ASUS V500 Mini Tower มินิพีซีทรงพลังที่ครบจบ ทั้งทำงาน เล่นเกม และทุกโอกาสในชีวิต

ถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการที่ต้องทำออฟฟิศ เป็นครอบครัวที่อยากมีมุมทำงานหรือเรียนที่บ้าน หรือเป็นครีเอเตอร์ที่ต้องการเครื่องทรงพลังในการตัดต่อ หรือแม้แต่เกมเมอร์ที่เล่นเกมจริงจัง—คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะก็ยังเป็นคำตอบที่ใช่ 

ไม่เพียงถูกหลักสรีรศาสตร์ ลดการเป็นออฟฟิศซินโดรมได้มากกว่า แต่ยังทำงานเสถียรแม้ใช้งานต่อเนื่องหลายชั่วโมง ให้พลังประมวลผลที่มากกว่าในราคาที่ดีกว่า ที่สำคัญคือจอใหญ่สะใจ แล้วถ้าจะเลือกคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะสักเครื่อง ควรเลือกแบบไหน? ที่ประหยัดพื้นที่ได้ แต่ก็ยังต้องแรงพอจะทำได้ทุกอย่างที่ต้องการ 

นั่นเป็นเหตุผลที่ ASUS V500 Mini Tower เป็นคำตอบของคำถาม ด้วยองค์ประกอบที่คิดมาแล้วเพื่อทุกคน ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูรีวิวพร้อมๆ กัน 

1. ดีไซน์มินิมอลแถมยังประหยัดพื้นที่ 

ไม่ว่าจะเป็นกับโต๊ะทำงานในบ้าน หรือออฟฟิศที่มีพื้นที่จำกัด ASUS V500 Mini Tower ก็เป็นคำตอบที่ใช่ที่สุด 

ตัวเครื่องใช้วัสดุคุณภาพดี และผ่านการทดสอบตามมาตรฐานระดับองค์กร ทั้งผลทดสอบด้านความร้อน ความชื้น การตกกระแทก และแรงสั่นสะเทือน ซึ่งเป็นชุดทดสอบพื้นฐานของเครื่องใช้สำนักงานและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์คุณภาพสูง จึงมั่นใจได้ว่า ASUS V500 Mini Tower ทนทาน ทนมือ ทนทุกการใช้งาน

2. เร็วแรงและใช้งานได้หลากหลาย 

ชีวิตคนเรามีหลายโหมดด้วยกัน ทั้งโหมดจริงจัง วันสบายๆ ไปจนถึงโหมดพักผ่อน อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้จึงควรทำงานได้หลากหลายรูปแบบ เรียกว่าซื้อแค่ 1 เครื่องก็ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ชีวิต

ASUS V500 Mini Tower มาพร้อมชิป Intel® Core™ i5-13420H (สูงสุด i7-13620H) ทั้งยังรองรับ RAM DDR5 สูงสุดถึง 64GB พร้อม SSD + HDD สูงสุด 4TB ทำให้เครื่องทำงานได้เร็วแรงเพิ่มขึ้นถึง 34% เทียบกับ Desktop PC ทั่วไป ไม่ว่าคุณจะทำงานเอกสาร เล่นเกม ท่องเว็บ ก็หายห่วงได้เลย  

ส่วนใครที่ทำงานหลายไฟล์หลายเลเยอร์ก็ต้องถูกใจสิ่งนี้ เพราะเครื่องยังรองรับการ์ดจอแยก พร้อมพัดลม Axial-Tech ที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของอากาศ เหมาะมากกับสายกราฟิก ครีเอเตอร์ที่ต้องตัดต่อ หรือเรนเดอร์ 3D 

และถ้าใครเป็นสายประชุมทั้งวันก็สบายใจได้ เพราะไฮไลต์อยู่ตรงที่ Two-way AI Noise Cancelation ที่ช่วยกรองเสียงรบกวนทั้งฝั่งไมโครโฟนและลำโพง ทำให้เสียงคุยชัดเจน ทั้งฝั่งของผู้ใช้งานและคู่สนทนา 

3. ทำงานได้ลื่นไหลแต่เงียบสนิท 

ASUS V500 Mini Tower ใช้ระบบระบายความร้อนอัจฉริยะ อย่างรุ่น Intel Core i7 มีระบบท่อระบายความร้อน 3 ท่อเพื่อระบายความร้อนอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับงานที่ต้องใช้พลังงานสูง ทำให้เสียงเงียบเพียง 38 dB ถ้าให้เห็นภาพคือความเงียบระดับห้องสมุด และยังเหลือเพียง 0 dB ในโหมดประหยัดพลังงาน 

4. ครบครันด้วยพอร์ตเชื่อมต่อ 7 พอร์ต 

เพราะคิดมาครบ เจ้าเครื่องจิ๋วแต่แจ๋วนี้ยังออกแบบให้พอร์ตด้านหน้ามีถึง 3 ช่อง ไม่ต้องเอื้อมไปหลังเครื่องให้ลำบาก จะเสียบแฟลชไดรฟ์ เสียบกล้อง หรือต่อมือถือก็ง่ายแสนง่าย

ส่วนถ้าใครที่ต้องใช้งานหลายจอพร้อมกันก็ทำได้ไม่ยาก ผ่าน HDMI และผ่าน DisplayPort ที่มีมาให้ ตัวเครื่องยังเชื่อมเน็ตไว เพราะมี Wi-Fi 6 กับ Bluetooth มาให้ในตัว ที่สำคัญ สัญญาณแรง เสถียร เพราะมีเสาอากาศ 2 ตัว ไม่ต้องหาตัวรับเพิ่ม

5. ทำงานได้ยาวนานแต่ประหยัดไฟสูงสุด 

ด้วยเมนบอร์ด ASUS ที่เป็นแบรนด์อันดับ 1 ของโลก ขึ้นชื่อเรื่องความเสถียร ใช้งานได้นาน เปิดทั้งวันก็ไม่งอแง ผ่านการทดสอบมาแล้วว่าใช้ได้ทนจริง 

ASUS V500 Mini Tower ยังมาพร้อมแหล่งจ่ายไฟเกรดสูง ผ่านมาตรฐาน 80 PLUS® Platinum ประหยัดไฟได้สูงสุดถึง 92% อีกหนึ่งจุดเด่นคือยังใช้ตัวเก็บประจุโซลิดเกรดองค์กร 100% ในเมนบอร์ด ซึ่งทนต่ออุณหภูมิสูงทำให้มั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพและความเสถียร แม้จะใช้งานนานหลายชั่วโมงก็ตาม

6. เลือกรุ่นที่ใช่ตามสไตล์และงบในกระเป๋า

ASUS V500 Mini Tower ไม่ได้มีแค่สเปกเดียว แต่ออกแบบมาให้ครอบคลุมผู้ใช้งานหลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่คนที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสำหรับตัดต่อ จนถึงผู้ใช้ทั่วไปในบ้านหรือออฟฟิศ ด้วยตัวเลือกซีพียูตั้งแต่ Intel Core i3, i5, ไปจนถึง i7 พร้อม RAM และการ์ดจอที่เหมาะกับงานแต่ละประเภท

นอกจากนั้น ยังมาพร้อมสิทธิประโยชน์หลากหลาย ทั้ง Microsoft Office Home 2024 และ Microsoft 365 Basic ฟรี 12 เดือน (เฉพาะรุ่นที่กำหนด), เมาส์ + คีย์บอร์ด แถมยังรับประกันอุบัติเหตุ (Perfect Warranty) ปีแรก พร้อมบริการ on-site service 3 ปี พร้อมให้บริการภายใน 1 วันหลังเรียกรับบริการ เรียกว่าซื้อ 1 แต่ได้หลายต่อทีเดียว

พิเศษ! ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม-31 ธันวาคม 2568 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด เมื่อซื้อ ASUS V500 Mini Tower รุ่น V500MV-13420H050WA รับจอมอนิเตอร์ VY249HGR มูลค่า 4,190 บาท ฟรี!* แถมยังได้ราคาพิเศษ จาก 20,990 บาท เหลือเพียง 18,990 บาทเท่านั้น

ถึงตรงนี้คงเห็นแล้วว่า ASUS V500 Mini Tower ไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะธรรมดา แต่เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่อัดแน่นด้วยพลัง เหมาะสำหรับทุกบ้าน ทุกโต๊ะทำงาน และทุกความต้องการ ไม่ว่าจะใช้ทำงาน เล่นเกม หรือสร้างผลงานระดับมืออาชีพ

* ของแถมมีจำนวนจำกัด 1 ชิ้น / ออร์เดอร์

เบื้องหลังการปั้นแบรนด์ Good Goods ของเต้ง จิราธิวัฒน์ ที่สร้างรายได้หลักสิบล้านให้ชุมชน

เวลาเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ไม่ว่าจะญี่ปุ่น เกาหลี หรือยุโรป สิ่งหนึ่งที่มักอยู่ในกระเป๋าขากลับคือของฝากจากแบรนด์ท้องถิ่นที่พกความทรงจำทางวัฒนธรรมของประเทศนั้นติดตัวกลับมาด้วยเสมอ–แล้วในวันที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทย จะมีแบรนด์สินค้าท้องถิ่นอะไรที่ทำหน้าที่แบบนั้นได้บ้าง

นี่คือคำถามที่ เต้ง–พิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด พกติดตัวไปในทุกการเดินทางเมื่อออกเดินทางไปทั่วประเทศไทย ไม่ใช่ในฐานะผู้บริหารหรือนักสร้างแบรนด์เท่านั้น แต่ในฐานะนักเดินทางที่หว่านเพาะเมล็ดพันธ์ุแห่งความเชื่อในศักยภาพของชุมชนด้วยความเข้าใจลึกถึงราก

เต้งจึงกลายเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง Good Goods แบรนด์สินค้าชุมชนที่อยู่ภายใต้ เซ็นทรัล ทำ วิสาหกิจเพื่อสังคม ของกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งเริ่มตั้งต้นจากเป้าหมายเรียบง่ายเพียงไม่กี่ข้อ ได้แก่ การมุ่งสร้างรายได้ให้ชุมชน ทำให้คนไทยหันมาใช้ของไทยด้วยความภาคภูมิใจ รักษาเอกลักษณ์วัฒนธรรมให้ยืนยาว พร้อมกับแก้ปัญหาสังคมไปด้วยในขณะเดียวกัน 

เรื่องราวของ Good Goods จึงไม่ใช่แค่บันทึกการสร้างแบรนด์ แต่คือบันทึกของการเดินทางที่ปลายทางไม่ได้มีแค่สินค้า แต่เป็นเรื่องราวการสร้างโรงเรียน พัฒนาเมือง พัฒนาอาชีพในแต่ละท้องถิ่น

ไม่ใช่แค่สร้าง better product แต่ยังสร้าง better school, better community, better quality of life ที่ทำให้แต่ละชุมชนเติบโตเป็น best Version ที่ฉายเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมในแบบของตัวเอง

Good Seeds Start with Building a School

เส้นทางของ Good Goods เริ่มต้นเมื่อราว 6-7 ปีก่อน จากความตั้งใจในการแก้ปัญหาสังคมด้านการลดความเหลื่อมล้ำและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับกลุ่มคนที่เปราะบาง เช่น เกษตรกร คนพิการ ผู้ที่เคยต้องโทษและกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้ยาก เต้งลงพื้นที่ด้วยตัวเอง เดินทางไปทั่วทุกจังหวัดเพื่อดูว่าแต่ละพื้นที่มีของดีอะไรบ้าง และสามารถต่อยอดเพิ่มมูลค่าได้ยังไง มองหาโอกาสที่คนในพื้นที่อาจยังไม่เห็น

“พี่เป็นคนทำแบรนดิ้งมาก่อน เวลาไปชุมชน เราก็จะมองออกว่า เอ๊ะ ทำไมไม่เอาอันนี้มาทำ เราจะให้ชาวบ้านเริ่มก้าวจากก้าวที่ 1 2 3 ก่อนแล้วค่อยวิ่ง ไม่จำเป็นต้องทำสำเร็จทีเดียว เราค่อยๆ โค้ชเขา คนไทยจะติดนิสัยรอว่าใครจะให้อะไรเรา แต่ถ้าเปลี่ยนจากการให้เป็นการสอน ก็เหมือนกับเราให้อาวุธเขา สอนเขาจับปลา ไม่ได้เอาปลายื่นให้เขากิน ซึ่งจะยั่งยืนกว่า พอชุมชนทำได้เขาก็จะรู้สึกภูมิใจในตนเอง ว่าเขาทำได้เอง ไม่ใช่แค่เพราะเรา

“เราต้องให้การศึกษาแก่เด็ก เพราะถ้าเด็กมีการศึกษา จะไม่ยากจนในอนาคต ทุกโปรเจกต์ที่เราทำจึงเป็นเหมือนโรงเรียนที่มีการสอนกันต่อและต้องห้ามหวงวิชา ทุกที่เป็นวิสาหกิจเพื่อชุมชนที่ทำเพื่อส่วนรวม เอารายได้มารวมกันแล้วก็แบ่งกันหมด” 

Good Goods เริ่มต้นจากการพัฒนาสินค้าออร์แกนิกที่ปลอดสารพิษ แต่เมื่อส่งตัวอย่างสินค้าไปตรวจ พบว่ายังมีสารพิษปนเปื้อนจากน้ำที่ใช้ จึงต้องย้อนกลับไปแก้รากปัญหาที่ต้นน้ำ เริ่มจากการปลูกป่าต้นน้ำในพื้นที่เชียงใหม่ เชียงราย น่าน และเพชรบูรณ์

“เราไม่ได้สอนให้ชาวบ้านปลูกป่าทันที เพราะใช้เวลา 5 ปี กว่าจะออกผลผลิต เลยให้เขาปลูกผักก่อน ทุกอาทิตย์สองอาทิตย์ชาวบ้านจะได้เงิน เสร็จแล้วก็ให้เริ่มปลูกต้นไม้ใหญ่ เพราะความจริงแล้วต้นไม้ใหญ่ดูแลง่ายและได้เงินเยอะกว่าผัก

“แล้วก็มาคิดว่าจะปลูกอะไรต่อดีที่เป็นความต้องการของตลาด แต่ผลผลิตทุกวันนี้ไม่พอ เราก็สนใจกาแฟ เพราะตอนนี้เกิดภาวะโลกร้อน กาแฟทั่วโลกไม่พอ ที่บราซิลกับเวียดนามผลผลิตออกมาน้อยมาก ตอนที่เราเริ่มปลูก กาแฟราคากิโลกรัมละไม่กี่บาท ตอนนี้ราคากิโลกรัมละ 300 บาทแล้ว เราก็จะสังเกตแบบนี้”

การปลูกกาแฟของ Good Goods จึงเริ่มต้นขึ้นที่ภูชี้เดือน จังหวัดเชียงราย ก่อนจะขยายไปยังหลายจังหวัดในภาคเหนือ โดยเน้นการสร้างพื้นที่เรียนรู้ที่ไม่เพียงแค่ปลูกกาแฟ แต่ยังบ่มเพาะการศึกษาและวิชาความรู้ที่นำกลับไปต่อยอดและสร้างวิชาชีพได้จริงในชุมชน

Turn Local Treasures into Good Goods

การเยือนพื้นที่หลายจังหวัดทั่วประเทศทำให้เต้งได้เห็นว่าทุกชุมชนต่างมีของดีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่กลายเป็น pain point สำคัญคือ ชุมชนส่วนใหญ่ล้วนอยากให้ เซ็นทรัล ทำ เข้ามาช่วยโปรโมตและทำการตลาดให้ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการแข่งขันสูงอย่างเชียงใหม่และเชียงราย ซึ่งมีแบรนด์กาแฟรวมกันเกือบ 400 แบรนด์

“เราก็ไม่รู้จะช่วยชุมชนโปรโมตยังไงนะ มันเยอะแยะ ถ้าเราคิดกลับกันว่าอยากทำแบรนด์ยี่ห้อเดียว แล้วทำให้มันดี ไม่ต้องบอกคนซื้อว่ารายได้ทั้งหมดไปให้ชุมชน ให้ซื้อเพราะอยากได้สินค้า แล้วพอกลับบ้านค่อยมารู้ทีหลังว่าคืนกำไรให้ชุมชน 100% ไม่ใช่ให้ซื้อเพราะน่าสงสาร ก็มาคิดต่อว่าจะตั้งชื่อแบรนด์ว่าอะไรดี ชื่อ Good Goods ก็เรียกง่ายดี ทุกคนเรียกได้หมดทั่วโลก” 

ภายใต้แบรนด์ Good Goods มีการแบ่งสินค้าออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ คือ food และ non-food โดยเต้งอธิบายว่า

“food คือ เครื่องดื่ม ชา กาแฟ แล้วก็พวกของกินทั้งหลายแหล่ที่เราเอามาแปรรูป ส่วน non-food จะมีเสื้อผ้า กระเป๋า แอ็กเซสซอรี ฯลฯ แล้วเดี๋ยวเราจะมีหมวด home & furniture ตอนนี้ฝั่ง non-food ค่อนข้างแข็งแรงแล้ว เรากำลังเร่งทำหมวด food อยู่ เพราะของกินจะขายดีกว่า แล้วคนจีนชอบ ซึ่งก็มีหลายบริษัทติดต่อเรามาว่าอยากเอาของกิน Good Goods ไปขายที่เมืองจีน แต่เรายังไม่พร้อม เพราะเพิ่งพัฒนาได้ไม่กี่อย่าง อยากให้มีสินค้าเยอะกว่านี้” 

แนวคิดของแบรนด์ Good Goods ที่เต้งตั้งใจทำคือไม่เดินกลยุทธ์ตามตลาด แต่อยากเน้นสร้างความแตกต่าง โดยเฉพาะเรื่องของนวัตกรรม

“อย่างเซ็นทรัลเนี่ย เราจะคิดเรื่อง innovation เราต้องขายของไม่เหมือนคนอื่น ต้องขายของที่มีความต้องการของลูกค้า ไม่ใช่ขายสิ่งที่ตัวเองอยากขาย” เพราะบ่อยครั้ง ผู้ขายมักมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองชอบ คนอื่นต้องชอบด้วย แต่เมื่อนำมาวางขายจริงกลับไม่เป็นอย่างนั้น สิ่งสำคัญคือผู้ผลิตในชุมชนต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้าและสามารถสร้างความแตกต่างได้ด้วย

แนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นผ่านผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ ของ Good Goods เช่น มันม่วงจากแม่ทา ที่นำมาแปรรูปเป็นมันม่วงชิปส์และทำเป็นรสลาบ หรือแม้แต่การคิดค้นนมอัดเม็ดรสชาเย็นขึ้นมา เพราะไม่อยากขายนมอัดเม็ดแบบเดียวกับที่มีอยู่ทั่วไปในตลาด ทั้งหมดนี้เกิดจากการคิดใหม่ ทำใหม่ ในแบบที่ยังคงคุณค่าท้องถิ่นไว้ครบถ้วน

“เวลาไปที่ไหน พี่ก็จะถามชาวบ้านก่อนว่า ที่ตรงนี้เคยฮิตเรื่องอะไร อย่างตอนไปชัยภูมิ ชาวบ้านบอกมีน้อยหน่ากับ ‘ทุเรียนโอโซน’ ที่ดังมากเลย พี่ก็ถามว่ายังมีอยู่ไหม ลองเอามากินหน่อย ปรากฏว่าลองกัดปุ๊บแล้วอร่อย ชื่อทุเรียนโอโซนมาจากการที่ชัยภูมิอากาศดี มันมีจุดขาย ก็เลยบอกชาวบ้านว่าทำเลย เดี๋ยวพี่ทำการตลาดให้ เอาเรื่องพวกนี้กลับมาเล่าใหม่

“หรืออย่างชาเลือดมังกร จังหวัดเชียงราย ที่มันเคยหายไป ถ้าเอาใบชามาต้มจะกลายเป็นสีทับทิมแดงแจ๋เลย และมีสรรพคุณทางสุขภาพด้วย เราก็ให้ชาวบ้านปลูกเพิ่ม หรือตอนไปบางกระเจ้า เจอมะม่วงอร่อยมาก มันหวานมากและเปรี้ยวมากด้วย พี่ไม่ชอบกินมะม่วงหวานอย่างเดียว มันเลี่ยน เปรี้ยวจี๊ดอย่างเดียวก็ไม่ไหว แต่เผอิญมันทั้งหวานทั้งเปรี้ยวแล้วอร่อย ตอนนี้ก็เลยให้เขาปลูกเพิ่ม จากที่ตอนแรกเหลือไม่กี่ต้น ซึ่งพอหน้ามะม่วงก็ไม่พอขายนะ มาปุ๊บหมดเลย คนแย่งกันซื้อ มันเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ เราก็พยายามเอาของที่เคยดีในตำบลนั้นๆ มาทำใหม่”

Grow What the Land Never Gets Enough of

เต้งกล่าวสรุปหัวใจสำคัญในการเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรว่า ไม่ใช่การทำตามกระแสหรือผลิตสิ่งที่มีอยู่ล้นตลาดอยู่แล้ว เพราะทั้งประเทศไม่ควรปลูกพืชผักผลไม้ชนิดเดียวกันเหมือนเป็นสูตรสำเร็จ หากแต่ควรมองหาสิ่งที่โลกต้องการและยังผลิตไม่เพียงพอ ซึ่งยังมีอีกหลายเรื่องราวจากชุมชนที่สะท้อนให้เห็นว่า การมองเห็นคุณค่าที่ซ่อนอยู่ในผืนดินเล็กๆ สามารถเปลี่ยนชีวิตผู้คนได้จริง

“ตอนไปชัยภูมิ ไปเจอสวนอะโวคาโด ซึ่งอะโวคาโดเนี่ยมีเท่าไหร่ในโลกก็ไม่พอ เพราะอเมริกากับจีนเป็น big consumer เราก็สงสัยว่าทำไมเปรูส่งออกอะโวคาโดไปประเทศจีน มันไกลจัง ทำไมเมืองไทยปลูกไม่ได้ ก็ไปดูหนังสารคดี Netflix เรื่องวงการอะโวคาโด แล้วก็มาพบว่าเราเข้าใจผิดมาตลอดว่าอะโวคาโดต้องอยู่ในที่เย็นๆ ตลอด แต่มันไม่ใช่ คือมันเหมาะกับอีสานนะ เพราะตอนนี้ที่อีสานอุณหภูมิตอนเช้า 16-18 องศา ถึงกลางวันจะร้อนมาก แต่อะโวคาโดต้องการแค่ความหนาวตอนกลางคืนให้ดอกปิดแค่นั้นเอง

“ชาวบ้านก็มาอ่านเฟซบุ๊กพี่ แล้วก็ไปทำตาม ลองปลูกกันดู ปรากฏว่าดี ตอนนี้เริ่มขยายเป็นวิสาหกิจเพื่อชุมชน แค่นี้ก็เวิร์กมาก ทำมา 3 ปีแล้ว รายได้ 40 ล้าน ขายลูกละ 70 บาท แล้วไม่ต้องไปขายที่ไหนเลย คนมาเที่ยวสวนก็ซื้อ ช่วงแรกซื้อมาจากเม็กซิโกในราคาต้นละ 1.2 ล้าน แล้วก็ชำต่อ ตอนนี้ชำได้ประมาณปีละ 3,000 ต้น เอาไปแจกคนจน 2,000 ต้น อีก 1,000 ต้นขายคนรวย ทำเป็นศูนย์เรียนรู้สอนปลูกอะโวคาโด

“ปีแรกมีคนมาเรียน 5,000-6,000 คน ถ้าใครมีสวนที่บ้านจะปลูกแค่ 3-4 ต้นก็ได้ สมมติหนึ่งต้นเฉลี่ยขายได้ราคาต้นละ 10,000-15,000 บาท ปลูก 10 ต้น ก็ได้ 200,000 บาทต่อปีแล้ว กลายเป็นรายได้พิเศษ เราต้องการสอนคนให้มากที่สุด และให้เขาไปทำเอง ชาวบ้านก็จะภูมิใจมากว่าเขาแข็งแรงด้วยตัวเอง  

“นอกจากนี้ก็มีการสนับสนุนชุมชนที่อยุธยาปลูกเมลอน ตอนนี้เริ่มส่งออกสิงคโปร์ทุกเดือน เดือนละ 500,000-700,000 บาท ปีที่แล้วได้ประมาณ 17 ล้าน พอชาวบ้านทำอะไรได้เอง เขาก็จะไม่ค่อยหลงกลนายทุน ไม่ค่อยหลงกลนักการเมือง เพราะว่าเขาเริ่มมีความรู้

“ส่วนที่น่านจะปลูกโกโก้และฟักทอง แม่ทา เชียงใหม่ปลูกมันม่วงญี่ปุ่น ซึ่งมันม่วงนี่ก็กินแล้วดี ช่วยปรับระดับน้ำตาลกับคอเลสเตอรอล คือทุกอย่างที่เราสนับสนุนต้องมีเนื้อเรื่อง ‘กินดี กินเป็นยา’ มีความต้องการในโลกที่ปลูกเท่าไหร่ก็ไม่พอ เราจะไม่ค่อยเห็นข่าวว่าอะโวคาโดขายไม่ได้ราคา ไม่มีหรอก”

Make Local Tourism Bloom

เบื้องหลังแนวคิดการเพิ่มมูลค่าสินค้าในหลายพื้นที่ ไม่ได้จบแค่การสร้างโรงเรียนหรือสอนอาชีพ แต่ยังรวมถึงการสร้างเอกลักษณ์ให้กับแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม โดยเลือกปั้นสถานที่ unseen ของจังหวัดเมืองรอง โดยยึดหลักว่าไม่อยากเปลี่ยนเอกลักษณ์ดั้งเดิม แค่อยากพัฒนาให้ดีขึ้น

หนึ่งในตัวอย่างการพัฒนาที่สำเร็จชัดเจนคือที่จังหวัดตรัง เมื่อเต้งไปเยือนตลาดแห่งหนึ่งและพบผ้าทอนาหมื่นศรี ผ้าโบราณที่มีประวัติเกือบ 400 ปี ซึ่งทอโดยกลุ่มคุณป้าเพียง 8-9 คน ก็เล็งเห็นว่าภูมิปัญญาล้ำค่านี้กำลังจะหายไปหากไม่มีใครสานต่อ จึงต่อยอดเป็นพิพิธภัณฑ์ผ้าทอนาหมื่นศรี ด้วยการขอรับบริจาคผ้าท้องถิ่น จนได้ผ้ามาเกือบ 200 ผืน 

“อยากให้คนเข้ามา แล้วเข้าใจผ้า เข้าใจวิธีทำว่ามันไม่ง่าย เพื่อที่เวลาไปร้านขายผ้าจะได้อยากซื้อ ก็เริ่มขายได้มากขึ้นเรื่อยๆ จากเริ่มต้นปีแรกหลักแสน ก็ค่อยๆ ขยับมาเป็น 2 ล้าน 4 ล้าน 7 ล้าน จนตอนนี้ 10 ล้าน มีช่างทอประมาณ 150 คน แล้วเราก็เอาหลักสูตรทอผ้าไปใส่ในโรงเรียนมัธยมให้เด็กหัดทอ สิ่งที่เราทำคือ เราพยายามรักษาวัฒนธรรมไม่ให้หายไป เลยเป็นที่มาว่าเราเอาผ้าขาวม้านาหมื่นศรีมาทำกระเป๋าแบรนด์ Good Goods ด้วย”

จากตำบลนาหมื่นศรีที่เคยมีเพียงท้องนาและท้องถนนเงียบสงบ หลังจากสร้างพิพิธภัณฑ์ผ้าทอกลับกลายเป็นพื้นที่ที่เริ่มมีชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ชัด มีร้านกาแฟเปิดใหม่ กิจกรรมแคมป์ปิ้ง สวนดอกไม้ โดยมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย ซึ่งช่วยกระจายรายได้และสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานราก

แนวคิดปั้นสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมท้องถิ่นแบบเดียวกันนี้ยังสะท้อนอยู่ในจริงใจมาร์เก็ต จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่ง เซ็นทรัล ทำเป็นผู้อยู่เบื้องหลังตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นจากตลาดผักออร์แกนิก จนกลายเป็นจุดเช็กอินสำคัญของนักท่องเที่ยว

“จริงใจมาร์เก็ตเริ่มจากการขายผักออร์แกนิกก่อน เพราะคนเชียงใหม่ชอบกินผักปลอดสารพิษอยู่แล้ว พอคนจีนเริ่มมาเยอะ เราสังเกตว่าคนจีนไม่ซื้อผัก เลยเอาของกินเข้ามา แล้วพอคนอยากซื้อของทำมือ ก็เพิ่มของทำมือเข้ามาขาย

“ร้านทุกเจ้าที่จริงใจมาร์เก็ตเขาทำเอง ขายเองนะ เราไม่ให้รับมาขายต่อ แล้วเราก็ทำงานกับทุกเจ้าเลย เราสอนเขา โค้ชเขาให้เปลี่ยนดีไซน์ต่างๆ ตอนแรกบางเจ้าขายเสื้อแต่ทำขนาดผิด ทำออกมาแล้วใส่ไม่ได้เลย เราก็แนะนำให้ไปดูขนาดของแบรนด์เนมใหญ่เป็นตัวอย่าง ไม่ต้องไปทำ sizing เอง หรือถ้าทำเสื้อทำมือทั้งตัวทำให้ราคาแพงและใช้เวลาเยอะ ก็ทำมือแค่ส่วนเดียวพอแล้วขายถูกลงมาหน่อย คือทุกคนมีของดีหมดแหละ แต่จะดึงส่วนดีของเขาออกมายังไง ก็ต้องค่อยๆ ดันให้มั่นใจในตัวเอง แล้วแสดงของดีออกมา” 

Strong Brands Are Built on a Strong Core

ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแบรนด์ขนาดใหญ่ในระดับโลก หรือแบรนด์เล็กในระดับชุมชน เต้งก็มองว่าหลักการสำคัญในการสร้างแบรนด์และทำการตลาดไม่ได้ต่างกันเลย

“ในการทำมาร์เก็ตติ้งหรือแบรนดิ้งนะ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า ภาพยนตร์ ถึงจะเป็นคนละธุรกิจ มันก็มีหลักการคิดเดียวกัน คือต้องจับจุดให้ได้ว่า core ของธุรกิจเราคืออะไร ลูกค้าคือใคร จุดเด่นเป็นแบบไหน มันต้องชัด ถ้าเราเริ่มเป๋ เปลี่ยนไปมา แบรนด์เราจะเริ่มงงแล้วเสียเลย มันต้องมองออกว่าอะไรใช่ ไม่ใช่ อย่างพี่มองออกว่า ของอันไหนไม่ใช่สำหรับ Good Goods อันไหนใช้ได้ ไม่ใช่ว่าของทำมือบางอย่างไม่สวยนะ มันโอเคหมด แต่มันตรงกับแบรนด์เราหรือเปล่า ซึ่งมันก็ใช้สัญชาตญาณด้วย”

การมีเซนส์เรื่องความชอบของลูกค้าจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อ Good Goods ต้องต้อนรับลูกค้าหลายกลุ่ม เต้งเล่าอินไซต์ว่าคนไทยมักชอบสินค้าแฟชั่น ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมสินค้าสไตล์เบสิก ทีมงานจึงต้องอาศัยสัญชาตญาณในการออกแบบแต่ละคอลเลกชั่นให้ตอบโจทย์ ทั้งในเรื่องของจำนวน สี และสไตล์สินค้า เพื่อให้สอดคล้องกับความชอบของลูกค้าที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ 

ยิ่งเมื่อฐานลูกค้าเปลี่ยน จากเดิมที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นลูกค้าหลักถึง 90% ก็เริ่มมีคนไทยเข้ามาเป็นลูกค้าหลักมากขึ้นในช่วงโควิด-19 และทุกวันนี้กลุ่มลูกค้าคนไทยเพิ่มขึ้นถึงราว 30-40% ทำให้ต้องจัดหมวดสินค้าให้ตอบโจทย์ทั้งสองกลุ่ม

นอกจากนี้ Good Goods ยังพยายามจัดกลุ่มสินค้าให้เหมาะกับผู้ซื้อแต่ละพื้นที่ด้วย เพราะพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละสาขาก็ต่างกันอย่างชัดเจน เช่น สาขาจังซีลอนที่ภูเก็ต จะมีกลุ่มลูกค้าชาวตะวันออกกลางที่นิยมซื้อของราคาย่อมเยา ขณะที่สาขาในห้าง Central Festival จะเน้นกลุ่มสินค้าราคากลางถึงสูง เช่น กระเป๋าราคาหลักพัน 

ส่วน flagship store ที่ CentralWorld ก็จะมีสินค้าหลากหลายครอบคลุมทุกหมวด โดยออกแบบให้แต่ละสาขามีสัดส่วนสินค้าราว 20% ที่ไม่เหมือนกัน เพื่อตอบโจทย์ความหลากหลายของกลุ่มลูกค้า และยังต้องคำนึงถึงโลเคชั่นของร้านที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยว ซึ่งล่าสุดก็เพิ่งเปิดสาขาใหม่ที่พัทยา พร้อมเตรียมเปิดเพิ่มอีกแห่งที่ Central Dusit ในเร็วๆ นี้

เซนส์เรื่องความชอบของลูกค้ายังรวมถึงการเลือกคอลแล็บกับแบรนด์อื่นที่เหมาะกับ Good Goods ด้วย เพราะเต้งตั้งใจให้แบรนด์นี้เป็นเวทีที่แนะนำดีไซเนอร์ไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล โดยอยากให้คนไทยหันกลับมาใส่ของไทย จึงเกิดแนวคิดในการร่วมมือกับแบรนด์ไทยทั้งเล็กและใหญ่ 

ไม่ว่าจะเสื้อที่ออกแบบร่วมกับแบรนด์ Moo Bangkok และ หมู–พลพัฒน์ อัศวะประภา เจ้าของแบรนด์ ASAVA, คอลเลกชั่นที่ออกแบบร่วมกับแบรนด์ Indigoskin, Janesuda และล่าสุดที่กำลังเตรียมเปิดตัวคือชุดแฟชั่นที่ออกแบบร่วมกับแบรนด์ My Only Sunshine ซึ่งสะท้อนความร่วมสมัยของดีไซน์ไทยในมุมใหม่

เมื่อถามเต้งว่า นอกจากเซนส์ในการมองให้ออกว่าอะไรคือสิ่งที่ ‘ใช่’ แล้ว เขาเองเคยต้องใช้เซนส์เพื่อรู้ว่าอะไร ‘ไม่ใช่’ บ้างไหม ซึ่งก็ได้คำตอบว่า “มันไม่ได้มีสินค้าที่ไม่เวิร์ก มันแค่ไม่ดีเท่าตัวอื่น เพราะเรามีพื้นที่จำกัด สินค้าตัวไหนที่ขายได้น้อย เราก็เปลี่ยน เหมือนเวลาไปซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีสินค้าเยอะมาก ก็ต้องคอยดูอยู่เรื่อยๆ ว่าสินค้าไหนขายไม่ดีก็เอาออก เพราะถ้าสินค้าใหม่จะเข้า มันเข้าไม่ได้”

Bring out the Best in People 

สำหรับ Good Goods ที่ขายสินค้าชุมชน ความท้าทายที่สุดจึงเป็นเรื่องคน ทั้งเรื่องการจัดระบบให้ชุมชนผลิตงานฝีมือได้ตรงเวลา ทำงานร่วมกับชาวบ้านจำนวนมาก ไปจนถึงช่วยเหลือชุมชนแก้ปัญหาการสืบทอดภูมิปัญญา อย่างเช่นสถานการณ์ที่หัวหน้าชุมชนจากไปและยังไม่มีผู้สืบทอด

แม้จะมีความท้าทายมากมาย แต่ความภาคภูมิใจที่สุดในการทำ Good Goods ของเต้งก็คือเรื่องคนเช่นกัน เพราะเบื้องหลังแบรนด์ไม่ใช่แค่การผลิตสินค้าหรือสร้างแบรนดิ้ง แต่เป็นการสร้างโรงเรียน พัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเพาะปลูกทางการเกษตร สร้างคุณภาพชีวิตใหม่ โดยความสุขของคนเบื้องหลังอย่างเต้งในแต่ละครั้งที่ได้เดินทางคือการได้สอนและถ่ายทอดความรู้แก่ชาวบ้าน

คำถามสำคัญคือ ท่ามกลางชุมชนมากมายทั่วประเทศที่เขาและทีมเดินทางไปเยือน อะไรเป็นเกณฑ์ในการเลือกว่าจะเริ่มต้นจากพัฒนาชุมชนไหนก่อน ในเมื่อทั้งประเทศมีของดีมากมายรอให้พัฒนาไม่รู้จบ

คำตอบที่ได้จากเต้งคือเราต้องพิจารณาว่าสามารถ bring out the best จากชุมชนแห่งไหนได้ 

“ความจริง แต่ละครั้งมันเริ่มจากไม่ได้พัฒนาแค่เฉพาะสินค้านะ อย่างเรื่องการปลูกผัก เราก็ต้องไปนั่งคุยกับชุมชนก่อน ว่าเขาเอาด้วยกับเราหรือเปล่า เขาเชื่อเราไหม ไปชุมชน 10 ที่ ชุมชนก็ไม่ได้เชื่อ 10 ที่นะ อาจจะเชื่อเราแค่ 5-6 ที่ แต่เราก็มีโครงการที่จะทำอีกเยอะ ไม่จำเป็นต้องบังคับให้ชาวบ้านทำหมดทุกที่ เราก็เริ่มทำก่อน ปล่อยชุมชนไปก่อน เดี๋ยวเขาก็กลับมาเอง

“แล้วระหว่างพัฒนา เราก็เริ่มสอนเขาว่า มันต้องมี organization chart นะ ต้องมีหัวหน้าชุมชน คนดูแลผลิตภัณฑ์ คนดูแลโลจิสติกส์ อีกคนดูแลการตลาด และชวนเด็กกรุงเทพฯ รุ่นใหม่กลับมาอยู่จังหวัดบ้านเกิด ซึ่งพอเขากลับบ้านแล้วชีวิตก็ดีขึ้น เริ่มเห็นช่องทางในการทำมาหากิน เพราะค่าครองชีพถูกกว่าเยอะ ถึงแม้ว่ารายได้จะไม่เท่ากรุงเทพฯ แต่ว่ามีเงินเหลือ”

อีกหนึ่งตัวอย่างที่ประทับใจและสร้างอิมแพกต์ชัดเจนคือการสนับสนุนการสร้างอาชีพให้กลุ่มคนพิการ
“เคยไปที่อุดรธานี เจอกลุ่มคนพิการสานตะกร้าที่ใช้ในตลาดอยู่ราว 10 คน ตอนแรกเขาไม่อยากทำตะกร้าให้เรา เขาบอกเขาทำของเขาเองสวยกว่า ก็เริ่มจากชวนเขาด้วยการซื้อตะกร้า 100 ใบ สร้างระบบให้เขารวบรวมกลุ่มคนพิการเอง

“จากวันนั้นถึงวันนี้ ตอนนี้มีคนพิการไม่พอ ต้องชวนคนที่ดูแลคนพิการมาทำด้วย รวมกลุ่มผู้สูงอายุมาช่วยด้วย ประมาณ 400 กว่าคน ปีที่แล้วได้ 27 ล้าน เฉลี่ยได้คนละ 20,000-50,000 บาท ซึ่งเขาภูมิใจมากเลย
เขาบอกว่าตอนนี้ตัวเขาไม่ได้เป็นภาระครอบครัวแล้ว เลี้ยงครอบครัวได้ เราก็ดีใจที่คนพิการได้ออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านได้ แล้วเราก็เอากำไรไปปรับปรุงสถานที่ ทำทางเดินสำหรับรถเข็น และซื้อรถเข็นใหม่ให้คนพิการ  

“ทุกจังหวัด ทุกพื้นที่มีเสน่ห์หมด เพียงแต่เราจะดึงมันออกมายังไง” คือคำตอบว่าทำไม Good Goods จึงไม่เคยเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงชุมชนตามใจอยาก แต่เริ่มจากเชื่อในศักยภาพที่ชุมชนมีอยู่แล้ว สนับสนุนให้ผู้คนเห็นคุณค่าของตัวเองในแบบที่ตัวเขาเองไม่เคยเห็นมาก่อน จนสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากรากแห่งภูมิปัญญา กลายเป็นชุมชนตัวอย่างที่เป็น best version ในแบบของแต่ละท้องถิ่น 

แชตถามคำถามคาใจ กับ ไก่–ณฐพล บุญประกอบ ผู้กำกับซีรีส์จาก Netflix เรื่อง ‘สงคราม ส่งด่วน’

ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา หลายคนอาจได้ยินเสียงบิดของรถมอเตอร์ไซค์มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเสียงที่มาจาก ‘สงคราม ส่งด่วน’ ซีรีส์กระแสแรงที่เล่าถึงจุดเริ่มต้นของสตาร์ทอัพหมื่นล้าน และแง่มุมต่างๆ ของธุรกิจขนส่งพัสดุด่วนในไทย ที่ทำให้หลายคนอินจัดจนอยากลุกไปถอนขนไก่กันเป็นแถว

ด้วยความที่อินเหมือนกัน และหลังจากซีรีส์นี้กลายเป็นปรากฏการณ์สำคัญของแวดวง เราเลยอยากคุยกับ ไก่–ณฐพล บุญประกอบ ผู้กำกับ ถึงบางคำถามคาใจและบางแง่มุมธุรกิจจากซีรีส์เรื่องนี้ ซึ่งทีแรกก็อยากบิดมอเตอร์ไซค์ไปหา แต่ลืมไปว่ายังไม่มีใบขับขี่ เราเลยขอคุยกันผ่านแชตแล้วแคปมาให้ทุกคนอ่านกันในคอลัมน์ Cap. Chat นี้แทนแล้วกัน

Capital : ก่อนจะทำซีรีส์เรื่องนี้ คุณมองธุรกิจนี้ยังไงบ้าง

Nottapon : ก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ เป็นแค่ธุรกิจหนึ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวัน เราก็ใช้บริการไปตามสภาพของมัน ไม่ได้รู้สึกถึงการแข่งขันอะไร เพราะในชีวิตเราไม่ได้สนใจเรื่องธุรกิจขนาดนั้น

Capital : อะไรที่ทำให้ตัดสินใจว่าจะต้องเล่าธุรกิจนี้ออกมาเป็นซีรีส์ให้ได้

Nottapon : ทีแรกพี่เก้ง (จิระ มะลิกุล) กับพี่วัน (วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์) เขาไปเจอคลิปสัมภาษณ์ของคนต้นเรื่องมา รู้สึกว่าน่าสนใจก็เลยส่งเราไปสัมภาษณ์เพื่อมาทำซีรีส์ ตอนไปสัมภาษณ์ครั้งแรกเราก็เตรียมตัวดูคลิปไป ก็รู้สึกว่าในคลิปเขาก็สนุกดี CEO หมื่นล้านกับกลยุทธ์การฟาดฟันในสนามธุรกิจ การเป็นเด็กดอย ดูน่าสนใจดี แต่พอไปสัมภาษณ์จริงๆ คือพีคมาก คุยกันรวดเดียว 4 ชั่วโมง สิ่งที่ไม่ได้เล่าในรายการมันเยอะมาก แล้วก็เป็นการเล่าแบบจริงใจสุดๆ ดิบสุดๆ นั่นคือสิ่งที่ประทับใจ มันคือปากคำจาก CEO หมื่นล้านที่เล่าเหมือนเด็กแว้นแถวบ้านเราเลย 

ความรู้สึกที่ชอบอีกอย่างคือ พอคุยกันเสร็จเขาลงมาส่งเราข้างล่าง แล้วบอกว่า “โปรเจกต์นี้ถ้าไม่เกิดก็ไม่เป็นไรนะ กูกับมึงเป็นเพื่อนกัน” แล้วก็ให้ภาพสีน้ำมันมาภาพหนึ่ง เราก็แบบคนคนนี้มันอะไรวะเนี่ย รีบโทรไปบอกพี่เก้งพี่วันว่าคนนี้แม่งพีคสุดๆ ซึ่งก็เป็นความรู้สึกที่เราพยายามจะเก็บเอาไว้ แล้วก็เอามาทำเป็นหนัง

Capital : เส้นแบ่งระหว่างเรื่องจริงเรื่องแต่ง มีอะไรที่ต้องระมัดระวังมั้ย 

Nottapon : เราไม่ได้ทำหนัง based on true story เราไม่ต้องระวังอะไร สิ่งที่เราทำคือ inspired by true story เรียกว่าเป็นแรงบันดาลใจในการเอามาโม้มากกว่า

มันคือเรื่องแต่งที่เราคุยแล้วว่าเราขอเอาส่วนหนึ่งของชีวิตคุณมาปู้ยี่ปู้ยำ เราอยากทำให้มันสนุกโดยหยิบเอาชิ้นส่วนที่มันสนุกและเวิร์กจากคนต้นเรื่องมาเป็นตัวตั้ง โชคดีที่สิ่งที่เราสนใจในชีวิตเขามันมีโครง ต้น กลาง จบ อยู่ประมาณหนึ่ง

แล้วเราก็ใส่ไข่เข้าไประหว่างทาง แต่ไข่ที่เราใส่เข้าไปมันจะไม่หลุดไปจากภาพใหญ่อยู่แล้ว มันไม่ใช่แบบไปปล้นธนาคารแล้วเอาเงินมาทำธุรกิจ อันนั้นมันก็โม้ไป ความยากอย่างหนึ่งคือมันโม้ก็จริง แต่มันต้องโม้อยู่บนเส้นความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นได้ ถ้าหลุดเส้นนี้ไปมันจะไม่เวิร์ก คนจะไม่เชื่อ แล้วมันจะพัง ความ inspired by true story มันก็มีขอบเขตของมันอยู่ แต่จะไม่เท่า based on true story ที่มันจะต้องเคารพเรื่องจริงของชีวิตมากกว่านี้ ซึ่งเราไม่ได้ทำสิ่งนั้น

Capital : ถึงจะบอกว่าเป็นซีรีส์ inspired by true story แต่ถ้ามีคนคิดว่ามันเป็นเรื่องจริงทั้งหมด คุณรู้สึกยังไง

Nottapon : ไม่ได้รู้สึกอะไร ก็ไม่แปลกที่คนจะเข้าใจผิดได้ แต่ถ้าเรามีโอกาสพูด ก็จะพยายามอธิบายความแตกต่างระหว่าง based on true story ที่ยึดโยงกับข้อเท็จจริง กับ inspired by true story ที่เหมือนการได้ฟังเรื่องสนุกๆ แล้วเราเอามาแต่งเติมใส่ไข่ต่อเองมากกว่า

Capital : อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดของการทำซีรีส์เรื่องนี้

Nottapon : ยากหมดเลย ไม่รู้จะเริ่มจากอะไร 555

เราเขียนบทอยู่สองปี โคตรนาน ความยากคือการที่ต้องมาเติมเต็มความเป็นเรื่องแต่งลงไปในเรื่องจริงที่เรามีอยู่แล้ว แคสติ้งก็ยาก ตัวหลักสามคนนี่จะเอาใครมาเล่นวะ โปรดักชั่นทีแรกก็คิดไม่ออกว่าถ่ายยังไง 

เหมือนเราเข้าโรงเรียนเลย มีพี่เก้งพี่วันช่วยนำ เราเข้ามาเพื่อเรียน เพราะเราคิดไม่ออกเลยว่ามันต้องทำยังไง ทำได้แค่ดันไปข้างหน้า มองระยะสั้นอย่างเดียว วันนี้ต้องทำอะไรวะ วันนี้จะรอดมั้ยวะ ใช้คำว่าหนีตายทุกวัน

Capital : การเป็นผู้กำกับสารคดีมาก่อน ช่วยในการทำซีรีส์เรื่องนี้ยังไงบ้าง

Nottapon : จริงๆ มันเริ่มตั้งแต่วันแรกที่เราได้ไปสัมภาษณ์ พี่วันบอกว่าที่เขาชวนเราเพราะเราน่าจะเอาเรื่องเล่าออกมาจากคนต้นเรื่องได้ดี เพราะสกิลการฟังของเราอาจจะช่วยในสิ่งนี้ได้

อีกอย่างคือพอเราทำสารคดีแล้ว เราจะยึดติดกับความ realistic มาก คือเราจะไม่ค่อยชอบถ่ายกับ green screen หรือทำ CG เยอะๆ ทำอะไรก็ต้องจริงเพราะเราต้องเชื่อก่อน แบบพร็อปนี้คืออะไร หนังสือที่อ่านคือเรื่องอะไร บ้านที่อยู่เป็นยังไง มันจะช่วยในการเล่าเรื่องยังไงได้บ้าง มันก็เลยต้อง realistic มาก เราอาจจะยึดติดกับสิ่งนี้มากๆ ด้วยแหละ ติดจากการทำสารคดีมา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นภาระคนทำงานหรือเปล่า 555

Capital : การทำซีรีส์เรื่องนี้เราต้องเรียนรู้เรื่องธุรกิจมากน้อยแค่ไหน

Nottapon : เวลาเราไปรีเสิร์ชที่บริษัทขนส่ง เขาจะบอกว่าทีมเรารู้เยอะจนไปเปิดขนส่งเองได้แล้ว เพราะเราจำเป็นต้องรู้แหละว่าลอจิกของธุรกิจนี้คืออะไร องค์ประกอบของธุรกิจนี้มันต้องมีอะไรบ้าง เรื่องดีไซน์ต้องเป็นแบบไหน หรือบทที่พูดมันต้องเมคเซนส์ มันก็เป็นเรื่องเบสิกของหนังทุกเรื่อง ถ้าจะทำเกี่ยวกับวิชาชีพอะไรมันก็ต้องรู้ถึงจะเล่าออกมาได้ ไม่งั้นคนดูก็จับได้แหละว่ามันผิวเผิน

Capital : เคล็ดลับธุรกิจ 1 อย่างที่คุณได้รู้หลังจากทำซีรีส์เรื่องนี้

Nottapon : คนเรามีเวลาเท่ากัน เราก็ต้องเลือกเป้าหมายให้ดีว่าเราจะถอนขนไก่หรือถอนขนนกกระจอก หรือถ้าเราไม่ยอมแพ้เราก็จะไม่มีวันแพ้ จริงๆ ก็ยกบทพูดในซีรีส์มาพูดได้หมดเลย 555

Capital : หลังทำซีรีส์เรื่องนี้จบ มุมมองต่อธุรกิจนี้ของคุณเปลี่ยนไปจากช่วงก่อนทำยังไงบ้าง

Nottapon : ก็เข้าใจมันมากขึ้นนะ เข้าใจกลไก เข้าใจสถานการณ์ของตลาดขนส่ง แล้วก็รู้ต้นสายปลายเหตุในความเป็นไปของมันมากขึ้น 

อีกอย่างที่ได้รู้คือพวกเคสต่างๆ แบบส่งวันละแสนชิ้นต้องเจออะไรบ้างวะ เป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในซีรีส์แต่ก็สนุกดี เอาไปสร้างได้อีก 2-3 เรื่องเลย

Capital : ชีวิตช่วงนี้ อะไรคือเรื่องด่วนที่สุดสำหรับคุณ

Nottapon : ช่วงนี้ออกกองซีรีส์อยู่ ซึ่งเกือบเสร็จแล้วเพราะต้องถ่ายให้ทันแพลนที่วางไว้ อันนี้คือด่วนสุด

Capital : หากต้องเลือกของเพื่อส่งด่วนให้สันติหนึ่งชิ้น คุณอยากส่งอะไรให้เขา 

Nottapon : ส่งคุกกี้ไปให้กินแล้วกัน จะได้คิดถึงบ้าน

Cap. Chat คือคอลัมน์ใหม่เอี่ยมของ Capital ที่ตั้งใจส่งข้อความไปพูดคุยไถ่ถามกับผู้คนในแวดวงต่างๆ ถึงประเด็นที่น่าสนใจหรือบางคำถามคาใจของพวกเรา แล้วแคปข้อความเหล่านั้นมาส่งต่อให้ผู้อ่านได้รับรู้ไปด้วยกัน

คุยกับนายกฯ ภูฏานถึงเบื้องหลังสมญานามประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกและแผนพัฒนาเมืองแห่งสติ

ณ ประเทศที่ไม่มีสัญญาณไฟจราจร ไม่มีบิลบอร์ดริมถนน มีเพียงทิวทัศน์ของชนบทที่เรียบง่าย ภูมิประเทศเต็มไปด้วยทุ่งนา วัดโบราณ และขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านต่างเคารพบูชา ที่นี่คือภูฏาน ดินแดนที่ดูเหมือนหยุดเวลาไว้เพื่อรักษาความงดงามของวิถีชีวิตดั้งเดิม แต่กลับมีความลึกลับอันมีเสน่ห์อย่างประหลาดจากโรงแรมที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาและร้านขายของที่ระลึกกับงานฝีมือแสนประณีต

ที่นี่คือแผ่นดินของผู้เลี้ยงจามรี ปกครองโดยระบอบกษัตริย์ที่ยังคงมีบทบาทอย่างมั่นคงควบคู่กับนักปราชญ์ พระอาจารย์ รินโปเช ลามะ และพระชั้นผู้ใหญ่ วิถีชีวิตประจำวันเต็มไปด้วยเสียงเพลงสวด คำกล่าวมนต์ เครื่องสักการะ พิธีกรรมและการบูชาเทพเจ้า

เมืองหลวงอย่างทิมพูในวันอาทิตย์ไม่มีคนพลุกพล่านมากนัก เมื่อเอ่ยถามคนภูฏานว่าทำไมถึงไม่มีคนออกมาเดินเล่นช้อปปิ้งที่เมืองในวันหยุด ก็ได้รับคำตอบว่าคนที่นี่มักใช้เวลายามว่างปิกนิกท่ามกลางธรรมชาติ

ภูฏานเป็นประเทศเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในเทือกเขาหิมาลัยตะวันออก ระหว่างสองมหาอำนาจอย่างอินเดียและจีน แม้ตำแหน่งที่ตั้งอาจดูเปราะบางในทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ค่านิยมของประเทศกลับแข็งแกร่งอย่างน่าทึ่ง และยังเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเทือกเขาสูงบริสุทธิ์ (Purity Mountain) ซึ่งไม่เคยมีผู้พิชิตมากที่สุดในโลก

ไม่ใช่แค่เพราะความเชื่อทางจิตวิญญาณที่ทำให้ภูเขาที่นี่ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่เพราะกลยุทธ์หลักในการต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติของประเทศนี้ยึดหลัก ‘high value, low volume’ ที่ส่งเสริมความยั่งยืน นั่นคือการเน้นนักท่องเที่ยวคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณ โดยเก็บค่า Sustainable Development Fee (SDF) จากนักท่องเที่ยววันละ 100 ดอลลาร์สหรัฐ นอกจากค่าวีซ่าเข้าประเทศเพื่อนำมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งทำให้ภูฏานสามารถปกป้องทรัพยากรทางธรรมชาติไว้ได้อย่างเงียบสงบ ในขณะที่ประเทศอื่นอาจยกภูเขาขึ้นขายเป็นสินค้าทางการท่องเที่ยว

สื่อทั่วโลกยังลงข่าวความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness: GNH) ของภูฏาน
ที่เรียกได้ว่าเป็นปรัชญาการพัฒนาประเทศซึ่งสวนทางกับการวัดผลการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือ GDP (Gross Domestic Product) ของประเทศอื่นทั่วโลก

ในวันที่ภูฏานเตรียมแผนพัฒนาเมืองและต้อนรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น เราถือโอกาสนี้ชวนทุกคนร่วม
ทริป ขึ้นเครื่องบินสายการบิน Drukair ของภูฏาน เดินทางไปชมจิตวิญญาณของดินแดนมังกรสายฟ้าแห่งนี้ผ่านบทสนทนาเปี่ยมวิสัยทัศน์กับผู้นำประเทศด้วยกัน

The Development Philosophy of a Soulful Nation 

Tshering Tobgay นายกรัฐมนตรีภูฏาน เล่าจุดเริ่มต้นของการที่ประเทศได้รับการขนานนามเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกว่า ผู้ริเริ่มกรอบแนวคิดเชิงนโยบายนี้คือสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก (Jigme Khesar Namgyel Wangchuck)

“หลักปรัชญาความสุขมวลรวมประชาชาติ (GNH) เป็นแนวทางที่สร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางสังคม การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การรักษาวัฒนธรรม และการบริหารที่ดี ในช่วงห้าทศวรรษที่ผ่านมา ภูฏานประสบความสำเร็จอย่างมากในทุกด้านเหล่านี้ แม้ว่าเศรษฐกิจของเรายังมีขนาดเล็ก แต่ก็เติบโตอย่างมั่นคง เศรษฐกิจของเราเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยั่งยืน และเป็นธรรม ด้านสังคม เราพัฒนาประเทศอย่างมากให้ประชาชนของเราทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาและบริการสุขภาพได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เรามีระบบสวัสดิการที่ดีมาก ทำให้สังคมของเรามีความก้าวหน้าอย่างมาก ประเทศเรามีวัฒนธรรมที่ยังคงมีชีวิตชีวา เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเราและยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้านสิ่งแวดล้อม ภูฏานเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยิ่ง และยังเป็นประเทศที่มีคาร์บอนสุทธิเป็นลบ (carbon negative)”

อย่างไรก็ตาม Tshering Tobgay กล่าวว่าความสำเร็จในการนำหลักความสุขมวลรวมประชาชาติมาใช้ ก่อให้เกิดความท้าทายใหญ่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นของประชาชน การบริหารจัดการทรัพยากรอย่างจำกัด และการปรับตัวเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งล้วนเป็นโจทย์สำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ 

“พอเยาวชนของเราทุกคนได้โอกาสเรียนหนังสือ ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพดี รวมถึงการที่เราใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการเรียนการสอนซึ่งทำให้สื่อสารภาษาอังกฤษได้ทุกคน คนภูฏานรุ่นใหม่จึงมีศักยภาพในการทำงานในประเทศที่เศรษฐกิจพัฒนาแล้ว ซึ่งให้ค่าตอบแทนสูงกว่าภูฏานอย่างมาก

“แนวทางแก้ปัญหาคือ แม้เศรษฐกิจของเราจะเติบโตมาโดยตลอด แต่วันนี้เราจำเป็นต้องเร่งการเติบโตให้เร็วยิ่งขึ้น เพื่อให้เยาวชนของเราสามารถหางานที่ดีในประเทศได้ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศ และคนที่ทำงานต่างประเทศจะได้อยากกลับมาทำงานในภูฏาน”

อุตสาหกรรมหลักแห่งอนาคตของประเทศภูฏานไม่ได้มีแค่ภาคการท่องเที่ยว ภาคบริการ ภาคเกษตรกรรมอินทรีย์และผลิตภัณฑ์เกษตรเท่านั้น แต่ยังเน้นพัฒนาธุรกิจพลังงาน ไปจนถึงเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่าง computing power, บล็อกเชน และเทคโนโลยีสารสนเทศ ควบคู่กับการพัฒนาธุรกิจในอุตสาหกรรมสุขภาพ จิตวิญญาณ และการอนุรักษ์ธรรมชาติ จึงไม่น่าแปลกใจว่าประเทศที่มีเมืองวิวชนบทอย่างภูฏานจะมีข่าวเรื่องการพัฒนา green bitcoin ออกสื่อทั่วโลก

ด้วยความเป็นประเทศเล็กที่ตั้งอยู่ท่ามกลางประเทศมหาอำนาจ ภูฏานจึงมีความสัมพันธ์ทางการทูตอันดีกับเพื่อนบ้าน ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือประเทศไทย

“ความสัมพันธ์ของเรากับทุกประเทศอยู่ในเกณฑ์ดีมาก เราไม่มีปัญหากับประเทศใดเลย กับจีน ความสัมพันธ์ของเราเป็นไปด้วยมิตรภาพอันดี ส่วนกับอินเดียนั้นก็ดีมาก และถือเป็นแบบอย่างของมิตรภาพระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ตั้งแต่ปี 1947 ที่อินเดียได้รับเอกราชมาจนถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์ของเรากับอินเดียก็พัฒนาอย่างต่อเนื่องทุกปี ในปัจจุบัน มิตรภาพระหว่างรัฐบาลและประชาชนของสองประเทศยังคงแข็งแกร่ง และจะดำเนินต่อไปอย่างมั่นคงแน่นอน ส่วนกับประเทศไทย ความสัมพันธ์ก็ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตอนนี้ยอดเยี่ยมมาก โดยมีรากฐานอยู่ในมิตรภาพระหว่างสองราชวงศ์

เรามีข้อตกลงการค้าเสรีกับอินเดีย ซึ่งคิดเป็นกว่า 80% ของการค้าทั้งหมดของภูฏาน ดังนั้นนักลงทุนที่มาลงทุนในภูฏานจะสามารถเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ของอินเดียได้ทันที นอกจากอินเดีย เรายังมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเนปาลและบังกลาเทศ และที่สำคัญ ล่าสุดเราเพิ่งลงนามข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศไทย”

หลักฐานของมิตรภาพอันดีนั้นพบเห็นได้จากตัวอย่าง เช่น นโยบายสินค้า OGOP (One Gewog One Product) ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก ‘หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์’ (OTOP) ของประเทศไทย โดยสินค้าชุมชนโดดเด่นในภูฏานมีหลากหลายตั้งแต่พริก น้ำผึ้ง น้ำผลไม้ ไวน์ แยม ยาและสมุนไพร เครื่องหอม ไปจนถึงชา ฯลฯ 

Futuristic Vision of
Mindfulness City  

โดยปกติแล้วนักท่องเที่ยวที่มาเยือนภูฏานมักแวะเมืองสำคัญอย่าง พาโร (Paro) เมืองที่รุ่มรวยวัฒนธรรม, ทิมพู (Thimphu) เมืองหลวงปัจจุบัน กับพูนาคา (Punakha) เมืองหลวงเก่าที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน 300 ปี และขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองโรแมนติก

แต่ด้วยวิสัยทัศน์การพัฒนาเมืองแห่งอนาคตอันยิ่งใหญ่ของประเทศนี้ วันนี้จึงอยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับเกเลพู (Gelephu) เมืองแห่งสติที่กำลังอยู่ในแผนพัฒนาเมือง โดยมุ่งหวังให้เป็นแหล่งบ่มเพาะธุรกิจและนวัตกรรมใหม่ที่ยังคงหยั่งรากอยู่บนธรรมชาติและวัฒนธรรมดั้งเดิม เมืองที่ธรรมชาติได้รับการส่งเสริม และประเพณีได้รับการอนุรักษ์ โดยพัฒนาความทันสมัยทางสถาปัตยกรรมและเทคโนโลยีควบคู่กันไป

ณ วันที่เหยียบเมืองเกเลพู พื้นที่แห่งนี้ยังเป็นเมืองชนบทเต็มไปด้วยทุ่งหญ้า ก้อนกรวด และแม่น้ำที่ดูเหมือนยังไม่เคยมีนักท่องเที่ยวย่างกรายมาก่อน Tshering Tobgay กล่าวว่า การตั้งวิสัยทัศน์การพัฒนาเมืองนี้มาจากพระมหากษัตริย์ของพวกเขาอีกเช่นกัน 

“ในขณะนี้ Gelephu Mindfulness City มีสถานะเป็นเขตการปกครองพิเศษซึ่งมีความเป็นอิสระทั้งในด้านโครงสร้างกฎหมาย ระบบราชการ และตุลาการ ซึ่งเปรียบได้กับระบบ ‘หนึ่งประเทศ สองระบบ’ (One Country, Two Systems) ทำให้เมืองนี้สามารถมีระบบบริหารของตนเองอย่างเป็นอิสระ เมื่อมองไปยังอนาคตข้างหน้า ในฐานะเขตการปกครองพิเศษ เกเลพูจะมีกฎหมายของตนเอง ซึ่งช่วยดึงดูดธุรกิจและการลงทุนสู่เมืองนี้ โดยเราหวังว่า เกเลพูจะเป็นประตูเชื่อมต่อกับอินเดียและเอเชียใต้ รวมถึงทวีปเอเชียที่เหลืออย่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

หากใครไม่เข้าใจว่าการบริหารแบบ ‘หนึ่งประเทศ สองระบบ’ เป็นยังไง ให้ลองนึกถึงฮ่องกงที่เป็นเขตบริหารพิเศษโดยรัฐบาลจีนเพื่อการปกครองตนเองอย่างเป็นอิสระ และสำหรับเมืองอย่างเกเลพูที่มีโร้ดแมปการเติบโตที่พิเศษ จึงต้องการรูปแบบการบริหารอิสระที่เหมาะสมกับพื้นที่ “ตอนนี้การพัฒนาเมืองเริ่มต้นขึ้นแล้ว เรามีกฎหมายของตนเอง มีระบบการบริหาร การเงิน และธนาคารของตัวเอง ธุรกิจสามารถจดทะเบียนและเริ่มดำเนินงานใน Gelephu Mindfulness City ได้แล้ว พร้อมกับได้รับประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่เตรียมไว้

“ความแตกต่างสำคัญจากเมืองอื่นๆ อย่างแรกคือขนาดของเมือง เกเลพูมีพื้นที่ 2,500 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมากกว่าสิงคโปร์ถึงสามเท่า ประการต่อมาคือการเป็นเมืองที่มีจุดเด่นด้านความยั่งยืน สร้างขึ้นบนหลักการของความยั่งยืนและความกลมกลืนกับธรรมชาติ มากกว่า 70% ของเมืองเป็นป่าไม้และเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีคาร์บอนสุทธิเป็นลบ เรียกได้ว่าเป็นเมืองใหญ่เพียงแห่งเดียวในโลกที่มีคุณสมบัติเป็น carbon negative city แบบนี้

“บริษัท Bjarke Ingels Group: BIG จากเดนมาร์กได้ออกแบบผังเมืองและภาพรวมเชิงสถาปัตยกรรมของเมืองแล้ว ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางไปทั่วโลก ขณะนี้เรากำลังเริ่มดำเนินการในพื้นที่เฉพาะ โดยสนามบินนานาชาติเป็นโครงการสำคัญลำดับแรก คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปีนี้ และแล้วเสร็จภายใน 4 ปี เรากำลังพัฒนาเส้นทางหลวงและสะพานสำคัญหลายแห่ง รวมถึงเร่งพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (hydropower) ที่มีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าได้ถึง 5,000 เมกะวัตต์”

Dasho Dr. Lotay Tshering ผู้เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีแห่งภูฏานและดำรงตำแหน่ง Governor of Gelephu Mindfulness City ชี้ให้เราดูทัศนียภาพจากมุมที่วิวสวยที่สุดของเมือง ณ วันนี้พื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยธรรมชาติ และวันข้างหน้าเมืองแห่งอนาคตที่ทันสมัยขึ้นก็จะยังคงยึดหลักออกแบบเมืองที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติต่อไปเช่นเดิม

เมืองแห่งอนาคตนี้ออกแบบโดยอิงจากรูปทรงสายน้ำ เป็นแผ่นดินแห่งสะพานที่เชื่อมต่อไปยังสถานที่สำคัญอย่างสนามบินแห่งใหม่ มีศูนย์จิตวิญญาณแบบวัชรยาน (Vajrayana) ศูนย์สุขภาพที่ประยุกต์ระหว่างศาสตร์แพทย์ตะวันออกและตะวันตก มหาวิทยาลัย ศูนย์วัฒนธรรม ตลาด โรงเรือนปลูกพืช และเขื่อนพลังน้ำที่ออกแบบท่ามกลางภูมิทัศน์ที่ลดหลั่นเป็นชั้นๆ ราวกับถ้ำเสือแห่งศตวรรษที่ 21

ย่านที่อยู่อาศัย 11 เขตถูกออกแบบให้มีผังสมมาตรตามหลักมันดาลา (Mandala) โดยมีการสร้างนาข้าวตลอดแนวแม่น้ำและลำธารที่ไหลผ่านพื้นที่ คำนึงถึงปัญหาน้ำท่วมในฤดูมรสุมและความหลากหลายทางชีวภาพ สร้างเส้นทางคมนาคมในคอนเซปต์ inhabitable bridges ที่สอดคล้องกับหลักความสุขมวลรวมประชาชาติ (GNH) เช่น ถนนสายเล็กๆ ที่ปูด้วยวัสดุซึมน้ำได้และยืดหยุ่นต่อสภาพแวดล้อม และยังมีแผนดึงดูดนักท่องเที่ยวในอนาคตด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เช่น น้ำพุร้อนและอุทยานแห่งชาติ กิจกรรมแอดเวนเจอร์ทางธรรมชาติ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแก่นแท้ในการพัฒนาเมืองคือแนวคิดที่ว่าธรรมชาติคือสิ่งมีชีวิตที่มีลมหายใจ คำว่า ‘compassion’ หรือการแผ่เมตตากรุณาสำหรับชาวภูฏานจึงเป็นการคำนึงถึงสรรพชีวิตและธรรมชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ไม่ใช่แค่เพื่อนมนุษย์เท่านั้น ซึ่งช่วยส่งเสริมให้เกิดการปกป้องอนุรักษ์แหล่งธรรมชาติและการเคารพบูชาเทพที่คอยปกปักรักษาธรรมชาติไว้ด้วย

เมืองเกเลพูแห่งนี้จึงต้องการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติที่มีมายด์เซต ‘invest with purpose’ คือมุ่งหวังจะทำธุรกิจด้วยค่านิยมของความยั่งยืน ความกลมกลืน ใส่ใจมิติทางจิตวิญญาณ และมองเห็นความสำคัญของความสุขมวลรวมประชาชาติที่สอดคล้องกับหลักการของประเทศ 

Follow Cultural Paths 

ในมิติทางศาสนา ชาวภูฏานนับถือพุทธศาสนานิกายวัชรยานซึ่งมีความแตกต่างจากพุทธนิกายเถรวาทที่คนไทยนับถือกัน หลักการของเถรวาทคือฝึกจิตให้ว่างด้วยการละทุกอย่าง แก่นของวัชรยานกลับเป็นวิถีปฏิบัติตรงกันข้ามด้วยการเชื้อเชิญให้เราฝึกสติเพื่อตื่นรู้อยู่กับปัจจุบันแบบไม่ยึด ไม่ปฏิเสธ ไม่ปรุงแต่ง ไม่พยายามทำให้ว่างเปล่าแบบตัดทุกสิ่ง แต่ใช้ทุกปรากฏการณ์เป็นกระจกสะท้อนธรรมชาติแท้ของจิต

ในความเงียบสงบของเมืองเล็กๆ ที่ล้อมรอบด้วยทุ่งนาและขุนเขา ทุกซอกมุมของเมืองสะท้อนความเชื่อผ่านสัญลักษณ์แห่งศรัทธาของดินแดนทิเบตที่ขลังและน่าเกรงขาม ตั้งแต่ภาพเพนต์ศิวลึงค์ (Phallus) ตามวัดและบ้านเรือน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และโชคดี ไปจนถึงศิวลึงค์ไม้แกะสลักที่ขายในร้านของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว 

คำว่า ‘วัฒนธรรม’ ในภาษา ภูฏาน เรียกว่า lamsol แปลว่า following a path ซึ่งสื่อความหมายว่า วัฒนธรรมไม่ใช่เพียงสิ่งที่ถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ แต่เป็นจิตวิญญาณในชีวิตประจำวันที่สะท้อนผ่านความเชื่อทางศาสนา และวัฒนธรรมความเป็นอยู่ เป็นเส้นทางที่ไม่ได้สร้างไว้ให้เดินตาม แต่ชวนให้เราร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทาง

ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติภูฏาน (National Museum of Bhutan) ณ เมืองพาโร การมีโอกาสได้เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสูงสุดของป้อมปราการและชมวัตถุโบราณจากวันวานในห้องชั้นใต้ดิน ทำให้รู้สึกเหมือนได้เดินวนย้อนเข้าไปในบทเกริ่นประวัติศาสตร์ของภูฏาน ตั้งแต่จุดเริ่มต้นแห่งอาณาจักร จวบจนยุคปัจจุบันที่ยังหายใจร่วมกับภูเขา สายลม และเสียงสวดมนต์

เมื่อก้าวออกมาสูดลมหายใจของขุนเขานอกพิพิธภัณฑ์ การเดินเท้าผ่านป่าเขาและลำห้วยตามเส้นทางไปยัง วัดทักซัง (Taktsang Monastery) หรือ The Tiger’s Nest วัดศักดิ์สิทธิ์หลังคาสีทองสว่างโดดเด่นที่ตั้งอยู่ริมหน้าผาสูงกว่าระดับน้ำทะเลมากถึง 3,120 เมตร ให้ความรู้สึกดั่งได้เดินย้อนเวลาไปสัมผัสตำนานเก่าแก่เมื่อครั้ง ‘คุรุรินโปเช’ หรือพระคุรุปัทมสัมภวะเลือกทำสมาธิที่ถ้ำบนหน้าผาสูง ก่อนจะจำแลงเป็นเทพขี่หลังเสือเพื่อปราบวิญญาณชั่วร้ายให้หมดสิ้น โดยตลอดทางก่อนถึงวัดทักซังจะพบกองหิน (stone balancing) และเจดีย์จิ๋วเรียงราย รวมถึงกงล้อมนตรา (prayer wheel) สำหรับสวดมนต์และทำสมาธิ จากความเชื่อของคนภูฏานที่ว่า การหมุนกงล้อมนตราหนึ่งรอบจะเท่ากับการสวดมนต์หลายพันบทหลายพันครั้ง

หากมุ่งหน้าไปยังเมืองพูนาคาและข้ามสะพาน Punakha Suspension Bridge ซึ่งเป็นสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในภูฏานก็จะพบกับวิวแม่น้ำที่ไหลเรียงเคียงภูเขาท่ามกลางธงมนตรา (prayer flags) ห้าสีที่พลิ้วไสวตามแรงลม โดยธงแต่ละสีจารึกบทสวดมนต์และสื่อถึงธาตุทั้งห้า ได้แก่ ท้องฟ้า ลม ไฟ น้ำ และดิน สะท้อนความเชื่อเรื่องการเชื่อมโยงของธรรมชาติและพลังจักรวาล

และเมื่อก้าวเข้าไปยังป้อมปราการวัด Paro Rinpung Dzong แห่งเมืองพาโรที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1644 จะพบจิตรกรรมฝาผนังสีสดที่มีความหมายลึกซึ้ง เช่น หกสัญลักษณ์แห่งความยั่งยืน (Six Symbols of Longevity) ภาพวาดจิตรกรรมในวัดภูฏานเหล่านี้มักถ่ายทอดเรื่องราวจากชาดกและคัมภีร์พุทธสำคัญต่างๆ เช่น สังสารวัฏ ธรรมชาติของจักรวาล ผ่านสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนา เช่น มังกร สิงโต และช้าง รวมถึงเทพเจ้าและบุคคลในพุทธศาสนาหลายพระองค์ ทั้งพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ และผู้นำทางจิตวิญญาณอื่นๆ

เอกลักษณ์ในสถาปัตยกรรมของซอง (Dzong) หรือป้อมปราการเหล่านี้คือการใช้เทคนิคการเข้าลิ้นไม้และการวางหินแบบโบราณโดยไม่ใช้ตะปูหรือเหล็กเลยสักตัว โดดเด่นด้วยกำแพงสูงและผนังฉาบสีขาว ตกแต่งด้วยหน้าต่าง ประตู และระเบียงงานแกะสลักไม้อย่างละเอียด พร้อมลานกลางสำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เทศกาลชุมชน และการรวมตัวของผู้คน โดยมีหอคอยอูเซ (Utse) ตรงกลางเพื่อเก็บพระธาตุหรือของศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญที่สุด

ซอง (dzongs) จึงไม่ได้เป็นเพียงศาสนสถาน หากแต่เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ที่เชื่อมโยงชีวิตผู้คนกับรัฐ Tashichho Dzong คือตัวอย่างที่ชัดเจน ทั้งในฐานะที่ทำการรัฐบาลและสถานที่ทรงงานของพระมหากษัตริย์นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 ในขณะเดียวกัน Punakha Dzong ที่ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำโพและแม่น้ำโมที่ไหลมาบรรจบกันท่ามกลางดอกศรีตรังสีม่วง (jacaranda) ที่บานสะพรั่งในเดือนพฤษภาคม ก็ถูกใช้เป็นพระราชวังฤดูหนาวของพระสังฆราชและสถานที่จัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก 

นอกจากนี้สถานที่ทางศาสนาหลายแห่งยังถูกสร้างให้มีความกลมกลืนกับธรรมชาติ ทั้ง Dochula Pass ซึ่งมีสถูปเล็กๆ จำนวน 108 องค์ล้อมรอบเจดีย์ใหญ่บนภูเขา และ Buddha Dordenma Statue พระพุทธรูปขนาดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางวิวทิวเขาหิมาลัย เป็นภาพที่แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ ความสงบ และความลึกซึ้งทางจิตวิญญาณที่เชื่อมโยงมนุษย์กับธรรมชาติอย่างกลมกลืนไม่แยกจากกัน

ทุกก้าวของการเยี่ยมเยือนภูฏานจึงไม่ต่างจากการเดินทางตามเส้นทางแห่ง lamsol ไม่ว่าจะเป็นป้อม (dzongs), วัด (lhakhangs) หรือภูเขา ที่ล้วนสะท้อนคุณค่าทางจิตวิญญาณที่ฝังรากลึกอยู่ในชีวิตผู้คน

Fine Art of Living

ณ ‘ZhiwaLing Heritage’ โรงแรมในเมืองพาโร ที่ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมภูฏานดั้งเดิมจากช่างฝีมือชาวภูฏานโดยแท้ สร้างขึ้นจากไม้เก่าแก่อายุกว่า 450 ปีพร้อมระบบทำความร้อนใต้พื้นดินจากสวีเดน ที่แห่งนี้ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็น National Geographic Unique Lodge ได้ผสานภูมิปัญญาและความทันสมัยไว้ด้วยกันอย่างน่าประหลาด
โถงทางเดินตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตาแต่ภายในห้องพักกลับมีบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกโมเดิร์น พร้อมกิจกรรมผ่อนคลายในโรงแรม ทั้งสปา ซาวน่า ห้องอบไอน้ำ อ่างแช่น้ำร้อนกลางแจ้งแบบภูฏานดั้งเดิม กิจกรรมคลื่นเสียงบำบัดด้วยขันหิมาลายัน ไปจนถึงห้องนั่งสมาธิ

สำหรับทริปนี้ เราได้รับเกียรติจากพระอาจารย์ Khenpo Phuntsok Tashi มาสอนการนั่งสมาธิผ่านกิจกรรม Guided Meditation และสอนศิลปะการมีชีวิตอย่างงดงามผ่านหนังสือ The Fine Art of Living & Manifesting a Peaceful Death ของท่าน 

เมื่อนึกถึงศิลปะชั้นสูง คนส่วนใหญ่มักนึกถึงความประณีต สง่างาม และความงดงามของวัตถุที่ไม่ถูกกลืนหายไปตามกาลเวลา แต่ Khenpo บอกว่า เราสามารถเปลี่ยนชีวิตตัวเองให้กลายเป็นศิลปะได้ด้วยการจัดการเจตนาในแง่บวกอย่างมีสติ และสะสมบุญกุศลทางจิตวิญญาณ ฝึกฝนศิลปะแห่งการดำเนินชีวิตผ่านการกิน การนอน การออกกำลังกาย (โยคะ) และการทำสมาธิหรือการเจริญสติเพื่อให้เติบโตอย่างดี

ความหรูหราในการใช้ชีวิตของชาวภูฏานจึงแฝงอยู่ในพิธีกรรมและวัฒนธรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ การเต้นรำ การแสดงดนตรี ความบรรจงในงานฝีมือผ่านสถาปัตยกรรมและศิลปะ 13 แขนงของภูฏาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนผ่านประสบการณ์การเข้าพักในโรงแรมที่เปี่ยมด้วยรายละเอียดและความประณีตในทุกองค์ประกอบ

นอกจาก ZhiwaLing Heritage แล้ว ตลอด 6 วันที่ภูฏาน เรายังได้สัมผัสเสน่ห์ของการต้อนรับที่ละเมียดละไมและเปี่ยมด้วยอัตลักษณ์ผ่านโรงแรม ‘Pemako Thimpu’ ทั้งการบริการจากพนักงานโรงแรมในชุดโค (kho) สำหรับผู้ชาย และชุดคีรา (kira) สำหรับผู้หญิง ที่ออกมาแสดงดนตรีและคล้องผ้าพันคอต้อนรับตั้งแต่วันแรกที่ถึงโรงแรม การแสดงดนตรีขลุ่ยและขิมคลอระหว่างมื้ออาหาร การชิมอาหารพื้นถิ่นสไตล์ Bhutanese ที่หน้าตาแปลกตาและรสจัดจ้าน เช่น ใบเฟิร์นที่ม้วนเป็นวงกลม เมนูพริกในรูปแบบที่ไม่คุ้นชิน ทั้งพริกคู่กับชีส พริกกับข้าวต้มตอนเช้า แกง Ema datshi ที่เน้นรสเผ็ด ฯลฯ

อีกหนึ่งที่ตั้งของ Pemako ที่ไม่ควรพลาดคือ Pemako Punakha ซึ่งอยู่ในหุบเขาพูนาคาอันเงียบสงบ คำว่า ‘Pemako’ ตามความเชื่อในพระพุทธศาสนา คือหนึ่งใน 16 ดินแดนเร้นลับที่ผู้แสวงธรรมสามารถเข้าถึงการตรัสรู้ขั้นสูงสุดได้ แนวคิดนี้จึงถูกถ่ายทอดผ่านการออกแบบภายในที่สะท้อนกลิ่นอายของวิถีชีวิตดั้งเดิม ทั้งพื้นผิวไม้เคลือบเงาสีเข้มสื่อถึงควันไฟจากเตาฟืนในบ้านชนบท ตัดกับเฟอร์นิเจอร์และโคมไฟสีสดใส เสริมด้วยผนังโทนสีส้ม เหลือง ขาว และดำ อันเป็นสีของธงชาติภูฏาน

แม้จะออกแบบโดยนักออกแบบชาวอเมริกัน บิล เบนส์ลีย์ (Bill Bensley) แต่รายละเอียดต่างๆ กลับถ่ายทอดกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นได้อย่างลุ่มลึกและกลมกลืน ผู้เข้าพักจะต้องข้ามสะพานแขวนซึ่งทอดยาวเข้าสู่ผืนป่าสนก่อนจะเข้าสู่พื้นที่โรงแรมขนาด 60 เอเคอร์ ที่มีวิลล่าสไตล์เต็นท์แทรกตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ จากห้องอาหารของโรงแรม มองออกไปจะเห็นวิวแม่น้ำและเทือกเขา พร้อมทั้งมีกิจกรรมกลางแจ้งที่มอบประสบการณ์เชื่อมโยงกับธรรมชาติให้เลือกทำ เช่น การพายเรือคายัคและล่องแก่ง

นายกฯ แห่งภูฏานพูดทิ้งท้ายกับเราว่า “วัฒนธรรมของเราไม่เพียงเป็นเอกลักษณ์ แต่ยังเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา รากฐานของวัฒนธรรมเราคือศาสนาและจิตวิญญาณ ซึ่งยังคงมีชีวิตอยู่ และในความเป็นจริงก็ยังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าความทันสมัยอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงในการลดทอนคุณค่าเหล่านี้ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสในการส่งเสริมคุณค่าเหล่านี้ด้วยเช่นกัน และผมภูมิใจที่จะบอกว่าเราทำสำเร็จในเรื่องหลัง”

แม้ภูฏานจะเผชิญกับความท้าทายมากมาย เพราะเป็นประเทศเล็ก ไม่มีทางออกสู่ทะเล ทรัพยากรจำกัด ประชากรน้อย เหล่าเยาวชนที่ได้รับการศึกษาอยากได้งานที่ดีในประเทศทันที แต่ในบรรดาความท้าทายเหล่านี้ นายกฯ กลับกล่าวว่าการตัดสินใจเชิงนโยบายที่ผ่านมาไม่ได้ยากเย็นเท่าที่หลายคนอาจคาดคิด รัฐบาลชุดต่างๆ สามารถดำเนินงานไปในทิศทางที่ชัดเจนและสม่ำเสมอ ด้วยการยึดมั่นในวิสัยทัศน์และคุณค่าของประเทศ

เมื่อถาม Tshering Tobgay ว่ามี wisdom of life ใดที่ภูฏานสามารถแบ่งปันให้โลกได้บ้างเกี่ยวกับการมีชีวิตที่ดี เขาตอบอย่างถ่อมตัวว่า “เราไม่ได้คิดจะสอนโลก เราเพียงแค่ปฏิบัติตามหลักแห่งความสุขมวลรวมประชาชาติ แม้การเติบโตทางเศรษฐกิจและวัตถุจะสำคัญในโลกยุคปัจจุบัน แต่สิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการถ่วงดุลกับความก้าวหน้าทางสังคม การรักษาวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการอย่างดี รวมถึงการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ความกลมกลืน และจิตวิญญาณ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งสำคัญที่เป็นบริบทเฉพาะเจาะจงของภูฏาน แต่ผมยังไม่คิดว่าประเทศเราสามารถ ‘สอน’ สิ่งเหล่านี้ให้กับที่อื่นในโลกได้”

นักเดินทางมากมายต่างเดินทางมายังภูฏานเพื่อแสวงหาคำตอบภายในหรือแม้แต่มุ่งหาแนวทางการพัฒนาเมืองที่สโลว์ไลฟ์ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ในโลกที่วุ่นวาย แต่นายกฯ ผู้มีวิสัยทัศน์กลับกล่าวว่า “We can’t teach the world.”

เพราะภูฏานไม่ได้ตั้งใจจะเป็นต้นแบบให้ใคร หากเพียงแค่ขอเดินบนเส้นทางที่สอดคล้องกับคุณค่าภายในของประเทศตนเอง

ขอบคุณรูป Gelephu Mindfulness City จาก GMC

กระทรวงแรงงานจัด JOB EXPO THAILAND 2025 ที่มากกว่าการหางานคือเพื่ออนาคตแรงงานไทย

โลกการทำงานในปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี คนที่เพิ่งเข้าสู่วัยทำงาน คนที่อยากเปลี่ยนสายงาน กระทั่งคนที่อยากอัพสกิลเพิ่มเติมจะหาโอกาสการทำงานให้ตัวเองได้ยังไงบ้าง

เมื่อวันที่ 6-8 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานโดยกรมการจัดหางานได้จัดงาน JOB EXPO THAILAND 2025 ภายใต้แนวคิด ‘มหกรรมหางาน ที่มากกว่าการหางาน’ ณ ฮอลล์ 5-6 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากประชาชนทุกช่วงวัย

ในงานได้รวบรวมหลากหลายโซนให้ประชาชนเข้าถึงงานที่เหมาะสม พัฒนาทักษะอาชีพ และเตรียมตัวให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น

  • Job Matching ครบวงจร กว่า 500,000 ตำแหน่งจากสถานประกอบการชั้นนำ 172 แห่ง และงานต่างประเทศอีกกว่า 100,000 อัตรา พร้อมบริการผ่านแอพฯ ‘ไทยมีงานทำ’ และ ‘คนทำงาน’
  • โซนงานสำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการ ที่คัดเลือกงานให้เหมาะกับศักยภาพเฉพาะบุคคล
  • โซน UPSKILL/RESKILL สำหรับผู้ต้องการยกระดับหรือเปลี่ยนทักษะอาชีพ
  • โซนสาธิตอาชีพอิสระ ทั้งแฟรนไชส์ รับงานไปทำที่บ้าน และกลุ่มอาชีพอิสระในชุมชน
  • โซนแนะแนวการศึกษาและอาชีพสำหรับเยาวชน พร้อมคลินิกวางแผนอาชีพ
  • โซน INSPIRATION TALK จากวิทยากรระดับประเทศ แชร์ประสบการณ์อาชีพและแนวโน้มแรงงาน
  • โซน SSO MARKET 2025 ตลาดแรงงานรวมอาชีพหลากหลาย พร้อมอัพเดตสิทธิประโยชน์ประกันสังคม

JOB EXPO THAILAND ได้รับการตอบรับที่ดีทุกปีและประสบความสำเร็จอย่างมาก ซึ่งในปี 2024 ที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมงานสูงถึง 112,296 คน ในขณะที่แอพฯ ‘ไทยมีงานทำ’ และ ‘คนทำงาน’ ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี คือมียอดดาวน์โหลดใหม่เพิ่มขึ้น 

อีเวนต์นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อสนับสนุนให้คนไทยมีงานทำ มีทักษะที่พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจากผลตอบรับในปีนี้ เชื่อว่า JOB EXPO THAILAND คงยิ่งใหญ่ จัดเต็มขึ้นในทุกๆ ปี แน่นอน

ธุรกิจชาในจีน กับสงครามที่มีผู้เล่นกว่า 5 แสนร้าน มูลค่าปีละ 7 แสนล้านบาท

ชา คือหนึ่งในเครื่องดื่มที่มีคนเลือกดื่มมากที่สุดในโลก อาจด้วยปริมาณคาเฟอีนที่ไม่เข้มข้นหนักหนาจนเกินไป หรืออาจเพราะความหอมละมุนและความหลากหลายของสายพันธุ์ชาที่ทำให้นักดื่มชาทั่วโลกนิยมดื่มตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

แท้จริงแล้วคำว่า ‘ชา’ ในภาษาไทยมาจากภาษาจีนที่เขียนว่า 茶 (อ่านออกเสียงว่า ‘chá’  หรือ ‘ฉา’) และคนไทย รวมถึงคนอีกหลายชาติก็เรียกเครื่องดื่มที่ทำจากใบไม้อบหรือตากแห้งชนิดนี้ว่า ‘ชา’ ตามภาษาจีน

จากที่ได้เดินทางไปเยือนจีนในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้เราได้เห็นภาพธุรกิจชาในประเทศที่เป็นต้นกำเนิดของคำว่า ‘ชา’ ได้เห็นความคึกคักที่เข้าขั้นการทำสงครามระหว่างแบรนด์ชาต่างๆ จนอยากเอามาเล่าให้คุณฟังใน Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว ตอนนี้

ชา ชา ชา

หากใครยังไม่ทราบที่มาที่ไปของประวัติศาสตร์ชา 

เราขอเล่าให้คุณฟังคร่าวๆ ฉบับรวบรัดแบบย่อหน้าเดียวจบ นั่นคือ ชา เป็นเครื่องดื่มโบราณที่มีเรื่องเล่าจากหลากหลายแหล่งที่มา บางที่บอกว่าต้นทางมาจากจีน บางที่บอกว่าต้นกำเนิดมาจากทางอินเดียตอนเหนือ แถวๆ แคว้นอัสสัม

วันนี้เราจะไม่เถียงกันว่าตกลงชากำเนิดขึ้นที่ไหนเป็นที่แรก แต่เอาเป็นว่ารากเหง้าความเก่าแก่ของชากับวัฒนธรรมจีนนั้นผูกโยงแน่นแฟ้น ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ทั้งหนังบู๊กำลังภายในของจีน หรือหนังรักรอมคอมใน iQIYI เราล้วนเห็นตัวละครดื่มชาทั้งสิ้น ถ้าท่านจอมยุทธไม่นั่งดื่มชาร้อนๆ จากจอกที่เสี่ยวเอ้อร์นำมาเสิร์ฟ เราก็จะเห็นนางเอกวัยทำงานแต่งตัวเป็นสาวออฟฟิศน่ารักเดินดูดชานมไข่มุกจากแก้วพลาสติกในหนังจีนยุคใหม่ 

แสดงให้เห็นว่า ชาผูกพันกับความเป็นคนจีนและสังคมจีน จนสะท้อนออกมาในหนังและละครตลอดมาจนถึงชีวิตประจำวันของพี่น้องชาวจีน ที่ไม่ว่าไปไหนมาไหนในประเทศจีน เราจะเห็นทุกร้านอาหารเสิร์ฟน้ำชามาก่อนน้ำเปล่าทั้งสิ้น

ชาจีน ชานม ชาผลไม้

คนจีนดื่มชากันแพร่หลายจนเราเห็นชาจีนวางขายอยู่ทั่วไปเต็มไปหมดในเมืองจีน และอาจจะเรียกได้ว่าชาหากินได้ง่ายพอๆ กับน้ำเปล่าในเมืองจีนเลยด้วยซ้ำ

แต่ก็อย่างที่เราทราบกันดีว่าความลื่นไหลและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ไม่มีทางหยุดอยู่กับที่ จากชาจีนร้อนๆ ที่เคยเอาไว้ดื่มในหมู่นักบวชเพื่อไม่ให้ง่วงนอนตอนทำวัตรสวดมนต์ เดี๋ยวนี้วัฒนธรรมการดื่มชาพัฒนาไปไกลมาก ความหลากหลายเพิ่มขึ้นจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีที่สิ้นสุด

ปัจจุบันมีทั้งชาเย็น ชาปั่น ชาผสมน้ำผลไม้ ชาผสมนม ชาผสมผลไม้แบบมีผลไม้ปั่นรองด้านล่าง ชาแบบมีชีสปั่นเหลวๆ ท็อปปิ้งไว้ด้านบน และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายที่ทั้งดิฉันและคุณอาจจะยังจินตนาการไปไม่ถึง 

ร้านชายุคใหม่ในเมืองจีน ไม่ใช่ร้านขายใบชาแล้วมานั่งรินน้ำทีละจอกๆ ให้คุณดื่มแบบในหนัง ถ้าคุณไม่เคยไปเมืองจีนหรือนึกภาพไม่ออก เราอยากให้คุณลองนึกถึงภาพสแตนด์ร้านขายชานมไข่มุกที่แพร่หลายในบ้านเรา มีทั้งเคาน์เตอร์เล็กๆ ไปจนถึงร้านชานมไข่มุกที่เปิดกันเป็นสัดส่วนมีที่นั่งให้ลูกค้าได้นั่งพักผ่อนดื่มชา ร้านชาสมัยใหม่ของเมืองจีนก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน

แบรนด์ชาที่เป็นที่นิยมในเมืองจีนมีมากมาย มีทั้งที่คุ้นหูคุ้นตาคนไทยและบางแบรนด์อาจไม่เคยได้ยิน เช่น MlXUE, CHAGEE, HEYTEA และอื่นๆ อีกมากมาย จากสถิติของสมาคมร้านค้าปลีกและแฟรนไชส์แห่งประเทศจีน ร้านชาในประเทศจีนมีจำนวนถึง 500,000 ร้านในปี 2023

ถ้าคุณนึกไม่ออกว่าร้านชามันจะเยอะแค่ไหนในเมืองจีน เราจะอธิบายให้ฟัง

ชา–ความสุขที่ซื้อได้ง่าย สบายกระเป๋า

ถ้าคุณอยู่ในกรุงเทพฯ แล้วคุณเห็นความถี่ของร้านสะดวกซื้อเจ้าดัง เคาน์เตอร์ร้านชาในประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองใหญ่ๆ ก็อารมณ์นั้นนั่นแหละ คุณสามารถหาชาดับกระหายได้อย่างสะดวกมาก เห็นร้านอยู่ทุกหัวมุมถนน 

ถามว่าในเมื่อร้านชาเยอะขนาดนี้ แบรนด์มากมายขนาดนี้ แล้วแต่ละเจ้าเขาต่างกันยังไง ลูกค้าจะเลือกกินชาเจ้าไหนถึงจะถูกจริตกับตัวเองที่สุด เราขอเล่าจากประสบการณ์ตรงให้ฟังโดยสังเขป 

ชาบางเจ้าราคาพรีเมียมกว่าเจ้าอื่น แต่คุณจะรู้สึกได้ในทันทีว่าราคาที่คุณจ่ายไป คุณได้มาซึ่งความเข้มข้นของชาและ/หรือความหอมมันของชีสที่นุ่มละมุน

ชาบางเจ้าราคาย่อมเยา แถมให้ปริมาณที่คุณสามารถดื่มชา + น้ำตาลได้จนอิ่มใจและอิ่มท้องในราคาไม่ถึง 10 หยวน

ชาบางเจ้าคุณวางใจได้ทันทีในเรื่องความสดและรสชาติของผลไม้ ถ้าคุณสั่งชาผลไม้ คุณรู้แน่ๆ ว่าชายี่ห้อนี้ผสมผลไม้ปั่นที่ถูกคัดมาอย่างดี ไม่มีความรู้สึกแหยะหยึยจากผลไม้ที่สุกงอมจนเกินไป หรือรสชาติฝาดแข็งของผลไม้บางชนิดที่ยังไม่สุกดี

BBC เคยสัมภาษณ์สองสาวจีนจากกวางโจว (เมืองทางตอนใต้ของจีน) และจากปักกิ่ง (เมืองหลวงของจีนที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือ) ถึงความรู้สึกและความถี่ในการดื่มชาจากแบรนด์ชาต่างๆ ว่าเป็นยังไงบ้าง 

“ชานมไข่มุกเป็นความสุขที่ซื้อได้ง่าย ฉันเลยดื่มค่อนข้างบ่อย” Lili อาจารย์มหาวิทยาลัยวัยสามสิบต้นๆ จากกวางโจวตอบผู้สื่อข่าว

“ฉันดื่มชานม ชาผลไม้เกือบทุกวัน และส่วนใหญ่ชวนกันดื่มกับเพื่อน” Tina พนักงานออฟฟิศจากปักกิ่งวัยสามสิบต้น ก็แชร์ความถี่ในการดื่มคล้ายกันแม้อยู่กันคนละฝั่งของประเทศ

เมื่อก่อนเราเคยได้ยินคำว่า จิตวิทยาของลิปสติก จาก Estee Lauder ที่ว่า ผู้หญิงจะซื้อลิปสติกเพราะมันเป็นความสุขที่ซื้อได้ง่ายราคาไม่แพง แต่วันนี้ความสุขของผู้หญิงอาจจะหาซื้อได้ง่ายกว่าลิปสติกแถมกินได้ด้วย พวกเขาสามารถซื้อมันได้ทุกวัน แถมสะดวกและอร่อยอีกต่างหาก

ธุรกิจชา–ที่ทำแล้วอาจทำให้รู้สึก ‘ชา’

ปี 2023 ธุรกิจแบรนด์ชาในจีนเติบโตขึ้นเป็นธุรกิจระดับประเทศและมีเม็ดเงินหมุนเวียนถึง 145,000 ล้านหยวน หรือเท่ากับ 725,000 ล้านบาท 

แล้วคุณทราบหรือไม่ว่าหากเราเอารายได้ของบริษัทสุรายักษ์ใหญ่ 2 บริษัทในประเทศไทยมาบวกรวมรายได้กัน จากสถิติของปี 2024 รายได้จากการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของทั้ง 2 บริษัท เราได้เพียงแค่ 214,000 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งมูลค่ายังไม่ถึงกึ่งหนึ่งของเม็ดเงินที่หมุนเวียนในธุรกิจชาในประเทศจีนเลย

แต่ขึ้นชื่อว่าธุรกิจและการแข่งขัน ย่อมต้องมีผู้แพ้ ผู้ชนะ ผู้อยู่รอด ผู้ไม่ได้ไปต่อ

แบรนด์ชาที่เปิดแล้วรอด เปิดแล้วรุ่ง ก็คือแบรนด์ที่เราเกริ่นชื่อไปแล้วก่อนหน้า ทั้ง CHAGEE และ HEYTEA แบรนด์พวกนี้เราเห็นทั้งความถี่ของสาขาและความหนาแน่นของลูกค้า ก็น่าจะพอเดาออกว่าธุรกิจเขาดำเนินไปได้ดีแค่ไหน

หนึ่งในความฝันของคนทำธุรกิจหลายคนคือ การเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุน และข่าวดีของวงการชาก็คือ มีบริษัทชานมไข่มุกอยู่หลายบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ทั้งที่จดทะเบียนอยู่ที่ตลาดหลักทรัพย์อเมริกา (NASDAQ) และที่ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง 

ถ้านับเอาแต่บริษัทเครื่องดื่มชานม ชาผลไม้ของจีนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ตอนนี้มีอยู่ 5 บริษัทด้วยกัน ได้แก่

  1. Mixue Group จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง เมื่อมีนาคม 2025
  2. Guming Holdings Limited จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง เมื่อกุมภาพันธ์ 2025
  3. CHABAIDAO จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง เมื่อเมษายน 2024
  4. Naixue จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง เมื่อมิถุนายน 2021
  5. CHAGEE จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อเมริกา NASDAQ เมื่อเมษายน 2025

แต่การได้เข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เป็นแค่ข่าวเกือบดีเท่านั้น เพราะใช่ว่าการเป็นบริษัทมหาชน คุณจะสามารถระดมทุนได้ง่ายๆ จากนักลงทุนเสียเมื่อไหร่ 

ตัวอย่างเช่น CHABAIDAO แบรนด์ชานมที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของจีนราคาหุ้นดิ่งลงตั้งแต่วันแรกที่เปิดทำการซื้อ-ขาย และราคาก็ดิ่งลงอย่างต่อเนื่องอย่างนั้นอยู่เป็นเดือนๆ หรือจะเป็นแบรนด์ชานมจากเซินเจิ้นที่ชื่อว่า Nayuki ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ราคาหุ้นตกลงกว่า 80% เมื่อ 4 ปีที่แล้ว (ณ เดือนมิถุนายน 2025 ราคาหุ้นอยู่ที่หุ้นละ 1.27 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อหุ้น ตกลงจากราคาขายวันแรกในปี 2021 ที่ 18.86 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อหุ้น) 

อย่างที่คุณและดิฉันต่างก็ทราบกันดีว่ามีหลายปัจจัยเหลือเกินที่เราไม่สามารถควบคุมได้กับราคาของหุ้นในตลาด แต่ปัจจัยที่จับต้องได้ของทั้งสองบริษัทชานี้คือกำไรที่ลดลงอย่างมากระดับ 900 กว่าล้านหยวน (ของ CHABAIDAO ในปี 2024) ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่นักลงทุนจะพากันไม่มั่นใจในเสถียรภาพและสุขภาพทางการเงินของบริษัท ทำให้ราคาหุ้นลดลงด้วยความเร็ว 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขนาดนี้

นักวิเคราะห์เศรษฐกิจจากจีนและจากนานาชาติเคยวิเคราะห์กันมากมายว่า หรือเราจะเห็นภาวะชาเฟ้อในเมืองจีนหรือเปล่า คือมีร้านชามากเกินไปจนเกินความต้องการของลูกค้า คนขายเลยมากกว่าคนซื้อ เม็ดเงินเลยสะพัดลดลง

นี่คือคำถามระดับแสนล้านที่ไม่มีใครกล้าฟันธงคำตอบ เพราะหากร้านชามันเฟ้อดังว่าจริง อย่างนั้นเราก็ไม่น่าจะเห็นคู่แข่งรายใหม่เข้ามาเพิ่มในการแข่งขันนี้อีก แต่เราก็ยังเห็นแบรนด์ชาหน้าใหม่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อยู่ตลอดปีที่ผ่านมาต่อเนื่องมายังปีนี้ ถ้าอย่างนั้นแปลว่าช่องว่างในตลาดชาน่าจะยังพอมีเหลือให้คนขายได้ขายของที่คนซื้ออยากซื้อ

เราเองก็ยังคงรอดูคำตอบและตอนต่อไปของสงครามนี้ไปพร้อมๆ กับทุกคน และหวังว่าเราจะได้เห็นนวัตกรรมชาจีนใหม่ๆ เข้ามาทำให้ตลาดชาทั้งในจีนทั้งที่ต่างประเทศคึกคัก และแผ่ขยายความเป็นไปได้ที่ไม่รู้จบ

อ้างอิง

เบื้องหลังผ้าบาติกของ Marionsiam ในวันที่อยากถ่ายทอดความละมุนของงานคราฟต์ผ่านยูทูบ

มารียองสยาม (Marionsiam) คือแบรนด์ผ้าบาติกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยลายดอกแอนนีโมนี (anemone) ของ แพท–ทยิดา อุนบูรณะวรรณ หญิงสาวผู้หลงใหลงาน drawing & painting บนผ้าบาติก และรักงานคราฟต์เป็นชีวิตจิตใจ

แพทบอกว่าแบรนด์ของเธอค่อยๆ เติบโตอย่างช้าๆ ไม่หวือหวาตลอด 6 ปีที่ผ่านมา จนกระทั่งช่วงหลังนี้ที่เริ่มเป็นกระแสไวรัลมากขึ้น จากการที่เธอชวนคนรัก พีช–ปรมัตถ์ มารศรี มาเป็นคู่ใจในการเล่าเรื่องราวเบื้องหลังแบรนด์ผ่านวิดีโอแสนละมุนใน ยูทูบช่อง @Marionsiam ที่เมื่อถูกแชร์ผ่านโซเชียลมีเดียแล้ว ก็กระตุ้นความสนใจในเรื่องราวของแบรนด์ผ้าบาติกมากขึ้น 

ตั้งแต่คลิป Vlog One Day with Me ที่ถ่ายทอดบรรยากาศเรียบง่ายในหนึ่งวันของแพทขณะเขียนเทียนบนผ้าบาติกอย่างใจเย็น ไปจนถึงวิดีโอ Paint with Me & Chill Lofi Beats ที่สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและการเพนต์สีละมุนตา รวมถึงตอน ‘ศิลปะจากอาม่า สู่หลานสาว’ ที่บันทึกความทรงจำอันน่ารักและแรงบันดาลใจจากอาม่าผู้ปลูกฝังความรักในผ้าไทยให้กับเธอ

แพทบอกว่าไม่ได้อยากทำคอนเทนต์ที่เน้นขายของ แต่อยากเล่าเรื่องความเป็นมาของแบรนด์ทั้งส่วนที่ประสบความสำเร็จและเบื้องหลังกว่าจะเติบโตมาถึงจุดนี้ เพื่อให้คนที่รักแบรนด์ได้เติบโตไปด้วยกัน ด้วยแพสชั่นในงานบาติกที่สัมผัสได้หลังแวะเข้าไปชมช่องยูทูบของแพทและพีช วันนี้เลยอยากชวนทุกคนมาฟังเรื่องราวที่ทำให้มารียองสยามกลายเป็นแบรนด์บาติกที่คนรักไปพร้อมๆ กัน 

Life Wisdom 
The Craft Explorer 

เส้นทางของแพทเริ่มจากการเป็นคนชอบทดลองสร้างสรรค์กระบวนการใหม่และเทคนิคใหม่ ก่อนจะหันมาสนใจงานบาติกอย่างเต็มตัว แพทเรียนคณะด้านแฟชั่นที่เปิดกว้างให้สำรวจแนวทางและสไตล์ผลงานสร้างสรรค์อย่างไม่จำกัดกรอบ

“สมัยเรียน ความจริงงานของเราเปิดกว้างเลย เราไม่จำเป็นต้องทำงานคราฟต์เลยก็ได้ ตอนที่สนใจทำงานคราฟต์อาจารย์ก็บอกตั้งแต่แรกว่ามันยากนะ จะทำจริงหรือ เหนื่อยเลย” แต่เพราะครอบครัวชอบพาเดินงาน OTOP สนใจผ้าพื้นเมืองและงานฝีมือเป็นทุนเดิม ทำให้แพทซึมซับกับงานฝีมือโดยไม่รู้ตัว แม้พื้นเพในครอบครัวจะไม่ได้ทำงานฝีมือโดยตรง มีเพียงอาม่าที่ตัดเสื้อผ้าเป็นและเคยสอนแพทตัดเสื้อผ้าด้วยตัวเอง

ความอิสระที่เปิดกว้างในการทดลองของคณะที่เรียนทำให้แพทมีโอกาสทำงานฝีมือหลายแบบ ทั้งการทำงานกับแบรนด์ Pink by Pink ที่เป็นแบรนด์แฟชั่นยุคแรกๆ และ Taktai แบรนด์เสื้อผ้าที่ทำงานกับชุมชน รวมถึงการฝึกงานกับดอยตุงที่ทำให้มีประสบการณ์ทอผ้า ปัก เย็บ ทำแฟชั่นโชว์ รวมถึงการออกแบบงานสร้างสรรค์หลากหลาย ทั้งออกแบบกระดาษสา ออกแบบแพ็กเกจจิ้ง ออกแบบแพตเทิร์นเสื้อผ้า ปั้นเซรามิก ไปจนถึงเขียนลายเบญจรงค์ ซึ่งทำให้เธอค้นพบว่างานที่ถนัดที่สุดคือ drawing และยังมองว่างานเบญจรงค์เองก็เป็นการวาดรูปอีกรูปแบบหนึ่ง

ความสนุกคือ เมื่อแพทสนใจทำงานบาติก แทนที่จะนำเทียนทั่วไปมาใช้ แพทเลือกขอเทียนเหลือใช้จากวัดในอยุธยาที่ไปทำบุญเป็นประจำเพื่อนำมาสร้างสรรค์ผลงาน โดยเทียนเหล่านี้สามารถนำวนกลับมาใช้ใหม่ได้เรื่อยๆ ด้วยการหลอม และแพทยังคิดค้นสีย้อมธรรมชาติโทนชมพูจากเปลือกมะพร้าวเหลือใช้ที่ได้จากร้านกาแฟแถวบ้าน และโทนสีฟ้าจากคราม ซึ่งกลายเป็นเฉดสีผ้าบาติกสีเอกลักษณ์ของแบรนด์มารียองสยาม

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างที่แพททดลองก็ไม่ได้เวิร์กเสมอไป ความท้าทายที่พบในการทำเสื้อผ้าสีย้อมธรรมชาติที่ผ่านมาคือความสม่ำเสมอของสีเสื้อผ้า เพราะผ้าเดดสต็อกในแต่ละล็อตจากอุตสาหกรรมผ้ามีคุณสมบัติต่างกัน ทำให้ควบคุมคุณภาพสีได้ยาก แพทจึงปรับมาใช้สี ‘ย้อมเย็น’ ซึ่งเป็นสีเคมีที่ใช้แต้มลงบนผ้าแทน แต่ยังคงกระบวนการเพนต์ผ้าบาติกด้วยมือทุกขั้นตอนเหมือนเดิม

การทำแบรนด์ผ้าบาติกจึงเป็นสิ่งที่แพทตกตะกอนมาแล้วว่าเป็นความถนัดที่สุด “รู้สึกว่าการลงมือวาดเองทุกชิ้นทำให้งานมีเสน่ห์เฉพาะตัว และความสามารถที่เรามีก็น่าจะพอให้เดินไปในเส้นทางนี้ได้” นั่นจึงเป็นจุดที่เธอตัดสินใจเดินหน้าสร้างแบรนด์มารียองสยามอย่างจริงจัง 

Free Hand Meditation 

แพทเริ่มต้นเรียนรู้เทคนิคการทำบาติกจากครูช่างในชุมชนที่เชียงใหม่และกระบี่ โดยที่เชียงใหม่จะเน้นการเขียนเทียนด้วย ‘จันติ้ง’ ซึ่งเป็นอุปกรณ์คล้ายปากกาหมึกซึม ใช้ควบคุมการไหลของน้ำเทียนผ่านช่องเล็กๆ ไปตามลวดลายที่ร่างไว้ การเขียนต้องทำอย่างต่อเนื่องพร้อมควบคุมอุณหภูมิของเทียนให้คงที่ เพื่อให้น้ำเทียนไหลอย่างสม่ำเสมอ

“มันเพลินมากและชอบมาก เพราะเราชอบเขียนมากๆ อยู่แล้วด้วย ส่วนที่ชอบที่สุดคือตอนเขียนเทียน เพราะได้อยู่กับตัวเองมากๆ มันไม่ต้องโฟกัสอย่างอื่นเลย แค่ดูว่าน้ำเทียนที่ไหลออกมาคงที่หรือยัง สิ่งที่เราจะทำต่อไปคืออะไร

“การทำบาติกต้องมองข้ามไปข้างหน้าตลอดเวลา เวลาที่แพทจะวาดตรงนี้ ณ ตอนนั้นเราจะไม่ได้คิดว่ากำลังจะวาดตรงนี้ แต่คิดว่าข้างหน้าจะเขียนอะไรต่อไป เราต้องคิดตลอดว่าเสร็จเส้นนี้แล้วจะไปเส้นไหนต่อถึงจะทำให้เทียนออกมาสวย ทุกอย่างจะไหลไปไวมาก เราต้องเห็นทั้งหมดก่อนว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่จะเป็นแบบไหน 

“ถ้าฝึกแรกๆ มันก็จะยากนิดหนึ่ง เพราะต้องคุมเส้นเทียน ถ้าเขียนเร็วเกินไปเส้นก็จะเล็ก ไม่สามารถลงสีได้ แต่ถ้าเขียนช้าเกินไป เส้นเทียนจะใหญ่มากจนกระทั่งปิดรูทุกอย่าง จะไม่เหลือที่ให้ลงสีเหมือนกัน” 

สำหรับแพท การทำงานบาติกจึงไม่ใช่แค่งานศิลปะแต่เป็นกระบวนการทำสมาธิด้วย ต้องใส่ใจรายละเอียดเพื่อคงความเป๊ะ แต่ก็ต้องพร้อมปล่อยมือและปล่อยใจลื่นไหลไปตามกระบวนการ

“อารมณ์เราในวันนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ทุกครั้งที่อารมณ์ไม่ดี เราจะอยากไปทำผ้าเพราะทำให้เรากลับมาอยู่กับตัวเองจริงๆ เราได้พักผ่อนตอนเขียนเทียนเพราะไม่มีใครมายุ่งกับเรา เวลาเราทำงานบาติกจะเป็นช่วงที่เราได้โฟกัสกับตัวเอง เราจะโฟกัสเฉพาะผ้าอย่างเดียว แล้วไม่ได้คิดถึงอย่างอื่นเลย

“กระบวนการคือ เราจะเตรียมการวาดลายคร่าวๆ มาก่อนในกระดาษ และออกแบบมู้ด โทนสีไว้ แต่เวลาที่ทำจริงๆ มันจะเป็นไปตามฟีลลิ่งทั้งหมด ไม่ว่าจะทำแบบในคอมพ์มาก่อนหรือวาดแบบในกระดาษ สุดท้ายแล้วยังไงเราก็ต้องมาทดลองกับผ้าทั้งหมดอยู่ดี เพราะความพิเศษของผ้าแต่ละชนิดส่งผลให้เอฟเฟกต์ที่ออกมาไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นส่วนที่เราไม่สามารถออกแบบมาก่อนได้ในคอมพ์ มันไม่สามารถบอกได้ว่าผ้าแบบนี้ ทำออกมาแล้วจะเป็นแบบที่เราอยากให้เป็นหรือเปล่า”  

ทั้งนี้ ภูมิปัญญาการทำผ้าบาติกที่กระบี่จะใช้เทคนิคคล้ายประเทศแถบอินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งเป็นเทคนิคที่ต่างออกไปจากเชียงใหม่ คือการใช้บล็อกในการแสตมป์ลาย ซึ่งจะมีทั้งบล็อกทองเหลือง บล็อกสังกะสี ซึ่งแพทก็ได้มีการประยุกต์ใช้เทคนิคนี้ด้วยการทำบล็อกไม้รูปดอกแอนนีโมนีเพื่อทุ่นแรงเวลาทำลายซ้ำจำนวนมาก 

ลวดลายของบาติกแต่ละพื้นถิ่นจะเป็นลายทางธรรมชาติที่คนแต่ละท้องที่เห็น ซึ่งแพทมองว่าผ้าบาติกภาคใต้มักมีลวดลายเกี่ยวข้องกับภาพทะเล ดอกไม้ ส่วนงานจากเชียงใหม่มักจะเป็นลวดลายที่มีความโมเดิร์นขึ้น ส่วนลายหลักแบรนด์มารียองสยามที่แพทคิดค้นขึ้นเองนั้นเป็นลายดอกแอนนีโมนีที่ไม่ซ้ำใคร ได้แรงบันดาลใจจากศิลปะโรโกโกและสถาปัตยกรรมเรอแนซ็องส์จากความชอบส่วนตัวในสถาปัตยกรรมที่มีความโค้ง โทนสีพาสเทลหม่น และลายดอกไม้ 

“เราจำไม่ได้ว่าดีเทลที่ทำให้ออกมาเป็นดอกแอนนีโมนีมาจากไหนด้วยซ้ำ คือมันปนๆ กันมา เราหยิบแรงบันดาลใจมาจากหลายที่ แล้วนำมาตัดทอนมารวมกันอีกทีหนึ่ง จับอันนั้นอันนี้มารวมกัน แล้วก็มานั่งดูทีหลังว่าลายนี้หน้าตาเหมือนดอกไม้อะไรบ้าง เพราะพื้นฐานของเราคือชอบดอกไม้ประมาณหนึ่ง แล้วค่อยตั้งชื่อตามสิ่งที่หามา” 

ภายหลังแพทยังพัฒนาลายดอกไม้ไทยอื่นๆ บนผ้าบาติกที่ได้แรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมวัดโพธิ์อย่างดอกกล้วยไม้ ดอกบัว และดอกที่ดัดแปลงมาจากลวดลายของกุฎีจีนอีกด้วย

Business Wisdom 
Urban Craft 

ณ วันที่เริ่มต้นแบรนด์ แพทออกแบบคอนเซปต์ของมารียองสยามให้เป็น Urban Craft Batik โดยตั้งต้นจากคำถามว่า ทำไมคนถึงไม่ใส่งานบาติกในชีวิตประจำวัน และทำไมถึงแทบไม่มีใครทำแบรนด์ modern batik ในตลาดเลยแพทให้ความเห็นว่าอาจเป็นเพราะโทนสีของบาติกดั้งเดิมมักเป็นสีสดที่ค่อนข้างฉูดฉาด ทั้งเนื้อผ้าและรูปทรงของเสื้อผ้าก็ไม่เหมาะกับลุคโมเดิร์น จึงตั้งโจทย์ใหม่ในการออกแบบเสื้อผ้าบาติกในรูปแบบ business wear เพื่อให้สวมใส่ได้ในชีวิตประจำวันของคนเมือง

ซิกเนเจอร์ของแบรนด์มารียองสยามคือโทนสีพาสเทลละมุน ซึ่งกลายเป็นอัตลักษณ์ที่ผู้คนจดจำแบรนด์ได้โดยไม่รู้ตัว

“palette แรกมาจากสีของสถาปัตยกรรมโรโกโกและเรอแนซ็องส์ แล้วหลังจากนั้นเราก็ใช้ palette เดิมมาตลอดเลย เคยเห็นใช่ไหมคะ เวลาศิลปินมีจานสีของตัวเอง แล้วทำผลงานออกมาเป็นมู้ดเดียวกันเสมอ เพราะมาจากจานสีเดียวกัน”

แม้จะใส่ความชอบของตัวเองลงไปในงานไม่น้อย แต่แพทก็เชื่อว่าการออกแบบแบรนด์ไม่จำเป็นต้องสะท้อนตัวตนของเราทุกด้าน ขอแค่ทำในสิ่งที่เราเชื่อว่าผู้คนจะตกหลุมรัก“

ความจริงแล้วผลงานที่ออกมากับตัวตนของเรามันไม่ได้ไปด้วยกันเลย งานเราหวานมาก แต่ไลฟ์สไตล์ การแต่งตัวต่างๆ ของเราไม่ได้ไปทางนั้นเลย เสื้อผ้าที่เราหยิบมาใส่ได้จะไม่ใช่สีชมพู ปกติจะใส่สปอร์ตบรา ฮาวายเชิ้ตเป็นปกติ แต่ถ้าตัวที่สไตล์หวานๆ หน่อย เราก็ใส่เองไม่ไหว

“เพราะว่าตอนที่ออกแบบ เราทำให้คนอื่นใส่ เราชอบทำงานแบบนี้ รู้สึกว่างานนี้สวย งานนี้โอเค รู้ว่าวาดออกมาแบบนี้แล้วสวย ต้องมีคนชอบแน่นอน แต่ว่ามันเหมาะกับคนอื่น ไม่ได้เหมาะกับเรา”

สิ่งที่เซอร์ไพรส์ไม่น้อยคือกลุ่มลูกค้าของแบรนด์กลับมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน แพทเล่าว่า เวลาบอกใครว่าแบรนด์ของเธอมีลูกค้าชายและหญิงนับเป็นสัดส่วนครึ่งต่อครึ่ง ทุกคนมักแปลกใจ ซึ่งทำให้บางคอลเลกชั่นเป็นเสื้อผ้าสไตล์ unisex เช่น เสื้อฮาวายที่ใช้ผ้าเดดสต็อกผสมกับผ้าบาติก และเพิ่มเทคนิคพิเศษอย่างลายปักรูปดอกแอนนีโมนี

“ที่ผ่านมา คอลเลกชั่นขายดีที่สุดของแบรนด์คือแจ๊กเก็ตแขนพองๆ ที่มีสีฟ้า สีชมพู สีเทา เสื้อผ้าผู้หญิงจะมีสายเดี่ยวและชุดกระโปรง และต่อไปจะมีชุด unisex มากขึ้น เวลาเราทำสินค้าใหม่ ลูกค้าจะเป็นคนบอกเราว่าเขาอยากได้อะไร แล้วเราถึงจะทำของออกมาให้ตรงตามสิ่งที่ลูกค้าของเราอยากได้จริงๆ”

ในช่วงหลัง แพทตั้งใจเริ่มขยับขยายคอนเซปต์แบรนด์จาก Urban Craft Batik ไปสู่คำนิยามว่า urban craft นอกจากทำคอลเลกชั่นพิเศษร่วมกับแบรนด์อื่น อย่างกระเป๋าจากถุงปูนลายมารียองสยามที่ทำร่วมกับ SCG แล้ว ยังอยากสร้างสรรค์สินค้าใหม่ด้วยเทคนิคใหม่

“ตอนนี้อยากทำสิ่งที่ใหม่ขึ้นกว่าเดิมและต่างออกไปเลย เหมือนเราอยู่กับงานตรงนี้ด้วย silhouette แบบนี้มาสักพักหนึ่งแล้ว กำลังคิดอยู่ว่ามีเศษผ้าที่เหลืออยู่จากอุตสาหกรรมผ้าค่อนข้างเยอะแล้ว เราก็แพลนว่าจะเอาเศษผ้าพวกนี้มาลองทำงาน patchwork ดู เพราะชอบ texture มาก อยากทำผลงานที่มีความนูนหรือเป็นขนๆ มากขึ้น

“ต่อไปอยากขยับไปทำของตกแต่งบ้าน ปลอกหมอนอิง แจกัน โคมไฟ ตั้งใจไว้ว่าอยากให้ลายของเราไปอยู่บนสินค้าทุกอย่าง ไปอยู่บนเซรามิกหรือออกมาเป็นงาน sculpture และของตกแต่งต่างๆ อยากลองทำเพราะความจริงก็ชอบ interior ด้วย”

Beloved Brand Aesthetics 

หลังจากทำแบรนด์มาหลายปี การสร้างแบรนด์มารียองสยามของแพทเป็นไปอย่าง slow and steady คือเติบโตช้าๆ แต่มั่นคงและสื่อสารเอกลักษณ์ของแบรนด์ชัด  

“แบรนด์มารียองสยามจะเติบโตไปตามสถานการณ์ แอบรู้สึกว่าแบรนด์เราโตไปพร้อมๆ กับคนอื่นประมาณหนึ่งเหมือนกัน เราไม่ได้ตามแฟชั่นมากขนาดนั้น เราไม่ค่อยได้ดูเทรนด์เพราะเราทำไม่ทันเทรนด์อยู่แล้ว ด้วยกระบวนการกว่าจะทำผ้า กว่าจะตัดเสื้อผ้า มันใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าปกติ เราไม่สามารถไปแข่งกับคนอื่นได้ เราพยายามทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนตัวเองไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น”

สำหรับแพท สิ่งที่แพงที่สุดคือเวลาที่ใช้ไปในการทำงาน ซึ่งเป็นต้นทุนที่นำมาใช้คำนวณการตั้งราคาเสื้อผ้า “เราต้องคำนวณว่าวันหนึ่งเราทำผ้าได้กี่ผืน เพราะว่าผ้าแต่ละลายก็ใช้เวลาไม่เท่ากัน แต่ในการตั้งราคาเสื้อผ้าแต่ละตัว เราก็ไม่ได้อยากให้ลูกค้ารู้สึกว่าราคามันต่างกันขนาดนั้น เวลาคิดออกแบบลาย เราก็เลยพยายามดูว่าราคาสุดท้ายที่ลูกค้ารับได้จะโอเคที่ประมาณไหน แล้วก็ค่อยแบบออกแบบสินค้าให้เหมาะกับราคาช่วงนั้นอีกทีหนึ่ง  

“ส่วนสิ่งที่ท้าทายที่สุดในการทำแบรนด์น่าจะเป็นการทำผ้า เพราะเราต้องทำเอง เขียนเองทั้งหมด มันเป็นงานฝีมือมากๆ ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งเลยในการทำผลงานแต่ละครั้งขึ้นมา เราเคยพยายามอยากให้มีคนช่วยลองเขียนผ้าบาติก เคยสอนคนอื่นแล้วแต่ว่ายังทำไม่ได้ เพราะมันถ่ายทอดยากประมาณหนึ่ง

“คือเราต้องสอนเขาวาดรูป ซึ่งมันยาก แล้วคนที่มีฝีมือมากพอที่จะมาวาดรูป เขาก็ไปวาดของตัวเอง ไม่ได้อยากจะมาวาดให้เราแล้ว ตรงนี้เลยเป็นสิ่งที่ยังรู้สึกว่ามันยากอยู่ แต่ก็พยายามปรับไปเรื่อยๆ ให้ทำงานได้เร็วขึ้นหรือให้คนอื่นมาช่วยในส่วนที่พอจะช่วยได้”

สิ่งสำคัญที่สุดในการคงความเป็นที่รักของแบรนด์ Marionsiam ซึ่งเป็นคำภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า ‘อันเป็นที่รัก’ จึงเป็นการรักษา aesthetics ของแบรนด์ให้เหมือนวันแรกๆ ที่แฟนคลับแบรนด์ตกหลุมรัก

“อยากให้ทุกอย่างของแบรนด์เรายังคงความสวยงามอยู่เหมือนเดิมตามแบบที่เราชอบ ตอนนี้ยังมีช่วงที่ทำช้า แต่ก็ยังอยากทำแบรนด์โดยที่เรายังรู้สึก enjoy กับงานที่ทำอยู่ แล้วคนก็ชื่นชอบงานของเราอยู่โดยยังคงความเป็นแบรนด์เราแบบนี้ต่อไปได้เรื่อยๆ”

Editor’s Note : Wisdom from Conversation
ในขณะที่หลายคนมองหาความนิ่งผ่านการนั่งสมาธิ แพท เจ้าของแบรนด์บาติก มารียองสยาม กลับค้นพบสมาธิของตัวเองผ่านปลายจันติ้งและเส้นเทียนที่ไหลไปบนผืนผ้า สำหรับแพท การเขียนลายบาติกไม่ใช่แค่ ‘การวาดรูป’ แต่คือการอยู่กับปัจจุบันแบบลึกซึ้ง พร้อมกับการคิดล่วงหน้าถึงเส้นถัดไปที่มือจะวาด เป็นการฝึกสมาธิที่ไม่ใช่การหยุดนิ่ง แต่คือการเคลื่อนไหวมืออย่างมีสติในทุกจังหวะที่เทียนไหลออกมา

Free Hand, Free Mind คือบทเรียนชีวิตที่ลึกซึ้ง ความนิ่งไม่จำเป็นต้องหมายถึงหยุด แต่หมายถึงการเคลื่อนด้วยใจที่นิ่งพอจะเห็นทางข้างหน้าอย่างชัดเจน ไม่หวั่นไหว และพร้อมจะยืดหยุ่นไปกับเนื้อผ้าแต่ละชนิดที่เพนต์แต่ละครั้งก็ไม่มีวันเหมือนกัน เปรียบได้กับชีวิตที่ไม่มีแบบแผนตายตัว มีเพียงใจที่ฝึกมาเท่านั้น ที่จะรู้ว่าเมื่อไหร่ควรประคองเส้นให้ช้า หรือเมื่อไหร่ควรปล่อยให้ไหลไปอย่างอิสระ
ในโลกธุรกิจที่เร่งรีบและเน้นยอดขาย มารียองสยามกลับเลือกเส้นทางที่ช้าลง แต่มั่นคงกว่า เลือกเป็น Urban Craft  ที่ไม่เร่งรีบให้แบรนด์ต้องเปลี่ยนแปลงตามเทรนด์ แต่ค่อยๆ สะสมคนที่ตกหลุมรักตัวตนของแบรนด์จริงๆ 

แพทเข้าใจว่าแบรนด์ที่ดีไม่จำเป็นต้องสะท้อนตัวตนของเจ้าของทั้งหมด แต่ต้องมองเห็น ‘คนที่จะใส่’ อย่างแท้จริง และออกแบบผลงานด้วยความเข้าใจว่า aesthetics ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่คือความรู้สึกที่คนรับรู้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย และนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้แบรนด์กลายเป็น ‘ที่รัก’ ได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพราะเติบโตไวที่สุด แต่เพราะไม่เคยเร่งรีบจนละเลยหัวใจของตัวเอง