยเก้าพี่น้องใช้รูปนางกวักเป็นโลโก้แรก เพื่อสื่อถึงผู้หญิงหรือความรักของแม่ที่มีต่อลูก และเชื่อว่า “บารมีของแม่นางกวักจะช่วยเสริมให้ค้าขายเจริญรุ่งเรือง” ต่อมาได้เปลี่ยนมาใช้เลขเก้าไทยแทน สื่อถึงการก้าวไปข้างหน้า ซึ่งเป็นก้าวสำคัญและเป็นความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารของชาติ

อ้างอิง : kaopeenong.com/about

ชวนดูรายการที่ ชลากรณ์ ปัญญาโฉม ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Workpoint เลือกดู

หากให้นึกถึงคนทำรายการทีวีสนุกๆ ในไทย Workpoint น่าจะเป็นชื่อที่ผุดขึ้นมาในใจของใครหลายคน ทั้งรายการในอดีตไม่ว่าจะเป็น ชิงร้อยชิงล้าน, แฟนพันธุ์แท้, เกมทศกัณฐ์, อัจฉริยะข้ามคืน, The Mask Singer หรือรายการที่กำลังเป็นกระแสในปัจจุบันอย่าง ร้องข้ามกำแพง

พูดชื่อรายการเหล่านี้ขึ้นมา ไม่เพียงแค่จำได้ว่ามันคือรายการเกี่ยวกับอะไร แต่ยังจำ ‘ความรู้สึกร่วม’ ที่มีต่อรายการได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นความสนุก ความลุ้น ความอยากรู้ว่าภายใต้หน้ากาก หรือเบื้องหลังกำแพงนั้นเป็นใคร

หนึ่งในเบื้องหลังคนสำคัญของ Workpoint คือ ชลากรณ์ ปัญญาโฉม ที่ปัจจุบันเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานดิจิทัล โดยก่อนหน้านี้เขารับหน้าที่ดูแลงานดิจิทัลทีวี สถานีโทรทัศน์ Workpoint มาก่อน แม้เขาจะออกตัวว่าสองปีให้หลังมานี้เขาจะดูทีวีน้อยลง ทว่าการดูน้อยลงของเขาก็ยังเป็นนับว่ามากอยู่ดีเมื่อเทียบกับใครหลายคน

เราจึงอยากชวนคุณผู้อ่านมาดูรายการทีวีในแบบที่ชลากรณ์เลือกดู ซึ่งการชวนดูในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ดูว่ารายการเหล่านี้สนุกยังไงหรือใครคือพิธีกร แต่คือการพาไปดูผ่านแว่นตาของผู้ที่คลุกคลีอยู่กับวงการมาอย่างลงลึก ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้รายการเหล่านี้ได้รับความนิยม และแต่ละรายการมีแง่มุมใดน่าสนใจบ้าง

ถ้าพร้อมแล้วเชิญรับชมได้ในบรรทัดถัดไป

1. Reality Show

รายการ : Survivor 
รูปแบบ : เรียลลิตี้ที่ให้ผู้เข้าแข่งขันไปอยู่ด้วยกันบนเกาะเพื่อทำภารกิจต่างๆ ร่วมกัน โดยในแต่ละตอนจะมีผู้ที่ถูกคัดออกไปเรื่อยๆ จนเหลือผู้ชนะคนสุดท้าย

“ตอนนั้น Survivor มันเป็นของใหม่มาก มันดูจริง เขาคิดกติกาเก่ง เอาคนไปอยู่บนเกาะด้วยกันทำภารกิจด้วยกัน แล้วก็คัดคนออกไปเรื่อยๆ จนเมื่อถึงโค้งสุดท้าย รายการก็จะให้คนที่ถูกคัดออกไปกลับมาเลือกว่าจะให้คนที่เหลืออยู่คนไหนเป็นผู้ชนะ 

“ผมรู้สึกว่ามันเป็นรายการที่มีความเป็นมนุษย์ผสมอยู่เยอะ แล้วส่วนตัวเวลาดูอะไรพวกนี้ผมก็มักจะไปดูว่าโปรดิวเซอร์หรือครีเอทีฟของรายการเป็นใคร ตามไปดูงานอื่นๆ ของเขา ดูไปถึงว่าเขาทำมาหากินอะไรด้วยซ้ำ 

“ซึ่ง Mark Burnett คนที่ทำรายการ Survivor ในอดีตเขาเคยเป็นทหารมาก่อน เลยรู้สึกว่าประสบการณ์ตอนเขาเป็นทหารน่าจะส่งผลต่อแนวคิดของการทำรายการด้วยเหมือนกัน”

รายการ : The Apprentice
รูปแบบ : เรียลลิตี้แข่งขันชิงไหวชิงพริบทางธุรกิจ เพื่อหาคนเก่งมาร่วมทำงานในบริษัทของ Donald Trump ตั้งแต่ Trump ยังไม่เป็นประธานาธิบดี 

“กติกาของรายการคือจะแบ่งผู้เข้าแข่งขันออกเป็น 2 ทีม แต่ละทีมก็จะมีโปรเจกต์เมเนเจอร์ของตัวเอง แล้วรายการจะให้ทั้ง 2 ทีมมาแข่งขันกันทำธุรกิจจริงๆ ทีมไหนแพ้คนที่อยู่ในทีมนั้นก็จะถูกคัดออก 

“วิธีการคัดออกก็คือให้คนในทีมที่แพ้มาเถียงกันมาโหวตกันว่าใครทำงานเป็นยังไง ใครคือคนที่ควรถูกไล่ออกจากทีม เสร็จแล้วโปรเจกต์เมเนเจอร์ก็จะมาเป็นคนตัดสินใจเลือกคนที่ต้องออกจากทีมไป โดยจะมีวลีเด็ดในรายการว่า ‘You’re Fired!’

“จนเมื่อใกล้จบ รายการก็จะมีกติกาให้คนที่เคยถูกไล่ออกไปกลับมาโหวตว่าจะให้คนที่อยู่คนไหนเป็นผู้ชนะดี ซึ่งดูเหมือนว่าวิธีการคัดคนออกในแต่ละตอนแล้วสุดท้ายให้คนที่โดนออกไปได้กลับมาเป็นผู้เลือกจะเป็นทางที่คุณ Mark Burnett เขาถนัดเสียเหลือเกิน 

“ความน่าสนใจอีกอย่างของ The Apprentice คือมันเป็นรายกาที่ครบเครื่องในแง่มาร์เก็ตติ้งอย่างมาก ทำให้โดนัลด์ ทรัมป์ ได้แสดงแสนยานุภาพความรวยของตัวเองให้คนได้เห็น อยู่ๆ ก็ไปปิดตึกเพื่อให้คนมาแข่งขันแล้วบอกว่าจริงๆ แล้วนี่เป็นกิจการของฉันเอง อีกอย่างคือเป็นรายการที่ดูแล้วก็ได้ความรู้เรื่องธุรกิจไปด้วย อย่างมีตอนนึงที่ให้ไปขายน้ำส้ม คอนเทนต์ในรายการก็จะสอดแทรกให้เห็นเรื่องวิธีเลือกทำเลในการขายของ อะไรแบบนี้เป็นต้น” 

รายการ : อัจฉริยะข้ามคืน
รูปแบบ : เอาคนเก่งมาแข่งกัน เช้ามามีคนได้เงิน 1 ล้านบาท 

“ถ้าเป็นรายการของบ้านเราก็ต้องเลือก อัจฉริยะข้ามคืน อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับทีมงานที่เป็นคนคิดจริงๆ 

“ทีแรกคอนเซปต์ของมันคือ ‘ร้อยคนหนึ่งคืนหนึ่งล้านบาท’ แต่ด้วยความเก่งกาจของครีเอทีฟในบริษัท เขาก็มานั่งคิดว่าร้อยคนมันไม่ได้หรอกพี่ มันเยอะไป ตัดลงมาให้เหลือ 7-8 คนดีกว่า แล้วเอาคนเก่งที่คาแร็กเตอร์ชัดจริงๆ มาแข่งกันเพื่อให้คนดูจดจำได้แล้วจะทำให้รายการดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น 

“ณ ตอนนั้นมันเลยเป็นรายการที่ค่อนข้างฮือฮาพอสมควร ทั้งในแง่ของเงินรางวัลที่ใหญ่และโปรไฟล์ของผู้เข้าแข่งขันที่มีแต่คนเก่ง อีกอย่างที่ต้องให้เครดิตทีมงานอีกเช่นกันคือมันจะมีช่วงสุดท้ายของรายการที่เรียกว่ารหัสปริศนา จะเป็นช่วงที่ทำให้คนทางบ้านนั่งไขรหัสหน้าจอทีวีไปกับผู้เข้าแข่งขันได้ ทำให้คนดูรู้สึกว่าฉันก็คิดออกเหมือนกันนะ แล้วความรู้สึกนี้แหละคือสิ่งที่ทำให้คนดูมีส่วนร่วมกับรายการด้วย”

2. Talk Show

รายการ : The Big Give
รูปแบบ : รายการทอล์กโชว์ของ Oprah Winfrey ที่จะมาสร้างความสุขแบบไม่หยุดไม่หย่อนให้กับแขกรับเชิญในรายการ 

The Big Give เป็นรายการทอล์กโชว์พิเศษอันลือลั่นของโอปราห์ วินฟรีย์ มีทั้งหมด 13 ตอน ถึงรูปแบบรายการจะไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมาก คือเป็นรายการเปลี่ยนชีวิตคนลำบากให้มีความสุขแบบสาสม แต่เอาจริงๆ ผมจินตนาการไม่ออกเลยว่าเขาทำแบบนั้นได้ยังไง

“ยกตัวอย่างตอนนึงของรายการที่ไปมอบความสุขอย่างสาสมให้กับพนักงานสตาร์บัคส์คนหนึ่งที่ผู้คนบอกว่าเธอเป็นคนน่ารัก รู้ว่าลูกค้าคนไหนชอบกินเมนูอะไร ขยันขันแข็งและไม่เคยหยุดงาน ซึ่งเหตุผลที่ไม่เคยหยุดงานนั่นเป็นเพราะว่าเธอคือแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องคอยหาเงินมาให้ลูกๆ หลายคน ทีนี้โอปราห์ วินฟรีย์ ก็เลยไปเซอร์ไพรส์พนักงานคนนี้ที่ร้าน พร้อมให้หยุดงาน 1 วัน หยุดงานเสร็จยังไม่พอ มอบของให้อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นโซฟา ตู้เย็น เตียงนอน เครื่องครัว และอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่าง แต่ทีนี้เจอปัญหา เพราะของที่ซื้อมามันเยอะมาก แล้วห้องของเธอก็เป็นอะไรที่เล็กมากเลย เก็บของเหล่านี้ไม่พอ

“ให้ทายสุดท้ายของเหล่านี้ไปอยู่ไหน

“รายการซื้อบ้านให้หลังนึงเลย เล่นใหญ่มาก คือเข้าใจวิธีการทำรายการแบบนี้นะ แต่พอมันเป็นอะไรที่ไปสุดที่สุดทางก็ต้องยอม

“หรืออีกตอนนึงที่เป็นที่ลือลั่นเหมือนกัน คือรายการเอาแม่บ้านหลายๆ คนมานั่งในสตูดิโอ แล้วก็เล่นใหญ่ตามสเตปเหมือนเดิมว่าเดี๋ยววันนี้จะมีรางวัลพิเศษมามอบให้กับคนที่อยู่ในสตูดิโอนี้ จากนั้นทีมงานก็เดินแจกกล่องของขวัญให้กับทุกคน พร้อมเปิดประตูฉากหลัง จากนั้นก็มีรถเก๋งขับออกมา โอปราห์ วินฟรีย์ ก็บอกว่าเห็นรถคันนั้นไหม เดี๋ยวจะมีคนได้รถกลับบ้านไป ลองเปิดกล่องของขวัญที่ทุกคนมีอยู่ในมือสิ กล่องไหนมีกุญแจก็ได้รถขับกลับบ้านไปเลย

“ปรากฏว่าพอเปิดกล่องออกมา ทุกคนเจอกุญแจกันหมดเลย กรี๊ดกันทั้งสตูดิโอ เจอกุญแจเสร็จเล่นไม่เลิก รายการพาไปดูรถที่จอดอยู่เป็นร้อยๆ คัน ถามว่าเห็นไหม ที่จอดอยู่นี่คือรถของพวกเธอ เห็นแล้วยอมเลย

“คนอื่นอาจบอกว่าก็เพราะรายการรวยนี่เลยทำได้ ถ้าเป็นครีเอทีฟงบน้อยก็ทำไม่ได้หรอก แต่ผมว่ามันเป็นอะไรที่ข้ามเส้นความรวยไปแล้ว ลองคิดภาพสิ คือเขาไปดีลกับสปอนเซอร์ยังไง ไปบอกว่าช่วยมาแจกรถให้คนดูฉันหน่อยสิ แบบนี้เหรอ นั่นแปลว่าคนต้องรักรายการของเขามากสปอนเซอร์ก็เลยเอาด้วย

“อีกอย่างนึงเราว่ารายการทอล์กโชว์ทั้งหลายที่ประสบความสำเร็จคือคาแร็กเตอร์ของโฮสต์ โฮสต์นี่แทบจะเป็นโปรดิวเซอร์ของรายการเลย ซึ่งในยุคนึง โอปราห์ วินฟรีย์ เขาก็เป็นขวัญใจคนอเมริกันเหมือนกัน”

3. Singing Competition TV Series 

รายการ : The Voice
รูปแบบ : รายการประกวดร้องเพลงที่โค้ชในรายการจะเลือกนักร้องที่ชอบจากเสียงก่อนหน้าตา

“ที่จริงแล้ว The Voice เป็นรายการที่เกิดขึ้นในฮอลแลนด์โดย John De Mol แต่มาร์ก เบอร์เนตต์ คือคนที่เอามาทำให้เป็นที่รู้จักในอเมริกา แล้วต่อจากนั้นมันก็กลายเป็นรายการที่ดังไปทั่วโลก แม้ก่อนหน้าจะมีรายการร้องเพลงอยู่แล้วมากมาย แต่สิ่งที่ทำให้ The Voice ดังก็เพราะมันเป็นรายการที่มีคอนเซปต์ที่แข็งแรงมากๆ มาจับ 

“เพราะปกติคนที่เข้ามาในรอบลึกๆ ได้ ยังไงแล้วก็ต้องเป็นคนที่ร้องเพลงเก่งเหมือนกันหมดแหละ สุดท้ายก็ต้องมาตัดสินกันที่การโหวต ซึ่งในแง่ของการแข่งขันก็ถือว่าแฟร์นะ แต่ทีนี้การโหวตมันก็จะมีปัจจัยเรื่องอื่นที่ไม่ใช่แค่เรื่องของการร้องเพลงเข้ามาประกอบการตัดสินใจด้วย ไม่ว่าจะเป็นความชอบ เสน่ห์ หรือหน้าตาของนักร้อง ก็เลยเกิดเป็นคำถามในใจของคนดูหลายๆ คนว่าแบบนี้แล้วคนมีเสน่ห์ก็จะชนะตลอดเลยสิ

“เราคิดว่าสิ่งที่ทำให้ The Voice ประสบความสำเร็จ คือการที่มันมาตอบคำถามในใจของหลายๆ คน ว่าขอคนที่ร้องเพราะพอไม่ต้องเห็นหน้าก็ได้

“แล้วการที่พูดว่าคนคนนี้ร้องเพลงเพราะโดยที่ยังไม่เห็นหน้าตาของคนร้อง มันเป็นประโยคที่เอกฉันท์มาเลยนะ ความเอกฉันท์นี้ก็เลยทำให้รายการน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก” 

รายการ : I Can See Your Voice
รูปแบบ : ค้นหานักร้องเสียงเพราะ มาร้องคู่กับแขกรับเชิญในแต่ละสัปดาห์

I Can See Your Voice เป็นรายการที่ซื้อลิขสิทธิ์มาจากเกาหลี ตอนเห็นครั้งแรกก็ไม่ได้รู้สึกว่าฮือฮาอะไร แต่พอได้มานั่งคุยกับโปรดิวเซอร์ของรายการเท่านั้นแหละ เชื่อเขาเลย!

“คือโปรดิวเซอร์เล่าให้ฟังว่ารายการประกวดร้องเพลงส่วนใหญ่คนที่ร้องเพราะถึงจะดัง แต่สำหรับ I Can See Your Voice ไม่ต้องร้องเพลงเพราะอาจจะดังก็ได้ มันอาจไม่ใช่เหตุผลที่ดีนะ แต่พอเขาพูดประโยคนี้มา มันเหมือนมาช่วยคอนเฟิร์มความเชื่อของเราเลยว่าต้องสนุกแน่ๆ ก็เลยตัดสินใจว่ามาลองดูกัน

“ซึ่งก็จริงแบบที่เขาว่านะ ตอนเอามาทำแรกๆ คนร้องไม่เพราะดังกว่าคนร้องเพราะอีก อีกอย่างความสนุกสนานเวลาดูรายการมันเหมือนเวลาเราไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อน ต่อให้เพื่อนร้องไม่เพราะแต่เราก็จะนั่งดูนั่งขำทุกที แล้วก็เพิ่งมารู้ทีหลังด้วยนะว่ารายการเขาแข็งแรงถึงกับขนาดเคยเข้าชิงรางวัล Emmy Awards เลย”

รายการ : The Rapper
รูปแบบ : จับคัลเจอร์ฮิปฮอปมาทำเป็นรายการแข่งร้องเพลงแรป

“ไม่น่าเชื่อว่ารายการเพลงมันจะเปลี่ยนคัลเจอร์ดนตรีได้ ตอนที่รายการ The Rapper ดังหลายคนก็หันมาแรปกันหมด

“ส่วนตัวแล้วคิดว่าสิ่งที่ทำให้ The Rapper สามารถเปลี่ยนคัลเจอร์ได้คือมันเป็นการห่อหุ้มใหม่ให้กับสิ่งที่มีต้นทุนที่ดีอยู่แล้ว และนำมาเสนออย่างเป็นมิตร หัวใจของมันคือมันมีท่อนเพลงที่ฟังคุ้นหูอยู่ง่ายๆ ก่อน จากนั้นค่อยเพิ่มท่อนที่เป็นแรปไปจนค่อยๆ ซึมซับไปเรื่อย

“ปกติแล้วคนส่วนมากถ้าไม่คุ้นชินกับเพลงแรปจะหนีก่อนเพราะรู้สึกไม่มีส่วนร่วม รู้สึกว่าฮิปฮอปหรือแรปเป็นสิ่งที่ฟังยาก ซึ่งช่วงแรกๆ ที่รายการออน มันทำให้คนฟังฟังได้ง่ายก่อน แล้วค่อยเอาสิ่งที่ฟังยากเข้ามาใส่เพิ่มทีหลัง จนเมื่อคนเริ่มพูดถึงกันในคอมมิวนิตี้เล็กๆ ที่มีจำนวนเยอะมากเลยพร้อมใจกันนำเสนอในหลายๆ รูปแบบต่อเนื่องมาเรื่อยๆ และมันก็กลายเป็นคัลเจอร์วงกว้างในที่สุด ที่สำคัญคือพอมันอยู่ในหน้าจอทีวีที่มีผู้ใหญ่ดูด้วย พอผู้ใหญ่รับได้ด้วยมันก็เลยขยายผลออกไป”

4. Dating Show

รายการ : Terrace House 
รูปแบบ : ให้ผู้ชาย 3 คน และผู้หญิงอีก 3 คนมาอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน แล้วหาคู่เดทของตัวเอง

“ปกติแล้วรายการ dating show มักจะเล่นท่าที่คล้ายๆ กัน คือเอากล้องมาตั้งถ่ายไว้แบบทั้งวันทั้งคืน ให้ผู้เข้าร่วมรายการมาอยู่ด้วยกัน มีกิจกรรมด้วยกัน 

“แต่ Terrace House ทำให้ดูรู้สึกจริงขึ้นไปอีก เพราะกติกาของรายการไม่ได้บังคับให้ผู้ร่วมรายการต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลาก็ได้ บางวันอยากจะกลับไปนอนบ้านตัวเองก็ได้ ออกไปทำงานได้ด้วย บางวันมีธุระไม่ต้องมาก็ได้นะ พอได้เห็นมุมอื่นของชีวิตแต่ละคนก็เลยทำให้รู้สึกว่ามันจริงมากขึ้น แล้วถึงจะออกไปข้างนอกได้ แต่รายการก็จะสร้างเงื่อนไขบางอย่างให้เรื่องราวสามารถดำเนินต่อไปได้ด้วย

“ซึ่ง Terrace House น่าจะเป็น dating show รายการแรกๆ เลยที่ผมเห็นว่ามีการเอาคนมานั่งดูในห้องรับแขก มานั่งพูดคุยเมาท์มอยกัน เหมือนเป็นการเมาท์แทนคนดูว่าคนโน้นคนนี้เป็นยังไง

“อีกอย่างที่ชอบคือมีฉากนึงใน Terrace House ผู้หญิงวางแผนว่าอยากจะชวนผู้ชายพูดคุยทำความรู้จักให้มากขึ้น ซึ่งตัวผู้หญิงรู้ว่าผู้ชายชอบเล่นบาส ทีนี้พอตอนที่คุยกันผู้ชายบอกว่าเขาชอบผู้หญิงอีกคนนึง ต้องทำยังไงดี พอคุยกันจบผู้กำกับก็เก่งมาก ถ่ายภาพที่ทำให้เห็นว่าผู้หญิงเขี่ยลูกบาสที่วางอยู่ที่โต๊ะออกไปจาก เป็นภาพที่สื่อถึงความหมายได้ดี เหมือนผู้หญิงอกหัก”

รายการ : The Future Diary
รูปแบบ : รายการเดตติ้งโชว์ ที่เอาคนมาเดตให้ดูแค่ 1 คู่ถ้วน

The Future Diary คือทั้งรายการเอาคนมาเดตให้ดูแค่ 1 คู่ถ้วนเท่านั้น ให้ทั้งสองทำความรู้จักกัน แล้วให้คนดูลุ้นว่าสุดท้ายทั้งคู่จะคบกันจริงๆ ไหม 

“สำหรับรายการนี้ชอบในความกล้าของคนทำมากๆ คิดดูสิว่าทั้งรายการให้ดูแค่สองคนนั้น นั่นแปลว่าแคสติ้งเขาต้องแม่นมากๆ

“พอแคสติ้งแม่นรายการก็จะสามารถทำให้คนดูรู้สึกว่าไม่รักก็ต้องเกลียดใครสักคน แล้วเวลาเรารักหรือเกลียดใครสักคนมันจะทำให้เราอยากตามดูเขาไปเรื่อยๆ ”

5. Game Show

รายการ : เกมทศกัณฑ์
รูปแบบ : ให้ผู้เข้าแข่งขันมาทายว่าหน้าตาในแผ่นป้ายเป็นใคร

“ความยากของรายการเกมโชว์คือต้องทำสิ่งที่มันซ้ำๆ ให้คนดูรู้สึกว่าไม่ซ้ำอยู่ตลอดเวลา อย่างละครเรื่องนึงมันเดินไปเรื่อยๆ แล้วก็จบ ถ้าเป็นวาไรตี้โชว์หรือข่าว เรื่องราวมันก็เปลี่ยนทุกวัน 

“แต่เกมโชว์ด้วยความที่บริบทของมันไม่ได้เปลี่ยนเยอะ หลักๆ ก็มีแค่ตัวผู้เล่นที่เปลี่ยน 3-5 เดือนแรกอาจจะยังเป็นเรื่องที่ใหม่อยู่ แต่หลังจากนั้นมันเป็นสิ่งที่ยากมากที่จะทำให้คนดูไปได้เรื่อยๆ อย่างยาวนาน กับ เกมทศกัณฑ์ ที่ให้ทายหน้าคนไปเรื่อยๆ นี่เราดูภาพนี้กันมาเป็นปีนะ ยาวนานมาก พอ เกมทศกัณฑ์ ผู้ใหญ่จบก็มี ทศกัณฑ์เด็ก อีก ซึ่งเรื่องนี้ต้องยอมรับว่าทีมครีเอทีฟเก่งมากที่สามารถลากสิ่งนี้ไปได้ตั้งยาวนาน ทำให้เรื่องเดิมๆ เดินได้อยู่ตลอดเวลา เป็นการทำงานที่อาศัยการหาข้อมูลที่หนักมากเพราะทีมงานต้องไปทำการบ้านมาเพื่อให้พิธีกรมีเรื่องเล่า 

“แต่ผมก็ไม่ค่อยแปลกใจหรอกว่าทำไมเขาทำกันได้ เพราะเป็นทีมเดียวกับที่ทำ แฟนพันธุ์แท้ รายการ แฟนพันธุ์แท้ เป็นรายการที่คนแข่งเก่งกว่าคนทำ คนทำเลยต้องหาข้อมูลเยอะมากๆ

“จากรายการทั้งหมดที่ว่ามา โดยพื้นฐานแล้วรายการที่จะประสบความสำเร็จคือต้องดูสนุกและมีอารมณ์ อารมณ์ไหนก็ได้ ดูแล้วขำ ดูแล้วร้องไห้ ดูแล้วซาบซึ้งก็ได้ ดูไปด่าไปก็นับ เพราะยังดูอยู่ แต่ไม่ได้หมายถึงด่ารุนแรงนะ อาจแค่แบบว่าทำไมกรรมการให้คนนี้ชนะ ฉันชอบคนนี้มากกว่า

“รายการไหนถ้าคนดูมีอารมณ์ร่วมด้วยถือว่ารายการทำสำเร็จแล้ว”

อ่านแผนการงาน การเงิน และความรัก ผ่านนามบัตรทั้ง 6 ใบของสุวภา เจริญยิ่ง

สุวภา เจริญยิ่ง คือนักการเงินมากประสบการณ์ ผู้รักการค้นหาเป้าหมาย คำนวณเส้นทางสร้างโอกาส หาความเป็นไปได้ วางแผนและลงมือทำโดยไม่ตามใคร

เธอคือผู้อยู่เบื้องหลังการพาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์มากมาย เช่น บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน), บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด และบริษัท ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

สุวภายังเป็นแฟนตัวยงของกิจการไทย ทุกครั้งที่เจอเธอ เราจะได้ยินได้ฟังเรื่องราวของบริษัทดีๆ หรือกลยุทธ์มากมายในมุมที่เราไม่เคยได้ยินจากที่ไหน เป็นเรื่องราวจริงๆ ที่เธอได้สัมผัสเมื่อทำงานร่วมกับผู้บริหารและบริษัทเหล่านั้น ซึ่งเราจะไม่คุยเรื่องนั้นกันในวันนี้

นอกจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ และอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย

ปัจจุบันเธอเป็นกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง คอยช่วยให้ทิศทาง ช่วยให้ไอเดีย ช่วยสนับสนุนความคิดที่ดีของ CEO ล่าสุดสุวภาเป็นหนึ่งในบอร์ดของ AirAsia Aviation Group Limited (AAAGL) เป็นครั้งแรกที่ไปนั่งบอร์ดต่างประเทศ เป็นผู้หญิงคนเดียว และเป็นคนไทยคนเดียวในบอร์ดนี้

ตามเราไปอ่านแผนและสำรวจเส้นทางการทำงานที่เต็มไปด้วยความหลงใหล ผ่านนามบัตรทั้ง 6 ใบ ตัวแทน ‘ณ บัตรนั้น’ ของ สุวภา เจริญยิ่ง 

01

สุวภา เจริญยิ่ง
ผู้ช่วยหัวหน้าส่วน กลุ่ม 8
ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ธนาคารกสิกรไทย

“หลังเรียนจบด้านการเงินจากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) เราเริ่มต้นงานแรกในชีวิตที่ฝ่ายต่างประเทศของธนาคารกสิกรไทย เพราะคิดว่าจะได้ใช้ภาษาอังกฤษมากที่สุด แต่จริงๆ ต้องมานั่งพิมพ์ใบ letter of credit (LC)  สำหรับการออกวงเงินสินเชื่อ LC/TR (มาจาก letter of credit และ trust receipt) เพื่อทำธุรกรรมสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ ซึ่งธนาคารจะออก LC ว่าบริษัทต้องการซื้อสินค้าและรับรองว่าจะจ่ายเงินอย่างแน่นอน เพื่อให้บริษัทนำไปยื่นแก่ธนาคารของคู่ค้าที่ต่างประเทศ จากนั้นธนาคารจะอนุมัติสินเชื่อและเมื่อของถูกส่งถึงมือแล้ว ธนาคารจะจ่ายเงินล่วงหน้าให้ไปก่อน

“ต่อมาเริ่มค้นพบว่างานในแผนกสินเชื่อของธนาคารดีที่สุด จึงไปขอทำเรื่องย้ายแผนกซึ่งตอนนั้นแผนกสินเชื่อของกสิกรไทยอยู่ในชื่อฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ยุคนั้นสัดส่วนพนักงานชายต่อพนักงานหญิงคือ 4 : 1 ผู้หญิงน้อยมาก แล้วยังได้ทำสินเชื่ออีก ในที่สุดก็ได้อยู่ในพัฒนาธุรกิจกลุ่ม 8 ดูแลธุรกิจในอุตสาหกรรมหนัก ธุรกิจเกี่ยวกับเหล็ก เคมีภัณฑ์ เรื่องราวครั้งนั้นบอกเราว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเราตั้งใจ ร้องขอ และสู้เพื่อมัน แต่ถ้าเราปล่อยทุกเรื่องไปตามเรื่องราวเราก็อาจจะไม่มีโอกาสอย่างนี้

“นอกจากได้รู้จักผู้ใหญ่ที่ภายหลังกลายเป็นคนสำคัญในวงการการเงินหลายคน สิ่งที่ได้เรียนรู้จากฝ่ายสินเชื่อคือทักษะการเขียน จากการต้องเขียน call reports หรือรายงานการเยี่ยมเยียนลูกค้า ว่าลูกค้ามีความประสงค์อะไร ธุรกิจเขาเป็นยังไง วิเคราะห์หาความเป็นไปได้ที่ลูกค้าจะสามารถใช้คืนวงเงินที่ขอสินเชื่อ ปิดท้าย ‘จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุมัติ’ ลงชื่อ Officer สุวภา เจริญยิ่ง ซึ่ง call reports ฉบับแรกของเรานายแก้ยับทุกบรรทัด คำเดียวที่ไม่โดนแก้คือ ‘จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุมัติ’ งานนั้นสอนเราเขียนหนังสือเป็นครั้งแรกในชีวิตและติดตัวมาจนถึงวันนี้ กลายเป็นคนที่เขียนกระชับและจับใจความได้ ว่ากำลังขออนุมัติอะไร วงเงินเท่าไหร่ ใช้คืนแค่ไหน หลักประกันมีอะไร ใครเป็นผู้เซ็นอนุมัติ กำหนดการภายในวันที่เท่าไหร่ สิ่งสำคัญก็คือเวลาที่ต้องสื่อสารอย่าลืมวัตถุประสงค์ เพื่อที่คนอ่านจบจะได้เข้าใจสารนั้นชัดเจน เวลาบอกไม่ดีก็บอกไปเลยว่าแล้วที่ดีเป็นยังไง อย่ามานั่งตั้งความคาดหวังกัน ไม่งั้นเสียเวลาทั้งคู่

“เราเป็นคนที่หลงรักลูกค้าแล้วก็เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเรามีคติว่าทุกคนเป็นคนดี แต่ความจริงนั้นมีหลายรูปแบบ โดยเฉพาะในอดีตนั้นการทำงบการเงินของกิจการมีหลายฉบับ ฉบับดูเอง ฉบับส่งธนาคาร และฉบับส่งสรรพกร ตัวเลขแตกต่างกัน งานของธนาคารคือต้องทำความรู้จักกิจการนั้นอย่างแท้ให้ได้ ผ่านการไปเยี่ยมกิจการ (company visit) ไปดูรายการสั่งซื้อ ดูเอกสารวงเงินสินเชื่อ LC/TR ดูความต้องการใช้วงเงินของลูกค้าในแต่ละวัน (working capital) จากนั้นวิเคราะห์ว่าเขาต้องการเงินเท่าไหร่ และจะหามาคืนพร้อมจ่ายดอกเบี้ยได้จริงไหม 

“เราเรียนรู้เรื่องนี้จากคุณเทพ รุ่งธนาภิรมย์ ซึ่งท่านเป็นผู้อำนวยการฝ่าย ณ ขณะนั้น และเป็นผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับสินเชื่อเล่มที่ดีที่สุดของเมืองไทย ท่านสอนวิธีการวิเคราะห์ลูกค้า ด้วยการมอง 5C’s ได้แก่ Characteristic–ตัวตนลูกค้า พื้นฐานนิสัย ลักษณะครอบครัว กิจกรรมที่ชอบทำ ชื่อเสียงในวงการเป็นยังไง คู่ค้าพูดถึงเขาว่าอะไรบ้าง, Capital–ทุนที่แสดงว่าบริษัทกำลังทุ่มสุดตัว หรือหลักการง่ายๆ เขามีทุนเท่าไหร่ก็ให้กู้เท่านั้น, Capacity–กำลังการผลิตว่าเป็นไปได้จริงไหม เช่นบอกว่าจะเติบโต 50 เปอร์เซ็นต์ ด้วยโรงงานขนาดเท่าเดิม แล้วมีลูกค้าที่ซื้อสินค้าจริงแค่ไหน, Collateral–หลักประกัน ถ้าเหตุการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่คิด มีหลักประกันอะไรมายืนยันหรือสร้างความมั่นใจให้ธนาคารได้บ้าง และสุดท้าย Condition–เงื่อนไขและสถานการณ์ ณ ช่วงเวลานั้น สภาพเศรษฐกิจ รวมถึงเงื่อนไขที่เกิดขึ้นทั้งจากธนาคารและหน่วยงานที่กำกับดูแล 

“ทำงานที่ฝ่ายสินเชื่อได้ 2 ปีกว่าเราก็สอบชิงทุนของธนาคารไปเรียนต่อปริญญาโท จากนั้นกลับไปทำงานฝ่ายวาณิชธนกิจ (Investment Bank หรือ IB) ของธนาคารกสิกรไทย ดู Project Finance หมายความว่า บริษัทไม่มีทุนเพียงพอหรือหลักประกันที่เพียงพอแต่อยู่ในโครงการที่ดีมาก จึงเอาโครงการมาทำสัญญา offtake ขอกู้ธนาคาร อย่างตอนนั้นทำโครงการ Eastern Seaboard

“ตอนที่ทำ IB ได้เรียนรู้จากคุณวีรวัฒน์ ชุติเชษฐพงศ์ (ปัจจุบันเป็นกรรมการที่ธนาคารเกียรตินาคินภัทร) ว่าเวลาไปขายงาน ถ้าลูกค้าอยากให้ทำอะไร ขอให้รับปากลูกค้ามาเลย แล้วเรากลับมาสู้กัน ยังไงก็ ‘ได้ค่ะ’ ไว้ก่อน เมื่อลูกค้ามีฝันสักอย่าง เรามีหน้าที่ต่อยอดความฝัน ต่อให้สุดท้ายแล้วฝันนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเขาพูดอะไร แล้วเราก็บอกอันนี้ไม่ได้ อันนั้นไม่ได้ แล้วมันจะเกิดครีเอทีฟได้ยังไง ครีเอทีฟที่สร้างมูลค่าให้แก่กิจการ ทำให้บริษัทแข็งแกร่ง มีเครื่องมือทางการเงิน ทำให้เรียนรู้ว่าคนที่มาจำกัดตัวเราได้ก็มีแต่ตัวเราเองเท่านั้น นอกจากนี้ สิ่งที่เรารู้สึกตลอดเวลาคือ ชีวิต IB ต้องกล้าฝัน กล้าจินตนาการ วันนั้นเราเจอเขาเป็นบริษัทมูลค่าสิบล้าน วันนี้หมื่นล้าน แสนล้าน ถ้ามันไม่เกิดขึ้นจากวันที่เขามีสิบล้านแล้วเรามีขวัญกำลังใจที่เขาเห็นว่าเขาจะโตได้เนี่ย มันก็จะไม่มีวันนี้” 

02

Suvabha Charoenying 
Vice President
Head of Corporate Finance
Morgan Grenfell Thai

“เป็นครั้งแรกที่ได้ทำงานกับบริษัทที่มีผู้ถือหุ้นเป็นต่างชาติ ที่ Morgan, Grenfell เต็มไปด้วยผู้คนที่มีชื่อเสียงในวงการมากมาย เป็นเฮาส์ที่เข้มแข็งมากในการพาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ ประมาณว่าทำงานจนไม่ได้นอน 4 วัน 4 คืน เพราะมีเคสให้ทำเยอะมาก วิ่งกันอุตลุด เป็นช่วงที่ตลาดกลับมาคึกคัก ได้เดินทางไปทำงานต่างประเทศบ่อยมาก ไป-กลับสิงคโปร์เดือนละ 2-3 ครั้ง เป็นช่วงชีวิตที่ได้มีประสบการณ์กับบริษัทต่างประเทศจริงจัง

“การทำงานที่นี่สอนว่าทุกอย่างต้องมีหลักการ ทุกเรื่องต้องมีการจดบันทึก เคยได้ยินไหมว่า ก่อนจะพูดเราเป็นนาย แต่พูดไปแล้ว คำพูดกลายเป็นนายเรา แต่การทำงานที่นี่หากมีการประชุม หารือ หรือตกลงอะไรกันจะต้องมีการจดบันทึกเสมอ เพื่อไม่ต้องเสียเวลาคุยกันอีก เขาจะให้เราเซ็นเอกสารที่เรียกว่า LOI หรือ letter of intention คือจดหมายหมายแสดงเจตนารมณ์ หรือถ้าประชุมกันจนได้ข้อสรุปแล้วก็ทำ MOU หรือ Memorandum Of Understanding ซึ่งเป็นบันทึกข้อตกลง ทำให้เริ่มเข้าใจว่าทำไมเวลาประชุมกับคนต่างชาติเขาจะมีนักกฎหมายไปด้วย 

“อีกเรื่องที่ได้เรียนรู้คือ การทำงานไม่ใช่การวิ่งมาราธอนคนเดียว แต่เป็นการวิ่งผลัด 4×100 ฝึกการทำงานร่วมกับคนอื่น คุณวิ่งแล้วต้องส่งไม้ ไม่เช่นนั้นงานก็เดินต่อไม่ได้ หรือถ้าคุณได้แต่ยืนรอให้คนอื่นส่งไม้มาให้ ไม่ตั้งท่าเตรียมรับไม้ให้ดีงานก็อาจจะสะดุด การทำงานที่ Morgan, Grenfell ให้ความรู้สึกแบบนี้เลย จะชนะหรือแพ้สู้กันด้วยความสามารถจริงจัง”

03

สุวภา เจริญยิ่ง
รองกรรมการผู้จัดการ
บริษัทหลักทรัพย์ เอกธำรง จำกัด

“ย้อนกลับไป ช่วงที่เรียนปริญญาโท เรามีช่วงเวลาว่างตอนกลางวัน จึงมาช่วยงานคุณภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายที่ธนาคารกสิกรไทย ออกมาตั้งบริษัทหลักทรัพย์ เอกธำรง (S-ONE) ทำงานตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม ทำทุกอย่างที่นายสั่ง ได้ทำ Filing เอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ในยุคแรกๆ เลย ไม่ว่าจะเป็น American Standard หรือ Land and House ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายแรกที่เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

“สำหรับเรางานในส่วนสินเชื่อมีข้อจำกัดว่าลูกค้าจะนำเงินมาคืนได้ไหม มองทุกอย่างเป็นความเสี่ยงไปหมด ถ้าเป็นครูก็จะเหมือนครูปกครองที่จ้องจับผิด ขณะที่การเป็น IB พาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ เหมือนครูแนะแนว ที่ช่วยแนะนำแนวทาง มองหาความน่าจะเป็นในอนาคตและการเติบโต 

“ยุคนั้นเวลาจะเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ทุกคนจะกลัวอาจารย์สังเวียน อินทรวิชัย มาก เพราะต้องไปสอบสัมภาษณ์กับอาจารย์ คำถามคลาสสิกของอาจารย์คือ ‘ท่านร่ำรวยอยู่แล้ว ธุรกิจก็ดีอยู่แล้วนี่ครับ ทำไมถึงอยากเข้าตลาดหลักทรัพย์’ สมัยก่อนมีความเชื่อว่า ธุรกิจที่ท่าจะไม่ดีหรือจะล้มเหลวเท่านั้นถึงจะเข้าตลาดฯ ธุรกิจดีๆ เก็บให้คนในครอบครัวไม่อยากแบ่งให้คนอื่นร่วมเป็นเจ้าของ ซึ่งบางธุรกิจก็ตอบว่า อยากเติบโต อยากเป็นที่รู้จัก อยากเอาระบบระเบียบที่ดี ซึ่งตอนนั้นคำว่าธรรมาภิบาลยังไม่เกิด หรือแม้แต่อยากทำโครงสร้างบริษัทให้ดีมี check and balance ที่ตรวจสอบได้ หรืออยากเข้าถึงแหล่งเงินทุน ต้องบอกว่ายุคนั้นเงินที่ระดมทุนได้มันไม่ได้เยอะนะเมื่อเทียบกับวันนี้

“หลังจากไปทำงานต่างประเทศ คุณภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ ชวนกลับมาทำงานฝ่ายวาณิชธนกิจ ที่ S-ONE ตอนนั้น S-ONE กำลังทำเคส Land and House พอดี ได้ทำเคส ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม และอื่นๆ ยุคนั้นทีมเรามีกัน 40 คน ไม่เคยมีทีมใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ด้วยเคสต่างๆ มากมายทำให้ตอนนั้นเราขึ้นเป็นท็อปของสายวาณิชธนกิจ”

04

Suvabha Charoenying
Chief Executive Officer
Schroders Asset Management

“เนื่องจากโปรไฟล์การทำงานที่ Morgan, Grenfell ก็เลยมี Head Hunter ที่ต่างประเทศชวนไปเป็น CEO ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชโรเดอร์ส (Schroders) ตอนอายุ 33 พอดี นอกจากจะก้าวข้ามจากเบอร์ 2 เบอร์ 3 ขึ้นมาอยู่เป็นเบอร์ 1 แล้ว ยังเป็นการข้ามไปอยู่ฝั่ง buy side ครั้งแรก ที่ผ่านมาเราอยู่ฝั่ง sell side หรือทำของไปขาย ในความหมายของการพาบริษัทเข้าไประดมทุนขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยู่ฝั่งคนซื้อของ ในความหมายของ ลงทุนในบริษัทไหนดี ซึ่งเป็นการนำเงินเขามาบริหาร ดูแลผลประโยชน์ให้นักลงทุน

“เริ่มจากไปนั่งเรียนหนังสือที่อังกฤษ 2 เดือน เพื่อจะรู้ว่าผู้จัดการกองทุนต้องทำอะไร ทำให้เราเข้าใจคำว่า financial advisor ดีกว่าเดิม ที่ปรึกษาทางการเงินก็เหมือนหมอ จะรักษาได้ดีก็ต้องรู้อาการคนไข้ ซักประวัติว่าเขาเป็นอะไรมา เจ็บป่วยตรงไหน แต่ในชีวิตจริงคนไข้ไม่บอกอาการเขา แต่เดินมาหาหมอ เอาเงิน 10 ล้านมาให้ แล้วบอกว่า ผ่าตัดฉันหน่อยสิ เช่นกันกับที่เอาเงิน 10 ล้านมาให้แล้วบอกว่าบริหารให้หน่อย โดยไม่ได้คิดก่อนว่า ต้องการเงินไปทำอะไร หรือแม้แต่ความต้องการที่อยากจะเป็นแบบไหน รู้แค่คนอื่นลงทุน 10 ล้าน ได้ 10 ล้าน ก็อยากได้บ้าง แต่ไม่เคยรู้รับเรื่องความเสี่ยงที่เงิน 10 ล้านจะกลายเป็น 0

“และสิ่งที่สั่นสะเทือนความเชื่อเรามากๆ เลย คือหลังจากพาโอเรียนเต็ลเข้าตลาดสำเร็จ วันหนึ่งก็ไปทำงานที่โรงแรมแล้วเจอสามีภรรยาชาวต่างชาติคู่หนึ่งพักที่โรงแรมโอเรียนเต็ล 1 เดือน ซึ่งค่าที่พักคืนละครึ่งแสน เราก็คิดว่าเขาคงเป็นมหาเศรษฐี เมื่อพูดคุยจึงได้รู้ว่าทั้งคู่เป็นครูวัยเกษียณที่วางแผนเก็บเงินตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มสาวเพื่อที่จะเดินทางเที่ยวรอบโลก นี่ไม่ใช่การหาเงินให้ได้มหาศาล แต่คือการตั้งเป้าหมาย คำนวณ และวางแผน เรื่องนี้เปลี่ยนความเชื่อเรามากๆ เป็นแรงบันดาลใจว่าทุกคนสามารถมีเงินร้อยล้านได้ มันคืออุปนิสัยในการเก็บเงินที่ต้องสร้างให้ได้

“เราจะพบว่าระหว่างหาเงินกับใช้เงิน ใช้เงินนั้นง่ายกว่า แต่ใช้ให้ถูกต่างหากที่สำคัญ ตลอดชีวิตเราเรียนรู้วิชาหาเงิน แต่ไม่เคยมีใครสอนวิชาใช้เงิน จะใช้หรือแบ่งส่วนไปลงทุนอะไร ลองเริ่มจากฝากประจำ 24 เดือนให้เกิดความสม่ำเสมอ อย่าให้เงินอยู่ใกล้มือมากเกินไป เมื่อครบกำหนดเราจะมีเงินก้อนไปลงทุน ซื้อกองทุน ซื้อหุ้น เริ่มเรียนรู้เรื่องขาดทุน และอาวุธที่ดีที่สุดคือความรู้ เมื่อมีความรู้ก็ลองตัดสินใจ

“การทำงานในฝั่งเดียวกับนักลงทุน ทำให้เรียนรู้ว่า wealth management ไม่ได้ยาก แต่คือการรู้จักคำนวนว่าต้องการอะไรแล้วตั้งเป้าหมาย สิ่งสำคัญคือความรู้เรื่องการวางแผน ยุคนั้นเราและ MD ของ บลจ. อีกทั้ง 3 ท่าน ได้แก่ คุณวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ, คุณวิเชฐ ตันติวานิช และคุณธีระ ภู่ตระกูล ลุกขึ้นมาตั้งสมาคมนักวางแผนการเงินไทย Thai Financial Planners Association (TFPA) ทำเรื่องขอ license สอบใบอนุญาต CFP (Certified Financial Planner) เนื่องจากปัญหาของการวางแผนทางการเงิน ไม่ใช่เก็บเงินไม่เป็น แต่เขาไม่มีความรู้ ดังนั้นจำเป็นต้องมี money buddy หรือเพื่อนคู่คิดในการวางแผนทางการเงิน เช่น ถ้าวันนี้คิดว่าเริ่มวางแผนทางการเงินช้าไป เขาจะมาช่วยวางแผนสำหรับชีวิต ช่วยคิดแผนการหาเงิน เก็บเงิน ใช้เงิน บริหารเงินที่มี นอกจากนี้สมาคมนี้ยังบุกเบิกข้อเขียนและบทความเรื่องการเงินเป็นแห่งแรกๆ มีบทความ ‘ออมก่อน รวยกว่า’ และ ‘มั่นคง มั่งคั่ง’ เพราะอยากกระตุกให้คนรู้จักการออมหรือเก็บสตางค์

“ถึงกระนั้นงานนี้ก็มีความยากอยู่เหมือนกัน ด้วยความเป็นคนขายของเก่ง เราก็คิดถ้าสมมติระดมทุนได้สัก 2-3 พันล้าน ก็โอเคแล้ว แต่ตอนนั้นไปไกลถึงขั้นได้เงินมาบริหาร 15,000 ล้าน ภาระหน้าที่และความรับผิดชอบเยอะมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนตอนเป็น IB ที่พอดีลจบก็พาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ก็คือจบ เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ทำบริษัทที่ดี ให้เขาเป็นบริษัทที่ดี ทำธุรกิจที่ดี สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปขึ้นอยู่กับตลาด แต่งานผู้จัดการกองทุนนั้นจะทำดีมากี่ร้อยกี่พันวัน ถ้าเราทำลูกค้าเสียหายแค่วันเดียว ก็เท่ากับว่าวันที่ผ่านมาของคุณไม่มีความหมาย เวลาลูกค้าเอาเงินมาฝากให้เราดูแลผลประโยชน์ เขาก็คาดหวังว่าถ้ามีอะไรเสียหายเราต้องบอกเขาก่อน แต่อย่าลืมนะ คนอยู่เต็มห้องแต่มีประตูเท่านี้ มันออกได้ทีละคนเท่านั้น เรื่องราวเหล่าน้ีสอนเราว่าทุกอย่างมีบวกและลบเสมอ อย่าบอกแต่เรื่องที่ดี แต่ต้องบอกความเสี่ยง หรือโอกาสจะเจอเรื่องร้ายแรงด้วย เราไม่เชื่อว่าจะมีอะไรดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นแบบนั้นให้คุณมองในแง่ร้ายไว้ก่อนเลย กลับมาที่เนื้องาน แม้ว่างานจะกดดัน แต่เราก็เอนจอยที่จะเรียนรู้”

05

สุวภา เจริญยิ่ง
Suvabha Charoenying
กรรมการผู้จัดการหลักทรัพย์ธนชาต

“หลังจากทำงานที่ชโรเดอร์ส 6 ปี คุณสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ ชวนกลับมาทำ IB อีกครั้ง เป็นกรรมการผู้จัดการที่บริษัทหลักทรัพย์ธนชาต”

“ระหว่างรอไปเริ่มงานที่ธนชาต มีช่วงว่างๆ อยู่ ได้เขียนหนังสือ ‘Show Me The Money’ ให้กับสำนักพิมพ์เนชั่น จากนั้นคุณสุวดี จงสถิตย์วัฒนา สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ ชวนไปเป็นบรรณาธิการของหนังสือการ์ตูนจากเกาหลีสอนวางแผนทางการเงิน ชื่อ ครอบครัวตึ๋งหนืด เรื่องราวของครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตปี 1997 ทั้งครอบครัวต้องย้ายบ้าน พ่อออกจากงาน แม่เปิดร้านอาหาร ลูกๆ รู้จักวิธีหาเงิน ทำงานเสริม เก็บออม มีเรื่องราวเกี่ยวกับการเล่นหุ้นด้วย เรามีโอกาสทำหนังสือชุดนี้ทั้งหมด 7 เล่ม นอกจากนี้มีหนังสือ อายุเท่าไรก็รวยได้ ถ้าใช้เงินเป็น กับ มีลูกกี่คนก็รวยได้ ถ้าใช้เงินเป็น กับสำนักพิมพ์อมรินทร์ เป็นบรรณาธิการให้หนังสือของซูซี่ ออร์มัน (Suze Orman) เรื่อง ‘ผู้หญิงกับการออมเงิน’ ทั้งหมดในชีวิตน่าจะประมาณ 13-14 เล่ม เล่มที่ชอบคือ นิทานชาวยิว แล้วก็ สอนลูกให้รวย สไตล์เกาหลี เล่มนั้นดีมาก

“อยู่ที่นี่ทั้งหมด 16 ปีเต็ม คิดว่าจะเกษียณที่นี่แล้ว เหลือเชื่อมาก พอเข้าสู่อายุ 52 วันหนึ่งหลังประชุมเคสเคสหนึ่ง กลับบ้านมาปวดหัวไม่ไหวจนต้องเข้าโรงพยาบาล ระหว่างเข้าอุโมงค์สแกนสมองก็เกิดคำถามว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย ที่ผ่านมาไม่เคยมีคำถามนี้เลย เหนื่อยแค่ไหนก็ช่างมัน เพราะชอบและเอนจอยกับงานมาก

“สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราอยู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น เราจะต้องเจองานที่เราไม่ชอบมากกว่างานที่เราชอบ เราชอบทำงาน IB ชอบเจอผู้คน แต่เมื่อต้องคอยจ้ำจี้จำไชระบบ ต้องเป็นผู้คุมกฎ ต้องเซ็นเอกสารเป็นตั้งๆ ทุกวัน ต้องดุลูกน้อง ต้องเอาคนออก ต้องพูดให้เจ็บใจ เรากำลังทำอะไรอยู่ ทำไมต้องมาเครียดเรื่องของคนอื่น นาทีนั้นคิดว่าต้องหยุดพักแล้วจึงไปขอลาออก ซึ่งคุณสมเจตน์ก็ให้ความกรุณาให้เป็นที่ปรึกษาต่ออีก 3 ปี ถึงอายุ 55 แต่ว่าดรอปฟูลไทม์ตั้งแต่อายุ 52 ถือเป็น early retire ที่จริงจังที่สุด ต้องขอบคุณวิชาวางแผนทางการเงินที่ทำให้เราเลือกเส้นทางเดินแบบนี้ได้”

06

สุวภา เจริญยิ่ง
Executive Director
กรรมการบริษัท

“มีโอกาสเจอบริษัท ก็รับเป็นบอร์ดหรือกรรมการบริษัทบ้าง มีหลักการเลือกบริษัทง่ายมาก ชอบอะไร อยากเป็นอะไร ก็จะพาตัวเองไปใกล้ๆ คนเหล่านั้น เช่น ที่ ที.เค.เอส.เทคโนโลยี หรือ TKS ผู้นำธุรกิจ Security Printing หรือธุรกิจการพิมพ์เอกสารปลอดการปลอมแปลง จากนั้นเป็นบอร์ดให้จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (Grammy) เพราะอยากดูหนังฟังเพลง ชอบอ่านหนังสือก็เลยไปเป็นบอร์ดที่อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง ต่อมาทั้งแกรมมี่และอมรินทร์ยื่นดิจิทัลทีวี ก็เลยต้องออกจากการเป็นบอร์ด (เนื่องจากมีบอร์ดซ้ำกันไม่ได้) จากนั้นมาเป็นบอร์ดให้ไมเนอร์กรุ๊ป (Minor) แล้วก็มีทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น (TQM), เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ (ONEE) และล่าสุดรับเป็นบอร์ดให้ AirAsia Aviation Group Limited (AAAGL) เป็นครั้งแรกที่ไปนั่งบอร์ดต่างประเทศ เป็นผู้หญิงคนเดียว และเป็นคนไทยคนเดียวในบอร์ดนี้

“งานของบอร์ดคือ Director is the one who give direction for the company. เป็นคนช่วยให้ทิศทาง ถ้า CEO ไม่เหยียบคันเร่งบ้าง บอร์ดก็ต้องช่วยกระตุ้น มันต้องเร่งกว่านี้นะ คู่แข่งเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้า CEO ไปเร็วไปบอร์ดก็ต้องคอยเบรก เป็น check and balance และมีไว้ปรึกษาหารือ เวลาที่ CEO หรือเบอร์ 1 ของบริษัทต้องการ ช่วยให้ไอเดีย ช่วยสนับสนุนความคิดที่ดีของ CEO เช่น ปีนี้บริษัทอยากจะทำการควบรวม (M&A) ลักษณะไหน ใช้เงินเท่าไหร่ หาเงินจากไหน ผลตอบแทนการลงทุนควรอยู่ประมาณนี้นะ หรือถ้าอยากจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของตลาด งั้นเอาข้อมูลมาวิเคราะห์สิเราขึ้นเป็นเบอร์ 1 ได้ไหม วิธีการทำงานเป็นยังไง มานั่งดูกันว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ เป็นต้น

“ในฐานะเป็นบอร์ดอิสระ เป็นกรรมการอิสระ เรารู้สึกชอบและเป็นเกียรติมากๆ ที่ได้รับเลือกเป็นกรรมการบริษัท เราอยากเข้าไปเรียนรู้จริงๆ อย่างบอร์ด TQM เราไม่เคยรู้ว่าโบรกเกอร์ประกันเป็นยังไง ทุกคนก็จะคิดว่าวันหนึ่งโบรกเกอร์จะหายไปเพราะเป็นคนกลาง เรากลับเรียนรู้ว่าธุรกิจประกันเนี่ย เป็นธุรกิจที่คนซื้อกับคนขายไม่ได้อยากเจอกัน คือการเจอกันนั่นหมายความว่าต้องเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง เพราะฉะนั้นถ้าคนกลางทำหน้าที่ของคนกลางได้ดีที่สุดก็ย่อมจะมี value อยู่แล้ว และ TQM ก็เป็นองค์กรที่เซอร์วิสลูกค้าได้ยอดเยี่ยมมาก ทุกคนถาม ทำไมบริษัทประกันไม่ขายเอง คำตอบคือ บริษัทประกันจะมีสาขาทั่วประเทศไปทำไมในเมื่อมีคนขายของตรงนี้ให้ สิ่งที่ประกันทำได้ดีและควรทำคือทำโปรดักต์ให้ดีที่สุด แล้ว TQM ขายให้ เป็นวิธีที่น่ารักมาก

“อย่างการนั่งเป็นบอร์ดไมเนอร์ ในปีที่ยากลำบากแบบนี้ จากที่เคยกำไรหมื่นล้าน ปีต่อมาขาดทุนหมื่นล้าน แต่ว่าเขาก็สู้ขาดใจ ไมเนอร์คือ last man standing เราชอบวิธีการที่เขาไม่รอให้เหตุการณ์เกิด หลังจากมีโควิด ไมเนอร์ระดมทุนมากมายมหาศาล ออกหุ้น ออกหุ้นกู้ เตรียมกระเป๋าตังค์ให้พร้อม ทำให้บริษัทมีเงินสด 27,000 ล้านตลอดเวลา นี่คือสิ่งที่เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไร อุตสาหกรรมโรงแรมไม่ดีก็จริง แต่มันมี asset ในวันข้างหน้า ถ้าสถานการณ์คลี่คลายกลับขึ้นมามันก็เป็นทรัพย์สินที่มีค่า พร้อมกับบุกธุรกิจอาหาร ซึ่งตอนหลังเดลิเวอรีเขาทำได้ดีที่สุด

“ตามมาด้วยบอร์ด ONEE ซึ่งดิจิทัลทีวีคือธุรกิจที่ทุกคนว่ายาก ยากที่สุด ทุกคนเหนื่อยหมดกับดิจิทัลทีวี แต่เราว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ content is king ถ้าคุณทำคอนเทนต์ดี ไม่ว่าอยู่ตรงไหนคนก็จะยังมาซื้อคอนเทนต์คุณอยู่ดี ถามว่าวันนี้ทำไม ONEE ถึงแตกต่าง เพราะเขารวมยอดฝีมือคนทำคอนเทนต์ ช่องทีวีอื่นค่าโฆษณา 80 เปอร์เซ็นต์ แต่ช่อง ONEE ค่าโฆษณาแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือมาจากการขายคอนเทนต์ เป็นเพราะโครงสร้างที่แข็งแกร่งมากๆ แล้วที่ตามมาก็คือดารารุ่นใหม่ก็อยู่ตรงนี้ทั้งนั้น นี่คือสิ่งที่เราก็ชอบมาก

“และที่เราไปเป็นบอร์ดเลิร์น คอร์ปอเรชั่น (Learn Corporation) เจ้าของโรงเรียนกวดวิชาออนดีมานด์ ก็เห็นว่าการศึกษาเราเป็นยังไง มีอะไรที่ปรับปรุงให้ดีขึ้นได้บ้างไหม เราคงจะรอภาครัฐหรืออะไรไม่ได้ ไม่เป็นไร เป็นเอกชนเราก็ทำได้ บริษัทนี้น่าสนใจมาก เต็มไปด้วยคนหนุ่มคนสาวทำงานร่วมกัน ซึ่งนอกจากนี้เราก็ยังเป็น Facilitator ให้สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai Institute of Directors หรือ IOD) ตามด้วยสถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) เพื่อแชร์สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตลาดทุน

“จะเห็นว่า ชีวิตในแต่ละช่วงวัยเต็มไปด้วยตัวตน บทบาทและโอกาสที่จะทำสิ่งต่างๆ มากมาย เราในวัย 0-20 อยากเป็นอะไรก็เป็น อยากทำอะไรก็ทำ พอเข้าสู่อายุ 20-30 เป็นช่วงค้นหาตัวเอง บางคนค้นพบความถนัดของตัวเอง เราเองก็มีความฝันเหมือนหนุ่มสาวทั่วไป อยากเขียนนิยาย อยากเป็นแอร์โฮสเตส อยากทำนู่นทำนี่

“อายุ 30-40 เป็นช่วงที่เราได้โฟกัสตัวเองมากๆ ได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ อายุ 40-50 เป็นช่วงที่เริ่มรู้ว่าอะไรคือจุดที่แข็งแกร่งและทำได้ดีที่สุด ซึ่งสำหรับเรา 50 เป็นเวลาที่ดีมากที่เราจะตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ ในชีวิต เราโชคดีที่พออายุ 52 มีโอกาสถอดตัวเองลงมาก่อน เลยได้ทำสิ่งที่ชอบอย่างวันนี้

“นามบัตรสุดท้ายของเราจะเป็นอะไรเราตอบไม่ได้ เราสนุกกับการเป็นกรรมการ สนุกกับการเป็นส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งที่ทำให้ใครหรือองค์กรที่กำลังมีความฝันได้เข้าใกล้สิ่งที่เขาฝันมากที่สุด และวันนี้ก็ได้รู้ว่าสิ่งที่สำคัญอาจจะไม่ใช่นามบัตร แต่คือเราในวันนี้มีคุณค่าแค่ไหน

“ขอโทษนะคะที่วันนี้อาจจะไม่มีนามบัตรมาแลก ขออนุญาตแลกเป็นเบอร์โทรศัพท์แทนได้ไหม หรือถ้าไม่ว่าอะไร ขอยื่นนามบัตรนักเขียนและคอลัมน์นิสต์ที่ capital ไว้ล่วงหน้าเลยจะได้ไหมคะ”