‘กาแฟกระป๋อง’ วัฒนธรรมเดินไปดื่มไป ที่เฟื่องฟูจากงาน World Expo

งาน World Expo 2025 กลับมาจัดที่โอซาก้าอีกครั้ง นับตั้งแต่การสร้างตำนานเปิดตัวญี่ปุ่นและเอเชียเข้าสู่ตลาดแห่งโลกสมัยใหม่

สำหรับทรัพย์คัลเจอร์ เราพูดถึงงาน World Expo อย่างตื่นเต้นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะการที่ตัวงานเองเป็นการจัดแสดงความก้าวหน้าและนวัตกรรมของมนุษย์ในสเกลโลก คือเป็นการรวมตัวกันของชาติต่างๆ โดยตัวงาน Expo จะจัดขึ้นทุกๆ 5 ปี เป็นอีกสุดยอดมรดกของโลกสมัยใหม่ 

ถ้าเรามองย้อนไปในงานครั้งแรกที่จัดในนาม The Great Exhibition ในปี 1851 การจัดนิทรรศการในครั้งนั้นจัดแสดงในอาคารกระจก มีการจัดแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม มีมรดกน้อยใหญ่รวมถึงห้องน้ำชักโครกสาธารณะซึ่งเราเคยพูดถึงในบทความว่าด้วยห้องน้ำหยอดเหรียญ 

สำหรับงานที่โอซาก้าก็ถือเป็นอีกตำนานของญี่ปุ่นและเอเชีย ทรัพย์คัลเจอร์ตอนแรกสุดเองเราก็เล่าถึงความยิ่งใหญ่หนึ่งในงานเอกซ์โปเมื่อครั้งนั้นคือการจัดแสดงซูชิสายพาน สุดยอดนวัตกรรมที่พาวัฒนธรรมอาหารล้อไปกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคมของญี่ปุ่นที่เข้าสู่พื้นที่การทำงาน การกินข้าวนอกบ้าน และการวางระบบการกินอาหารเพื่อมวลชนและผู้คนที่ไม่ต้องสื่อสารกันโดยตรง

การกลับมาของงานเอกซ์โปที่โอซาก้าในครั้งนี้ น่าจะเป็นความตั้งใจในการนำเอามรดกสำคัญจากงานในครั้งก่อนหน้า กลับมาแสดงและสานต่อ เช่น สายพานซูชิที่ในงานของปี 2025 จะเป็นสายพานที่ยาวที่สุดในโลก และจะทำหน้าที่ยึดโยงผู้คนเข้าหากันผ่านอาหารที่ไหลมาตามสายพานนั้น

นอกจากสายพานซูชิซึ่งถือเป็นตัวแทนของความเปลี่ยนแปลงในการบริโภคและวิถีชีวิตแล้ว ในงานเอกซ์โปปี 1970 ยังมีอีกนวัตกรรมที่เกิดขึ้นและสัมพันธ์กับชีวิตประจำวันใหม่ นั่นคือ ‘กาแฟบรรจุกระป๋อง’ 

กาแฟกระป๋องเป็นอีกสินค้าและการบริโภคซึ่งสัมพันธ์กับความต้องการพลังงานอย่างรวดเร็ว ต้องการการดื่มกาแฟแบบกินง่าย ไม่ต้องรอ ยกดื่มได้ทุกที่ มีราคาถูก และสัมพันธ์กับการขยายตัวของกลุ่มคนทำงาน รวมไปถึงการมาของตู้จำหน่ายเครื่องดื่มอัตโนมัติซึ่งตอบสนองชั่วโมงการทำงานที่เราทำงานกันตลอดเวลา

ด้านหนึ่งงาน ‘เอกซ์โป’ จึงถือเป็นพื้นที่ที่ผู้คนจะได้เรียนรู้การใช้งานหรือวิถีชีวิตใหม่ๆ ผ่านนวัตกรรมต่างๆ เท่าๆ กับการที่นวัตกรรมต่างๆ สะท้อนความเปลี่ยนแปลงของสังคม 

ความขมของความเร่งรีบ

ถ้าว่าด้วยกาแฟกระป๋อง เราจะต้องพูดถึงแบรนด์สำคัญคือกาแฟยี่ห้อ UCC 

จุดเริ่มของกาแฟกระป๋องได้รับการคิดค้นขึ้นในปี 1969 ก่อนการจัดเอกซ์โปที่โอซาก้าหนึ่งปี คนที่คิดเอากาแฟและนมใส่ในกระป๋องเพื่อให้ดื่มได้ง่ายคือคุณทาดาโอะ อุเอชิมะ (Tadao Ueshima) ผู้ก่อตั้งบริษัท UCC Group บริษัทที่ขณะนั้นดำเนินกิจการเกี่ยวกับการคั่วและค้าส่งเมล็ดกาแฟ ซึ่งมีพื้นที่ทำการอยู่ในจังหวัดโกเบ 

เรื่องราวของกาแฟกระป๋อง เล่าว่าคุณทาดาโอะได้ยืนดื่มกาแฟนมอยู่ที่สถานีรถไฟ ขณะนั้นกาแฟนมบรรจุอยู่ในขวดแก้ว จังหวะที่กำลังยกดื่มก็ปรากฏว่ารถไฟที่จะไปกำลังออกจากชานชาลาพอดี ตอนนั้น ผู้ซื้อต้องเอาขวดแก้วกาแฟไปคืนที่ร้านทำให้คุณทาดาโอะดื่มกาแฟได้ไม่หมด

จากการต้องคืนขวดและดื่มกาแฟนมไม่ทัน คุณทาดาโอะเลยตั้งปณิธานว่า ‘เราจะต้องทำกาแฟที่ทุกคนสามารถดื่มได้ทุกที่ทุกเวลา’ ผลคือในปี 1969 บริษัท UCC จึงได้วางจำหน่ายกาแฟใส่นมบรรจุกระป๋อง UCC Milk Coffee โดยเจ้ากาแฟนม UCC กระป๋องแรกของโลก นับเป็นกาแฟกระป๋องที่ยังจำหน่ายต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน จนได้รับตำแหน่งกาแฟพร้อมดื่มที่ขายยาวนานที่สุด ต่อเนื่องซึ่งขายไปกว่า 15,000 ล้านกระป๋องในปี 2018

ทว่าการคิดกาแฟกระป๋องของ UCC ในขณะนั้นกลับไม่ได้รับความนิยมเลย แถมยังถูกอุตสาหกรรมกาแฟและการดื่มกาแฟประณามว่าทำให้วัฒนธรรมกาแฟตกต่ำลง

ย้อนไปเล็กน้อย วัฒนธรรมการดื่มกาแฟในประเทศญี่ปุ่นเป็นอีกวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกมาอย่างยาวนาน เก่าแก่และค่อยๆ เฟื่องฟูขึ้น อย่างในยุคเมจิที่ญี่ปุ่นเปิดรับวิถีชีวิตและความคิดแบบตะวันตก การเกิดร้านกาแฟขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 และการเกิดร้านกาแฟแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่าคิสสะเต็น (Kissaten) ร้านกาแฟแบบคลาสสิกที่ถือเป็นที่รวมตัวอันเงียบสงบที่เรามักเห็นภาพมาสเตอร์เป็นผู้ดูแลกาแฟรวมถึงบริการอาหารง่ายๆ ที่เนิบช้า 

คิสสะเต็นค่อยๆ ได้รับความนิยมขึ้นในยุคหลังสงครามที่ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลแบบอเมริกันพร้อมๆ กับการขยายตัวของชนชั้นกลาง ดังนั้นจึงไม่แปลกว่าทำไมการที่บริษัท UCC นำกาแฟใส่นมและบรรจุกระป๋อง จึงทำให้เกิดแรงต่อต้านในอุตสาหกรรมกาแฟเอง เพราะกาแฟถูกทำให้ด่วน ทำให้ง่าย และกลายเป็นเรื่องทั่วไป

ไม่ใช่แค่นวัตกรรม แต่คือการยอมรับวัฒนธรรมใหม่

แต่แม้คนจะต่อต้าน ก็นับเป็นความโชคดีและความฉลาดของบริษัท เพราะเพียงหนึ่งปีหลังจากคิดกาแฟกระป๋องขึ้น เมืองโอซาก้าก็จัดงานเอกซ์โปขึ้นพอดี จังหวะนั้นเองทาง UCC นำเอากาแฟกระป๋องไปจัดแสดงและเปิดให้ผู้คนได้ลิ้มลองรสชาติอย่างเป็นทางการ

ผลคือในบรรยากาศของนวัตกรรมของงานเอกซ์โป ผู้คนจำนวนมากต่อแถวกันเพื่อรอชิมกาแฟที่เย็นอร่อย ในตอนนั้นกาแฟกระป๋องได้รับความนิยม คนรายการโทรทัศน์ทำสกู๊ปผู้ร่วมงานที่ได้กาแฟเย็นๆ ท่ามกลางแดดร้อนๆ จากผลต่อต้านเชิงลบ กาแฟกระป๋องจึงได้รับผลตอบรับเชิงบวกจากผู้คนในทันที

ความน่าสนใจของสิ่งที่เกิดขึ้นในงานเอกซ์โป คือความเห็นของผู้คน การดื่มกาแฟกระป๋องถือว่าขัดกับมารยาทและความคิดของคนญี่ปุ่นที่ไม่ควรกินหรือดื่มในขณะที่เดิน หลังจากสกู๊ปคนต่อแถวและกินกาแฟกระป๋องในงานเอกซ์โป วันรุ่งขึ้น บริษัทก็เริ่มรับยอดคำสั่งซื้อที่ทะลักเข้ามาไม่หยุดแทบจะทันที

ปรากฏการณ์จากเอกซ์โปคือการที่นวัตกรรมหรือสิ่งใหม่ๆ ถูกนำเสนอด้วยการใช้งานที่ผู้คนไม่เคยชินหรือไม่เคยทำมาก่อน คนญี่ปุ่นไม่เคยดื่มกาแฟจากกระป๋อง ไม่ชินกับการกินดื่มที่ไม่ได้นั่งอยู่กับที่หรืออยู่ในร้าน แต่ภาพจากงานเอกซ์โปขยายความเข้าใจและความเป็นไปได้ใหม่ๆ เกิดเป็นกระแส เป็นเรื่องราวปากต่อปาก ทำให้ผู้คนเรียนรู้การใช้งานหรือมีวิถีชีวิตไปจนถึงวัฒนธรรมแบบใหม่ขึ้น

งานเอกซ์โปผนวกกับพลังของโทรทัศน์ เป็นหัวใจสำคัญหนึ่งของความสำเร็จของสิ่งใหม่ๆ ในขณะนั้น รวมถึงการเปิดความคิดและชีวิตใหม่ๆ ที่มนุษย์เรากำลังตื่นเต้นกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ รอบตัว

กาแฟกระป๋อง จึงเป็นอีกผลิตภัณฑ์สำคัญซึ่งตอบโจทย์สังคมญี่ปุ่นที่กำลังก้าวไปสู่วัฒนธรรมของการทำงาน การขยายตัวของกลุ่มแรงงานคอปกน้ำเงิน การเพิ่มขึ้นของชั่วโมงการทำงาน และการเดินทางไปทำงานหรือกิจกรรมที่มีความหลากหลายขึ้น

กาแฟกระป๋องที่มักมีราคา 100 เยนจึงเป็นเหมือนเครื่องดื่มสำคัญที่ผู้คนยกดื่มได้ในทุกช่วงเวลาของวัน ยิ่งเมื่อวัฒนธรรมและกิจการตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติเริ่มเฟื่องฟู และบริษัท Pokka คิดค้นตู้จำหน่ายกาแฟที่มีทั้งแบบกระป๋องร้อนและเย็นในตู้เดียวกันในปี 1973 กาแฟกระป๋องก็ค่อยๆ กลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ของวัฒนธรรมการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันของชาวญี่ปุ่นเรื่อยมา

ทว่ากาแฟกระป๋องเองเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่กำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลง ยุคสมัยหนึ่งพวกมันและตู้จำหน่ายปรากฏอยู่ทุกหนแห่ง รวมถึงการซื้อกาแฟกระป๋องในตู้จำหน่ายในร้านค้าและร้านสะดวกซื้อ แต่จากรายงานในปี 2023 มีตัวเลขการบริโภคกาแฟกระป๋องในญี่ปุ่นมีปริมาณเพียง 1.2 ล้านกิโลลิตร ซึ่งลดลงครึ่งหนึ่งจากจำนวนการบริโภคเมื่อ 30 ปีก่อน

การลดความนิยมของกาแฟกระป๋องสัมพันธ์กับบริบททางวัฒนธรรมและความเปลี่ยนแปลงในกิจการกาแฟภายในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งหลายส่วนก็คล้ายคลึงกับในประเทศไทย หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงคือช่วงปี 2012 ร้านสะดวกซื้อเริ่มจำหน่ายกาแฟสดซึ่งขายในราคา 100 เยน เป็นกาแฟราคาประหยัดที่เข้าถึงง่าย รวมถึงการมาถึงของเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ

ในแง่วัฒนธรรมการทำงาน วัฒนธรรมการทำงานของญี่ปุ่นก็พยายามปรับภาพการทำงานหนักที่มักให้ภาพการพักเบรกสั้นๆ โดยมนุษย์เงินเดือนจะพักเติมพลังด้วยบุหรี่และกาแฟกระป๋อง เป็นภาพหนึ่งที่ผู้คนพยายามลดละเลิกซึ่งมาพร้อมกับกระแสสุขภาพในโลกการทำงาน

พร้อมกันนั้นในปี 2017 กระแสขวดพลาสติกเริ่มกลายเป็นกระแส กาแฟบรรจุขวดพลาสติกจึงกลายเป็นความนิยมใหม่ เป็นขวดที่เปิด-ปิดได้ สะดวก เบา และมีความหลากหลายขึ้น เป็นที่นิยมกว่าการดื่มจากกระป๋อง

อันที่จริงหากพูดถึงความเปลี่ยนแปลงในกระแสการบริโภคกาแฟกระป๋องเป็นความเปลี่ยนแปลงภายในสินค้ากลุ่มกาแฟพร้อมดื่ม ซึ่งตัวกาแฟพร้อมดื่มก็ค่อยๆ ถูกท้าทายในวัฒนธรรมการดื่มกาแฟที่เปลี่ยนแปลงไป จากการดื่มง่ายๆ ไปสู่กาแฟสดที่ถูกลง รวมถึงกาแฟบรรจุขวด

ในงานเอกซ์โปที่โอซาก้าในครั้งนี้ ทาง UCC เองก็มีความหวังและได้นำเอาเจ้ากาแฟกระป๋องกลับสู่จุดกำเนิดของพวกมัน โดยหวังให้กาแฟกระป๋องกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในทศวรรษใหม่ ในบางความรู้สึก กาแฟกระป๋องเหล่านี้ก็มีความเชื่อมโยงกับอดีตอันหอมหวาน จากยุคสำคัญๆ เช่นยุคโชวะ เฮเซ และเรวะ ยุคสมัยของโลกสมัยใหม่ การทำงานหนัก และยุครอยต่อของยุคอะนาล็อกสู่โลกดิจิทัล

อ้างอิงข้อมูลจาก

อาซาฮี จับมือ ‘เชฟเชอ MadBeef’ รังสรรค์ 5 เมนูใหม่ คอนเซปต์ Asahi Beyond Expected

การคอลแล็บร่วมมือกันของสารพัดแบรนด์เป็นเทรนด์ที่ยังคงมาแรงต่อเนื่อง เพราะไม่เพียงช่วยสร้างความแปลกใหม่ให้แบรนด์ได้ แต่ยังช่วยขยายฐานลูกค้าได้ด้วย 

ก่อนหน้านี้ ‘อาซาฮี’ (Asahi) แบรนด์เบียร์จากประเทศญี่ปุ่นได้ร่วมงานกับเชฟญี่ปุ่นและเชฟไทยระดับมิชลินสตาร์อย่าง ‘เชฟมาซาโตะ’ และ ‘เชฟแพม–พิชญา สุนทรญาณกิจ’ เพื่อรังสรรค์เมนูพิเศษที่เข้ากันได้ดีกับอาซาฮี ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีไม่น้อย 

ในปีนี้ อาซาฮีจึงร่วมมือกับ ‘เชฟเชอ–พันธ์ทิพย์ อรรถการวงศ์’ เชฟผู้เชี่ยวชาญเรื่องเนื้อๆ เจ้าของร้าน MadBeef ร้านอาหารสไตล์ Kaiseki ชื่อดัง และเป็นเชฟคนแรกที่ได้รับรางวัล Chef of the Year สาขาโอมากาเสะเนื้อ ซึ่งเป็นรางวัลที่อาซาฮีมอบให้กับเชฟระดับแนวหน้าที่ร่วมงานด้วยในแต่ละปี 

งานนี้เชฟเชอได้รังสรรค์เมนู Beef Omakase สุดสร้างสรรค์และเอกซ์คลูซีฟ 5 คอร์ส ที่ผู้ร่วมงานจะได้ประสบการณ์ทั้ง ‘รูป’ กับ Black Magic Hanger Steak, ‘รส’ กับ Beef Fat Infused Ice Cream, ‘กลิ่น’ กับ Smoked Picanha, ‘เสียง’ กับ Asahi Battered Beef Tenderloin Sando และ ‘สัมผัส’ กับ 3 Days Air-Dried Outside Flat ที่ล้วนจับคู่กับเบียร์อาซาฮีอย่างพิถีพิถัน

งานนี้ เมธี อัครมหาพาณิชย์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่าย Brand Management บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด ขยายความว่าในปี 2025 นี้ อาซาฮียังคงเดินหน้ากลยุทธ์การตลาด Beyond Expected เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์หลากหลาย 

ในครั้งต่อไปจะเป็นท่านใดที่มาร่วมสร้างประสบการณ์สุดพิเศษต้องรอติดตามรายละเอียดและกิจกรรมอื่นๆ ได้ที่เพจเฟซบุ๊ก Asahi Super Dry และอินสตาแกรม @asahisuperdrybeer

LTMH Rocket เอเจนซีที่นิยามตัวเองว่า Investising Agency และใช้ความคิดสร้างสรรค์เล่าเรื่องการลงทุน

“ผมว่าทุกคนมีความกลัว คือเรากลัวเหนื่อย เรากลัวทุกข์ เรากลัวแก่ไปแล้วไม่มีเงินใช้ มันแตะไปถึงเรื่องโครงสร้าง อย่างเช่นทุกวันนี้เรายังกังวลอยู่เลยเรื่องประกันสังคม เรื่องสวัสดิการ ถ้าเราไม่ใช่ข้าราชการมันมีอะไรรองรับเราไหม นอกเหนือจากตัวเราเองที่เราจะลงทุนตั้งแต่หนุ่มสาว”

ประโยคนี้ลอยขึ้นมากลางวงสนทนาเมื่อเราชวนคุยกันถึงเหตุผลที่ทำให้เรื่องการเงินการลงทุนกลายเป็นที่ ‘นิยม’ กว่าที่ผ่านมา

คงไม่เกินเลยไปนักถ้าจะบอกว่านี่คือยุคสมัยที่เรื่องการเงินการลงทุนเป็นเรื่องกระแสหลัก หลังจากที่เป็นเรื่องของคนเฉพาะกลุ่มมายาวนาน สังเกตได้จากเพจการเงินการลงทุนคุณภาพที่เกิดขึ้นมากมาย และแต่ละเพจแต่ละช่องทางก็มีคนตามหลักล้านหลักแสน

และหนึ่งในเพจการเงินการลงทุนที่หลายคนนึกถึงเป็นชื่อแรกๆ คือ ‘ลงทุนแมน’ ที่ล่าสุดพวกเขาในชื่อบริษัท LTMH เพิ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) สะท้อนการเติบโตของบริษัทสื่อที่เริ่มต้นจากเพจเพจหนึ่งที่ว่าด้วยการเงินการลงทุนได้เป็นอย่างดี

โดยธุรกิจหนึ่งที่อยู่ร่วมเครือคือ ‘LTMH Rocket’ เอเจนซีโฆษณาครบวงจรที่ครอบคลุมการสื่อสารทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ดูตั้งแต่พาร์ตกลยุทธ์การสื่อสาร ครีเอทีฟ การผลิต การซื้อสื่อ รวมถึงการประชาสัมพันธ์ โดยพวกเขานิยามตัวเองว่าเป็น Investising Agency ที่ดึงเอาจุดเด่นเรื่องความเชี่ยวชาญในการสื่อสารเรื่องการเงินการลงทุนอันเป็นดีเอ็นเอและจุดแข็งของ ‘ลงทุนแมน’ มาช่วยลูกค้าในการสื่อสารเรื่องยากให้เข้าใจง่าย

หมิง–ณัฐนรี หฤษฎีชวลิต Managing Director, เนย–ภัทร อินทรกำแหง Creative Director, ครีม–ณัฎฐพัชร เตชะนฤดล Media Director, ปั๊ม–พิรเศรษฐ์ นาคสังข์ Business strategic Director และโอม–โอมศิริ วีระกุล Content Director คือกลุ่มคนผู้อยู่เบื้องหลังความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ ของเอเจนซีที่ใช้คำนิยามไม่เหมือนใครแห่งนี้

แม้ปกติเราจะไม่สนทนาเรื่องเงินๆ ทองๆ กับใครที่เพิ่งพบหน้ากันไม่กี่ครั้ง แต่ครั้งนี้ระหว่างเราคือข้อยกเว้น

ย้อนกลับไปทําไมพวกคุณถึงนิยามตัวเองว่า Investising Agency

ปั๊ม : มันเป็นคําที่เกี่ยวกับเรื่องของ investment และ advertising คือเราเห็นเทรนด์ของเอเจนซีช่วงหลังๆ จะมีเอเจนซีตัวเล็กตัวน้อยเกิดขึ้นเยอะ 

ซึ่งช่วงแรกๆ เรารับพิตชิ่งงานเยอะมาก ในหลายๆ อุตสาหกรรม พอปีหลังๆ เราก็เริ่มมาคิดกันว่าแล้วความเก่งของเราจริงๆ คืออะไร ก็ย้อนกลับมาที่ดีเอ็นเอของเราคือความเป็นลงทุนแมนที่เล่าเรื่องการเงินการลงทุน แล้วลูกค้า 80% ของเราเป็นเรื่องของการเงินการลงทุน เราก็เลยรู้สึกว่านี่เป็นไอเดียที่ LTMH Rocket มี คือความเป็น investment กับ advertising ในการทำ communication ให้มันแตกต่างจากเอเจนซีเจ้าอื่น 

แล้วเราก็คิดว่าเอเจนซีทั่วไปยังไม่ได้ใช้ positioning นี้ ในการที่จะกล้าออกมาพูดว่าเราเป็นเอเจนซีเพื่อการลงทุน ทําโฆษณาเกี่ยวกับการเงินการลงทุน ก็เลยเป็นที่มาของ positioning ที่เราอยากจะทําให้ทุกคนได้รู้จัก

ในแง่ธุรกิจ การจํากัดตัวเองว่าเป็นเอเจนซีสําหรับการเงินการลงทุนมันทําให้กลุ่มลูกค้าแคบเกินไปไหม

ปั๊ม : ตอนถกกันก็คิดว่าประเด็นนี้เป็นความท้าทายของพวกเราเหมือนกัน แต่ว่าพอไปดูในตลาดของการเงินการลงทุนจะเห็นได้ชัดว่าเม็ดเงินมันค่อนข้างมาก มีลูกค้าที่พยายามขยายกลุ่มฐานลูกค้าออกไปค่อนข้างเยอะ เขาก็ยังอยากให้คนไทยลงทุน ซื้อสินทรัพย์การลงทุนกับเขาทุกๆ ปี ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นยังไง แล้วทางธนาคารเองก็พยายามที่จะกระจายเรื่องนี้ 

แล้วเราก็คิดอีกมุมด้วยว่า จริงๆ แล้วการลงทุนไม่ได้มีแค่เรื่องของการเงินอย่างเดียวนะ มันยังมีเรื่องของการลงทุนผ่านแบรนด์เนม หรือการซื้อบ้านอสังหาฯ ก็เป็นการลงทุนเหมือนกัน เรารู้สึกว่าจริงๆ แล้วเรื่องราวเกี่ยวกับการลงทุนมันสามารถแตกแขนงย่อยไปได้มากกว่าเรื่องของการเงิน

โอม : เรื่องการลงทุนบางคนอาจจะคุ้นเคยว่ามันต้องเป็นโปรดักต์ด้านการเงินเท่านั้น แต่จริงๆ มันยังมีเรื่องของสุขภาพที่เป็นโปรดักต์ไลฟ์สไตล์ เป็นการลงทุนทางด้านเวลาเพื่อให้สุขภาพกายดีขึ้น ความสัมพันธ์ดีขึ้น มันก็เป็นอีกมิตินึง ดังนั้นการลงทุนมันก็ไปแตะในเรื่องของโปรดักต์ไลฟ์สไตล์ได้เหมือนกัน อยู่ที่ว่าเราจะหามุมมาบิดเล่าเพื่อให้มันสอดคล้องกับแบรนดิ้งของเรา positioning ของเราแล้วมันแข็งแรงได้มั้ย

หมิง : อีกมุมนึงที่น่าจะเป็นหลังบ้านของพวกเราทุกคน มันน่าจะเป็นการสร้าง communication impact ให้กับกลุ่ม target audience ที่เรามองว่า วันนี้เราอยากให้ทุกคนลงทุนกันมากขึ้น ใส่ใจกับเรื่องการเงินกันมากขึ้น เราก็เลยมองว่าทําไม คําว่า Investising มันถึงแข็งแรง 

จริงๆ โจทย์ที่เรากําลังทําอยู่เราไม่ได้พูดกับนักลงทุนอย่างเดียว แต่ว่าเกือบ 70-80% เรากําลังพูดกับกลุ่มคนที่ไม่ได้ลงทุน ให้เขาหันมาลงทุน โจทย์ของลูกค้าเราส่วนใหญ่พยายามเจาะไปยัง user ที่ไม่ได้ลงทุน ซึ่งเรารู้สึกว่าสิ่งนี้มันจะอยู่ไปตลอด เพราะมันก็จะมีกลุ่มเจเนอเรชั่นใหม่ๆ พอเขาเริ่มทํางานหาเงิน เขาจะทํายังไงกับเงินเขา เราก็อยากให้เขาลงทุน ดังนั้นเรามองว่ามันสามารถไปได้อีกไกล

พวกคุณมีความเชื่ออะไรเกี่ยวกับการเงินการลงทุน ทำไมถึงเลือกสื่อสารเรื่องราวเหล่านี้

เนย : ก่อนหน้านี้ผมไม่ค่อยชอบการลงทุน

ปั๊ม : บทสัมภาษณ์นี้ก็พาดหัวว่าเอเจนซีที่คนไม่ค่อยสนใจเรื่องการลงทุนมาทําเรื่องการลงทุน (หัวเราะ)

เนย : คือก่อนที่ผมจะมาทำที่นี่ผมก็ทำเอเจนซีโฆษณาปกติมา แล้วมันจะช่วงที่ต้องทําเรื่องการเงินเยอะ ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็รู้สึกว่า จริงๆ เรื่องการเงินการลงทุนมันไม่ได้ยากขนาดที่เราเคยตั้งกําแพงว่ามันยาก ถ้าเรามองว่าเงินมันก็เหมือนโปรดักต์นึง เหมือนมาม่าห่อนึง มันมีทั้งคนอยากได้ คนไม่อยากได้ คนชอบไม่ชอบ

ถ้าเรารู้จักกลไกการตลาดหรืออะไรที่อยู่รอบตัว เราจะเห็นว่าที่จริงมันไม่ได้เข้าใจยากขนาดนั้น ไม่ว่าจะหุ้นขึ้น หุ้นลง กองทุน หรืออะไรนู่นนี่นั่นมันจะมี core concept idea สักอย่างนึงอยู่ ถ้าเกิดมีโปรดักต์ทางการเงินใหม่เกิดขึ้นมาเราก็แค่คิดว่าเขาออกสิ่งนี้มาทําไม คือผมจะพยายามหาแง่มุมเหมือนเวลาเราขายโปรดักต์อื่น ว่าโปรดักต์นี้มีข้อดียังไง ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาอะไร คนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเขามองหาอะไรในโปรดักต์ประเภทนี้ ผมก็เลยมองว่าจริงๆ แล้วเรื่องการเงินการลงทุนถ้าทุกคนลดกําแพงลง แล้วมองว่ามันเป็นเรื่องรอบตัว มันอาจจะไม่ได้ยากขนาดนั้น

ยิ่งพอมาทํางานที่นี่ ผมยิ่งรู้สึกว่าเรื่องการเงินมันก็สําคัญมาก การเงินเป็นเรื่องรอบตัวที่ทุกคนควรรู้ เพราะงั้นเราก็ควรสื่อสารให้ทุกคนรู้ แบบที่เรารู้ว่า เงินเป็นเรื่องรอบตัว เงินไม่ใช่เรื่องยาก อย่าสร้างกำแพงมากั้นแค่นั้นเอง เวลาคิดไอเดียอะไรในการทำงาน เราจะคิดอยู่ประมาณนี้

ปั๊ม : เราเองก็ทำงานในเอเจนซีมาตลอด แล้วก็มีช่วงนึงรู้สึกว่าเบิร์นเอาต์จากโฆษณาแล้ว เพราะรู้สึกว่ามันเป็นการทํางานขาย ขาย ขาย ขาย จนมีพี่คนนึงเขาติดต่อมาว่าสนใจมาทำที่นี่ไหม ซึ่งผมก็ไม่ได้เก่งการเงินมาก แต่ว่าพอเข้ามาคุยแล้วรู้สึกว่า ลูกค้าเขาพยายามหาคนที่จะมาช่วยทําการสื่อสาร ให้คนที่ไม่เข้าใจทางการเงินแบบเราเข้าใจมากยิ่งขึ้น

ตอนนั้นที่เข้ามาเราก็ยังไม่ได้ลงทุนอะไรเลย แล้วก็งงมาก แล้ว deck แรกที่ทํากับธนาคารแห่งหนึ่งที่อาจจะดู traditional มากผมก็เอาข้อมูลเขามาหมดเลย ที่เป็นโบรชัวร์ คอนเทนต์ของเขา แล้วก็แปะรูปเอเลี่ยนไปข้างๆ บอกว่า คนภายนอกมองว่าโบรชัวร์ของคุณเป็นภาษาเอเลี่ยน ซึ่งพอพรีเซนต์เสร็จลูกค้าชอบมาก แล้วบอกว่า จริงๆ คอนเทนต์เกี่ยวกับการลงทุนเราจะเห็นว่าทุกธนาคารจะพยายามพ่นศัพท์เฉพาะต่างๆ ซึ่งคนทั่วไปที่ยังไม่ได้ลงทุนเขาก็มี barrier ทําไมเราไม่ช่วยทําให้สิ่งเหล่านั้นมันเป็นภาษาคนมากยิ่งขึ้น แล้วพอเปลี่ยนความคิดลูกค้าได้ มันก็เริ่มสนุกว่าเราจะทํายังไงให้โจทย์นี้ของลูกค้ามันเป็นภาษาใหม่ 

โอม : แรกเริ่มเราไม่ได้เกิดจากแพสชั่น แต่เกิดจากวิกฤตในชีวิตมาก่อน ก็คือแม่ป่วยแล้วเงินเหลือในบัญชีไม่กี่ร้อย มันก็เลยทําให้สนใจ แล้วก็ศึกษามาเรื่อยๆ ความพิเศษคือที่นี่คือการทำงานในเอเจนซีที่แรกในชีวิตผม พอมาพูดในมุมของคนที่เล่าเรื่องการเงินการลงทุนผมรู้สึกว่ามันก็ยังคงเป็นเรื่องยากอยู่ ต่อให้เราใช้เงินทุกวัน เราก็ยังรู้สึกว่า เมื่อไหร่จะไปถึงจุดที่รวยได้ มั่งคั่งได้

ขนาดอยู่กับเรื่องการเงินการลงทุนทุกวันคุณก็ยังมองว่ามันยาก

โอม : คือพอเรามาศึกษาดีๆ คือมันไม่ใช่แค่ว่าถูกหวยเปรี้ยงเดียว แล้วการันตีว่าคุณจะมีเงินใช้ไปตลอดชีวิตนะ เงินมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

ผมรู้สึกว่าเงินมันคือเกมของชีวิต แต่การจะสื่อสารเรื่องนี้มันก็ต้องอาศัยผู้แปลสารที่ดี เหมือนโดราเอมอนที่มีวุ้นแปลภาษาเพื่อทําให้เรื่องการเงินการลงทุนมันเข้าถึงคนได้ง่ายขึ้น เราจะทํายังไงให้คนข้ามมาอยู่ตรงนี้ได้ ซึ่งนั่นคือหน้าที่ของเราที่มาทํางานกับ LTMH Rocket ณ เวลานี้

ครีม : ตอนเข้ามาทํางานที่นี่ตอนแรกเรายังไม่รู้ว่าลูกค้าเราส่วนใหญ่จะมีแต่การเงิน แต่เราเองชื่นชอบลงทุนแมนเพราะว่าเราสนใจในเรื่องการเงินการลงทุนอยู่แล้ว และจุดเริ่มต้นที่เราสนใจเรื่องการเงินการลงทุนง่ายๆ เลยคืออยากรวย คือเราเห็นว่าปลายทางของสิ่งที่เราทำน่าจะทำให้เรามีความมั่งคั่งขึ้นหรือรวยขึ้น สามารถใช้จ่ายอย่างอิสระได้มากขึ้น มันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของความสนใจ แต่ว่ามันก็มีอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้ แล้วเราก็คิดว่าจากเนื้องานที่เราทํามันจะทําให้เราเข้าใจโปรดักต์ทางการเงินอื่นๆ เพิ่มขึ้น เหมือนเราจะได้ความรู้ใหม่ๆ ในโปรดักต์อื่นๆ มากขึ้น หรือเข้าใจกลไกของมันจริงๆ ซึ่งระหว่างที่ทํางานที่นี่มาเรารู้สึกว่าเราก็ได้รับสิ่งนี้ไปโดยที่เราอาจจะไม่ได้รู้ตัว

หมิง : เรื่องการเงินการลงทุนเป็นสาเหตุหลักที่ทําให้เราตัดสินใจมาทํางานที่ลงทุนแมน แล้วก็มาเป็นส่วนหนึ่งที่ก่อตั้งทีม LTMH Rocket ขึ้นมา แต่ไม่ใช่ว่าเราทํางานที่นี่เพราะเราชอบเรื่องการเงินการลงทุนนะ เรามาทำเพราะมันเป็นเรื่องที่เราไม่ชอบ เรารู้สึกว่าเวลาส่วนตัวของเรา เรามีความสนใจเรื่องอื่นๆ มากมาย เราอยากออกกําลังกาย เราอยากดูซีรีส์ แต่ว่าเรื่องการเงินการลงทุนเราต้องรู้จักมัน เพราะว่ามันอยู่ในจุดที่จําเป็น แล้วตอนนั้นที่เข้ามาทำงานเราอายุประมาณ 28 มันเริ่มมีเรื่องภาษี เรื่องประกัน เรื่องการวางแผนการเงิน เราก็เลยเลือกมาทําที่นี่เพราะคิดว่าเราต้องรู้อะไรมากขึ้นแน่เลย

เหมือนตอนแรกตั้งใจเข้ามาเรียน

หมิง : ใช่ ตั้งใจเข้ามาเรียน ตอนนั้นเราเป็นคนโฆษณามาโดยตลอด เราทํางานเอเจนซีมาตลอด เราก็เลยรู้สึกว่าถ้าเราทํางานที่นี่เราจะได้มีอินไซต์ มีความรู้โดยที่มันเป็นสิ่งที่เราต้องรู้ เพราะมันทําให้เราทํางานได้ดีด้วย เหมือนมันบังคับให้เราต้องเข้าใจเรื่องนี้ เรียนรู้เรื่องนี้ 

แล้วตลอด 4 ปีที่ผ่านมามันเป็นแบบที่เราคิดเอาไว้เลย มันทำให้เรามองการเงินการลงทุนเปลี่ยนไป คือเวลามีน้องๆ มาสมัครงานจะมีคนที่เขากลัวว่าเขาไม่รู้เรื่องการเงินแล้วจะทํางานที่นี่ได้ไหม เราเลยบอกว่าเราก็ไม่ได้รู้มากเหมือนกัน แต่ว่ามันไม่ได้ยากกว่าการทําโปรดักต์อื่นๆ หรอก สมมติคุณเป็นผู้ชายแล้วคุณต้องไปขายผ้าอนามัย คุณไม่เคยใช้ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย คุณทําได้ มันคือคอนเซปต์เดียวกันเลยว่า คุณต้องทําความเข้าใจโปรดักต์ ทําความเข้าใจอินไซต์ เดี๋ยวคุณก็จะรู้เองว่าคุณต้องสื่อสารมันออกไปยังไง 

เราก็เลยรู้สึกว่ามันก็สร้างคัลเจอร์เล็กๆ บางอย่างของพวกเราขึ้นมาเหมือนกันว่า การเงินไม่ได้น่ากลัว แล้วเรามาทํางาน เรามาเรียนรู้ แล้วเราก็จะถ่ายทอดเรื่องนี้ให้กับ audience ของเรา ที่มีทั้งคนที่มีความรู้ด้านการเงินและไม่มีความรู้ด้านการเงินได้ดี

ปกติเวลาทํางานให้ใครเราต้องรู้มากกว่าเขา แต่ว่าอันนี้คุณอาจจะรู้น้อยกว่าลูกค้าในเรื่องการเงินการลงทุน แล้วพวกคุณทำยังไงให้ลูกค้าเชื่อ

หมิง : ใช่ เราอาจจะรู้น้อยกว่า Fund Manager ที่มาบรีฟเรา แต่เราเองเชี่ยวชาญในเรื่องของการสื่อสาร เรามั่นใจในจุดนี้ เพราะว่าเรามีแบ็กกราวนด์ที่แน่นมาก แล้วก็เรามีจุดยืนของการเป็นกลุ่มเป้าหมาย

เราให้ value มากกับเวลาที่ลูกค้ามาหาเรา แล้วเขาเป็น Fund Manager เป็นสุดยอดตัวท็อปที่จะเล่าเรื่องโปรดักต์นี้ แล้วเราก็จะพยายามช่วยเขาให้เขาเอาสิ่งดีๆ เหล่านั้นที่เขามีแปลงออกมาให้คนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย

ซึ่งเราก็จะบอกกับเขาทุกครั้งว่า จุดยืนของเราคือ เราพยายามย่อยข้อมูลต่างๆ ที่ดีมากๆ ของคุณให้ทุกคนเข้าใจ จุดนี้เราขอช่วยคุณนะ แต่จุดที่คุณต้อง provide ข้อมูลคุณต้องช่วยเรานะ ซึ่งพอเราทํางานกันอย่างนี้มันก็ win-win เราไม่ได้จําเป็นต้องจบปริญญาเอกเรื่องการเงิน financial มาเพื่อที่จะทํา Investising แต่ว่าเราแค่อยู่ในจุดที่ว่าเราเข้าใจโจทย์ของเขาว่าอยากจะสื่อสารอะไรเป็นสําคัญ และสิ่งที่เขาอยากสื่อสารมันส่งผลอะไรกับ target audience แล้วเราก็เป็นตัวกลางที่ทําให้ทั้งสองคนเจอกันได้

ความยากหรือความท้าทายในการเล่าเรื่องการเงินการลงทุนในฐานะเอเจนซีคืออะไร

เนย : สิ่งที่ผมเรียนรู้ก็คือพอมันเป็นโปรดักต์การเงิน มันเป็นเรื่องของการบาลานซ์ ‘ความจริง’ กับ ‘การตกแต่งให้มันน่าสนใจ’ มันไม่เหมือนพวก FMCG (Fast-Moving Consumer Goods) ที่เราจะทําให้มันดูอร่อย ดูว้าว แสงออกปากแค่ไหนก็ได้ แต่พอมันเป็นโปรดักต์เรื่องการเงินเราบิดโดยไม่สนใจความจริงหรือบิดมากไปไม่ได้เลย เพราะว่ามันกลายเป็นเรื่องของ หนึ่ง–เงินในกระเป๋าคนอื่น สอง–เป็นเรื่องของกฎหมาย แล้วลูกค้าจะไม่ยอม 

เราจึงต้องบาลานซ์ค่อนข้างหนักมาก ต่อให้เราคิดแล้วว่ามันน่าสนใจขนาดไหน แต่ถ้าความหมายมันผิดเพี้ยนไปก็ไม่อาจทำได้ จุดนี้เป็นสิ่งที่ผมรู้สึกว่ามันต้องเรียนรู้ไปตลอด การตกแต่งกับการบาลานซ์ความจริงมันเป็นเรื่องยากมาก

เวลาได้รับโจทย์จากลูกค้า พวกคุณเริ่มต้นคิดจากอะไร

ปั๊ม : ที่ผ่านมาลูกค้ามักจะมีแพตเทิร์นเดิมๆ แทบทุกบรีฟก็คือต้องการสร้าง awareness เราก็ต้องมานั่งแกะว่า awareness ของลูกค้าต้องการนําไปสู่อะไร เมื่อคนรับรู้มากขึ้นแล้วมันนําไปสู่อะไร เช่น ขายได้มากขึ้นเหรอ หรือการสร้าง awareness ในกลุ่มเดิมแล้วเราจะสื่อสารไปทําไม หรือจริงๆ อยากจะกระจายไปกลุ่มใหม่ๆ ก็ต้องมาคิดต่อว่าบรีฟนี้ลูกค้าต้องการ awareness ไปเพื่ออะไรที่เป็นสิ่งสุดท้าย

ถ้าเรารู้จักลูกค้ามากพอ เราก็จะเห็นภาพรวมว่า awareness ที่เป็นโจทย์ในครั้งนี้ลูกค้าอยากทําอะไร แล้วก็ไปรีวิวแคมเปญเก่าๆ ของลูกค้าว่า เราทําเท่าเดิมที่เขาทําไหม หรือปีนี้เราจะใส่อะไรเพิ่มเข้าไปบนโจทย์นี้ แล้วเราเห็นเทรนด์อะไรใหม่ๆ เราต้องอัพเดตแล้วก็หาสิ่งใหม่ให้ลูกค้าตลอด อะไรที่ลูกค้ารู้แล้วเราไม่จําเป็นต้องพูดซ้ำ แต่ไปหาว่าอะไรที่เขายังไม่รู้มากกว่า อาจจะไม่จําเป็นต้องฉลาดไปกว่าเขา แต่ว่าพยายามหามุมของ consumer ให้เขาเห็นว่าตอนนี้มันมีอะไรใหม่ๆ ลูกค้าก็จะรู้สึกว่า อ๋อ มีมุมนี้ที่น่าสนใจ อันนี้คือวิธีการ crack โจทย์ของเรา

หมิง : เราว่ามันอยู่ที่การประเมินทั้งลูกค้า สถานการณ์ สิ่งที่เขาต้องการ แล้วก็ใส่ value ของเราเข้าไป ซึ่งสำหรับทุกเอเจนซีมันคือการแก้ปัญหา ลูกค้าต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างนึง เขาถึงเข้ามาหาเอเจนซี ไม่งั้นเขาก็ทําเอง ถูกไหม ซึ่งปัญหาอาจจะเป็นเรื่องคน เขาอาจจะมีภาพในใจที่ชัดมากแล้ว ว่าอยากได้อะไร แต่เขาไม่มีคนทํา เขาเลยต้องมาหาเอเจนซีเพื่อที่จะซัพพอร์ต เราก็ต้องตีโจทย์ให้แตกว่า อ๋อ เขาอาจจะไม่ได้อยากได้อะไรใหม่ เขาอาจจะอยากได้แค่คนที่มาช่วยทําในสิ่งที่เขาเห็นภาพที่ชัดเจนมากๆ อยู่แล้ว 

หรือเขาอาจจะไม่เห็นภาพอะไรเลย เขาต้องการคนที่มาสร้างภาพนั้นให้เขาว่าทําแบบนี้กัน มันดี เราก็เลยอาจจะต้องมองทั้งในมุม business objective ของเขา กับ context ของลูกค้าที่มาบรีฟเราด้วยว่าวันนี้เขามาสื่อสารกับเรา จริงๆ เขาอยากได้ manpower หรือเขาอยากได้ creative idea หรือเขาอยากได้อะไร

ซึ่งสุดท้ายต่อให้เขาแค่ต้องการหาคนมาทำให้ แต่เราจะเป็นคนคนนั้นยังไงที่เซอร์ไพรส์เขา เรารู้สึกว่ามันต้องมี value ของเราเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย ต่อให้เขามีโจทย์ที่ชัดมากๆ อยู่แล้ว 

ในการทำงาน พวกคุณให้ความสำคัญกับอะไร

โอม : ที่นี่เรามีคัลเจอร์อยู่ 3 คํา คือ spark, simple และ impact 

เราทํางานตรงนี้มา 3-4 ปีแล้ว เราอยากจะ maintain แล้วก็เพิ่มไดนามิกให้กับคนที่ทํางานที่นี่ เราเหมือนห้องเรียนนึง จะทํายังไงให้มันเกิด energy แล้วก็แก้ไขปัญหากับลูกค้าได้อยู่ตลอด แล้วเกิด spark ตั้งแต่แรก เราพยายามที่จะลองหา input อะไรใหม่ๆ มาใส่ทีม อย่างเช่นปีนี้เราก็จะเชิญวิทยากรมาแชร์ให้ทีม สนใจเรื่องภาษีเราก็ดึงพี่หนอม TAXBugnoms มา อยากฟังเรื่อง creative idea การเริ่มต้นของรายการพ็อดแคสต์เราก็ชวนทีม Untitled Case มา 

ส่วน simple ก็คือเราพยายามซ่อนอยู่ในกระบวนการทํางาน คือคนเราไม่ได้เยอะ ดังนั้นเราอย่าทําให้กระบวนการมันเยอะ เพื่อความลื่นไหลของเวิร์กโฟลว์ไปกับงาน ปวดหัวกับลูกค้าแล้วอย่ามาปวดหัวกันภายใน ส่วนคำสุดท้ายคือ impact เราจะทํายังไงให้มัน beyond expectation ทำยังไงให้มันอิมแพกต์กับคนที่รับงานเราไป ซึ่งก็คือลูกค้า เราอาจจะต้องดูว่า bottom line ที่เขาเคยได้มามันคืออะไร แล้วเราจะทํายังไงให้มันเหนือไปกว่านั้นผ่าน Investising ของเรา ผ่านดีเอ็นเอของเรา อันนี้ก็เป็นโจทย์ กับอิมแพกต์อ้อมๆ ที่เราอยากให้มันเกิดขึ้นคือ ถ้าเราซื้อใจลูกค้าได้แล้ว เราก็อยากซื้อใจ audience ที่มาอ่าน ที่มาเสพ ที่มาดู ว่าเขาโอเคนะ เขาชอบนะ เขามีความรู้เพิ่มขึ้นนะ ซึ่งอันนี้ก็เป็นอีก agenda นึงที่เราก็อยากทําให้ได้

ปั๊ม : อย่างที่บอกว่าเราพยายามทำให้เรื่องการเงินการลงทุนมันไม่เป็นภาษาเอเลี่ยน เราพูดภาษาคน คุยกันภาษาคน เราจะเห็นว่าคอนเทนต์ปัจจุบันมันไม่ต้องมาทางการอะไรมาก เล่าเหมือนเพื่อนเล่ากับเพื่อน เราอยากฟังเพื่อนที่มันเก่งแต่มันเล่าให้เราเข้าใจได้ มันคือคนที่ใช้ภาษาง่ายๆ กับเรา 

เราอยากให้ลูกค้าเป็นเหมือนเพื่อนคนนึงที่เล่าคอนเทนต์การเงินให้กับคนที่มาอ่านเข้าใจ ไม่ต้องมีเลเยอร์อะไรมาก ไม่ต้องทางการตามวิธีการเขียนอะไรที่เป็นแพตเทิร์นมาก คือของ่ายๆ เลย ผมว่าถ้าเรามีมายด์เซตอย่างนี้ว่า เราทําคอนเทนต์เหมือนเล่าให้เพื่อนคนนึงที่เราอยากจะให้เขาเข้าใจฟังทุกอย่างมันก็จะง่าย 

ในฐานะที่อยู่กับการเล่าเรื่องการเงินการลงทุน คุณคิดว่าทุกวันนี้สังคมมีมุมมองต่อการเงินการลงทุนเปลี่ยนไปยังไงบ้าง

โอม : ผมรู้สึกว่าทางเลือกมันเยอะขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของเครื่องไม้เครื่องมือไปตามความต้องการของคน มันหลากหลายมากขึ้น แต่ก่อนรุ่นพ่อรุ่นแม่เราอาจจะซื้อทอง ซื้ออสังหาฯ หรือเก็บหุ้นบ้าง แค่ 3 อย่างนี้ก็เท่แล้ว แต่หลังๆ เราจะเริ่มเห็นคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจการลงทุนเยอะขึ้น เร็วขึ้น หลากหลายขึ้น อาจจะเปลี่ยนจากสินทรัพย์แบบที่เราคุ้นเคยไปแนวเทรดบ้าง ไปแนวเก็งกําไรบ้าง ซึ่งระดับความเสี่ยงมันก็แตกต่างกันออกไป ซึ่งก็เป็นโจทย์ให้เอเจนซีที่นิยามตัวเองว่าเป็น Investising อย่างพวกเราต้องไปตามพฤติกรรมเขาด้วย 

ปั๊ม : จริงๆ ผมว่าคนไทยสนใจเรื่องการเงินนะ แต่ว่าชอบทางลัด คือชอบได้เงินเลย จะเห็นว่ามีคนโดนหลอกไปเป็นแสนล้าน ก็เลยรู้สึกว่าจริงๆ แล้วคนไทยมีเงินแล้วก็สนใจเรื่องเงิน แต่เราจะเห็นว่าคนไทยสนใจทางลัด แต่ว่าไม่ค่อยมีคนให้ความสําคัญกับรากฐานจริงๆ ของการเงิน คนไทยสนใจการเงินแต่ว่าขาดเครื่องมือหรือขาดความรู้ในการเชื่อมโยงให้มันอยู่ทุกช่วงของชีวิต ทั้งการศึกษาตอนประถม มัธยม มหาวิทยาลัย ทําไมเด็กมหา’ลัยรู้สึกช็อกเวลาต้องมาเสียภาษีครั้งแรกตอนทํางาน ซึ่งจริงๆ มันไม่น่าจะต้องช็อก คือมันควรจะถูกปลั๊กอินไปทุกช่วงอายุ แต่มันหายไป 

เวลาเราทําเรื่องของการเงิน เราจะรู้สึกว่าสเตปแรกของคนลงทุนจะเริ่มลงทุนจากความเสี่ยงน้อย กลาง แล้วไปสูง แต่ปัจจุบันมันเปลี่ยนไป คือเด็กรุ่นใหม่พุ่งไปที่ความเสี่ยงสูงเลย พร้อมไปคริปโตฯ เลย ไม่ได้ลงกองทุนแล้ว เพราะมันช้า มันก็เห็นอะไรบางอย่างว่าจริงๆ แล้วเขาก็พยายามจะมีเงินตลอดเวลา แต่ว่าใจร้อน ซึ่งก็โทษคนไทยหรือว่าเด็กไทยด้วยไม่ได้ คือมันอาจจะต้องไปวางรากฐานกันใหม่ว่าทําไมไม่ทําให้วิชาการเงินมันสําคัญเท่ากับภาษาอังกฤษ อย่างจีนเองตอนนี้ก็บรรจุเรื่องของการเขียนโค้ดกับการเงินไว้ในหลักสูตรเลยว่าต้องมี 2 วิชานี้ 

มันควรเข้าไปอยู่ในระบบการศึกษาที่ทุกคนต้องเรียน ผมว่าสุดท้ายแล้วมันคือ long term, long game ที่เราต้องพัฒนากันไป แต่ก็เห็นว่าจริงๆ แล้วคนไทยมีเงิน คนไทยสนใจเรื่องเงิน แต่แค่อาจจะยังไม่ถูกวิธี ซึ่งจริงๆ มันก็ไม่ได้ผิดนะ อย่างเรื่องของลอตเตอรี่พวกผมก็ซื้อกัน คือมันก็มีใจร้อนแหละ อยากเห็นผล แต่การลงทุนมันเป็นเหมือนการพรีออร์เดอร์ที่เราไม่รู้ว่าของมันจะมาเมื่อไหร่ มันจะได้ไหม หรือมันจะโดน

ครีม : อย่างที่พี่ปั๊มกับพี่โอมเล่าให้ฟังว่าคนไทยสนใจเรื่องการเงินเพิ่มขึ้นแล้วก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอันนี้แปลว่าปลายทางความจริงแล้วเขามีความตั้งใจบางอย่างที่เขาอยากจะได้รีเทิร์นกลับมาที่สูงขึ้น 

เราจะเห็นว่าทุกๆ ปีมันจะมีเพจการเงิน หรือ KOL หน้าใหม่ๆ เกิดขึ้นมาตลอด ซึ่งมันก็สะท้อน demand และ supply ว่ามีคนที่สนใจรออ่านสิ่งพวกนี้อยู่ สิ่งพวกนี้มันก็เลยเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ รวมถึงเพจเก่าๆ ที่ยอดฟอลโลเวอร์ก็เติบโตขึ้นทุกๆ ปี เราเลยค่อนข้างมั่นใจว่ามันเป็นสิ่งที่ในสังคมไทยก็สนใจมาโดยตลอด และน่าจะมีแนวโน้มแบบเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ

คิดว่าอะไรทําให้การลงทุนมันกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวคนรุ่นใหม่จากแต่ก่อนดูเป็นเรื่องไกลตัว

โอม : ผมว่าถ้าย้อนกลับไปสมัยเราเด็กๆ เวลาเราอยู่กับผู้หลักผู้ใหญ่ อยู่กับแม่ หรือแม้กระทั่งเพื่อนรุ่นเดียวกัน เราก็คุยเรื่องฟุตบอล เรื่องหนังที่ดู หรือเรื่องอื่นๆ แต่เราจะไม่เห็นบริบทในเรื่องของความรู้สึกอยากเกษียณเร็วหรืออยากรวยเร็ว ก่อนหน้านี้เรื่องเงินมันไม่ได้อยู่ในบทสนทนาทั่วไป ดังนั้นผมมองว่าที่คนเริ่มตระหนักมากขึ้นมันอาจจะเกิดจากเรื่องของ media landscape มันเปลี่ยนไป เราไม่ได้เป็นฝ่าย passive ที่จะต้องรอหนังสือพิมพ์มาส่งเมื่อไหร่ รายการนี้จะออกอากาศตอนไหน แต่เราลือกที่จะวิ่งไปหามันได้ เร็วขึ้น ง่ายขึ้น เราโดนพี่มาร์คยิงใส่ ผมว่านี่คือสารกระตุ้น มันรุนแรงกว่ายุคเก่า 

ปั๊ม : อีกมุมผมว่าเด็กรุ่นใหม่น่าจะเบิร์นเอาต์กันเร็วขึ้น เพราะว่ามันแข่งกันตลอดเวลา ถ้าอย่างเจนฯ X, เจนฯ Y เราก็จะได้ยินคํานึงมาตลอด คือ passive income สมัยเรา passive income ทํายังไง แต่เด็กรุ่นใหม่เขารู้สึกว่า passive income มันอยู่ในชีวิตเขามานานแล้ว ไม่ใช่คําใหม่ แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือจะทํายังไงให้เกษียณได้ไวๆ ไม่อยากทํางาน เบื่อ ไม่อยากไปทํางานแล้ว อยากลาออก เขาก็เลยคิดว่าน่าจะต้องหางานอย่างอื่น ถ้าไม่เพิ่มทางด้าน income ที่เป็น active income ไปเป็นอินฟลูเอนเซอร์นู่นนี่นั่น ก็ต้องมีการวางแผน 30 จะยังไง ซึ่งเด็กเดี๋ยวนี้เก่งๆ ก็มีเงินล้านตั้งแต่มหาวิทยาลัย

ผมว่ามันก็เป็นความรู้สึกเหนื่อยล้าของสังคมด้วย ที่สื่อโซเชียลฯ มันทําให้เราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ชีวิตคนอื่น เด็กก็ต้องทํางาน ต้องมี ต้องนู่นนี่นั่น เขาก็รู้สึกว่าบางทีมันก็เบิร์นเอาต์ ไม่อยากทํางานแล้ว ไม่ทํางานได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น

หมิง : อย่างที่ปั๊มว่า คนรุ่นใหม่พยายามหาทางลัด อยากรวยเร็ว ใจร้อน และยิ่งพอมันแบบคอนเนกต์กันมากขึ้น เราเห็นชีวิตคนอื่นง่ายขึ้น แล้วคนที่มีพื้นที่ คนดัง คนรวย คนที่มีอะไรบางอย่างที่เราไม่มี เราก็ไปเสพในสิ่งที่เขามี แล้วเราก็อยากมี เราก็เลยมาหาทางลัด เพื่อให้เรามี ก็คือต้องทําเงิน

โอม : ถ้าพูดมันก็ยิ่งลึก ผมว่าทุกคนมันมีความกลัว คือเรากลัวเหนื่อย เรากลัวทุกข์ เรากลัวแก่ไปแล้วไม่มีเงินใช้ มันแตะไปถึงเรื่องโครงสร้าง อย่างเช่นทุกวันนี้เรายังกังวลอยู่เลยเรื่องประกันสังคม เรื่องสวัสดิการ ถ้าเราไม่ใช่ข้าราชการมันมีอะไรรองรับเราไหม นอกเหนือจากตัวเราเองที่เราจะลงทุนตั้งแต่หนุ่มสาว หรือถ้าซื้อประกันทิ้งไว้ แล้วประกันนั้นเราจะส่งถึงไหม

ผมว่ามันเกี่ยวข้องกันหมด มันเชื่อมโยงกันหมด มันเป็นความกลัวส่วนหนึ่งว่า เราจะรอดไหมวะ ถ้าวันนึงเราตกงาน เรามีอายุมากกว่านี้

ปั๊ม : เทียบกับประเทศอื่น ทำไมคนเขาไม่กลัวเท่าเรา ผมว่ามันก็กลับไปที่พี่โอมว่า เพราะว่าเขารู้สึก secure บนการซัพพอร์ตของประเทศ โครงสร้างที่มีสวัสดิการ เสียภาษีไปก็ได้ใช้ในอนาคต แต่ของเรามีสวัสดิการแห่งรัฐ เราจะได้ใช้ไหมบัตรทองกับสิทธิประกันสังคม กลายเป็นว่าเราก็ต้องพึ่งตัวเอง ซึ่งคนไทยก็ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเนอะ 

แล้วแม้แต่คนลงทุนเองก็ยังไม่รู้ว่าวันนี้มีเงินเท่าไหร่ถึงจะพอที่จะใช้ บางคนก็บอกว่าของพี่อาจจะร้อยล้าน ของพี่อาจจะสิบล้าน อย่างของเราอาจล้านเดียว ถูกหวยครั้งเดียว ก็รู้สึก secure แล้ว แต่บางทีมันอาจจะหมดในปีเดียวก็ได้ ดังนั้นผมว่าคนรุ่นใหม่อยู่บนความไม่ secure ของอะไรที่มันแบ็กอัพคนไทย ที่ทําให้เขารู้สึกว่ากูต้องแอ็กทีฟแล้วแหละ

สุดท้ายเป้าหมายหรือความฝันของพวกคุณในตอนนี้คืออะไร

ปั๊ม : ถ้าประโยคเดียวก็คืออยากให้คนไทยมีความรู้ทางการเงินที่ดีขึ้น เพราะถ้ามีความรู้ทางการเงินดีขึ้นแล้วการโดนหลอกต่างๆ มันก็จะไม่เกิด บางทีมันอาจจะเกิดกับพ่อแม่ คนรอบตัว พี่ป้าน้าอาของเราด้วย ในอนาคตก็ไม่อยากจะให้มันเกิดกับคนใกล้ตัวของเรา 

โอม : ผมว่ามี 2 ส่วน คือหนึ่ง–เราอยากเป็นต้นทุนที่ดีให้กับใครก็ตามที่ทํางานกับเรา ก่อนที่จะไปสร้างอิมแพกต์เราอยากเป็นต้นทุนที่ดีให้กับทีม ให้กับน้อง ให้กับบริษัท ให้กับลูกค้า ถ้าเราเป็นต้นทุนที่ดีมันก็อาจจะเติบโตไปเป็นทรัพย์สินอะไรบางอย่างที่ดี ทำให้สังคมมันดีขึ้น

หมิง : สำหรับเราสิ่งนี้มันจะเชื่อมโยงกับแพสชั่นส่วนตัวด้วย และมันก็เชื่อมโยงกับความเป็น LTMH ภาพใหญ่ด้วย ก็คือเราอยากสร้างอิมแพกต์หรือว่าผลกระทบเชิงบวกกับสังคมจริงๆ ในเรื่องของ financial literacy เราอยากให้งานของเราไม่มากก็น้อย มันทําให้คนมีความรู้เรื่องการเงินมากขึ้นนิดนึงก็ยังดี เราอยากให้ทุกๆ ชิ้นที่เราส่งต่อออกไปสร้างความเข้าใจและความรู้ที่ทําให้เขาเอาไปใช้ได้ในชีวิตจริง อยากให้มันมีประโยชน์ ซึ่งเรามองว่าการกระทําของเรามันอาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดไปเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างอะไรขนาดนั้น แต่เราก็อยากจะเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างสรรค์งาน ผ่านคอนเทนต์ ผ่านแคมเปญ ผ่านสื่อต่างๆ ที่ออกไป แล้วผลงานชิ้นนั้นอย่างน้อยมันสร้างประโยชน์อะไรให้กับ end users, audience ต่างๆ บ้าง

อันนี้น่าจะเป็นภาพใหญ่แล้วมันก็เป็นแพสชั่นของเราเองด้วย แล้วเราก็เชื่อว่าทุกคนในทีมก็เห็นภาพประมาณนี้ด้วยกัน ดังนั้นทุกๆ งานที่เราทําจะกลับมาตรงนี้เสมอว่า spark, simple แล้วก็ impact ซึ่งเราค่อนข้างให้ความสําคัญกับ impact ว่ามันต้องสร้างอะไรไม่มากก็น้อย

ล้วงกลยุทธ์ Personalization Marketing แบบไหนถึงรู้ใจคุณด้วย Martech จากงาน MarTech Expo 2025

โลกธุรกิจ ณ ปัจจุบัน เปรียบเสมือนการวิ่งมาราธอนที่ผู้เข้าแข่งขันต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ใครช้าหรือชะล่าใจอาจถูกแซงหน้าโดยไม่รู้ตัว เช่นเดียวกับการทำการตลาดในตอนนี้ ที่ไม่เพียงต้องเสิร์ฟความต้องการให้กับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ยังหมายถึงในรูปแบบ ‘เฉพาะบุคคล’ ที่ผู้ประกอบการต้องพิถีพิถัน ต้องรู้ว่าผู้บริโภคแต่ละคนชอบอะไร เพื่อทำให้ลูกค้าจดจำและประทับใจแบรนด์ดุจรักแรกพบ 

ในโลกของ ‘MarTech’ (Marketing Technology) วิธีการทำการตลาดรูปแบบดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติที่มีการทำมาตั้งแต่อดีต ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุด คือข้อความเชิญชวนสะสมแต้มหรือร่วมแคมเปญโปรโมชั่นเด็ดจากห้างดังที่ส่งมาทางโทรศัพท์ของเราๆ ซึ่งวิธีการนั้นเรียกรวมกันว่า ‘Personalized Marketing’ หรือการนำเทคโนโลยี data มาช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค และนำข้อมูลที่ได้มาประมวลผลเพื่อนำเสนอกสินค้าหรือบริการกลับไป

ในเมื่อผู้ประกอบการต่างใช้ personalized marketing เป็นหัวหอกลุยสมรภูมิการตลาด คำถามคือแล้วจะทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพได้มากที่สุด? คำถามดังกล่าวได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกันในเซสชั่น ‘personalized marketing trend in 2025’ ที่เป็นไฮไลต์ส่วนหนึ่งในงาน MarTech Expo 2025 โดยมีสองกูรูอย่าง ‘ณัฐพล ม่วงทำ’ เจ้าของเพจการตลาดวันละตอน และพล วรรณชนะ Chief Operating Officer บริษัท STEPS Training ชวนวิเคราะห์หาคำตอบ โดยคอลัมน์ Key Note ได้สรุปสาระสำคัญมาฝากคุณผู้อ่านไว้เรียบร้อยที่ด้านล่าง

• วิวัฒนาการของ personalized marketing  

ในช่วงแรกของวงเสวนา พลได้ชวนทำความเข้าใจเรื่องวิวัฒนาการ personalized marketing ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยแบ่งออกเป็น 3 ยุค คือ

1.ยุคข้อมูล demographic >  ยุคที่วิเคราะห์ข้อมูลการทำการตลาดจากข้อมูลของลูกค้าที่เข้ามาลงทะเบียน เช่น เพศ อายุ อาชีพ และวันเกิด ซึ่งเครื่องมือที่ใช้นำเสนอผู้บริโภคคือ อีเมลมาร์เก็ตติ้งและ SMS เป็นหลัก เช่นการส่ง SMS นำเสนอโปรโมชั่นของค่ายโทรศัพท์ 

2.ยุคข้อมูลเชิง behavior > ยุคที่ผู้ประกอบการเก็บข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคผ่านการเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ ควบคู่กับการนำเสนอโปรโมชั่นหรือแคมเปญต่างๆ ผ่านป็อปอัปเมื่อผู้บริโภคกดคลิกเข้ามาที่หน้าเว็บไซต์

3.ยุคข้อมูล transaction > เป็นยุคที่ผู้ประกอบการแบ่งประเภทผู้บริโภคที่ละเอียดและลงลึกเฉพาะบุคคล ผ่าน CDP (Customer Data Platform) ซึ่งทำหน้าที่รวบรวมพฤติกรรมผู้บริโภคจากแพลตฟอร์มต่างๆ ไม่ว่าจะ Line, Shopee, Facebook หรือเว็บไซต์ของแบรนด์ เพื่อนำไปวิเคราะห์เป็น personalized marketing

เช่น ลูกค้าคนหนึ่งเคยซื้อเสื้อผ้ากับแบรนด์ก่อนจะห่างหายไประยะเวลาหนึ่ง เมื่อเป็นแบบนั้น แบรนด์ก็จะใช้ข้อมูลที่มีอยู่ในมือส่งโปรโมชั่นที่น่าสนใจหรือคูปองส่วนลดผ่านช่องทางที่สามารถติดต่อได้ เพื่อเชิญชวนผู้บริโภคให้กลับมาอีกครั้ง

4.ยุคข้อมูล AI > เป็นยุคที่ผู้ประกอบการใช้เครื่องมือ AI (artificial intelligence) วิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงเรื่องการทำ content marketing เพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคหันมาสนใจแบรนด์ หรือสนใจในผลิตภัณฑ์และบริการที่กำลังเปิดตัว รวมไปถึงการแบ่งประเภท จำแนกลักษณะของผู้บริโภคได้จำนวนมากในคราวเดียวกัน 

ในยุคปัจจุบันที่กำลังดำเนินอยู่นั้น คาบเกี่ยวอยู่ระหว่างยุค 3 และยุค 4 ที่น่าสนใจกว่านั้น คือเทคโนโลยีเครื่องมือในการทำ personalized marketing เองยังจับต้องง่าย แม้กระทั่งคนที่เริ่มต้นทำธุรกิจก็ใช้ได้เช่นกันหากมีความเข้าใจที่มากพอ 

อย่างไรก็ดีณัฐพลได้เสริมว่า การจะตั้งต้นทำ Personalized Marketing ให้ราบรื่นในระยะยาว จำเป็นต้องทำ ‘Lead Scoring’ หรือกระบวนการประเมินความพร้อมและความเเป็นไปได้ในการซื้อของลูกค้า เช่นจากระบบสมาชิกสะสมแต้มที่เป็นเครื่องบ่งชี้ความสนใจต่อแบรนด์ ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยวางแผนกลยุทธ์การตลาด การปรับปรุงรูปแบบแคมเปญและโปรโมชั่นในอนาคต ไปจนถึงการใช้ทรัพยากรที่มีทั้งหมดในมือให้มีประสิทธิภาพ 

ณัฐพลยกตัวอย่างแอพพลิเคชั่นช็อปปิ้งออนไลน์เจ้าหนึ่งที่ตั้งระบบให้ตอบสนองพฤติกรรมของลูกค้า เช่นลูกค้าคนหนึ่งเข้าไปดูสินค้าครีมทาผิวแต่ยังไม่ได้กดซื้อ คล้อยหลังจากพับหน้าจอเพียงไม่กี่นาที แอพพลิเคชั่นก็ส่งข้อความโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดใจลูกค้าให้ซื้อครีมดังกล่าว หรือในกรณีของ duolingo แอปพลิเคชั่นสอนภาษา ที่ตั้งข้อความนำเสนอสิทธิพิเศษให้แก่ผู้เรียนทันทีที่ปลดล็อกบทเรียนเลเวลใหม่แบบอัตโนมัติ 

ทว่าการทำ Marketing Automation ก็มีข้อควรระวังเช่นกัน ณัฐพลยกตัวอย่างกรณีที่มีการทำ marketing automation แต่ไปได้ไม่สุดซึ่งตัวเองประสบ นั่นคือเหตุการณ์หลังจากที่ตนเองสมัครประกันรถยนต์ไฟฟ้า แต่บริษัทประกันที่ทำด้วยกับส่ง sms เชิญชวนเป็นบัตรเติมน้ำมันมาแทน ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นมากๆ ในกลยุทธ์ personalized marketing คือผู้ประกอบการจำเป็นต้องรู้ว่าฐานลูกค้าของเราเป็นใคร พฤติกรรมการบริโภคของลูกค้าเป็นอย่างไร โดยเฉพาะการแข่งขันในยุคนี้ที่เป็นแบบเรียลไทม์ ยิ่งผู้ประกอบการมอบความเป็น ‘คนพิเศษ’ ให้กับลูกค้าได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้เปรียบในการสร้าง brand loyalty

• personalized marketing คือการทำงานที่ไม่มีวันจบ

การทำ personalized marketing คืองานที่ไม่มีวันจบ หลายครั้งผู้บริหารหรือเจ้าของแบรนด์มักจะคิดว่ามีเครื่องมือช่วยแล้วจะจบ แต่การทำ personalized marketing จำเเป็นต้องทำแล้ว ทำซ้ำ ทำอีก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ segment หรือประเภทลูกค้าที่ดีที่สุด อาจจะมี 100 segment จนถึง 1,000 segment”  ณัฐพลกล่าวถึง key takeaway ที่สำคัญที่สุดในการทำ personalized marketing

การทำ personalized marketing จึงเป็นเหมือนการทำธุรกิจที่ต้องมีการอัพเกรดแบรนด์เป็นเวอชั่นต่างๆ ที่ดีขึ้น ซึ่งไม่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียวหรือปล่อยให้ระบบจัดการด้วยตัวเอง จำเป็นจะต้องมีการจัดการหลังบ้านร่วมกับทีมอย่างเป็นระบบเสมือน ‘funnel’ (marketing funnel หรือการวางแผนข้อมูลทางการตลาดเพื่อให้เข้าใจลูกค้า) ในแต่ละจุด ที่เชื่อมโยงสอดประสานข้อมูลของลูกค้าที่เข้ามาจากแต่ละแพลตฟอร์มได้เป็นระบบระเบียบ และการเลือกใช้เครื่องมือ cdp ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญ โดยควรเลือกผู้ให้บริการที่ตอบโจทย์การทำงานและเข้าใจ ‘ตัวตน’ ของแบรนด์ให้ได้มากที่สุด

สุดท้ายนี้ Chief Operating Officer บริษัท STEPS Training ได้เน้นย้ำว่า การทำ personalized marketing คือการสื่อสารระหว่างแบรนด์ไปยังลูกค้ารายบุคลลในสเกลใหญ่ ฉะนั้นแบรนด์ต้องมีมากกว่าแค่ ‘business goal’ แต่ต้องมี ‘brand goal’ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่นแบรนด์ที่เชื่อในเรื่องของความยั่งยืน ก็สามารถนำกลยุทธ์ personalized marketing มาใช้งานร่วม สื่อสารให้ลูกค้าเห็นว่าเป้าหมายความยั่งยืนของเราเป็นแบบไหน และทำต่อไปเรื่อยๆ จนกิดเป็นภาพจำ

𝐈’𝐦 𝐝𝐨𝐧𝐮𝐭? ร้านโดนัทญี่ปุ่น ที่คนต่อคิวยาวจนขายเกลี้ยงทุกวันและกำลังขยายไปอเมริกา

คนชอบกินขนมรูปทรงกลมๆ อย่างโดนัทและเคยไปโตเกียวและฟุกุโอกะ อาจเคยประสบชะตากรรมเดียวกัน นั่นคือตั้งใจจะไปซื้อโดนัทที่ร้าน 𝐈’𝐦 𝐝𝐨𝐧𝐮𝐭? แต่ก็ต้องเผชิญกับสองสาเหตุที่ทำให้ไม่ได้กิน หนึ่ง–คนต่อคิวยาวเกินไป และสอง–ทุกชิ้นขายหมดแล้วหลังร้านเปิดเพียงไม่กี่ชั่วโมง

ไม่ใช่เพียงแค่สาขาใดสาขาหนึ่ง แต่หากใครได้ตามอินสตาแกรมของ 𝐈’𝐦 𝐝𝐨𝐧𝐮𝐭? ก็น่าจะเคยเห็นสตอรีของเพจร้าน ที่ขึ้นแจ้งเตือนทุกวันเพียงช่วงเวลาบ่ายว่า ‘โดนัทขายหมดแล้ว’ ทั้ง 5 สาขา คือ นากาเมกุโระ, ฮาราจูกุ, โอโมเตะซันโด, ชิบุย่า และฟุกุโอกะ บ่งบอกถึงกระแสความนิยมของผู้คนที่มีต่อโดนัทสัญชาติญี่ปุ่นของร้าน 𝐈’𝐦 𝐝𝐨𝐧𝐮𝐭? ได้เป็นอย่างดี

ว่ากันว่าโดนัทได้เริ่มแพร่หลายไปทั่วญี่ปุ่น หลังจากที่ร้านโดนัทรายใหญ่ของสหรัฐฯ เข้ามาเปิดกิจการในช่วงทศวรรษ 1970 และได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา กระทั่งในช่วงทศวรรษ 2000 แบรนด์โดนัทเก่าแก่ของสหรัฐฯ อีกแบรนด์หนึ่งก็เข้ามาตีตลาดในญี่ปุ่น พร้อมกับกระแสความนิยมของโดนัทที่มีเนื้อสัมผัสเหนียวนุ่ม 

คาซึมิ มิโซโรกิ (Kazumi Mizorogi) นักวาดภาพประกอบผู้แต่งหนังสือ ‘Donatsu no Tabi’ (การเดินทางของโดนัท) โดยสำนักพิมพ์ Graphic-sha ซึ่งเป็นผู้ชื่นชอบโดนัท เคยกล่าวว่า “โดนัทเป็นของว่างที่ทำได้ง่าย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้คนจำนวนมากขึ้นหันมากินโดนัทที่ทั้งง่ายและสะดวกกินคู่กับกาแฟ  รวมถึงจำนวนร้านโดนัทก็เพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่แค่จากร้านค้าที่เป็นเชนเท่านั้น” 

ที่สำคัญ โดนัทกำลังได้รับความนิยมอีกครั้ง ซึ่งนับเป็นกระแสนิยมครั้งที่ 5 นับตั้งแต่ขนมทรงกลมชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 ร้านค้ามากมายต่างเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อสัมผัสและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คน

และหนึ่งในร้านโดนัทที่ครองใจผู้คนจำนวนมากนั้น คือ 𝐈’𝐦 𝐝𝐨𝐧𝐮𝐭? ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2022 ก่อนกลายเป็นกระแสนิยมในวงกว้าง คอลัมน์ Biztory วันนี้จึงอยากพาผู้อ่านไปรู้จักกับแบรนด์โดนัทสัญชาติญี่ปุ่นแบรนด์นี้ ที่มาแรงจนคนรอต่อคิวยาวเหยียดก่อนเปิดร้านและขายเกลี้ยงทุกวัน ว่าเบื้องหลังความคลั่งไคล้นี้เป็นยังไง

ก่อนจะนัท

ผู้ที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ของ 𝐈’𝐦 𝐝𝐨𝐧𝐮𝐭? คือเรียวตะ ฮิราโกะ (Ryouta Hirako)

เขาคือเจ้าของร้านเบเกอรีชื่อดังในฟุกุโอกะอย่าง Amam Dacotan ที่ว่ากันว่า เป็นร้านต้นกำเนิดความฮิตของ Maritozzo ขนมสัญชาติอิตาลีที่มีลักษณะเป็นขนมปังผ่าครึ่งสอดไส้ครีมสดเนื้อเนียนตรงกลาง ในช่วงที่กระแสมาริโตซโซกำลังมาแรงในญี่ปุ่น

หลังจากที่ขนมสอดไส้ครีมขายดี Amam Dacotan ก็ได้พัฒนาสูตรต่อเป็นไส้ต่างๆ ทั้งคาวและหวาน เช่น ผลไม้สดหลากชนิด มัทฉะ โกโก้เข้มข้น งาดำ มะเขือเทศ ทูน่ากับผักย่าง แฮมและไข่ และอื่นๆ ที่มีหน้าตาสวยงามน่ากิน รวมถึงเมนูที่ได้รับความนิยมอย่าง ‘Dacotan Burger’ ซึ่งอัดแน่นไปด้วยกะหล่ำปลีม่วงและไส้กรอกโฮมเมด จนเกิดกระแสตอบรับที่ดีไปทั่วญี่ปุ่น รวมถึงเมนูอื่นๆ เช่น บาแก็ตเมนไทโกะเปเปอโรนชิโน, มาริโทซโซพิสตาชิโอ และฮันนี่โทสต์ที่โรยหน้าด้วยผลไม้ตามฤดูกาล

เมื่อเริ่มได้รับความนิยม Amam Dacotan จึงขยายสาขาสู่โตเกียวและคันไซ กับเอกลักษณ์ของร้านแต่ละสาขาที่ออกแบบให้มีความผสมผสานระหว่างหินและไม้ ดูดิบแต่ทว่าอบอุ่น พร้อมกับเชลฟ์ที่วางขนมปังอบสดใหม่ละลานตากว่า 140 เมนูทุกวัน

Amam Dacotan จึงกลายเป็นร้านยอดนิยมของคนรักขนมปังและขนมอบแบบดั้งเดิม สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของฮิราโกะ ที่มีต่อคุณภาพ ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรมในการอบขนม

และแล้วในเดือนมีนาคม 2022 ร้าน 𝐈’𝐦 𝐝𝐨𝐧𝐮𝐭? ร้านโดนัทที่ต่อยอดมาจากความชื่นชอบขนมอบของฮิราโกะจึงเปิดสาขาแรกที่โตเกียว โดยยึดพื้นที่ร้านกาแฟเก่าที่อยู่ใต้รางรถไฟใกล้กับสถานีนากาเมกุโระ หลังจากนั้นเป็นต้นมา ที่นี่ค่อยๆ กลายเป็นร้านโดนัทที่มีคนรู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ ในญี่ปุ่น เทียบเคียงกับร้านดังอย่าง Mister Donut และ Krispy Kreme เลยทีเดียว

𝐈’𝐦 𝐝𝐨𝐧𝐮𝐭?

ร้าน 𝐈’𝐦 𝐝𝐨𝐧𝐮𝐭? ได้รับความสนใจอย่างรวดเร็วด้วยโดนัทที่เรียกว่า นามะ หรือ Nama donut (生ドーナツ) หรือโดนัทสด ที่ไม่เหมือนใคร ทำขึ้นโดยใช้แป้งญี่ปุ่นผสมพิเศษและใส่ส่วนผสม เช่น ฟักทองคาโบฉะ ทำให้มีรสชาติเบาและเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงการบ่มเป็นเวลานานที่อุณหภูมิต่ำ จากนั้นทอดอย่างรวดเร็วที่อุณหภูมิสูงส่งผลให้ได้เนื้อสัมผัสใหม่ที่เคี้ยวหนึบคล้ายโมจิ แต่ก็นุ่มฟูและละลายในปาก 

เมื่อผู้คนได้ลิ้มลองโดนัทของ 𝐈’𝐦 𝐝𝐨𝐧𝐮𝐭? จึงเกิดความสนใจและประหลาดใจ เนื่องจากรสชาติไม่เหมือนโดนัทแบบดั้งเดิม ถือเป็นสิ่งใหม่ที่กลายเป็นกระแสเพิ่มมากขึ้น และนอกจากสัมผัสของเนื้อโดนัทที่เป็นเอกลักษณ์ รสชาติและหน้าตาของโดนัทก็เป็นสิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้กัน 

รวมกับชื่อ 𝐈’𝐦 𝐝𝐨𝐧𝐮𝐭? ที่ค่อนข้างแปลก แหวกแนว ฟังแล้วเกิดความตื่นเต้นและประหลาดใจ ทำให้ชื่อแบรนด์เป็นที่จดจำ และเหมาะกับโซเชียลมีเดียอย่างมาก ซึ่งสะท้อนความคิดสร้างสรรค์ ความสนุกสนาน และความท้าทายของฮิราโกะที่มีต่อขนมกลมๆ อย่างโดนัทเป็นอย่างดี

เหล่านี้จึงทำให้ความนิยมของ 𝐈’𝐦 𝐝𝐨𝐧𝐮𝐭? ฉุดไม่อยู่ ร้านเติบโตอย่างรวดเร็วจนต้องขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ ในโตเกียว และเมืองใหญ่อื่น เพิ่มเป็น 5 สาขา โดยอยู่ในโตเกียว 4 สาขา ได้แก่ นากาเมกุโระ, ชิบุยะ, ฮาราจูกุ และโอโมเตะซันโด และต่างจังหวัด 1 แห่ง ที่ฟุกุโอกะ ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี

มาตามนัท

อย่างที่บอกไปว่า โดนัทของ 𝐈’𝐦 𝐝𝐨𝐧𝐮𝐭? มีเอกลักษณ์ หลากหลาย และสร้างสรรค์มาก โดยบางสาขามีให้เลือกกว่า 80 ชนิด ตัวโดนัททำจากแป้งหลายประเภท รวมถึงแบบบริยอช และแป้งที่มีเนื้อสัมผัสคล้ายเค้ก ทั้งโดนัทหวานแบบคลาสสิก เช่น ช็อกโกแลต เลมอน พิสตาชิโอ ครีมชีสราสป์เบอร์รี หรือรสชาติตามฤดูกาลของญี่ปุ่น เช่น ยูซุ มัทฉะ และซากุระ

ฝั่งโดนัทคาวก็ไม่ธรรมดา เช่น โดนัทพาร์มาแฮมซึ่งทำจากมะกอกสับเสิร์ฟพร้อมพาร์มาแฮม หรือ ‘I’m Burger’ เบอร์เกอร์เนื้อฉ่ำที่ประกบด้วยขนมปังโดนัทที่ทำจากแป้งสเปลต์ (Spelt) นอกจากนี้ยังมีโดนัททรัฟเฟิลสุดหรูที่มีส่วนผสมของทรัฟเฟิลหอมๆ ผสมอยู่ในแป้งอีกด้วย

ความน่าสนใจของ 𝐈’𝐦 𝐝𝐨𝐧𝐮𝐭? ไม่ใช่แค่เมนู เพราะการออกแบบตกแต่งภายในและประเภทของโดนัทจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสาขา 

ร้านสาขาแรกที่นากาเมกุโระ ตั้งอยู่ด้านหน้าสถานีรถไฟ สาขาชิบุยะ จะมีเอกลักษณ์คือโดนัทที่วางเรียงรายให้เลือกหลากหลาย สาขาฮาราจูกุเป็นสาขาเดียวที่จำหน่ายโดนัททอดสดใหม่ สาขาโอโมเตะซันโด เป็นร้านแรกที่อยู่ในอาคารเดี่ยว และสาขาฟุกุโอกะ ซึ่งเป็นสาขาเดียวที่อยู่นอกโตเกียว ก็จะมีผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะอีกด้วย แต่ทุกสาขายังคงรักษาขนบการนำเสนอโดนัททั้งแบบหวานและคาวที่หลากหลายเหมือนกัน

ไม่ใช่แค่เรื่องของหน้าตาและความอร่อย ฮิโรโกะยังคิดถึงเรื่องของความยั่งยืนด้วย โดย 𝐈’𝐦 𝐝𝐨𝐧𝐮𝐭? สาขาชิบุยะจะมีเมนู Sustainable Donut หรือ ‘โดนัทแห่งความยั่งยืน’ โดยจะขายโดนัทที่มี ‘รูปทรงไม่สมบูรณ์แบบ’ เพื่อลดขยะ และโดนัทยอดนิยมในหมวดนี้คือ Donut Aman Orange ซึ่งใช้โดนัทที่บี้หรือแบนแล้วราดด้วยเนยน้ำผึ้งรสเข้มข้นและไซรัปส้มหวาน

ความสนุกและหลากหลายเหล่านี้ทำให้คนที่ไปต่อคิวซื้อโดนัทราวกับได้ตามหาขุมทรัพย์ เพราะมีรสชาติมากมายให้เลือกตามใจชอบ และยังสามารถแวะเวียนไปลองรสชาติใหม่ๆ ได้อีก โดยราคาเริ่มต้นเพียงชิ้นละ 240 เยนเท่านั้น 

นัทกันที่อเมริกา

ภายหลังความสำเร็จของ 𝐈’𝐦 𝐝𝐨𝐧𝐮𝐭? ในญี่ปุ่น ในปี 2024 ฮิโรโกะ ประกาศแผนเปิดสาขาต่างประเทศแห่งแรกในไทม์สแควร์ นครนิวยอร์ก ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการนำเสนอโดนัทสูตรพิเศษจากญี่ปุ่นให้คนทั่วโลกได้ลิ้มลอง

ในแผนการครั้งนี้ 𝐈’𝐦 𝐝𝐨𝐧𝐮𝐭? ได้เซ็นสัญญาเช่าพื้นที่ 5,725 ตารางฟุตที่ 154 West 45th Street ข้าง Sixth Avenue ซึ่งค่าเช่าพื้นที่ขายปลีกในไทม์สแควร์อยู่ที่ 1,073 ดอลลาร์ (ประมาณ 36,650 บาท) ต่อตารางฟุตในไตรมาสแรกของปี 2024 ตามรายงานของ CBRE

“ผมคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดในการดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกให้มาลองชิมโดนัทของผมก็คือการเปิดร้านที่นี่” ฮิโรโกะให้สัมภาษณ์ไว้ และเสริมว่า นิวยอร์กเป็นเมืองที่ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกมารวมตัวกัน และเป็นเมืองแห่งนักชิมที่มีรสนิยมเฉพาะตัวด้วย

อย่างไรก็ตาม แผนการเปิดตัว 𝐈’𝐦 𝐝𝐨𝐧𝐮𝐭? ในนิวยอร์กยังคงเป็นเพียง Coming Soon เท่านั้น เพราะกำหนดการแรกคือช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2024 ต้องล่าช้าออกไป และปัจจุบันนี้ทางเพจออฟฟิเชียลยังคงเปิดรับสมัครพนักงานในตำแหน่งต่างๆ อยู่

แม้จะยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องเมนู แต่ในประกาศก่อนหน้านี้ 𝐈’𝐦 𝐝𝐨𝐧𝐮𝐭? ระบุว่าจะเลือกใช้วัตถุดิบธรรมชาติคุณภาพสูงในการทำโดนัทเท่านั้น แป้งและท็อปปิ้งพิเศษจะถูกทำด้วยมืออย่างพิถีพิถันทุกวัน ทำให้โดนัทมีคุณภาพระดับพรีเมียมและน่าจดจำ ในขณะที่ส่วนผสมเพิ่มเติมและรสชาติจะถูกตัดสินใจเลือกจาก ‘แหล่งที่มาและความพร้อมจำหน่าย’

แม้ก้าวสู่ดินแดนอเมริกาจะยังมาไม่ถึง แต่อย่างน้อยก็ทำให้เห็นถึงความตั้งใจ ความพิถีพิถัน ความสร้างสรรค์ และความหลงใหล ของแบรนด์ 𝐈’𝐦 𝐝𝐨𝐧𝐮𝐭? ได้เป็นอย่างดี

สิ่งเหล่านี้เองคือเหตุผลที่ทำให้ 𝐈’𝐦 𝐝𝐨𝐧𝐮𝐭? ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีในการครองใจคนรักโดนัท และกลายเป็นร้านโดนัทคิวยาวที่ใครๆ ต่างเต็มใจต่อแถวรอ เพื่อจะได้เข้าไปลิ้มลองโดนัทสัญชาติญี่ปุ่นแสนอร่อยนี้สักครั้ง

อ้างอิงข้อมูลจาก:

peaceput.com/shops/im-donut
amamdacotan.com/pages/brand/https://amamdacotan.com/pages/bran
yjc.tokyo/tokyo-guide-amam-dacotan
medium.com/@knotbakeryca/amam-dacotan-unveiling-tokyos-bakery-gem-in-omotesando-5ac8bc593ee0
sumifuku.net/trying-tokyos-most-viral-doughnut-im-donut
japannews.yomiuri.co.jp/features/delicious/20231008-140728
timeout.com/tokyo/shopping/im-donut
commercialobserver.com/2024/05/im-donut-154-west-54th-street
ny.eater.com/2024/5/1/24145225/im-donut-tokyo-doughnut-chain-opening-new-york
foodandwine.com/im-donut-new-york-8645644
ny.eater.com/2024/5/1/24145225/im-donut-tokyo-doughnut-chain-opening-new-york

หลักธรรมเสื่อของ Tha’Wai แบรนด์ที่เปลี่ยนวัฒนธรรมการถวายเสื่อวัดเป็นซอฟต์พาวเวอร์ไทย

Tha’Wai (ถวาย) คือแบรนด์เสื่อที่เกิดจากความตั้งใจอยากเปลี่ยนวัฒนธรรมการถวายเสื่อวัดเป็นโอกาสทางธุรกิจ เอกลักษณ์ของแบรนด์คือการสร้างเสน่ห์ให้วัดวาอารามมีความสง่าและสวยงามผ่านลายไทยประยุกต์จากแรงบันดาลใจในพุทธศิลป์ เพื่อนำเสื่อไปใช้ในศาสนกิจอย่างการปูเสื่อรองรับรับญาติโยมที่ศาลาวัดและพระอุโบสถ ปูรองอาสนสงฆ์ ปูรองรับแขกเหรื่อสำหรับงานทำบุญบ้าน 

หากคนทั่วไปอยากตกแต่งบ้าน ศาสนสถานอย่างวัดซึ่งมีผู้คนเข้า-ออกเป็นประจำก็ต้องการประดับประดาพื้นที่ให้มีชีวิตชีวาเช่นกัน และการออกแบบลายเสื่อด้วยศิลปะไทยร่วมสมัยก็ช่วยสานต่อวัฒนธรรมการถวายเสื่อวัดให้รุ่งเรืองต่อไปได้ นี่คือที่มาของความเชื่อที่ทำให้ตั้งชื่อแบรนด์อย่างประณีตว่า ‘ถวาย’  

เต้น–สิทธา ศักดาสุคนธ์ ทายาทรุ่นที่ 3 โรงงานผลิตเสื่อย่งเซ้งจั่น เล่าให้ฟังว่าความจริงแล้วธุรกิจครอบครัวผลิตเสื่อวัดมาเนิ่นนานแล้วตั้งแต่รุ่นที่ 2 ของคุณพ่อ แถมยังเป็นโรงงานที่เริ่มทำเสื่อรีไซเคิลราว 40 ปีที่แล้วตั้งแต่วันที่เทรนด์ความยั่งยืนยังไม่เป็นที่รู้จัก แต่กว่าธุรกิจที่คุ้นชินกับการขายเสื่อผ่านยี่ปั๊วจะเริ่มสร้างแบรนด์เสื่อวัดของตัวเองก็เข้าสู่ยุคของทายาทรุ่นที่ 3 ที่มีสองพี่น้องอย่างเต้นและต้น–เจษฎาศักดาสุคนธ์ ช่วยกันบริหารธุรกิจ

ทุกวันนี้แบรนด์ถวายมีอายุ 3 ปีกว่าแล้วและนับเป็นแบรนด์เสื่อพลาสติกเจ้าแรกๆ ที่นำดีไซน์มาเพิ่มมูลค่าให้เสื่อ จากตลาดเสื่อพลาสติกยุคก่อนที่ดีไซน์แต่ละเจ้าในไทยไม่ค่อยแตกต่างกันมากนักและนิยมผลิตด้วยดีไซน์สำเร็จรูปจากแหล่งเดียวกันทำให้เกิดสงครามราคาที่เน้นผลิตราคาถูก แบรนด์ถวายได้สร้าง 3 จุดแตกต่างคือดีไซน์ โทนสี และคุณภาพที่ไม่เหมือนใคร

แถมยังแทบไม่มีแบรนด์ไหนในไทยที่ลุกขึ้นมาสร้างแบรนด์เสื่อเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่อยากถวายวัดอย่างจริงจังมาก่อน สินค้าของแบรนด์ Tha’Wai จึงไม่ใช่แค่เสื่อ แต่เป็นสินค้าวัฒนธรรมที่ขายซอฟต์พาวเวอร์เพื่อดึงดูดให้ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติอยากแวะเวียนมาที่วัด 

Life Wisdom
Art of the First Mover

ต้นทุนแห่งความสำเร็จของโรงงานย่งเซ้งจั่นในยุคบุกเบิกคือการกล้าเสี่ยงก้าวมาเป็นผู้ผลิตเสื่อพลาสติกเจ้าแรกๆ ของตลาด ทำให้กลายเป็นโรงงานเจ้าใหญ่ที่ผลิตเสื่อพลาสติกสำหรับกระจายขายให้ยี่ปั๊วทั่วไทย

ย้อนกลับไปราว 60 ปีที่แล้ว นายฉัตร แซ่เตียว อากงของเต้นเป็นผู้ก่อตั้งโรงงานย่งเซ้งจั่นแถวกระทุ่มแบนซึ่งเป็นชุมชนที่มีพื้นที่เต็มไปด้วยต้นกก ทำให้อากงเกิดปิ๊งไอเดียนำวัสดุอย่างกกมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนคือเสื่อกก  

ธุรกิจเริ่มต้นจากการจ้างคนงานหลักร้อยคน ขายดิบขายดีและได้สนับสนุนการสร้างอาชีพให้ผู้คนที่มีทักษะทางงานฝีมือในยุคนั้น หากใครไม่มีงานทำก็จะเดินทางมาที่บ้านอากงเพื่อขอทอเสื่อ แต่ด้วยข้อจำกัดในการทำงานฝีมือที่ต้องใช้เวลาทำให้ในยุคนั้นผลิตเสื่อได้ไม่กี่ผืนต่อวัน  

ในยุคของทายาทรุ่นที่ 2 หรือรุ่นคุณพ่อของเต้นคือจุดเปลี่ยนที่ธุรกิจก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซนครั้ง

ใหญ่ คือการเป็น first mover ที่กล้าลงทุนสร้างโรงงานเสื่อพลาสติกทั้งที่ตอนนั้นยังไม่แน่ใจว่าธุรกิจนี้จะไปรอดไหมและมีความเสี่ยงเจ๊งสูงหากคาดการณ์ผิด 

“ช่วงนั้นมีเพื่อนชวนคุณพ่อไปดูงานแฟร์ที่ไต้หวัน ไปดูเครื่องจักรที่เป็นนวัตกรรมผลิตเสื่อทอที่ใช้วัสดุจากพลาสติก ซึ่งในเมืองไทยตอนนั้นยังไม่มีใครทำเลย อย่างเก่งก็ไม่เกินหนึ่งเจ้า ประเทศเพื่อนบ้านเราก็ไม่มีใครทำด้วย วันนั้นหลังจากพ่อไปดูงานที่ต่างประเทศมาแล้วก็ลงทุนซื้อเครื่องจักรกลับมาลองเทสต์ที่ไทยประมาณ 10 เครื่อง แต่ขายไม่ได้เลย” เขาย้อนเล่าพลางหัวเราะ

เหตุผลที่ขายไม่ออกเพราะในวันนั้นคนไทยยังไม่รู้จักเสื่อพลาสติกและเคยชินกับการใช้เสื่อกกมานานนับสิบปี Plastic Mat ถือเป็นนวัตกรรมใหม่มากที่ยังไม่มีใครแนะนำสินค้าประเภทนี้สู่ตลาด

เต้นบอกว่าช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นวิกฤตที่ทำให้สมาชิกครอบครัวเครียดเพราะลงทุนไปแล้วโดยไม่ได้มีเงินทุนสำรองเยอะมากนักในตอนนั้น แต่ก็สามารถแก้เกมพาธุรกิจรอดได้ในเวลาต่อมาด้วยการตามหาคอนเนกชั่นที่ต่อลมหายใจให้เสื่อขายดีแบบเทน้ำเทท่า

“คุนพ่อตะลอนขายเสื่อไปทั่วประเทศ จนไปจบที่นครสวรรค์ เจอคนช่วยซื้อ เป็นเถ้าแก่ยี่ปั๊วที่ซื้อไปทำตลาดในจังหวัดนครสวรรค์ก่อนจนขายดี ด้วยความที่การตลาดยุคนั้นแทบไม่มีเสื่อพลาสติกเลยทำให้เกิดข้อแตกต่าง พอมีคนช่วยขายก็ทำให้ขายดีจากการเป็นผลิตภัณฑ์ราคาถูก มีสีสันและลายหลากหลาย ทั้งลายตัด ลายดอกไม้ ลายกราฟิก ซึ่งก็เป็นความแปลกใหม่ในสมัยนั้น” 

และนี่คือจุดเริ่มต้นการแจ้งเกิดของเสื่อพลาสติกจากโรงงานย่งเซ้งจั่นที่มีโมเดลธุรกิจหลักคือรับผลิตแบบ OEM ภายใต้ตราสินค้าให้ยี่ปั๊วตามชายแดนและหัวเมืองจังหวัดต่างๆ ดังที่หลายคนน่าจะเคยเห็นในชื่อแบรนด์ง่ายๆ ตามประสาชื่อแบรนด์สไตล์คนโบราณ เช่น เสื่อตราทานตะวัน ตราสิงโต ตราม้า ฯลฯ

นอกจากการขายเสื่อในยุคนั้นจะขายผ่านยี่ปั๊วไปทั่วทุกภาค ยังส่งออกเสื่อไปประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่มีโรงงานทอเสื่ออย่างกัมพูชา เมียนมา มาเลเซีย ลาว ด้วย โดยลายของเสื่อจะแตกต่างออกไปตามภูมิภาคที่อิงจากวัฒนธรรมและความชอบของคนในท้องถิ่นนั้น เช่น คนภาคเหนือจะชอบเสื่อลายดอกไม้ ส่วนภาคอีสานจะมีลายกราฟิกที่ดูทันสมัย

“ยุคนั้นเราจะทำลายที่สั่งจากต่างประเทศ จะไม่ได้มีการคิดดีไซน์เอง เขาผลิตแบบไหนเราก็ขายแบบนั้นเลย ดังนั้น key success ของธุรกิจในตอนนั้นจะไม่ใช่การทำแบรนดิ้งหรือเน้นที่คุณภาพมากเท่าไหร่ แต่เป็นการสร้างสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านยี่ปั๊วต่างๆ ที่จะช่วยผลักดันสินค้าของเราไปในตลาด” 

หลักธรรมแห่งศรัทธา  

‘ธรมมะคือธรรมชาติ’ คือหลักธรรมที่ยอมรับความเป็นจริงของโลกตามเหตุและปัจจัย ซึ่งตามวงจรธุรกิจแล้ว เมื่อมีขาขึ้นก็ต้องมีขาลง ธุรกิจเก่าแก่ไม่สามารถกินบุญเก่าจากรุ่นอากงได้ตลอดและโจทย์หลักที่ทายาทรุ่นที่ 3 อย่างเต้นต้องเผชิญคือการพาธุรกิจให้เติบโตไปตลอดรอดฝั่งในยุคสมัยที่วัฒนธรรมการใช้เสื่อเปลี่ยนไป 

“ความท้าทายหลักคือการล้างอาถรรพ์ของทายาทเจนฯ 3 ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเจนฯ ที่ทำลาย ผมมารับช่วงต่อในช่วงที่ธุรกิจแย่ที่สุดแล้วตั้งแต่คุณพ่อคุณแม่เปิดธุรกิจมา สมัยก่อนมีคนงานเกือบ 200 คน ทุกวันนี้เหลืออยู่ประมาณ 50 คนเอง อยู่ในช่วงที่ยอดขายตกมากๆ

“ทั้งนี้เพราะมีคู่แข่งเยอะ ตลาดเสื่อเป็น red ocean สุดๆ และสินค้าทดแทนที่ราคาถูกมีเยอะขึ้น จากสมัยก่อนคนไทยต่างจังหวัดนิยมนอนเสื่อ แต่สมัยนี้นอนฟูกสบายกว่า โจทย์คือแล้วเราจะปรับตัวยังไงให้สินค้าของเรามีความแตกต่างและกลับมาอยู่ในใจคนไทย เสื่อจะอยู่ในส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยต่อไปได้ยังไง” หลักธรรมในธุรกิจข้อแรกที่ครอบครัวสอนเต้นในการบริหารธุรกิจและรับมือกับความเสี่ยงคืออย่าทำตามกระแส แต่ให้โฟกัสในสิ่งที่ตัวเราทำได้ดีที่สุด

“สมัยก่อนในยุคของคุณพ่อคุณแม่มีเสื่อชนิดหนึ่งที่คนฮิตและเริ่มเป็นเทรนด์คือเสื่อยางพารา ทุกโรงงานก็ซื้อเครื่องผลิตมาเต็มไปหมดเลย แต่สุดท้ายก็แข่งกันตัดราคาจนแทบไม่เหลืออะไรเลย โชคดีที่เราไม่ได้ตามกระแสในช่วงนั้น เรายังโฟกัสในการควบคุมคุณภาพของเสื่อเราให้มีมาตรฐานที่สูงกว่าเสื่อทั่วๆ ไป ถ้าเราตามคนอื่นเรื่อยๆ เราอาจจะรักษาจุดยืนของโรงงานเราไว้ไม่ได้” 

ความเชื่อมั่นว่าเสื่อพลาสติกยังขายได้ทำให้เต้นมองหาโอกาสใหม่ในตลาดเพื่อแก้วิกฤตและสังเกตเห็นวัฒนธรรมการถวายเสื่อวัดที่มีความสำคัญในเชิงบุญกุศลและวัฒนธรรม 

“ตามความเชื่อทางศาสนา อานิสงส์ของการถวายเครื่องปูลาดแก่วัดไม่ว่าจะเป็นอาสน์สงฆ์หรือเสื่อวัดเปรียบเสมือนการปูทางสู่ความสุขสบายและสู่ความมั่นคง ทุกวัดต้องใช้เสื่อรองพื้นเพื่อรองรับญาติธรรมที่มานั่งสมาธิ ฟังเทศน์ ฟังธรรม สวดมนต์ที่พื้นที่แห่งธรรม ซึ่งตามหลักอานิสงส์แล้วจะช่วยให้ผู้ที่ถวายเสื่อเป็นประจำ เข้าถึงสมาธิได้ง่ายขึ้นเวลาปฏิบัติธรรมด้วย

“จะสังเกตเห็นว่ากลุ่มผู้ที่ต้องการถวายของแก่วัดเหล่านี้มักจะพิถีพิถันในการเลือกสินค้าถวายวัด อยากถวายสิ่งที่เขารู้สึกภูมิใจ ของที่มีความประณีต คุณภาพสูงหรือของที่มีความหมายและมีคุณค่า ไม่ใช่เพียงแค่ถวายแล้วจบๆ ไป การถวายเสื่อเลยเปรียบเสมือนการปูพื้นที่แห่งศรัทธาของคน ไม่ว่าจะในทุกก้าวที่พระเดิน ทุกเสียงสวดมนต์ ทุกการกราบเสื่อบนพื้นที่แห่งธรรมหรือพื้นที่แห่งศรัทธา ส่วนกลุ่มผู้ใช้งานที่วัดคือพระก็จะให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพ อยากสั่งเสื่อมาแล้วใช้ได้นานๆ” 

วัฒนธรรมการถวายเสื่อวัดของคนไทยนิยมถวายเสื่อในวันพระใหญ่ อย่างวันมาฆบูชา ช่วงออกพรรษา เข้าพรรษา ทอดผ้าป่า งานบวช หรืองานถวายสังฆทาน ซึ่งเทศกาลเหล่านี้จะมีเยอะช่วงสิ้นปี

อินไซต์การถวายเสื่อวัดเหล่านี้ทำให้เต้นอยากเปลี่ยนวัฒนธรรมการถวายเสื่อทางศาสนาให้เป็นโอกาสทางธุรกิจ ไม่ใช่แค่เพื่อสร้างกำไรแต่เพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมการถวายที่สร้างบุญกุศลอันดีไว้

ถึงตรงนี้นอกจากการถวายเสื่อวัดจะเป็นการทำนุบำรุงศาสนสถานตามความเชื่อดั้งเดิมแล้ว อานิสงส์จากการผลิตเสื่อรักษ์โลกจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิลตั้งแต่รุ่นอากงของโรงงานย่งเซ้งจั่นก็ยิ่งทวีคูณผลบุญให้วัดมีเสื่อรักษ์โลกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมใช้อีกด้วย 

“ผมคิดว่าการถวายเสื่อรักษ์โลกให้วัดก็เปรียบเหมือนการเคารพธรรมชาติ พลาสติกรีไซเคิลช่วยโลกลดขยะซึ่งเป็นการให้ความเคารพต่อธรรมชาติ และธรรมชาติกับธรรมะก็คือสิ่งเดียวกันซึ่งเป็นนัยหนึ่งของพุทธศาสนา เสื่อแบรนด์ถวายของเราจึงเปรียบเสมือนการเชิดชูธรรมะด้วย” 

Business Wisdom
ดีไซน์จากพุทธศิลป์และไทยโทน

จากอินไซต์ทางวัฒนธรรมในการถวายเสื่อวัด เต้นจึงเลือกปั้นแบรนด์เสื่อวัดพรีเมียมเพื่อเจาะตลาดใหม่และเพิ่มมูลค่าเสื่อด้วยดีไซน์ นำแรงบันดาลใจจากพุทธศิลป์ในสถาปัตยกรรมวัดและจิตรกรรมฝาผนังมาออกแบบลายเสื่อไทยประยุกต์ลุคโมเดิร์น

หนึ่งในลายยอดนิยมของเสื่อแบรนด์ถวายคือ ลายประจำยาม ซึ่งเป็นลายที่ใช้ตกแต่งเสาวัดโดยมีความเชื่อว่าลายนี้ช่วยขจัดปัดเป่าภัยร้ายและมีพลังปกปักรักษาผู้คนได้ ส่วนอีกลายที่ฮิตไม่แพ้กันคือลายขอนาคจากความเชื่อในพญานาค ตำนานราชาแห่งงูนับพันปีซึ่งเป็นความเชื่อร่วมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งทำให้เกิดการถักทอลายพื้นฐานของผ้าไทยชื่อลายขอนาค ส่วนลายผกาสยามมีที่มาจากการประยุกต์ลายดอกไม้ให้เป็น Floral Siam Monogram ที่มีความร่วมสมัยมากขึ้นจากทีมนักออกแบบของแบรนด์ถวายเอง 

เต้นยังเปลี่ยนกระบวนการผลิตเสื่อโดยเลือกสี Pantone พื้นฐานส่งไปที่โรงงานพลาสติกรีไซเคิลเพื่อผสมเฉดสีใหม่ให้เป็น ‘ไทยโทน’ โทนสีจากอัตลักษณ์ไทยอย่าง สี Indigo จากเบญจรงค์ และสีลิ้นจี่ ซึ่งทำให้เกิดความแปลกใหม่จากแต่เดิมที่สีเสื่อจะมีแค่แม่สีหลักอย่างเหลืองและแดงเท่านั้น  

สำหรับด้านคุณภาพ เต้นเล่าว่าแบรนด์ถวายอยากแก้ pain point ที่เสื่อทั่วไปในตลาดมักแตกและกรอบง่าย โดนแดดไม่นานก็พัง จึงตั้งใจออกแบบให้การถักทอเสื่อมีความแน่นและแข็งแรงกว่าเดิมเพื่อให้ใช้งานได้นาน โดยมีฟังก์ชั่นสำคัญคือความยาวพิเศษของเสื่อที่เหมาะกับการปูในวัด

“จากที่เคยไปปฏิบัติธรรม นอนเสื่อที่วัดแล้วเห็นเสื่อผุ เก่า กรอบ ขาดหมดแล้ว พอจับมาฉีกดูก็พบว่าเสื่อมันบาง ดึงปุ๊บเห็นเป็นเส้นเอ็นข้างในเลย สาเหตุที่คุณภาพเสื่อในตลาดเป็นแบบนี้เพราะแต่ละโรงงานก็พยายามแข่งกันลด cost ตัวเอง แต่เสื่อวัดใช้รับแขกเยอะและใช้ทุกวัน เราจึงอยากทำให้แข็งแรงกว่าเดิมและแข็งแรงกว่าเสื่อที่ใช้ในบ้านทั่วไปด้วย 

“เสื่อแบรนด์ถวายยังเป็นเสื่อวัดที่หน้ากว้างที่สุดในประเทศไทยคือกว้างถึง 180 ซม. เสื่อวัดในตลาดที่เคยเห็นยาวที่สุดก็ราว 120-150 ซม. ซึ่งก็มีน้อยแล้ว การทำผืนใหญ่จะช่วยแก้ pain point เรื่องความลื่น ป้องกันการสะดุดล้มได้ง่าย และยังเป็นเรื่องความสวยงาม ด้วยความที่พื้นที่ในวัดบางแห่งใหญ่มากๆ ถ้าจะมาปูผืนเล็กทีละผืนก็จะใช้เวลาค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าปูผืนใหญ่ก็จะมีรอยต่อน้อยและสวยงามกว่าเดิมด้วย”

ทั้งนี้เต้นเล่าเบื้องหลังว่าความท้าทายของแบรนด์ไม่ใช่การดีไซน์ลายไทยประยุกต์โฉมใหม่ แต่เป็นการเจาะตลาดเสื่อพรีเมียมที่มีความท้าทายโดยเฉพาะช่วงแรกที่สร้างแบรนด์ 

“ความจริงเรายังไม่ได้มีลายเยอะ เราจะออกลายใหม่ประมาณปีละลายเดียว เพราะอยากผ่านการพัฒนาที่กลั่นกรองมาให้ดีที่สุด ความท้าทายหลักจะเป็นเรื่องการสื่อสารกับลูกค้ามากกว่าว่าจะทำยังไงให้คนยอมซื้อเสื่อวัดในราคาแพงกว่าเดิม 2-3 เท่า แลกกับเรื่องคุณภาพและเรื่องดีไซน์” 

Mat Matters  

ความเก๋ในโมเดลธุรกิจที่แบรนด์ถวายสามารถทำให้วัฒนธรรมการถวายเสื่อวัดเข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้นได้คือการเปิดโอกาสให้ลูกค้าสั่งซื้อเสื่อวัดทางออนไลน์แบบพร้อมส่งถึงวัด เลือกได้ตั้งแต่ไซส์เล็ก กลาง ใหญ่ และสามารถส่งได้ภายใน 3-4 วัน 

การหันมาขายออนไลน์แบบนี้ทำให้สามารถเพิ่มช่องทางการขายมากขึ้นทั้งทางเฟซบุ๊กและมาร์เก็ตเพลส รวมถึงแพลตฟอร์มต่างประเทศอย่าง eBay ที่ทำให้เข้าถึงตลาดโลกได้มากขึ้น 

ความภาคภูมิใจของเต้นคือที่ผ่านมามีคนไทยไม่น้อยที่สั่งเสื่อไปถวายวัดไทยในต่างประเทศราว 10 กว่าประเทศ และถึงแม้ที่ผ่านมาสัดส่วนลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สุดจะเป็นกลุ่มเบบี้บูมเมอร์จากต่างจังหวัด แต่แบรนด์ก็พยายามเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ด้วยการสร้างแบรนด์ในช่องทางใหม่อย่าง TikTok เพิ่มขึ้นมาเพื่อให้วัฒนธรรมการถวายเสื่อวัดไม่เป็นเพียงประเพณีเก่าเก็บของคนรุ่นก่อน  

นอกจากแบรนด์ถวาย (Tha‘Wai) จะสร้างขึ้นมาสำหรับถวายวัดแล้ว ทายาทรุ่นที่ 3 อย่างเต้นและต้นยังบริหารความเสี่ยงของธุรกิจด้วยการแตกแบรนด์เสื่ออีกแบรนด์ในชื่อ Mat-er (แมท-เทอร์) ซึ่งที่มาของชื่อแบรนด์คือ Stand for Mat maker สำหรับขายสินค้าหมวดไลฟ์สไตล์จากเสื่อโดยเจาะกลุ่มลูกค้าที่อยากตกแต่งบ้าน

เพราะไม่ได้แค่อยากให้เสื่อสร้างความสง่างามให้วัด แต่อยากสร้างเสน่ห์ให้บ้าน ร้านค้ารีเทล โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ไปจนถึงการผลิตของชำร่วยจากเสื่อให้องค์กรใหญ่และองค์กรการกุศล ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นลูกค้าคนละกลุ่มกับแบรนด์ถวาย 

“เราอยากนำเสื่อไปอยู่ใน modern architecture ต่างๆ และคิดว่าถ้าจะเป็นผู้นำเทรนด์ในการนำเสื่อไปตกแต่งตามสถานที่ต่างๆ เราก็จะหยุดพัฒนาไม่ได้ พอเราอยากสร้างความแตกต่างใหม่ก็จะมีการทำรีเสิร์ชและ R&D ที่จะนำเสื่อเข้าไปใช้ในวัตถุประสงค์ใหม่ๆ ที่เมืองไทยยังไม่เคยมีใครทำ”

ทุกวันนี้เสื่อจากแบรนด์ Mat-er จึงมีสินค้าไลฟ์สไตล์ที่ออกแบบให้เสื่อมีฟังก์ชั่นมากกว่าปูพื้น เช่น วอลเปเปอร์ เก้าอี้ โต๊ะ กระเป๋า ฯลฯ โดยมีลวดลายโมเดิร์นจากแรงบันดาลใจหลากหลายกว่าแบรนด์ถวาย เช่น ลายธรรมชาติและลายกราฟิก

เต้นทิ้งท้ายว่าในอนาคตแบรนด์ถวายก็จะแตกหมวดสินค้าใหม่ให้มีสินค้าไลฟ์สไตล์ของพระมากขึ้นนอกจากเสื่อวัดเช่นกัน เช่น เสื่อธุดงค์ที่พกพาง่ายและมีขนาดเล็ก เสื่อปิกนิกสำหรับผู้ที่อยากพกเสื่อไปปฏิบัติธรรมที่วัด ซึ่งยังจับกลุ่มลูกค้ากลุ่มเดิมที่อยากซื้อถวายให้พระและผู้ที่อยากใช้งานทางศาสนกิจ

แต่ไม่ว่าสินค้าจะจับกลุ่มตลาดไหนและแตกแบรนด์ใหม่ภายใต้แบรนด์ใด สิ่งที่ทายาทโรงงานเสื่ออย่างเต้นให้ความสำคัญในวันนี้คือการสร้างแบรนดิ้ง Made in Thailand ให้แบรนด์เสื่อไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก

“อยากให้ทั้ง Tha‘Wai และ Mat-er นำเสนอความเป็นไทย ดึงศิลปะไทยกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของคนไทยได้ แล้วเผยแพร่ศิลปะไทยนี้ไปในตลาดโลก อยากให้เวลาคนเห็นเสื่อของเราแล้วนึกถึงธงชาติไทยเลยโดยไม่ต้องบอกว่าผลิตที่ไหน”  

Editor’s Note : Wisdom from Conversation
‘ธรรมะคือธรรมชาติ’ แปลว่า ทุกสิ่งเป็นธรรมชาติและล้วนมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ดังเช่นวัฏจักรธรรมชาติของธุรกิจที่ไม่มีสินค้าฮีโร่ใดอยู่ค้างฟ้าได้ตลอดไปและต้องปรับโมเดลธุรกิจตามยุคสมัยตลอดเวลา การดำเนินชีวิตด้วยปัญญาคือการรู้เท่าทันธรรมชาติ ไม่ตื่นตระหนกกับชะตาฟ้าเมื่อธุรกิจถูกดิสรัปต์ และหาทางปรับตัวตามน่านน้ำธุรกิจในวันนี้โดยไม่ทิ้งรากวัฒนธรรมเดิม

ความโมเดิร์นของแบรนด์ Tha'Wai คือการนำลายไทยดั้งเดิมมาประยุกต์บนวัสดุใหม่ โดยไม่จำเป็นต้องคิดค้นลายใหม่ที่มีความเป็นออริจินัล แค่เพียงถักทอเสื่อร่วมสมัยลายใหม่ที่อ้างอิงจากลายเดิมและสืบสานวัฒนธรรมทั้งในแง่ลวดลาย สีสัน ภูมิปัญญาการผลิต วัฒนธรรมทางศาสนา และวิถีชีวิต

หากไม่นิยามว่าธุรกิจกำลังขายแค่สินค้า แต่กำลังขายสินค้าซอฟต์พาวเวอร์ที่ทำให้คนรุ่นใหม่มีไลฟ์สไตล์ที่เข้าถึงวัฒนธรรมได้มากขึ้น ก็อาจเกิดไอเดียนำเสนอภูมิปัญญาและเพิ่มมูลค่าให้แบรนด์ในรูปแบบใหม่ได้ 



‘การ์ตูน มังงะ นิยาย’ ขายดีในงานหนังสือครั้งที่ 53 เจนฯ Z ครองแชมป์นักอ่าน ดันเม็ดเงินสะพัด 420 ล้านบาท

กลิ่นของกองหนังสือที่โชยมา สัมผัสของกระดาษที่คุ้นเคย การได้พบปะกับนักเขียนคนโปรด และโดนนักอ่านจากหลายสำนักพิมพ์คอยป้ายยา ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเสน่ห์ของงานสัปดาห์หนังสือที่หาไม่ได้จากที่ไหน ต่อให้ปัจจุบันจะเป็นยุคที่คนสั่งหนังสือออนไลน์พร้อมโค้ดส่วนลดมากมาย แต่กลิ่นอายของงานหนังสือก็ยังเป็นสิ่งที่นักอ่านต่างชื่นชอบ

พิสูจน์ได้จากงานสัปดาห์หนังสือครั้งที่ 53 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติครั้งที่ 23 ที่ได้ปิดฉากลงไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังจากจัดงานยาวถึง 13 วัน ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม – 8 เมษายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถึงแม้จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างแผ่นดินไหวในประเทศเมียนมา ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนมายังประเทศไทยในวันที่ 28 มีนาคม 2568 ทำให้ต้องปิดให้บริการในวันนั้นเร็วกว่ากำหนดแต่ก็ได้ขยายการจัดงานเพิ่มอีก 1 วัน และทำให้เกิดเม็ดเงินสะพัดเป็นจำนวนมาก 

นอกจากนี้สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย หรือ PUBAT ก็ได้เปิดเผยถึงข้อมูลที่น่าสนใจ ทั้งกลุ่มนักอ่านหลักที่มาร่วมงาน ไปจนถึงประเภทหนังสือที่ถูกใจนักอ่านในปีนี้ ที่เราจะมา Recap ให้ได้ติดตามกัน

#นักอ่านกลุ่มไหนที่เทใจมางานหนังสือ

จากจำนวนนักอ่านที่เข้าร่วมงานตลอด 13 วันมีมากถึง 1.3 ล้านคน ในวันธรรมดาจะมีผู้เข้าร่วมงานเฉลี่ย 7-8 หมื่นคนต่อวัน ขณะที่วันเสาร์-อาทิตย์ เฉลี่ยอยู่ที่ 1.3-1.5 แสนคนต่อวัน ซึ่งถือว่าสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว แม้หลังจากเกิดแผ่นดินไหว 1 วัน คือวันเสาร์ที่ 29 มีนาคม ยังมีผู้เข้าร่วมงานถึง 1.3 แสนคน นอกจากนี้วันที่มีผู้เข้าร่วมงานมากที่สุดอยู่ในช่วงท้ายๆ ของการจัดงานคือวันที่ 6 เมษายน 2568 มีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 1.7 แสนคน

ในจำนวนผู้ร่วมงานที่มีมากมายแบ่งเป็นผู้หญิง 66% ผู้ชาย 27% LGBTQ+ 6% และไม่ระบุเพศประมาณ 1% โดยมีกลุ่มนักอ่านที่เข้ามาใช้บริการมากที่สุด คือ เจนฯ Z 43.65%, เจนฯ Y 36.1%, เจนฯ X (อายุ 43-58 ปี) 19.75%

#หนังสือประเภทไหนที่คนเลิฟ

ภายในงานได้มีการสำรวจประเภทหนังสือที่ผู้ร่วมงานสนใจ โดย 1 คนเลือกความสนใจได้มากกว่า 1 ประเภท จนสรุปได้ดังนี้

– 40% สนใจการ์ตูนและมังงะ

– 30% สนใจนิยายและวรรณกรรม

– 28% สนใจจิตวิทยาและให้กำลังใจ

– 25% สนใจหนังสือพัฒนาตนเอง

– 24% สนใจตำราเรียนและคู่มือเตรียมสอบ

– 8.5% สนใจหนังสือเด็ก

#ดันรายได้ถึง 420 ล้านบาท

อัตราเฉลี่ยของการซื้อหนังสือภายในงานพบว่านักอ่านกว่า 30.88% ซื้อหนังสือประมาณ 600-1,000 บาท ส่วนอีก 14.70% ซื้อหนังสือกว่า 1,000-1,500 บาท และอีก 12.84% ซื้อหนังสือมากกว่า 3,000 บาท ทำให้ตลอดการจัดงานยอดขายรวมอยู่ที่ 420 ล้านบาท ถือว่ามากกว่าปี 2567 ที่ผ่านมา ซื่งมียอดขายรวม 400 ล้านบาท

ปัจจัยความสำเร็จในครั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากคอมมิวนิตี้นักอ่านที่เข้มแข็ง ทั้งป้ายยาหนังสือน่าอ่าน ประชาสัมพันธ์รายละเอียดการจัดงาน รวมถึงมีอินฟลูเอนเซอร์ทำคอนเทนต์ภายในงานมากมาย ทำให้เข้าถึงกลุ่มนักอ่านหน้าเก่าและหน้าใหม่มากขึ้น

รวมถึงความสำเร็จของกิจกรรม Bangkok Rights Fair 2025 ที่เกิดการซื้อ-ขายลิขสิทธิ์ภายในงานมากถึง 271 คู่ จากผู้เข้าร่วมทั้งหมด 135 บริษัท ใน 14 ประเทศ โดยแบ่งออกเป็นบริษัทต่างชาติ 43 ราย และบริษัทไทย 92 ราย และมียอดการซื้อ-ขายลิขสิทธิ์เกิดขึ้นภายในงานมากกว่า 68 ล้านบาท

ทุกตัวเลขที่เกิดขึ้นจากการจัดงานในครั้งนี้เป็นกระจกสะท้อนอย่างดีว่า ‘หนังสือยังไม่ตาย’ และการจัดงานหนังสือในรูปแบบออฟไลน์ให้คนได้มาพบปะเจอหน้ากัน ได้จับหนังสือกับมือยังเป็นสิ่งที่นักอ่านให้ความสนใจ ในขณะเดียวกันก็ต่อลมหายใจให้กับคนในแวดวงธุรกิจหนังสือ 

นอกจากนั้นยังพร้อมเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ที่ทางสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย หรือ PUBAT ตั้งใจเดินหน้าผลักดันให้หนังสือไทยเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ และคาดว่าอีก 2 ปีข้างหน้าจะพาหนังสือไทยขึ้นแท่นศูนย์กลางอาเซียนให้ได้ เป็นที่น่าจับตามองต่อไปว่าในอนาคตแวดวงหนังสือจะเติบโตไปในทิศทางไหน