ลงทุนนิยม
LTMH Rocket เอเจนซีที่นิยามตัวเองว่า Investising Agency และใช้ความคิดสร้างสรรค์เล่าเรื่องการลงทุน
“ผมว่าทุกคนมีความกลัว คือเรากลัวเหนื่อย เรากลัวทุกข์ เรากลัวแก่ไปแล้วไม่มีเงินใช้ มันแตะไปถึงเรื่องโครงสร้าง อย่างเช่นทุกวันนี้เรายังกังวลอยู่เลยเรื่องประกันสังคม เรื่องสวัสดิการ ถ้าเราไม่ใช่ข้าราชการมันมีอะไรรองรับเราไหม นอกเหนือจากตัวเราเองที่เราจะลงทุนตั้งแต่หนุ่มสาว”
ประโยคนี้ลอยขึ้นมากลางวงสนทนาเมื่อเราชวนคุยกันถึงเหตุผลที่ทำให้เรื่องการเงินการลงทุนกลายเป็นที่ ‘นิยม’ กว่าที่ผ่านมา
คงไม่เกินเลยไปนักถ้าจะบอกว่านี่คือยุคสมัยที่เรื่องการเงินการลงทุนเป็นเรื่องกระแสหลัก หลังจากที่เป็นเรื่องของคนเฉพาะกลุ่มมายาวนาน สังเกตได้จากเพจการเงินการลงทุนคุณภาพที่เกิดขึ้นมากมาย และแต่ละเพจแต่ละช่องทางก็มีคนตามหลักล้านหลักแสน
และหนึ่งในเพจการเงินการลงทุนที่หลายคนนึกถึงเป็นชื่อแรกๆ คือ ‘ลงทุนแมน’ ที่ล่าสุดพวกเขาในชื่อบริษัท LTMH เพิ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) สะท้อนการเติบโตของบริษัทสื่อที่เริ่มต้นจากเพจเพจหนึ่งที่ว่าด้วยการเงินการลงทุนได้เป็นอย่างดี
โดยธุรกิจหนึ่งที่อยู่ร่วมเครือคือ ‘LTMH Rocket’ เอเจนซีโฆษณาครบวงจรที่ครอบคลุมการสื่อสารทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ดูตั้งแต่พาร์ตกลยุทธ์การสื่อสาร ครีเอทีฟ การผลิต การซื้อสื่อ รวมถึงการประชาสัมพันธ์ โดยพวกเขานิยามตัวเองว่าเป็น Investising Agency ที่ดึงเอาจุดเด่นเรื่องความเชี่ยวชาญในการสื่อสารเรื่องการเงินการลงทุนอันเป็นดีเอ็นเอและจุดแข็งของ ‘ลงทุนแมน’ มาช่วยลูกค้าในการสื่อสารเรื่องยากให้เข้าใจง่าย
หมิง–ณัฐนรี หฤษฎีชวลิต Managing Director, เนย–ภัทร อินทรกำแหง Creative Director, ครีม–ณัฎฐพัชร เตชะนฤดล Media Director, ปั๊ม–พิรเศรษฐ์ นาคสังข์ Business strategic Director และโอม–โอมศิริ วีระกุล Content Director คือกลุ่มคนผู้อยู่เบื้องหลังความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ ของเอเจนซีที่ใช้คำนิยามไม่เหมือนใครแห่งนี้
แม้ปกติเราจะไม่สนทนาเรื่องเงินๆ ทองๆ กับใครที่เพิ่งพบหน้ากันไม่กี่ครั้ง แต่ครั้งนี้ระหว่างเราคือข้อยกเว้น

ย้อนกลับไปทําไมพวกคุณถึงนิยามตัวเองว่า Investising Agency
ปั๊ม : มันเป็นคําที่เกี่ยวกับเรื่องของ investment และ advertising คือเราเห็นเทรนด์ของเอเจนซีช่วงหลังๆ จะมีเอเจนซีตัวเล็กตัวน้อยเกิดขึ้นเยอะ
ซึ่งช่วงแรกๆ เรารับพิตชิ่งงานเยอะมาก ในหลายๆ อุตสาหกรรม พอปีหลังๆ เราก็เริ่มมาคิดกันว่าแล้วความเก่งของเราจริงๆ คืออะไร ก็ย้อนกลับมาที่ดีเอ็นเอของเราคือความเป็นลงทุนแมนที่เล่าเรื่องการเงินการลงทุน แล้วลูกค้า 80% ของเราเป็นเรื่องของการเงินการลงทุน เราก็เลยรู้สึกว่านี่เป็นไอเดียที่ LTMH Rocket มี คือความเป็น investment กับ advertising ในการทำ communication ให้มันแตกต่างจากเอเจนซีเจ้าอื่น
แล้วเราก็คิดว่าเอเจนซีทั่วไปยังไม่ได้ใช้ positioning นี้ ในการที่จะกล้าออกมาพูดว่าเราเป็นเอเจนซีเพื่อการลงทุน ทําโฆษณาเกี่ยวกับการเงินการลงทุน ก็เลยเป็นที่มาของ positioning ที่เราอยากจะทําให้ทุกคนได้รู้จัก
ในแง่ธุรกิจ การจํากัดตัวเองว่าเป็นเอเจนซีสําหรับการเงินการลงทุนมันทําให้กลุ่มลูกค้าแคบเกินไปไหม
ปั๊ม : ตอนถกกันก็คิดว่าประเด็นนี้เป็นความท้าทายของพวกเราเหมือนกัน แต่ว่าพอไปดูในตลาดของการเงินการลงทุนจะเห็นได้ชัดว่าเม็ดเงินมันค่อนข้างมาก มีลูกค้าที่พยายามขยายกลุ่มฐานลูกค้าออกไปค่อนข้างเยอะ เขาก็ยังอยากให้คนไทยลงทุน ซื้อสินทรัพย์การลงทุนกับเขาทุกๆ ปี ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นยังไง แล้วทางธนาคารเองก็พยายามที่จะกระจายเรื่องนี้
แล้วเราก็คิดอีกมุมด้วยว่า จริงๆ แล้วการลงทุนไม่ได้มีแค่เรื่องของการเงินอย่างเดียวนะ มันยังมีเรื่องของการลงทุนผ่านแบรนด์เนม หรือการซื้อบ้านอสังหาฯ ก็เป็นการลงทุนเหมือนกัน เรารู้สึกว่าจริงๆ แล้วเรื่องราวเกี่ยวกับการลงทุนมันสามารถแตกแขนงย่อยไปได้มากกว่าเรื่องของการเงิน
โอม : เรื่องการลงทุนบางคนอาจจะคุ้นเคยว่ามันต้องเป็นโปรดักต์ด้านการเงินเท่านั้น แต่จริงๆ มันยังมีเรื่องของสุขภาพที่เป็นโปรดักต์ไลฟ์สไตล์ เป็นการลงทุนทางด้านเวลาเพื่อให้สุขภาพกายดีขึ้น ความสัมพันธ์ดีขึ้น มันก็เป็นอีกมิตินึง ดังนั้นการลงทุนมันก็ไปแตะในเรื่องของโปรดักต์ไลฟ์สไตล์ได้เหมือนกัน อยู่ที่ว่าเราจะหามุมมาบิดเล่าเพื่อให้มันสอดคล้องกับแบรนดิ้งของเรา positioning ของเราแล้วมันแข็งแรงได้มั้ย
หมิง : อีกมุมนึงที่น่าจะเป็นหลังบ้านของพวกเราทุกคน มันน่าจะเป็นการสร้าง communication impact ให้กับกลุ่ม target audience ที่เรามองว่า วันนี้เราอยากให้ทุกคนลงทุนกันมากขึ้น ใส่ใจกับเรื่องการเงินกันมากขึ้น เราก็เลยมองว่าทําไม คําว่า Investising มันถึงแข็งแรง
จริงๆ โจทย์ที่เรากําลังทําอยู่เราไม่ได้พูดกับนักลงทุนอย่างเดียว แต่ว่าเกือบ 70-80% เรากําลังพูดกับกลุ่มคนที่ไม่ได้ลงทุน ให้เขาหันมาลงทุน โจทย์ของลูกค้าเราส่วนใหญ่พยายามเจาะไปยัง user ที่ไม่ได้ลงทุน ซึ่งเรารู้สึกว่าสิ่งนี้มันจะอยู่ไปตลอด เพราะมันก็จะมีกลุ่มเจเนอเรชั่นใหม่ๆ พอเขาเริ่มทํางานหาเงิน เขาจะทํายังไงกับเงินเขา เราก็อยากให้เขาลงทุน ดังนั้นเรามองว่ามันสามารถไปได้อีกไกล

พวกคุณมีความเชื่ออะไรเกี่ยวกับการเงินการลงทุน ทำไมถึงเลือกสื่อสารเรื่องราวเหล่านี้
เนย : ก่อนหน้านี้ผมไม่ค่อยชอบการลงทุน
ปั๊ม : บทสัมภาษณ์นี้ก็พาดหัวว่าเอเจนซีที่คนไม่ค่อยสนใจเรื่องการลงทุนมาทําเรื่องการลงทุน (หัวเราะ)
เนย : คือก่อนที่ผมจะมาทำที่นี่ผมก็ทำเอเจนซีโฆษณาปกติมา แล้วมันจะช่วงที่ต้องทําเรื่องการเงินเยอะ ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็รู้สึกว่า จริงๆ เรื่องการเงินการลงทุนมันไม่ได้ยากขนาดที่เราเคยตั้งกําแพงว่ามันยาก ถ้าเรามองว่าเงินมันก็เหมือนโปรดักต์นึง เหมือนมาม่าห่อนึง มันมีทั้งคนอยากได้ คนไม่อยากได้ คนชอบไม่ชอบ
ถ้าเรารู้จักกลไกการตลาดหรืออะไรที่อยู่รอบตัว เราจะเห็นว่าที่จริงมันไม่ได้เข้าใจยากขนาดนั้น ไม่ว่าจะหุ้นขึ้น หุ้นลง กองทุน หรืออะไรนู่นนี่นั่นมันจะมี core concept idea สักอย่างนึงอยู่ ถ้าเกิดมีโปรดักต์ทางการเงินใหม่เกิดขึ้นมาเราก็แค่คิดว่าเขาออกสิ่งนี้มาทําไม คือผมจะพยายามหาแง่มุมเหมือนเวลาเราขายโปรดักต์อื่น ว่าโปรดักต์นี้มีข้อดียังไง ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาอะไร คนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเขามองหาอะไรในโปรดักต์ประเภทนี้ ผมก็เลยมองว่าจริงๆ แล้วเรื่องการเงินการลงทุนถ้าทุกคนลดกําแพงลง แล้วมองว่ามันเป็นเรื่องรอบตัว มันอาจจะไม่ได้ยากขนาดนั้น

ยิ่งพอมาทํางานที่นี่ ผมยิ่งรู้สึกว่าเรื่องการเงินมันก็สําคัญมาก การเงินเป็นเรื่องรอบตัวที่ทุกคนควรรู้ เพราะงั้นเราก็ควรสื่อสารให้ทุกคนรู้ แบบที่เรารู้ว่า เงินเป็นเรื่องรอบตัว เงินไม่ใช่เรื่องยาก อย่าสร้างกำแพงมากั้นแค่นั้นเอง เวลาคิดไอเดียอะไรในการทำงาน เราจะคิดอยู่ประมาณนี้
ปั๊ม : เราเองก็ทำงานในเอเจนซีมาตลอด แล้วก็มีช่วงนึงรู้สึกว่าเบิร์นเอาต์จากโฆษณาแล้ว เพราะรู้สึกว่ามันเป็นการทํางานขาย ขาย ขาย ขาย จนมีพี่คนนึงเขาติดต่อมาว่าสนใจมาทำที่นี่ไหม ซึ่งผมก็ไม่ได้เก่งการเงินมาก แต่ว่าพอเข้ามาคุยแล้วรู้สึกว่า ลูกค้าเขาพยายามหาคนที่จะมาช่วยทําการสื่อสาร ให้คนที่ไม่เข้าใจทางการเงินแบบเราเข้าใจมากยิ่งขึ้น
ตอนนั้นที่เข้ามาเราก็ยังไม่ได้ลงทุนอะไรเลย แล้วก็งงมาก แล้ว deck แรกที่ทํากับธนาคารแห่งหนึ่งที่อาจจะดู traditional มากผมก็เอาข้อมูลเขามาหมดเลย ที่เป็นโบรชัวร์ คอนเทนต์ของเขา แล้วก็แปะรูปเอเลี่ยนไปข้างๆ บอกว่า คนภายนอกมองว่าโบรชัวร์ของคุณเป็นภาษาเอเลี่ยน ซึ่งพอพรีเซนต์เสร็จลูกค้าชอบมาก แล้วบอกว่า จริงๆ คอนเทนต์เกี่ยวกับการลงทุนเราจะเห็นว่าทุกธนาคารจะพยายามพ่นศัพท์เฉพาะต่างๆ ซึ่งคนทั่วไปที่ยังไม่ได้ลงทุนเขาก็มี barrier ทําไมเราไม่ช่วยทําให้สิ่งเหล่านั้นมันเป็นภาษาคนมากยิ่งขึ้น แล้วพอเปลี่ยนความคิดลูกค้าได้ มันก็เริ่มสนุกว่าเราจะทํายังไงให้โจทย์นี้ของลูกค้ามันเป็นภาษาใหม่
โอม : แรกเริ่มเราไม่ได้เกิดจากแพสชั่น แต่เกิดจากวิกฤตในชีวิตมาก่อน ก็คือแม่ป่วยแล้วเงินเหลือในบัญชีไม่กี่ร้อย มันก็เลยทําให้สนใจ แล้วก็ศึกษามาเรื่อยๆ ความพิเศษคือที่นี่คือการทำงานในเอเจนซีที่แรกในชีวิตผม พอมาพูดในมุมของคนที่เล่าเรื่องการเงินการลงทุนผมรู้สึกว่ามันก็ยังคงเป็นเรื่องยากอยู่ ต่อให้เราใช้เงินทุกวัน เราก็ยังรู้สึกว่า เมื่อไหร่จะไปถึงจุดที่รวยได้ มั่งคั่งได้
ขนาดอยู่กับเรื่องการเงินการลงทุนทุกวันคุณก็ยังมองว่ามันยาก
โอม : คือพอเรามาศึกษาดีๆ คือมันไม่ใช่แค่ว่าถูกหวยเปรี้ยงเดียว แล้วการันตีว่าคุณจะมีเงินใช้ไปตลอดชีวิตนะ เงินมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
ผมรู้สึกว่าเงินมันคือเกมของชีวิต แต่การจะสื่อสารเรื่องนี้มันก็ต้องอาศัยผู้แปลสารที่ดี เหมือนโดราเอมอนที่มีวุ้นแปลภาษาเพื่อทําให้เรื่องการเงินการลงทุนมันเข้าถึงคนได้ง่ายขึ้น เราจะทํายังไงให้คนข้ามมาอยู่ตรงนี้ได้ ซึ่งนั่นคือหน้าที่ของเราที่มาทํางานกับ LTMH Rocket ณ เวลานี้


ครีม : ตอนเข้ามาทํางานที่นี่ตอนแรกเรายังไม่รู้ว่าลูกค้าเราส่วนใหญ่จะมีแต่การเงิน แต่เราเองชื่นชอบลงทุนแมนเพราะว่าเราสนใจในเรื่องการเงินการลงทุนอยู่แล้ว และจุดเริ่มต้นที่เราสนใจเรื่องการเงินการลงทุนง่ายๆ เลยคืออยากรวย คือเราเห็นว่าปลายทางของสิ่งที่เราทำน่าจะทำให้เรามีความมั่งคั่งขึ้นหรือรวยขึ้น สามารถใช้จ่ายอย่างอิสระได้มากขึ้น มันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของความสนใจ แต่ว่ามันก็มีอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้ แล้วเราก็คิดว่าจากเนื้องานที่เราทํามันจะทําให้เราเข้าใจโปรดักต์ทางการเงินอื่นๆ เพิ่มขึ้น เหมือนเราจะได้ความรู้ใหม่ๆ ในโปรดักต์อื่นๆ มากขึ้น หรือเข้าใจกลไกของมันจริงๆ ซึ่งระหว่างที่ทํางานที่นี่มาเรารู้สึกว่าเราก็ได้รับสิ่งนี้ไปโดยที่เราอาจจะไม่ได้รู้ตัว
หมิง : เรื่องการเงินการลงทุนเป็นสาเหตุหลักที่ทําให้เราตัดสินใจมาทํางานที่ลงทุนแมน แล้วก็มาเป็นส่วนหนึ่งที่ก่อตั้งทีม LTMH Rocket ขึ้นมา แต่ไม่ใช่ว่าเราทํางานที่นี่เพราะเราชอบเรื่องการเงินการลงทุนนะ เรามาทำเพราะมันเป็นเรื่องที่เราไม่ชอบ เรารู้สึกว่าเวลาส่วนตัวของเรา เรามีความสนใจเรื่องอื่นๆ มากมาย เราอยากออกกําลังกาย เราอยากดูซีรีส์ แต่ว่าเรื่องการเงินการลงทุนเราต้องรู้จักมัน เพราะว่ามันอยู่ในจุดที่จําเป็น แล้วตอนนั้นที่เข้ามาทำงานเราอายุประมาณ 28 มันเริ่มมีเรื่องภาษี เรื่องประกัน เรื่องการวางแผนการเงิน เราก็เลยเลือกมาทําที่นี่เพราะคิดว่าเราต้องรู้อะไรมากขึ้นแน่เลย
เหมือนตอนแรกตั้งใจเข้ามาเรียน
หมิง : ใช่ ตั้งใจเข้ามาเรียน ตอนนั้นเราเป็นคนโฆษณามาโดยตลอด เราทํางานเอเจนซีมาตลอด เราก็เลยรู้สึกว่าถ้าเราทํางานที่นี่เราจะได้มีอินไซต์ มีความรู้โดยที่มันเป็นสิ่งที่เราต้องรู้ เพราะมันทําให้เราทํางานได้ดีด้วย เหมือนมันบังคับให้เราต้องเข้าใจเรื่องนี้ เรียนรู้เรื่องนี้
แล้วตลอด 4 ปีที่ผ่านมามันเป็นแบบที่เราคิดเอาไว้เลย มันทำให้เรามองการเงินการลงทุนเปลี่ยนไป คือเวลามีน้องๆ มาสมัครงานจะมีคนที่เขากลัวว่าเขาไม่รู้เรื่องการเงินแล้วจะทํางานที่นี่ได้ไหม เราเลยบอกว่าเราก็ไม่ได้รู้มากเหมือนกัน แต่ว่ามันไม่ได้ยากกว่าการทําโปรดักต์อื่นๆ หรอก สมมติคุณเป็นผู้ชายแล้วคุณต้องไปขายผ้าอนามัย คุณไม่เคยใช้ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย คุณทําได้ มันคือคอนเซปต์เดียวกันเลยว่า คุณต้องทําความเข้าใจโปรดักต์ ทําความเข้าใจอินไซต์ เดี๋ยวคุณก็จะรู้เองว่าคุณต้องสื่อสารมันออกไปยังไง
เราก็เลยรู้สึกว่ามันก็สร้างคัลเจอร์เล็กๆ บางอย่างของพวกเราขึ้นมาเหมือนกันว่า การเงินไม่ได้น่ากลัว แล้วเรามาทํางาน เรามาเรียนรู้ แล้วเราก็จะถ่ายทอดเรื่องนี้ให้กับ audience ของเรา ที่มีทั้งคนที่มีความรู้ด้านการเงินและไม่มีความรู้ด้านการเงินได้ดี

ปกติเวลาทํางานให้ใครเราต้องรู้มากกว่าเขา แต่ว่าอันนี้คุณอาจจะรู้น้อยกว่าลูกค้าในเรื่องการเงินการลงทุน แล้วพวกคุณทำยังไงให้ลูกค้าเชื่อ
หมิง : ใช่ เราอาจจะรู้น้อยกว่า Fund Manager ที่มาบรีฟเรา แต่เราเองเชี่ยวชาญในเรื่องของการสื่อสาร เรามั่นใจในจุดนี้ เพราะว่าเรามีแบ็กกราวนด์ที่แน่นมาก แล้วก็เรามีจุดยืนของการเป็นกลุ่มเป้าหมาย
เราให้ value มากกับเวลาที่ลูกค้ามาหาเรา แล้วเขาเป็น Fund Manager เป็นสุดยอดตัวท็อปที่จะเล่าเรื่องโปรดักต์นี้ แล้วเราก็จะพยายามช่วยเขาให้เขาเอาสิ่งดีๆ เหล่านั้นที่เขามีแปลงออกมาให้คนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย
ซึ่งเราก็จะบอกกับเขาทุกครั้งว่า จุดยืนของเราคือ เราพยายามย่อยข้อมูลต่างๆ ที่ดีมากๆ ของคุณให้ทุกคนเข้าใจ จุดนี้เราขอช่วยคุณนะ แต่จุดที่คุณต้อง provide ข้อมูลคุณต้องช่วยเรานะ ซึ่งพอเราทํางานกันอย่างนี้มันก็ win-win เราไม่ได้จําเป็นต้องจบปริญญาเอกเรื่องการเงิน financial มาเพื่อที่จะทํา Investising แต่ว่าเราแค่อยู่ในจุดที่ว่าเราเข้าใจโจทย์ของเขาว่าอยากจะสื่อสารอะไรเป็นสําคัญ และสิ่งที่เขาอยากสื่อสารมันส่งผลอะไรกับ target audience แล้วเราก็เป็นตัวกลางที่ทําให้ทั้งสองคนเจอกันได้
ความยากหรือความท้าทายในการเล่าเรื่องการเงินการลงทุนในฐานะเอเจนซีคืออะไร
เนย : สิ่งที่ผมเรียนรู้ก็คือพอมันเป็นโปรดักต์การเงิน มันเป็นเรื่องของการบาลานซ์ ‘ความจริง’ กับ ‘การตกแต่งให้มันน่าสนใจ’ มันไม่เหมือนพวก FMCG (Fast-Moving Consumer Goods) ที่เราจะทําให้มันดูอร่อย ดูว้าว แสงออกปากแค่ไหนก็ได้ แต่พอมันเป็นโปรดักต์เรื่องการเงินเราบิดโดยไม่สนใจความจริงหรือบิดมากไปไม่ได้เลย เพราะว่ามันกลายเป็นเรื่องของ หนึ่ง–เงินในกระเป๋าคนอื่น สอง–เป็นเรื่องของกฎหมาย แล้วลูกค้าจะไม่ยอม
เราจึงต้องบาลานซ์ค่อนข้างหนักมาก ต่อให้เราคิดแล้วว่ามันน่าสนใจขนาดไหน แต่ถ้าความหมายมันผิดเพี้ยนไปก็ไม่อาจทำได้ จุดนี้เป็นสิ่งที่ผมรู้สึกว่ามันต้องเรียนรู้ไปตลอด การตกแต่งกับการบาลานซ์ความจริงมันเป็นเรื่องยากมาก
เวลาได้รับโจทย์จากลูกค้า พวกคุณเริ่มต้นคิดจากอะไร
ปั๊ม : ที่ผ่านมาลูกค้ามักจะมีแพตเทิร์นเดิมๆ แทบทุกบรีฟก็คือต้องการสร้าง awareness เราก็ต้องมานั่งแกะว่า awareness ของลูกค้าต้องการนําไปสู่อะไร เมื่อคนรับรู้มากขึ้นแล้วมันนําไปสู่อะไร เช่น ขายได้มากขึ้นเหรอ หรือการสร้าง awareness ในกลุ่มเดิมแล้วเราจะสื่อสารไปทําไม หรือจริงๆ อยากจะกระจายไปกลุ่มใหม่ๆ ก็ต้องมาคิดต่อว่าบรีฟนี้ลูกค้าต้องการ awareness ไปเพื่ออะไรที่เป็นสิ่งสุดท้าย
ถ้าเรารู้จักลูกค้ามากพอ เราก็จะเห็นภาพรวมว่า awareness ที่เป็นโจทย์ในครั้งนี้ลูกค้าอยากทําอะไร แล้วก็ไปรีวิวแคมเปญเก่าๆ ของลูกค้าว่า เราทําเท่าเดิมที่เขาทําไหม หรือปีนี้เราจะใส่อะไรเพิ่มเข้าไปบนโจทย์นี้ แล้วเราเห็นเทรนด์อะไรใหม่ๆ เราต้องอัพเดตแล้วก็หาสิ่งใหม่ให้ลูกค้าตลอด อะไรที่ลูกค้ารู้แล้วเราไม่จําเป็นต้องพูดซ้ำ แต่ไปหาว่าอะไรที่เขายังไม่รู้มากกว่า อาจจะไม่จําเป็นต้องฉลาดไปกว่าเขา แต่ว่าพยายามหามุมของ consumer ให้เขาเห็นว่าตอนนี้มันมีอะไรใหม่ๆ ลูกค้าก็จะรู้สึกว่า อ๋อ มีมุมนี้ที่น่าสนใจ อันนี้คือวิธีการ crack โจทย์ของเรา
หมิง : เราว่ามันอยู่ที่การประเมินทั้งลูกค้า สถานการณ์ สิ่งที่เขาต้องการ แล้วก็ใส่ value ของเราเข้าไป ซึ่งสำหรับทุกเอเจนซีมันคือการแก้ปัญหา ลูกค้าต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างนึง เขาถึงเข้ามาหาเอเจนซี ไม่งั้นเขาก็ทําเอง ถูกไหม ซึ่งปัญหาอาจจะเป็นเรื่องคน เขาอาจจะมีภาพในใจที่ชัดมากแล้ว ว่าอยากได้อะไร แต่เขาไม่มีคนทํา เขาเลยต้องมาหาเอเจนซีเพื่อที่จะซัพพอร์ต เราก็ต้องตีโจทย์ให้แตกว่า อ๋อ เขาอาจจะไม่ได้อยากได้อะไรใหม่ เขาอาจจะอยากได้แค่คนที่มาช่วยทําในสิ่งที่เขาเห็นภาพที่ชัดเจนมากๆ อยู่แล้ว
หรือเขาอาจจะไม่เห็นภาพอะไรเลย เขาต้องการคนที่มาสร้างภาพนั้นให้เขาว่าทําแบบนี้กัน มันดี เราก็เลยอาจจะต้องมองทั้งในมุม business objective ของเขา กับ context ของลูกค้าที่มาบรีฟเราด้วยว่าวันนี้เขามาสื่อสารกับเรา จริงๆ เขาอยากได้ manpower หรือเขาอยากได้ creative idea หรือเขาอยากได้อะไร
ซึ่งสุดท้ายต่อให้เขาแค่ต้องการหาคนมาทำให้ แต่เราจะเป็นคนคนนั้นยังไงที่เซอร์ไพรส์เขา เรารู้สึกว่ามันต้องมี value ของเราเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย ต่อให้เขามีโจทย์ที่ชัดมากๆ อยู่แล้ว

ในการทำงาน พวกคุณให้ความสำคัญกับอะไร
โอม : ที่นี่เรามีคัลเจอร์อยู่ 3 คํา คือ spark, simple และ impact
เราทํางานตรงนี้มา 3-4 ปีแล้ว เราอยากจะ maintain แล้วก็เพิ่มไดนามิกให้กับคนที่ทํางานที่นี่ เราเหมือนห้องเรียนนึง จะทํายังไงให้มันเกิด energy แล้วก็แก้ไขปัญหากับลูกค้าได้อยู่ตลอด แล้วเกิด spark ตั้งแต่แรก เราพยายามที่จะลองหา input อะไรใหม่ๆ มาใส่ทีม อย่างเช่นปีนี้เราก็จะเชิญวิทยากรมาแชร์ให้ทีม สนใจเรื่องภาษีเราก็ดึงพี่หนอม TAXBugnoms มา อยากฟังเรื่อง creative idea การเริ่มต้นของรายการพ็อดแคสต์เราก็ชวนทีม Untitled Case มา
ส่วน simple ก็คือเราพยายามซ่อนอยู่ในกระบวนการทํางาน คือคนเราไม่ได้เยอะ ดังนั้นเราอย่าทําให้กระบวนการมันเยอะ เพื่อความลื่นไหลของเวิร์กโฟลว์ไปกับงาน ปวดหัวกับลูกค้าแล้วอย่ามาปวดหัวกันภายใน ส่วนคำสุดท้ายคือ impact เราจะทํายังไงให้มัน beyond expectation ทำยังไงให้มันอิมแพกต์กับคนที่รับงานเราไป ซึ่งก็คือลูกค้า เราอาจจะต้องดูว่า bottom line ที่เขาเคยได้มามันคืออะไร แล้วเราจะทํายังไงให้มันเหนือไปกว่านั้นผ่าน Investising ของเรา ผ่านดีเอ็นเอของเรา อันนี้ก็เป็นโจทย์ กับอิมแพกต์อ้อมๆ ที่เราอยากให้มันเกิดขึ้นคือ ถ้าเราซื้อใจลูกค้าได้แล้ว เราก็อยากซื้อใจ audience ที่มาอ่าน ที่มาเสพ ที่มาดู ว่าเขาโอเคนะ เขาชอบนะ เขามีความรู้เพิ่มขึ้นนะ ซึ่งอันนี้ก็เป็นอีก agenda นึงที่เราก็อยากทําให้ได้
ปั๊ม : อย่างที่บอกว่าเราพยายามทำให้เรื่องการเงินการลงทุนมันไม่เป็นภาษาเอเลี่ยน เราพูดภาษาคน คุยกันภาษาคน เราจะเห็นว่าคอนเทนต์ปัจจุบันมันไม่ต้องมาทางการอะไรมาก เล่าเหมือนเพื่อนเล่ากับเพื่อน เราอยากฟังเพื่อนที่มันเก่งแต่มันเล่าให้เราเข้าใจได้ มันคือคนที่ใช้ภาษาง่ายๆ กับเรา
เราอยากให้ลูกค้าเป็นเหมือนเพื่อนคนนึงที่เล่าคอนเทนต์การเงินให้กับคนที่มาอ่านเข้าใจ ไม่ต้องมีเลเยอร์อะไรมาก ไม่ต้องทางการตามวิธีการเขียนอะไรที่เป็นแพตเทิร์นมาก คือของ่ายๆ เลย ผมว่าถ้าเรามีมายด์เซตอย่างนี้ว่า เราทําคอนเทนต์เหมือนเล่าให้เพื่อนคนนึงที่เราอยากจะให้เขาเข้าใจฟังทุกอย่างมันก็จะง่าย

ในฐานะที่อยู่กับการเล่าเรื่องการเงินการลงทุน คุณคิดว่าทุกวันนี้สังคมมีมุมมองต่อการเงินการลงทุนเปลี่ยนไปยังไงบ้าง
โอม : ผมรู้สึกว่าทางเลือกมันเยอะขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของเครื่องไม้เครื่องมือไปตามความต้องการของคน มันหลากหลายมากขึ้น แต่ก่อนรุ่นพ่อรุ่นแม่เราอาจจะซื้อทอง ซื้ออสังหาฯ หรือเก็บหุ้นบ้าง แค่ 3 อย่างนี้ก็เท่แล้ว แต่หลังๆ เราจะเริ่มเห็นคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจการลงทุนเยอะขึ้น เร็วขึ้น หลากหลายขึ้น อาจจะเปลี่ยนจากสินทรัพย์แบบที่เราคุ้นเคยไปแนวเทรดบ้าง ไปแนวเก็งกําไรบ้าง ซึ่งระดับความเสี่ยงมันก็แตกต่างกันออกไป ซึ่งก็เป็นโจทย์ให้เอเจนซีที่นิยามตัวเองว่าเป็น Investising อย่างพวกเราต้องไปตามพฤติกรรมเขาด้วย
ปั๊ม : จริงๆ ผมว่าคนไทยสนใจเรื่องการเงินนะ แต่ว่าชอบทางลัด คือชอบได้เงินเลย จะเห็นว่ามีคนโดนหลอกไปเป็นแสนล้าน ก็เลยรู้สึกว่าจริงๆ แล้วคนไทยมีเงินแล้วก็สนใจเรื่องเงิน แต่เราจะเห็นว่าคนไทยสนใจทางลัด แต่ว่าไม่ค่อยมีคนให้ความสําคัญกับรากฐานจริงๆ ของการเงิน คนไทยสนใจการเงินแต่ว่าขาดเครื่องมือหรือขาดความรู้ในการเชื่อมโยงให้มันอยู่ทุกช่วงของชีวิต ทั้งการศึกษาตอนประถม มัธยม มหาวิทยาลัย ทําไมเด็กมหา’ลัยรู้สึกช็อกเวลาต้องมาเสียภาษีครั้งแรกตอนทํางาน ซึ่งจริงๆ มันไม่น่าจะต้องช็อก คือมันควรจะถูกปลั๊กอินไปทุกช่วงอายุ แต่มันหายไป
เวลาเราทําเรื่องของการเงิน เราจะรู้สึกว่าสเตปแรกของคนลงทุนจะเริ่มลงทุนจากความเสี่ยงน้อย กลาง แล้วไปสูง แต่ปัจจุบันมันเปลี่ยนไป คือเด็กรุ่นใหม่พุ่งไปที่ความเสี่ยงสูงเลย พร้อมไปคริปโตฯ เลย ไม่ได้ลงกองทุนแล้ว เพราะมันช้า มันก็เห็นอะไรบางอย่างว่าจริงๆ แล้วเขาก็พยายามจะมีเงินตลอดเวลา แต่ว่าใจร้อน ซึ่งก็โทษคนไทยหรือว่าเด็กไทยด้วยไม่ได้ คือมันอาจจะต้องไปวางรากฐานกันใหม่ว่าทําไมไม่ทําให้วิชาการเงินมันสําคัญเท่ากับภาษาอังกฤษ อย่างจีนเองตอนนี้ก็บรรจุเรื่องของการเขียนโค้ดกับการเงินไว้ในหลักสูตรเลยว่าต้องมี 2 วิชานี้
มันควรเข้าไปอยู่ในระบบการศึกษาที่ทุกคนต้องเรียน ผมว่าสุดท้ายแล้วมันคือ long term, long game ที่เราต้องพัฒนากันไป แต่ก็เห็นว่าจริงๆ แล้วคนไทยมีเงิน คนไทยสนใจเรื่องเงิน แต่แค่อาจจะยังไม่ถูกวิธี ซึ่งจริงๆ มันก็ไม่ได้ผิดนะ อย่างเรื่องของลอตเตอรี่พวกผมก็ซื้อกัน คือมันก็มีใจร้อนแหละ อยากเห็นผล แต่การลงทุนมันเป็นเหมือนการพรีออร์เดอร์ที่เราไม่รู้ว่าของมันจะมาเมื่อไหร่ มันจะได้ไหม หรือมันจะโดน
ครีม : อย่างที่พี่ปั๊มกับพี่โอมเล่าให้ฟังว่าคนไทยสนใจเรื่องการเงินเพิ่มขึ้นแล้วก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอันนี้แปลว่าปลายทางความจริงแล้วเขามีความตั้งใจบางอย่างที่เขาอยากจะได้รีเทิร์นกลับมาที่สูงขึ้น
เราจะเห็นว่าทุกๆ ปีมันจะมีเพจการเงิน หรือ KOL หน้าใหม่ๆ เกิดขึ้นมาตลอด ซึ่งมันก็สะท้อน demand และ supply ว่ามีคนที่สนใจรออ่านสิ่งพวกนี้อยู่ สิ่งพวกนี้มันก็เลยเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ รวมถึงเพจเก่าๆ ที่ยอดฟอลโลเวอร์ก็เติบโตขึ้นทุกๆ ปี เราเลยค่อนข้างมั่นใจว่ามันเป็นสิ่งที่ในสังคมไทยก็สนใจมาโดยตลอด และน่าจะมีแนวโน้มแบบเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ

คิดว่าอะไรทําให้การลงทุนมันกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวคนรุ่นใหม่จากแต่ก่อนดูเป็นเรื่องไกลตัว
โอม : ผมว่าถ้าย้อนกลับไปสมัยเราเด็กๆ เวลาเราอยู่กับผู้หลักผู้ใหญ่ อยู่กับแม่ หรือแม้กระทั่งเพื่อนรุ่นเดียวกัน เราก็คุยเรื่องฟุตบอล เรื่องหนังที่ดู หรือเรื่องอื่นๆ แต่เราจะไม่เห็นบริบทในเรื่องของความรู้สึกอยากเกษียณเร็วหรืออยากรวยเร็ว ก่อนหน้านี้เรื่องเงินมันไม่ได้อยู่ในบทสนทนาทั่วไป ดังนั้นผมมองว่าที่คนเริ่มตระหนักมากขึ้นมันอาจจะเกิดจากเรื่องของ media landscape มันเปลี่ยนไป เราไม่ได้เป็นฝ่าย passive ที่จะต้องรอหนังสือพิมพ์มาส่งเมื่อไหร่ รายการนี้จะออกอากาศตอนไหน แต่เราลือกที่จะวิ่งไปหามันได้ เร็วขึ้น ง่ายขึ้น เราโดนพี่มาร์คยิงใส่ ผมว่านี่คือสารกระตุ้น มันรุนแรงกว่ายุคเก่า
ปั๊ม : อีกมุมผมว่าเด็กรุ่นใหม่น่าจะเบิร์นเอาต์กันเร็วขึ้น เพราะว่ามันแข่งกันตลอดเวลา ถ้าอย่างเจนฯ X, เจนฯ Y เราก็จะได้ยินคํานึงมาตลอด คือ passive income สมัยเรา passive income ทํายังไง แต่เด็กรุ่นใหม่เขารู้สึกว่า passive income มันอยู่ในชีวิตเขามานานแล้ว ไม่ใช่คําใหม่ แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือจะทํายังไงให้เกษียณได้ไวๆ ไม่อยากทํางาน เบื่อ ไม่อยากไปทํางานแล้ว อยากลาออก เขาก็เลยคิดว่าน่าจะต้องหางานอย่างอื่น ถ้าไม่เพิ่มทางด้าน income ที่เป็น active income ไปเป็นอินฟลูเอนเซอร์นู่นนี่นั่น ก็ต้องมีการวางแผน 30 จะยังไง ซึ่งเด็กเดี๋ยวนี้เก่งๆ ก็มีเงินล้านตั้งแต่มหาวิทยาลัย
ผมว่ามันก็เป็นความรู้สึกเหนื่อยล้าของสังคมด้วย ที่สื่อโซเชียลฯ มันทําให้เราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ชีวิตคนอื่น เด็กก็ต้องทํางาน ต้องมี ต้องนู่นนี่นั่น เขาก็รู้สึกว่าบางทีมันก็เบิร์นเอาต์ ไม่อยากทํางานแล้ว ไม่ทํางานได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น
หมิง : อย่างที่ปั๊มว่า คนรุ่นใหม่พยายามหาทางลัด อยากรวยเร็ว ใจร้อน และยิ่งพอมันแบบคอนเนกต์กันมากขึ้น เราเห็นชีวิตคนอื่นง่ายขึ้น แล้วคนที่มีพื้นที่ คนดัง คนรวย คนที่มีอะไรบางอย่างที่เราไม่มี เราก็ไปเสพในสิ่งที่เขามี แล้วเราก็อยากมี เราก็เลยมาหาทางลัด เพื่อให้เรามี ก็คือต้องทําเงิน
โอม : ถ้าพูดมันก็ยิ่งลึก ผมว่าทุกคนมันมีความกลัว คือเรากลัวเหนื่อย เรากลัวทุกข์ เรากลัวแก่ไปแล้วไม่มีเงินใช้ มันแตะไปถึงเรื่องโครงสร้าง อย่างเช่นทุกวันนี้เรายังกังวลอยู่เลยเรื่องประกันสังคม เรื่องสวัสดิการ ถ้าเราไม่ใช่ข้าราชการมันมีอะไรรองรับเราไหม นอกเหนือจากตัวเราเองที่เราจะลงทุนตั้งแต่หนุ่มสาว หรือถ้าซื้อประกันทิ้งไว้ แล้วประกันนั้นเราจะส่งถึงไหม
ผมว่ามันเกี่ยวข้องกันหมด มันเชื่อมโยงกันหมด มันเป็นความกลัวส่วนหนึ่งว่า เราจะรอดไหมวะ ถ้าวันนึงเราตกงาน เรามีอายุมากกว่านี้
ปั๊ม : เทียบกับประเทศอื่น ทำไมคนเขาไม่กลัวเท่าเรา ผมว่ามันก็กลับไปที่พี่โอมว่า เพราะว่าเขารู้สึก secure บนการซัพพอร์ตของประเทศ โครงสร้างที่มีสวัสดิการ เสียภาษีไปก็ได้ใช้ในอนาคต แต่ของเรามีสวัสดิการแห่งรัฐ เราจะได้ใช้ไหมบัตรทองกับสิทธิประกันสังคม กลายเป็นว่าเราก็ต้องพึ่งตัวเอง ซึ่งคนไทยก็ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเนอะ

แล้วแม้แต่คนลงทุนเองก็ยังไม่รู้ว่าวันนี้มีเงินเท่าไหร่ถึงจะพอที่จะใช้ บางคนก็บอกว่าของพี่อาจจะร้อยล้าน ของพี่อาจจะสิบล้าน อย่างของเราอาจล้านเดียว ถูกหวยครั้งเดียว ก็รู้สึก secure แล้ว แต่บางทีมันอาจจะหมดในปีเดียวก็ได้ ดังนั้นผมว่าคนรุ่นใหม่อยู่บนความไม่ secure ของอะไรที่มันแบ็กอัพคนไทย ที่ทําให้เขารู้สึกว่ากูต้องแอ็กทีฟแล้วแหละ
สุดท้ายเป้าหมายหรือความฝันของพวกคุณในตอนนี้คืออะไร
ปั๊ม : ถ้าประโยคเดียวก็คืออยากให้คนไทยมีความรู้ทางการเงินที่ดีขึ้น เพราะถ้ามีความรู้ทางการเงินดีขึ้นแล้วการโดนหลอกต่างๆ มันก็จะไม่เกิด บางทีมันอาจจะเกิดกับพ่อแม่ คนรอบตัว พี่ป้าน้าอาของเราด้วย ในอนาคตก็ไม่อยากจะให้มันเกิดกับคนใกล้ตัวของเรา
โอม : ผมว่ามี 2 ส่วน คือหนึ่ง–เราอยากเป็นต้นทุนที่ดีให้กับใครก็ตามที่ทํางานกับเรา ก่อนที่จะไปสร้างอิมแพกต์เราอยากเป็นต้นทุนที่ดีให้กับทีม ให้กับน้อง ให้กับบริษัท ให้กับลูกค้า ถ้าเราเป็นต้นทุนที่ดีมันก็อาจจะเติบโตไปเป็นทรัพย์สินอะไรบางอย่างที่ดี ทำให้สังคมมันดีขึ้น
หมิง : สำหรับเราสิ่งนี้มันจะเชื่อมโยงกับแพสชั่นส่วนตัวด้วย และมันก็เชื่อมโยงกับความเป็น LTMH ภาพใหญ่ด้วย ก็คือเราอยากสร้างอิมแพกต์หรือว่าผลกระทบเชิงบวกกับสังคมจริงๆ ในเรื่องของ financial literacy เราอยากให้งานของเราไม่มากก็น้อย มันทําให้คนมีความรู้เรื่องการเงินมากขึ้นนิดนึงก็ยังดี เราอยากให้ทุกๆ ชิ้นที่เราส่งต่อออกไปสร้างความเข้าใจและความรู้ที่ทําให้เขาเอาไปใช้ได้ในชีวิตจริง อยากให้มันมีประโยชน์ ซึ่งเรามองว่าการกระทําของเรามันอาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดไปเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างอะไรขนาดนั้น แต่เราก็อยากจะเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างสรรค์งาน ผ่านคอนเทนต์ ผ่านแคมเปญ ผ่านสื่อต่างๆ ที่ออกไป แล้วผลงานชิ้นนั้นอย่างน้อยมันสร้างประโยชน์อะไรให้กับ end users, audience ต่างๆ บ้าง
อันนี้น่าจะเป็นภาพใหญ่แล้วมันก็เป็นแพสชั่นของเราเองด้วย แล้วเราก็เชื่อว่าทุกคนในทีมก็เห็นภาพประมาณนี้ด้วยกัน ดังนั้นทุกๆ งานที่เราทําจะกลับมาตรงนี้เสมอว่า spark, simple แล้วก็ impact ซึ่งเราค่อนข้างให้ความสําคัญกับ impact ว่ามันต้องสร้างอะไรไม่มากก็น้อย