Homm ร้านฮอตคิวยาวในออสเตรเลีย ที่เสิร์ฟขนมสไตล์ Asian Twist รสชาติแบบไทยๆ จนต่างชาติติดใจ

แทบจะเป็นเรื่องปกติที่ร้านอาหารหรือร้านขนมไทยในต่างแดนมักจะมีชาวไทยหรือชาวเอเชียแวะเวียนไปกินด้วยความรู้สึกคิดถึงบ้าน แต่มีร้านหนึ่งที่แม้แต่คนท้องถิ่นที่ไม่เคยลิ้มรสอาหารแบบไทยๆ ยังแวะไปชิมจนเกิดการบอกต่อ และทำให้ร้านนั้นต้องรอคิวเกือบหนึ่งชั่วโมง ถึงขนาดที่หลังจากเปิดร้านมาได้แค่ 6 เดือนก็มีร้านสาขา 2 อยู่ฝั่งตรงข้ามสาขาแรกเพียงไม่กี่ก้าว พร้อมตั้งกฎเหล็กในร้านว่าแต่ละเมนูต้องใช้เวลาทำแค่ 5 นาที เพื่อไม่ให้ลูกค้ารอนาน

‘A Melbourne-born Thai dessert cafe’ หรือร้านขนมไทยที่เกิดในเมลเบิร์นคือแท็กไลน์ของร้าน 

เล่ามาถึงตรงนี้คิดว่าคนไทยที่เคยไปเยือนหรืออยู่ในเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียน่าจะร้องอ๋อได้ทันทีว่าเรากำลังพูดถึง Homm ร้านที่เกิดจากความตั้งใจของ เบส–ชยธร ศักดาทร หรือที่หลายคนรู้จักกันในฐานะเจ้าของเพจ ลักพาตัวแฟนเพจมาเป็น Aussie แพรว–แพรวทิพย์ สายไทย และ บี–ภัทรานิษฐ์ จันทร์อินทร์ ที่ต้องการเสิร์ฟบิงซูชาไทยและโชกุปังไปทั่วโลก

“ถ้าอธิบายกับคนไทยว่าชาไทยคืออะไรก็จะแปลกๆ หรือถ้าอธิบายว่าสังขยาคืออะไรคนไทยก็รู้จักกันอยู่แล้ว แต่พอเราไปต่างประเทศปุ๊บ เรื่องอะไรที่คิดว่าเป็นเรื่องตลกที่พูดให้คนไทยฟัง กลับกลายเป็นสตอรีที่ทำให้คนต่างชาติรู้สึกว้าว”

เบสเกริ่นให้เราฟัง ก่อนพูดคุยเจาะลึกถึงส่วนผสมและกรรมวิธีที่ทำให้ Homm กลายเป็นร้านขนมสุดฮอตในออสเตรเลีย และใช้เวลาเพียง 1 ปีก็เดินทางมาตีตลาดใหม่ๆ ในประเทศสิงคโปร์ ถ้าพร้อมแล้วเตรียมช้อน ส้อม และจานไว้ลิ้มรสชาติธุรกิจอันหอมหวนชวนให้คิดถึงความเป็นไทยผ่านบทสัมภาษณ์นี้กันได้เลย

ย้อนกลับไปตั้งแต่ day 1 ทำไมพวกคุณถึงเริ่มต้นทำธุรกิจนี้

แพรว : ตอนแรกพวกเราทำงานกันอยู่ที่เมืองซิดนีย์ ในประเทศออสเตรเลีย แล้วมีวันหนึ่งที่เรากับเบสไปเที่ยวเมลเบิร์นกัน เห็นว่าที่นั่นมีแต่ร้านบิงซูเกาหลีหรือคากิโกริแบบญี่ปุ่น แต่ยังไม่มีรสชาติแบบไทยๆ ซึ่งเรารู้สึกว่าอย่างชาไทย นมเย็น หรือของที่เป็นเบสกะทิมันอร่อย ที่โน่นก็มีคนเอเชียเนอะ น่าจะเข้าใจรสชาติเหล่านี้ได้ไม่ยาก

พอเป็นช่องว่างทางการตลาดตรงนี้ก็เลยคิดว่าถ้าไม่ทำเดี๋ยวคนอื่นก็ต้องทำแหละ รีบชิงทำก่อนดีกว่า เลยตัดสินใจและลาออกจากงานกันทั้งคู่ เพื่อมาลุยเปิดร้านนี้ ตอนนั้นเราก็เล่าให้บีฟังด้วย ซึ่งเรา 2 คนไปรู้จักและสนิทกันตอนที่เรียนโยคะอยู่ด้วยกัน บีเขาก็สนใจจะมาเป็นพาร์ตเนอร์ร่วมเปิดร้านด้วย 

บี : ด้วยความที่เรามาจากครอบครัวที่ทำร้านอาหาร แล้วมาเรียนที่ออสเตรเลียตั้งแต่เด็กๆ ตอนนั้นการส่งเงินจากไทยไปนอกประเทศเพื่อจ่ายค่าเทอมมันแพงมาก คุณแม่ก็เลยใช้วิธีไปลงทุนร้านอาหารไทยในออสเตรเลียให้ แล้วเอาเงินปันผลมาส่งเราเรียนหนังสือ เราก็เลยมีประสบการณ์เรื่องการทำบัญชี ดูแลเรื่องในครัว และดูแลระบบหลังบ้านมาบ้าง

จนกลับมาที่ไทยก็ทำงานเอกชน ทำงานภาครัฐ เลยได้รู้จัก investor และโลกของ entrepreneur startup ก็เลยมีไฟในการทำอะไรที่เป็นของตัวเองอยู่ พอแพรวมาเล่าไอเดียให้ฟังเราก็คิดว่าน่าสนใจและน่าจะมาทำธุรกิจด้วยกัน ตอนนั้นเราก็ตัดสินใจยกหูโทรหา investor ที่ไทยที่รู้จักจากการทำงานที่ผ่านมาทั้งหมดจนได้เงินทุนมาก้อนหนึ่ง

คอนเซปต์ของร้านที่วางไว้เป็นแบบไหน

แพรว : เราตั้งใจให้เป็นร้านขนมสไตล์ Asian Twist เราไม่ได้มองร้านเราว่าเป็นขนมไทย เรามองว่ามันเป็น Thai inspired แต่มีความโมเดิร์น ก็คือเราเอารสชาติแบบไทยๆ มาทำในรูปแบบบิงซู โชกุปัง คากิโกริ โทสต์ พวกฮันนี่โทสต์ เฟรนช์โทสต์ คล้ายๆ ที่เราเห็นในไทย แต่ว่าในออสเตรเลียยังไม่มีรสชาติแบบไทยๆ ก็เลยทวิตส์ไปให้ต่างชาติเข้าใจมากขึ้น

สูตรทุกอย่างเราคิดขึ้นมาใหม่หมดก็จะไม่เหมือนที่มีในไทย เพราะวัตถุดิบต่อให้เป็นกะทิที่มาจากไทย แต่พอส่งเข้ามาในออสเตรเลีย พวกปริมาณไขมันก็จะต้องโดนปรับเปลี่ยน ทำให้เทกซ์เจอร์ไม่เหมือนกับกะทิที่กินที่ไทย เราเลยต้องเทสต์สูตรกันเองเป็นร้อยๆ รอบกว่าจะได้รสชาติที่ลงตัว

เบส : ส่วนชื่อร้านเราตั้งชื่อว่า Homm ถ้าแปลตรงตัวก็หมายถึงกลิ่นหอมเลย เพราะว่าเราไม่อยากให้ลูกค้ารู้สึกอร่อยแค่ตอนกินขนม แต่อยากให้แค่เดินผ่านหน้าร้านก็ได้กลิ่นหอมและรู้สึกว่าอร่อยตั้งแต่ยังไม่ได้สั่ง

อีกความหมายคือเวลาต่างชาติอ่านออกเสียงจะอ่านว่าฮอม ซึ่งดันไปพ้องกับประโยคในภาษาเหนือที่ว่า ‘เอามาฮอมกั๋น’ แปลว่าเอามาแชร์กัน เอามารวมกัน เอามาแบ่งกัน ก็เลยเข้ากับคอนเซปต์ที่ร้านที่เราอยากให้เป็นขนมที่คนสั่งมาแบ่งกันกินได้

ส่วนจุดเด่นของเราเน้นไปที่บริการที่ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ไอเดียตรงนี้มาจากที่เราเคยทำงานในร้านอาหารชื่อ The Bridge Room เป็นร้านที่ได้รางวัล Chef Hat Awards ระดับ 3 Hats เราก็ได้เรียนรู้ว่าเวลาเขาอธิบายอาหารหรือสิ่งที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับประสบการณ์พิเศษมันเป็นยังไง ตอนที่เริ่มทำร้าน Homm ก็เลยรู้สึกว่าอยากเอา element ตรงนั้นมาใส่กับร้านที่เป็นร้านขนมได้บ้าง แต่ไอเดียหลักๆ ก็คือไม่อยากให้เอาอาหารมาวางและเดินหนีไป เพราะว่าเราไม่ได้ตั้งใจแค่จะขายคนไทยเท่านั้น แต่ยังอยากเจาะตลาดคนเอเชียและตลาดที่เป็นโกลบอลมากขึ้น

พอขายขนมรสชาติแบบไทยๆ แล้วมีวิธีสื่อสารให้ต่างชาติมาเป็นลูกค้าได้ยังไง

เบส : สมมติว่าคุณกำลังต่อคิวอยู่ จะมีน้องพนักงานทำหน้าที่เป็นกึ่งโฮสต์และกึ่งพนักงานหน้าบ้านด้วย เขาก็จะเอาเมนูออกมาให้ดูก่อน และเอาเมนูมาอธิบายให้ฟังว่าเรามีขนมเสิร์ฟยังไงบ้าง พอได้โต๊ะก็พาไปนั่งและอธิบายเมนูอย่างละเอียด

อธิบายแม้กระทั่งว่าบิงซูคืออะไรด้วย บิงซูคือ snowflake นะ ให้ลองคิดถึงตอนเด็กๆ ที่ไปเที่ยวหิมะแล้วอยากกินหิมะไหม อันนี้แหละคือหิมะเลย แต่ว่าจะเป็นรสชาไทยที่เป็นสเปเชียลเบลนด์ของเราและชงสดจากใบชาเลย ตอนมาเสิร์ฟก็อธิบายวิธีกิน ถ้าสมมติยูรู้สึกว่าหวานไม่พอ สามารถใส่ท็อปปิ้งเพิ่มได้เลยนะ และมี grass jelly ก็คือเป็นเฉาก๊วย เพื่อเพิ่มเทกซ์เจอร์ให้กับขนมของคุณ

ส่วนเมนูโชกุปังที่พี่แพรวคิดขึ้นมาก็คือมีไอศครีมกะทิอยู่ข้างบน ที่เราอยากทำ taste profile ให้เหมือนกับพวกไผ่ทอง แต่อยากได้เทกซ์เจอร์แบบเจลาโต้ ข้างในก็จะมีสังขยาอยู่ระหว่างขนมปัง และก็จะมีซอสกะทิเค็มอยู่ข้างๆ ซึ่งคนไทยจะรู้อยู่แล้วว่าซอสกะทิมันต้องเค็มนิดๆ เพื่อที่จะให้มันกลมกล่อม แต่ต่างชาติเขาไม่เข้าใจ เราก็พยายามอธิบายว่าถ้าคุณรู้สึกว่าหวานเกินไป ให้เติมกะทิจะมีความเค็มที่ทำให้รู้สึกอูมามิมากขึ้น

กลายเป็นว่าซอสกะทิที่คนไทยเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ เขาว้าวมากนะ ทำให้เรารู้ว่าความจริงของที่เราเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องปกติสำหรับคนไทย เป็นอะไรที่ต่างชาติชอบมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ไม่มีใครมานำเสนอให้เขาได้รู้จัก เราก็เลยอยากจะเอาตรงนี้มาเป็นจุดที่ทำให้ลูกค้าต่างชาติรู้สึกว่าของไทยไม่ได้จำเป็นว่าจะต้องเป็นสตรีทฟู้ดอย่างเดียว ถูกอย่างเดียว เพราะว่าอาหารหรือขนมไทยถูกคิดมาดีแล้วและควรถูกยกระดับสู่สายตาตลาดโลก

แพรว : เราว่าสิ่งเหล่านี้มีคุณค่ามากๆ เลย แต่เราต้องสื่อสารออกไปให้ลูกค้ารับรู้ด้วยว่าความอร่อยมันมายังไง มันมีเพื่ออะไร ทำไมต้องเค็ม เราก็พยายามเทรนน้องๆ หน้าบ้านให้สื่อสารสิ่งเหล่านี้ออกไปให้ลูกค้า ลูกค้าก็จะเกิดความเข้าใจและจะรู้จักพวกวัตถุดิบไทยๆ ที่เราใช้ พอเขาเข้าใจเขาก็ชอบมันได้ไม่ยาก

ถ้ามองย้อนกลับไปคิดว่าความท้าทายของการเปิดร้านในช่วงแรกคืออะไร

เบส : ด้วยความที่ตอนนั้นเงินทุนเรายังไม่เยอะเท่าไหร่ อะไรเซฟงบได้เราก็ทำเองหมด รับบทเป็นช่างไฟ ช่างทาสี ถือสว่านเจาะเดินเจาะเองทั่วร้าน พอมีของแตก ของพัง เราก็ซ่อมเอง ตอนนั้นเราเป็นเหมือนช่างคนหนึ่งเลย ไม่ได้เหมือนเป็นเจ้าของร้าน (หัวเราะ)

แพรว : แล้วตอนที่เราเปิดร้านใหม่ๆ มันยุ่งเร็วกว่าที่เราคิดไว้มาก เปิดประมาณ 2 เดือนมีลูกค้ามารอเข้าคิวถึง 40 นาทีเลยก็มี ทำให้เราทำกันไม่ทัน เพราะทุกอย่างเรามาทำในร้านหมด ขนาดชาที่ใช้ยังเป็นชาชักอยู่เลย แล้วของทุกอย่างทำด้วยมือด้วย บัวลอยเราปั้นสดกันในร้าน เฉาก๊วยก็คือต้มสดๆ ไม่ได้สั่งแบบสำเร็จรูปมา รสชาติก็จะไม่เหมือนร้านอื่น

ตอนนั้นก็มีปัญหาเรื่องสต็อกของ เพราะว่าที่นู่นเวลาเขาสั่งของจากไทยเข้ามา ก็จะมีเจ้าใหญ่ๆ ร้านไทยที่เขามีเชนเยอะ ก็จะเอาของไปหมด จนเกิดเหตุการณ์ที่เราก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น คือเราต้องปิดขายบางเมนู เพราะว่าของหมด มีวันหนึ่งที่เราเปิดบ่าย 3 แล้วต้องปิด 6 โมงเพื่อไปเตรียมของก่อน กลับมาเปิดอีกทีตอน 1 ทุ่ม ตอนนั้นเราเศร้ามากที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น

ฟังดูเหมือนช่วงแรกพวกคุณเจอปัญหาเยอะมาก แล้วหลังจากนั้นจัดการกับปัญหายังไง

เบส : เราเจอปัญหาทุกวัน ในแต่ละวันก็มีปัญหาใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ ทำให้ทุกวันตอนเที่ยงคืนหลังจากปิดร้านเสร็จพวกเราก็จะมานั่งสุมหัวกันที่ร้านเกาหลีข้างๆ ว่าวันนี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง พรุ่งนี้เราจะเปลี่ยนอะไร

ด้วยความที่เราไม่มีประสบการณ์ทำธุรกิจของตัวเองกันมาก่อน เราเลยทดแทนมันด้วยเวลาที่มีเพราะว่าประสบการณ์มันเท่ากับเวลาใช่ไหมล่ะ เราก็นั่งคุยกันยาวๆ ไปเลย บางวันคุยกันยันตี 3 ตี 4 ก็มี ว่าอันนี้ต้องปรับอย่างนี้นะ มีอะไรอยากเถียงกันเอาให้จบ

อย่างเช่นตอนเริ่มต้น ชีสที่อยู่ในบิงซู ความคิดของเราคือเราอยากทำให้มันเป็น SOP ที่เป๊ะทุกอย่าง เราก็เลยจะแบ่งชีสไว้ ใส่กล่องเล็กๆ ไว้หลายๆ กล่อง กลายเป็นว่าวันนั้นใช้เวลาปิดร้านประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง เพราะต้องมาล้างกล่องเล็กๆ นั้น

หลังจากนั้นเราก็ทำชีสทีละน้อยๆ แล้วใส่เหยือกไว้ดีกว่า ก็คือจะไม่ทำเยอะ เพราะมันจะเสียความสดใหม่ไป แต่ต้องมาแก้ปัญหาที่ว่าพนักงานบางคนเทชีสไม่เท่ากัน เราก็ต้องมาเทรนพนักงานแก้ปัญหากันไปทีละจุด

แพรว : ปัญหาที่หนักสุดของเราคือลูกค้าเยอะ คิวยาวมาก เราก็เลยกำหนดมาตรฐานว่าขนมที่ออกไปจะต้องมีหน้าตาเป็นยังไง และในแต่ละเมนูต้องใช้เวลาทำแค่ 5 นาที เลตที่สุดคือ 15 นาที เพราะว่าเรารู้สึกว่าลูกค้ารอในคิวนานแล้ว บางคนรอมา 30 นาที 45 นาที ให้มานั่งรอขนมนานๆ เป็นเราเราก็เซ็ง

แต่ขนมเราก็ทำยากนะ ต้องใช้ความชำนาญมากๆ อย่างการตบบิงซูให้เป็นพิมพ์แบบที่เราเคยเห็นทั่วๆ ไปเขาจะใส่ถ้วย แต่ของเรา เรามีพิมพ์ที่จะต้องทำให้เหมือนภูเขาน้ำแข็งละลายลงมา มันใช้เวลานานมากกว่าจะทำให้ได้อย่างนั้น

เราก็เทรนจนกว่าน้องพนักงานจะทำได้ ถ้าช่วงไหนออร์เดอร์เยอะมากๆ ดูทรงแล้วน่าจะทำนานเกิน 10 นาที ในครัวก็ต้องบอกพนักงานหน้าบ้าน เพื่อให้ไปแจ้งลูกค้าก่อนที่เขาจะมาตามออร์เดอร์ เพราะต่อให้ขนมเราอร่อย แต่เราก็เน้นเรื่องบริการและสร้างประสบการณ์ที่ดีเช่นกัน

เบส : สุดท้ายเราก็คิดระบบในครัว โดยออกแบบสเตชั่นให้เป็นสามเหลี่ยม เหตุผลเดียวเลยเพราะว่าเราไม่อยากให้พนักงานเดินชนกัน เพราะว่ามันจะต้องมีสเตชั่นที่ทำบิงซูออกมาแล้วเอามาวางอีกฝั่งหนึ่ง และอีกฝั่งหนึ่งจะต้องประกอบนั่นนี่

จังหวะนี้เป็นจังหวะที่ถ้าหันมาแล้วเอ๊ะ มันจะเสียเวลาไปประมาณ 2-3 วินาที แล้วมันก็จะเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุด้วย ฉะนั้นเราเลยเซตระบบว่าคนทำบิงซูถ้าจะหันมา ให้หันฝั่งนี้ แล้วหันมาปุ๊บถ้าจะต้องวางในถาดไหน หลังจากนั้นจะมี 2 คนช่วยกัน คนหนึ่งหยิบพลาสติกมา wrap บิงซูและตักไอศครีม อีกคนจะหยิบชีส ซอส และท็อปปิ้งมาเท

เราก็เลยจะวางของที่แต่ละคนต้องใช้ให้ใกล้มือที่สุด ห้ามเดินสวนกันไปมา และคีย์หลักของการทำงานในครัวเราคือห้ามขาตาย เช่น เคยมีบางคนยืนจ้องเครื่องทำบิงซูเฉยๆ มันไม่ทำให้เครื่องทำบิงซูทำงานไวขึ้น เราก็จะบอกว่าเทวัตถุดิบลงในเครื่องนี้เสร็จแล้วก็ไปเทอีกเครื่องหนึ่ง ซึ่งเราก็ออกแบบให้คนขยับตัวไปแค่หนึ่งก้าว เพื่อเอื้อมหยิบของ และเวลาจะทำอะไรให้พูดสื่อสารกันตลอด 

เช่น ถ้าพูดว่า push หมายถึงเราจะขยับถาดไปให้สเตชั่นถัดไปแล้วนะ หรือถ้ามีสเตชั่นไหนที่ยุ่งมากๆ ต้องมีคนสลับไปช่วยสเตชั่นนั้น มันจะต้องมีจังหวะที่ต้องสวิตช์คืน ฉะนั้นเราก็จะมีโค้ดคําว่าสวิตช์เพื่อให้คนนี้รู้ว่า โอเค ต้องกลับตำแหน่งเดิมแล้วนะ

หลังจากเปิดร้านแรกได้ 6 เดือนก็เปิดสาขาที่ 2 เป็นเพราะว่าไม่อยากให้ลูกค้ารอคิวนานด้วยไหม

เบส : ใช่ครับ สาขาที่ 2 อยู่ฝั่งตรงข้ามสาขาแรกเลย ห่างกันแค่ 150 เมตร พอเราตกลงกันว่าจะเปิดร้านที่ 2 เราค่อนข้างอ่านเกมไปในเชิงที่ว่าเราจะก๊อปไปทั้งหมดไม่ได้ เพราะว่าร้านแรกเป็นร้านที่เราทำกันเอง ลองผิดลองถูกกันไป ในฐานะคนที่ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์

แต่สาขา 2 เราอยากให้เป็น flagship ได้ เผื่อเป็นสาขาต้นแบบที่จะขยายแฟรนไชส์ในอนาคต พอคนมาเห็นก็จะรู้สึกว่าสาขาแรกกับสาขา 2 มีการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่เราคุยกันและวางแผนว่าจะมาเติมเต็มให้สาขานี้ดีขึ้นได้คือเรื่องของคน เราเทรนพนักงานที่จะให้ขึ้นมาเป็นผู้นำช่วยเราดูแลร้านกันอย่างบ้าคลั่ง เป็นช่วงเวลาที่เราดุมากที่สุด

เรากำหนดมาตรฐานอย่างเคร่งครัด ทำให้ช่วงแรก Homm เป็นร้านที่ติดอันดับร้านที่เด็กไทยที่มาออสเตรเลียใหม่ๆ ห้ามสมัครเลย เพราะเราดุมาก เราต้องการคนที่ตั้งใจทำงานจริงๆ แต่เราจ่ายเงินมากกว่าที่อื่นประมาณชั่วโมงละ 5 ดอลลาร์ ตีเป็นเงินไทยก็ชั่วโมงละ 150 บาท ซึ่งถือว่าเยอะมาก และกลายเป็นว่าทุกวันนี้น้องๆ ที่เราเทรนมาให้เป็นผู้นำดุกว่าเราอีก ทำงานเป๊ะกันมากๆ

บี : พอเปิดสาขา 2 กลายเป็นว่าคนต่อคิวเยอะเหมือนเดิม คิวสาขาแรกก็ไม่ลดเลย เพราะมูดทั้ง 2 ร้านต่างกัน ลูกค้าเขาก็จะรู้ว่าตัวเองต้องไปสาขาไหน อย่างสาขาแรกจะมีโต๊ะเยอะ พื้นที่ใหญ่ ถ้าเขามาเป็นครอบครัว มีเด็กมาด้วยก็จะมาสาขานี้ แต่ถ้าคู่รักมาเดตกันหาร้านนั่งสวยๆ ก็จะมาสาขา 2

หลังจากนั้นมีเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีกไหม

แพรว : ในออสเตรเลียเรามีสาขาที่ 3 เป็นแฟรนไชส์ ซึ่งปกติแฟรนไชส์ในออสเตรเลียจะให้พนักงานมาเทรนนิ่งกันประมาณ 2 สัปดาห์หรือบางที่ก็ 3 วัน แต่ร้านเราให้มาเทรนนิ่ง 4 เดือน ซึ่งถือว่านานมากๆ เพราะเราต้องการให้เขาได้ทุกอย่างที่มันเป็น Homm จริงๆ เราเชื่อว่า Homm ไม่ใช่แค่โปรดักต์ แต่มันคือความเนี้ยบ

พวกเราไม่ใช่พวกเพอร์เฟกชันนิสต์นะ เพราะเราก็มีช่องให้สำหรับความผิดพลาดและแก้ไขได้ แต่สิ่งที่ออกไปคือมันต้องเนี้ยบ ต้องส่งออกไปแล้วห้ามขายขี้หน้า เราเลยต้องทำให้พนักงานเข้าใจ DNA ของ Homm ซึ่งมันก็จะทำให้ทุกสาขาไปในทิศทางเดียวกัน

และตอนที่ Homm เปิดมาได้ 1 ปี เราก็ขยายสาขาไปที่ประเทศสิงคโปร์ เพราะเราเคยเป็นแอร์โฮสเตสที่สิงคโปร์แอร์ไลน์มาก่อน เลยเข้าใจเนเจอร์คนสิงคโปร์มากกว่าคนออสเตรเลียด้วยซ้ำ เรารู้ว่าเขาชอบกินแบบไหน ไม่ชอบอะไร ทำให้ที่นี่เหมาะกับการเป็นประตูบานแรกที่จะเปิดไปโกลบอล

บี: แต่ถ้าพูดถึง business analysis ทั้งหมด GDP ของสิงคโปร์เป็น GDP ของคนที่มีกำลังจ่ายเงินซื้อขนมของเราได้ อีกเรื่องคือไลฟ์สไตล์เขาค่อนข้างใกล้เคียงกับไทย อันนี้เราสังเกตจากร้านที่ออสเตรเลีย จะเห็นว่าลูกค้าส่วนใหญ่ที่มากินเป็นชาวสิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง มันก็ลิงก์กับที่แพรวเคยอยู่ที่โน่น มีพาร์ตเนอร์เป็นคนสิงคโปร์ด้วย มันก็เลยค่อนข้างลงล็อกโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ

สาขาที่สิงคโปร์เหมือนหรือต่างกับที่ออสเตรเลียยังไง

แพรว : เรื่องของรสชาติเหมือนกันแน่นอน เพราะทุกสาขาของเราทำจากครัวกลางที่ออสเตรเลีย

เบส : ส่วนเรื่องบริการเราก็ให้พนักงานอธิบายเมนูแบบตอนที่ขายในออสเตรเลีย แต่ก็ให้ดูฟีลลูกค้าด้วย เพราะคนสิงคโปร์เขารู้จักและชอบอะไรที่เป็นของไทยอยู่แล้ว ส่วนคนเอเชียที่อยู่ในสิงคโปร์จะมีความเดินเข้าร้านอาหารแล้วไม่ต้องมายุ่งอะไรกับฉัน ฉันดูแลตัวเองได้ 

โดยเฉพาะคนจีนเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะมาดื่มด่ำกับเรื่องประสบการณ์พิเศษอยู่แล้ว และเข้าใจเรื่องวัฒนธรรมการกินของคนไทยอยู่บ้าง เราก็จะให้สเปซเขาแต่ถ้ามีคำถามอะไรก็ถามได้นะ อารมณ์เหมือนว่าเราเป็นแบรนด์เอกซ์โทรเวิร์ตมาอยู่ในดงคนอินโทรเวิร์ต เราก็ต้องโทนดาวน์นิดหนึ่ง

คิดว่าความยากหรือความท้าทายในการทำธุรกิจในต่างแดนคืออะไร

บี : เรื่องของระเบียบข้อบังคับ เรื่องกฎหมาย เรื่องความถูกต้องโปร่งใส คือทุกอย่างห้ามผิด ถ้าผิดก้าวเดียวเข้าคุกทันที กฎหมายในต่างประเทศค่อนข้างแรง แล้วพวกระเบียบในเชิงความปลอดภัยของอาหาร ความสะอาดของอาหาร อุณหภูมิในการทำอาหาร ขั้นตอนทุกอย่างต้องเข้มงวดมาก ซึ่งร้านเรามี auditor outsider เข้ามาช่วยตรวจสอบอยู่แล้ว 

แพรว : อีกเรื่องเราว่าเป็นเรื่องคน เพราะส่วนใหญ่พนักงานเราเป็นคนไทย แล้วก็มีคนเอเชียอย่างเวียดนาม ฮ่องกง เกาหลีบ้าง เพราะเรารู้สึกว่าเขาจะเข้าใจเรื่องวัตถุดิบและรสชาติอาหารของเราได้มากกว่า ซึ่งเราก็รักทีมของเรา อยากให้อยู่ด้วยกันไปนานๆ

แต่ก็จะมีปัญหาเรื่องวีซ่า อย่างคนไทยจะชอบโดนลิมิตด้วยจำนวนชั่วโมงของวีซ่านักเรียน ทำให้ชั่วโมงในการทำงานจำกัด ทั้งน้องและเราก็เสียดายอยากให้เขามีชั่วโมงการทำงานมากกว่านี้ น้องเขาจะได้เงินเพิ่ม แล้วพอวีซ่าครบกำหนดเขาก็ต้องกลับประเทศ ทำให้เรารู้สึกว่าปัญหาในร้าน ปัญหาเรื่องอาหารอะไรเราจัดการได้ แต่พอเป็นเรื่องนี้มันนอกเหนือความสามารถเราจริงๆ ก็ทำใจยากเวลามีน้องต้องลาออกเพราะวีซ่าครบกำหนด

แล้วข้อดีในการทำธุรกิจในต่างแดนคืออะไร

บี : เราว่าการทำธุรกิจในต่างประเทศมันมีโอกาสเยอะ อย่างในออสเตรเลียเอง ไม่ได้เป็นเหมือนอิตาลีหรือเป็นเหมือนฝรั่งเศสที่เขามีอาหารประจำชาติ แต่ออสเตรเลียเขาผสมผสานหลายวัฒนธรรม เพราะฉะนั้นอะไรที่ใหม่มากๆ ทั้งคนโลคอลเองหรือคนประเทศอื่นที่อยู่โน่นเขาค่อนข้างโอบรับมากๆ

อีกอย่างหนึ่งคือที่ออสเตรเลียเขาไม่ได้เป็นคนที่ฟาสต์แฟชั่นขนาดนั้น หมายถึงว่าที่โน่นไม่ค่อยมีอะไรที่ปังแป๊บเดียวแล้วจบไป เขาค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่อง loyalty เหมือนว่าถ้าเขารู้จักเด็กเสิร์ฟคนนี้ เขาคุ้นหน้าคนนี้ เขาก็จะอยากหาคนนี้คนเดียว เขาจะให้ความสำคัญกับเรื่องการสร้างความผูกพันมาก

แพรว : คู่แข่งเราที่โน่นน้อยด้วย เพราะว่ากว่าจะหาวัตถุดิบ คิดเมนู ทำอะไรแบบเรามันยากมากๆ แต่ถ้าเราตั้งใจทำ บริการดี ลูกค้าเขาก็พร้อม spend เงิน

ในอนาคตมีแผนจะขยายสาขาไปที่อื่นอีกหรือไม่และคิดจะขยายสาขามายังประเทศไทยไหม

เบส : ในไทยจริงๆ ก็มีคนบินไปกินที่โน่นแล้วบอกว่าของเราอร่อย เราก็ดีใจนะ แต่ด้วยความที่เรา 3 คนยังอยู่ในต่างประเทศและยังไม่ได้เชี่ยวชาญการตลาดในไทย เลยยังไม่คิดขยายตลาดมาที่นี่ ยกเว้นว่าในอนาคตมีพาร์ตเนอร์ที่เขารู้จักตลาดในไทยจริงๆ แล้วสนใจมาทำกับเรา

เพราะถ้ามาไทยจริงๆ เราอยากเป็นเหมือน KFC Thailand ที่อร่อยอันดับต้นๆ ของโลก อร่อยกว่าที่อเมริกาอีก ซึ่งเขามีทีม R&D และทีมบริหารที่เข้าใจความต้องการของคนไทย ซึ่งเราก็ค่อนข้างเปิดกว้าง ตราบใดที่ยังมี DNA ของ Homm อยู่ ส่วนเรื่องโปรดักต์ถ้าเข้าไทยก็ปรับเปลี่ยนกันได้ แต่ตอนนี้กลุ่มเป้าหมายหลักก็ยังอยากโฟกัสไปที่โกลบอลตามที่เราตั้งใจไว้ในตอนแรก

บทเรียนที่พวกคุณได้เรียนรู้จากการทำธุรกิจคืออะไร

เบส : ได้เรียนรู้ว่าเราต้องมีถังขยะในใจ เพื่อที่จะปล่อยวางเรื่องบางเรื่องทิ้งไปบ้าง อย่างเราดูแลสื่อของร้านก็จะเห็นคอมเมนต์ทุกอย่างก่อน ก่อนหน้านี้เราคิดว่าพอตั้งใจจะทำอะไรแล้วมันคงจะออกมาดีแน่ๆ เลย แต่ว่าโลกแห่งความเป็นจริงคือต่อให้ทำอะไรหรือไม่ทำอะไรเราก็โดนด่าอยู่ดี 

แต่มีพี่คนหนึ่งเป็นคนไทยที่ทำร้านอาหารในออสเตรเลียเหมือนกันเขาก็พูดว่า “จะไปคิดถึงคนที่ไม่แม้แต่จะคิดถึงความรู้สึกเธอเหรอ ในขณะที่มีคนมาต่อคิวตั้งเยอะ ถ้าฉันเป็นลูกฉันน้อยใจนะ อุตส่าห์มาสนับสนุนเธอ แต่เธอไปคิดถึงใครไม่รู้ที่ไม่ได้ตั้งใจมาเป็นลูกค้าเธอตั้งแต่เรา” เราฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันจริง แล้วก็เริ่มปล่อยวางมากขึ้น หลังจากนั้นก็ทำงานอย่างไม่กดดันตัวเองมากไป มีความสุขมากขึ้น นอนหลับได้มากขึ้น

บี : การทำร้าน Homm ทำให้เรารู้ว่าทุกๆ วันถ้าเราตื่นมาแล้วเรามีแพสชั่น และเรายังมีเป้าหมาย เป็นเหมือนการ manifest ตัวเองว่าเราอยากเห็นจุดจุดนี้ เราไม่รู้สึกเลยว่าเราทุกข์กับการที่เราต้องทำงานตรงนี้ ถึงอุปสรรคเยอะหรือปัญหาจะเข้ามาทุกด้าน เรารู้สึกว่าก็แค่ให้เวลากับมัน ไม่ได้ไปผูกยึดติดกับอารมณ์ของตัวเอง ค่อยๆ เข้าใจปัญหาและแก้ไขมันไป

แพรว : เราอยากเรียบเรียงคำไม่ให้มันน้ำเน่านะ (หัวเราะ) แต่เรารู้สึกว่าเหมือนได้หัวใจดวงใหม่ เป็นหัวใจที่กล้าขึ้นเยอะเลย กล้าที่จะแบกรับความเสี่ยง กล้าที่จะแก้ปัญหากับเรื่องที่เกิดขึ้น กล้าที่จะลองผิดลองถูก อันนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ Homm ให้กับเรา

คอลเลกชั่นแบรนด์ไทยคลายร้อนระดับตำนาน ที่ปรับตัวให้ cool และ fresh อยู่เสมอ

ภาพแสงแดดจ้า ความรู้สึกแสบร้อนผิว เหงื่อที่ชุ่มกาย และกลิ่นเฉพาะของหน้าร้อน ไม่เพียงเป็นภาพจำของเดือนเมษายนแต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดผลิตภัณฑ์คลายร้อนหลากหลายที่คนไทยคุ้นเคยมานาน 

ในอดีต คนไทยมีวิธีคลายร้อนด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นการใช้น้ำอบลูบตัว หยิบแป้งเย็นมาโบก หรือแม้กระทั่งเลือกของกินดับร้อนอย่างข้าวแช่และไอศครีม สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้ร่างกายเย็นลง แต่ยังกลายเป็นวัฒนธรรมการใช้ชีวิตในแบบไทยๆ ที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น และนั่นเองคือจุดเริ่มต้นของแบรนด์ไทยหลายแบรนด์ที่ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับความต้องการ ‘เย็น’ ในแบบที่คนไทยคุ้นเคย

แต่ถึงอย่างนั้น วิธีคลายร้อนของเราย่อมแตกต่างออกไปตามเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามา รวมถึงผลกระทบจากความนิยมในสินค้าต่างประเทศ คำถามสำคัญคือแบรนด์สินค้าคลายร้อนทั้งหลายแหล่ของไทยนั้นยืนหยัดอยู่ได้อย่างไรในสมรภูมิอันดุเดือดไม่ต่างจากอุณหภูมิของไทยในตอนนี้ ช่วงเวลาร้อนๆ แบบนี้ ผสมปนเปกับพายุฤดูร้อนที่ทำเอาปรับตัวแทบไม่ทัน Capital ขอเปิดกรุ Coolection คอลเลกชั่นแบรนด์ไทยคลายร้อนระดับตำนาน ที่ยัง ‘cool” และ ‘fresh’ อยู่เสมอ ด้วยกลยุทธ์ที่แตกต่างแต่เข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง

นางลอย
Brand Heritage Marketing 

สินค้าที่ผูกโยงกับหน้าร้อนไทยและสงกรานต์แบบสลัดไม่ขาด แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นต้องมีนางลอย แบรนด์น้ำอบไทยระดับตำนานที่เริ่มต้นจากคุณย่าเฮียง ธ.เชียงทอง ที่ได้สูตรน้ำอบจากเพื่อนในวัง ก่อนดัดแปลงและเริ่มขายที่ตลาดนางลอยเมื่อกว่า 100 ปีก่อน จนกลายเป็นไอเทมประจำเทศกาลสงกรานต์ แต่สัญลักษณ์นี้ก็มีอีกด้านที่ทำให้ธุรกิจมีข้อจำกัด คือส่วนใหญ่แล้วมักจะขายได้ในช่วงเทศกาลเท่านั้น 

น้ำอบนางลอยจึงไม่หยุดแค่การขายน้ำอบ แต่เริ่มแตกไลน์สินค้าเพื่อให้กลิ่นอายของแบรนด์เข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ทั้งผ้าขาวม้ากลิ่นน้ำอบ แป้งหินร่ำ ดินสอพอง เทียนอบ เทียนหอมอโรม่า ขี้ผึ้งนวดสมุนไพร และสมุนไพรหอม ที่ยังคงกลิ่นอัตลักษณ์ของแบรนด์ไว้ แต่ปรับรูปลักษณ์และวิธีใช้ให้เหมาะกับยุคสมัย โดยยังอิงกับวัฒนธรรมไทยอย่างแนบเนียน 

นอกจากนั้น ยังเปิดโรงงานให้นักศึกษาและผู้สนใจได้เข้าไปเรียนรู้และสัมผัสขั้นตอนการผลิตจริง พร้อมเปิดโอกาสให้ทดลองคิดต่อยอด ในเชิงการสื่อสาร นางลอยยังหยิบเอาเรื่องเล่าต่างๆ ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ของแบรนด์มาเล่าใหม่ผ่านฉลากสินค้า เว็บไซต์ ไปจนถึงโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะการปรุงน้ำอบแบบโบราณที่ใช้มือทำทุกขวด 

แบรนด์น้ำอบนางลอยจึงไม่ใช่เพียงสินค้าเฉพาะช่วงเทศกาล แต่คือ ‘ความหอมแบบไทยๆ’ ที่มีพื้นที่ในชีวิตประจำวันของคนรุ่นใหม่แต่ยังคงจิตวิญญาณของแบรนด์ไว้ได้ และนี่คือ brand heritage marketing ที่ดึงเอา ‘รากเหง้า’ และ ‘เรื่องราวต้นกำเนิดของแบรนด์’ มาสื่อสารให้แบรนด์มีคุณค่า และเชื่อมโยงกับอารมณ์และความทรงจำของผู้บริโภค

อ่านเรื่องราวคลายร้อนและกลยุทธ์ฉบับเต็ม capitalread.co/issue-seasonalbusiness-nangloy

แป้งเย็นตรางู
Product Diversification

แป้งเย็นตรางูถือกำเนิดเพื่อรักษาผดผื่นคัน นอกจากนั้นยังถูกใช้เป็น ‘พัดลม’ ในยุคที่ความเย็นยังเป็นของหายาก จนตอนนี้แป้งเย็นตรางูไม่ได้เป็นเพียงผลิตภัณฑ์ดับร้อน แต่กลายเป็น ‘สัญลักษณ์’ แห่งความเย็นในวัฒนธรรมไทย 

แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะอยู่ยั้งยืนยง ปฏิเสธไม่ได้ว่าในวันที่เรามีแอร์และพัดลม การปรับตัวเป็นเรื่องสำคัญที่แป้งเย็นตรางูรู้ดี นอกจากใช้ storytelling ที่เน้นย้ำให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 132 ปี ซึ่งช่วยให้แบรนด์ดูแข็งแรงและมั่นคง แบรนด์ยังทำ product diversification หรือการพัฒนาไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค

ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม HerbaCeutic เจาะกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงานที่สนใจเรื่องสุขภาพผิว มีทั้งแป้งเย็น โลชั่น เซรั่มบำรุงผิว หรือจะเป็นกลุ่ม Body Care ที่มีสินค้าทั้งเจลอาบน้ำและสบู่ บอดี้สเปรย์ ทิชชู่เปียก รวมถึงหน้ากากอนามัย สเปรย์พ่นปาก ที่ยังคงคอนเซปต์ให้ความสดชื่น

“สินค้าพวกนี้เกิดขึ้นเพราะเราเห็นว่าบางทีการพกแป้งเย็นกระป๋องเหล็กมันไม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนทุกวันนี้ การมีทิชชู่เปียกสำหรับคนที่ไปคอนเสิร์ต การใช้เจลอาบน้ำก่อนนอน บางทีมันตอบโจทย์ผู้คนในวงกว้างมากกว่า”

อ่านเรื่องราวคลายร้อนและกลยุทธ์ฉบับเต็ม capitalread.co/snakebrandfamily

หงส์ไทย
Customer-centric 

หน้าร้อนแบบนี้ นอกจากพัดลมพกพา หนึ่งสิ่งที่คนไทยหลายคนน่าจะต้องมีติดตัว ไม่ว่าจะยามหน้ามืด นอนน้อย หรือเครียด ก็คือยาดม และหนึ่งในยาดมแห่งยุคที่คนพูดถึงก็คือ หงส์ไทย

แม้จะมียาดมให้คนไทยเลือกใช้ แต่หงส์ไทยไม่ได้เป็นเพียงแค่แบรนด์ยาดม แต่เป็นแบรนด์ที่ยืนหยัดและเติบโตจากการให้ความสำคัญกับผู้บริโภคเป็นหลัก แนวคิดแบบ customer-centric ของหงส์ไทย คือการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่การขายสินค้า แต่คือการสร้างความประทับใจในระยะยาว

ทุกครั้งที่ได้รับฟีดแบ็กจากลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นคำชมหรือคำตำหนิ หงส์ไทยนำสิ่งนั้นกลับมาพัฒนาและปรับปรุงอยู่เสมอ อย่างกลิ่นยาดมกระปุกเขียวที่เป็นซิกเนเจอร์ ผ่านการปรับสูตรมากกว่า 30 รอบ ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของหงส์ไทยพัฒนารวมกันไม่ต่ำกว่า 500 รอบ ทั้งแบรนด์ยังพยายามหาค่ากลางของกลิ่น เพื่อให้ยาดมทุกกระปุกใช้ได้กับทุกกลุ่มวัย ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นหรือผู้สูงอายุ ที่ผ่านมายังพัฒนาแพ็กเกจจิ้งให้มีฝาตะแกรงกันหก ทั้งยังมี Hatari x Hongthai หรืออุปกรณ์ติดพัดลมที่ช่วยให้ลมที่พัดผ่านหอมยิ่งขึ้น

หงส์ไทยยังไม่ขายแค่สินค้า แต่ขายความประทับใจ อย่างการมอบยาดมกว่า 1,200 โหล ให้การกีฬาแห่งประเทศไทย เพื่อให้นักกีฬาไทยที่เข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิก ปารีส 2024 ได้เอาไปใช้กันจุกๆ จากที่ก่อนหน้านี้มีภาพออกมาว่าก่อนนักกีฬายกน้ำหนักของไทยจะขึ้นแข่งได้เติมพลังด้วยการสูดยาดมหงส์ไทย

การใส่ใจในคุณภาพ การไม่ลดมาตรฐาน และการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องคือหลักการ customer-centric ที่ทำให้หงส์ไทยสามารถยืนหยัดในตลาดได้อย่างมั่นคงและยาวนาน

อ่านเรื่องราวคลายร้อนและกลยุทธ์ฉบับเต็ม capitalread.co/hongthai

บ้านวรรณโกวิท
Experience Marketing

ในวันที่ร้านอาหารใหม่ผุดขึ้นแทบทุกหัวมุมถนน ทั้งคนไทยก็เปิดรับรสชาติอาหารหลากหลาย เมนูคลาสสิกๆ ของไทยจึงอาจได้รับความนิยมน้อยลง ยิ่งเป็นข้าวแช่ เมนูดับร้อนของไทยซึ่งมีรสชาติเฉพาะตัวแล้วนั้น การหาที่ทางของตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ที่ทางที่บ้านวรรณโกวิทเลือกเดินคือการสร้างประสบการณ์ที่ชวนหลงใหล เพราะลูกค้าที่มาที่นี่ไม่ได้มองหาแค่อาหารอร่อย แต่พวกเขามาสัมผัส เรื่องราว กลิ่น รส และความพิถีพิถันแบบไทยแท้ ตั้งแต่ข้าวแช่สูตร 100 ปีที่ส่งต่อกันมาหลายรุ่นในครอบครัว เสิร์ฟพร้อมเรื่องเล่าของวัตถุดิบ การหุงข้าวแบบเช็ดน้ำ รวมถึงเครื่องเคียงที่ต้องใช้เวลาทำนับวัน ไปจนถึงบรรยากาศบ้านโบราณที่เป็นฉากหลัง ทั้งหมดนี้คือ ‘ประสบการณ์’ ที่ไม่ใช่แค่อิ่มท้อง แต่เติมเต็มความรู้สึกในทุกประสาทสัมผัส 

“คนกลุ่มแรกๆ ที่เข้ามาคือกลุ่มคนที่ชอบบ้านสไตล์โบราณ มีกลุ่มอนุรักษ์ไทยที่ชอบเดินมาดูบ้านแล้วขอเข้ามาทานอาหาร เราเลยเริ่มเปิดบ้านเฉพาะตรงระเบียงก่อนแล้วค่อยขยายเปิดมุมอื่นของบ้านให้นั่งตามมา ทุกวันนี้ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนสูงอายุราว 40-50 ปี กลุ่มวัยรุ่นที่ชอบเดินเล่นในย่านนี้ และคนที่สนใจอยากมากินอาหารในบ้านโบราณ ลูกค้าอีกกลุ่มคือคนที่อยากซื้ออาหารสำหรับงานจัดเลี้ยงและตอนนี้กำลังขยายไปขายออนไลน์ส่งลูกค้าต่างจังหวัด” 

ทุกองค์ประกอบของบ้านวรรณโกวิทจึงกลายเป็นเวทีของ experience marketing ที่ทรงพลัง ไม่ต้องโฆษณาให้ดัง แค่เปิดบ้านให้ผู้คน ‘รู้สึก’ ถึงคุณค่าที่อยู่เบื้องหลังอาหารทุกจาน

อ่านเรื่องราวคลายร้อนและกลยุทธ์ฉบับเต็ม capitalread.co/ban-wannakovit

เต่าเหยียบโลก
Brand Transformation

นอกจากหน้าร้อนจะมาพร้อมเหงื่อ อีกสิ่งที่หลายคนน่าจะเห็นตรงกันคือกลิ่นกายของผู้คนที่คละคลุ้ง เต่าเหยียบโลกเองเป็นธุรกิจที่อาจไม่คลายร้อน แต่เชื่อว่าสำคัญจำเป็นในหน้าร้อนนี้แน่ๆ เพราะนี่คือแบรนด์ที่เริ่มต้นจากการผลิตแป้งระงับกลิ่นกาย 

เมื่อกาลเวลาผ่านไป เต่าเหยียบโลกก็ต้องปรับตัวตาม นำมาสู่การปรับอย่างแรกๆ คือการปรับโลโก้ซึ่งแบรนด์พยายามปรับโลโก้ให้ทันสมัยหลายรอบ แต่พบว่าทำให้ผู้บริโภคสับสนและไม่สามารถจดจำได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการตระหนักถึงดีเอ็นเอของแบรนด์ เน้นคงซิกเนเจอร์เดิม แต่เพิ่มความทันสมัยเล็กน้อย ทำให้โลโก้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น โดยไม่สูญเสียตัวตนดั้งเดิม

เต่าเหยียบโลกยังขยายไลน์สินค้าจากเดิมที่มีแค่แป้งระงับกลิ่นกาย เช่น แป้งทาระงับกลิ่นเท้า ที่เกิดจากอินไซต์ลูกค้าที่นำแป้งระงับกลิ่นกายไปใช้ที่เท้า, สเปรย์ระงับกลิ่นและสบู่, บรรจุภัณฑ์ที่ใช้งานสะดวกขึ้น เช่น ขวดฝาเปิด-ปิดที่หมุนเติมรีฟีลได้ ทำให้แบรนด์ขยายฐานลูกค้าและทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ นอกจากนั้นแบรนด์ยังขยายช่องทางการขาย เช่น โมเดิร์นเทรดอย่างร้านสะดวกซื้อ หรือช่องทางออนไลน์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ

การปรับตัวของเต่าเหยียบโลกไม่ใช่เพียงการปรับโฉมภายนอก แต่คือการปรับตัวทั้งในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การวางกลยุทธ์ทางการตลาด การสร้างแบรนด์ให้ทันสมัยและยังคงเอกลักษณ์เดิมไว้ และนี่คือ ‘brand transformation’ ที่ทำให้แบรนด์เต่าเหยียบโลกอยู่คู่กับคนไทยไปอีกยาวนาน 

อ่านเรื่องราวคลายร้อนและกลยุทธ์ฉบับเต็ม capitalread.co/taoyeablok

ไผ่ทองไอสครีม
Brand Modernization

ไอศครีมของไทย ยังไงก็ต้องไอศครีมกะทิ และเชื่อว่าหนึ่งในแบรนด์ไอศครีมกะทิที่โดนใจและอยู่คู่กับชาวไทยมานานก็คือไผ่ทอง ที่แม้ในวันนี้จะอยู่ในมือของทายาทรุ่นที่ 2 แล้วก็ยังได้ใจคนทาน เพราะไม่เพียงสืบทอดสูตรและคุณภาพเท่านั้น แต่ยังเดินหน้าพัฒนาแบรนด์ให้ทันสมัยโดยไม่ทิ้งรากเหง้า หรือที่เรียกว่า brand modernization

จากการสังเกตพฤติกรรมผู้บริโภคที่ออกจากบ้านน้อยลง ไผ่ทองไอสครีมจึงเปิดตัวบริการไผ่ทองเดลิเวอรีและไผ่ทองสเตชั่น ที่กระจายไอศครีมผ่านจุดขายตามปั๊มน้ำมัน พร้อมพัฒนาตู้กดไอศครีมอัตโนมัติ ซึ่งรองรับการขาย 24 ชั่วโมง ไผ่ทองไอสครีมยังให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้า ด้วยการคงรสชาติและมาตรฐานไว้แม้จะเปลี่ยนรูปแบบการขาย หรือพัฒนาช่องทางใหม่ๆ เช่น การขายออนไลน์และการขยายหน้าร้าน

“ถ้าเป็นไปได้ เราก็อยากจะอุดให้ครบทุกรูรั่วเลยค่ะ (หัวเราะ) มันจะมีบางตึก บางอาคาร หรือบางหอพักนะ ที่คนขายเราเข้าไปไม่ถึง แต่ลูกค้าเกิดอยากกินขึ้นมาตอนนั้นนี่นา อีกอย่างตู้กดไอศครีมทำงานขายให้เราได้ 24 ชั่วโมงเลยนะคะ

“ทุกวันนี้เราหาคนขายยากขึ้นจริงๆ ค่ะ เราต้องยอมรับว่าทุกวันนี้มีทางเลือกอาชีพที่หลากหลายมากขึ้น บางคนเขาไม่อยากออกมาตากแดดร้อนๆ เข็นรถเข็นขายแล้ว เขาอยากไปทำอย่างอื่นมากกว่า เราเลยเริ่มหาคนขายได้ยากขึ้นแล้วค่ะ ตู้ vending machine ก็จะมาช่วยเราได้ตรงนี้”

‘ไผ่ทองไอสครีม’ จึงเป็นตัวอย่างของแบรนด์ที่เข้าใจรากเหง้าของตัวเอง แต่พร้อมปรับเปลี่ยนให้สอดรับกับยุคสมัย  

อ่านเรื่องราวคลายร้อนและกลยุทธ์ฉบับเต็ม capitalread.co/paithong-ice-cream

Earthling Mushroom ฟาร์มที่ทำให้เห็ดสดกลายเป็นสินค้าติดตลาดในภัตตาคารและโรงแรมทั่วกรุง

อุณหภูมิของกรุงเทพฯ ยามบ่ายกำลังร้อนได้ที่ แต่พอได้ก้าวเข้ามาใต้ชายคาของ Earthling Mushroom Farm ย่านอ่อนนุช กายและใจของเราก็เย็นลง ไม่ใช่เพราะแค่พวกเขาเพาะเห็ดกันในห้องแอร์เย็นฉ่ำเท่านั้นหรอก แต่สตาฟของที่นี่ก็ยิ้มทักทายเราด้วยความสดใส ตรงหน้าฟาร์มยังมีคุณป้าคนหนึ่งย่างเห็ดให้กินอีกต่างหาก

เรามองเห็ดเสียบไม้หลากสีสันแล้วหยิบมาชิม ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เห็ดย่างหน้าตาธรรมดาๆ จะอร่อยมาก อาจเป็นหนึ่งในเมนูเห็ดที่อร่อยที่สุดเท่าที่เราเคยกินมาได้เลย

ต้อ–โอฬาร กัลยารักษ์สกุล ผู้จัดการฟาร์มเฉลยความลับแสนเรียบง่ายให้ฟังว่า เพราะมันเป็นเห็ดสด เนื้อเห็ดจึงกรอบ แน่น เด้ง และอร่อยแบบนี้ ซึ่งนี่แหละคือจุดขายของเห็ดจากฟาร์ม Earthling ที่ไม่เหมือนกับเห็ดทั่วไปที่เราเห็นตามซูเปอร์มาร์เก็ต

ฟาร์มแห่งนี้ก่อตั้งในเดือนตุลาคม 2566 โดย Alexander Turner และ Sam Turner สองพี่น้องชาวอเมริกัน หลังจากลองผิดลองถูกกับการเพาะเห็ดในกรุงเทพฯ อยู่หลายเดือน พวกเขาก็เข็นเห็ดสดออกมาขายในตลาดได้สำเร็จ

จากที่ไม่เคยมีลูกค้าสักคน ประกอบกับเห็ดสดดูเป็นเมนูที่คนไทยไม่ค่อยคุ้นชินกันเท่าไหร่ อเล็กซ์ แซม และผู้จัดการฟาร์มอย่างต้อต้องใช้ความพยายามและสูตรการขายสินค้าเฉพาะตัว ทำให้ชื่อของ Earthling เข้าไปอยู่ในแวดวงอาหาร มากกว่านั้นคือทำให้เห็ดสดของพวกเขาไปอยู่ในเมนูของภัตตาคารและโรงแรมดังหลายแห่งทั่วกรุงเทพฯ

ในฟาร์มที่มีห้องแอร์เย็นฉ่ำ เรานั่งลงสนทนากับต้อ หาคำตอบว่าสูตรการขายของพวกเขาคืออะไร และพวกเขาใช้วิธีการไหนทำให้เห็ดกลายเป็นหนึ่งในซูเปอร์ฟู้ดที่มาแรงได้ 

ต้นเห็ด

เห็ดหลากหลายสายพันธุ์ในห้องแล็บย่านอ่อนนุชนี้ มีจุดเริ่มต้นเป็นห้องแล็บในฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา บ้านเกิดของแซมและอเล็กซ์นั่นเอง

ก่อนหน้านี้อเล็กซ์ทำงานอยู่ในแวดวงธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ไทย เขาย้ายถิ่นฐานมาสร้างครอบครัวอยู่ที่นี่เพราะตกหลุมรักเมืองไทยตั้งแต่ครั้งแรกที่เคยมาเที่ยวเมื่อหลายปีก่อน  ส่วนแซมเคยเป็นเชฟในร้านอาหารไฟน์ไดนิ่ง เคยทำงานในครัวระดับท็อปทั้งที่กรุงเทพฯ และอเมริกา และทำฟาร์มเพาะเห็ดอยู่ที่บ้านไปพร้อมกัน

รู้ตัวอีกที เห็ดสดที่แซมเพาะในห้องแล็บเล็กๆ ระดับโลคอลก็สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ แซมจึงลาออกจากงานมาทำธุรกิจเพาะเห็ดโดยเฉพาะ โดยจำหน่ายให้กับร้านอาหารของดิสนีย์ ยูนิเวอร์แซล และร้านไฟน์ไดนิ่งกว่า 100 แห่งก่อนที่ทุกอย่างจะถูกพักไว้ชั่วคราวเมื่อโควิด-19 ระบาด 

แซมมองหาโลเคชั่นฟาร์มใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม เขาบินมาหาพี่ชายที่กรุงเทพฯ และเห็นว่าเมืองหลวงของไทยนี่แหละคือโลเคชั่นที่มีศักยภาพ

ในกรุงเทพฯ เราไม่ค่อยเจอคนขายเห็ดสดสักเท่าไหร่ อันที่จริง คนกรุงส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้ทานเห็ดสดกัน

นั่นคือไอเดียตั้งต้นที่ทำให้อเล็กซ์และแซมย้ายฟาร์มจากอเมริกามาอยู่ที่ไทย ชวนให้เราสงสัยต่อว่าแล้วทำไมคนกรุงเทพฯ ถึงไม่ค่อยได้กินเห็ดสดกันล่ะ

“จริงๆ เห็ดสดมันหายากนะ” ต้อผู้จัดการฟาร์มตอบแล้วอธิบายต่อ “ต้องบอกว่าเห็ดที่เราซื้อตามซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นเห็ดที่มีอายุราว 4 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งเขาไม่ได้หลอกขาย เขาไม่ได้เอาของที่เน่าหรือเสียมาให้พวกเราทานหรอกแต่เป็นเพราะกระบวนการขนส่ง กว่าจะเดินทางจากฟาร์มเข้าไปที่ศูนย์กระจายสินค้ามาขึ้นเชลฟ์ มันค่อนข้างนาน”

ต้อบอกว่า ความจริงแล้วเห็ดเป็นอาหารที่สีซีดได้ง่ายหากเจออากาศ  การที่จะผ่านกระบวนการเหล่านั้นก่อนจะถึงมือเรา ผู้ผลิตต้องยืดอายุเห็ดออกไปด้วยการให้ความชื้น ซึ่งอาจมาจากการอัดน้ำหรือก๊าซไนโตรเจนเข้าไปในตัวเห็ดเพื่อให้ดูขาวเปล่งปลั่ง

แม้จะไม่อันตราย แต่น้ำนี่แหละเป็นสาเหตุที่ทำให้เห็ดไม่อร่อย ด้วยธรรมชาติของเห็ดที่เหมือนฟองน้ำ เมื่อสูบน้ำเข้าไปมันจะกักเก็บไว้ นั่นคือสาเหตุที่เมื่อเรานำเห็ดมาปรุงอาหาร  เรามักจะเห็นเห็ดคายน้ำออกมาเสมอ

“แทนที่เราจะได้ผัดเห็ด เราเหมือนนึ่งมันเข้าไปอีก ทำให้เทกซ์เจอร์ของเห็ดจะยิ่งซอฟต์ ซึ่งมันไม่ควรเป็นแบบนั้น เห็ดที่ดีควรจะกรอบ แน่น เด้ง นั่นทำให้เราเห็นความแตกต่างของเห็ดที่สดและไม่สดได้ชัดเจน” ชายหนุ่มอธิบาย

เห็ดเกิดสดๆ ร้อนๆ 

หากเคยมาเที่ยวที่ฟาร์มของพวกเขา บางคนอาจเห็นว่าเห็ดของ Earthling นั้นมีรูปร่างหน้าตาประหลาด แต่ละหัวก็ดูหน้าตาพิลึกพิลั่น เต็มไปด้วยสีสันอันหลากหลาย

แต่นั่นไม่ใช่จุดขายจริงๆ ของ Earthling หรอก 

“ใช่ เราขายเห็ดหน้าตาประหลาด” เขาหัวเราะ “แต่คีย์ของธุรกิจเราจริงๆ คือเราขายความสด สดแบบที่หาก 24 ชั่วโมงหลังจากเก็บ ถ้าเห็ดไม่ได้ออกจากฟาร์ม เราจะไม่ขายแล้ว”

‘สดกว่าเราไม่น่าจะเจอแล้ว’ คือจุดแข็งของ Earthling ที่ต้อบอก เพราะฉะนั้น Earthling จึงเก็บเห็ดวันต่อ มีเห็ดสดที่พร้อมออกขายทุกวัน โดยแบ่งเป็นเห็ดหัวลิง (Lion’s Mane) 6 สายพันธุ์และเห็ดนางรม (Oyster) 4 แบบ ซึ่งต่างมีสี หน้าตา และเทกซ์เจอร์ที่แตกต่างกัน

ปลูกเห็ดในไทยและอเมริกาใช้วิธีเดียวกันไหม เพราะเข้าใจว่าสภาพแวดล้อมหรืออากาศก็ต่างกัน–เราสงสัย

“ต่างกันที่ไม้ที่ใช้เพาะเห็ด เพราะที่อเมริกาคุณแซมใช้ไม้โอ๊ก แร่ธาตุอาจจะเยอะกว่าไม้ยางบ้านเราโดยไม่ต้องให้อาหารอะไรมาก พอมาเพาะที่นี่เราลองไม้อยู่หลายตัวแต่สุดท้ายก็เลือกไม้ยางพารา ซึ่งพอใช้แล้วเราพบว่ามันไม่ได้มีสารอาหารเยอะขนาดนั้น เราจึงต้องใส่ตัวเร่งสารอาหารลงไป อีกสิ่งที่ต่างคืออุณหภูมิ บ้านเราร้อนกว่าอเมริกาเยอะ เราจึงต้องเพาะเห็ดในห้องแอร์ที่เปิดแอร์ 24 ชั่วโมง” 

อีกความท้าทายที่เพิ่มขึ้นมาคือการขนส่ง ปกติแล้ว Earthling จะขนส่งผ่านบริการขนส่งเดลิเวอรีอย่าง Grab แต่ด้วยสภาพถนนของไทยที่เป็นหลุมบ่อ ไม่ค่อยเอื้อต่อการเดินทาง บางทีกว่าจะถึงมือลูกค้าเห็ดก็กระแทกกับกล่องจนช้ำ

“โดยเฉพาะเห็ดหัวลิง ด้วยความที่สดและยังฉ่ำอยู่ แค่เราเอามือไปกดก็จะขึ้นรอยช้ำเป็นดวงๆ เวลาเราส่งให้ลูกค้า หลายท่านส่งรูปกลับมาแล้วถามว่ามันเน่าเหรอ มันดูไม่สด การขนส่งจึงเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับเราเหมือนกัน เราต้องพยายามแพ็กให้แน่นแต่ก็ไม่แน่นไป หรือบางทีถ้าส่งไปภูเก็ต เราก็ส่งเป็นก้อนไปให้เขาเพาะเอง”

ด้วยเห็ดนี้

90% ของลูกค้าฟาร์ม Earthling คือร้านอาหารและโรงแรมในกรุงเทพฯ หลายร้านนำเห็ดของพวกเขาไปขึ้นเมนูที่เสิร์ฟทุกวัน เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ฟาร์มจะหยุดผลิตเห็ด เนื่องจากร้านอาหารขาดเห็ดของพวกเขาไม่ได้นั่นเอง

แต่สิ่งที่ท้าทายและสนุกกว่านั้นคือการจะได้มาซึ่งกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้ ช่วงแรกๆ ที่ก่อร่างสร้างฟาร์ม ด้วยความเป็นแบรนด์ใหม่ที่มีจุดขายไม่เหมือนใคร การจะหาตลาดรองรับ มีกลุ่มลูกค้าประจำจึงนับว่าเป็นเรื่องยาก 

“ประมาณ 3-4 เดือนแรกสนุกมาก เพราะเราส่งแซมเปิลเห็ดไปให้ร้านอาหารเยอะมากๆ ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า Earthling เปิดตัวมาด้วยการขายเห็ดราคากิโลละเกือบพัน เราไม่ได้ขายเห็ดทรัฟเฟิลแต่เป็นออยสเตอร์และหัวลิง ซึ่งมันดู exotic ก็จริงแต่คนก็จะตั้งคำถามว่าราคาเกือบพันเลยเหรอ และไม่มีใครรู้จักเรามาก่อน เราต้องไฟต์กับชุดความคิดนี้มาตลอด 

“สิ่งที่เราทำได้คือ ส่งกล่องเห็ดแซมเปิลให้เขาเลย เอาไปทานครับ ก่อนหน้านี้เราใช้วิธีแนะนำตัวก่อนแล้วมันลำบาก  เราจึงใช้วิธีส่งแบบไม่ได้ถามร้านอาหารด้วยว่าต้องการหรือเปล่าแต่ส่งให้เลย จากนั้นก็โทรแนะนำตัวว่าเราเป็นใคร บอกเขาว่าเดี๋ยวจะมีแกร็บเอาเห็ดไปส่ง ถ้าเกิดสนใจก็ลองติดต่อมาได้”

ปรากฏว่าวิธีนี้เวิร์ก มีร้านอาหารและโรงแรมเชนใหญ่ติดต่อกลับมามากพอสมควร ก่อนที่ลูกค้าหลายคนจะขอมาดูฟาร์มของพวกเขาเพื่อตรวจสอบขั้นตอนการเพาะและความสะอาด กลายเป็นไอเดียที่ทุกวันนี้ Earthling ก็เปิดฟาร์มให้กับบริษัทและบุคคลทั่วไปได้เข้ามาดู มาชิมเห็ดของตัวเองได้ถึงถิ่น

เห็ดและผล

แม้จะเปิดมาได้ไม่ถึง 2 ปี Earthling ก็มีแผนขยับขยายโรงงานเพื่อเพาะพันธุ์เห็ดให้เยอะขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรง คนบริโภคเนื้อสัตว์น้อยลงและมองหาซูเปอร์ฟู้ดอย่างอื่นเพื่อทดแทน เห็ดคือหนึ่งในนั้น

“เห็ดมีโปรตีนเยอะ และลูกค้าอยากจะลองหาเห็ดแบบอื่นๆ ทานกันบ้าง เพราะเข้าใจว่าบ้านเราก็อาจจะไม่ได้มีตัวเลือกเยอะขนาดนั้น จริงๆ เห็ดหัวลิงก็อยู่ในบ้านเรามานานแล้วแต่ตอนนี้มีตลาดและความต้องการเยอะขึ้นมากๆ ไม่ว่าจะเอาไปทานเองหรือลองเพาะเอง” 

จากวันแรกๆ ที่เพาะเห็ดสัปดาห์ละ 200-300 กิโลกรัม วันนี้ Earthling ผลิตเห็ดออกมาขายได้ราว 400-500 กิโลกรัม ตัวเลขนี้ยืนยันได้ดีว่าเทรนด์สุขภาพมีผลต่อธุรกิจจริงจัง นอกจากการขยายกำลังการผลิต Earthling ก็มีแผนอยากนำเห็ดสายพันธุ์ใหม่ๆ มาเพาะพันธุ์ในประเทศไทยด้วยเช่นกัน 

มากกว่านั้น ฟาร์มเห็ดแห่งนี้ยังแปรรูปเห็ดสดให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นแคปซูลเห็ดที่กินแบบอาหารเสริม เห็ดชนิดผงใช้ชงดื่ม กัมมี่เห็ดรสหวานขมเคี้ยวสนุก กาแฟผสมผงเห็ด เห็ดอบแห้ง เห็ดดอง และอีกมากมายในอนาคต

เห็ดแห่งความสำเร็จ

สิ่งที่ Earthling ให้ความสำคัญในการทำธุรกิจมาตั้งแต่วันแรก คือความสม่ำเสมอ

“อย่างที่บอกว่า Earthling มีลูกค้าเป็นร้านอาหารกับโรงแรม เพราะฉะนั้นหากเขาเอาเห็ดของเราขึ้นเมนูปุ๊บ แล้วเราเพาะเห็ดออกมาไม่สม่ำเสมอ ส่งให้เขาไม่ได้ เขาก็ไม่เอาแล้ว เพราะฉะนั้นความสม่ำเสมอคือหัวใจหลักของเรา นอกจากนั้น เรื่องความสดก็เป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้อยู่แล้ว

“อีกอย่างคือเราพยายามรักษาความสัมพันธ์กับเชฟเหมือนเขาเป็นคนในฟาร์ม เราคุยกับเขาตลอดว่าเห็ดกำลังจะออกมาแล้วนะครับ หน้าตาประมาณนี้นะครับ เขาจะเอาหรือไม่เอาเราไม่รู้ แต่ส่งรูปให้ดูก่อนให้เขารู้สึกเหมือนได้ทัวร์ฟาร์มทุกวัน บางทีเขาเห็นรูปเยอะๆ เห็นบ่อยๆ เขาก็จะมีสั่งเพิ่ม” ชายหนุ่มหัวเราะ

เปิดฟาร์มมากว่าสองปี จนถึงวันนี้ ต้อบอกว่าบทเรียนสำคัญทางธุรกิจที่เห็ดมอบให้กับพวกเขาคือการเอาใจใส่ดูแล

“เห็ดเป็นสิ่งที่เลี้ยงไม่ยากเลยแต่จุกจิกหน่อยๆ ถ้าเกิดเราพลาดอะไรไปมันอาจเสียโดยทันที เพราะฉะนั้น เราจึงต้องเอาใจใส่เขา เดินไปดูตลอดเวลา ต้องมีคนอยู่ฟาร์มทุกวัน เพราะเราทำงานกับเชื้อรา เราต้องคอยสู้กับแบคทีเรียอื่นๆ จึงต้องเดินดูตลอด มันคือการเอาใจใส่กับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ” 

สรุปเห็ด
จาก Earthling Mushroom Farm

  • เลือกเห็ดมาเพาะก่อน เพราะเราจะได้รู้ว่าเห็ดนั้นมีเงื่อนไขอะไร ต้องเพาะแบบไหน
  • เตรียมสถานที่โดยดูเรื่องการหมุนเวียนของอากาศ อยู่ในร่ม และไม่จำเป็นต้องมีห้องแอร์ในการเลี้ยงเห็ด เพราะเห็ดแต่ละตัวชื่นชอบอุณหภูมิที่แตกต่างกัน
  • คงความสม่ำเสมอในการเพาะไว้ ที่สำคัญคือขายเห็ดให้ทัน เพราะว่าเพาะเห็ดไม่ยากแต่ขายเห็ดยากกว่าเยอะ  

‘พี่เบิ้ม รถแลกเงิน’ จาก KTC ปักธงไปรษณีย์ไทย 45 สาขา ขยายช่องทางเข้าถึงสินเชื่อของคนไทย

ในช่วงที่ค่าครองชีพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลายคนเริ่มหันมามองหาช่องทางเสริมสภาพคล่องเล็กๆ น้อยๆ เพื่อประคองชีวิต และหนึ่งในทรัพย์สินใกล้ตัวที่กลายเป็นตัวช่วยยามจำเป็นก็คือ ‘รถ’ ที่ไม่ได้แค่พาไปทำงาน แต่ยังแปลงเป็นเงินทุนหมุนเวียนได้ด้วย

เคทีซีจึงผนึกความร่วมมือกับไปรษณีย์ไทย ขยายช่องทางแหล่งสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ‘เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน’ ครอบคลุมที่ทำการไปรษณีย์ไทย 45 แห่ง โดยนำร่องในพื้นที่ 5 จังหวัด ไม่ว่าจะเป็นนนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม หรือเว็บไซต์ KTC เว็บไซต์ไปรษณีย์ไทย และแอพพลิเคชั่น Wallet@Post เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้สนใจทุกกลุ่ม

จุดเด่นของ ‘พี่เบิ้ม รถแลกเงิน’ คือการให้วงเงินสินเชื่อสูงสุดถึง 1 ล้านบาทต่อคัน สมัครง่าย ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน พร้อมการอนุมัติภายใน 1 ชั่วโมง และรับเงินทันทีผ่านบัญชี อีกทั้งยังผ่อนชำระได้นานสูงสุด 60 เดือน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสภาพคล่อง หรือเริ่มต้นธุรกิจเสริมในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัว

ความร่วมมือกับไปรษณีย์ไทยครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายบริการของ KTC ไปยังช่องทางที่เข้าถึงง่าย ใกล้บ้าน และคุ้นเคยกับวิถีชีวิตของคนไทย โดยเฉพาะในต่างจังหวัดหรือพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ ซึ่งยังมีประชาชนจำนวนมากที่อยู่ในกลุ่มที่ยังไม่เคยเข้าถึงบริการทางการเงิน (underserved) และกลุ่มที่อาจไม่ได้รับการดูแลทางการเงินอย่างเพียงพอ (unserved) 

การร่วมมือครั้งนี้ ทั้ง KTC และไปรษณีย์ไทยเชื่อมั่นว่าบริการนี้จะเป็นอีกหนึ่งก้าวของการพัฒนาระบบเศรษฐกิจฐานราก ด้วยการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และการเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรม หากกระแสตอบรับดี อาจมีการขยายบริการไปยังจังหวัดอื่นๆ ต่อไปในอนาคต

Artstory by Autistic Thai แบรนด์จากลายเส้นของเด็กพิเศษที่คอลแล็บกับแบรนด์และศิลปินชื่อดัง

ท่ามกลางสีสันและเส้นสายที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์และจินตนาการ เรากำลังยืนชมภาพศิลปะและสินค้าในแกลเลอรีของมูลนิธิออทิสติกไทยที่ซึ่งผลงานแต่ละชิ้นล้วนสร้างสรรค์ด้วยเทคนิคพิเศษและลายเส้นที่ถ่ายทอดเรื่องราวและอารมณ์ของคนพิเศษ

หากวันนี้เดินเข้ามาเยี่ยมชมผลงานของน้องๆ ที่แกลเลอรีจะพบกับภาพดอกไม้ที่รังสรรค์จากเส้นด้ายจุ่มสีของน้องกวิน ทิวทัศน์ธรรมชาติอันงดงามของน้องเกม มอนสเตอร์ในจินตนาการของน้องทิวและออกัส พระพุทธเจ้าภายใต้ลายเส้นแบบแอ็บสแตรกต์ของพี่เอเอ คาแร็กเตอร์สีสดใสที่สะท้อนอารมณ์ของน้องกานต์ และภาพวาดที่ได้แรงบันดาลใจจากนักรบในการ์ตูนของน้องเม่น

ยังไม่นับรวมโซนสินค้าไลฟ์สไตล์ทั้งเสื้อยืด กระติกน้ำ หมอน ผ้าห่ม ฯลฯ ในลวดลายน่ารักน่าใช้ที่น่าซื้อเป็นของที่ระลึกหรือเป็นของฝากกลับบ้านเพื่อเติมแรงบันดาลใจ ทั้งหมดนี้คือบทพิสูจน์ว่าศิลปะไม่ใช่เพียงการสร้างสรรค์ หากแต่เป็นอิสระในการแสดงออกที่ไร้กรอบของศิลปินออทิสติก

พี–วรัท จันทยานนท์ CEO แบรนด์ Artstory by Autistic Thai เป็นผู้ริเริ่มนำศิลปะของคนพิเศษมาต่อยอดเป็นแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์จนผลงานของน้องๆ สามารถเพิ่มมูลค่าได้  โดยไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นสินค้าที่ระลึกของมูลนิธิเพื่อสังคม แต่ยังได้ร่วมคอลแล็บกับแบรนด์ต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้สังคมได้มองเห็นพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ 

เบื้องหลังการสร้างแบรนด์ Artstory ไม่ใช่แค่การสร้างธุรกิจ แต่ยังเป็นเรื่องราวการพัฒนาและสร้างอาชีพให้กับบุคคลออทิสติกที่ไม่อยากให้ความเท่าเทียมในสังคมเป็นเพียงภาพฝันในจินตนาการ

Foundation For My Son 

อาจารย์ชูศักดิ์ จันทยานนท์ คุณพ่อของพี เป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิออทิสติกไทย ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากการรวมตัวของกลุ่มผู้ปกครองที่มีลูกเป็นเด็กพิเศษ และค่อยๆ ขยายผลการรณรงค์และสร้างความตระหนักรู้ด้านความเท่าเทียมให้สังคมตั้งแต่วันที่ประเทศไทยยังไม่มีใครรู้จักคำว่า ‘ออทิสติก’

“ตอนที่พ่อเริ่มทำมูลนิธิ พ่อไม่ได้มีความรู้ด้านนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะเรียนมาทางกฎหมาย ทำงานบริษัท สอนหนังสือ และเขียนหนังสือขาย แต่เมื่อรู้ว่าพี่ชายของผมเป็นออทิสติก พ่อก็พบว่าการส่งพี่ชายไปเรียนในโรงเรียนทั่วไปทำให้เขาถูกกลั่นแกล้งอย่างหนัก สิ่งนี้กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้พ่ออยากลุกขึ้นมาขับเคลื่อนอะไรบางอย่าง สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะละทิ้งทุกอย่างเพื่อมุ่งทำงานด้านเด็กพิเศษโดยเฉพาะ”

นอกจากบทบาทในมูลนิธิออทิสติกไทยที่ขับเคลื่อนงานด้านสังคม พียังเล่าว่าคุณพ่อของเขามีบทบาทสำคัญในความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน รวมถึงการเป็นวิทยากรที่เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับภาวะออทิสติก ซึ่งหลายครั้งอาจารย์ชูศักดิ์ก็มุ่งทำโดยไม่หวังผลตอบแทน เพียงเพราะต้องการให้สังคมเปิดรับและเข้าใจเด็กพิเศษมากขึ้น

หนึ่งในกิจกรรมที่มูลนิธิดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสิบปีตั้งแต่พียังเด็กคือศิลปะบำบัด กิจกรรมที่มุ่งค้นหาสิ่งที่สามารถพัฒนาศักยภาพและช่วยให้เด็กเหล่านี้มีสมาธิมากขึ้น โดยมีครูศิลปะที่มีประสบการณ์ เช่น ครูพิงก์–เพียงกาญจน์ สุวรรณปัทม์ ซึ่งสอนศิลปะเด็กพิเศษที่มูลนิธิมากว่า 20 ปี เป็นผู้นำทางให้เด็กๆ ได้ค้นพบศักยภาพของตนเองผ่านงานศิลป์

จากมูลนิธิที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อพี่ชาย พีจึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะต่อยอดแนวคิดนี้สู่แบรนด์ Artstory by Autistic Thai โดยดึงเอาเอกลักษณ์ของลายเส้นที่เด็กๆ วาดขึ้นมาเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์

“ตัวผมเองชอบดูงานศิลปะแต่ผมวาดรูปไม่เป็น แค่ชอบดูและชอบซื้อ แล้วพอเรามาเห็นในห้องศิลปะของมูลนิธิ ก็พบว่าเด็กๆ ทำอะไรได้หลายอย่างมาก รู้สึกว่างานมันเจ๋งมากเลยนะแต่คนทั่วไปจะไม่ได้เห็นเลยถ้าไม่ได้มาที่มูลนิธิ

“ผมเห็นลายเส้นของน้องๆ มาเยอะมาก บางคนวาดทุกอย่างออกมาหน้าตาเหมือนกันเป๊ะ บางคนวาดแล้วมีบางอย่างซ่อนอยู่ในภาพตลอด ซึ่งคือเอกลักษณ์และคาแร็กเตอร์ของเขา พวกนี้คือเสน่ห์ที่เราดึงออกมาเพื่อเอาไปต่อยอดทำเป็นผลิตภัณฑ์ได้ มันก็ค่อยๆ เกิดเป็นไอเดียทำแบรนด์ขึ้นมา”

ในช่วงเริ่มต้น ดรีมทีมศิลปินออทิสติกของแบรนด์มีเพียง 7 คน ก่อนขยับขยายเพิ่มขึ้นจนปัจจุบันมีศิลปินประจำราว 30-40 คน ซึ่งมาจากกลุ่มเด็กและเยาวชนในมูลนิธิที่หมุนเวียนกันเข้ามาจากทั่วประเทศหลายร้อยคน

“เราไม่เคยบังคับเด็กๆ ให้เข้ามาร่วมงาน แต่เมื่อศิลปิน 7 คนแรกมีผลงานออกมาอย่างเป็นรูปธรรม เด็กคนอื่นก็เริ่มสนใจและอยากมีส่วนร่วมมากขึ้น ช่วงแรกๆ ก็จะเจอความท้าทายเรื่องนี้แหละว่าเราตั้งใจทำมากแต่คนไม่ค่อยให้ความร่วมมือ ไม่ใช่เพราะจากน้องๆ แต่อยู่ที่ผู้ปกครองด้วย บางครั้งเด็กๆ อยากเข้าร่วม แต่ครอบครัวไม่เห็นด้วย เพราะมองว่าการทำงานศิลปะอาจไม่ใช่เส้นทางอาชีพที่มั่นคง อยากให้ลูกไปทำงานออฟฟิศมากกว่า

“แต่เราต้องพิจารณาความเป็นจริงว่างานแบบไหนที่เหมาะกับน้องๆ และเราก็เห็นว่าเด็กออทิสติกมีความสามารถทางศิลปะสูงมาก เราจึงใช้วิธีการทำให้คนทั่วไปเห็นก่อนว่า ผลงานเหล่านี้ต่อยอดได้จริง เพราะหลายคนอาจไม่เข้าใจว่าการทำงานศิลปะจะนำไปสู่อะไรได้บ้าง เขายังมองไม่เห็นภาพ แต่เมื่อเริ่มมีผลงานที่จับต้องได้ ทุกวันนี้ผู้ปกครองหลายคนเริ่มเปิดใจและสนับสนุนมากขึ้น”

คอลเลกชั่นพิเศษจากพรสวรรค์   

หลายคนคุ้นชินกับสินค้าของมูลนิธิเพื่อสังคมในรูปแบบของที่ระลึกเรียบง่าย เช่น สมุด ปากกา กระเป๋าผ้า หรือเสื้อยืด สำหรับ Artstory by Autistic Thai เอง จุดเริ่มต้นของแบรนด์ก็มาจากการจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์หมวดเบสิกอย่างเสื้อและหมวกเช่นกัน ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังคงมีคอลเลกชั่นใหม่อย่างต่อเนื่อง

แต่สิ่งที่น่าทึ่งเป็นพิเศษของแบรนด์ Artstory คือการนำลายเส้นของเด็กๆ โลดแล่นไปไกลกว่าสินค้าเพื่อสังคมทั่วไปและสามารถสร้างแบรนด์จนคอลแล็บกับแบรนด์พรีเมียมต่างวงการมากมาย ซึ่งทำให้ลายเส้นเหนือจินตนาการของศิลปินคนพิเศษได้โลดแล่นไปอยู่ในที่ไม่คาดคิดอย่างแพ็กเกจขนมไหว้พระจันทร์ของโรงแรม Kimpton Maa-Lai Bangkok ที่มีกิมมิกสามารถเปลี่ยนเป็นโคมไฟสำหรับตกแต่งบ้านได้ สร้างสรรค์ลวดลายโดยน้องมิกซ์–อนุสรณ์ ถุนารินทร์

หรือชุดน้ำชายามบ่ายแห่งการให้ ‘The Art of Giving Afternoon Tea’ ที่ออกแบบโดยน้องบิ๊ก–นิธิทรัพย์ สิรินานากุล ที่ตั้งใจถ่ายทอดความพิเศษของบุคคลออทิสติกผ่านลวดลายบนชุดน้ำชาและขนมที่จัดเสิร์ฟสำหรับโรงแรม 137 Pillars Suites & Residences Bangkok

หากกล่าวว่าศิลปะเป็นภาษาสากลที่ทุกคนเข้าถึงได้ก็คงไม่เกินจริงนัก เพราะ Artstory คือตัวอย่างที่พิสูจน์ว่าพรสวรรค์ของศิลปินออทิสติกสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดและสร้างสรรค์ผลงานที่เข้าไปอยู่ในหลากหลายวงการ ตั้งแต่ธุรกิจเทคโนโลยีระดับโลกไปจนถึงแวดวงบันเทิง

ตั้งแต่ภาพวาดที่ถูกมอบเป็นของขวัญให้แก่คุณสัตยา นาเดลลา CEO ของไมโครซอฟท์ในโอกาสที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย ลวดลายที่เพนต์ลงบนชุดราตรีของนิโคลีน พิชาภา ตัวแทนประเทศไทยในการประกวดมิสเวิลด์ 2018 ซึ่งมีน้องชายเป็นออทิสติก การร่วมงานกับศิลปินอาร์ตทอยชื่อดัง MR.KREME (แอนดี้–วรกันต์ จงธนพิพัฒน์) ผู้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ 

ยังรวมไปถึงการออกแบบของที่ระลึกสำหรับผู้นำประเทศในงาน ASEAN Summit ปี 2019 การสร้างภาพประกอบสำหรับคอนเสิร์ต ‘ตัน Fight ตัน VARIETY CONCERT’ ของศิลปิน ป๊อบ ปองกูล และโอ๊ต ปราโมทย์ ไปจนถึงการเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบตัวละครหลักในซีรีส์ Good Doctor ที่นำเสนอเรื่องราวของแพทย์อัจฉริยะที่เป็นออทิสติก

ลายเส้นของเด็กๆ ภายใต้แบรนด์ Artstory ยังถูกนำไปออกแบบสินค้าหลากหลายประเภท ตั้งแต่ของที่ระลึกสำหรับคาเฟ่ Amazon, แบ็กดร็อปในงานหนังสือของสำนักพิมพ์ยิปซี ของชำร่วยที่ระลึกขององค์กรต่างๆ สำหรับโอกาสสำคัญ ไปจนถึงคอลเลกชั่นลิมิเต็ดของแบรนด์ต่างประเทศ เช่น BOLDR แบรนด์นาฬิกาจากสิงคโปร์คอลเลกชั่นลายปลาคาร์ปและช้างที่มีจำนวนจำกัดเพียง 99 เรือนต่อปี

เมื่อถามพีว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ Artstory เติบโตและได้รับโอกาสคอลแล็บร่วมกับแบรนด์มากมายขนาดนี้ พีอธิบายว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่ยังไม่ค่อยมีมูลนิธิเพื่อสังคมที่ดำเนินธุรกิจแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์อย่างจริงจัง ทำให้เกิดการบอกต่อและขยายโอกาสอย่างต่อเนื่อง

“มันเป็นเรื่องของการบอกปากต่อปากที่ทำให้คนรู้จักเรา ทุกครั้งที่เราสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ขึ้นมา มันมีคุณค่าอย่างมาก ไม่ใช่แค่ตัวสินค้า แต่ยังรวมถึงเรื่องราวเบื้องหลังและกระบวนการที่ช่วยพัฒนาศิลปินออทิสติก ทุกชิ้นงานของเราสะท้อนความคิดของน้องๆ และยังคำนึงถึงฟังก์ชั่นการใช้งานในชีวิตประจำวัน

“แต่เวลาที่แบรนด์หรือองค์กรต่างๆ ติดต่อมาเพื่อสนับสนุน เรามักจะอธิบายให้พวกเขาเข้าใจว่า Artstory ไม่ได้ต้องการให้คนซื้อเพราะความสงสาร สิ่งที่เราต้องการสื่อสารจริงๆ คือ ศักยภาพและพรสวรรค์ของศิลปินออทิสติก ซึ่งสามารถสร้างสรรค์งานศิลปะที่สวยงามและเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าประทับใจ

โมเดลธุรกิจเพื่อความเท่าเทียม

รายได้หลักของแบรนด์ Artstory มาจากการจำหน่ายสินค้าและขายลิขสิทธิ์ลายเส้นของศิลปินออทิสติกในการทำสินค้ารุ่นพิเศษร่วมกับองค์กรและแบรนด์ต่างๆ โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม B2B ซึ่งคนพิเศษอย่างศิลปินเจ้าของลายเส้นก็ได้รับรายได้พิเศษเพิ่มเติมด้วย เช่น สปอนเซอร์จากบริษัทที่อยากสนับสนุนประเด็นด้านความเท่าเทียม

“เราให้ความเท่าเทียมกับน้องๆ เพิ่มขึ้นไปอีก โดยทุกครั้งที่ขายสินค้าภาพวาดได้ มีคนมาเลือกน้องๆ ให้ไปทำงานดีไซน์จากผลงานศิลปะ หรือแม้แต่เวลาขายลิขสิทธิ์ เราก็จะแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้น้องๆ เพิ่มด้วย นอกจากน้องๆ ทุกคนจะได้รายได้ประจำทุกเดือนกันอยู่แล้ว ก็ยังได้เงินท็อปอัพเสริมไปอีกด้วย และเรายังมีการกระจายรายได้เพื่อให้ทุกคนได้รายได้เพิ่มอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่บางคนมีงานเยอะแล้วงานมาอัดอยู่แค่ที่คนนี้ โมเดลตรงนี้ก็ทำให้บริษัทเราอยู่ได้ จนตอนนี้เราดูแลทั้งมูลนิธิได้ด้วย” 

พีเล่าต่อว่าลูกค้าทั่วไปสามารถซื้อสินค้าของแบรนด์ได้ที่หน้าร้าน Artstory Store ที่ศูนย์อาชีพออทิสติกไทยและมูลนิธิออทิสติกไทย รวมถึงตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ อย่าง Icon Siam, Siam Discovery และช่องทางออนไลน์ทางมาร์เก็ตเพลส โดยในส่วนของราคาผลงานศิลปะมีตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่น แถมแบรนด์ยังเคยคิดรูปแบบการขายสุดสร้างสรรค์คือเปิดประมูลผลงานศิลปะของน้องๆ ในกรุ๊ปเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผลงาน 

ที่ผ่านมากลยุทธ์การตลาดของ Artstory ประสบความสำเร็จอย่างมากในฝั่งลูกค้า B2B แต่พีก็อยากปรับทิศทางธุรกิจมาสร้างความตระหนักรู้ในวงกว้างมากขึ้น 

“ตอนนี้เราขายให้ลูกค้า B2B ราว 60-70% แต่ก็อยากให้แบรนด์ได้เฉิดฉายในฝั่งกลุ่ม B2C เพิ่มมากขึ้น อยากให้คนทั่วไปได้เห็นผลงานน้องๆ เพิ่มขึ้น และได้รับรู้ถึงความตั้งใจที่น้องๆ ดีไซน์งานออกมา อยากทำให้โปรดักต์เราไปอยู่ในชีวิตเขา” 

ไอเดียการจัดอีเวนต์เพื่อเล่าเรื่องราวโลกของคนพิเศษให้ใกล้ตัวคนทั่วไปจึงผุดขึ้นมาเพื่อหวังให้เรื่องราวความพิเศษกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวทุกคน โดยปีนี้จัดเป็นงานเฟสติวัลในวันที่ 5-6 เมษายน 2568 ที่มิวเซียมสยาม ซึ่งเป็นการฉลองวันออทิสติกโลกประจำเดือนเมษายนของทุกปี 

“เดิมทีปีก่อนๆ เราจะจัดอีเวนต์เป็นงานภายในแค่ที่มูลนิธิหรือโรงแรม ไม่ค่อยมีคนเห็น แต่ว่าปีนี้เราอยากลองจัดให้คนทั่วไปได้เข้ามาร่วมงานด้วย ภายในงานก็จะมีกิจกรรมหลากหลายมากเลย น้องๆ ศิลปินออทิสติกมาจัดเวิร์กช็อปสอนศิลปะให้แบบฟรีๆ“

นอกจากนั้นยังมีร้านอาหารจากเครือข่ายของเด็กๆ และแบรนด์สินค้าต่างๆ ที่เป็นของดีจากต่างจังหวัดมาออกบูท มีมินิคอนเสิร์ตและเวทีทอล์กที่ไม่ได้ให้ความรู้ทั่วไปแค่ว่าออทิสติกคืออะไร แต่เนื้อหาจะลงลึกไปมากกว่านั้นถึงมุมว่า บุคคลที่เป็นออทิสติกสามารถทำอาชีพอะไร จะทำงานร่วมกับคนอื่นยังไง และทำอะไรได้บ้าง

Life-Changing Story

สำหรับพีแล้ว ความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่กว่าผลกำไรของธุรกิจ คือการได้เห็นพัฒนาการของเด็กๆ ควบคู่ไปกับการเติบโตของแบรนด์ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับอุปสรรคในบางช่วงก็ตาม

“ความท้าทายในการทำงานกับน้องๆ คือการรับมือกับภาวะอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เราต้องอ่านจังหวะของเขาให้ออก วิเคราะห์ให้ได้ว่าวันนี้เขาอยู่ในสภาวะไหน และต้องปรับการทำงานยังไงให้เหมาะสม”

พีอธิบาย ก่อนจะเล่าต่อว่า “เริ่มแรกบางคนนั่งอยู่ที่โต๊ะได้แทบไม่นานเลย ที่เห็นทุกคนตอนนี้คือนิ่งมากนะ ถ้าไม่ได้รับการฝึกส่วนมากน้องๆ จะอยู่ไม่นิ่งเลย แต่พอฝึกมาดีแล้ว เวลาออกไปทำงานกิจกรรมข้างนอก เด็กของเราจะรู้ตัวเลยว่านี่คืองาน เพราะเราฝึกเรื่องการเข้าสังคม และเวลาเราเห็นจุดเด่นของน้องคนไหน เราไม่ทิ้ง แต่จะเก็บจุดเด่นเขาเอาไว้และเสริมทักษะด้านอื่นให้กับเขาด้วย”

หนึ่งในตัวอย่างของพัฒนาการที่เห็นได้ชัดคือ ‘น้องไอซ์ซี่’ ซึ่งมีโอกาสไปดูงานที่ TRR Group (กลุ่มน้ำตาลไทยรุ่งเรือง) น้องได้เข้าไปชมการทำงานของโรงงานและบริษัท แล้วนำสิ่งที่เห็นมาถ่ายทอดเป็นภาพวาด ไอซ์ซี่ยังได้มีส่วนร่วมจัดเวิร์กช็อปศิลปะให้พนักงานในองค์กร ซึ่งช่วยให้พนักงานทุกวัยได้สนุกกับศิลปะ และตัวเขาเองก็มีพัฒนาการด้านการสื่อสารมากขึ้น

‘น้องกานต์’ เป็นอีกตัวอย่างที่น่าประทับใจ จากเด็กที่เคยวาดแต่รูปรถกับสโนไวท์ซ้ำๆ ครั้งละสิบภาพในเวลาไม่ถึง 10 นาที เมื่อได้รับคำแนะนำให้ค่อยๆ วาดอย่างมีสมาธิมากขึ้น ผลงานของกานต์ก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาเริ่มใส่รายละเอียด สีสัน และมิติเพิ่มขึ้น ทำให้ภาพของเขามีชีวิตชีวาและหลากหลายมากขึ้น

ส่วน ‘พี่เอเอ’ ศิลปินวัย 30 กว่าปีที่มีรูปร่างสูงถึง 190 ซม. มีลายเส้นเป็นเอกลักษณ์จากการที่มือค่อนข้างแข็ง ทำให้ทุกอย่างที่วาดมีโครงสร้างเป็นสี่เหลี่ยม รวมถึงการเขียนตัวหนังสือขนาดใหญ่ พีมองว่านี่ไม่ใช่ข้อบกพร่อง แต่กลับเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ผลงานของพี่เอเอมีเสน่ห์เฉพาะตัว

ประสบการณ์ที่ได้สัมผัสโลกของคนพิเศษทำให้พีเชื่อว่าโลกของธุรกิจสามารถขนานไปกับโลกของคนพิเศษได้อย่างลงตัว “การที่น้องๆ ได้ไปเห็นการทำงานจริง ได้เรียนรู้ว่าคนอื่นทำยังไง และเข้าใจว่าตัวเองต้องพัฒนาไปถึงจุดไหน นี่คือสิ่งที่เราคิดว่าน่าสนใจมาก

“แล้วน้องๆ ยังเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ด้วย ถ้าเทียบกับคนทั่วไปที่อาจจะหมดแพสชั่นอยู่ หรือว่าไม่รู้จะทำอะไร ใช้ชีวิตไปวันๆ แต่เด็กๆ เหล่านี้กลับมีเป้าหมาย พวกเขารู้ตัวว่าต้องทำอะไร และมีความตั้งใจอยากพัฒนาตัวเอง ซึ่งสิ่งนี้สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆ คนได้”

“ตอนนี้พอเด็กๆ มีทักษะที่พัฒนาขึ้นมาหลากหลาย เราก็ต้องการให้พวกเขาพัฒนาไปไกลกว่านั้น เลยสร้างห้อง Creative Hub ขึ้นมาสำหรับเป็นพื้นที่ให้เด็กๆ ได้ถ่ายทอดความสามารถของตัวเองผ่านการสอนคนอื่นในเวิร์กช็อป ซึ่งไม่ใช่แค่การฝึกฝนตัวเอง แต่ยังเป็นโอกาสให้คนทั่วไปได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ด้วย”

More Than Art

การที่พีทำงานในภาคเอกชนและมีคุณพ่อทำงานส่วนมูลนิธิในภาคสังคมทำให้ประสบการณ์ทำงานในโลกสองฝั่งเชื่อมต่อเป็นจิ๊กซอว์และทำให้เห็นภาพกว้างในการผลักดันสังคมเรื่องความเท่าเทียม แม้ว่าทุกวันนี้มูลนิธิจะยังคงมีเป้าหมายเดิมคือสนับสนุนคนออทิสติก แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาหลังจากสร้างแบรนด์ Artstory คือการมองการสนับสนุนอนาคตในระยะยาวมากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่สร้างการตระหนักรู้ในสังคมเท่านั้น

“เราเริ่มมองอนาคตของเด็กกลุ่มนี้ว่าต่อไปเขาจะอยู่ยังไงโดยที่ไม่มีผู้ปกครอง เพราะพอแก่ตัวไป พ่อแม่จะไม่ได้อยู่แล้วหรืออาจต้องอยู่ตัวคนเดียว แล้วเขาจะดูแลตัวเองยังไงถ้าไม่ได้พัฒนา ecosystem ให้เกิดขึ้นสำหรับพวกเขา จะทำยังไงให้สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้อย่างยั่งยืน สิ่งนี้คือเป้าหมายในช่วงหลายๆ ปีนี้ที่เราพยายามจะทำขึ้นมา”

เพราะเหตุนี้พีจึงบอกว่าการขยายธุรกิจใหม่เป็นสิ่งจำเป็น เพราะเด็กทุกคนไม่ได้มีความสามารถด้านศิลปะเพียงอย่างเดียว แต่ละคนมีทักษะและความถนัดที่แตกต่างกัน การสร้างอาชีพทางเลือกจึงเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยรองรับพวกเขาในระยะยาว โดยไม่ปล่อยให้ใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่ว่าพวกเขาจะมีพัฒนาการในระดับใดก็ตาม

ดังนั้นด้วยการยึดหลักแนวคิดสำคัญคือ Put the right man on the right job. หรือการนำคนที่เหมาะสมไปอยู่ในงานที่เหมาะกับเขา เพราะเชื่อว่าทุกคนต่างมีความพิเศษในแบบของตัวเอง หลังบ้านมูลนิธิจึงสนับสนุนให้เด็กออทิสติกทำงานหลากหลายตำแหน่งในบริษัท ทั้งงานแพ็กสินค้า งานสกรีนเสื้อผ้า หรือแม้แต่งานบริการในร้านกาแฟทั้งตำแหน่งบาริสต้าและพนักงานแนะนำสินค้า

ทุกวันนี้จึงมีธุรกิจร้านกาแฟในเครือที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อตอบโจทย์นี้ซึ่งอยู่ในช่วงสร้างแบรนด์ใหม่ ได้แก่  For ALL Coffee ซึ่งเป็นร้านกาแฟที่ตั้งใจให้ราคาย่อมเยาเพื่อเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย โดยกำหนดราคาไว้ที่ 20-35 บาท ต่อแก้ว
รวมถึงร้าน Termtem Coffee (เติมเต็ม คอฟฟี่) ที่มีความพรีเมียมขึ้น ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช และ True Coffee สาขาที่มูลนิธิเป็นผู้บริหารและดูแลเองและมีราคาที่ถูกกว่าสาขาอื่น ทั้งหมดนี้ดำเนินงานโดยบาริสต้าที่เป็นเด็กออทิสติก ซึ่งรับผิดชอบทุกขั้นตอน ตั้งแต่การชงกาแฟไปจนถึงการให้บริการลูกค้า

แม้ว่าปัจจุบันร้านกาแฟเหล่านี้จะมีเพียงไม่กี่สาขาในกรุงเทพฯ แต่พีวางแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มเติมในรูปแบบแฟรนไชส์ รวมถึงส่งเสริมโครงการฝึกอาชีพให้เด็กพิเศษที่อยู่ต่างจังหวัด เพื่อให้พวกเขาเปิดร้านกาแฟในพื้นที่ของตนเองและมีรายได้เพียงพอในการเลี้ยงดูครอบครัวมากขึ้นในอนาคต

ในด้านโครงสร้างธุรกิจ พียังได้กล่าวว่า Artstory ได้ก่อตั้งบริษัทที่เป็น social enterprise หรือธุรกิจเพื่อสังคม โดยมีเด็กๆ รุ่นบุกเบิกจำนวน 7 คนเข้ามาร่วมเป็นกรรมการบริหารบริษัทรุ่นแรกด้วย ซึ่งพีอธิบายว่า ทางบริษัทเป็นฝ่ายดูแลเด็กๆ ที่รับบทบาทกรรมการบริษัทและทำหน้าที่คล้ายผู้ดูแลศิลปิน

สิ่งที่พีอยากสื่อในการแตกธุรกิจใหม่คือการออกแบบแนวทางการพัฒนาเด็กพิเศษนั้นไม่ได้จำกัดแค่เรื่องศิลปะเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงการฝึกฝนทักษะด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสังคม หรือการทำงานในสำนักงาน เพื่อเตรียมพวกเขาให้พร้อมสำหรับโลกของการทำงานและการใช้ชีวิตอย่างแท้จริงอย่างอิสระโดยไม่ถูกกรอบข้อจำกัดว่าเป็นเด็กพิเศษ

“มันไม่ใช่แค่อาร์ต มันคือการแตกแบรนด์ไปเรื่อยๆ เป็นธุรกิจทางสังคม อาจจะมี Artstory หรือธุรกิจอื่นที่เราจะคอยฝึกเขา เพื่อให้เด็กๆ ได้ทำตามฝันในสิ่งที่เขาอยากจะทำ”

สำหรับองค์กรที่อยากสนับสนุนแบรนด์ Artstory by Autistic Thai สามารถสนับสนุนได้ผ่านการสั่งทำสินค้าคอลเลกชั่นพิเศษจากผลงานศิลปะของศิลปินออทิสติกและใช้บริการจัดเวิร์กช็อปสอนศิลปะสำหรับองค์กร 

ส่วนบุคคลทั่วไปสามารถสนับสนุนได้ผ่านการสั่งซื้อสินค้าของแบรนด์ Artstory หรือเข้ามาบริจาคและทำกิจกรรมเลี้ยงอาหารและสอนทักษะต่างๆ แก่น้องๆ ผ่านมูลนิธิออทิสติกไทย

สำหรับบุคคลออทิสติกที่ยังไม่ได้จดทะเบียนคนพิการ ทางมูลนิธิอยากเชิญชวนและสนับสนุนให้ลงทะเบียนเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์จากภาครัฐและหน่วยงานเอกชน ทั้งในแง่การรักษาต่างๆ และการดำเนินชีวิตประจำวันทั้งค่าพยาบาลและการเดินทาง 

ทางมูลนิธิยังมีการพัฒนาแอพพลิเคชั่นชื่อ Screening Tools for Person With Special Needs (STS) สำหรับผู้ที่อยากประเมินว่าบุคคลใกล้ชิดเข้าข่ายภาวะออทิสติกหรือไม่เพื่อเชิญชวนให้มาจดทะเบียนคนพิการกันมากขึ้น 
และหากใครอยากเข้าใจโลกของคนพิเศษมากขึ้น ขอชวนมางาน World Autism Awareness Day 2025 ที่จัดขึ้น ณ มิวเซียมสยามในวันที่ 5-6 เมษายนนี้


จากอสังหาฯ สู่ Content Universe : วิเคราะห์คลังคอนเทนต์ใหม่ปี 2025 ของแสนสิริที่ยกระดับวงการ

ทุกวันนี้เรื่องของ ‘คอนเทนต์’ ได้หลอมรวมกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ตื่นยันเข้านอน โดยเฉพาะในแวดวงธุรกิจที่มีการใช้คอนเทนต์เป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันแบรนดิ้ง ทั้งประชาสัมพันธ์ โปรโมตผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงการสร้างความผูกพันกับผู้บริโภค

‘คอนเทนต์’ ไม่ใช่แค่สิ่งที่อยู่บนฟีดของโซเชียลมีเดีย แต่คือหัวใจของการสื่อสารระหว่างแบรนด์กับผู้คน และหนึ่งในแบรนด์ที่ใช้คอนเทนต์ได้อย่างทรงพลังมาตลอดหลายปีคือ ‘แสนสิริ’ ซึ่งพิสูจน์ด้วยรางวัล Best Brand Performance on Social Media สาขา Residential Real Estate จากเวที Thailand Social Awards ติดต่อกันเป็นปีที่ 9 จาก Thailand Social Awards เวทีสำคัญของคนในวงการโซเชียลฯ ที่จัดขึ้นโดยบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด นั่นทำให้แสนสิริไม่ใช่แค่ ‘เจ้าของรางวัล’ แต่คือผู้นำของจริงในด้าน ‘แบรนด์ที่เข้าใจโลกโซเชียลฯ อย่างลึกซึ้ง’

‘พูดในสิ่งที่คนอยากฟัง ไม่ใช่แค่สิ่งที่แบรนด์อยากพูด’ คือแนวคิดที่ฝังอยู่ในดีเอ็นเอการสื่อสารของแสนสิริ ซึ่งนั่นคือจุดที่เปลี่ยน ‘บ้าน’ ให้กลายเป็น ‘คอนเทนต์’ ได้อย่างมีชีวิต

• 9 ปีแห่งความเข้าใจ + ปีที่ 10 แห่งการ ‘เล่นใหญ่’

เบื้องหลังรางวัลคือทีมงาน In-house Brand Agency ของแสนสิริ ที่ผสานความรู้ด้านสื่อสาร + อินไซต์ผู้บริโภค + ความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร้รอยต่อ ภายใต้โมเดลที่เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้เติบโต สร้างสรรค์ และลองผิดลองถูกอย่างอิสระ โดยมีหัวใจร่วมกันคือ “เราจะสร้างคอนเทนต์ที่มีทั้งพลัง สาระ และความหมาย”

เลือกใช้ ‘แพลตฟอร์ม’ ให้เข้ากับคอนเทนต์ที่จะนำเสนอ 

โดยวิเคราะห์จากอัลกอริทึมของแต่ละแพลตฟอร์มว่ามีกลุ่มเป้าหมายเป็นใคร และต้องการอะไรจากคอนเทนต์ที่นำเสนอ เช่น ‘เรื่องสนุกของคนติดบ้าน’ คอนเทนต์บนอินสตาแกรมที่เน้นเล่าเรื่องด้วยภาพผ่านมุกตลก ซึ่งมีเนื้อหาเข้าใจง่าย อัพเดตเท่าทันสถานการณ์ เหมาะสำหรับกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น ที่อัพเดตความสนใจบนโซเชียลฯ เป็นประจำ

• กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงและปรับตัวอยู่เสมอ

และในปีที่ 10 แห่งความสำเร็จนี้ แสนสิริไม่ได้เลือกเดินซ้ำรอยเดิม แต่กลับประกาศว่า “ปี 2025 คือปีแห่งการเล่นใหญ่” ผ่านการเปิดตัว คลังคอนเทนต์แห่งยุค ที่จะมาทลายทุกกรอบการทำคอนเทนต์อสังหาฯ แบบเดิม แต่จะน่าสนใจยังไง และทำไมต้องห้ามพลาดนั้น เราขอชวนมาหาคำตอบพร้อมกันในคอลัมน์ Capital List ตอนนี้

1. Insite Story : รู้ลึกทุกเรื่องบ้านเพื่อคนรักบ้าน 

คอลัมน์ที่ชวนผู้อ่านมาทำความรู้จักกับโครงการแสนสิริให้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม ผ่านการย่อยเนื้อหาออกมาให้เข้าใจง่าย ผ่านเบื้องหลังการออกแบบ แนวคิด ฟังก์ชั่น และคอมมิวนิตี้ที่ถูกคิดมาจาก “ชีวิตของผู้อยู่อาศัยจริงๆ” ทั้งบ้าน ทาวน์โฮม คอนโดฯ

2. Behind The Design : พบเบื้องหลัง ‘ดีไซน์’ กับที่อยู่อาศัย

บ้านหนึ่งหลังก็เปรียบเสมือนงานศิลปะ ที่ต้องประณีต พิถีพิถันในการออกแบบทุกตารางนิ้ว ดังนั้นคอลัมน์ Behind The Design เลยขอพาผู้อ่านไปสำรวจเบื้องหลังงานออกแบบสุดเอกซ์คลูซีฟของบ้านแสนสิริ ทั้งวัสดุ การตกแต่ง สถาปัตยกรรม ศิลปะ ไปจนถึงภูมิทัศน์รอบโครงการ ที่ทั้งหมดถูกดีไซน์มาเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด

3. เรื่องจริง In House : สารพัดความสนุกจากเรื่องจริงของคนติดบ้าน

คอลัมน์ใหม่ที่อัพเกรดความสนุกและสาระจากคอลัมน์เรื่องสนุกของคนติดบ้าน ที่นอกจากจะมีเรื่องเล่าชวนขำขันจากคนติดบ้าน ยังเสริมด้วยเคล็ดลับดีๆ ในการดูแลบ้านตามแบบฉบับตัวแม่ เรื่องราวคาดไม่ถึงจากสัตว์เลี้ยงประจำบ้าน พร้อมด้วยคอนเทนต์สายมูช่วยเพิ่มค่าความมงคลให้แก่ที่อยู่อาศัย และที่ขาดไม่ได้คือ ‘มีม’ ระดับตำนานของคนติดบ้าน ที่มักกลายเป็นไวรัลบนโซเชียลฯ ทั้งหมดพร้อมเสิร์ฟในคอลัมน์นี้

4. Look Around : ส่องพิกัดสุดชิคน่าเที่ยวรอบโครงการแสนสิริ

ใครว่าอสังหาฯ พูดแค่เรื่องบ้าน? คอลัมน์นี้จะพาคุณลัดเลาะรอบโครงการ เพื่อเจอร้านดี คาเฟ่ชิค และแรงบันดาลใจรอบตัว พร้อมไฮไลต์รายการพิเศษ ถิ่นพี่หนูชอบ ที่แสนสิริร่วมกับ Domundi พาน้องๆ คู่จิ้นเดินทางทั่วไทย ถ่ายทอดโมเมนต์ฟิน อิ่มใจในรูปแบบที่คุณต้องหยุดดู

5. Soul Space : คอนเทนต์ชวน ‘พักใจ’ ในวันเหนื่อยล้า

ต่อให้เก่งแค่ไหนก็มีวันอยากพักใจ ปล่อยกายไปกับความสงบ นี่คือที่มาสั้นๆ ของ Soul Space ที่จะเป็นเหมือนเพื่อนคนสำคัญที่พร้อมอยู่รับฟังเราในวันที่เหนื่อยล้า หรือกำลังเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก เป็นโซนพักใจที่อัดแน่นทั้งพลังบวกและการฮีลลิ่งแบบจัดเต็ม 

– นำโดย แบมแบม–ชนิสรา หน่ายมี ครีเอเตอร์ผู้พิการที่เปลี่ยนข้อจำกัดให้กลายเป็นพลังบวก

– Podcast ตอนพิเศษ จากแขกรับเชิญหลากหลายวงการ ที่แชร์มุมคิดชีวิตในแบบจริงใจ

– Sound Healing Playlist เสียงดนตรีที่เยียวยาทั้งใจคนและสัตว์ จากศิลปินโครงการ Artizen

6. วัฒน TREND : อัพเดตเทรนด์ผ่านเรื่องราวสุดฮิตบนโลก

โลกหมุนรอบเราตลอดเวลา คอนเทนต์เองจึงต้องไม่หยุดนิ่งตามไปด้วย คอลัมน์นี้จึงถูกออกแบบมาเพื่ออัพเดตเรื่องราวสุดอบอุ่นและความเป็นไปที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเทรนด์วิธีการรักษ์โลกในยุคปัจจุบัน, เรื่องราวการส่งต่อความรักของผู้คนในสังคม, อัปเดตเทรนด์เทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำๆ ที่กำลังเป็นกระแส, แนะนำหนังสือดีๆ สักเล่มที่ช่วยอัพเดตสกิลให้เรา ไปจนถึงการจับประเด็นภาพยนตร์เรื่องดังมาอิงกับกระแสสังคม ใครที่ชอบอัพเดตตัวเองเป็นประจำ คอลัมน์วัฒน TREND ดูน่าจะตอบโจทย์ได้ไม่ยาก

นอกเหนือไปจากทั้ง 6 คอลัมน์ข้างต้น ยังมีอีกหนึ่งความพิเศษที่แสนสิริภูมิใจนำเสนอในปีนี้ คือ ‘Moral Dramas : A New Dimension of Brand Communication : การสื่อสารสุดท้าทายผ่านละครคุณธรรมฉบับแสนสิริ’ เมื่อการสื่อสารแบรนด์ไม่ได้มีแค่ความจริงจัง แต่ต้องจริงใจและเข้าใจคน  นี่คือแคมเปญ ‘ละครคุณธรรม’ เรื่องแรกของวงการอสังหาฯ จากแสนสิริ ที่นำเสนอเรื่องราว “ศึกลูกเขยตัวร้ายกับแม่ยายตัวตึง” ที่เล่าเรื่องการ After-Sales Service แบบสนุก ซึ้ง และเข้าใจง่าย ซึ่งสะท้อนผ่าน 4 แกนหลักของแบรนด์คือ Quality, Security, Caring และ Community ผลิตผลงานโดยแสนสิริ x ดอยแม่สลอง เพจไวรัลสายฮาที่ใครๆ ก็รู้จัก ติดตามรับชมกันได้ที่ คลิก siri.ly/4Yzkof3

ต้องบอกเลยว่าแสนสิริไม่ได้กำลังขายบ้าน แต่กำลัง ‘สร้างพื้นที่ให้คนอยากอยู่’  ทั้งในความหมายของบ้านจริงๆ และบนพื้นที่โซเชียลฯ ที่เราทุกคนอยู่ร่วมกัน และนี่คือเหตุผลว่า ทำไมโซเชียลมีเดียของแบรนด์แบรนด์นี้ ถึงสามารถคว้ารางวัลได้ถึง 9 ปีต่อเนื่อง และยังดู ‘สด’ ‘สนุก’ และ ‘เข้าใจคน’ ได้ไม่มีเปลี่ยนแปลง

ดังนั้นการก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 ในปี 2025 แสนสิริไม่ได้มาเล่นๆ แต่ ‘เล่นใหญ่’ อย่างมีชั้นเชิง และน่าจับตาทุกมิติจริงๆ ในอนาคตแสนสิริจะมีคอนเทนต์สนุกๆ อะไรมาเสิร์ฟคนรักบ้าน แค่คิดตามก็น่าตื่นเต้นแล้ว

ถอดกลยุทธ์พัฒนาย่านราชประสงค์ สีลม บรรทัดทอง เจริญกรุง สู่เมืองแห่งอนาคต

เคยสงสัยไหมว่ากว่าย่านสำคัญในเมืองอย่างราชประสงค์ สีลม บรรทัดทอง หรือเจริญกรุง จะเติบโตและเป็นที่รู้จักอย่างทุกวันนี้ เบื้องหลังต้องผ่านการวางแผนและพัฒนากลยุทธ์ยังไงบ้าง

เพราะเมืองเป็นเรื่องของทุกคน และการพัฒนาเมืองไม่ใช่แค่เรื่องของภาคส่วนใดเพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคน การสร้างย่านในเมืองที่ดีจึงเป็นกระบวนการระยะยาวที่เราควรมีบทบาทอย่างต่อเนื่อง Active City Forum งานฟอรั่มที่ชวนนักออกแบบ นักวางผังเมือง นักพัฒนาเมือง ภาครัฐ ภาคเอกชน และบุคลากรจากเครือข่ายสุขภาวะ มาร่วมออกแบบ 𝗛𝗲𝗮𝗹𝘁𝗵𝘆 𝗖𝗶𝘁𝘆 หรือเมืองที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีไปพร้อมกัน ซึ่งจัดโดย Wepark จึงเกิดขึ้นเพื่อนำเสนอแนวคิดการออกแบบเมืองที่ส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างกระฉับกระเฉง และสร้างระบบนิเวศเมืองที่สนับสนุนสุขภาวะของทุกคน

ในเซสชั่น Active Collaboration: พลังภาคเอกชน เปลี่ยนเมืองด้วยการสร้างความร่วมมือ (Private Sector Power: Transforming Cities Through Collaboration) ผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาได้มาร่วมแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ในการพัฒนาย่านสำคัญของกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นคุณชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์, คุณอรฤดี ณ ระนอง นายกสมาคมเรารักสีลม, อาจารย์ ดร.จรัสพัฒน์ พฤกษารัตนวุฒิ ผู้ช่วยอธิการบดี ด้านการจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคุณพิชิต วีรังคบุตร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA)

เวทีนี้ได้เปิดมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับการพัฒนาย่านในเมืองผ่านการวางวิสัยทัศน์ของย่านในภาพใหญ่ ซึ่งทำให้เห็นว่าการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมืองต้องอาศัยการวางแผน ชวนฟังแผนและโมเดลการลงทุนของแต่ละย่านไปพร้อมๆ กัน  

The Best Downtown : ปั้นย่านราชประสงค์ให้ป๊อป  

คุณชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ กล่าวถึงการกำหนดจุดยืนของย่านราชประสงค์ให้เป็น The Best Downtown Lifestyle Destination มาตั้งแต่ราว 20 ปีที่แล้ว โดยได้รับแรงบันดาลใจจากย่านช้อปปิ้งระดับโลก เช่น Times Square ในนิวยอร์ก, Oxford Street ในลอนดอน, Champs-Élysées ในปารีส, Ginza ในญี่ปุ่น ฯลฯ พร้อมกำหนดวิสัยทัศน์ให้ราชประสงค์เป็น The Heart and Soul of Bangkok ที่สามารถตอบโจทย์ทุกมิติของไลฟ์สไตล์คนเมือง ครอบคลุมทั้ง eat, pray, stay และ shop
องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ราชประสงค์กลายเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกคือการมีโรงแรมลักชัวรีระดับเวิลด์คลาสที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ศูนย์การค้าและร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ที่รวบรวมสินค้าและของที่ระลึกหลากหลาย รวมถึงอีเวนต์และเทศกาลประจำปี เช่น ตลาดช้อปปิ้งช่วงเทศกาล เทศกาลแสงสี และงานเคานต์ดาวน์ปีใหม่ 

นอกจากนี้ที่ผ่านมายังตั้งใจปั้นให้ราชประสงค์เป็นจุดเช็กอินด้านศรัทธาและวัฒนธรรมที่สำคัญ โดยรวบรวมมหาเทพถึง 9 องค์ ได้แก่ พระพิฆเนศ พระแม่ลักษมี พระตรีมูรติ พระแม่อุมาเทวี ท้าวจตุโลกบาล พระพรหมเอราวัณ ท้าวอัมรินทราธิราช พระนารายณ์ทรงสุบรรณ และพระสทาศิวะ ซึ่งล้วนสะท้อนถึงความเชื่อและศรัทธาของผู้คนที่เดินทางมาสักการะ
ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลจากการวางกลยุทธ์อย่างเป็นระบบ รวมถึงการออกแบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สกายวอล์กที่เชื่อมต่อทุกจุดสำคัญในย่านให้สามารถเดินถึงกันได้ง่าย ทำให้ราชประสงค์กลายเป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์และแหล่งช้อปปิ้งที่ทัดเทียมมหานครใหญ่ของโลก

We Love Silom : พัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนด้วยสีลมโมเดล

  คุณอรฤดี ณ ระนอง นายกสมาคมเรารักสีลม (We Love Silom Association) กล่าวว่า เมื่อเทียบกับย่านราชประสงค์ สีลมยังถือเป็นย่านน้องใหม่ในแง่การพัฒนาเชิงกลยุทธ์ เนื่องจากเพิ่งเริ่มดำเนินการอย่างจริงจังในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยมีการจัดตั้งกลุ่มพัฒนาย่านขึ้นเพื่อผลักดันให้สีลมกลายเป็น livable street หรือถนนที่เอื้อต่อการใช้ประโยชน์ในทุกมิติ ทั้งด้านความปลอดภัย การสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ และการพัฒนาเมืองให้ดีต่อสุขภาวะของทั้งผู้คนและสิ่งแวดล้อม

แนวทางการพัฒนาย่านสีลมมุ่งเน้นการพัฒนาอย่างรอบด้าน ไม่เพียงแต่ในแง่ของคุณภาพชีวิต (human development) แต่ยังรวมถึงการพัฒนาสังคม (social development) การพัฒนาชุมชนเมือง (urban development) และความยั่งยืน (sustainable development) ซึ่งเป็นเหตุผลที่กลยุทธ์หลักของย่านนี้ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนและการร่วมมือกันในระยะยาว ตลอดช่วงที่ผ่านมาจึงได้เห็นโครงการต่างๆ ที่ริเริ่มขึ้นเพื่อปรับสภาพแวดล้อมให้เป็นมิตรต่อคนเมืองมากขึ้น เช่น กิจกรรม Big Cleaning Day โครงการบริจาคสิ่งของเหลือใช้ และโครงการจัดการขยะชื่อ ‘ไม่เทรวม สีลมโมเดล’

จะเห็นได้ว่าการพัฒนาย่านสีลมให้ความสำคัญกับการสร้างเมืองที่เป็นมิตรต่อผู้อยู่อาศัยและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญในปัจจุบันคือการผลักดันเรื่องความยั่งยืนให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาแลนด์สเคปเมืองที่มีพื้นที่สีเขียวมากขึ้น หรือการปรับปรุงกฎหมายที่ดินและโครงสร้างเชิงระบบให้เอื้อต่อการพัฒนาเมืองในระยะยาว ซึ่งสมาคมเรารักสีลมยังคงเดินหน้าผลักดันแนวทางเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สีลมเป็นย่านที่มีความยั่งยืนในทุกมิติ

Chula SDGs City : สร้างเมืองที่มีกิจกรรมเหมาะกับคนทุกวัย 

หลายคนอาจไม่รู้ว่าองค์กรหลักที่ขับเคลื่อนการพัฒนาย่านบรรทัดทองคือสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (PMCU) ซึ่งไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการพัฒนาในภาคการศึกษาเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการดูแลและพัฒนาย่านในมิติต่างๆ ครอบคลุมทั้งภาคเอกชน เช่น ร้านค้าต่างๆ บนถนนบรรทัดทอง และบริษัทเอกชนในพื้นที่ รวมถึงภาคประชาสังคมที่ประกอบด้วยชุมชนในย่าน ตลอดจนภาควิชาชีพและหน่วยงานภาครัฐที่ร่วมสนับสนุนการขับเคลื่อน เช่น Big Trees, Urban Ally และสำนักงานเขตปทุมวัน

แม้ว่าการพัฒนาในช่วงแรกจะเริ่มต้นจากโจทย์ที่มีนิสิตและภาคการศึกษาเป็นศูนย์กลาง แต่อาจารย์ ดร.จรัสพัฒน์ พฤกษารัตนวุฒิ ผู้ช่วยอธิการบดีด้านการจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า แนวทางการพัฒนาย่านครอบคลุมทั้งเส้นบรรทัดทองไปจนถึงสยามสแควร์โดยคำนึงให้ผู้เช่าและคนทั้งย่านได้ประโยชน์ ในช่วงหลังจึงเห็นได้ว่าสยามสแควร์มีการจัดกิจกรรมสาธารณะที่เปิดกว้างและเข้าถึงคนเมืองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแสดงดนตรีจากเยาวชนทุกวันศุกร์ กิจกรรม Pride Month และโครงการบริจาคเลือด

นอกจากนี้ยังมีการผลักดันให้ย่านแห่งนี้เป็น Chula SDGs City ที่พัฒนาสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ โดยหนึ่งในโครงการสำคัญที่เกิดขึ้นคือ Chula Walking Street ในย่านบรรทัดทอง ซึ่งออกแบบโดยคำนึงถึงความยั่งยืน ควบคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผลลัพธ์ที่ได้ในปีที่ผ่านมาคือสามารถลดการปล่อยคาร์บอนในปริมาณที่เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้กว่า 1,150 ต้น ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมการค้าขายในพื้นที่ให้เติบโตขึ้น โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นคิดเป็นมูลค่ากว่า 5.9 ล้านบาท

 Bangkok Design Week : ครีเอตพื้นที่สร้างสรรค์ให้ย่าน

ย่านสร้างสรรค์ที่หลายคนคุ้นเคยจากกิจกรรมอย่าง Bangkok Design Week มีองค์กรหลักที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนา คือสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ซึ่งเป็นหน่วยงานเดียวกับผู้ดูแลศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) หลายคนอาจไม่ทราบว่า CEA ไม่ได้มีบทบาทเพียงแค่ในกรุงเทพฯ แต่ยังวางกลยุทธ์การพัฒนาย่านสร้างสรรค์ทั่วประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในหลากหลายพื้นที่

คุณพิชิต วีรังคบุตร รองผู้อำนวยการ CEA กล่าวว่าหนึ่งในไฮไลต์สำคัญของ Bangkok Design Week ที่เพิ่งจัดขึ้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมา คือการออกแบบเสื่อยักษ์ หรือ Mega Mat ซึ่งถูกจัดแสดงในย่านพระนคร เสื่อขนาดใหญ่นี้ไม่เพียงแต่เป็นงานออกแบบที่สะดุดตา แต่ยังสะท้อนวัฒนธรรมร่วมของคนไทยที่คุ้นเคยกับการนั่งบนเสื่อ จนเกิดเป็นปรากฏการณ์ที่ผู้คนพร้อมใจกันถอดรองเท้าและนั่งพักผ่อนที่เสื่อโดยไม่ต้องอธิบายว่าเสื่อยักษ์นี้ใช้งานยังไง ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของการเชื่อมโยงคนเมืองผ่านงานดีไซน์และวัฒนธรรมร่วมกัน

นอกจากนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา Bangkok Design Week ยังได้มุ่งเน้นพัฒนากิจกรรมในย่านเจริญกรุงจนดึงดูดผู้คนให้เข้ามาเดินเล่นตามตรอกซอกซอยเล็กๆ ได้อย่างคึกคัก ไม่แพ้ถนนสายหลัก โดยเฉพาะกิจกรรม Lighting Installation ที่ช่วยเติมชีวิตชีวาให้กับย่านในยามค่ำคืน 

อย่างไรก็ตาม โอกาสสำคัญของการพัฒนาย่านสร้างสรรค์ในประเทศไทยคือการกระจายความเจริญให้กว้างขวางขึ้น ไม่จำกัดอยู่แค่ในกรุงเทพฯ หรือเมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่างเชียงใหม่ แต่ขยายไปยังจังหวัดเมืองรองที่มีศักยภาพอีกมากมายทั่วประเทศเพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในระยะยาวได้ต่อไป

BioFin : ลงทุนด้านความหลากหลายทางชีวภาพในเมือง 

นอกจากการพัฒนาเมืองให้เติบโตทางเศรษฐกิจแล้ว อีกสิ่งสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามคือความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) ซึ่งเป็นหัวใจของการสร้างสมดุลระหว่างความเจริญของเมืองและธรรมชาติ กิจกรรม BioFinance Connect: Biodiversity Matchmaking for Urban Innovators ซึ่งจัดโดย BIOFIN x Refield Lab ได้เชิญผู้ขับเคลื่อนเมืองจากหลากหลายภาคส่วนมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางผลักดันนโยบายด้านความหลากหลายทางชีวภาพให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

เบื้องหลังโครงการ BIOFIN (The Biodiversity Finance Initiative) หรือความริเริ่มทางการเงินเพื่อความหลากหลายทางชีวภาพ คือองค์กรระดับโลกอย่าง UNDP (United Nations Development Programme) ซึ่งตระหนักว่าการพัฒนาเศรษฐกิจไม่ควรดำเนินไปโดยละเลยระบบนิเวศ BIOFIN จึงทำหน้าที่สนับสนุนเงินทุนสำหรับโครงการด้านความหลากหลายทางชีวภาพโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นมาตรการที่หลายประเทศทั่วโลกร่วมให้การสนับสนุน และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่เข้าร่วมการขับเคลื่อนนี้

จากการระดมความคิดเห็นในกิจกรรม พบว่าหลายภาคส่วนเห็นพ้องกันว่าหนึ่งในปัญหาที่เมืองควรเร่งแก้ไขคือการเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้สะดวกยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีแนวคิดในการพัฒนาเส้นทางน้ำและทัศนียภาพของคลองให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง รวมถึงการนำพืชท้องถิ่นและสัตว์หลากหลายสายพันธุ์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศในเมือง ตลอดจนการส่งเสริมพื้นที่ทางการเกษตรและการลงทุนด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อให้เมืองเติบโตอย่างยั่งยืนและสมดุลกับธรรมชาติต่อไปในระยะยาวซึ่งสำคัญสำหรับทุกย่านไม่แพ้มิติเศรษฐกิจเลย

𝗔𝗰𝘁𝗶𝘃𝗲 𝗖𝗶𝘁𝘆 𝗙𝗼𝗿𝘂𝗺: 𝗔𝗰𝘁𝗶𝘃𝗮𝘁𝗲 𝗖𝗶𝘁𝘆 F𝗼𝗿 𝗛𝗲𝗮𝗹𝘁𝗵𝗶𝗲𝗿 𝗟𝗶𝗳𝗲 ปลุกเมืองให้สุขภาพดี ด้วยเราทุกคน!’ ถือเป็นอีกหนึ่งจุดตั้งต้นที่ดีที่ช่วยให้เรื่องของเมืองเป็นเรื่องของทุกคนยิ่งขึ้น และเราคงจะเห็นอีกหลายมูฟเมนต์จากหลายภาคส่วนที่ร่วมพัฒนาเมืองไปด้วยกัน