‘คนนิสัยไทป์โกลเด้น ซื่อสัตย์ ชัดเจน’ เทรนด์การเดตปี ’68 ของคนโสดนิวเจนฯ จาก Tinder

หากอยากเข้าใจเทรนด์การเดตและอินไซต์ของคนโสดนิวเจนฯ จะมีแหล่งข้อมูลใดที่ให้อินไซต์ได้ดีไปกว่า Tinder แอพพลิเคชั่นหาคู่ที่ปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดมากกว่า 630 ล้านครั้ง และยังเป็นกามเทพสื่อรักที่แมตช์ให้คนโสดได้เริ่มทำความรู้จักกันมากถึงหนึ่งแสนล้านครั้งจากผู้ใช้บริการทั้งหมดราว 50 ล้านคนต่อเดือนในกว่า 190 ประเทศทั่วโลก

ในรายงาน Year in Swipe™ ของ Tinder ประจำปี 2567 เผยเทรนด์ที่กำลังมาแรงของปี 2568 จากข้อมูลการเดตในปี 2567 ว่าคนโสดในยุคนี้มองหาความสัมพันธ์ที่ชัดเจนและตรงกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองมากขึ้น ให้ความสำคัญกับการเปิดใจรับความจริงใจและอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง

เมลิสซ่า ฮ็อบลีย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของ Tinder กล่าวว่า “คนโสดเริ่มเปิดใจยอมรับและมีความตั้งใจในการหาคู่มากยิ่งขึ้น โดยกล้าที่จะเปิดเผยสิ่งที่ตัวเองต้องการและกล้าปฏิเสธสิ่งที่คิดว่าไม่ใช่ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิด 3 เทรนด์ใหม่ที่โดดเด่นในปีนี้ ได้แก่ Loud Looking ความสัมพันธ์ที่ชัดแบบตะโกน, Kiss-met ความสัมพันธ์แบบรักนี้ชะตาลิขิต และ Nano-ships ที่หมายถึงการนิยามทุกความสัมพันธ์ แม้จะเล็กๆ ระดับนาโน เทรนด์เหล่านี้ล้วนเป็นตัวเลือกที่ส่งเสริมให้เกิดความมั่นใจในการระบุถึงความต้องการของตัวเอง”

ชวนมาทำความเข้าใจเทรนด์จาก Tinder ที่สะท้อนถึงพฤติกรรมการเดตว่าทุกวันนี้คนรุ่นใหม่กำลังมองหาความสัมพันธ์และให้คุณค่ากับสิ่งใดในความรักบ้าง 

1. Loud Looking ความสัมพันธ์ที่ชัดแบบตะโกน

คนโสดเริ่มเบื่อความคลุมเครือและความไม่แน่นอน สังเกตได้จากหน้าประวัติส่วนตัวบน Tinder ในปี 2567 ที่มีการระบุอย่างชัดเจนมากขึ้นว่าแต่ละคน ‘กำลังมองหา’ สิ่งใดในความสัมพันธ์ เช่น มีจำนวนผู้ใช้แอพฯ ที่ระบุว่า ‘หาคนรักจริงหวังแต่ง’ ใน Dating Goal กว่า 57% หรือมีการอธิบายตัวตนของตัวเองอย่างตรงไปตรงมามากขึ้น เช่น นิยามตัวเองว่าเป็น ‘ผู้ชายในแวดวงการเงิน’ หรือ ‘เพื่อนสาวนักเล่นเกม’ 

สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าคนโสดมีความกล้าและชัดเจนมากขึ้นในการบอกว่าตัวเองต้องการอะไรในความสัมพันธ์ ทั้งนี้ Tinder คาดการณ์ว่าสิ่งนี้อาจเป็นผลกระทบจากการที่คนโสดหลายคนเคยเผชิญกับสภาวะสมมติฐานที่ก่อตัวในช่วงการแพร่ระบาด (Assumptions Epidemic) ซึ่งหมายถึงการตีความหรือคิดไปเองที่ผิดพลาด เช่น ตีความพฤติกรรมของอีกฝ่ายที่ตั้งใจดีเป็นสัญญาณ red flag จากความเข้าใจผิด

สิ่งที่คนโสดมองหาจึงเป็นความสัมพันธ์ชัดแบบตะโกนที่แต่ละฝ่ายชัดเจนว่าต้องการอะไร มีขอบเขตที่ชัดเจนในความสัมพันธ์ซึ่งสื่อให้เห็นว่าไม่เหลือที่ว่างให้ความสัมพันธ์ที่คลุมเครืออย่างสถานะคนคุยอีกต่อไป

2. Kiss-met ความสัมพันธ์แบบรักนี้ชะตาลิขิต

‘การวางแผนเดตแบบไม่ได้วางแผน’ จะกลายเป็นไวบ์ใหม่ในปี 2568 จากสถิติบน Tinder พบว่ามีความสัมพันธ์ใหม่เกิดขึ้นทุก 3 วินาทีแต่การสานต่อความสัมพันธ์ต่อไปนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นการเดตโรแมนติกที่จริงจังในรูปแบบเดิมเสมอไป แต่อาจเป็นการทำกิจกรรมด้วยกันก่อนเพื่อศึกษาทำความรู้จักกันเพิ่มเติมก่อนเดินหน้าต่อ

ผลสำรวจพบว่าคนโสดเกือบ 40% ระบุว่าในปี 2568 จะให้ความสำคัญกับการนัดเดตผ่านการเดินป่าแบบเหงื่อท่วมตัวมากถึง 34% หรือวางแผนเข้าคลาสปั้นดินเผาและทริปซื้อของวินเทจ เหล่านี้เป็นไอเดียเดตที่คนโสดมองหาความสุขใจในการทำกิจกรรมร่วมกันและอยากให้ความรักเกิดขึ้นโดยธรรมชาติมากขึ้น

Tinder จึงให้ความหมายของเทรนด์นี้ว่า ‘รักนี้ชะตาลิขิต’ จากการที่ไม่ต้องเริ่มต้นปักใจว่าความสัมพันธ์จะเป็นแบบโรแมนติกทันทีเสมอไป แต่อยากปล่อยให้เกิดโมเมนต์อย่างเป็นธรรมชาติและทำให้การเดตเป็นเหตุการณ์น่าจดจำ

3. Nano-ships ความสัมพันธ์เล็กๆ ระดับนาโน

ในปี 2567 คนโสดมีมุมมองว่า ‘ฉันจะเคลมทุกเรื่องว่าเป็นเรื่องโรแมนติก ใครจะทำไม’ นั่นหมายความว่า
ช่วงเวลาที่โรแมนติกแม้เพียงน้อยนิดก็เปี่ยมด้วยความหมาย ไม่ว่าจะเป็นจังหวะแรกที่สบตากับใครบางคนในรถไฟฟ้าใต้ดินที่ทำให้ใจเต้น หรือเมื่อมีคนส่งข้อความทักทายมาหาเป็นประจำว่าสวัสดียามเช้า

ตัวอย่างความสัมพันธ์แบบ ‘คุยกันผ่านสายตา’ และ ‘คบกันผ่านข้อความ’ เหล่านี้เรียกว่าความสัมพันธ์เล็กๆ ระดับนาโนซึ่งกลุ่มคนโสดในทุกวันนี้กำลังสนุกกับการเชื่อมต่อกันผ่านปฏิสัมพันธ์เล็กน้อยเพื่อค้นหาคนที่ใช่ เทรนด์นี้ถือเป็นแง่บวกที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการมองโลกในแง่ดีและชื่นชมกับเรื่องราวดีๆ ซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นระหว่างทางมากขึ้น

นอกจากสามเทรนด์หลักดังกล่าวแล้ว Tinder ยังสรุปสิ่งที่ทำให้การเดตไปต่อได้ไกล ได้แก่ เดตกันเหมือนเป็นทีมสปอร์ตซึ่งหมายถึงการไม่เพียงสร้างประทับใจต่อคู่เดตของตัวเองแต่ต้องเอาชนะใจบรรดาคนรอบตัวของอีกฝ่ายด้วย เพราะผลสำรวจพบว่าคนโสดเกือบ 60% จะหันไปขอคำแนะนำจากเพื่อน คำแนะนำอีกอย่างคือเน้นที่การสื่อสารที่ซื่อสัตย์และชัดเจน

ทั้งหมดนี้ทำให้ Tinder สรุปหัวใจหลักของการเดตในปี 2568 ไว้ว่าสิ่งที่คนโสดมองหาคือคนที่มีลักษณะนิสัยไทป์โกลเด้น หรือคนที่มีความซื่อสัตย์ มีความเป็นมิตร มีพลัง โดยวิเคราะห์จากพฤติกรรมและคุณค่าของคนโสดยุคใหม่ที่มองหาคนที่มีระดับพลังงานที่เหมือนกันและมีความมุ่งมั่นกับทุกความสัมพันธ์อย่างจริงใจ

ใครอยากอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Year in Swipe™ ของ Tinder ตามไปดูสรุปข้อมูล dating trend สนุกๆ เพิ่มเติมได้ที่ yearinswipe.com

รู้จักกับ ‘นักทัศนมาตร’ วิชาชีพสำคัญที่แว่นท็อปเจริญ และ DPU พร้อมปั้นสู่สังคมไทย

ไม่ว่าจะหันซ้ายหรือหันขวาล้วนเห็นผู้คนใส่แว่นสายตา แนบชิดติดหน้าแทบไม่ต่างจากอวัยวะส่วนที่ 33 ของร่างกาย สมติวันใดวันหนึ่งชำรุดหล่นหายคงลำบากตาพร่าโลกหมองเบลอตลอดทั้งวัน 

และสำหรับใครที่ต้องสวมใส่แว่นหรือเคยตัดแว่นน่าจะรู้ดีว่า เราไม่อาจเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปตัดแว่นเองได้ แต่ต้องมี ‘หมอสายตา’ หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า ‘นักทัศนมาตร’ (Optometrist) เป็นผู้ตรวจค่าสายตาเสียก่อน เมื่อสรุปเสร็จเรียบร้อยจึงจะเข้าสู่กระบวนการตัดแว่นได้ นี่จึงเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่มีความสำคัญต่อสังคม

ทว่าจำนวนผู้มีปัญหาทางสายตาที่มีมากสวนทางกับจำนวนหมอสายตาที่มีอยู่ ทำให้บางพื้นที่การรักษาและตรวจทานสายตายังเป็นเรื่องยากที่จะเข้าถึง และด้วยปัญหาที่ว่านี้เอง ‘แว่นท็อปเจริญ’ ผู้ให้บริการแว่นสายตาในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน 77 ปี จึงปักหมุดหมายสำคัญใหม่ นั่นคือการผลิตหมอสายตาที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านสายตาและระบบการมองเห็น ในสาขาวิชาทัศนมาตรศาสตรบัณฑิต (Doctor of Optometry, O.D.) 

ทั้งนี้ แว่นท็อปเจริญได้จับมือร่วมกับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เพื่อลงนาม MOU จัดตั้ง ‘วิทยาลัยทัศนมาตรศาสตร์@ท็อปเจริญ’ เพื่อทำให้เป้าหมายสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีปราการด่านสุดท้ายก่อนเข้าสู่ชีวิตวัยทำงานอย่างมหาวิทยาลัย เป็นสถานที่ฟูมฟักวิชา พร้อมกับการปูเส้นทางให้เด็กไทยก้าวสู่การเป็นหมอสายตา ซึ่งเป็นหนึ่งในอาชีพที่มีความมั่นคง ขณะเดียวกันการเพิ่มจำนวนหมอสายตายังทำให้ประชาชนเข้าถึงการดูแลสุขภาพสายตาได้ง่ายขึ้น โดยแว่นท็อปเจริญหวังว่าจะเพิ่มจำนวนหมอสายตาครอบคลุมแว่นท็อปเจริญกว่า 2,000 สาขาทั่วประเทศ
นอกจากจะเป็นการซัพพอร์ตผู้มีปัญหาทางสายตา นายแพทย์นพศักดิ์ ตรีพรชัยศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแว่นท็อปเจริญ–บริษัท ร่วมเจริญพัฒนา จำกัด (มหาชน) ยังอธิบายถึงเป้าหมายการสร้างหมอสายตารุ่นใหม่เพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการตอบโจทย์สังคมผู้สูงอายุที่มีจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลด้านสายตาอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันยุคปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลยังเข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตประจำวัน จึงจำเป็นต้องมีการเตรียมพร้อมหลักสูตรการดูแลสายตาให้เท่าทัน 

ที่สำคัญคือสังคมยุคนี้ให้ความสำคัญกับเทรนด์การดูแลรักษาสุขภาพ แว่นท็อปเจริญซึ่งมีความตั้งใจในการดูแลสายตาคนไทยให้มีคุณภาพจึงต้องปรับตัวและพัฒนาไปกับความต้องการเหล่านี้เช่นกัน โดยนักศึกษาที่อยู่ในหลักสูตรสาขาวิชาทัศนมาตรศาสตรบัณฑิตจะได้ร่ำเรียนหลักสูตรที่ทันสมัย ไปจนถึงการฝึกใช้นวัตกรรมและเครื่องมือเทคโนโลยีให้ช่ำชองก่อนออกไปทำงานจริง

ถึงตรงนี้ขออธิบายความสำคัญของอาชีพนักทัศนมาตรเพิ่มเติมอีกสักหน่อย อาชีพนี้ถือเป็นอาชีพหมอทางด้านสายตา ที่เมื่อสำเร็จการศึกษาครบหลักสูตรจะสามารถขอใบประกอบวิชาชีพ ‘หนังสืออนุญาตให้ทำการประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยทัศนมาตรศาสตร์’ จากกระทรวงสาธารณสุข โดยสามารถนำทักษะความรู้ความสามารถเพื่อใช้ในการดูแลรักษาคนไข้ได้เทียบเท่าแพทย์ทั่วไป เป็นด่านแรกในการคัดกรองผู้ที่มีปัญหาด้านสายตาให้ทันรับการรักษาก่อนที่อาการจะลุกลามบานปลาย

เมื่อสำเร็จหลักสูตร 6 ปีของวิทยาลัยทัศนมาตรศาสตร์@ท็อปเจริญ สาขาวิชาทัศนมาตรศาสตร์บัณฑิต  นักศึกษาจะต่อยอดเส้นทางอาชีพได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักตรวจวัดสายตาประจำสถานพยาบาล ผู้ร่วมศึกษาวิจัยกับหน่วยงานรัฐหรือเอกชนการคัดกรองสุขภาพสายตาเบื้องต้นที่ร้านแว่นตา หรือการเข้าทำงานกับบริษัทผลิตเลนส์สายตา คอนแทคเลนส์ และบริษัทเครื่องมือแพทย์ รวมทั้งยังสามารถต่อยอดองค์ความรู้สู่ผู้เชี่ยวชาญหรืออาจารย์ในสถาบันการศึกษา เพื่อสร้างหมอสายตารุ่นใหม่แก่สังคม

สำหรับวัยรุ่นคนไหนที่มีความฝันอยากเป็นหมอสายตาสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากทางมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ที่เว็บไซต์  www.dpu.ac.th และสามารถขอรับบริการตรวจสุขภาพสายตาฟรีกับนักทัศนมาตรและผู้เชี่ยวชาญได้ที่ร้านแว่นท็อปเจริญ กว่า 2,000 สาขา หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line ID: @topcharoen และเพจเฟซบุ๊ก Top Charoen Optical-Official และเว็บไซต์ www.topcharoen.co.th

วิธีฟูมฟัก Little Fits แพลตฟอร์มเช่าเสื้อผ้าลูกน้อยรายแรกของไทยเพื่อแก้ปัญหาขยะเสื้อผ้า

เด็กเล็กโตเร็วกว่าที่คิด…
ในช่วงวัย 0-2 ขวบ เด็กอาจใช้เสื้อผ้ามากถึง 90 ชิ้น หากนับรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ตัวเลขอาจพุ่งสูงถึงหลักแสนบาท เพราะร่างกายของเด็กวัยนี้เปลี่ยนแปลงเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เสื้อผ้าที่ซื้อมาใหม่เพียงไม่กี่สัปดาห์อาจถูกทิ้งโดยไม่ทันได้ใช้งานอย่างคุ้มค่า
ปัญหานี้เป็นจุดเริ่มต้นของ Little Fits บริการเช่าเสื้อผ้าเด็กตั้งแต่ 0-2 ขวบรายแรกของไทย ที่ช่วยพ่อแม่ลดภาระค่าใช้จ่ายและลดขยะเสื้อผ้า ด้วยระบบการเช่าที่สามารถเปลี่ยนไซส์ได้ตลอดเวลา
ผู้อยู่เบื้องหลังไอเดียนี้คือ ต้า–ธนกฤต จินดามัยกุล และ เซน–นรเทพ ถนอมบุญ สองนิสิตปี 4 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ที่มองเห็น pain point ของการที่เสื้อผ้าเด็กถูกใช้เพียงชั่วคราวและกลายเป็นขยะเร็วเกินคาด พวกเขาตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนปัญหานี้ให้กลายเป็นโอกาสในการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน 

First Steps

กว่าจะมาเป็น Little Fits ต้องย้อนกลับไปช่วงต้นปี 2567 ทั้งคู่เป็นนิสิตในภาควิชาวิศวกรรมเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แม้ทั้งสองจะไม่ได้เรียนในสายแฟชั่น ออกแบบเสื้อผ้า หรือบริหารธุรกิจมาโดยตรง แต่ด้วยความสนใจปัญหาหรือสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว จึงตัดสินใจร่วมมือกันสร้างแพลตฟอร์ม Little Fits บริการเช่าเสื้อผ้าเด็กที่เปลี่ยนไซส์ได้ตลอดเป็นรายแรกของไทย

“ผมชอบแก้ปัญหาและเคยทำโปรเจกต์แผนธุรกิจเพื่อประกวดในมหาวิทยาลัย แต่สุดท้ายโปรเจกต์เหล่านั้นก็ไม่ได้ถูกพัฒนาต่อ ผมจึงเริ่มมองหาโอกาสที่จะใช้ทักษะของตัวเองในการแก้ปัญหาให้เกิดผลที่จับต้องได้” ต้า ผู้ร่วมก่อตั้ง Little Fits เล่า

ขณะเดียวกัน เซนได้ค้นพบอีกหนึ่ง pain point ที่สะท้อนชัดในชีวิตประจำวัน คือปัญหาเรื่องเสื้อผ้าเด็กวัย 0-2 ขวบ ที่พ่อแม่มักจะต้องเปลี่ยนทุก 2-3 เดือน เขาเล่าว่าปัญหานี้ไม่เพียงเพิ่มค่าใช้จ่าย แต่ยังสร้างขยะเสื้อผ้าจำนวนมาก ทั้งสองจึงเริ่มต้นจากจุดนี้และค่อยๆ พัฒนาไอเดียจนกลายเป็นแพลตฟอร์ม Little Fits  

“เราลงมือค้นคว้าอย่างจริงจังมาก ทั้งการหาข้อมูลออนไลน์ ไปงานแฟร์แม่และเด็ก และพูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่หลายคน กระบวนการนี้ใช้เวลานานถึง 3-4 เดือน เพื่อให้เข้าใจ pain point ที่แท้จริง เราพบว่าสิ่งที่พ่อแม่หลายคนย้ำตรงกันคือปัญหาเรื่องการเปลี่ยนไซส์บ่อย เสื้อผ้าที่เพิ่งซื้อมาใส่ได้เพียง 1-2 ครั้งก็เล็กเกินไป และส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าจะส่งต่อไปที่ไหน ปัญหานี้กลายมาเป็นจุดตั้งต้นของ business model ที่ตอบโจทย์ทั้งการลดค่าใช้จ่ายและแก้ไขปัญหาเสื้อผ้าที่เหลือใช้” ต้าเล่า 

การเก็บข้อมูลไม่ได้จำกัดอยู่แค่การสัมภาษณ์ แต่ยังรวมถึงการวิเคราะห์ปริมาณขยะจากเสื้อผ้าเด็กในประเทศไทย เด็กวัย 0-2 ขวบแต่ละคนอาจใช้เสื้อผ้าถึง 90 ชิ้น หากคิดจากจำนวนเด็กประมาณ 1 ล้านคนในแต่ละปี เท่ากับว่ามีเสื้อผ้าถูกใช้งานเพียงชั่วคราวและกลายเป็นขยะมากถึง 90 ล้านชิ้น  

First Words

Little Fits เลือกดำเนินธุรกิจในรูปแบบออนไลน์ 100% เพื่อให้การใช้งานสะดวกและเข้าถึงพ่อแม่ยุคใหม่ได้ง่าย โมเดลธุรกิจนี้ไม่เพียงช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ครอบครัว แต่ยังช่วยลดปริมาณขยะเสื้อผ้าเด็กในสังคมไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งคู่ยังมองว่าธุรกิจตนเองเป็น niche market หรือตลาดเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะในฐานะร้านเช่าเสื้อผ้าเด็ก ที่ต้องเจาะกลุ่มพ่อแม่ยุคใหม่ ความยากจึงตกมาอยู่ที่การสร้างการรับรู้ และทำให้ลูกค้ากล้าเปิดใจลองใช้บริการ

ทีม Little Fits ใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย โดยการทำคอนเทนต์ให้สนุกและน่าสนใจ เพื่อถ่ายทอดความตั้งใจของแบรนด์และบริการเช่าเสื้อผ้าเด็กในรูปแบบที่เข้าใจง่าย

“โจทย์สำคัญคือทำให้ลูกค้าเข้าใจว่าเราคืออะไร เพราะบริการของเราไม่ใช่การเช่ารายชิ้นระยะสั้น แต่เป็นการเช่าระยะยาวที่ช่วยแทนการซื้อขาด” ต้าเล่าถึงความท้าทายในการสื่อสารช่วงแรก ก่อนที่เซนจะอธิบายเสริม

“คนส่วนใหญ่จะไม่ชินกับการเช่าเสื้อผ้าเด็ก เราต้องแสดงให้เห็นว่าธุรกิจของเราไม่ใช่แค่การเช่าเสื้อผ้า แต่เป็นการช่วยแก้ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ลดปริมาณขยะ และสร้างทางเลือกที่ยั่งยืนสำหรับครอบครัว เราคิดว่าเสื้อผ้า 1 ชิ้นควรจะหมุนเวียนได้อย่างน้อย 3 ครอบครัวหรือการเช่า 3 ครั้งซึ่งจริงๆ อาจจะเกินกว่านั้นด้วยซ้ำ” 

คำถามที่พบบ่อยที่สุดจากกลุ่มพ่อแม่คือ รายละเอียดเกี่ยวกับบริการเช่าเสื้อผ้ามีอะไรบ้าง คิดเป็นประมาณ 70% ของการสอบถามทั้งหมด  ทีมงานจึงมุ่งเน้นการให้ข้อมูลที่ชัดเจนเพื่อสร้างความมั่นใจและกระตุ้นให้ลูกค้ากล้าทดลองใช้ ปัจจุบันเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในความเข้าใจของกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะคุณแม่ที่ดูคอนเทนต์ของแบรนด์ หลายคนสนใจและอยากทดลองใช้บริการหลังชมวิดีโอที่อธิบายกระบวนการอย่างละเอียด 

อย่างไรก็ตาม ยังมีลูกค้าบางส่วนที่ไม่คุ้นเคยกับโซเชียลมีเดียหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจ ในกรณีนี้ ทั้งคู่เลือกตอบคำถามและให้ข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อขจัดความกังวลและสร้างความมั่นใจในบริการของ Little Fits พวกเขามองว่าการให้ความรู้เชิงลึกเช่นนี้เป็นก้าวสำคัญในการสร้างความเข้าใจและความน่าเชื่อถือในระยะยาว 

First Care

การเริ่มต้นใช้งาน Little Fits ทำได้ง่ายๆ เพียงลูกค้าสมัครสมาชิกผ่านเว็บไซต์ จากนั้นเลือกแพ็กเกจและชำระเงินตามที่กำหนด เสื้อผ้าจะถูกจัดส่งถึงบ้าน และเมื่อลูกค้าต้องการเปลี่ยนไซส์ สามารถลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์หรือแอดไลน์ของบริษัทเพื่อดำเนินการ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

ปัจจุบันแพ็กเกจของ Little Fits มีให้เลือก 2 แบบ คือ แพ็กเกจ 5 ชิ้น ราคา 690 บาทต่อเดือน และแพ็กเกจ 9 ชิ้น ราคา 1,090 บาทต่อเดือน ในอนาคตทางแบรนด์มีแผนจะเพิ่มทางเลือกให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในด้านจำนวนเสื้อผ้าและความคุ้มค่า

หนึ่งในแนวคิดที่โดดเด่นของ Little Fits คือโครงการ Little Fits BuyBack ซึ่งเปิดโอกาสให้ลูกค้าซื้อเสื้อผ้ามือหนึ่งจากแบรนด์ และขายคืนกลับมาได้ ถือเป็นระบบแรกในไทยที่นำเสื้อผ้ากลับมาหมุนเวียนใช้งานอีกครั้ง ในแพ็กเกจ Little Fits BuyBack ลูกค้าที่ซื้อเสื้อผ้าแบรนด์สามารถขายคืนสินค้าได้ในราคาชิ้นละ 100 บาท โดยเสื้อผ้าจะถูกนำกลับเข้าสู่ระบบเช่า เพื่อหมุนเวียนและใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ทั้งคู่ยังมีทีมที่คอยซ่อมแซมเสื้อผ้าที่ลูกค้าส่งกลับมาแล้วย่นหรือเสียหาย แต่หากซ่อมไม่ได้จริงๆ ก็เลือกจัดการอย่างเหมาะสม หากยังพอใช้งานได้จะส่งต่อให้คนที่ต้องการ เพื่อให้เสื้อผ้าทุกตัวเกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนั้นทั้งคู่ยังแนบการ์ดวิธีการดูแลเสื้อผ้าไปด้วยทุกครั้ง เพื่อช่วยให้เสื้อผ้าอยู่ในสภาพดี และใช้ได้นานที่สุด

ถึงอย่างนั้น เมื่อทำงานกับเด็กเล็กก็ย่อมมาพร้อมกับความกังวลเรื่องสุขอนามัย Little Fits จึงใส่ใจทุกขั้นตอนการดูแลเสื้อผ้าหลังการเช่า โดยทำงานร่วมกับร้านซักรีดมืออาชีพที่ผ่านการคัดสรร เสื้อผ้าทุกชิ้นจะถูกซักด้วยน้ำยาสำหรับเด็ก และอบฆ่าเชื้ออีกครั้ง จากนั้นจะตรวจสอบคุณภาพอย่างละเอียด หากไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด เสื้อผ้าจะถูกส่งต่อให้ผู้ที่ต้องการหรือบริจาค  

“เราต้องการให้ลูกค้าเข้าใจว่าเสื้อผ้ามือสองไม่ได้ด้อยกว่ามือหนึ่งเสมอไป แต่สิ่งสำคัญคือกระบวนการดูแลที่พิถีพิถัน เพื่อให้พ่อแม่มั่นใจว่าลูกน้อยจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุด” Little Fits กล่าวถึงความมุ่งมั่นในการสร้างความมั่นใจและเปลี่ยนมุมมองของผู้บริโภคเกี่ยวกับเสื้อผ้าเช่าในอนาคต

First Growth

ปัจจุบัน Little Fits ไม่เพียงให้บริการเช่าเสื้อผ้าเด็ก แต่ยังผลิตเสื้อผ้าเองภายใต้แบรนด์เดียวกัน โดยเน้นออกแบบเสื้อผ้าสำหรับเด็กวัย 0-2 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่โตเร็วและเปลี่ยนไซส์บ่อย Little Fits จึงตอบสนองปัญหานี้ด้วยการออกแบบเสื้อผ้าที่ไม่เพียงใส่ใจวัสดุธรรมชาติ แต่ยังคำนึงถึงการออกแบบที่เน้นการใช้งานให้เหมาะกับทุกวาระโอกาส เพื่อสร้างความยั่งยืนในวัฏจักรเสื้อผ้าเด็ก

“fast fashion เป็นปัญหาใหญ่ แต่เสื้อผ้าเด็กมักถูกมองข้าม ทั้งที่สร้างขยะไม่น้อย เราต้องการสื่อสารให้สังคมเข้าใจถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเปลี่ยนมุมมองต่อการบริโภคเสื้อผ้าเด็ก อีกทั้งในการผลิตเสื้อผ้าเด็ก เราเลือกใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น กระดุมไม้หรือเปลือกหอย และเนื้อผ้าคุณภาพสูง เพื่อให้เหมาะกับผิวอันบอบบางของเด็กแรกเกิด” ต้ากล่าว

เซนเสริมเรื่องการออกแบบว่า “เราอยากให้เด็กเติบโตในโลกที่ไม่ได้สร้างขยะ นี่คือเหตุผลที่ทำให้เราออกแบบเสื้อผ้าที่เรียบง่าย ใช้ได้ทุกโอกาส ไม่ตามเทรนด์แฟชั่น แต่มีความหรูแบบ quiet luxury ซึ่งเน้นใช้งานจริง 

“ที่น่าสนใจคือ ตอนแรกเราคิดว่าลูกค้าจะนิยมเช่าเสื้อคาร์ดิแกน แต่สิ่งที่ได้รับความนิยมกลับเป็นบอดี้สูท ซึ่งเหมาะกับเด็กวัย 0-2 ขวบมากกว่า นี่เป็นบทเรียนสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจและปรับตัวตามความต้องการลูกค้าได้ดีขึ้น”

ในอนาคต Little Fits วางแผนเปิดตัวคอลเลกชั่นใหม่ พร้อมโอกาสร่วมงานกับแบรนด์อื่นๆ เพื่อขยายแนวคิดเรื่องความยั่งยืน และนำเสนอตัวเลือกหลากหลายให้พ่อแม่ยุคใหม่ที่ใส่ใจทั้งคุณภาพและสิ่งแวดล้อม 

นอกจากเสื้อผ้าเด็กวัย 0-2 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก Little Fits กำลังพิจารณาขยายบริการไปยังกลุ่มเด็กที่โตขึ้น เช่น เด็กวัย 3 ปีขึ้นไป ที่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อย รวมถึงการเพิ่มสินค้าประเภทอื่น เช่น รองเท้า หรือสินค้าที่ใช้งานในชีวิตประจำวัน

First Dreams

นับตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ อาจเรียกได้ว่า Little Fist ถือเป็นธุรกิจบริการที่ได้รับเสียงตอบรับค่อนข้างดี แม้จะเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ก็สร้างความกดดันให้นักธุรกิจมือใหม่ทั้งสองไม่น้อย อย่างไรก็ตามพวกเขาเตรียมใจและพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นและวางแผนธุรกิจในอนาคตอย่างจริงจัง

ต้าเผยว่า “ในอนาคตเราวางแผนจะร่วมงานกับแบรนด์ไทยหลายราย ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการพูดคุย หน้าที่ของเราคือการทำข้อตกลงหรือหาบทสรุปเรื่องการแบ่งค่าใช้จ่าย และผลกำไรให้ลงตัวที่สุด ซึ่งมันไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่คือการสร้างระบบที่ช่วยหมุนเวียนทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะหลายแบรนด์มีเสื้อผ้าที่ไม่ได้ขายแล้ว เป็นคอลเลกชั่นเก่าหรือเสื้อผ้าที่มีตำหนิเล็กน้อย เราอยากให้เสื้อผ้าเหล่านี้กลับมามีคุณค่า ด้วยการนำมาร่วมในระบบเช่า เพื่อหมุนเวียนทรัพยากรแทนที่จะทิ้งไป”

ในเชิงธุรกิจ ทั้งคู่ยังเผยว่ากำลังคุยกับนักลงทุนเพื่อขยายกิจการและต้องพัฒนาระบบหลายส่วน รวมถึงสร้างพื้นที่จัดเก็บเสื้อผ้าให้ได้มากขึ้น ไม่ใช่แค่รองรับแบรนด์ของเราเอง แต่เพื่อสร้าง ecosystem ที่ครบวงจรและสมบูรณ์แบบที่สุด 

What I’ve Learned
ต้า: “เราไม่มีทางรู้หรอกว่าไอเดียนั้นจะเวิร์กหรือเปล่า จนกว่าเราจะได้ลองทำและปรับแก้ไปตามสถานการณ์ อย่างธุรกิจของเราเอง ตอนเริ่มต้นก็คาดหวังว่าเปิดแล้วจะมีลูกค้าเยอะ แต่ในความเป็นจริงมันต้องใช้เวลา เราคิดว่าไม่มีไอเดียไหนที่เพอร์เฟกต์ตั้งแต่วันแรก ทุกอย่างต้องการความสม่ำเสมอ และที่สำคัญคืออย่ายอมแพ้" 

วิถีประมงยั่งยืนของ ‘คนทะเล’ ที่พลิกวิกฤตเป็นโอกาสจนชนะ Banpu Champions for Change 

253 กิโลเมตร คือระยะทางระหว่างกรุงเทพฯ ไปถึงตำบลเขาแดง อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวงดงามลำดับต้นๆ ของประเทศไทย โดยมีจุดชมวิวบนอุทยานเขาสามร้อยยอด จรดน้ำทะเลสีครามไกลสุดลูกหูลูกตาของอ่าวทุ่งน้อย เป็นแลนด์มาร์กสะกดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติที่มาเยี่ยมเยียน

เมื่อธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ คนก็พลอยมีสุขมีกิน เฉกเช่น ‘คนทะเล’ (Khontalay) แบรนด์ธุรกิจจัดจำหน่ายอาหารทะเลออร์แกนิก 100% ซึ่งเกิดจากความรู้ในวิชาชีพประมงของชาวบ้านชุมชนบ้านทุ่งน้อย ในตำบลเขาแดง ที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นจนมาถึงมือของ ‘นิสสัน–กิตติเดช เทศแย้ม’ ทายาทคนปัจจุบัน ไม่ว่าจะปลาอินทรีตัวอวบอ้วน ปลาทูสดตาใส กุ้งแชบ๊วยเนื้อกรอบเด้ง ฯลฯ ล้วนเป็นผลผลิตมูลค่ามหาศาลที่หาได้จากท้องทะเลแถบนี้

มองจากสายตาคนนอก ท้องทะเลก็มิต่างจากขุมทรัพย์ที่พร้อมหยิบใช้ได้ทุกเมื่อ แต่หากมองตามความเป็นจริง ทรัพยากรในทะเลยิ่งถูกใช้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งหมดไว ซ้ำหากใช้อย่างไม่ทนุถนอมก็ยิ่งหมดไปอย่างถาวร โดยกิตติเดชบอกกับเราว่า นับตั้งแต่ปี 2554-2563 มีสัตว์น้ำในอ่าวทุ่งน้อยลดลงไปมากกว่า 80% และมีท่าทีจะลดลงเรื่อยๆ

ด้วย pain point ที่ว่ามานี้เอง กิตติเดชและกลุ่มชาวประมงบ้านทุ่งน้อยจึงตัดสินใจพลิกวิถีการทำประมงพาณิชย์เสียใหม่ ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูทรัพยากรนานาสัตว์น้ำให้ยั่งยืน ซึ่งเป้าหมายที่ว่านี้พวกเขาไม่ได้ทำโดยลำพัง เพราะยังได้บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) และสถาบัน ChangeFusion ร่วมสนับสนุน ภายใต้โครงการ ‘พลังเปลี่ยนแปลงเพื่อสังคม’ (Banpu Champions for Change: BC4C) ปีที่ 13 ด้วยโมเดลการทำธุรกิจแบบ social enterprise

รู้เรา รู้ปัญหาธรรมชาติ 

แต่ก่อนจะพูดถึงเรื่องการทำธุรกิจประมงยั่งยืน กิตติเดชอาสาพาเราไปรู้จักกับวิถีชีวิตของชาวประมง ซึ่งเขาเรียนรู้และซึมซับมาตั้งแต่เด็กจาก ‘ปิยะ เทศแย้ม’ ผู้เป็นพ่อตั้งแต่ 8 ขวบ ระหว่างล่องเรือชมธรรมชาติ กิตติเดชเล่าให้ฟังว่าพื้นที่ทะเลแถบนี้คือแหล่งพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านต่างยึดอาชีพประมงจับสัตว์น้ำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง 

แต่ด้วยความอุดมสมบูรณ์ที่ว่าเปรียบเสมือนดาบสองคม ในการเชื้อเชิญประมงพาณิชย์จากทั่วทุกสารทิศเข้ามาตักตวงผลประโยชน์ อวนรุน อวนลาก อวนตาถี่ และอีกสารพัดเครื่องมือขนาดยักษ์ถูกเหวี่ยงลงลากเอาสัตว์น้ำ แสดงอนุภาพครูดลากทำลายระบบนิเวศ และชีวิตของสัตว์น้ำวัยอนุบาล ปิดโอกาสการฟื้นคืนของธรรมชาติ

กิตติเดชเล่าต่อถึงผลกระทบที่เกิดจากการทำประมงพาณิชย์โดยไม่คำนึงถึงธรรมชาติที่ชัดเจนที่สุด คือจำนวนตัวเลขของ ‘ปลาทู’ ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งลดลงจากราวหลัก 100,000 ตัน เหลือเพียง 20,000 ตัน เนื่องจากแหล่งที่อยู่ของสัตว์น้ำวัยอนุบาลถูกทำลาย ขณะเดียวกันยังมีการทำประมงที่ต่อเนื่องโดยปราศจากการคำนึงถึงช่วงฤดูวางไข่ 

แน่นอนว่าปัญหาข้างต้นไม่ได้ส่งผลแค่คนทำอาชีพประมง สัตว์น้ำ และระบบนิเวศ เพราะผู้บริโภคเองยังต้องแบกรับราคาอาหารทะเลที่พุ่งสูงขึ้นเป็นทวีคูณ จากการที่ผลผลิตจากท้องทะเลมีจำนวนน้อยลง เพื่อแก้ไขวิกฤตที่เกิดขึ้น ปิยะผู้เป็นพ่อจึงรวบรวมชาวบ้านทุ่งน้อยสร้างเครือข่ายการทำประมงพื้นบ้านที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

เช่นรณรงค์ให้ใช้เครื่องมือประมงขนาดเล็กที่เหมาะกับการจับสัตว์น้ำพันธุ์นั้นๆ งดการใช้เรือคราดหอยซึ่งทำให้หน้าดินในระบบนิเวศเสียหาย แม้กระทั่งการงดบริโภคปูที่มีขนาดใหญ่กว่า 11 เซนติเมตร และไม่กินปูไข่นอกกระดอง ก็เป็นอีกแนวทางในการฟื้นฟูประชากรปูทะเลให้กลับมาเท่าแต่ก่อน ความตั้งใจนี้เอง ได้ถูกส่งต่อมาถึงรุ่นลูกอย่างกิตติเดช 

หนึ่งสิ่งที่คนในรุ่นของเขาทำคือการทำ ‘ซั้งกอ’ เครื่องมือจากภูมิปัญญาประมงพื้นบ้าน ซึ่งมีส่วนประกอบของทางมะพร้าว ปล้องไม้ไผ่ และแท่งซีเมนต์ นำมาผูกติดกัน ก่อนหย่อนลงสู่ทะเลเผื่อเป็นแหล่งอนุบาลของสัตว์น้ำขนาดเล็ก โดยซั้งกอสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ 

เหล่านี้นับเป็นวิธีที่เรียบง่าย แต่รู้ว่าปัญหาที่ท้องทะเลกำลังเผชิญคืออะไร และเราควรต้องปรับอะไรบ้างก่อนที่จะสายเกินแก้

โมเดลธุรกิจจากการเกื้อกูลกันระหว่าง ‘คน’ และ ‘ทะเล’

“ถ้าผมทำยังคงทำแบบเดิมคงไม่มีปิยะหรือกิตติเดชคนที่ 2”

ประโยคข้างต้นคือสิ่งที่กิตติเดชบอกกับเรา แน่นอนว่าการทำประมงอย่างยั่งยืนคือสิ่งที่กำลังเดินมาอย่างถูกต้อง แต่การพึ่งพาเพียงอาชีพประมงดูจะเป็นแนวคิดยึดติดจนเกินไป ดังนั้นกิตติเดชจึงนำแนวคิดและไอเดียการทำธุรกิจประมงที่มีความหลากหลาย ยื่นเสนอแก่โครงการ Banpu Champions for Change 

แน่นอนว่าไอเดียแรกยังไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องที่สุด ทาง Banpu และสถาบัน ChangeFusion จึงระดมสรรพความคิดเพื่อทำให้โมเดลธุรกิจของคนทะเลมีความเป็นไปได้ 

วิธีการทำมาร์เก็ตติ้ง การสร้างแบรนดิ้ง การบริหารบุคลากร ไปจนถึงการจัดการรายรับ-รายจ่าย คือส่ิงที่โครงการ Banpu Champions for Change เข้ามาช่วยซัพพอร์ตติดอาวุธทางความคิดให้กับคนทะเล ทั้งจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญ และ ‘ม้งไซเบอร์’ รุ่นพี่จากโครงการรุ่นก่อนที่มีแนวคิดทางธุรกิจคล้ายกัน ในการทำธุรกิจท่องเที่ยวแบบวิถีชาวม้ง บนอุทยานภูหินร่องกล้า อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อแนะนำวิธีการสร้างแบรนด์ให้ออกมาแข็งแกร่งและยั่งยืน

หลังผ่านการขัดเกลาไอเดีย ในที่สุดคนทะเลก็ได้กลายเป็น 1 ใน 3 ผู้ชนะจากโครงการ Banpu Champions for Change ปีที่ 13 โดยโมเดลธุรกิจของคนทะเลมีองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วนคือ

  1. การทำประมงด้วยความยั่งยืน จัดจำหน่ายอาหารทะเลที่ปราศจากสารฟอร์มาลีน ซึ่งเป็นมิตรต่อทั้งธรรมชาติ และเป็นมิตรต่อผู้บริโภค
  2. การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ซึ่งเป็นการนำวิถีประมงพื้นบ้าน และความรู้จากรุ่นสู่รุ่นที่มีอยู่ติดตัวมาเผยแพร่แก่นักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติทางท้องทะเล ทั้งการล่องเรือชมจุดแลนด์มาร์กสำคัญของอ่าวทุ่งน้อย การออกเรือตกหมึกยามค่ำคืน เวิร์กช็อปวิธีการทำซั้งกอ วิธีการทำเครื่องมือประมงพื้นบ้าน ทำอาหารสไตล์ชาวเล ไปจนถึงพักผ่อนร้านคาเฟ่กันป่ะ ซึ่งเป็นคาเฟ่ของคนในหมู่บ้าน

ด้าน รัฐพล สุคันธี ผู้อำนวยการสายอาวุโส – สื่อสารองค์กร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังโครงการ Banpu Champions for Change กล่าวกับเราว่า การเข้ามามีส่วนช่วยเหลือคนทะเล เป็นจุดมุ่งหมายสำคัญของ Banpu ในการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคมเป็นวงกว้าง ผ่านการนำภูมิปัญญาดั้งเดิมและทรัพยากรที่มีอยู่มาต่อยอด 

คนทะเลเป็นโมเดลธุรกิจที่มีความชัดเจน มีกลุ่มผู้บริโภคที่ชัดเจน มีแผนการตลาด และสามารถนำรายได้กระจายไปสู่ผู้คนในชุมชนอย่างทั่วถึง และเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าการทำธุรกิจแบบ social enterprise สามารถทำได้ถ้ามีการร่วมแรงร่วมใจ และมีความเข้าใจที่มากพอ

ก่อนจะจากกัน กิตติเดชยังทิ้งท้ายถึงเป้าหมายให้เราฟังว่า ภายในระยะเวลา 3 ปี จะทำให้คนทะเลกลายเป็นธุรกิจท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ (ecotourism) เต็มรูปแบบ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการอนุรักษ์บ้านเกิดที่ทำให้เขาและชาวบ้านมีกินมีอยู่ และพิสูจน์ให้เห็นว่าการทำธุรกิจแบบ social enterprise ทำได้จริงถ้ามีอุดมการณ์ชัดเจนมากพอ 

แต่อย่างที่โบราณกล่าวไว้ว่า ‘สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น’ ฉะนั้นใครที่อยากสัมผัสการทำประมงยั่งยืน ชิมซีฟู้ดสดใหม่ หรือพิสูจน์ว่าทำไมชาวบ้านทุ่งน้อยจึงยอมทุ่มเทแรงกายแรงใจปกป้องอนุรักษ์ท้องทะเลแห่งนี้นั้น สามารถมาได้ที่คนทะเล ตำบลเขาแดง อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ประสบการณ์หน้าร้านและสินค้าระดับ ‘โคตรสุด’ ของ Maw10 ร้านเสื้อผ้าและอุปกรณ์เอาต์ดอร์ 

ในวันที่เทรนด์การทำกิจกรรมเอาต์ดอร์ได้รับความนิยมมากขึ้น ผู้คนเริ่มใช้วันหยุดสุดสัปดาห์ไปกับการเดินเขา ปีนผา หรือวิ่งในสวนสาธารณะกันอย่างแน่นขนัด ร้านจำหน่ายสินค้าและอุปกรณ์ต่างๆ จึงเพิ่มจำนวนมากขึ้นตาม ขณะเดียวกันก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับกระแสที่ว่านี้ยิ่งขึ้น

เพราะนอกจากคุณภาพของสินค้าที่ต้อง ‘ทนมือ ทนเท้า’ ผู้ใช้งานระหว่างกิจกรรมที่สมบุกสมบันแล้ว เรื่องของความสวยงาม ดีไซน์ที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และรสนิยมของผู้สวมใส่ ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อเสื้อผ้าสักชุด รองเท้าสักคู่ หรือสารพัดอุปกรณ์ของคนกลุ่มนี้เช่นกัน 

ชาญ เพียรพัฒนาวิทย์

ชาญ เพียรพัฒนาวิทย์ ผู้ที่หลงใหลการทำกิจกรรมเอาต์ดอร์ยิ่งชีพจึงตัดสินใจเปิด Maw10 (อ่านว่า เมา-เท่น ซึ่งพ้องเสียงกับภาษาอังกฤษที่แปลว่า ภูเขา) เพราะอยากนำเข้าสินค้าที่เขาใช้คำว่า ‘โคตรสุด’ ทั้งในแง่คุณภาพ เทคโนโลยี ดีไซน์ และภาพลักษณ์ของแบรนด์ มาให้คนไทยได้ลองสัมผัส ลองสวมใส่  

หลังเปิดร้านผ่านช่องทางออนไลน์ไม่นาน ชาญตัดสินใจเปิดหน้าร้าน Maw10 ที่อ่อนนุช 39 อันเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างยิมปีนผา และสวนสาธารณะต่างๆ ภายในร้านตกแต่งโอ่โถง โล่งสบาย มีการเสริมกระจกเพื่อให้ดูโปร่งยิ่งขึ้น ทั้งยังจัดไฟ และใช้วัสดุตกแต่งให้ดูดีมากที่สุด 

ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสร้างประสบการณ์ระดับพรีเมียม แบบเดียวกับที่สินค้าเขาคัดสรรเข้ามา โดยหวังว่าลูกค้าที่มาแวะเวียนที่หน้าร้านจะเข้าใจและประทับใจสิ่งที่แบรนด์ระดับโลกและ Maw10 ต้องการส่งมอบ

รองเท้า Satisfy

Climbing Dreams

“เดิมที Maw10 เกิดจากปัญหาในการเลือกรองเท้าปีนผาของเราเลย” ชาญเล่าถึงจุดเริ่มต้นของแบรนด์

“เมื่อก่อนหากอยากได้รองเท้าคุณภาพดี ทางเดียวที่จะหาซื้อได้คือต้องไปสั่งมาจากต่างประเทศเท่านั้น ทว่าครองเท้าปีนผาจะแตกต่างกว่ารองเท้าประเภทอื่น ทั้งในเรื่องขนาดที่ต้องพอดีกับรูปเท้าทุกส่วน ทั้งปลายเท้า ส้นเท้า อุ้งเท้า มันมีรายละเอียดเยอะมาก

“หากจะให้ออนไลน์ จึงเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงมากว่าจะได้รองเท้าปีนผาตรงไซส์หรือเปล่า หรือมันจะเข้ากับรูปเท้าเราจริงๆ ไหม เราจึงคิดว่าถ้ามีร้านที่ให้คนลองรองเท้าปีนผาได้ ก็น่าจะตอบโจทย์และช่วยแก้ปัญหาของลูกค้าได้” 

สินค้าหลักของ Maw10 ที่เลื่องชื่อคือแบรนด์ Scarpa ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าเอาต์ดอร์จากประเทศอิตาลี และ Satisfy แบรนด์เสื้อผ้าออกกำลังกายจากฝรั่งเศส ชาญเล่าว่าเหตุผลที่นำเข้าทั้งสองแบรนด์นี้ เพราะเขามองว่านี่คือแบรนด์ที่ ‘เป็นที่สุด’ ทั้งในวงการปีนผาและวิ่งเทรล

“คำว่าสุดของเรา หมายถึงการเป็นแบรนด์ที่ทำเสื้อผ้าคุณภาพดีที่สุด มีเทคโนโลยีที่สุด มีการดีไซน์ที่ดีที่สุด รวมถึงทำการตลาดได้อีกด้วย เราว่าทุกคนคงต้องอยากลองสิ่งที่ดีที่สุดในทุกเรื่องอยู่แล้ว เราเลยอยากให้เขาได้ลองสินค้าของทั้งสองแบรนด์นี้ดู”

MAW10

Feel the Peak

ไม่นานนักหลังนำเข้าสินค้า ชาญตัดสินใจเปิดหน้าร้าน Maw10 ในย่านอ่อนนุช 39 ด้วยมองว่า การมีหน้าร้านเป็นเหมือนปลายทางที่ทำให้คนได้เข้ามาสัมผัสและรู้จัก ทั้งสินค้าและตัวแบรนด์มากยิ่งขึ้น

“ด้วยความที่สินค้าเรานำเสนอ ‘ความสุด’ ทั้งคุณภาพและเทคโนโลยี เราเลยอยากให้ลูกค้าได้เห็น ได้สัมผัสว่าไอ้ความสุดนี้มันเป็นยังไง อย่างเสื้อของแบรนด์ Satisfy จะมีบางรุ่นที่ขาดเป็นรู ซึ่งบางคนเขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีรู แต่ถ้าเข้าได้มาลองจับ ได้มาคุยกับเรา จะได้รู้ว่ามันแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ในตลาดยังไง 

“อีกอย่างการมีหน้าร้านยังเป็นเหมือนอีกหนึ่งหมุดหมายที่ทำให้แบรนด์ Maw10 มีความพรีเมียมและไฮเอนด์ ตามสินค้าที่นำเข้ามาจัดจำหน่ายด้วย”

ชาญยังมองว่ามากไปกว่าการเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เข้ามาสัมผัสสินค้าจริงแล้ว หน้าร้านยังมอบประสบการณ์และอารมณ์ร่วมให้แก่ลูกค้าได้ 

“ส่วนตัวเรารู้สึกว่าสินค้าที่เกี่ยวกับแฟชั่นมันต้องมีการสัมผัส มีการลองจับเนื้อผ้า ลองสวมใส่ ลองยืนมองตัวเองในกระจก มันถึงจะทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเหมาะกับแบรนด์และสินค้า การมีหน้าร้านจะเข้ามาช่วยเสริมในจุดนี้”

ส่วนโลเคชั่นบริเวณอ่อนนุช 39 ที่ดูเหมือนจะไกลจากตัวเมืองและห่างไกลจากลูกค้า ทว่าชาญกลับเลือกพื้นที่ตรงนี้อย่างถ้วนถี่ด้วยเป็นย่านที่ใกล้กับยิมปีนผาจำลอง เช่น Rock Domain หรือสวนสาธารณะอย่างสวนหลวง ร.9 ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กลุ่มลูกค้าของแบรนด์มักเข้าไปใช้บริการเป็นส่วนใหญ่ 

ชาญ เพียรพัฒนาวิทย์

The Climber’s Haven

เมื่อก้าวเท้าเข้ามาในดินแดนของ Maw10 สิ่งแรกที่สังเกตและรู้สึกได้ทันทีคือความโปร่ง ด้วยดีไซน์ที่ใช้กระจกเป็นองค์ประกอบหลัก การยกเพดานสูง รวมถึงการจัดวางไฟในตำแหน่งต่างๆ จนทำให้กลายเป็นหน้าร้านที่เข้ามาครั้งแรกแล้วรู้สึกสบายและกว้างขวางกว่าพื้นที่จริง 

ภายในยังตกแต่งด้วยปูนเปลือย ส่วนบรรดาสินค้าทั้งจากแบรนด์ Scarpa และ Satisfy ต่างถูกจัดวางในจุดที่แสงไฟตกกระทบอย่างสวยงาม ความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากเชื่อของชาญที่ว่าหน้าร้านที่ดีคือหน้าร้านที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกถูกดูดเข้าไปในโลกอีกใบ เพื่อดึงให้ลูกค้าได้ใช้เวลากับสินค้าที่ดี อยู่กับแบรนด์ที่ดี อยู่กับการบริการที่ดี จนทำให้รู้สึกอินกับมันได้มากขึ้น 

“ด้วยความที่สินค้าของเราเกี่ยวข้องกับการปีนผาและวิ่งเทรล เราเลยอยากให้มันดูโล่งสบาย รวมถึงจะเห็นได้ว่าเรามีหินจำลองสำหรับปีนผาติดไว้ที่ฝาผนังด้วย แต่ปีนไม่ได้นะ (หัวเราะ)” 

มากไปกว่าดีไซน์ที่ให้ความรู้สึก อีกเรื่องสำคัญคือการคำนึงถึงฟังก์ชั่นในการใช้ร้านให้ได้ประโยชน์สูงสุดเพราะนอกจากลูกค้าแล้ว ผู้ประกอบการ และพนักงานก็ต้องทำงานในพื้นที่นี้ด้วย ดังนั้นการจัดการต่างๆ เช่น ห้องเก็บสินค้า การทำโอเปอเรชั่นต้องวางแผนมาอย่างดีเพื่อให้คนทำงานทำงานได้สะดวกที่สุด

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ชาญมองว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำธุรกิจเกี่ยวกับ retailer หรือ distributor 

“การเป็นผู้นำเข้าหรือตัวแทนจำหน่าย สิ่งสำคัญที่สุดเราต้องดูว่าแบรนด์นั้นๆ เขาทำได้ดี ทำได้แตกต่าง และทำได้จริงอย่างที่โฆษณาไหม ทั้งดีไซน์ รวมถึงเทคโนโลยี ไม่ใช่เป็นสินค้าทั่วไปแล้วแค่เอาโลโก้มาแปะสร้างแบรนด์

ชาญ เพียรพัฒนาวิทย์ MAW10

“มากไปกว่านั้นคือเราต้องดูวิธีการทำการตลาดของเขาด้วย เพราะเราที่เป็นเหมือนตัวแทนของเขาต้องนำตัวตนและเอกลักษณ์ของแบรนด์นั้นๆ มานำเสนอให้กับกลุ่มผู้ซื้อชาวไทย ที่อาจจะไม่รู้จักแบรนด์นี้มาก่อน ถ้าหากตัวแบรนด์ทำได้ไม่ดีพอ ก็ยากที่จะทำให้คนไทยเปิดใจมาลองสินค้าแบรนด์ดังกล่าวได้” 

ขณะเดียวกันในฐานะผู้นำเข้าอย่างชาญก็ต้องนำเสนอสินค้าของแบรนด์ให้ดีที่สุด เช่นเดียวกับที่เขาตั้งใจสร้างหน้าร้าน Maw10 แห่งนี้ขึ้นเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีและตัวตนของแบรนด์ให้ลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติสัมผัสได้นั่นเอง

‘music marketing’ กลยุทธ์สร้างคาแร็กเตอร์ของ TOSTEM ผ่านบทเพลงกับศิลปินดัง

แบรนด์กรอบบานประตูหน้าต่างจะใช้กลยุทธ์ music marketing นำบทเพลงมาใช้ในการสร้างแบรนด์ได้ยังไง?

‘The Sensory Symphony’ เป็นแคมเปญที่ TOSTEM (ทอสเท็ม) แบรนด์ผลิตภัณฑ์ประตูและหน้าต่างอะลูมิเนียมสัญชาติญี่ปุ่นนำดนตรี ศิลปะ และการออกแบบมาใช้เพื่อสื่อสารความเป็นเอกลักษณ์ในโอกาสเฉลิมฉลองความสำเร็จในปีที่ 102 ของแบรนด์ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปี

 ผู้บริหารและศิลปินถ่ายภาพรวมกัน

แตกต่างจากผู้ผลิตประตูและหน้าต่างรายอื่นที่เน้นทำแคมเปญโฆษณาเพื่อขายความสวยงามและฟังก์ชั่นของสินค้าเท่านั้น TOSTEM อยากสร้างความทรงจำที่ดีกับลูกค้าและถ่ายทอดคุณค่าที่แบรนด์ให้ความสำคัญด้วยการแต่งบทเพลงของแบรนด์โดยเฉพาะชื่อ Open to Love พร้อมออกแบบคอลเลกชั่นที่ระลึก New Year Gift 2025 สุดพิเศษสำหรับแคมเปญนี้

จุดเด่นของ TOSTEM คือเป็นแบรนด์ที่เน้นดีไซน์สวยงาม มาตรฐานการผลิตระดับโลกและความปลอดภัย มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งดีไซเนอร์ สถาปนิก ดีเวลลอปเปอร์จนถึงผู้อยู่อาศัยที่มองหาสินค้าตกแต่งบ้านเอง แบรนด์จึงอยากสร้างสรรค์แคมเปญที่สร้างความสัมพันธ์ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายผ่านสื่อสร้างสรรค์ ที่กลุ่มลูกค้าน่าจะสนใจ 

บทเพลง Open to Love เป็นเพลงที่ตั้งใจแต่งสำหรับ TOSTEM โดยบอย–ตรัย ภูมิรัตน เพลงนี้ถ่ายทอดภาพของประตูที่เปิดสู่ความสัมพันธ์อันอบอุ่นภายในครอบครัว โดยใช้สัญลักษณ์ของประตูแทนความหมายของการเปิดใจและสร้างความเชื่อมโยงในมิติที่ลึกซึ้ง ให้เพลงเปรียบเสมือนประตูที่เปิดไปพบความสุข ความอบอุ่น และเป้าหมายในชีวิตที่ทุกคนปรารถนา ฉายภาพพื้นที่ที่เชื่อมโยงความรักและความสัมพันธ์ในครอบครัว สิ่งเหล่านี้เป็นการถ่ายทอดคุณค่าและความรู้สึกที่แบรนด์อยากสื่อสารนอกเหนือจากการเล่าเรื่องผลิตภัณฑ์

เพลง Open to Love – Boy Trai Bhumiratna

นอกจากเพลงความหมายดีๆ แล้ว TOSTEM ยังได้ชวนจี๊ป ภาสินี มาสร้างสรรค์คอลเลกชั่นพิเศษ New Year Gift 2025 โดยมีคอนเซปต์งานออกแบบที่เน้นการกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 4 ได้แก่ การรับรส (taste) การมองเห็น (impression) การฟัง (harmony) การรับกลิ่น (scent) ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นกลยุทธ์ sensory marketing ที่ใช้ประสาทสัมผัสมาทำให้ลูกค้ารู้สึกเชื่อมโยงกับแบรนด์ผ่านคอนเซปต์งานออกแบบ โดยผลงานในคอลเลกชั่นนี้มีทั้งหมด 4 ลาย ได้แก่

Luscious Taste ภาพยามพักผ่อนหย่อนใจผ่านถ้วยชาและธรรมชาติที่ชวนให้นึกถึงการผ่อนคลายซึ่งเป็นความพิเศษเล็กๆ ในชีวิตอันแสนวุ่นวายในแต่ละวัน, Impression ภาพประตูที่สื่อถึงเรื่องราวไลฟ์สไตล์ในบ้านทั้งการใช้เวลากับสัตว์เลี้ยงหรือการอ่านหนังสือพักผ่อนหย่อนใจกับครอบครัวที่แสนอบอุ่น, Harmony ภาพเครื่องดนตรีซึ่งสื่อถึงการฟังเพลงปลอบโยนจากเสียงประสานของกีตาร์ ทรัมเป็ต และเสียงจากธรรมชาติ,  Scents ภาพการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการเปิดหน้าต่างชื่นชมวิวดอกไม้เพื่อต้อนรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามา โดยลวดลายทั้งหมดเหล่านี้จะอยู่บนสินค้าที่ระลึกต่างๆ ทั้งกระเป๋า เครื่องหอม ฯลฯ

คอลเลกชัน New year gift 2025

งานออกแบบและบทเพลงที่แต่งขึ้นในแคมเปญ The Sensory Symphony  ในครั้งนี้เน้นเพื่อสร้างแบรนด์ที่น่าประทับใจและสร้างบทสนทนาที่ลึกซึ้งกับลูกค้า ซึ่งถึงแม้จะไม่ได้เป็นแคมเปญโฆษณาที่เน้นขายของโดยตรงแต่ก็สามารถสื่อตัวตนแบรนด์และสิ่งที่แบรนด์ให้ความสำคัญได้ดี นั่นคืองานออกแบบที่อยากให้ผู้อยู่อาศัยโอบรับการใช้ชีวิตสุนทรีย์แบบสมดุลนั่นเอง 

Disrupt Health Impact Fund กองทุนไทยด้าน HealthTech ที่อยากเซฟชีวิตผู้ป่วยหลักร้อยล้านคน

ในแวดวงสตาร์ทอัพไทย หลายคนน่าจะรู้จัก ‘ดิสรัปท์ เทคโนโลยี เวนเจอร์’ (Disrupt) ที่มีความเชี่ยวชาญในการทำกองทุน Venture Capital ซึ่งก่อนหน้านี้มุ่งเน้นลงทุนในสตาร์ทอัพหมวดการศึกษาและธุรกิจหมวดอื่น ๆ มาก่อน

ปีนี้นับเป็นก้าวสำคัญก้าวใหม่ของทีม Disrupt ที่ก่อตั้งกองทุนใหม่ในชื่อ Disrupt Health Impact Fund ซึ่งมุ่งลงทุนในหมวดเฮลท์แคร์โดยเฉพาะ ทั้งนี้เพราะทีมบริหารอย่างกระทิง พูนผล ประธาน Disrupt Technology Venture, ยุ้ย–จันทนารักษ์ ถือแก้ว กรรมการผู้จัดการ Disrupt Technology Venture และแพท–ณรัณภัสสร์ ฐิติพัทธกุล Fund Partner ของ Disrupt Health Impact Fund มองว่าอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์กำลังเติบโตอยู่ในช่วงขาขึ้นและจะเป็นเมกะเทรนด์ใหญ่อันดับ 3 ของโลกภายในปี 2043 รองจากอุตสาหกรรมหมวดพลังงานและการเงิน

ในโอกาสที่กองทุนเพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน เราขอชวนทีมผู้บริหารซึ่งนำทัพโดยกระทิงมาเล่าถึงนวัตกรรมแห่งอนาคตให้ฟังว่าทำไมการลงทุนใน HealthTech ถึงเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ทั้งในแง่การสร้างอิมแพกต์ที่ตอบโจทย์เทรนด์อนาคต การผลักดันประเทศไทยให้เป็น medical hub ไปจนถึงเรื่องราวประสบการณ์เจ็บไข้ได้ป่วยของครอบครัวที่ทำให้รู้สึกว่าแค่รักษาชีวิตได้เพิ่มอีกหนึ่งคนก็สามารถขยายผลการสร้างอิมแพกต์ได้ถึงหลักร้อยล้านคน

Save One More Life  

กระทิงทำกองทุนมาหลายกองทุน แต่จุดตั้งต้นที่ทำให้เขาสนใจกองทุนด้านสุขภาพคือปัญหาสุขภาพส่วนตัวของตนเองและครอบครัว  

“ผมเองก็มีทั้งความดันโลหิตสูง มีน้ำตาลสูงจนใกล้เป็นเบาหวาน แล้วก็มีปัญหาสุขภาพทางต่อมลูกหมากอีก ที่บ้านของผมป่วยเป็นโรคตับกันตลอด คุณพ่อผมเป็นตับแข็งและมะเร็งตับ ต้องรักษาด้วยการเจาะน้ำออก ผมไปนั่งเฝ้าเขาที่ห้องไอซียู 2 ปี จนสุดท้ายต้องรอเปลี่ยนตับ 

“แม้กระทั่งคุณแม่ก็หยุดหายใจ 6 ครั้งในชีวิตจากหอบหืด มีอยู่ครั้งหนึ่งตัวม่วงเลย ผมกับน้องชายต้องอุ้มแล้วพาไปเสียบออกซิเจน แต่ก่อนหมอบอกเลยว่าคุณแม่ผมขึ้นเครื่องบินไม่ได้ แต่ความฝันชั่วชีวิตของคุณแม่เป็นเรื่องเล็กมาก คืออยากบินไปอิตาลีเพราะแม่ผมชอบศิลปะ เขาแค่อยากเห็นหอเอนเมืองปิซา จนสุดท้ายคุณพ่อคุณแม่ผมได้รับการรักษาที่ดีที่โรงพยาบาลศิริราช คุณพ่อเปลี่ยนตับแล้วมีชีวิตที่มีความสุขต่ออีก 2 ปี

“ล่าสุดคือหลานผมอายุ 10 ขวบ เป็นเด็กแอ็กทีฟ มีพลังบวก น่ารักมากๆ เขาไปบ้านเกิดผมที่กำแพงเพชร อยู่ดีๆ ก็ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่แล้วเชื้อไปกระตุ้นภูมิต้านทานซึ่งส่งผลให้ไปกินเซลล์ตับอ่อนอีกที สุดท้ายกลายเป็นเบาหวานเฉียบพลัน (เบาหวานประเภทที่ 1) ที่หายาก เพราะคนส่วนใหญ่ทั่วโลกเป็นเบาหวานประเภทที่ 2 โรคนี้เป็นตลอดชีวิตและต้องรักษาตลอดชีวิต 

“เลือดจะเหนียวเหมือนน้ำเชื่อมเพราะร่างกายดูดซึมน้ำตาลไม่ได้ ต้องเจาะเลือดเป็นสิบๆ จุด แล้วเด็กก็ร้องไห้เพราะว่าเจาะแล้วเลือดออกไม่ได้ หมอก็บอกว่าต้องเข้าไอซียูสามชั่วโมง ตอนนั้นนั่งรถฉุกเฉินย้ายมารักษาที่พิษณุโลกเป็นสามชั่วโมงที่วิกฤตถึงชีวิต สุดท้ายรอดกลับมาได้ เด็กก็สู้สุดชีวิตเลย ซึ่งตอนนี้ก็ต้องติดอุปกรณ์เพื่อวัดน้ำตาลตลอด ต้องฉีดอินซูลินเพื่อปรับน้ำตาลตลอดชีวิต

“สำหรับผมที่โตมาจากการเห็นที่บ้านป่วยกันค่อนข้างเยอะก็เลยรู้สึกว่าการรักษามันเปลี่ยนชีวิตคนอย่างแท้จริง” เหตุการณ์เหล่านี้เองที่ทำให้กระทิงตั้งคำถามถึงการนำเทคโนโลยีมาสร้างอิมแพกต์ในการรักษาชีวิตผู้คน

Scaling Impact 

“เราเชื่อว่าความจริงแล้วหลายโรคที่ผู้ป่วยเป็นจำนวนหลักร้อยล้านคนมันรักษาหรือป้องกันได้ นิตยสาร The Economist บอกว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ทั่วโลกอิจฉาเพราะเป็นประเทศที่มีระบบสาธารณสุขและระบบเฮลท์แคร์ที่ดีที่สุดในโลก 

“เราก็เลยคิดว่าเราน่าจะเปิดกองทุนขึ้นมาเพื่อประเทศไทยอันดับแรกเลย ลงทุนใน HealthTech เพื่อช่วยเหลือคนไทยให้เข้าถึงเทคโนโลยีและสนับสนุนการสเกลไประดับโลก เพราะว่าเทคโนโลยีบางตัวเซฟชีวิตคนได้เป็นร้อยล้านคนเลยนะ”

สตาร์ทอัพตัวแรกที่ Disrupt Health Impact Fund ลงทุนชื่อ DiaMonTech เป็นนวัตกรรมวัดน้ำตาลโดยไม่ต้องเจาะเลือด ซึ่งจะเปลี่ยนชีวิตคนได้อย่างมากโดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวและต้องตรวจน้ำตาลเป็นประจำ เช่น เด็กเล็กไปจนถึงผู้สูงวัย 

หนึ่งในความตั้งใจอันยิ่งใหญ่ในการเริ่มกองทุนคือการปั้นประเทศไทยให้เป็น medical hub ทั้งการสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่สร้าง ecosystem ให้ผู้ป่วยมาพักรักษาตัวที่ไทยอย่างสะดวกสบาย ผู้ป่วยสามารถพัก long stay ในไทยได้แบบมีความสุขขณะป่วย ผ่านการออกแบบสถานที่ให้ patient-friendly หรือเป็นมิตรกับผู้ป่วย สามารถนั่งรถเข็นได้สะดวกและปลอดภัย เคลมประกันในประเทศนี้ได้ เมื่อรักษาโรคทางกายแล้วยังได้รับการสนับสนุนการรักษาทางจิตใจไปด้วยได้ในช่วงพักฟื้นยาว

ทั้งหมดนี้จะทำได้เมื่อสร้างระบบนิเวศทางการแพทย์ในประเทศให้แข็งแรง ทั้งนำเทคโนโลยีไปช่วยยกระดับโรงพยาบาลเอกชนและโรงพยาบาลรัฐทั้งหมด สร้างบุคลากรและ infrastructure ทางการแพทย์ เช่น ระบบ emergency การรักษาฉุกเฉินที่ฉับไว 

“คำถามสำคัญในการลงทุนคือ Why now? ทำไมถึงต้องลงทุนเทคโนโลยีนี้ในตอนนี้ เพราะการเลือกลงทุนที่ดีคือลงทุนใน timing ที่เหมาะสม ไม่เร็วไป ไม่ช้าไป และเป็นเทคโนโลยีที่พร้อมนำไปใช้สู่ตลาดได้จริงถึงจะน่าลงทุน” กระทิงแชร์ประสบการณ์ให้ฟัง

Mega Trend of HealthTech

นอกจาก DiaMonTech ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ตอนนี้เลือกลงทุนเพียงตัวเดียวจากสตาร์ทอัพ 1,000 ตัว กระทิงยังมองถึงการลงทุนในนวัตกรรมที่เจาะตลาดระดับโลกได้และมีขนาดตลาดที่ใหญ่ระดับหลายล้านคนรองรับ เน้น deep technology ที่มีการวิจัยลงลึกและลอกเลียนแบบได้ยาก มีทีมผู้ก่อตั้งและโมเดลธุรกิจที่น่าสนใจ รวมถึงมี exit path ในการทำสตาร์ทอัพที่ชัดเจน สามารถแก้โจทย์ปัญหาของประเทศไทยได้ด้วย 

แพทเสริมถึงแลนด์สเคปนวัตกรรมในวงการเฮลท์แคร์ตอนนี้ว่า “เรามองว่าช่วงนี้เป็น timing ที่ดีที่จะลงทุน ก่อนหน้านี้วงการเฮลท์แคร์ยังไม่มีเรื่องดิจิทัลเข้ามาเยอะมากนัก แต่ว่าตอนนี้เป็นจุดหลังโควิด-19 ที่เกิดดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น เราอยู่ในช่วงที่คนส่วนใหญ่มีอุปกรณ์ของตัวเอง มีสมาร์ตโฟนที่เข้าถึงข้อมูลสุขภาพได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน 

“ฝั่งของโรงพยาบาลและทางการแพทย์เองก็มีระบบดิจิทัลใช้กันแทบจะทุกโรงพยาบาลไม่ว่าจะรัฐหรือเอกชน มันทำให้ปลดล็อกดาต้าจำนวนมากขึ้นมาว่าเราสามารถเอาดาต้าเหล่านี้ไปพัฒนาเพื่อทำให้เกิดโซลูชั่นด้านเฮลท์แคร์ให้ฉลาดขึ้น” 

Disrupt Health Impact Fund จึงมีนโยบายที่สนใจลงทุนใน 5 ด้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นนวัตกรรมที่เป็นเมกะเทรนด์ของโลกด้านสุขภาพ ตั้งแต่ self-care (การดูแลสุขภาพด้วยตนเอง) และ preventive care (เวชศาสตร์ป้องกันโรค) ซึ่งหมายถึงการดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันโรค อาทิ หากดูแลการคุมน้ำหนักได้ด้วยตัวเองก็ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้หลายอย่าง ทั้งความดันโลหิตสูง เบาหวาน ซึ่งทุกวันนี้มีเทคโนโลยี personalization และ AI assistant in healthcare ที่เข้ามาช่วยมอนิเตอร์ข้อมูลสุขภาพมากมาย

อีกหมวดสำคัญที่แพทกล่าวถึงซึ่งกองทุนสนใจลงทุนคือ Holistic Wellness (การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม) 

“เรามองว่าในการดูแลสุขภาพมันควรจะเป็นองค์รวม ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพกายอย่างเดียว เรามองด้วยว่าในช่วงที่เทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นเยอะ จะมีอะไรที่เข้ามาแก้ปัญหาเรื่องสุขภาพจิตด้วยได้ไหม ก่อนที่คนจะเป็นซึมเศร้า เราทำอะไรที่ป้องกันล่วงหน้าก่อนได้ไหมเพื่อให้คนเป็นน้อยลงหรือมีวิธีการดูแลสภาพจิตใจตัวเองมากขึ้น โดยเฉพาะในโลกยุคใหม่ที่มีความท้าทาย ความกดดันเยอะ เราก็คิดว่าถ้ามีเทคโนโลยีลักษณะนี้ที่ช่วยเหลือผู้คน ก็คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ดีมากๆ” 

อีกธีมสำคัญที่จะพลาดลงทุนไปไม่ได้ในประเทศไทยที่มีสังคมสูงวัยคือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ Silver Age (ผู้สูงวัย) โดยจะมองหานวัตกรรมจากการตั้งต้นคิดว่าจะทำยังไงให้คนแก่ Age Well หรือแก่แบบสุขภาพดีได้ ปิดด้วยหมวดสุดท้ายคือ Smart Hospital หรือโรงพยาบาลอัจฉริยะ เช่นการนำเอานวัตกรรมต่างๆ อย่าง AI มาทำงานร่วมกับโรงพยาบาลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้คนไข้

Endless Possibilities from Partnership 

จากการมีประสบการณ์ในการทำกองทุน VC มาแล้วถึง 7 กองซึ่งลงทุนในธุรกิจหลายอุตสาหกรรม กระทิงบอกว่ากองทุนด้านเฮลท์แคร์มีความท้าทายที่แตกต่างจากการทำกองทุนธุรกิจหมวดอื่นตรงที่การรักษาสุขภาพเป็นสิ่งเกี่ยวพันกับชีวิตผู้คนทำให้ต้องคำนึงถึงหลายสิ่งมากกว่า เช่น เทคโนโลยีต้องผ่านมาตรฐาน FDA (Food and Drug Administration)

ทั้งนี้เพราะการนำ HealthTech มาใช้จริงควรผ่านการประเมินจากหลายฝ่าย เช่น แพทย์ ผู้ป่วย บริษัทประกัน ผู้บริหารโรงพยาบาล ฯลฯ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าไม่ได้ลงทุนในเทคโนโลยีที่เพ้อฝันแต่เป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่มีโอกาสเติบโตสูง คุณหมอและพยาบาลในโรงพยาบาลรู้สึกว่าน่าสนใจ ใช้งานได้จริง

หนึ่งในความร่วมมือสำคัญของ Disrupt Health Impact Fund คือการร่วมมือกับโรงพยาบาลสมิติเวช ทำให้เกิดการผสานความเชี่ยวชาญระหว่างโรงพยาบาลระดับแนวหน้าและฝั่งกองทุนที่มีศักยภาพด้านการลงทุนโดยมุ่งส่งเสริมการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง ทั้งนี้สิ่งที่โรงพยาบาลสมิติเวชจะได้ประโยชน์คือการได้ทดสอบเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในโรงพยาบาลรวมถึงโอกาสขยายธุรกิจทางสุขภาพเพิ่มเติม

นอกจากโรงพยาบาลแล้ว กองทุนยังมีพาร์ตเนอร์สำคัญหลายรายทั้งที.แมน บริษัทผลิตยารายใหญ่ของประเทศที่มองหาการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ บริษัท FMCG (fast-moving consumer goods) อื่นๆ รายใหญ่ของประเทศ ไปจนถึงเครือข่ายอาจารย์แพทย์จากหลายมหาวิทยาลัยทั้งในไทยและต่างประเทศ เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล ไปจนถึง Harvard Medical School เพื่อให้มั่นใจว่าได้เลือกลงทุนในเทคโนโลยีที่มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือสูง 

กระทิงเปรียบการลงทุนด้านเฮลท์แคร์เหมือนกับ ‘หนูจับแมว แมวไล่จับหนู’ ซึ่งหมายถึงการที่มีโรคใหม่อุบัติขึ้นและเกิดเทคโนโลยีใหม่ไม่สิ้นสุด ทำให้ต้องปรับตัวเร็วอย่างต่อเนื่อง การป่วยเป็นโรคหนึ่งยังมักจะเชื่อมโยงอีกหลายโรคทำให้การลงทุนในธุรกิจวงการนี้มีความสลับซับซ้อน แต่แน่นอนว่าเมื่อมีความท้าทายเยอะก็มีโอกาสทางธุรกิจสูงเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อดีลการซื้อกิจการ (M&A) ในวงการเฮลท์แคร์เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นทำให้มีแนวโน้มเกิดโอกาสน่าสนใจสำหรับลงทุนในอนาคตอีกเยอะ 

Women-led VC 

ก่อนหน้านี้ กองทุน VC มักมีแต่ผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ทั้งในเอเชีย อเมริกา ยุโรป และมีผู้หญิงน้อยมาก สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบทางอ้อมต่อการตัดสินใจลงทุน เช่น การตัดสินใจเลือกลงทุนทีมที่มีผู้ก่อตั้งคาแร็กเตอร์คล้ายกันหรือเป็นผู้ชายด้วยกัน การให้ความสำคัญกับการมีสมาชิกทีมเป็นผู้หญิงจึงถือเป็นจุดแตกต่างในวงการเทคโนโลยี ความน่าสนใจของกองทุนนี้จึงคือการมีทีมบริหารสำคัญเป็นผู้หญิงซึ่งแพทบอกว่าเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างในการลงทุน

“ทีมเราเริ่มต้นมาด้วยการรวมตัวของผู้หญิงที่มีความตั้งใจและอยากทำสิ่งที่เปลี่ยนแปลงสังคม เราทุกคนทำงานด้วยความเชื่อที่ว่าเราอยากสร้างอิมแพกต์โดยทุกคนต่างมีมิชชั่นในใจ แล้วเราก็ดึงดูดคนที่คล้ายๆ กัน” 

การมีความหลากหลายในทีมและให้ความสำคัญกับผู้หญิงในวงการเฮลท์แคร์จะส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนในเทคโนโลยีที่เปิดกว้างมากขึ้นและไม่ตกหล่นในปัญหาสุขภาพของผู้หญิง เช่น ภาวะด้านฮอร์โมนผู้หญิง ภาวะวัยทองหมดประจำเดือนซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มาก ซึ่งคนที่จะมองเห็นโซลูชั่นทางการแพทย์เพื่อผู้หญิงเหล่านี้ได้ย่อมต้องเป็นผู้หญิงด้วยกัน ทั้งนี้ทีมไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นแค่ผู้หญิงเท่านั้นและไม่ได้ปิดกั้นผู้ชายในการทำงานแต่อยากให้โอกาสผู้นำหญิงในไทยให้โลดแล่นในวงการ VC มากขึ้นเช่นวงการอื่น 

ยุ้ยยังปิดท้ายว่าเบื้องต้นแผนการลงทุนในขณะนี้มองตั้งแต่การลงทุนในสตาร์ทอัพ Series A และ Series B โดยมองถึงการลงทุนระดับโลกไม่จำกัดแค่เฉพาะในไทย โดยพิจารณาถึง synergy และ return ของธุรกิจในการลงทุน ในระยะแรกตั้งเป้าหมายการลงทุน 10-15 บริษัทในเงินลงทุนตั้งแต่ 5 แสน – 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากเลือกลงทุนในบริษัทที่มั่นใจเท่านั้นแล้ว สิ่งสำคัญคือถึงแม้จะมองการลงทุนในสเกลระดับโลกแต่ก็มีความตั้งใจสนับสนุนสตาร์ทอัพและเทคโนโลยีของคนไทยให้ไม่แพ้ชาติใดในโลกให้สมกับที่เป็นกองทุนโดยคนไทย