Ikigai
Ikigai Spa สปาที่อยากให้ทุกคนได้รีชาร์จแล้วออกไปสร้าง ikigai ของตัวเอง
บทสนทนาของเราวันนี้ เริ่มต้นด้วยชาเก๊กฮวย 1 ถ้วย และขนมชิ้นพอดีคำ
ด้วยบรรยากาศแสนผ่อนคลาย สารภาพตามตรงว่าอดไม่ได้ที่จะอยากรีบพูดคุย รีบไปพักผ่อน แต่เพราะเรื่องราวของ Ikigai Spa จากคำบอกเล่าของสองผู้ก่อตั้งอย่าง มายด์–ชนากานต์ วราสภานนท์ และทราย–ศวิตา จงรัตนากุล นั้นแสนพิเศษ รู้ตัวอีกที เรากลับสนทนากันเนิ่นนานจนจิบชาเก๊กฮวยหมดทั้งกา
Ikigai Spa ตั้งอยู่ในโรงแรม Craftman Bangkok แถวอารีย์ ที่นี่ก่อตั้งมานานกว่า 5 ปี พอๆ กับการเกิดขึ้นของโรงแรม และมาพร้อมๆ กับช่วงโควิด-19 ซึ่งในห้วงเวลานั้น คำว่า ikigai หรือ 生き甲斐 ในภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า ‘เหตุผลของการมีชีวิตอยู่’ หรือ ‘สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีคุณค่า’ กำลังเป็นที่สนใจของผู้คน
หนึ่งในนั้นคือทรายและมายด์ สองสาวที่ออกมาต้อนรับเราเข้าสู่ห้วงของ ikigai

“ถ้าอธิบายคร่าวๆ มันคือการเข้าใจเรื่องเป้าหมายการดำรงอยู่ของชีวิต บางคนอาจจะยังไม่เจอก็ได้ แต่กับคนที่เจอแล้วว่าเป้าหมายเขาคืออะไร เขาจะรู้สึกว่าในทุกๆ วันที่ลืมตาตื่นมันมีความหมาย ทั้งจากสิ่งที่เราทำแล้วเรารัก สิ่งที่ทำแล้วเราได้ประโยชน์ สิ่งที่ทำแล้วสังคมได้ประโยชน์ และสิ่งที่เราทำได้ดี
“ทรายรู้สึกว่าทรายกับมายด์ชอบดูแลคนอื่น เรามีจิตใจบริการ มันเหมือนเป็น ikigai ของเรา และมันเลยประจวบเหมาะมากๆ กับวันที่เราจะทำแบรนด์สปา จนคิดว่าชื่อ ikigai เหมาะสมที่สุด”
โปรแกรมของ Ikigai Spa ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน หรูหรา กลับกัน ทั้งคู่ตั้งใจออกแบบโปรแกรมนวดและสปาให้เรียบง่ายที่สุด ทว่าในความเรียบและง่ายเหล่านั้นกลับคราฟต์ขึ้นอย่างเข้าใจและใส่ใจ
ก่อนที่ต้องขอชาเก๊กฮวยอีกสักถ้วย เราอยากพาทุกคนไปเข้าใจแก่นแท้ของ Ikigai Spa ผ่านบทสนทนาต่อไปนี้ ไม่แน่ว่าเมื่ออ่านจนจบ คุณอาจค้นพบเหตุผลของการมีชีวิตอยู่
ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง

สปาที่โอบอุ้มทุกคน
“คำว่า ikigai มันค่อนข้างส่งผลกับทุกองค์ประกอบของแบรนด์เลย” ทรายเกริ่นกับเราก่อนส่งไม้ต่อให้มายด์
“จะสปาที่ไหน จุดที่เหมือนกันก็คือการนวด แต่หนึ่งในคีย์หลักของ Ikigai Spa คือเราอยากให้คนที่รับบริการรู้สึกถึงความใส่ใจ ความโอบอุ้ม เราพยายามคิดว่าวันหนึ่งๆ ลูกค้าเขาเจอกับอะไรมาบ้างแล้วเขาต้องการอะไรบ้าง”
จากคำถามนั้นเอง มายด์และทรายตกตะกอนจนได้เป็น Ikigai Spa ที่มีความเรียบง่าย สบายใจ เป็น Ikigai Spa ที่พร้อมโอบอุ้มลูกค้า เป็น Ikigai Spa ที่พร้อมให้ทุกคนได้เป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ และเป็น Ikigai Spa ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวัน
ทั้งรูป รส กลิ่น เสียงใน Ikigai Spa นั้นจึงคิดมาแล้วอย่างรอบคอบ
–รูป
พื้นที่ปัจจุบันของ Ikigai Spa แบ่งเป็น 2 ส่วน พื้นที่ชั้นบนเน้นเปิดรับแสงสว่างตอบโจทย์คนที่ชอบแสงธรรมชาติ ส่วนพื้นที่ด้านล่างออกแบบให้กะทัดรัด เหมาะกับคนรักความเป็นส่วนตัว ห้องหับและโถงทางเดินยังเน้นการใช้สีขาวและไม้เพื่อสื่อถึงธรรมชาติและความเรียบง่าย ในทุกห้องยังมีห้องน้ำในตัวเพื่อเพิ่มความสบายกาย สบายใจ เรียกว่าตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกคนสามารถเป็นตัวเองได้เต็มที่

และหากใครเป็นลูกค้าประจำ อาจสังเกตเห็นว่า Ikigai Spa มีรายละเอียดเล็กๆ ที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วง เพราะมายด์และทรายให้ศิลปินเข้ามาตกแต่งพื้นที่ในธีมที่แตกต่างกันด้วยดอกไม้ ต้นไม้ ที่อยู่ได้ยาวนานไม่สร้างขยะเพิ่มเติม ซึ่งคอนเซปต์ช่วงนี้คือ water กับ stone หรือการไหลเวียนของหินและน้ำเพื่อสื่อถึงการบาลานซ์พลังงาน
–รส
หากใครเคยใช้บริการนวดและสปาในหลายที่ เชื่อว่าชามะตูม ชามะลิ หรือชาตะไคร้ น่าจะเป็นเครื่องดื่มพื้นฐานที่สปาหลายแห่งเลือกใช้ แต่กับที่ Ikigai มายด์และทรายพยายามเฟ้นหาสิ่งที่ทั้งคู่คิดว่าจะมอบประสบการณ์พิเศษให้ลูกค้าได้

“อย่างชาแก้วนี้ก็เป็นชาเก๊กฮวยจากดอยแม่สลองที่ขึ้นเองในป่า เราไปเฟ้นหาและซื้อตรงจากชาวเขาเพื่อให้ชาวเขาได้ราคาที่เป็นธรรมที่สุด มันเป็นเกรด michelin star ที่เราเองก็ไปขอทรายว่าขอใช้ได้ไหมเพราะมันตอบโจทย์ความเป็น ikigai มากๆ” มายด์อธิบายถึงที่มาชาเก๊กฮวยที่เราจิบและเผลอดื่มจนหมดไปแล้ว 1 ถ้วย
–กลิ่น
สองเพื่อนซี้ตระเวนหากลิ่นน้ำมันหอมระเหยที่ใช่ของ ikigai อยู่นานจนได้เป็น 3 กลิ่นหลักอย่าง Breath ที่ให้ความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าด้วยเบสส้มซิทรัส Calm เบสจากใบบัวบกที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย และ Power ที่มีขมิ้นเป็นส่วนผสมหลัก ให้ความรู้สึกถึงพลัง


“ช่วงเวลาแต่ละวันของคนเรายังไม่เหมือนกันเลย เราเลยอยากตอบโจทย์คนเมืองที่มีไลฟ์สไตล์ต่างกันมากๆ วันนี้เราอาจจะรู้สึกอ่อม อีกวันอาจจะอยากไปออกกำลังกายก็ได้ หน้าที่ของเราคือการให้ทางเลือกว่าวันนี้ลูกค้าอยากได้ความรู้สึกและพลังแบบไหนกลับไป” มายด์เล่า
และที่ขาดไปไม่ได้–เสียง
แต่ก่อน มายด์และทรายเลือกใช้เพลงปกติเช่นสปาอื่นๆ แต่ทั้งคู่รู้สึกว่าการนวดควรผนวกหลายด้านเข้าด้วยกัน พวกเธอจึงให้นักทำเพลงเข้ามาลองเล่น และอัดเพลงในพื้นที่สปาเพื่อหามู้ดและโทนที่เหมาะสมและทำให้ลูกค้ารู้สึกง่วง รู้สึกได้ผ่อนคลาย
“ทุกอย่างมันถูกคิดจากคำถามที่ว่าเราจะดูแลลูกค้าแต่ละคนยังไงให้เขาหายเมื่อย ให้เขารู้สึกได้รีชาร์จ เพราะเราอยากเป็นสปาที่โอบอุ้มลูกค้าได้ เราไม่ต้องการให้คนเข้ามาแล้วรู้สึกอึดอัด เราอยากดูแลให้ลึกลงไปถึง soul ไม่ใช่แค่ physical” มายด์อธิบาย

สปาที่แก้ทุก pain point
‘สปาที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน’
ประโยคนี้เป็นจริงบางส่วน เพราะไม่ว่าหลักการนวดแต่ละที่จะแตกต่างกันแค่ไหนก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของตำรับตำราที่ได้รับการรับรอง ผสมผสานไปกับความปลอดภัยอันเป็นหัวใจสูงสุด
‘สปาที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน’
ประโยคนี้ก็ยังมีข้อที่ไม่จริงอยู่บ้าง เพราะแต่ละสปานั้นคงต้องพยายามหาจุดต่างของตัวเองให้ได้ และสำหรับ Ikigai Spa ของทรายและมายด์ จุดต่างมาจากความเข้าใจ pain point ของคนชอบสปาและการนวดโดยแท้จริง

“เราเริ่มจาก pain point ว่าทุกวันนี้ชีวิตเราประสบปัญหาอะไรบ้างเวลาไปเข้าสปา อะไรบ้างที่เราอยากจะแก้ปัญหานั้นให้ลูกค้าเหลือเกิน”
มายด์ยกตัวอย่างประสบการณ์การนวดตามโรงแรมห้าดาว แม้จะสบายกายสบายใจแค่ไหน แต่สิ่งที่ทั้งคู่ประสบและเชื่อว่าคนรักการนวดหลายคนอาจเห็นด้วย คือส่วนใหญ่แล้วหมอนวดหรือ therapist มักต้องนวดตามแบบแผนของโรงแรมเท่านั้นเพื่อรักษามาตรฐาน แม้หลายครั้งจะบอกให้เน้นจุดไหนมากเป็นพิเศษ เหล่า therapist ก็ไม่สามารถทำได้มากนัก อีกทั้งร้านนวดหลายแห่งมีวิธีการนวดที่นอกจากจะไม่สบายกายแล้ว ยังเจ็บใช่ย่อย
จาก pain point เหล่านั้น ทั้งคู่นำมาออกแบบโปรแกรมนวดแบบฉบับ Ikigai Spa ที่ไม่เพียงเทรนเรื่องการนวดให้ได้ตามมาตรฐาน มายด์และทรายยังเชิญคุณหมอเข้ามาอธิบายเรื่อง anatomy ของร่างกายเพื่อให้ therapist เข้าใจหลักการพื้นฐาน มีการเชิญเทรนเนอร์มาพูดถึงกีฬาที่คนปัจจุบันนิยม เช่น กอล์ฟ เทนนิส เพื่อให้รู้ว่าคนที่เล่นกีฬาแบบนี้ จะมีอาการที่กล้ามเนื้อตรงไหนบ้าง


“โปรแกรมเทรนนิ่งของเราไม่ได้เน้นแค่เรื่อง physical แต่ยังไปถึงเรื่อง soul เราเอาคนที่ตีขันบำบัดมาทำเซสชั่นให้พี่ๆ therapist เพื่อให้เขารู้ว่าคนปัจจุบันมีไลฟ์สไตล์แบบไหน หรือการบำบัดมันมีแบบไหนบ้าง”
มายด์เล่าก่อนที่ทรายจะเสริมว่าทุกโปรแกรมของ Ikigai ค่อนข้าง customise ได้ว่าลูกค้าคนนี้ต้องการเน้นส่วนไหนเป็นพิเศษ ต้องการน้ำหนักแบบไหน อุณหภูมิห้องเท่าไหร่ แต่โปรแกรมที่ customise ได้ลึกลงไปอีกคือโปรแกรมที่ชื่อว่า healing หรือการนวดน้ำมันอุ่นที่ลูกค้าจะได้ประคบตาอุ่นไปด้วย
“ไลฟ์สไตล์แต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ละคนก็มีไลฟ์สไตล์ในแต่ละวันที่แตกต่างกันไปอีก โปรแกรมนี้เลยเหมือนเป็นโอมากาเสะของการนวดสปา เขาบอกได้หมดเลยว่าอยากนวดตรงไหน เน้นตรงไหน”
มายด์เสริมว่า “อีกสิ่งสำคัญคือการปิดตา เพราะทุกวันนี้เราไม่หยุดเล่นมือถือเลย โปรแกรมนี้เลยออกแบบมาเพื่อให้คนได้ pause for a moment ให้คุณได้มาพักผ่อน ได้มาอยู่กับตัวเอง ได้มารีชาร์จแล้วก็เชื่อมโยงกับตัวเองจริงๆ
“ถามว่าทำไมลูกค้าต้องมาใช้บริการกับเรา ง่ายๆ เลยคือเขาเหนื่อยล้าจากชีวิตประจำวัน เรามองว่าการที่เขาได้มาพักผ่อนและเติมเต็มที่ Ikigai Spa เขาจะรู้สึกถึงความหมายในการตื่นขึ้นมาในวันถัดไป”

สปาที่ส่งมอบ ikigai ให้พนักงาน
“เราชอบนวด ใช่ แต่สุดท้ายแก่นแท้ของการทำธุรกิจสปาคือคุณต้องมีใจบริการ” มายด์ตอบทันทีเมื่อเราขยับหัวข้อสนทนาไปสู่เรื่องที่จริงจังขึ้นอย่างความท้าทายของการทำธุรกิจสปา
ทั้งสองยังอธิบายเพิ่มเติมว่าธุรกิจสปาคือธุรกิจบริการเต็มรูปแบบคือต้องบริการตั้งแต่ก้าวแรกที่ลูกค้าเข้ามาจนก้าวสุดท้ายที่ลูกค้าออกไป ความท้าทายของการทำสปาคือเจ้าของต้องเข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไร แล้วจะทำยังไงให้พนักงานทุกฝ่ายตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้มากเท่าที่จะทำได้
เช่น ฝ่ายต้อนรับ มายด์ผู้รับหน้าที่ดูแลเรื่องการตลาด จะประชุมกับพนักงานเรื่องการสื่อสารอยู่เสมอ ตั้งแต่การตอบแชตที่ต้องไม่ใช่แค่การคัดลอกคำพูดเดิมๆ มาตอบ แต่ต้องรู้จักคราฟต์คำตอบให้มีความเป็นมนุษย์อยู่ในนั้น
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือการสอนให้ therapist ทุกคนรู้จักการเข้าหาคน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าอินโทรเวิร์ตที่พูดน้อยและอาจไม่เข้าใจวิธีการเข้าถึงลูกค้านั้นมีทุกวงการ
“เราจะลองเทสต์ เช่น ถ้ามายด์ปวดหลัง พี่ therapist จะพูดกับมายด์ยังไง พอเรามีการเทรนแบบนี้เขาก็จะไม่เกร็งมาก เมื่อเจอสถานการณ์จริงเขาจะกล้าพูดคุยกับลูกค้ามากขึ้น”
จากคำตอบของสองเพื่อนซี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าธุรกิจนวดสปาเป็นธุรกิจที่ทำงานกับมนุษย์ล้วนๆ ตั้งแต่พนักงาน ไปจนถึงลูกค้า ทั้งมายด์และทรายจึงยืนยันหนักแน่นว่าความท้าทายที่สุดคือการดูแลคนและนี่คือศิลปะที่เจ้าของธุรกิจต้องเอาใจเข้าไปจัดการ
“ทรายคิดว่ามันต้องใส่ใจทีมงานทุกส่วน ต้องคุยให้เขาเข้าใจว่าเป้าหมายขององค์กรคืออะไรเพื่อให้เขาส่งมอบสิ่งนั้นให้ลูกค้าได้ ที่สำคัญคือแล้วพนักงานต้องการอะไร เราต้องรับฟัง และมากไปกว่านั้นคือทำยังไงให้เขาไม่เบื่อ ให้พนักงานรู้สึกว่ามีอะไรใหม่ๆ เพื่อให้เขาแฮปปี้ที่จะอยู่กับเรา
“ทรายเลยคิดว่าลูกค้าของเราก็คือพนักงาน เป้าหมายของพนักงานคือทำให้ลูกค้าได้รับพลังงานที่ดีกลับไป เป้าหมายของทรายและมายด์ก็คือทำยังไงให้พนักงานมีพลังงานเพื่อส่งต่อสิ่งนั้นให้กับลูกค้า”
ตั้งแต่ day one มายด์กับทรายจึงต้องเทสต์ therapist ด้วยตนเอง ไม่เพียงแค่เทสต์เรื่องการนวด แต่ดูว่าพลังงานของพี่ๆ แต่ละคนเหมาะสมและไปกันได้ดีกับความเป็น Ikigai หรือเปล่า
“มายด์ว่าเราค่อนข้างโชคดีที่ได้พี่ therapist ที่มีพลังงานที่ดีมากๆ เมื่อไหร่ที่พลังงานเขาเริ่มดร็อป เขาก็จะมีเพื่อนในแก๊งนี่แหละที่คอยช่วยเหลือกันได้ดี”

สปาที่ชื่อว่า Ikigai
ตั้งแต่หลังโควิด-19 คลี่คลาย เทรนด์ health and wellness กลายเป็นเทรนด์หลัก สิ่งที่น่าสนใจคือผู้คนไม่เพียงหันมาออกกำลังกายกันมากขึ้น แต่ยังหันมาออกกำลังใจกันเป็นเรื่องธรรมดา ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแวดวงนี้เฟื่องฟูขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ยิมเปิดใหม่ขึ้นทุกหัวมุมถนน การออกกำลังกายแบบใหม่ๆ ก็เข้ามาปักหลักในไทยมากขึ้น วิถีการบำบัดมีมากกว่าการพบจิตแพทย์หรือนักจิตบำบัดเท่านั้น การดูแลตัวเองแบ่งแยกย่อยออกไปต่างกัน และการเข้าสปาก็เป็นหนึ่งในวิธีที่คนเลือก
“มายด์ว่าแต่ก่อนคนมองว่าการเข้าสปาหรือการนวดคือ treat ที่จะทำเฉพาะโอกาสพิเศษ แต่ตอนนี้คนทำสิ่งนี้เป็นเรื่องปกติ เหมือนผนวกมันเข้าไปในชีวิตประจำวัน เช่น ออกกำลังกายเสร็จ ก็เข้าสปาต่อ สมัยก่อนคนยังไม่อยากจ่ายให้การนวด แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่”
แต่ไม่ว่าจะด้วยเทรนด์ไหน ทั้งทรายและมายด์กลับมองว่า Ikigai Spa ไม่ได้รับผลกระทบในเชิงลบ เพราะทั้งคู่ก่อร่างสร้างสปาแห่งนี้ ด้วยความคิดและความตั้งใจว่าจะดูแลลูกค้าทั้งกายและใจอยู่แล้ว เพียงแต่สิ่งที่ต้องทำให้ได้มากกว่านั้นคือทำยังไงให้ดูแลลูกค้าได้ดีกว่าเดิม
ไม่ว่าจะโปรแกรมการนวดที่ทั้งสองพยายามปรับให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนในปัจจุบันยิ่งขึ้น ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้ก็ต้องอัพเดตอยู่เสมอๆ

“เราจะคุยกันเสมอว่าเราต้องการให้ลูกค้ากลับมาหาเรา แต่มายด์ว่าสุดท้ายแล้วมันไม่ใช่อะไรใหม่ๆ ที่ดึงดูดเขากลับเข้ามา แต่มันคือความสบายใจ ความที่เราได้ใจเขาไป ไม่ได้แปลว่าเขาไม่สามารถไปที่อื่นได้นะเพราะมันมีทางเลือกเยอะแยะ แต่สุดท้ายที่เขากลับมาหาเรา อาจจะเป็นเพราะ therapist อาจจะเพราะสถานที่ หรือเพราะความเป็นส่วนตัวที่เขาได้รับ”
Ikigai Spa จึงมีลูกค้าเก่าที่กลับมาใช้บริการซ้ำบ่อยครั้ง มากไปกว่านั้นลูกค้าเหล่านี้ยังแนะนำปากต่อปากไปให้เพื่อนๆ จนเกิดเป็นลูกค้าใหม่ แต่นอกจากการตลาดธรรมชาติเหล่านี้แล้ว มายด์และทรายก็พาแบรนด์ไปให้คนได้รู้จักอย่างการเข้าร่วมแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น GoWabi แพลตฟอร์มต่างชาติอย่าง RedNote, Douyin ไปจนถึง ClassPass ที่ Ikigai ได้รับรางวัล best spa กว่า 2 ปีซ้อน

“มายด์คิดว่ากับอุตสาหกรรมนี้ ยังไง AI หรืออะไรก็แล้วแต่ไม่สามารถแทนความอบอุ่น หรือแทนสัมผัสของมือได้เท่ากับมนุษย์ อย่างน้อยๆ 50 ปี อุตสาหกรรมนี้ก็ต้องใช้คนในการขับเคลื่อน ดังนั้น เราจะทำยังไงให้เราได้ใจลูกค้า
“เพราะถ้าเราได้ใจเขาแล้ว สิ่งที่เขาจดจำมันอาจจะไม่ใช่ว่าสปานี้สวยจังแต่เขาจะจำได้ว่าวันนั้นเขารู้สึกแบบนี้นะ มายด์เลยคิดว่าการซื้อใจลูกค้าด้วยการที่เราจริงใจ เราใส่ใจจะทำให้เราอยู่ได้นานในอุตสาหกรรมนี้ไม่ว่ามันจะ red ocean ขนาดไหนในอนาคต”
มากไปกว่าการเป็นสปา มายด์และทรายจึงอยากขยายขอบเขตความเป็น Ikigai ให้กว้างขึ้น ไม่เพียงขยายสาขา หรือทำให้ Ikigai Spa เป็นเพียง wellness destination แต่เป็น wellness space ที่อยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนได้จริงโดยไม่ต้องรอวันหยุดพักร้อน นั่นหมายความว่ามากกว่าสปา Ikigai อาจมีพื้นที่ให้ได้ออกกำลังกาย ออกกำลังใจด้วย
“เพราะสุดท้ายแล้ว belief ของทั้งทรายและมายด์คือเราอยากให้แบรนด์ Ikigai เป็นที่ที่ทุกคนได้เติมพลังให้กับชีวิต เพื่อให้เขาได้กลับออกไปทำ ikigai ของเขาเอง” ทรายทิ้งท้าย