Central Pattana Residence เดินหน้าโตต่อเนื่อง เปิดโครงการใหม่รวมมูลค่า 16,000 ล้านบาท

หนึ่งในเทรนด์การพัฒนาเมืองที่มาแรงคือโมเดล retail-led mixed-use development ซึ่งผู้พัฒนาเจ้าแรกๆ ของไทยเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Central Pattana 

นอกจากเมื่อต้นปีจะเปิดตัวหลายโครงการมิกซ์ยูสแล้ว เซ็นทรัลพัฒนายังตอกย้ำความแข็งแกร่งของธุรกิจที่อยู่อาศัยด้วยการเดินหน้าพัฒนาโครงการบ้านและคอนโดฯ ควบคู่ศูนย์การค้า ล่าสุดเตรียมเปิดตัว 9 โครงการใหม่ทั้งแนวราบและแนวสูงในปี 2568 รวมมูลค่า 16,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 7,000 ล้านบาท ขยายครอบคลุม 21 จังหวัดทั่วประเทศ และมีโครงการสะสมในพอร์ตถึง 51 โครงการภายในปีนี้

หนึ่งในนั้นคือโครงการ ‘บ้านนิรดา แจ้งวัฒนะ-ชัยพฤกษ์’ บ้านเดี่ยวลักชัวรี่ เริ่มต้นที่ 25 ล้านบาท

ตอบโจทย์ครอบครัวรุ่นใหม่ที่มองหาความเป็นส่วนตัวบนทำเลศักยภาพทางฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ บ้านนิรดาออกแบบภายใต้แนวคิด ‘ชีวิตเรียบหรูที่ใกล้ชิดธรรมชาติ’ ด้วยดีไซน์ organic modern จำนวนจำกัดเพียง 68 ยูนิต เชื่อมต่อถนนหลักและรถไฟฟ้าสายสีชมพู รายล้อมด้วยสังคมคุณภาพ โรงเรียนนานาชาติ และศูนย์การค้าขนาดใหญ่

นอกจากนั้น ในไตรมาสที่ 3 ยังเตรียมเปิดตัวโครงการระดับ super premium ทั้ง BAAN NINYA และคอนโด PHYLL ภายในโครงการมิกซ์ยูสเซ็นทรัล กระบี่ และเปิดคอนโด PHYLL Phuket 2 รองรับการเติบโตของ luxury zone ที่เซ็นทรัล ภูเก็ต นอกจากนี้ยังเดินหน้าเปิดโครงการ BAAN NINYA รามอินทรา, BAAN NINYA กรุงเทพกรีฑา และคอนโด PHYLL พหล 59 ในกรุงเทพฯ

ส่วน ESCENT คอนโดพรีเมียมติดเซ็นทรัลหลายจังหวัดที่ได้รับการตอบรับดีเยี่ยม เช่น นครสวรรค์ นครปฐม และภูเก็ต ส่วนโครงการบ้านแนวราบครอบคลุมตั้งแต่ premium ไปจนถึง super luxury ทั้ง NIYHAM, BAAN NIRATI, และ BAAN NINYA มียอดขายเตรียมปิดโครงการหลายแห่งในปีนี้

ทั้งหมดนี้ออกแบบเพื่อรองรับทุกช่วงวัย ทั้ง first jobber และ multi-generation ด้วยดีไซน์ที่ยืดหยุ่น รองรับการต่อเติมในอนาคต อาทิ ห้องอเนกประสงค์ พื้นที่ living & dining ที่กว้างขวาง และฟังก์ชั่นโปร่งโล่ง เหมาะกับการใช้ชีวิตในระยะยาว

ใครที่สนใจ เซ็นทรัลพัฒนาเตรียมจัดงานใหญ่ระหว่างวันที่ 29 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2568 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ Central Court ชั้น 1 พร้อมข้อเสนอพิเศษจากบ้าน คอนโดฯ และทาวน์โฮมทั่วประเทศ ราคาเริ่มต้นที่ 1.39-52 ล้านบาท พร้อมส่วนลดสูงสุด 6 ล้านบาท รับคะแนน The 1 สูงสุด 100,000 พอยต์ และ Central Gift Voucher มูลค่า 5,000 บาท

ส่อง 6 ปรากฏการณ์สุดป่วนของ Stitch กับการตลาดที่สะกิดใจคนดู

หลายคนคงคุ้นตากับเจ้าหมาสีฟ้า (ที่ไม่ได้เป็นหมาจริงๆ) อย่าง ‘สติทช์’ (Stitch) ที่ครองใจผู้ชมด้วยความซน ซ่า และน่ารักมาอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงปี 2002 ที่ภาพยนตร์แอนิเมชั่นลีโลแอนด์สติทช์ (Lilo & Stitch) ออกฉาย ทั้งยังทำรายได้ไปกว่า 273 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทุนสร้างทั้งหมด 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในตอนนั้น

ความน่ารักของสิ่งมีชีวิตทดลองจากต่างดาวที่มีพลังทำลายล้างสูงนี้เอง ที่ทำให้วอลท์ ดิสนีย์ (Walt Disney) นำเรื่องราวของเพื่อนซี้ต่างสปีชีส์ระหว่างลีโลและสติทช์มาเล่าต่อทั้งในรูปแบบภาพยนตร์และซีรีส์ ล่าสุดเจ้าตัวแสบสติทช์และ ‘ลีโล’ สาวน้อยชาวฮาวายเพื่อนรักของเขาก็ได้กลับมารื้อฟื้นความทรงจำวัยเด็กของทุกคนอีกครั้งกับภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่นในชื่อเดิมอย่าง ลีโลแอนด์สติทช์ (Lilo & Stitch) และได้ออกฉายให้ได้ชมพร้อมกันทั่วโลกไปแล้วเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา 

ความน่าสนใจคือ ภาพยนตร์เรื่องนี้มียอดการขายตั๋วล่วงหน้ามากที่สุดสำหรับภาพยนตร์เรตติ้ง PG ตั้งแต่วันแรกที่เปิดขายในสหรัฐฯ บนแพลตฟอร์ม Fandango ของปี 2025 ซึ่งแซงหน้าภาพยนตร์ในปี 2025 ทั้งหมดในการขายตั๋วล่วงหน้าในช่วงเวลาเดียวกันของรอบการขาย และยังได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 10 ภาพยนตร์ฤดูร้อนที่ได้รับการรอคอยมากที่สุดจากการสำรวจ Moviegoing Trends and Insights Study ประจำปี 2025 ของ Fandango จากผู้ซื้อตั๋วมากกว่า 5,000 คน

ตั้งแต่การเปิดตัวว่าจะสร้างภาพยนตร์ ไปจนถึงช่วงทีเซอร์ออกฉาย กระแสคำชมก็คงยังแรงดีไม่มีตก ผู้ชมที่รอคอยต่างยกย่องลีโลแอนด์สติทช์ในครั้งนี้ให้เป็น ‘ภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่นที่ดีที่สุดของดิสนีย์’ และตั้งตารอรับชมภาครีเมคนี้ของภาพยนตร์แห่งความทรงจำอันอบอุ่นใจในวัยเด็ก

ด้วยข้อมูลทั้งหมดนี้ ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่า ลีโลแอนด์สติทช์ 2025 จะมีรายได้จากการเปิดตัวในสหรัฐฯ ของภาพยนตร์ในช่วงวันหยุดของวันรำลึกทหารผ่านศึก (Memorial Day) อยู่ที่ประมาณ 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดการณ์อีกว่าน่าจะทำรายได้ในการเปิดตัวทั่วโลกมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะไปแตะรายได้ระดับ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั่วโลกได้อย่างง่ายดาย

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับดีเกินคาด เพราะรายได้หลังออกฉายทั่วโลกในสุดสัปดาห์แรกนั้นมากถึง 341 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทุนการสร้างทั้งหมด 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ลีโลแอนด์สติทช์เวอร์ชั่นนี้พุ่งทะยานเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่จะทำรายได้มากเป็นอันดับต้นๆ ของปี นับว่าปีนี้ลีโลแอนด์สติทช์มีโอกาสกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ในวงการภาพยนตร์ของวอลท์ ดิสนีย์ได้อีกครั้ง

สิ่งที่ทำให้ผู้ชมต่างตั้งตารอชมกันทั่วโลก คือการเคารพต้นฉบับเดิมในปี 2002 โดยเฉพาะการแคสต์นักแสดงหลักอย่างลีโล ที่ได้ ‘ไมอา เคโลฮา’ (Maia Kealoha) สาวน้อยสายเลือดฮาวายแท้ ที่ผู้ชมต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่นที่แคสต์ได้ตรงต้นฉบับ ทำให้ได้รับความสนใจ รอชมการแสดงของนักแสดงในเวอร์ชั่นนี้

อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ทำให้ลีโลแอนด์สติทช์ได้รับการพูดถึงก่อนการฉาย คือการตลาดที่แตกต่างแต่น่าจดจำ การฉีกออกจากกรอบเดิมของวอลท์ ดิสนีย์ในครั้งนี้ ทำให้เป็นที่พูดถึงและได้รับความสนใจทั่วโลก คอลัมน์ Recap จึงขอมัดรวม 6 การตลาดสุดป่วนจากสติทช์ ว่าทำยังไงให้แสบซ่าและครองใจผู้คนมากกว่าเก่า ไปดูกันว่าเจ้าแสบตัวนี้จะไปสุดที่ตรงไหน

1. ขึ้นชื่อว่า ‘ตัวป่วน’ ก็ขอไปก่อกวนในงานแข่ง Super Bowl

    ใครจะไปคิดว่าระหว่างที่กำลังรับชมการแข่งขันชิงแชมป์อเมริกันฟุตบอลประจำปี 2025 อย่าง ‘Super Bowl ครั้งที่ 59’ อย่างเพลินๆ นั้นจะเกิดความโกลาหลขึ้นบนสนามแข่งตรงหน้าเรียกเสียงฮือฮาขึ้นมา 

    สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่การส่งเสียงเชียร์ประธานาธิบดีทรัมป์ (Donald Trump) หรือเสียงโห่ไล่เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) จากแฟนคลับทีมอีเกิลส์ (Philadelphia Eagles) แต่เป็นการปรากฏตัวของเอเลียนสีฟ้ารหัส 626 อย่าง ‘สติทช์’ บนสนามแข่ง Super Bowl ที่พนักงานในสนามต่างวิ่งไล่จับกันอย่างทุลักทุเล แต่ก็ไม่มีใครจัดการกับเจ้าแสบตัวนี้ได้ ทั้งยังแสดงความแสบอย่างเต็มพิกัดด้วยการประกาศออกไมค์ดังลั่นทั่วทั้งสนามด้วยประโยคประจำตัวที่ว่า “meega nala kweesta”

    นี่เป็นทีเซอร์โปรโมตสุดชาญฉลาดของวอลท์ ดิสนีย์ ที่แสดงให้เห็นถึงความปั่นป่วนของเจ้าเอเลียนตัวนี้ได้อย่างน่าสนใจ และทำให้ผู้ชมได้เห็นตัวอย่างการใช้ CG ของเจ้าตัวสติทช์ได้อย่างชัดเจนขึ้น ทำให้ทีเซอร์ 30 วินาทีตัวนี้เป็นการตลาดที่เกิดประโยชน์สำหรับการเปิดตัวภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่นลีโลแอนด์สติทช์ของปีนี้ได้อย่างดีเยี่ยม

    2. เปิดตัวแบบใหม่แบบสับ ในโปสเตอร์ล้อเลียนการ์ตูนดิสนีย์สุดคลาสสิก

    มาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าจะเปิดตัวด้วยโปสเตอร์โปรโมตภาพยนตร์แบบเดิมๆ ที่แสนจะเบสิกคงจะเสียชื่อเจ้าตัวแสบประจำวอลท์ ดิสนีย์ นี่จึงเป็นอีกครั้งที่เจ้าสติทช์ดึงดูดความสนใจจากผู้ชมทั่วโลก จากโปสเตอร์เวอร์ชั่นครอสโอเวอร์กับภาพยนตร์ตระกูลเจ้าหญิงแห่งวอลท์ ดิสนีย์สุดคลาสสิกที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี

    ทั้ง Cinderella, Aladdin, Snow White และ Beauty and the Beast โดยเจ้าหมาฟ้าจะแสดงตัวบนโปสเตอร์ด้วยท่าทางและสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับเจ้าหญิงในแต่ละเรื่องได้อย่างน่ารักและลงตัว นับเป็นการโปรโมตที่น่าสนใจและถือโอกาสยกย่องเจ้าหญิงของดิสนีย์แบบทางอ้อมไปในตัวด้วย

    ก่อนหน้าที่มีการเผยแพร่โปสเตอร์เวอร์ชั่นดังกล่าว เจ้าสติทช์ก็เคยถูกโปรโมตแบบครอสโอเวอร์กับภาพยนตร์เดอะไลอ้อนคิง (The Lion King) จากวอลท์ ดิสนีย์มาแล้ว แถมยังปรากฏตัวบนเฟรมวิดีโอทีเซอร์ที่เจ้าหมาฟ้าถูกยกขึ้นมาจากทะเลคล้ายกับฉากภาพจำของเดอะไลอ้อนคิงอย่างน่าเอ็นดู

    สติทช์ไม่ได้หยุดความซุกซนของเขาไว้แค่นี้ เพราะเจ้าหมาเอเลี่ยนยังปรากฏตัวบนโปสเตอร์ของตนเองในเวอร์ชั่นที่ซนกว่าเดิม ด้วยการคาบลูกบอลพิกซาร์ (Pixar) ไว้ในปากและรายล้อมไปด้วยสัญลักษณ์ที่อ้างอิงถึงภาพยนตร์ที่โด่งดังที่สุดของดิสนีย์อย่าง Avengers และ Star Wars รวมไปถึงโลโก้ของ 20th Century Fox และ Marvel Studios ที่ปรากฏบนโปสเตอร์ของเขา ซึ่งได้รับความคิดเห็นจากแฟนคลับอย่างขบขันว่าเหล่าซูเปอร์ฮีโร่จะพยายามมาจับสติทช์ และหลายคอมเมนต์ก็พูดไปในทิศทางเดียวกันว่าโปสเตอร์เวอร์ชั่นนี้เจ๋งมาก

    3. ทะลุโปสเตอร์ Thunderbolts มาโชว์ตัวกลาง LA

    แม้แต่เพื่อนร่วมชายคาเดียวกันอย่าง Thunderbolts ภาพยนตร์แนวซูเปอร์ฮีโร่จาก Marvel Studios ที่กำลังโปรโมตโปสเตอร์บนป้ายบิลบอร์ดกลางลอสแอนเจลิสในระหว่างการฉายช่วงต้นเดือนพฤษภาคมก็เอากับเขา

    โปสเตอร์ที่ว่านี้มีนักแสดง Thunderbolts ยืนถ่ายรูปร่วมกันบนกล่องซีเรียล ซึ่งเป็นการเลียนแบบเรื่องตลกจากภาพยนตร์เกี่ยวกับซูเปอร์ฮีโร่ที่ปรากฏบนกล่องซีเรียล แต่ก็ไม่วายหนีไม่พ้นการก่อกวนของเจ้าสติทช์ ในเวลาถัดมา เมื่อถึงช่วงโปรโมตภาพยนตร์หมาสีฟ้า โปสเตอร์ก็ปรากฏเป็นภาพเจ้าสติทช์กำลังฉีกกล่องซีเรียลทะลุออกมาจากโปสเตอร์ด้วยสีหน้าสุดดื้อ ทำเอาผู้คนที่สัญจรในบริเวณนั้นอดที่จะถ่ายรูปมาแซวการแย่งซีนนี้ไม่ได้

    สิ่งนี้ยิ่งตอกย้ำความสำเร็จในการโปรโมตภาพยนตร์และคาแร็กเตอร์ของสติทช์ เพราะได้รับการพูดถึงบนหน้าไทม์ไลน์ในแพลตฟอร์มต่างๆ อย่างน่าสนใจ

    4. ทักทายให้ชาวโลกแตกตื่นบนระเบียงข้างห้องพัก Lady Gaga

    เมื่อป๊อปสตาร์แห่งยุคอย่าง ‘เลดี้กาก้า’ (Lady Gaga) มีตารางการแสดงคอนเสิร์ต Gaga in Rio ซึ่งจัดขึ้นในบริเวณชายหาดโคปาคาบานา เมืองริโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล ด้วยความมีชื่อเสียงของเลดี้กาก้าบวกกับเป็นคอนเสิร์ตฟรีที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ ทำให้แฟนคลับต่างเดินทางมาทักทายและพบปะกับเธอในบริเวณเขตโรงแรมกันอย่างหนาแน่น

    แต่บุคคลที่ออกมาตอบรับเสียงเรียกของแฟนคลับนั้นกลับไม่ใช่คนเดียวกันกับที่รอคอย แต่เป็นเจ้าหมาเอเลี่ยนสีฟ้าหน้าคุ้นที่เผยตัวบนระเบียงที่พักของเลดี้กาก้า สติทช์เองก็ทำหน้าที่เป็นป๊อปสตาร์ได้อย่างยอดเยี่ยมและสร้างบรรยากาศระหว่างรอชมคอนเสิร์ตของเลดี้กาก้าได้อย่างสนุกสนาน 

    การปรากฏตัวของสติทช์ในครั้งนี้ถือเป็นการนำกลยุทธ์ชื่อที่สอดคล้องกับแฟนคลับของเลดี้กาก้ามาใช้โปรโมตภาพยนตร์อย่างมีนัยสำคัญ เพราะชื่อที่ใช้สำหรับเรียกแฟนคลับของเลดี้กาก้า คือลิตเติลมอนสเตอร์ (Little Monster) ซึ่งสติทช์เองก็เป็นมอนสเตอร์เหมือนกัน ทำให้การโปรโมตในครั้งนี้น่าจดจำและได้รอยยิ้มจากเหล่าลิตเติลมอนสเตอร์ทั่วโลกไปอย่างล้นหลาม

    5. เซอร์ไพรส์ผู้ชมด้วยการเป็นพนักงานหน้าใหม่ในโรงภาพยนตร์

    นอกจากสติทช์จะเป็นผลงานจากการวิจัยของด็อกเตอร์จัมบา เป็นเพื่อนรักสุดซี้ของลีโล เป็นโอฮาน่าของลีโลและนานี (Nani) และเป็นนักแสดงหลักในภาพยนตร์ลีโลแอนด์สติทช์แล้ว ล่าสุดเจ้าตัวป่วนสติทช์ยังได้เดบิวต์อาชีพใหม่ใกล้ฉัน ด้วยการเป็นพนักงานโรงภาพยนตร์ในระหว่างที่ภาพยนตร์กำลังเข้าฉาย ซึ่งพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าเจ้าตัวเล็กนี้ไม่ยอมอยู่นิ่งสักวินาทีเลยจริงๆ

    หน้าที่ของเจ้าพนักงานจิ๋วตัวนี้ คือการเป็นพนักงานตรวจตั๋วเข้าชมก่อนเข้าโรงภาพยนตร์ ซึ่งน้องจะนั่งทักทายผู้ชมและถือเครื่องยิงบาร์โค้ดรอสแกนตั๋วอยู่หน้าโรงภาพยนตร์ที่กำลังฉายไลฟ์แอ็กชั่นของลีโลแอนด์สติทช์

    ถึงแม้จะทำหน้าที่เป็นพนักงานที่บริการได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว ก็ยังคงคาแร็กเตอร์เจ้าตัวป่วนไว้ไม่มีเปลี่ยน เพราะอีกหน้าที่ของสติทช์ที่สำคัญกว่า คือคอยแกล้งผู้ชมระหว่างการซื้อป๊อปคอร์น โดยโผล่มาจากถังป๊อปคอร์นให้ผู้ชมตกใจ รวมถึงยังทำหน้าที่ตรวจความเรียบร้อยในโรงภาพยนตร์ด้วยการซิ่งรถสี่ล้อสีชมพูสุดโดดเด่นคันเดียวกับในทีเซอร์เปิดตัว มาป่วนผู้ชมในโรงภาพยนตร์

    6. ออกรายการพูดคุยกับมนุษย์ดุจดาราท่านหนึ่ง

    เมื่อนักแสดงหรือศิลปินมีผลงานที่ถูกปล่อยออกมาในสื่อสาธารณะ ผู้คนเหล่านี้มักจะไปออกรายการเพื่อพูดคุยและโปรโมตผลงานของพวกเขากันเป็นเรื่องปกติ เพราะทั้ง Maia Kealoh ผู้รับบทลีโล และ Sydney Elizebeth Agudong ผู้รับบทนานี ต่างก็มาร่วมพูดคุยกับสื่อในรายการต่างๆ เพื่อเล่าเรื่องราวความประทับใจในการถ่ายทำภาพยนตร์

    งานนี้เจ้าหมาสีฟ้าพูดได้อย่างสติทช์ก็เอากับเขาด้วย และเจ้านี่ก็ฮอตกว่านักแสดงทั้งหมดของภาพยนตร์อย่างเห็นได้ชัด เพราะไม่ว่าจะออกรายการเดี่ยว รายการคู่ รายการกลุ่ม เจ้าสติทช์ก็ขอเหมาหมด ทั้งรายการจากช่อง IGN Entertainment, Fandango, mitu, Fotogramas ฯลฯ รวมถึงเปิดไลฟ์สดเองในช่อง Disney Studios เพื่อพูดคุยกับแฟนคลับจากทั่วโลกอีกด้วย

    เจ้าหมาเอเลี่ยนได้ให้สัมภาษณ์กับรายการต่างๆ อย่างสนุกสนานและคงคาแร็กเตอร์ได้ดีแบบสุดๆ ทั้งการเล่าว่าสติทช์อยากเป็นโทนี่ สตาร์ก (Tony Stark) และให้เรียกเขาว่า ไอรอน สติทช์ (Iron Stitch) หรือการบอกว่านอกจากที่สติทช์จะเป็นแฟนคลับของเอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley) แล้ว เจ้าตัวเล็กยังเป็นแฟนคลับเจโฮป (j-hope) ศิลปินจากวงเคป๊อปชื่อดังทั่วโลกอย่าง BTS อีกด้วย

    Ikigai Spa สปาที่อยากให้ทุกคนได้รีชาร์จแล้วออกไปสร้าง ikigai ของตัวเอง

    บทสนทนาของเราวันนี้ เริ่มต้นด้วยชาเก๊กฮวย 1 ถ้วย และขนมชิ้นพอดีคำ 

    ด้วยบรรยากาศแสนผ่อนคลาย สารภาพตามตรงว่าอดไม่ได้ที่จะอยากรีบพูดคุย รีบไปพักผ่อน แต่เพราะเรื่องราวของ Ikigai Spa จากคำบอกเล่าของสองผู้ก่อตั้งอย่าง มายด์–ชนากานต์ วราสภานนท์ และทราย–ศวิตา จงรัตนากุล นั้นแสนพิเศษ รู้ตัวอีกที เรากลับสนทนากันเนิ่นนานจนจิบชาเก๊กฮวยหมดทั้งกา

    Ikigai Spa ตั้งอยู่ในโรงแรม Craftman Bangkok แถวอารีย์ ที่นี่ก่อตั้งมานานกว่า 5 ปี พอๆ กับการเกิดขึ้นของโรงแรม และมาพร้อมๆ กับช่วงโควิด-19 ซึ่งในห้วงเวลานั้น คำว่า ikigai หรือ 生き甲斐 ในภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า ‘เหตุผลของการมีชีวิตอยู่’ หรือ ‘สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีคุณค่า’ กำลังเป็นที่สนใจของผู้คน 

    หนึ่งในนั้นคือทรายและมายด์ สองสาวที่ออกมาต้อนรับเราเข้าสู่ห้วงของ ikigai

    “ถ้าอธิบายคร่าวๆ มันคือการเข้าใจเรื่องเป้าหมายการดำรงอยู่ของชีวิต บางคนอาจจะยังไม่เจอก็ได้ แต่กับคนที่เจอแล้วว่าเป้าหมายเขาคืออะไร เขาจะรู้สึกว่าในทุกๆ วันที่ลืมตาตื่นมันมีความหมาย ทั้งจากสิ่งที่เราทำแล้วเรารัก สิ่งที่ทำแล้วเราได้ประโยชน์ สิ่งที่ทำแล้วสังคมได้ประโยชน์ และสิ่งที่เราทำได้ดี

    “ทรายรู้สึกว่าทรายกับมายด์ชอบดูแลคนอื่น เรามีจิตใจบริการ มันเหมือนเป็น ikigai ของเรา และมันเลยประจวบเหมาะมากๆ กับวันที่เราจะทำแบรนด์สปา จนคิดว่าชื่อ ikigai เหมาะสมที่สุด”

    โปรแกรมของ Ikigai Spa ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน หรูหรา กลับกัน ทั้งคู่ตั้งใจออกแบบโปรแกรมนวดและสปาให้เรียบง่ายที่สุด ทว่าในความเรียบและง่ายเหล่านั้นกลับคราฟต์ขึ้นอย่างเข้าใจและใส่ใจ 

    ก่อนที่ต้องขอชาเก๊กฮวยอีกสักถ้วย เราอยากพาทุกคนไปเข้าใจแก่นแท้ของ Ikigai Spa ผ่านบทสนทนาต่อไปนี้ ไม่แน่ว่าเมื่ออ่านจนจบ คุณอาจค้นพบเหตุผลของการมีชีวิตอยู่

    ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง

    สปาที่โอบอุ้มทุกคน

    “คำว่า ikigai มันค่อนข้างส่งผลกับทุกองค์ประกอบของแบรนด์เลย” ทรายเกริ่นกับเราก่อนส่งไม้ต่อให้มายด์

    “จะสปาที่ไหน จุดที่เหมือนกันก็คือการนวด แต่หนึ่งในคีย์หลักของ Ikigai Spa คือเราอยากให้คนที่รับบริการรู้สึกถึงความใส่ใจ ความโอบอุ้ม เราพยายามคิดว่าวันหนึ่งๆ ลูกค้าเขาเจอกับอะไรมาบ้างแล้วเขาต้องการอะไรบ้าง”

    จากคำถามนั้นเอง มายด์และทรายตกตะกอนจนได้เป็น Ikigai Spa ที่มีความเรียบง่าย สบายใจ เป็น Ikigai Spa ที่พร้อมโอบอุ้มลูกค้า เป็น Ikigai Spa ที่พร้อมให้ทุกคนได้เป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ และเป็น Ikigai Spa ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวัน 

    ทั้งรูป รส กลิ่น เสียงใน Ikigai Spa นั้นจึงคิดมาแล้วอย่างรอบคอบ

    –รูป

    พื้นที่ปัจจุบันของ Ikigai Spa แบ่งเป็น 2 ส่วน พื้นที่ชั้นบนเน้นเปิดรับแสงสว่างตอบโจทย์คนที่ชอบแสงธรรมชาติ ส่วนพื้นที่ด้านล่างออกแบบให้กะทัดรัด เหมาะกับคนรักความเป็นส่วนตัว ห้องหับและโถงทางเดินยังเน้นการใช้สีขาวและไม้เพื่อสื่อถึงธรรมชาติและความเรียบง่าย ในทุกห้องยังมีห้องน้ำในตัวเพื่อเพิ่มความสบายกาย สบายใจ เรียกว่าตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกคนสามารถเป็นตัวเองได้เต็มที่ 

    และหากใครเป็นลูกค้าประจำ อาจสังเกตเห็นว่า Ikigai Spa มีรายละเอียดเล็กๆ ที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วง เพราะมายด์และทรายให้ศิลปินเข้ามาตกแต่งพื้นที่ในธีมที่แตกต่างกันด้วยดอกไม้ ต้นไม้ ที่อยู่ได้ยาวนานไม่สร้างขยะเพิ่มเติม ซึ่งคอนเซปต์ช่วงนี้คือ water กับ stone หรือการไหลเวียนของหินและน้ำเพื่อสื่อถึงการบาลานซ์พลังงาน 

    –รส 

    หากใครเคยใช้บริการนวดและสปาในหลายที่ เชื่อว่าชามะตูม ชามะลิ หรือชาตะไคร้ น่าจะเป็นเครื่องดื่มพื้นฐานที่สปาหลายแห่งเลือกใช้ แต่กับที่ Ikigai มายด์และทรายพยายามเฟ้นหาสิ่งที่ทั้งคู่คิดว่าจะมอบประสบการณ์พิเศษให้ลูกค้าได้  

    “อย่างชาแก้วนี้ก็เป็นชาเก๊กฮวยจากดอยแม่สลองที่ขึ้นเองในป่า เราไปเฟ้นหาและซื้อตรงจากชาวเขาเพื่อให้ชาวเขาได้ราคาที่เป็นธรรมที่สุด มันเป็นเกรด michelin star ที่เราเองก็ไปขอทรายว่าขอใช้ได้ไหมเพราะมันตอบโจทย์ความเป็น ikigai มากๆ” มายด์อธิบายถึงที่มาชาเก๊กฮวยที่เราจิบและเผลอดื่มจนหมดไปแล้ว 1 ถ้วย

    –กลิ่น

    สองเพื่อนซี้ตระเวนหากลิ่นน้ำมันหอมระเหยที่ใช่ของ ikigai อยู่นานจนได้เป็น 3 กลิ่นหลักอย่าง Breath ที่ให้ความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าด้วยเบสส้มซิทรัส Calm เบสจากใบบัวบกที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย และ Power ที่มีขมิ้นเป็นส่วนผสมหลัก ให้ความรู้สึกถึงพลัง

    “ช่วงเวลาแต่ละวันของคนเรายังไม่เหมือนกันเลย เราเลยอยากตอบโจทย์คนเมืองที่มีไลฟ์สไตล์ต่างกันมากๆ วันนี้เราอาจจะรู้สึกอ่อม อีกวันอาจจะอยากไปออกกำลังกายก็ได้ หน้าที่ของเราคือการให้ทางเลือกว่าวันนี้ลูกค้าอยากได้ความรู้สึกและพลังแบบไหนกลับไป” มายด์เล่า

    และที่ขาดไปไม่ได้–เสียง

    แต่ก่อน มายด์และทรายเลือกใช้เพลงปกติเช่นสปาอื่นๆ แต่ทั้งคู่รู้สึกว่าการนวดควรผนวกหลายด้านเข้าด้วยกัน พวกเธอจึงให้นักทำเพลงเข้ามาลองเล่น และอัดเพลงในพื้นที่สปาเพื่อหามู้ดและโทนที่เหมาะสมและทำให้ลูกค้ารู้สึกง่วง รู้สึกได้ผ่อนคลาย 

    “ทุกอย่างมันถูกคิดจากคำถามที่ว่าเราจะดูแลลูกค้าแต่ละคนยังไงให้เขาหายเมื่อย ให้เขารู้สึกได้รีชาร์จ เพราะเราอยากเป็นสปาที่โอบอุ้มลูกค้าได้ เราไม่ต้องการให้คนเข้ามาแล้วรู้สึกอึดอัด เราอยากดูแลให้ลึกลงไปถึง soul ไม่ใช่แค่ physical” มายด์อธิบาย 

    สปาที่แก้ทุก pain point

    ‘สปาที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน’ 

    ประโยคนี้เป็นจริงบางส่วน เพราะไม่ว่าหลักการนวดแต่ละที่จะแตกต่างกันแค่ไหนก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของตำรับตำราที่ได้รับการรับรอง ผสมผสานไปกับความปลอดภัยอันเป็นหัวใจสูงสุด

    ‘สปาที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน’ 

    ประโยคนี้ก็ยังมีข้อที่ไม่จริงอยู่บ้าง เพราะแต่ละสปานั้นคงต้องพยายามหาจุดต่างของตัวเองให้ได้ และสำหรับ Ikigai Spa ของทรายและมายด์ จุดต่างมาจากความเข้าใจ pain point ของคนชอบสปาและการนวดโดยแท้จริง

     “เราเริ่มจาก pain point ว่าทุกวันนี้ชีวิตเราประสบปัญหาอะไรบ้างเวลาไปเข้าสปา อะไรบ้างที่เราอยากจะแก้ปัญหานั้นให้ลูกค้าเหลือเกิน”

    มายด์ยกตัวอย่างประสบการณ์การนวดตามโรงแรมห้าดาว แม้จะสบายกายสบายใจแค่ไหน แต่สิ่งที่ทั้งคู่ประสบและเชื่อว่าคนรักการนวดหลายคนอาจเห็นด้วย คือส่วนใหญ่แล้วหมอนวดหรือ therapist มักต้องนวดตามแบบแผนของโรงแรมเท่านั้นเพื่อรักษามาตรฐาน แม้หลายครั้งจะบอกให้เน้นจุดไหนมากเป็นพิเศษ เหล่า therapist ก็ไม่สามารถทำได้มากนัก อีกทั้งร้านนวดหลายแห่งมีวิธีการนวดที่นอกจากจะไม่สบายกายแล้ว ยังเจ็บใช่ย่อย 

    จาก pain point เหล่านั้น ทั้งคู่นำมาออกแบบโปรแกรมนวดแบบฉบับ Ikigai Spa ที่ไม่เพียงเทรนเรื่องการนวดให้ได้ตามมาตรฐาน มายด์และทรายยังเชิญคุณหมอเข้ามาอธิบายเรื่อง anatomy ของร่างกายเพื่อให้ therapist เข้าใจหลักการพื้นฐาน มีการเชิญเทรนเนอร์มาพูดถึงกีฬาที่คนปัจจุบันนิยม เช่น กอล์ฟ เทนนิส เพื่อให้รู้ว่าคนที่เล่นกีฬาแบบนี้ จะมีอาการที่กล้ามเนื้อตรงไหนบ้าง

    “โปรแกรมเทรนนิ่งของเราไม่ได้เน้นแค่เรื่อง physical แต่ยังไปถึงเรื่อง soul เราเอาคนที่ตีขันบำบัดมาทำเซสชั่นให้พี่ๆ therapist เพื่อให้เขารู้ว่าคนปัจจุบันมีไลฟ์สไตล์แบบไหน หรือการบำบัดมันมีแบบไหนบ้าง” 

    มายด์เล่าก่อนที่ทรายจะเสริมว่าทุกโปรแกรมของ Ikigai ค่อนข้าง customise ได้ว่าลูกค้าคนนี้ต้องการเน้นส่วนไหนเป็นพิเศษ ต้องการน้ำหนักแบบไหน อุณหภูมิห้องเท่าไหร่ แต่โปรแกรมที่ customise ได้ลึกลงไปอีกคือโปรแกรมที่ชื่อว่า healing หรือการนวดน้ำมันอุ่นที่ลูกค้าจะได้ประคบตาอุ่นไปด้วย

    “ไลฟ์สไตล์แต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ละคนก็มีไลฟ์สไตล์ในแต่ละวันที่แตกต่างกันไปอีก โปรแกรมนี้เลยเหมือนเป็นโอมากาเสะของการนวดสปา เขาบอกได้หมดเลยว่าอยากนวดตรงไหน เน้นตรงไหน” 

    มายด์เสริมว่า “อีกสิ่งสำคัญคือการปิดตา เพราะทุกวันนี้เราไม่หยุดเล่นมือถือเลย โปรแกรมนี้เลยออกแบบมาเพื่อให้คนได้ pause for a moment ให้คุณได้มาพักผ่อน ได้มาอยู่กับตัวเอง ได้มารีชาร์จแล้วก็เชื่อมโยงกับตัวเองจริงๆ

    “ถามว่าทำไมลูกค้าต้องมาใช้บริการกับเรา ง่ายๆ เลยคือเขาเหนื่อยล้าจากชีวิตประจำวัน เรามองว่าการที่เขาได้มาพักผ่อนและเติมเต็มที่ Ikigai Spa เขาจะรู้สึกถึงความหมายในการตื่นขึ้นมาในวันถัดไป”

    สปาที่ส่งมอบ ikigai ให้พนักงาน

    “เราชอบนวด ใช่ แต่สุดท้ายแก่นแท้ของการทำธุรกิจสปาคือคุณต้องมีใจบริการ” มายด์ตอบทันทีเมื่อเราขยับหัวข้อสนทนาไปสู่เรื่องที่จริงจังขึ้นอย่างความท้าทายของการทำธุรกิจสปา

    ทั้งสองยังอธิบายเพิ่มเติมว่าธุรกิจสปาคือธุรกิจบริการเต็มรูปแบบคือต้องบริการตั้งแต่ก้าวแรกที่ลูกค้าเข้ามาจนก้าวสุดท้ายที่ลูกค้าออกไป ความท้าทายของการทำสปาคือเจ้าของต้องเข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไร แล้วจะทำยังไงให้พนักงานทุกฝ่ายตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้มากเท่าที่จะทำได้ 

    เช่น ฝ่ายต้อนรับ มายด์ผู้รับหน้าที่ดูแลเรื่องการตลาด จะประชุมกับพนักงานเรื่องการสื่อสารอยู่เสมอ ตั้งแต่การตอบแชตที่ต้องไม่ใช่แค่การคัดลอกคำพูดเดิมๆ มาตอบ แต่ต้องรู้จักคราฟต์คำตอบให้มีความเป็นมนุษย์อยู่ในนั้น

    อีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือการสอนให้ therapist ทุกคนรู้จักการเข้าหาคน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าอินโทรเวิร์ตที่พูดน้อยและอาจไม่เข้าใจวิธีการเข้าถึงลูกค้านั้นมีทุกวงการ

    “เราจะลองเทสต์ เช่น ถ้ามายด์ปวดหลัง พี่ therapist จะพูดกับมายด์ยังไง พอเรามีการเทรนแบบนี้เขาก็จะไม่เกร็งมาก เมื่อเจอสถานการณ์จริงเขาจะกล้าพูดคุยกับลูกค้ามากขึ้น”

    จากคำตอบของสองเพื่อนซี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าธุรกิจนวดสปาเป็นธุรกิจที่ทำงานกับมนุษย์ล้วนๆ ตั้งแต่พนักงาน ไปจนถึงลูกค้า ทั้งมายด์และทรายจึงยืนยันหนักแน่นว่าความท้าทายที่สุดคือการดูแลคนและนี่คือศิลปะที่เจ้าของธุรกิจต้องเอาใจเข้าไปจัดการ

    “ทรายคิดว่ามันต้องใส่ใจทีมงานทุกส่วน ต้องคุยให้เขาเข้าใจว่าเป้าหมายขององค์กรคืออะไรเพื่อให้เขาส่งมอบสิ่งนั้นให้ลูกค้าได้ ที่สำคัญคือแล้วพนักงานต้องการอะไร เราต้องรับฟัง และมากไปกว่านั้นคือทำยังไงให้เขาไม่เบื่อ ให้พนักงานรู้สึกว่ามีอะไรใหม่ๆ เพื่อให้เขาแฮปปี้ที่จะอยู่กับเรา 

    “ทรายเลยคิดว่าลูกค้าของเราก็คือพนักงาน เป้าหมายของพนักงานคือทำให้ลูกค้าได้รับพลังงานที่ดีกลับไป เป้าหมายของทรายและมายด์ก็คือทำยังไงให้พนักงานมีพลังงานเพื่อส่งต่อสิ่งนั้นให้กับลูกค้า”

    ตั้งแต่ day one มายด์กับทรายจึงต้องเทสต์ therapist ด้วยตนเอง ไม่เพียงแค่เทสต์เรื่องการนวด แต่ดูว่าพลังงานของพี่ๆ แต่ละคนเหมาะสมและไปกันได้ดีกับความเป็น Ikigai หรือเปล่า 

    “มายด์ว่าเราค่อนข้างโชคดีที่ได้พี่ therapist ที่มีพลังงานที่ดีมากๆ เมื่อไหร่ที่พลังงานเขาเริ่มดร็อป เขาก็จะมีเพื่อนในแก๊งนี่แหละที่คอยช่วยเหลือกันได้ดี”

    สปาที่ชื่อว่า Ikigai

    ตั้งแต่หลังโควิด-19 คลี่คลาย เทรนด์ health and wellness กลายเป็นเทรนด์หลัก สิ่งที่น่าสนใจคือผู้คนไม่เพียงหันมาออกกำลังกายกันมากขึ้น แต่ยังหันมาออกกำลังใจกันเป็นเรื่องธรรมดา ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแวดวงนี้เฟื่องฟูขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    ยิมเปิดใหม่ขึ้นทุกหัวมุมถนน การออกกำลังกายแบบใหม่ๆ ก็เข้ามาปักหลักในไทยมากขึ้น วิถีการบำบัดมีมากกว่าการพบจิตแพทย์หรือนักจิตบำบัดเท่านั้น การดูแลตัวเองแบ่งแยกย่อยออกไปต่างกัน และการเข้าสปาก็เป็นหนึ่งในวิธีที่คนเลือก

    “มายด์ว่าแต่ก่อนคนมองว่าการเข้าสปาหรือการนวดคือ treat ที่จะทำเฉพาะโอกาสพิเศษ แต่ตอนนี้คนทำสิ่งนี้เป็นเรื่องปกติ เหมือนผนวกมันเข้าไปในชีวิตประจำวัน เช่น ออกกำลังกายเสร็จ ก็เข้าสปาต่อ สมัยก่อนคนยังไม่อยากจ่ายให้การนวด แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่”

    แต่ไม่ว่าจะด้วยเทรนด์ไหน ทั้งทรายและมายด์กลับมองว่า Ikigai Spa ไม่ได้รับผลกระทบในเชิงลบ เพราะทั้งคู่ก่อร่างสร้างสปาแห่งนี้ ด้วยความคิดและความตั้งใจว่าจะดูแลลูกค้าทั้งกายและใจอยู่แล้ว เพียงแต่สิ่งที่ต้องทำให้ได้มากกว่านั้นคือทำยังไงให้ดูแลลูกค้าได้ดีกว่าเดิม 

    ไม่ว่าจะโปรแกรมการนวดที่ทั้งสองพยายามปรับให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนในปัจจุบันยิ่งขึ้น ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้ก็ต้องอัพเดตอยู่เสมอๆ 

    “เราจะคุยกันเสมอว่าเราต้องการให้ลูกค้ากลับมาหาเรา แต่มายด์ว่าสุดท้ายแล้วมันไม่ใช่อะไรใหม่ๆ ที่ดึงดูดเขากลับเข้ามา แต่มันคือความสบายใจ ความที่เราได้ใจเขาไป ไม่ได้แปลว่าเขาไม่สามารถไปที่อื่นได้นะเพราะมันมีทางเลือกเยอะแยะ แต่สุดท้ายที่เขากลับมาหาเรา อาจจะเป็นเพราะ therapist อาจจะเพราะสถานที่ หรือเพราะความเป็นส่วนตัวที่เขาได้รับ”

    Ikigai Spa จึงมีลูกค้าเก่าที่กลับมาใช้บริการซ้ำบ่อยครั้ง มากไปกว่านั้นลูกค้าเหล่านี้ยังแนะนำปากต่อปากไปให้เพื่อนๆ จนเกิดเป็นลูกค้าใหม่ แต่นอกจากการตลาดธรรมชาติเหล่านี้แล้ว มายด์และทรายก็พาแบรนด์ไปให้คนได้รู้จักอย่างการเข้าร่วมแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น GoWabi แพลตฟอร์มต่างชาติอย่าง RedNote, Douyin ไปจนถึง ClassPass ที่ Ikigai ได้รับรางวัล best spa กว่า 2 ปีซ้อน

    “มายด์คิดว่ากับอุตสาหกรรมนี้ ยังไง AI หรืออะไรก็แล้วแต่ไม่สามารถแทนความอบอุ่น หรือแทนสัมผัสของมือได้เท่ากับมนุษย์ อย่างน้อยๆ 50 ปี อุตสาหกรรมนี้ก็ต้องใช้คนในการขับเคลื่อน ดังนั้น เราจะทำยังไงให้เราได้ใจลูกค้า

    “เพราะถ้าเราได้ใจเขาแล้ว สิ่งที่เขาจดจำมันอาจจะไม่ใช่ว่าสปานี้สวยจังแต่เขาจะจำได้ว่าวันนั้นเขารู้สึกแบบนี้นะ มายด์เลยคิดว่าการซื้อใจลูกค้าด้วยการที่เราจริงใจ เราใส่ใจจะทำให้เราอยู่ได้นานในอุตสาหกรรมนี้ไม่ว่ามันจะ red ocean ขนาดไหนในอนาคต”

    มากไปกว่าการเป็นสปา มายด์และทรายจึงอยากขยายขอบเขตความเป็น Ikigai ให้กว้างขึ้น ไม่เพียงขยายสาขา หรือทำให้ Ikigai Spa เป็นเพียง wellness destination แต่เป็น wellness space ที่อยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนได้จริงโดยไม่ต้องรอวันหยุดพักร้อน นั่นหมายความว่ามากกว่าสปา Ikigai อาจมีพื้นที่ให้ได้ออกกำลังกาย ออกกำลังใจด้วย

    “เพราะสุดท้ายแล้ว belief ของทั้งทรายและมายด์คือเราอยากให้แบรนด์ Ikigai เป็นที่ที่ทุกคนได้เติมพลังให้กับชีวิต เพื่อให้เขาได้กลับออกไปทำ ikigai ของเขาเอง” ทรายทิ้งท้าย  

    ‘การจัดการธุรกิจ มหาวิทยาลัยบาธ’ ที่มากกว่าการเรียนคือได้ลงมือจริงพร้อมแข่งขันในโลกยุคใหม่  

    หนึ่งในสายการเรียนในฝันของใครหลายคนน่าจะมีคณะการจัดการธุรกิจเป็นตัวเลือกสำคัญ เพราะนอกจากจะนำไปปรับใช้กับการทำงานองค์กรในอนาคตได้แล้ว ยังนำไปต่อยอดได้จริงหากต้องการเป็นผู้ประกอบการ นั่นเป็นเหตุผลให้แทบทุกมหาวิทยาลัยจะต้องบรรจุคณะที่เกี่ยวกับธุรกิจไว้ด้วย

    คำถามสำคัญคือแล้วมหาวิทยาลัยไหนบ้างที่ตอบโจทย์ผู้เรียนได้จริง ทั้งในการเรียน การฝึกงาน ไปจนถึงการทำงานในโลกจริง

    University of Bath School of Management หรือคณะบริหารธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยบาธอาจเป็นคำตอบ ด้วยคุณภาพทางวิชาการ ประสบการณ์การเรียนรู้เชิงปฏิบัติที่เข้มข้น และเครือข่ายระดับโลกที่แข็งแกร่งช่วยให้ผู้เรียนเข้าถึงการศึกษาระดับเวิลด์คลาสและมีโอกาสฝึกงานในบริษัทชั้นนำจนศิษย์เก่าหลายต่อหลายคนได้ทำงานในองค์กรระดับโลกทั้งนั้น ไม่ว่าจะ Apple, Deloitte, PwC, Samsung, Amazon และ Goldman Sachs 

    ความสำเร็จเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากโชค แต่เป็นผลลัพธ์ของระบบการเรียนรู้ที่มีโครงสร้างดีเยี่ยม บริการแนะแนวอาชีพที่ครอบคลุม และประสบการณ์ระดับนานาชาติที่มหาวิทยาลัยมอบให้ แต่คณะบริหารธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยบาธนี้ยังมีเรื่องราวน่าสนใจให้ค้นหาอีกมาก ไปหาคำตอบของความสำเร็จไปพร้อมๆ กัน

    เน้นการ ‘ลงมือทำ’ เพื่อสร้างคนที่ ‘เคยผ่านสนามจริง’

    นักเรียนนักศึกษาในปัจจุบัน ไม่เพียงจริงจังกับการเรียนตามแพสชั่น แต่ยังคำนึงถึงการต่อยอดในชีวิตจริง คณะบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยบาธจึงมุ่งมั่นเตรียมความพร้อมด้านอาชีพให้กับผู้เรียนทุกคน

     นักศึกษาจะได้เรียนรู้ผ่านการแก้ไขปัญหาทางธุรกิจจริง ทั้งจากการฝึกงานและการทำโปรเจกต์ร่วมกับองค์กร อย่างโครงการ Practice Track ได้เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เชื่อมโยงกับพันธมิตรภาคธุรกิจ เพื่อให้ได้สัมผัสประสบการณ์จริงในการทำงานของอุตสาหกรรม

    นักศึกษาจะได้ทำโปรเจกต์ร่วมกับบริษัทและฝึกงานช่วงฤดูร้อน ซึ่งเปิดโอกาสให้ได้สัมผัสประสบการณ์จริง พร้อมก้าวสู่โลกอาชีพอย่างมั่นใจ อย่าง 9 หลักสูตรปริญญาโทของที่นี่ก็มีการวางแผนการเรียนการสอนเพื่อให้นักศึกษาได้ ‘ลงมือทำ’ จริงก่อนจบหลักสูตร มากกว่าเรียนแต่ทฤษฎีในตำรา

    พร้อม ‘ซัพพอร์ต’ ให้มี ‘งานทำ’  

    ไม่เพียงจริงจังกับกระบวนการฝึกฝนฝีมือขณะร่ำเรียนเท่านั้น มหาวิทยาลัยบาธยังจริงจังกับการหางานที่ใช่หลังเรียนจบให้นักศึกษา

    ความน่าสนใจคือที่ School of Management นักศึกษาไม่ต้องเผชิญกับกระบวนการหางานเพียงลำพังซึ่งเป็นสิ่งท้าทายไม่น้อยสำหรับเด็กจบใหม่ แต่ที่นี่เตรียมทีมงานพร้อมสนับสนุนอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ที่ปรึกษาด้านอาชีพ การสัมมนา ไปจนถึงคำแนะนำเชิงลึกในการหางานทั้งในสหราชอาณาจักรและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นการให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสมกับนักศึกษาแต่ละคน

    นอกจากจะตอบโจทย์นักศึกษาในประเทศแล้ว นักศึกษาต่างชาติที่ต้องอยู่ไกลจากบ้านเกิดยังสบายใจได้ ทุกขั้นตอนของการหางานจะได้รับคำแนะนำที่ตรงจุด ทำให้นักศึกษาหลายคนก้าวเข้าสู่บริษัทระดับโลกได้ในเวลาอันรวดเร็ว

    คณะบริการธุรกิจ ‘ระดับโลก’ ที่ได้รับการ ‘ยอมรับ’ 

    หลักสูตรการสอนที่เชื่อถือได้ โปรแกรมฝึกงานที่พร้อม และระบบสนับสนุนการหางานที่ชัดเจนเหล่านี้ เป็นแต้มต่อให้คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยบาธไม่น้อย แต่มากไปกว่านั้น สถานศึกษาแห่งนี้ยังได้รับรางวัลและการจัดอันดับมากมาย ที่มีผลต่อเส้นทางอาชีพของนักศึกษา 

    อย่างการจัดอันดับของ QS Business Master’s Rankings 2025 คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยบาธนั้นได้รับการจัดอันดับที่น่าสนใจ ได้แก่

    • Top 50 ของโลก และ Top 10 ของสหราชอาณาจักร สำหรับหลักสูตร MSc Marketing
    • Top 100 ของโลก และ Top 10 ของสหราชอาณาจักร สำหรับ MSc Business Analytics
    • Top 100 ของโลก และ Top 20 ของสหราชอาณาจักร สำหรับ MSc Finance
    • Top 100 ของโลก และ Top 10 ของสหราชอาณาจักร สำหรับ MSc Management

    ส่วนการจัดอันดับของ Financial Times Masters in Management Rankings 2024 ที่นี่ก็ติด Top 100 ของโลก และ Top 10 ของสหราชอาณาจักร
    การจัดอันดับเหล่านี้ไม่ใช่แค่เพื่อชื่อเสียงเท่านั้น แต่เป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาวิชาการ นวัตกรรมในการเรียนการสอน และความเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจทั่วโลก 

    อบอุ่นเหมือนบ้าน

    การไปเรียนต่อต่างประเทศนั้น ไม่ใช่แค่การเปิดโลกกว้างทางการศึกษา แต่ยังเป็นการเปิดประสบการณ์ สร้างมิตรภาพ สร้างเครือข่าย 

    ทั้งหมดนี้ มหาวิทยาลัยบาธเข้าใจดี ที่นี่จึงเน้นการสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน มีเครือข่ายศิษย์เก่าที่แข็งแกร่งช่วยเสริมสร้างความรู้สึกของความเป็นชุมชนอย่างแท้จริง พี่ๆ คอยสนับสนุนน้องๆ ทั้งในด้านการเติบโตทางอาชีพ การทำธุรกิจ และความร่วมมือในสายงาน 

    และด้วยนักศึกษากว่า 20,000 คน จากกว่า 160 ประเทศ มหาวิทยาลัยบาธจึงเป็นศูนย์รวมวัฒนธรรมระดับโลกที่เข้าใจถึงความหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม

    ทั้งหมดนี้จึงทำให้คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยบาธ ไม่ใช่แค่สถานที่สำหรับเรียนหนังสือ แต่คือเวทีที่ช่วยปลดปล่อยศักยภาพให้เป็นความสำเร็จ ด้วยการเรียนการสอนระดับแนวหน้า การฝึกงานในบริษัทระดับโลก ไปจนถึงการเริ่มต้นงานประจำในองค์กรชั้นนำ พร้อมการสนับสนุนด้านอาชีพอย่างรอบด้าน พร้อมชุมชนที่หลากหลายและอบอุ่น

    เรียกว่านักศึกษาจะได้รับทุกสิ่งที่จำเป็นต่อการแข่งขันในโลกธุรกิจยุคใหม่ เป็นเครื่องมือที่พร้อมเปลี่ยนความฝันให้เป็นจริง

    กำหนดการสมัครเรียนหลักสูตรปริญญาโท (MSc) ของคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยบาธ
    หมดเขตวันที่ 30 มิถุนายน 2568 สำหรับนักศึกษาต่างชาติ ทั้งนี้เพื่อให้มีเวลาเพียงพอสำหรับการดำเนินการด้านวีซ่าและการเตรียมเอกสารที่จำเป็น แนะนำให้ผู้สมัครดำเนินการสมัครล่วงหน้าโดยเร็วที่สุด เพื่อจองที่นั่งและวางแผนการเดินทางมายังมหาวิทยาลัยบาธอย่างราบรื่น 

    จากนักดนตรีผู้คั่วเมล็ดกาแฟเองในบ้าน สู่ Blue Bottle Coffee ร้านกาแฟขวดสีฟ้าที่ทุกคนรัก

    เชื่อว่าคนที่ชื่นชอบรสชาติของเครื่องดื่มยอดฮิตจนกลายเป็นวัฒนธรรมทั่วโลกอย่าง ‘กาแฟ’ น่าจะมีร้านกาแฟในดวงใจ ไม่ว่าจะเพราะหลงใหลรสชาติเมนูกาแฟแก้วโปรดจากเมล็ดคัดสรรของร้าน ฝีมือบาริสต้า บรรยากาศ หรือเรื่องราวของร้าน 

    หนึ่งในนั้นคือ Blue Bottle Coffee ร้านกาแฟสไตล์ญี่ปุ่น-สแกนดิเนเวียน ที่สะดุดตาด้วยโลโก้ขวดสีฟ้า มีกว่า 100 สาขาทั้งในประเทศแถบเอเชียอย่างญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง จีน กระทั่งข้ามทวีปไปยังสหรัฐอเมริกา ด้วยบรรยากาศของร้านที่เรียบง่าย สะอาดสะอ้าน และใส่ใจรายละเอียดราวกับเป็น ‘แกลเลอรีศิลปะ’

    ไม่แปลกใจหาก Blue Bottle Coffee จะเป็นแบรนด์โปรดของใครหลายคน และยังเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนวัฒนธรรมกาแฟทั่วโลกอีกด้วย 

    ไม่ว่าคุณจะเคยสัมผัสรสชาติกาแฟของ Blue Bottle Coffee จากสาขาไหน หากสงสัยว่าเรื่องราวเบื้องหลังของกาแฟคุณภาพแก้วโปรดจากแบรนด์นี้เป็นยังไง คอลัมน์ Biztory ตอนนี้จะพาไปหาคำตอบกัน 

    แก้วแรกสู่สังเวียน

    เจมส์ ฟรีแมน (James Freeman) คือนักดนตรีคลาสสิกอาชีพที่มีคลาริเน็ตเป็นเครื่องดนตรีประจำตัว (clarinetist)

    ในห้วงของการเป็นนักดนตรี เจมส์ใช้เวลาหลายปีแสดงดนตรีที่เขตเบย์แอเรีย ของซานฟรานซิสโก ร่วมกับวงดนตรีขนาดเล็กและวงออร์เคสตราท้องถิ่น อย่างไรก็ดี จุดเปลี่ยนมาถึงเมื่อเขาเข้าใกล้วัย 30 ปลาย

    เจมส์เริ่มรู้สึกผิดหวังกับชีวิตนักดนตรีแบบ ‘มือปืน’ ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และยังต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพเนื่องจากรายได้ที่ไม่มั่นคง แต่ขณะเดียวกัน นอกจากเรื่องดนตรี เขายังมีความหลงใหลต่ออีกโลกหนึ่ง นั่นคือกาแฟ

    อาจเรียกได้ว่าความหลงใหลที่มีต่อกาแฟของเจมส์ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะการ ‘คั่วกาแฟสดใหม่’ ซึ่งเขาคั่วกาแฟดื่มเองที่บ้านแบบง่ายๆ เป็นประจำ กระทั่งเริ่มชัดเจนว่าเขาต้องการ ‘เส้นทางใหม่’ ให้กับชีวิต

    เมื่อถึงปี 2002 เจมส์ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล เขาใช้เงินลงทุนประมาณ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ อย่างการไปตั้งรถเข็นกาแฟเอสเปรสโซที่ตลาดในเมืองเบิร์กเลย์และโอ๊กแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย 

    นั่นเองเป็นที่มาของ Blue Bottle Coffee ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากร้านกาแฟแห่งแรกในยุโรปกลาง ชื่อ The Blue Bottle Coffee House ที่เปิดในเวียนนาช่วงปี 1600 โดยชายคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการต่อต้านการรุกรานของจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งเจมส์ชื่นชมในเรื่องราวนี้จนนำมาตั้งเป็นชื่อแบรนด์

    พื้นฐานจากการเป็นนักดนตรีของเจมส์มีอิทธิพลอย่างมากในจุดเริ่มต้นของการทำกาแฟ ทั้งความใส่ใจในรายละเอียด วินัย และความ ‘คราฟต์’ แนวคิดในการเปิดร้านของเขาคือการคั่วกาแฟแบบแบตช์ (batch) เล็กๆ หรือวิธีการชงกาแฟที่เน้นการสกัดรสชาติและกลิ่นจากเมล็ดกาแฟด้วยการแช่หรือการดริปในปริมาณมาก โดยจะไม่ใช้กาแฟที่คั่วเกิน 48 ชั่วโมง เพื่อให้ลูกค้าได้รสชาติที่ดีที่สุด

    แน่นอนว่าแนวทางนี้จะกลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญของแบรนด์ Blue Bottle Coffee ในเวลาต่อมา

    แก้วที่เติบโต

    จากการบอกกันแบบปากต่อปากและคำแนะนำของบาริสต้าอาชีพ ในปี 2005 เจมส์จึงเปิดร้าน Blue Bottle Coffee แบบถาวรแห่งแรกที่เขตเฮย์สแวลลีย์ เมืองซานฟรานซิสโกโดยเป็นร้านเล็กๆ ที่เน้นคุณภาพและประสบการณ์ของลูกค้า 

    ทั้งเรื่องการเลือกใช้เมล็ดกาแฟแบบ single-origin คุณภาพสูง เทคนิคการชง รวมถึงการออกแบบร้านแบบมินิมอลและเรียบง่าย ก่อนได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในกลุ่มผู้หลงใหลกาแฟคุณภาพ 

    จากความนิยมที่พุ่งสูงนี้ ในช่วงปี 2010 เจมส์ได้รับเงินทุนจากนักลงทุน เช่น Google Ventures และ Morgan Stanley จึงตัดสินใจขยายสาขาไปยังเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส และต่างประเทศอย่างโตเกียว โซล และเมืองอื่นๆ ในเอเชีย 

    Blue Bottle Coffee จะเลือกทำเลเฉพาะที่เหมาะกับแบรนด์ และไม่ใช้ระบบแฟรนไชส์ แต่เลือกบริหารร้านกาแฟด้วยตนเองทั้งหมด เพื่อควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์และบริการได้อย่างใกล้ชิด และแม้จะขยายสาขาไปมากมาย เจมส์ยังคงให้ความสำคัญกับคุณภาพกาแฟและการออกแบบร้านเสมอ

    หากใครเคยไปเยือนร้าน Blue Bottle Coffee จะสัมผัสได้ว่า ตัวร้านมักมีความมินิมอล เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยรายละเอียด เช่น การใช้สีพื้นเรียบ เช่น ขาว เทา น้ำตาลอ่อน การใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้อ่อน เน้นวัสดุธรรมชาติ ไม่มีป้ายเยอะ ไม่มีเมนูซับซ้อนบนผนัง บรรยากาศทุกอย่างดูสะอาด เรียบง่าย และสงบ

    ขณะที่ในร้านจะไม่มีสินค้าหรือขนมวางเรียงรายเต็มร้าน บรรยากาศจึงเสมือนแกลเลอรีศิลปะมากกว่าร้านกาแฟ

    เจมส์เคยให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องการออกแบบไว้ว่า “เราต้องการให้ลูกค้ารู้สึกว่าพอเข้ามาในร้านแล้ว เหมือนได้พักจากโลกภายนอก”

    แนวคิดการออกแบบร้านของเจมส์ยังโฟกัสไปที่ประสบการณ์ของลูกค้า ทั้งการจัดวางเคาน์เตอร์บาริสต้าให้อยู่ในสายตาของลูกค้า เพื่อให้เห็นทุกกระบวนการของการชงกาแฟ ขณะที่บาริสต้าก็ถูกฝึกฝนอย่างละเอียดทุกขั้นตอนเพื่อชงกาแฟอย่างใส่ใจด้วยวิธี manual brew อย่างการดริป (pour over) หรือการชงกาแฟแบบไซฟอน (Siphon) โดยมีมาตรฐานที่เข้มงวดมาก ต่างจากร้านทั่วไปที่มักใช้เครื่องชงอัตโนมัติหรือเน้นความเร็วในการให้บริการ ทำให้กาแฟของ Blue Bottle Coffee ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องดื่มในแก้ว แต่เปรียบเสมือน ‘วัฒนธรรม’ และ ‘ไลฟ์สไตล์’

    แก้วกระโดด

    ความสำเร็จของ Blue Bottle Coffee เหล่านี้ทำให้ในเดือนกันยายนปี 2017 บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเนสเล่ (Nestlé) เข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ราว 68% ของบริษัท ด้วยมูลค่าประมาณ 425-500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการประเมินมูลค่ารวมของบริษัทอยู่ที่มากกว่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว

    เป้าหมายในการเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ เนสเล่ระบุว่า เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจสู่ตลาดกาแฟพิเศษ (specialty coffee) และตอบสนองต่อแนวโน้มผู้บริโภคที่หันมาสนใจกาแฟคุณภาพสูงมากขึ้น

    แน่นอนว่าการเข้าซื้อกิจการโดยบริษัทขนาดใหญ่อาจทำให้แฟนของ Blue Bottle Coffee เกิดความกังวล แต่เจมส์ ฟรีแมน ก็ออกมาย้ำว่าเป้าหมายหลักยังคงเป็นการนำเสนอ ‘ความอร่อย การบริการที่ดี และความยั่งยืน’ ซึ่งเป็นค่านิยมหลักของ Blue Bottle Coffee

    เจมส์ยืนยันว่าแม้จะมีการลงทุนจากบริษัทขนาดใหญ่ แต่ Blue Bottle Coffee จะยังรักษาความเป็นอิสระในด้านการดำเนินงานและคงไว้ซึ่งคุณภาพของกาแฟที่ลูกค้าคุ้นเคย สิ่งนี้สะท้อนผ่านการที่ทีมผู้บริหารดั้งเดิมจะเป็นผู้ดำเนินงานต่อไป ส่วนเนสเล่เป็นบริษัทที่มีวิสัยทัศน์ระยะยาวและมีความเชี่ยวชาญในด้านโลจิสติกส์ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของ Blue Bottle Coffee โดยไม่แทรกแซงอัตลักษณ์ของแบรนด์ได้

    ไม่ใช่แค่กล่าว แต่เจมส์และไบรอัน มีฮาน (Bryan Meehan) ซีอีโอ ได้เดินทางไปยัง Blue Bottle Coffee สาขาต่างๆ เพื่อพูดคุยกับพนักงานโดยตรง และสร้างความมั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะไม่กระทบต่อวัฒนธรรมองค์กรรวมถึงประสบการณ์ของลูกค้าอย่างแน่นอน

    ภายหลังดีลนี้ Blue Bottle Coffee จึงเริ่มขยายสาขาอย่างรวดเร็ว โดยมีแผนเปิดร้านมากกว่า 50 แห่งในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นภายในสิ้นปี 2017 ถือเป็น ‘แก้ว’ กระโดดอย่างแท้จริง

    แก้วแห่งความยั่งยืน

    ต้องยอมรับว่าจุดเด่นสำคัญของ Blue Bottle Coffee ที่ยังคงรักษามาตรฐานมาตลอดคือคุณภาพของเมล็ดกาแฟ ที่ไม่ว่าได้ชิมกี่ครั้งรสชาติก็ ‘อร่อย’ ทุกครั้งไม่มีดร็อป 

    ความพิถีพิถันใส่ใจของ Blue Bottle Coffee อยู่ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ตั้งแต่เมล็ดพันธ์ุ การคั่ว การชง ไปจนถึงการเสิร์ฟ ตามปรัชญาของเจมส์ คือ ‘Coffee as fresh as possible’ หรือกาแฟต้องสดใหม่ที่สุด

    ในแง่ของเมล็ดกาแฟ Blue Bottle Coffee ให้ความสำคัญต่อการทำงานโดยตรงกับเกษตรกร คือแทนที่จะซื้อเมล็ดผ่านพ่อค้าคนกลาง ก็เลือกทำงานโดยตรงกับเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในประเทศต้นทาง เช่น เอธิโอเปีย เคนยา โคลอมเบีย และกัวเตมาลา ทำให้เกษตรกรได้ราคาที่เป็นธรรมกว่าและยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว รวมถึงเป็นการสนับสนุนการพัฒนาในชุมชนเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ

    นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมบนบรรจุภัณฑ์ของ Blue Bottle Coffee มักระบุชื่อฟาร์มหรือภูมิภาคที่ปลูกเมล็ดกาแฟชัดเจน เช่น Ethiopia Worka Sakaro หรือ Colombia El Naranjo ซึ่งทำให้ผู้บริโภครู้ว่าเมล็ดกาแฟมาจากไหน ใครเป็นผู้ปลูก และผ่านกระบวนการใดมาบ้าง ถือเป็นการแสดงความชัดเจนและจริงใจของแบรนด์

    Blue Bottle Coffee ยังให้ความสำคัญกับเรื่องการประเมินและตรวจสอบคุณภาพ โดยจะส่งทีมผู้เชี่ยวชาญไปเยี่ยมฟาร์มและตรวจสอบมาตรฐาน ทั้งในแง่สภาพแวดล้อมของการทำงาน วิธีการเพาะปลูก รวมถึงคุณภาพของผลผลิตในแต่ละฤดู ทั้งยังร่วมมือกับองค์กรอิสระเพื่อประเมินความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมอีกด้วย

    ไม่ใช่แค่นั้น ในปี 2020 Blue Bottle Coffee ได้ประกาศแผนการที่จะกลายเป็น ‘zero waste to landfill’ ภายในปี 2022 ที่สาขาในสหรัฐอเมริกา โดยแนวทางนี้หมายถึงการจัดการขยะให้รีไซเคิลหรือหมุนเวียนใช้ใหม่ได้เกือบ 100% เพื่อลดขยะที่ส่งไปยังหลุมฝังกลบ และมีการทดลองงดให้ถ้วยกาแฟแบบใช้แล้วทิ้ง (single-use cups) ในบางสาขา เช่น ในแคลิฟอร์เนีย เพื่อส่งเสริมให้ลูกค้านำแก้วของตนเองมา หรือใช้แก้วแบบหมุนเวียนของร้าน

    สิ่งเหล่านี้นับเป็นการนำความยั่งยืนมาบูรณาการกับการทำงานโดยไม่ได้ลดทอนคุณภาพในแก้วกาแฟ ตามแนวคิดเรื่องความยั่งยืน (sustainability) อันเป็นหนึ่งในแก่นหลักของแบรนด์ Blue Bottle Coffee มาโดยตลอด

    แก้วที่อ่อนโยน

    อีกหนึ่งความน่าสนใจที่ผู้ไปเยือน Blue Bottle Coffee สังเกตได้คือ ‘ผู้หญิง’ ไม่ว่าจะเป็นบาริสต้าหรือพนักงานนั้นมีสัดส่วนมากกว่าผู้ชาย–เรื่องนี้มีที่มา 

    ด้วย Blue Bottle Coffee เป็นร้านกาแฟที่มีภาพลักษณ์เชื่อมโยงกับ ‘ความใส่ใจและความประณีต’ อันเป็นปรัชญาของเจมส์ตั้งแต่เริ่ม ร้านจึงให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆ เช่น วิธีการเทเครื่องดื่ม รอยยิ้ม น้ำเสียง การจัดเสิร์ฟ ซึ่งผู้คนมักรู้สึกว่า ‘ผู้หญิง’ จะมีความประณีต อ่อนโยน ใส่ใจในรายละเอียด และตอบโจทย์ภาพรวมของแบรนด์ได้มากกว่า แม้ว่าความเป็นจริงแล้วผู้ชายก็ทำได้เช่นกัน

    ขณะที่บรรยากาศร้านแบบอบอุ่นเป็นกันเองก็ทำให้ความเป็นผู้หญิงดูจะเข้ากับมู้ดและโทนของร้านได้ดีกว่า รวมถึงลูกค้าอาจรู้สึก ‘สบายใจ’ กว่าเมื่อต้องสื่อสารกับพนักงานหญิง โดยเฉพาะร้านที่เน้นเรื่อง ‘ประสบการณ์’ มากกว่าการซื้อแล้วกลับ

    นอกจากนี้ยังมีเรื่องการจ้างงานในกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะนักศึกษาฝึกงานหรือ ‘ฟรีแลนซ์’ อายุน้อยมาทำงานพาร์ตไทม์ ซึ่งในสายงานนี้ผู้หญิงมักสนใจมากกว่าด้วย

    แก้วที่แตกต่าง

    อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ Blue Bottle Coffee พิเศษคือความแตกต่างในเชิงวัฒนธรรม 

    หากใครเคยไปเยือนร้าน Blue Bottle Coffee น่าจะเคยเห็นสินค้าอย่างเช่น แก้วกาแฟ เสื้อผ้า และอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีโลโก้ขวดสีฟ้าวางขายอยู่ จนทำให้ลูกค้าต้องใจอ่อนควักเงินซื้อมาสะสม

    ในเดือนเมษายน 2025 หลายคนน่าจะผ่านตากับการ ‘คอลแล็บ’ ระหว่าง Blue Bottle Coffee กับ Marimekko แบรนด์สัญชาติฟินแลนด์ ที่โด่งดังเรื่องการออกแบบลวดลายจนกลายมาเป็นสินค้าและประสบการณ์พิเศษหลายอย่าง 

    เช่น ร้าน Blue Bottle Coffee บางแห่งจะตกแต่งใหม่ด้วยลายพิมพ์ Unikko อันเป็นเอกลักษณ์ของ Marimekko และออกแบบสินค้าพิเศษรุ่นลิมิเต็ดอย่างกระเป๋าผ้า Unikko Tote Bag, แก้วเก็บความร้อน Miir 360 Tumbler, ถ้วยเอสเปรสโซพร้อมจานรอง, ช้อนกาแฟ และผ้ากันเปื้อน (เฉพาะในเอเชีย) รวมถึงเมนู Marimekko Latte

    ลาเต้สูตรพิเศษที่ได้แรงบันดาลใจจาก ‘korvapuusti’ หรือขนมซินนามอนโรลอันเป็นที่นิยมในฟินแลนด์ ที่วางจำหน่ายในบางสาขาของ Blue Bottle Coffee 

    ความสนุกสนานของการผสมผสานระหว่างงานดีไซน์และวัฒนธรรมกาแฟนี้ นอกจากจะทำให้ Blue Bottle Coffee ได้สร้างความร่วมมือใหม่ๆ แล้ว ยังเป็นการยกระดับประสบการณ์เกี่ยวกับกาแฟในชีวิตประจำวันของลูกค้าได้อีกด้วย

    แก้วไปข้างหน้า

    หากย้อนกลับไปในห้วงเวลาที่เจมส์ยังคงเป็นนักดนตรีฟรีแลนซ์ เขาอาจไม่เคยคิดว่าวันหนึ่ง ความหลงใหลเกี่ยวกับกาแฟ ที่ในความเป็นจริงก็อยู่ในชีวิตประจำวันของเขาเรื่อยมาเช่นเดียวกับดนตรี จะพาเขามาได้ไกลขนาดนี้

    จากวันที่ตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพ ขวดสีฟ้าและกาแฟได้นำพาเขาและ Blue Bottle Coffee ให้กลายเป็นแบรนด์กาแฟที่อยู่ในใจคอกาแฟทั่วโลก กลายเป็นความสบายใจ กลายเป็นวัฒนธรรม และกลายเป็นผู้ขับเคลื่อนแวดวงกาแฟไปพร้อมความยั่งยืน

    ในของเว็บไซต์ Blue Bottle Coffee ยังมีประโยคของมาร์เซล พรูสต์ นักเขียนชาวฝรั่งเศส มาใช้ในบางส่วน ซึ่งเขากล่าวไว้ว่า

    “หากการฝันเล็กน้อยเป็นอันตราย วิธีรักษาไม่ใช่การฝันให้น้อยลง แต่เป็นการฝันให้มากขึ้นและฝันตลอดเวลา”

    ความฝันที่บรรจุเต็มแก้วกาแฟเล็กๆ ของเจมส์ในวันนั้น กลายเป็นแก้วที่คอกาแฟทั่วโลกได้ลิ้มลองแล้ว

    อ้างอิงข้อมูลจาก :

    6 เช็กลิสต์ที่ทำให้ ‘KAWS:HOLIDAY’ มัดใจผู้คนและสร้างปรากฏการณ์ในทุกที่ที่ไป

    ถึงตรงนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก ‘KAWS:HOLIDAY’ โปรเจกต์ระดับโลกของศิลปินแนวกราฟิตี้และสตรีทอาร์ตชื่อดังชาวอเมริกันอย่าง ‘KAWS’ หรือ ‘ไบรอัน ดอนเนลลี’ (Brian Donnelly) ที่มาพร้อมประติมากรรมขนาดยักษ์สุดอลังการอย่าง ‘COMPANION’ คาแร็กเตอร์หัวกะโหลกดวงตากากบาท (X) แต่รูปร่างคล้ายกับตัวการ์ตูนมิกกี้เมาส์ ซึ่งเป็นผลงานระดับไอคอนิกแห่งโลกศิลปะ ที่เคยสร้างปรากฏการณ์ผ่านการคอลแล็บร่วมกับแบรนด์ดัง อย่าง Nike, Dior และ Uniqlo  

    นับตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา โปรเจกต์ KAWS:HOLIDAY ได้พาเจ้า COMPANION ตระเวนไปยังสถานที่สำคัญต่างๆ บนโลกไปจนถึงนอกโลก เพื่อหาสถานที่สงบพักผ่อน เอนกายหลีกหนีจากความวุ่นวาย เช่น โซล-เกาหลีใต้ (2018), อ่าววิคตอเรีย-ฮ่องกง (2019), ภูเขาไฟฟูจิ-ญี่ปุ่น (2019), ยอกยาการ์ตา-อินโดนีเซีย (2023), เซี่ยงไฮ้-จีน (2024), เลอ บราซูส์-สวิตเซอร์แลนด์ (2024) และล่าสุดปี 2025 กับกรุงเทพฯ ประเทศไทย ที่มาปรากฏตัวอยู่ใจกลางท้องสนามหลวง โดยมีแลนด์มาร์กสำคัญอย่างวัดพระแก้วเป็นฉากหลัง

    อย่างไรก็ดี การปรากฏตัวของคาแร็กเตอร์ COMPANION ตัวยักษ์ไม่ได้มีดีแค่ความอลังการหรือความสวยงามตามแบบฉบับงานอาร์ตเท่านั้น แต่หากมองภาพรวมจะเห็นว่า การที่ KAWS:HOLIDAY ยืนระยะความสำเร็จและสร้างคุณค่าให้แก่ทุกที่ที่ไปนั้น มีหลายองค์ประกอบรวมกัน 

    ส่งท้ายก่อนที่เจ้า COMPANION จะลาจากประเทศไทยวันที่ 25 พฤษภาคมนี้ เราขอชวนผู้อ่านวิเคราะห์ 6 เช็กลิสต์ที่ทำให้ KAWS:HOLIDAY มัดใจผู้คนและสร้างปรากฏการณ์ในทุกที่ที่ไปกันแบบชิลล์ๆ เพราะว่านี่คือวัน holiday ของเรา

    1. พลังของ COMPANION ไอคอนป๊อปคัลเจอร์และตัวแทนแบรนด์ดิ้งที่คนทั้งโลกจดจำ  

    พระเอกและหัวใจหลักของโปรเจกต์ KAWS:HOLIDAY ที่ผู้คนจดจำได้ทันทีคงหนีไม่พ้น COMPANION ที่ไม่ว่าโปรเจกต์จะเคลื่อนย้ายไปที่ไหน หรือจะอยู่ในอิริยาบถนั่งเฉยหรือนอนแผ่ ผู้คนก็จดจำได้ทันทีว่านี่แหละคือ KAWS ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนแค่รูปลักษณ์เท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่สะท้อนแนวคิดแบรนด์ดิ้งที่ต้องการให้ผู้คนที่พบเห็น COMPANION ได้ ‘รู้สึก’ ถึงห้วงลึกในจิตใจ ทั้งความเหงา ความอ้างว้าง ความโดดเดี่ยว มากกว่ามองเป็นวัตถุอันสวยงาม  

    ขณะเดียวกันผลงาน COMPANION ยังเป็นหนึ่งใน ‘ไอคอน’ แห่งวัฒนธรรมป๊อปคัลเจอร์และวัฒนธรรมสตรีทอาร์ตที่ผู้คนให้การยอมรับ ดังนั้นไม่ว่ามันจะปรากฏตัวที่ไหนในโปรเจกต์ KAWS:HOLIDAY ผู้คนย่อมให้ความสนใจ และอยากมีส่วนร่วมด้วยสักครั้งในฐานะส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์โมเดิร์นอาร์ต ยกตัวอย่างปี 2022 ที่จัดขึ้น ณ ภูเขาฉางไป๋ซา แม้จะมีอุณหภูมิติดลบ 5 องศาเซลเซียส และอยู่บนพื้นที่เหนือระดับน้ำทะเล 2,750 เมตร ผู้คนก็ยังแห่ดั้นด้นเพื่อไปถ่ายรูปกับเจ้า COMPANION

     2. ปักหมุดในแลนด์มาร์กสำคัญให้คนท้องถิ่นเกิดความรู้สึกร่วม ให้นักท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับวัฒนธรรม

    สิ่งที่ KAWS เน้นย้ำเสมอมาถึงปัจจัยสำคัญในการเลือกจัดงาน KAWS:HOLIDAY แต่ละครั้ง คือต้องเป็นมากกว่าสถานที่ที่สวยงามหรือมีทัศนียภาพตระการตา  แต่ต้องเป็นสถานที่ที่เชื่อมโยงคนดูเข้ากับวัฒนธรรมและภูมิทัศน์ท้องถิ่น ซึ่งเป็นคุณค่าในแบบที่ไม่สามารถหาได้จากที่ไหน นั่นทำให้เราได้เห็น COMPANION ถูกจัดแสดงบนแลนด์มาร์กสำคัญที่เป็นดังตัวแทนอัตลักษณ์ประจำชาติ 

    อย่างภูเขาไฟฟูจิที่ไม่ว่าใครเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นตัวแทนของประเทศญี่ปุ่น, หมู่บ้านเลอ บราซูส์ ในแคว้นโวด์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ‘Audemars Piguet’ ผู้ผลิตนาฬิกาเก่าแก่ระดับโลก และสวนสาธารณะบริสตอล ซึ่งเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ป็อปคัลเจอร์ สถาปัตยกรรมเก่าแก่ ที่ผู้คนเข้าถึงได้เพียงก้าวเท้าเข้ามา 

    นอกจากจะเลือกสถานที่สำคัญระดับท้องถิ่น ในปี 2020 KAWS:HOLIDAY ยังทำในสิ่งที่ใครไม่คาดคิดด้วยการพาคาแร็กเตอร์ COMPANION ในมาดนักบินอวกาศทะยานขึ้นเหนือชั้นบรรยากาศโลก บนความสูง 196,296 ฟุต เป็นเวลา 8 ชั่วโมง เพื่อสื่อสารว่าศิลปะนั้นไร้ขีดจำกัด และเพื่อฉลองครบรอบ 20 ปีที่คาแร็กเตอร์หัวกะโหลกนี้ถือกำเนิด

    3. ยกระดับแลนด์มาร์กที่ดังอยู่แล้ว ให้กลายเป็นโอเอซิสแห่งโลกศิลปะ

    อีกหนึ่งจุดมุ่งหมายที่ KAWS ทำผ่านการจัดงาน KAWS:HOLIDAY คือการทำงานร่วมกันกับภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับสถานที่ที่ไปให้กลายเป็น ‘โอเอซิส’ แห่งโลกศิลปะ อย่างครั้งล่าสุดที่จัดขึ้น ณ ท้องสนามหลวง กรุงเทพฯ ก็ได้ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), กรุงเทพมหานคร และ Central Embassy เพื่อจัดงานโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าชม และร่วมโปรโมทงานดังกล่าวภายใต้ร่มอีเวนต์ Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 ที่แสดงให้เห็นว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีศักยภาพมากพอต่อการจัดงานแสดงศิลปะระดับโลก 

    หรือในปี 2019 ที่จัดขึ้น ณ อ่าววิกตอเรีย ฮ่องกง KAWS ก็ได้ร่วมมือกับการท่องเที่ยวฮ่องกง (Hong Kong Tourism Board) และครีเอทีฟสตูดิโอ AllRightsReserved เพื่อโปรโมตและวางแผนจัดงานในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่มีการจัดงานศิลปะระดับโลกอย่าง Hong Kong Arts Month และ Art Basel Hong Kong เพื่อช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ให้ฮาร์เบอร์ซิตี้ ฮ่องกง ว่าเป็นเมืองที่สนับสนุนการจัดงานศิลปะทั้งในอาร์ตแกลเลอรีและพื้นที่สาธารณะในสายตานักท่องเที่ยว 

    ปี 2023 ที่จัดขึ้น ณ เมืองยอกยาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ก็ได้รับการสนับสนุนจากจากกระทรวงการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของอินโดนีเซีย โดยอนุญาตให้มีการจัดงานขึ้นที่บริเวณวัดปรัมบานัน หนึ่งในสถานที่สำคัญที่ขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกกับยูเนสโก

    จะเห็นว่าคอนเซปต์การจัดงาน KAWS:HOLIDAY ร่วมกันกับภาครัฐนั้นตรงกับการเป็น ‘creative tourism’ หรือ ‘การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์’ ที่มีเรื่องของศิลปะและวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง ผู้ชมไม่เพียงแต่จะได้เสพย์งานอาร์ตเจ๋งๆ แต่ยังได้ศึกษาประวัติศาสตร์ ซึมซับบรรยากาศความเป็นท้องถิ่น และเรียนรู้วิถีชุมชนในแบบที่หาจากไหนไม่ได้อีกด้วย 

    4. กระตุ้นเศรษฐกิจให้กับพื้นที่โดยรอบ ทั้งระบบขนส่ง ร้านอาหาร สถานบริการ

    จากข้อที่แล้ว นอกจากการปักหมุดของ KAWS:HOLIDAY จะยกระดับพื้นที่นั้นให้เป็นพื้นที่ศิลปะแล้ว ยังสร้างแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจให้กับย่านที่ไปโดยปริยาย 

    อย่าง KAWS:HOLIDAY ปี 2018 ที่จัดขึ้น ณ ทะเลสาบซอกชน (Seokchon Lake) ประเทศเกาหลีใต้ บล็อกเกอร์ท้องถิ่นรายหนึ่งจากเว็บไซต์ jeniventures.com ระบุว่า เธอและนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางด้วยรถไฟฟ้านานกว่า 2 ชั่วโมงเพื่อมาลงที่สถานีจัมซิล (Jamsil) เพื่อชม COMPANION ยักษ์นอนแผ่กลางทะเลสาบซอกชน หรือบางรายเลือกอยู่พักต่อเพื่อท่องเที่ยวในโซล ขณะเดียวกันด้วยความที่สถานที่จัดงานอยู่ใกล้กับร้านอาหาร สถานบริการ และห้างสรรพสินค้าใหญ่อย่างล็อตเต้ เวิลด์ มอลล์ (Lotte World Mall) ทำให้นักท่องเที่ยวที่มาต่างใช้บริการกันคับคั่ง สร้างรายได้สะพัดให้แก่ผู้ประกอบการทั้งรายย่อยและรายใหญ่

    เช่นเดียวกับปี 2023 ที่ KAWS:HOLIDAY จัดขึ้นที่วัดปรัมบานัน สำนักข่าวท้องถิ่นอินโดนีเซีย antaranews.com ระบุว่า ตลอด 18 วันที่มีการจัดงานในเดือนสิงหาคม มียอดผู้เข้าเยี่ยมชมโบราณสถานมากขึ้นถึง 107.29% คิดค่าเฉลี่ยผู้เข้าชมต่อวันคือ 9,062 คน พีคสุดอยู่ที่ 18,272 คนต่อวัน และรวมผู้เข้าชมตลอดการจัดงานอยู่ที่ 117,808 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยววัยรุ่น

    ข้อมูลข้างต้นแสดงให้เห็นว่า การมาของ KAWS:HOLIDAY นอกจากจะสร้างโอกาส สร้างรายได้ให้แก่ท้องถิ่นแล้ว ยังมีอีกผลพลอยได้คือช่วยให้การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้รับความสนใจยิ่งขึ้น ทั้งยังสร้างความตระหนักรู้แก่คนรุ่นใหม่ถึงการมีอยู่ของสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่ควรค่าแก่การทำนุบำรุง

    5. คอลแล็บกับ local brand ผลิตของสะสมสะท้อนถึงอัตลักษณ์ท้องถิ่น

    สิ่งที่ทำให้คนนึกถึงเมื่อกล่าวถึง KAWS คงหนีไม่พ้นของสะสมสุดลิมิเต็ด โดยเฉพาะฟิกเกอร์หรือเสื้อผ้าที่เป็นคาแร็กเตอร์เจ้า COMPANION ที่ผู้คนยอมต่อคิวตั้งแต่รุ่งสางให้ได้มาครอบครอง แต่ในเมื่อเป็นโปรเจกต์ KAWS:HOLIDAY ทั้งทีย่อมต้องมีอะไรที่พิเศษกว่านั้น เราจึงได้เห็น KAWS จับมือกับบรรดา local brand ผลิตของสะสมสุดแรร์ในรูปแบบต่างๆ ที่สะท้อนถึงอัตลักษณ์ความเป็นท้องถิ่น เช่น 

    ปี 2018 ที่ร่วมกับบริษัท Lotte ผลิตหมอนลอยน้ำและของเล่นอาบน้ำ เพื่อให้เข้ากับเจ้า COMPANION ที่ลอยแช่น้ำกลางทะเลสาบซอกชน 

    ปี 2019 ที่ร่วมกับแบรนด์ Fire-King ผลิตคอลเลกชั่นแก้วเซรามิกสีฟ้าและชมพู บนแก้วสกรีนลวดลายภูเขาไฟฟูจิที่มีดวงตากากบาทของเจ้า COMPANION 

    ปี 2024 ที่ร่วมกับแบรนด์ Audemars Piguet ผลิตนาฬิกา Royal Oak Concept Tourbillon ‘Companion’ ที่มาในรูปทรงแปดเหลี่ยมซิกเนเจอร์ ตัวสายรัดข้อมือทำจากหนังวัว และภายในหน้าปัดมี COMPANION ปรากฏอยู่ในรูปแบบ 3 มิติ โดยผลิตออกมาเพียง 250 เรือนเท่านั้น

    ปี 2024 ที่จัดขึ้น ณ แม่น้ำหวงผู่ เมืองเซี่ยงไฮ้ มีการคอลแล็บร่วมกับ AllRightsReserved และร้าน Jing An Kerry Centre เพื่อผลิต ‘ขนมไหว้พระจันทร์’ ไส้คัสตาร์ด โดยที่ลวดลายกล่องเป็นเจ้า COMPANION นอนกอดพระจันทร์ และฟิกเกอร์ COMPANION ที่เรืองแสงได้ นอกเหนือจากนั้นยังคอลแล็บร่วมกับแบรนด์ sacai ผลิตเสื้อยืดลายมิติเต็ด ที่มีวางจำหน่ายเฉพาะที่ช็อป sacai สาขา Plaza 66 เมืองเซี่ยงไฮ้

    หรือในปี 2025 ที่จัดขึ้น ณ กรุงเทพฯ ประเทศไทย ที่ชวนแบรนด์ขวัญใจชาวต่างชาติอย่าง ‘หงส์ไทย’ ผลิตยาดมกระปุกเขียวที่บนฉลากมีหน้าเจ้า COMPANION, ‘ยาอมแก้ไอตราตะขาบ’ ที่มีทั้งซองยาอมลายลิมิเต็ดและเสื้อยืดยาอมแก้ไอตราตะขาบที่ตรงกลางมีประติมากรรม COMPANION ตรงท้องสนามหลวงนั่งอยู่ รวมถึงเสื้อซัมเมอร์เชิ้ตและกระเป๋าผ้าแคนวาสที่ผลิตร่วมกับแบรนด์สตรีทอาร์ตสุดแนวอย่าง HUMAN MADE 

    สินค้าเหล่านี้นอกจากจะจำหน่าย ณ สถานที่จัดงาน ยังมีวางจำหน่ายแบบออนกราวด์ที่ร้าน SIWILAI Store ชั้น 2 ศูนย์การค้า Central Embassy ซึ่งแปลงโฉมเป็นป๊อปอัพ คาเฟ่ ที่วางจำหน่ายเครื่องดื่มสูตรพิเศษและขนมที่เข้ากับธีมงาน KAWS:HOLIDAY THAILAND  

    6. เล่นโยคะ แคมป์ปิ้ง ปรุงยาดม ฯลฯ หลากกิจกรรมเวิร์กช็อปให้ผู้ที่มาได้เยียวยาจิตใจ

    ข้อสุดท้ายที่ทำให้ KAWS:HOLIDAY ดึงดูดผู้คนในทุกที่ที่ไป คือการมีกิจกรรมเวิร์กช็อปให้ผู้เข้าร่วมได้เอนกายพักผ่อนอยู่กับความสงบ ตามคอนเซ็ปต์วันฮอลิเดย์ เช่นที่จัดขึ้น ณ ภูเขาไฟฟูจิ ได้เปิดลงทะเบียนให้ผู้เข้าร่วมมากางเต็นท์ค้างคืนชมประติมากรรม COMPANION แบบจับฉลากจำนวนจำกัด 2,000 คน

    ณ อ่าววิกตอเรีย ฮ่องกง มีการสอนเล่นโยคะ ที่อุทยาน Tamar Park และล่าสุดที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย ได้จัดกิจกรรม Thai Wellness & Workshop ที่มีการสอนปรุงยาดมกลิ่นซิกเนเจอร์ของตัวเอง รวมไปถึงกิจกรรมนวดแผนโบราณตามตำรับฤาษีดัดตน 

    แม้กิจกรรมเวิร์กช็อปของ KAWS:HOLIDAY จะไม่ได้ถูกจัดขึ้นทุกครั้งและเพิ่งมาจัดบ่อยขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทว่าแต่ละครั้งที่จัดมักเป็นเวิร์กช็อปให้เข้าถึงผู้คนได้ง่ายที่สุด และทำให้ผู้คนได้ผ่อนคลายกับบรรยากาศสถานที่จัดงานมากที่สุด จึงน่าลุ้นว่าในครั้งต่อๆ ไปจะมีกิจกรรมเวิร์กช็อปแบบไหนให้ได้ร่วมฮีลใจอีก

    ด้วยองค์ประกอบทั้งหมดที่ว่ามานี้เอง ทำให้ KAWS:HOLIDAY เป็นมากกว่านิทรรศการศิลปะ ที่ยังเป็นสิ่งที่ช่วยอุดช่องว่างและสร้างคุณค่าให้กับวงการศิลปะ ซึ่งไม่จำเป็นต้องอยู่แค่ในแกลเลอรีอาร์ต พิพิธภัณฑ์ หรือต้องเป็นผลงานประดับข้างฝาเท่านั้น เพราะสุนทรียศาสตร์แห่งโลกศิลปะมีขอบเขตที่กว้างใหญ่ไม่รู้จบ รวมถึงศิลปะคือเครื่องมือที่ทำให้มนุษย์พบกับ ‘ความสงบ’ และ ‘เข้าใจ’ ตนเองมากขึ้น

    อ้างอิง 

    ‘คาเฟ่ปารีส’ ต้นทางคาเฟ่ร่วมสมัย พื้นที่กิน ดื่ม คิด ฝัน และเปลี่ยนเมือง

    ‘ร้านกาแฟ ไม่เคยเป็นแค่ร้านกาแฟ’ 

    หมายความว่าแต่ไหนแต่ไร ร้านกาแฟหรือคาเฟ่นั้น นอกจากจะเติบโตสัมพันธ์กับวัฒนธรรมการดื่มกาแฟที่สุนทรียะของมันอาจหมายถึงการดื่มเพื่อเพิ่มพลังให้ลืมตาตื่นไปทำงานได้แล้ว ร้านกาแฟ หรือคาเฟ่ ยังเป็นพื้นที่สำคัญของวัฒนธรรมกาแฟที่มักเกี่ยวข้องกับกิจกรรมอื่นๆ อยู่เสมอ 

    อย่างน้อยที่สุด คาเฟ่ก็มักเป็นพื้นที่เพื่อการพบปะ เป็นพื้นที่นั่งทำงาน เป็นที่ที่เรานิยามว่าเป็น third place ที่เรามาใช้เวลานอกจากบ้านและที่ทำงาน

    เมื่อร้านกาแฟไม่เคยเป็นแค่เรื่องของพื้นที่ดื่มกาแฟ และดูเหมือนว่าร้านกาแฟเองก็จะมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและซับซ้อน โดยเฉพาะร้านกาแฟแบบปารีสที่เป็นศูนย์กลางสำคัญของการเปลี่ยนแปลง เป็นจุดเริ่มของการปฏิวัติฝรั่งเศส และจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมคาเฟ่ที่สัมพันธ์กับวัฒนธรรมและธรรมเนียมอื่นๆ 

    คำถามหนึ่งที่น่าสนใจและยังคลุมเครือคือ วัฒนธรรมคาเฟ่ของปารีสมีที่มาที่ไปยังไง บ้างก็ว่าเป็นพื้นที่ของชนชั้นสูง แต่บ้างก็ว่าประวัติศาสตร์บางช่วงเป็นเรื่องของชาวบ้าน กระทั่งเป็นเรื่องของคนบ้านนอกที่มาเติบโตในกรุงปารีสหลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม

    คอลัมน์ทรัพย์คัลเจอร์ครั้งนี้จึงขอชวนกลับไปสำรวจประวัติศาสตร์วัฒนธรรมคาเฟ่ของกรุงปารีส หนึ่งในพื้นที่สำคัญของวัฒนธรรมคาเฟ่ในยุโรป จากการเดินทางของทูตออตโตมันที่เลี้ยงกาแฟเหล่าชนชั้นสูงของฝรั่งเศสจนทำเอากลุ่มชนชั้นสูงหลงใหลในรสชาติ สู่การเป็นคาเฟ่ที่ดูแลโดย ‘นักทำน้ำมะนาว’ รวมถึงอีกเรื่องเล่าของคาเฟ่ที่สัมพันธ์กับรางรถไฟ คนบ้านนอก และเขม่าถ่าน

    ทูตชาวออตโตมัน ผู้นำพาวัฒนธรรมกาแฟมาสู่ราชสำนักฝรั่งเศส

    วัฒนธรรมกาแฟและร้านกาแฟ แพร่กระจายไปในยุโรปราวศตวรรษที่ 17 อันที่จริงลอนดอนถือเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างมีร้านกาแฟเฟื่องฟูขึ้นมากและมีมาก่อนปารีสเล็กน้อย 

    เช่นในปี 1700 มีรายงานตัวเลขร้านกาแฟในลอนดอนราว 500 แห่ง แต่ในปี 1715 กรุงปารีสมีร้านกาแฟราว 300 ร้าน อีกทั้งร้านกาแฟในลอนดอนค่อนข้างเป็นพื้นที่ทำกิจกรรมอื่นๆ โดยเฉพาะการทำธุรกิจและธุรกรรมสำคัญๆ เช่น ซื้อ-ขายหุ้น กรรมสิทธิ์ กระทั่งค้าทาสกันในร้านกาแฟ

    ส่วนการหว่านเมล็ดกาแฟลงในหัวใจของคนปารีส (ซึ่งในเวลาต่อมามีการหว่านเมล็ดลงจริงๆ) มักย้อนไปในปี 1669 บ้างก็บันทึกว่าเป็นปี 1670 ในปีนั้นเป็นรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 รัชสมัยแห่งความรุ่งเรืองของฝรั่งเศส ครั้งนั้นมีทูตนามว่าสุไลมาน อากา (Suleiman Aga) จากอาณาจักรออตโตมันซึ่งคือตุรกีในปัจจุบัน เดินทางมาเข้าเฝ้ายังราชสำนักฝรั่งเศส

    แน่นอนว่าการเดินทางมาถึงของคณะทูตจากตะวันออก ทุกอย่างที่ทูตทำย่อมเป็นที่สนใจของผู้คน หนึ่งในนั้นคือการที่ทูตจัดงานเลี้ยงรับรองแขก สิ่งที่นำมาจัดเลี้ยงถึงปารีสคือเครื่องดื่มรสชาติมหัศจรรย์ที่เสิร์ฟอย่างอลังการ บันทึกเล่าภาพการเลี้ยงต้อนรับที่ให้ภาพความยิ่งใหญ่หรูหราแบบตะวันออก 

    คนรับใช้เรียงรายและคุกเข่าเพื่อรินกาแฟสดใหม่ลงในถ้วยเคลือบใบน้อยๆ ขนาดเท่าไข่ไก่ จากนั้นจึงเทกาแฟลงในเครื่องเงิน รองด้วยผ้าลูกไม้ประดับด้วยกระดุมที่ทำจากทองคำ กาแฟทยอยเสิร์ฟให้เหล่าสตรีชั้นสูงที่สะบัดพัดหรูหราปิดบังใบหน้าไปมาอย่างน่าฉงนสงสัย

    นั่นคือภาพของงานเลี้ยงกาแฟที่นอกจากจะหอมกรุ่น สดใหม่ และเข้มข้นแล้ว ไม่แปลกที่ขุนนางชาวฝรั่งเศสรวมถึงราชสำนักต่างโจษขานถึงการต้อนรับแขกและเครื่องดื่มแสนวิเศษจากโลกตะวันออก จนในที่สุดกาแฟกลายเป็นธรรมเนียมพิเศษของการต้อนรับแขก จากความนิยมในหมู่ขุนนาง ค่อยๆ ขยายมายังเหล่าพ่อค้าและผู้มีอันจะกินอื่นๆ

    ตรงนี้เองที่แม้ว่าประเทศอื่นๆ ในยุโรปจะมีร้านกาแฟอยู่ก่อนแล้ว แต่เชื่อกันว่าวัฒนธรรมกาแฟนั้นเป็นแฟชั่นที่แพร่กระจายจากความนิยมของราชสำนักฝรั่งเศส โดยเฉพาะการต้อนรับแขกด้วยกาแฟ รวมไปถึงวัฒนธรรมกาแฟและร้านกาแฟซึ่งเกิดขึ้นในเวลาต่อมา

    ข้อสำคัญหนึ่งของกาแฟในยุคแรกๆ คือ กาแฟเป็นสินค้าหรูหรา มีราคาแพง บางช่วงถึงกับมีการออกกฎหมายควบคุม มีการเก็บภาษีอย่างสูง การคั่วกาแฟต้องมีใบอนุญาตจึงจะทำได้ 

    คาเฟ่แบบปารีส กับกลยุทธ์กินดื่มได้ทั้งวัน 

    ประวัติศาสตร์ร้านกาแฟของกรุงปารีสในยุคแรกนั้นมีความซับซ้อน บางแหล่งระบุว่าร้านกาแฟยุคแรกของปารีสไม่ใช่เรื่องของชนชั้นสูง แต่เป็นร้านกาแฟแบบตะวันออก คือขายความแปลกประหลาดและเน้นขายให้กับแรงงานและช่างฝีมือของเมือง ในยุคต่อมาร้านกาแฟปารีสเริ่มเข้าสู่ความชิค เมื่อพ่อค้าเริ่มเปิดพื้นที่ห้องดื่มกาแฟ ประดับด้วยกระจกเงา โต๊ะหินอ่อน โคมไฟ ในร้านเริ่มเสิร์ฟทั้งชา กาแฟ ช็อกโกแลต และเครื่องดื่มอื่นๆ 

    ประเด็นเรื่องใครคือลูกค้าร้านกาแฟในยุคแรกนั้นไม่มีหลักฐานชัดเจน บันทึกค่อนข้างให้ภาพที่ผสมปนเปกัน บางหลักฐานให้ภาพว่าครึ่งหนึ่งของลูกค้าร้านกาแฟในปารีสยุคแรกเป็นทั้งช่างฝีมือระดับสูง เจ้าของร้านค้าต่างๆ รวมถึงขุนนาง และส่วนน้อยคือราว 10% เป็นแรงงานรายวันและทหาร

    จากหลักฐานร้านกาแฟที่คลุมเครือ ราวปลายศตวรรษที่ 17 ความหมายของร้านกาแฟในปารีสค่อยๆ กลายเป็นวัฒนธรรมที่หยั่งราก ข้อสำคัญของวัฒนธรรมคือเหล่าผู้ที่มาใช้เวลาหรือมาดื่มกาแฟค่อยๆ ใช้เวลานานขึ้นเรื่อยๆ ในร้านกาแฟ ทางร้านกาแฟหรือคาเฟ่เองก็เริ่มหาวิธีให้ผู้คนอยู่ในร้านตัวเองนานขึ้น หรือมีจุดดึงดูดให้กลับมาที่ร้านบ่อยๆ 

    กลยุทธ์คาเฟ่ในยุคปลายศตวรรษที่ 17 คล้ายกับกลยุทธ์ของคาเฟ่ร่วมสมัย คือร้านเริ่มเสิร์ฟอาหารต่างๆ มากไปกว่านั้นคือเริ่มเสิร์ฟเหล้า วิสกี้ ไปจนถึงเบียร์ ในฤดูหนาว คาเฟ่กลายเป็นที่ที่ตั้งใจออกแบบให้ลูกค้าใช้เวลาอยู่ได้ทั้งวัน ทั้งดื่ม ทั้งกิน

    จุดสำคัญที่สุดของกิจการคาเฟ่ในปารีสคือการที่ร้านเริ่มมีสิ่งบันเทิง หรือมีการแสดงเรียกว่า cafés-concert คือการแสดงดนตรี การร่ายกลอน การเต้นรำ กระทั่งการแสดงละครบทสั้นๆ และละครตลกชวนหัว สะท้อนว่าเริ่มมีชนชั้นกลางเข้ามาเป็นลูกค้าสำคัญแล้ว 

    การแสดงในร้านมักจะฟรีแต่ลูกค้าก็ต้องสั่งอาหาร โมเดลคาเฟ่ที่มีการแสดงและกิจกรรมเป็นที่นิยมมาก ในปี 1850 ปารีสมีคาเฟ่พร้อมการแสดงและกิจกรรมอื่นๆ มากถึง 300 แห่ง จำนวนมากเป็นร้านเปิดโล่งที่เรียงรายอยู่บนถนนช็องเซลีเซ 

    ดังนั้น การดื่มกาแฟ การนั่งพักผ่อน ไปจนถึงการพูดคุย เคล้ากิจกรรมทางสุนทรียะในคาเฟ่ที่กลับมาสัมพันธ์กับบรรยากาศโดยรวมของปารีส จึงทำให้คาเฟ่เป็นอีกสุดยอดตัวตนของเมืองแห่งความโรแมนติก และดินแดนของศิลปะและความรู้ ซึ่งจะต้องพูดถึงคาเฟ่สำคัญต่อไปอีกหนึ่งแห่งคือ Café Procope

    Café Procope คาเฟ่แห่งศิลปวิทยาการ

    ร้านกาแฟที่กลายเป็นต้นแบบและตำนาน รวมถึงเป็นพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ คือร้านกาแฟที่ชื่อว่า Café Procope ซึ่งเปิดร้านอย่างเป็นทางการในปี 1689 แถมปัจจุบันยังเปิดทำการอยู่ นับว่าเป็นร้านกาแฟแห่งแรกของปารีส และยังคงดำเนินกิจการมาจนถึงปัจจุบันด้วย

    หากย้อนกลับไป เจ้าของร้าน Café Procope เป็นขุนนางอิตาเลียนชื่อ Procopio dei Coltelli และใช้ชื่อฝรั่งเศสว่าฟร็องซัว โปรโคป (François Procope) แรกเริ่มแกมาปารีสและมาขายเมล็ดกาแฟในงานที่แซ็ง-แฌร์แม็ง (Saint-Germain fair) ซึ่งขายดี เพราะกาแฟดีเลยเปิดเป็นร้านขายวัตถุดิบก่อน

    ด้วยการประกอบกิจการ รวมถึงตัวแกเองก็ลงหลักปักฐานแต่งงานกลายเป็นคนฝรั่งเศส ตรงนี้เองที่น่าสนใจมากเพราะการประกอบกิจการมีการขึ้นทะเบียนด้วย ซึ่งคุณโปรโคปขึ้นทะเบียนเป็น–ฟังดีๆ ครับ 

    เป็นตำแหน่งช่างทำน้ำมะนาว (limonadier) ที่ไม่ได้คั้นและขายแค่น้ำมะนาว แต่ทำเครื่องดื่มอื่นๆ ด้วย 

    แกมีสิทธิ์ที่ได้รับการรับรองจากราชสำนักในการจำหน่ายสิ่งอื่นๆ ประกอบด้วยคือเครื่องเทศ และที่สำคัญคือไอศครีม ขอบข่ายความเชี่ยวชาญของแกเป็นหัวใจหนึ่งที่ทำให้คาเฟ่กลายเป็นร้านยอดฮิต นอกจากการขายเหล้า ไวน์ กาแฟ นั่นคือการทำ ‘ไอติม’ ขายร่วมกับการขายกาแฟ

    สิ่งที่คาเฟ่โปรโคปเสิร์ฟและมีชื่อเสียงมากๆ คือไอศครีมที่ทำจากทั้งผลไม้และดอกไม้ต่างๆ ทำให้คาเฟ่แห่งนี้เป็นที่นิยมของสุภาพสตรีชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นชนชั้นนายทุนที่มั่งคั่งมีอันจะกินในขณะนั้น และเกิดเป็นคาเฟ่ไอศครีม (café glacier) ซึ่งสุภาพสตรีจะรับกาแฟอย่างหรูหราบนถาดและเครื่องเงินต่างๆ

    ในความหรูหรา คาเฟ่แบบปารีสขึ้นชื่อในการเป็นพื้นที่ของศิลปิน เป็นที่ที่นักวาด นักเขียน รวมถึงนักคิดต่างๆ มารวมตัวแลกเปลี่ยนทั้งในเชิงวิชาการและความคิดทางการเมือง หัวใจหนึ่งของคาเฟ่โปรโคปคือร้านตั้งอยู่ตรงข้ามกับโรงละคร Comédie Française ทำให้ลูกค้าของร้านมักจะเป็นทั้งนักคิด นักแสดง นักเขียน นักเขียนบทละคร นักดนตรี และบุคคลสำคัญๆ 

    ไม่ว่าจะวอลแตร์ (Voltaire), รุสโซ (Jean-Jacques Rousseau) ไปจนถึงบาลซัก (Honoré de Balzac) นักเขียนนวนิยาย และวิกเตอร์ อูโก (Victor-Marie Hugo) สุดยอดนักเขียนเจ้าของผลงาน Les Misérables หรือเหยื่ออธรรม หนึ่งในวรรณกรรมสำคัญของฝรั่งเศส

    คาเฟ่ของปารีสจึงไม่ใช่แค่คาเฟ่ แต่เป็นพื้นที่ของการสร้างเครือข่าย ของการกระจายความคิด การสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ และแน่นอนว่าประวัติศาสตร์หน้าสำคัญ คือการปฏิวัติฝรั่งเศสที่เกิดขึ้นโดยมีโต๊ะกาแฟและถ้วยกาแฟเป็นสักขีพยาน และพื้นที่สำคัญที่ทำให้เกิดการรวมตัวขึ้นจนทำการปฏิวัติได้สำเร็จ

    คาเฟ่ชาวบ้าน ส่วนผสมพิเศษของ ‘กาแฟชาร์โคล’

    ภาพของคาเฟ่แบบปารีสที่เรามักนึกถึงคือคาเฟ่คนเก๋ พื้นที่ของนักคิด คาเฟ่เปิดโล่ง เป็นที่ไว้ถกเถียง ไปจนถึงเป็นพื้นที่ของสุภาพสตรีที่ทั้งดื่มกาแฟและรับประทานของว่างอย่างหรูหรา หรือเป็นพื้นที่ทางศิลปะในชีวิตประจำวัน

    ทว่าในกระแสการพัฒนาคาเฟ่ในปารีสและวัฒนธรรมกาแฟแบบปารีส ยังมีกลุ่มคาเฟ่สำคัญที่สัมพันธ์กับการปฏิวัติอุตสาหกรรม การก่อตัวขึ้นของคนชั้นแรงงานในเมือง ซึ่งทะลักเข้าสู่กรุงปารีสเพื่อทำงานและเอาตัวรอดจากภาคการเกษตรที่ถดถอยลงในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 – ต้นศตวรรษที่ 20

    ปรากฏการณ์สำคัญในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 คือ เมื่อฝรั่งเศสเริ่มสร้างโครงข่ายรถไฟ ชาวนาก็เริ่มตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ใกล้ๆ รางรถไฟ เพื่อทั้งรับเอาวัตถุดิบทางการเกษตร เช่น ปุ๋ยและเครื่องมือมากมาย รวมถึงส่งผลิตผลของตนเข้าไปในเมืองต่างๆ ผ่านโครงข่ายรถไฟ 

    ภูมิภาคสำคัญที่มีประชากรทั้งชาวนาและแรงงานหนาแน่นคือภูมิภาคโอแวร์ญ (Auvergne) แต่เมื่อสินค้าเกษตรเริ่มไม่ได้ราคา กิจการต่างๆ เช่น การทอผ้าแบบดั้งเดิมล้มหายตายจากเพราะอุตสาหกรรม สิ่งที่เกิดขึ้นคือแรงงานจากชุมชนที่เชื่อมต่อเข้าปารีสได้โดยตรงทะลักเข้าไปในปารีสเพื่อหางานทำ

    การทะลักของแรงงานครั้งใหญ่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1880-1890 รูปแบบการหลั่งไหลเข้าสู่เมืองสัมพันธ์กับภูมิศาสตร์และเส้นทางรถไฟ จากรถไฟของเขตโอแวร์ญ (Auvergnats) พุ่งตรงไปยังเขต 11 และ 12 ของกรุงปารีส แรงงานจึงไปกระจุกตัวอยู่ในสองเขตหลักนี้ สาเหตุหนึ่งคือในช่วงฤดูร้อน ชาวเมืองโอแวร์ญจะสามารถเดินทางกลับบ้านได้

    ชะตากรรมของชาวโอแวร์ญถือว่าพลิกผันและเกี่ยวข้องกับการเป็นเจ้าของคาเฟ่ในเวลาต่อมา แรกสุดชาวบ้านเหล่านี้เข้าทำงานที่คนปารีสไม่ทำ นั่นคือการหาบน้ำอาบไปยังบ้านคนมีเงินหรือโรงอาบน้ำ ต้องหาบทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็นเพราะยังไม่มีระบบประปา แต่ความเกือบซวยคือเมื่อมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้ไม่ต้องหาบน้ำแล้ว คนเหล่านี้ต้องเข้าสู่การเป็นแรงงานภาคอุตสาหกรรมที่เป็นงานหนักต่างๆ เช่น พวกช่างโลหะ แยกเศษเหล็ก ไปจนถึงโรงแยกขยะ

    ในความโชคร้ายกลับมีความโชคดีคือภูมิภาคบ้านเกิดเป็นเขตภูเขา และการปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้ช่วงศตวรรษที่ 19 เกิดกิจการและความต้องการสำคัญซึ่งก็คือถ่านหิน ทีนี้ชาวบ้านนอก เดิมจากที่หาบน้ำร้อนไปให้ตามบ้าน ก็เปลี่ยนมาทำกิจการส่งถ่านหินมาขายในปารีสซึ่งจะขายดีในช่วงฤดูหนาว เพราะใช้ในการสร้างความอบอุ่นให้กับบ้านเรือน

    ความฉลาดของชาวโอแวร์ญคือพอฤดูร้อนถ่านหินขายได้ไม่ดีเท่าไหร่ เจ้าของร้านก็เลยขายเครื่องดื่มเย็นๆ แทน หมายความว่าร้านที่ปกติขายถ่านหินซึ่งผู้คนจะต้องเดินทางมาซื้อบ่อยๆ อยู่แล้ว ก็จะขายของที่ขายได้ทั้งฤดูหนาวและฤดูร้อน 

    การขายทั้งถ่านและเครื่องดื่มเย็นจึงทำให้ร้านกลายเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้คน มีบริการเครื่องดื่มและพื้นที่สันทนาการให้กับชนชั้นแรงงานของเมือง ร้านของชาวโอแวร์ญได้ชื่อเล่นว่า Bougnats ซึ่งเป็นคำผสมของ ‘ช่างเผาถ่าน’ (charbonnier) กับชื่อเมืองที่พวกเขาจากมาคือ Auvergnats 

    จุดเด่นของคาเฟ่ปารีสในประวัติศาสตร์แรงงานและการปฏิวัติอุตสาหกรรม คือการที่หน้าร้านจะเขียนว่า ไวน์และถ่าน (wine and coal) เป็นการบริการสินค้าสองประเภทที่แสนจะไม่เข้ากัน แต่ขายด้วยกันและกลายเป็นวัฒนธรรมคาเฟ่อีกรูปแบบหนึ่ง

    ร้านคาเฟ่ชาวบ้านไม่ได้ดูยากจน แต่เป็นอีกรูปแบบของการให้บริการที่เน้นความอบอุ่น การบริการทั้งอาหาร เครื่องดื่ม รวมถึงการเติบโตขึ้นจากกิจการของความจำเป็นคือถ่านหิน ตรงนี้เองที่น่าจะเป็นจุดถกเถียงที่มักถูกมองข้ามว่า คาเฟ่จากคนบ้านนอกเหล่านี้เป็นอีกส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอาหารเครื่องดื่มและการพักผ่อนหย่อนใจในชีวิตประจำวัน และเป็นส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์และวัฒนธรรมประจำวันของปารีส

    ตัวคาเฟ่แบบ Bougnats ถือว่าเฟื่องฟูและเป็นวัฒนธรรมคาเฟ่สำคัญของปารีส ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะทศวรรษ 1930 มีตัวเลขคาเฟ่ชาวบ้านมากถึง 2,500 แห่ง วัฒนธรรมของคาเฟ่บางส่วนยังรักษาความเหนียวแน่นของวัฒนธรรมจากการเป็นชาวนา มีการแต่งกาย เต้นรำ หรือช่วยเหลือกันในหมู่ชุมชน 

    บางร้านของคาเฟ่ที่มีเจ้าของเป็นชาวโอแวร์ญก็เป็นร้านสำคัญที่มีชื่อเสียงเช่น Café de Flore คาเฟ่ที่ไม่ได้หรูหรา เก๋ไก๋ แต่เป็นคาเฟ่ที่มีเก้าอี้ตัวเล็กๆ นั่งเรียงรายอยู่ริมถนน และเป็นคาเฟ่ที่มีนักเขียนสำคัญตั้งแต่อัลแบร์ กามู (Albert Camus) ไปจนถึงเออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ (Ernest Hemingway) และเจมส์ จอยส์ (James Joyce) เข้ามาใช้เวลา ดื่มกาแฟที่ราคาไม่แพงนัก ซึ่งคาเฟ่แห่งนี้ช่วงหนึ่งดำเนินการโดย Paul Boubal หนึ่งในคนบ้านนอกซึ่งกลายเป็นเจ้าของคาเฟ่ที่เป็นคนโอแวร์ญโดยกำเนิด แต่ถึงอย่างนั้นคาเฟ่ชาวบ้านก็ค่อยๆ หายไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

    ทั้งหมดนี้คือบางส่วนของประวัติศาสตร์คาเฟ่ในปารีสซึ่งถือเป็นวัฒนธรรมคาเฟ่จากสองพื้นที่ จากราชสำนัก สู่การเป็นพื้นที่กินดื่มของแรงงานที่บังเอิญเข้ามาดิ้นรนและได้เติบโตกลายเป็นเจ้าของกิจการร้านกาแฟซึ่งขายส่วนผสมน่าประหลาดคือกาแฟและถ่านหิน

    กิจการร้านกาแฟที่ไม่เคยเป็นแค่เรื่องของการดื่มกาแฟ แต่สัมพันธ์อย่างซับซ้อนกับบริบท กับการเป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจที่มีกิจกรรมและกิจการอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะพื้นที่สำคัญของการใช้เวลาหรือการเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของโลกสมัยใหม่

    อ้างอิงข้อมูลจาก