เหตุผลที่ทำให้บริษัทใหญ่ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อ แม้ชื่อเดิมจะคุ้นหูคนส่วนใหญ่แล้วก็ตาม

การเปลี่ยนชื่อบริษัทของ Makro มาเป็น ซีพี แอ็กซ์ตร้า เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมานี้ ด้วยเหตุผลที่ต้องการจะสื่อว่าบริษัทฯ ไม่ได้มีแค่ Makro แต่ยังมีแบรนด์ค้าปลีกอย่าง Lotus’s อยู่ในมือด้วยเช่นกัน ชวนให้เราคิดว่าที่จริงแล้วยังมีอีกหลายบริษัทขนาดใหญ่ที่ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อบริษัท แม้ชื่อเดิมจะใช้เวลาในการสร้างมาอย่างยาวนานและเป็นอะไรที่ผู้คนรู้จักกันเป็นอย่างดีแล้วก็ตาม

โดยเหตุผลที่ทำให้บริษัทเหล่านี้รีแบรนด์นั้นมาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น 

1. เปลี่ยนเพราะชื่อเดิมให้ความหมายที่จำกัดต่อการขยายธุรกิจจนเกินไป 

อย่างในต่างประเทศ บริษัทที่เราคุ้นหูกันเป็นอย่างดีก็เช่น Google ที่ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Alphabet เพราะบริษัทไม่ได้เน้นทำธุรกิจเฉพาะเสิร์ชเอนจิน หรือมีเพียง Google เท่านั้น แต่ยังมีธุรกิจอื่นๆ อีกมากมายภายในเครือ ไม่ว่าจะเป็น YouTube, Android และ DeepMind โดยหลังจากเปลี่ยนชื่อหุ้น Alphabet ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5% ภายในสองวันหลัง

ส่วน Facebook เองก็เปลี่ยนชื่อมาเป็น Meta เพื่อสื่อว่าพวกเขาไม่ได้ทำเพียงแค่ธุรกิจโซเชียลมีเดีย 

หรือกับ Twitter ที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้ว่าที่จริงแล้วพวกเขาเองได้มีการแตกออกมาเป็นบริษัทใหม่ แยกตัวออกมาจากบริษัทแม่อย่าง Odeo  เพื่อป้องกันความสับสนระหว่างธุรกิจใหม่ที่ทำโซเชียลมีเดีย ออกจากธุรกิจเดิมที่ทำเกี่ยวกับพ็อดแคสต์ 

ไม่ใช่แค่บริษัทเทคโนโลยี แต่ธุรกิจอาหารก็ยังมีการเปลี่ยนชื่อด้วยเหตุผลที่ว่าชื่อเดิมให้ความหมายที่จำกัดต่อการขยายธุรกิจจนเกินไปด้วยเช่นกัน อย่างเช่น Dunkin’ Donuts ที่ได้ตัดคำว่า Donuts ให้เหลือเพียง Dunkin’ เพื่อสื่อความหมายว่า บริษัทไม่ได้ขายแค่โดนัทอีกต่อไป แต่ยังมีเมนูอื่นๆ อีกด้วย

สำหรับบริษัทในไทยที่น่าจะตรงกับเรื่องราวนี้มากสุดคงไม่พ้น SCBX ที่ประกาศว่าจะไม่ได้ทำแค่ธุรกิจธนาคารพาณิชย์แล้ว แต่จะเป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านการเงิน

ซึ่งหลังจาก SCB ประกาศเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น SCBX ที่เป็นการบอกถึงทิศทางใหม่ขององค์กร ก็ทำให้หุ้น SCB เปิดตลาดบวกถึง 20% เลยทีเดียว 

และตอนนี้พอเราเห็นชื่อของ SCBX คงไม่ได้นึกถึงแค่ธนาคารไทยพาณิชย์เท่านั้นอีกแล้ว แต่ยังรวมถึงบริษัทและแบรนด์อื่นๆ ภายในเครือด้วย ตั้งแต่ InnovestX ธุรกิจเกี่ยวกับหลักทรัพย์ SCB10X ที่เน้นลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ไปจนถึง Robinhood แพลตฟอร์มให้บริการส่งอาหาร

2. เปลี่ยนเพราะอยากปรับปรุงภาพลักษณ์แบรนด์

บางครั้งเหตุผลในการเปลี่ยนชื่อบริษัทอาจเป็นเรื่องที่เรียบง่าย อย่างต้องการปรับปรุงภาพลักษณ์ให้น่าจดจำและน่าดึงดูดยิ่งขึ้น เพราะแม้ว่าชื่อของบริษัทบางแห่งจะเป็นที่รู้จักกันแล้ว แต่การใช้ชื่อเดิมที่ใช้มาอย่างยาวนาน อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์บริษัทที่ดูไม่ทันสมัยก็เป็นได้ 

โดยบริษัทที่มีการรีแบรนด์เพื่อให้ทันสมัยคือ Citigroup ที่มีชื่อใหม่ว่า Citi เพื่อที่จะได้มีภาพลักษณ์ที่ดูมีความคิดก้าวหน้า เป็นมิตรและจดจำง่ายต่อลูกค้า รวมถึงสื่อถึงความหลากหลายมากขึ้นด้วย

หากดูตัวอย่างบริษัทในไทยที่ประสบความสำเร็จในการรีแบรนด์ก็คงต้องพูดถึง ศรีจันทร์ที่ได้พัฒนาชื่อเป็นภาษาอังกฤษอย่าง Srichand ทำให้แบรนด์เครื่องสำอางมีความอินเตอร์และยกระดับภาพลักษณ์

ซึ่งเมื่อก่อนหากใครพูดชื่อของศรีจันทร์ เราคงจะมีภาพจำว่าเป็นแบรนด์ที่โบราณหน่อยๆ เดาได้ไม่ยากเลยว่าคนวัยหนุ่มสาวยุคปัจจุบันจะอยากซื้อหรือไม่ แต่พอรีแบรนด์เป็นภาษาอังกฤษ พร้อมมีการทำการตลาดควบคู่ตาม แบรนด์ศรีจันทร์ก็ดูสดใหม่ทันที และยังสามารถไปตีตลาดต่างประเทศได้ด้วย ปัจจุบันมีฐานลูกค้ามากกว่า 200,000 ราย และภาพลักษณ์บริษัทที่ดูมีความพรีเมียมมากขึ้นก็ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตจนมีรายได้แตะ 500 ล้านบาทในปัจจุบัน

3. เปลี่ยนเพราะเปลี่ยนทิศทางในการทำธุรกิจ

เมื่อธุรกิจที่ทำในปัจจุบันอาจไม่ตรงกับธุรกิจแรกเริ่มเสมอไป จึงต้องมีการปรับชื่อบริษัทให้สอดคล้อง

หนึ่งในบริษัทที่เราคุ้นกันเป็นอย่างดีก็คือนันยาง ที่ได้เปลี่ยนจนแทบไม่เหลือร่องรอยของชื่อเดิม โดยหลายคนอาจไม่รู้ว่าในอดีตบริษัทนันยางเคยใช้ชื่อว่า ‘ฮั่วเซ่งจั่น’ แต่ที่เปลี่ยนมาเป็นนันยางก็เพราะต้องการจะสื่อความหมายว่าจะไม่ได้ทำธุรกิจซื้อมา-ขายไปสินค้าหลากหลายชนิดอีกต่อไปแล้ว แต่จะหันมาโฟกัสที่ธุรกิจรองเท้าแทน 

4. เปลี่ยนเพราะต้องการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นอย่างอื่น 

รู้หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้ว Accenture บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก เคยเป็นหนึ่งหน่วยงานของ Arthur Andersen หนึ่งในผู้ตรวจสอบบัญชีที่ล้มหายตายจากไปเพราะมีความผิดในการช่วยบริษัทอื่นตกแต่งบัญชี และยังเคยมีชื่อว่า Anderson Consulting ด้วย 

แต่ตอนนี้แทบไม่มีใครนึกแล้วว่า Accenture เคยเกี่ยวข้อง กับ Arthur Anderson ทำให้บริษัทสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีได้ง่ายขึ้น

ลองนึกภาพตามว่า หาก Accenture ยังใช้ชื่อเดิม ก็คงยากที่จะสร้างแบรนด์ได้ดีเท่าปัจจุบันที่กำลังเป็นอยู่อย่างแน่นอน เพราะชื่อนั้นมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีไปแล้ว

5. เปลี่ยนเพราะต้องการใช้ประโยชน์จากชื่อบริษัทภายในเครือ

บางครั้งบริษัทที่มีหลายบริษัทอยู่ภายในเครือ อาจเปลี่ยนชื่อบริษัทของตัวเองให้คล้ายกับอีกบริษัทหนึ่ง เพราะว่าอีกชื่อเป็นที่รู้จักมากกว่า ซึ่งสามารถเพิ่มความยอมรับและความไว้วางใจจากผู้คนได้ง่ายขึ้น เช่น AB Food and Beverages เป็น Twinings & Co

จากตัวอย่างที่เล่ามาทั้งหมดทั้งมวลนี้จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนชื่อบริษัทที่อยู่มาอย่างยาวนานที่คนรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย 

ทว่าในอีกมุม หลายๆ ตัวอย่างก็เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นเช่นกัน เพราะการไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรเลย และยึดติดกับความสำเร็จเดิมๆ กลับกลายเป็นความเสี่ยงของบริษัทยิ่งกว่าการลองทำอะไรใหม่ๆ เสียอีก

อ้างอิง

เคล็ดลับการปั้น Otteri ร้านสะดวกซักที่อยากให้ทุกคนได้ซักผ้าอย่างสะดวก สะอาด และสบายใจ

ความลับข้อหนึ่งที่ฉันไม่ค่อยบอกใคร คือฉันเป็นคนขี้เกียจซักผ้ามาก แบบ ก ไก่ล้านตัว และเชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายคนคงเป็นเหมือนกัน

กองเสื้อผ้าสูงพะเนินเป็นภูเขาคือภาพที่ฉันเห็นทุกวันหยุด กว่าจะขุดตัวเองจากเตียงมาจัดการมันก็กินเวลาไปครึ่งค่อนวัน สาบานว่าจะไม่ต่อนยอนขนาดนี้เลย ถ้าการซักผ้าไม่ได้เป็นงานบ้านที่กินเวลาหลายชั่วโมงกว่าจะเสร็จ แถมยังมีขั้นตอนเยอะแยะยุ่บยั่บเต็มไปหมด

ตั้งแต่(ทำใจ)แยกผ้า แลกเหรียญ ซักผ้า นำผ้าที่แห้งหมาดๆ มาใส่ไม้แขวน สุดท้ายก็ตาก สิริรวมแล้วใช้เวลาสองชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ ยังไม่นับขั้นตอนของการต่อคิวรอซัก ถ้าคุณเป็นคนที่พักในหอพักที่มีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญไม่กี่เครื่องและต้องแย่งกันใช้

การซักผ้าเป็นงานที่ฉันอิดออดจะทำเสมอ จนวันที่ฉันได้รู้จักกับ Otteri ร้านสะดวกซักที่ทำให้ชีวิตของฉันง่ายขึ้นเยอะ

ร้านนี้เปลี่ยนฉันให้กลายเป็นคนที่เอนจอยกับการซักผ้าจนตัวเองยังงง อาจเพราะมันแก้ทุก pain point ที่ว่ามา ตั้งแต่เวลาซักตากที่ยุบ 2 ชั่วโมงให้เหลือแค่ชั่วโมงเดียวด้วยตัวช่วยอย่างเครื่องซักและเครื่องอบผ้าคุณภาพดี แถมยังมีเครื่องแลกเหรียญกับเครื่องขายน้ำยาซักผ้าไว้คอยบริการ การเข้าถึงก็ง่ายแสนง่ายเพราะมีร้านแฟรนไชส์ตั้งอยู่ทั่วทุกมุมเมือง เปิด 24 ชั่วโมง แถมยังมีไวไฟฟรีอีกต่างหาก

คงไม่ใช่ฉันคนเดียวที่เอนจอยกับความสะดวกสบายนี้ เพราะนับแต่ปลายปี 2016 Otteri มีอายุเกือบ 7 ปี แต่ขยายสาขาไปได้เกือบ 900 สาขาทั่วประเทศ ที่สำคัญคือการเป็นร้านสะดวกซักเจ้าแรกในไทยที่ทำให้ธุรกิจซักอบแบบบริการตัวเองบูมมากๆ จนเกิดคู่แข่งตามมาอีกมากมาย

Otteri ใช้ชุดความคิดความเชื่อแบบไหนในการปลุกปั้นแบรนด์จนป๊อบได้ขนาดนี้ กวิน นิทัศนจารุกุล ผู้ก่อตั้งแบรนด์รอฉันอยู่ที่ Otteri สาขาแรกย่านรามคำแหงเพื่อให้คำตอบ

ปกติคุณเป็นคนชอบซักผ้าไหม

ไม่ชอบครับ เอาจริงๆ การซักผ้าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ ผมเป็นคนค่อนข้างเจ้าระเบียบ ในตู้เสื้อผ้าจะเรียงเสื้อผ้าตามสี เวลาซักผ้าก็จะไม่ซักเอง แต่พอมาเปิดร้านตัวเองแล้วก็รู้สึกชอบซักผ้ามากขึ้น ชอบเป็นพิเศษคือตอนแยกผ้าแต่ละกองออกจากกัน

ก่อนมาทำ Otteri คุณทำอะไรมาก่อน

ผมเรียนจบ มศว สาขาอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ไม่ได้เรียนดีไซน์และเรียนวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับจิวเวลรี เช่น เราจะหลอมทองยังไงไม่ให้มีตามด พลอยสีแดงๆ อันไหนเรียกว่าโกเมน อันไหนทับทิม หรือคัดเกรดเพชร อะไรทำนองนั้น

ความสนใจเรื่องการทำร้านซักผ้ามาจากไหน

ช่วงเรียนจบคือช่วงกีฬาสีการเมืองพอดี ราวปี 2552-2553 ธุรกิจจิวเวลรีของที่บ้านปิดตัวลงพอดี ทางคุณแม่เขาก็บอกว่าไปช่วยที่บ้านเขาไหม เขาทำโรงงานทอผ้าสีขาว พวกผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าขนหนูให้กับโรงแรมและโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ผมเลยมีโอกาสเป็นผู้ชายขายผ้าอยู่สักพักหนึ่ง

ไม่นานเขาก็แตกไลน์โรงงานใหม่ เป็นโรงงานรับจ้างซักผ้า ผมจึงไปเป็นผู้จัดการคุมโรงงานอยู่ราว 2-3 ปี ทำให้มีความรู้เรื่องการซักผ้า พอแต่งงานผมก็ออกมาเปิดบริษัทตัวเอง ซื้อเครื่องซักผ้าอุตสาหกรรมจากเมืองจีนมาขาย

ขายอยู่ได้ 2-3 ปี Alibaba เข้ามาพอดี คนไทยสามารถซื้อตรงจากคนจีนได้เลย ผมก็รู้สึกว่าน่าจะไปไม่รอดแล้ว โดนดิสรัปต์ เลยต้องเปลี่ยนแนวคิดจากการขายให้กลุ่มธุรกิจ B2B มาเป็น B2C 

อะไรจุดประกายคุณจนเกิดไอเดียในการทำ Otteri 

การไปเที่ยวต่างประเทศ ผมเห็นว่ามีร้านสะดวกซักเกิดขึ้นแล้วที่มาเลเซีย แล้วประเทศแถบเซาท์อีสต์เอเชียเป็นกลุ่มประเทศที่รับวัฒนธรรมต่อกันมาเรื่อยๆ เป็นทอดๆ ความจริงแล้วประเทศแรกที่ธุรกิจแบบนี้เริ่มเข้าไปคือสิงคโปร์ น่าจะเข้าไปตั้งแต่ช่วงปี 2000 จากนั้นมันก็ค่อยๆ ขยายมาที่มาเลเซีย ผมมองว่าถ้ามันเข้ามาเลเซียได้ปุ๊บ มันน่าจะเริ่มเข้าไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียพร้อมๆ กัน นี่คือเทรนด์ของการทำธุรกิจในแถบนี้ที่ผมมองเห็น

ผมมองว่าเดี๋ยวสักพักมันต้องเข้าไทย ก็เลยมาเปิดที่เมืองไทยก่อนเป็นเจ้าแรก

ชื่อ Otteri และมาสคอตตัวนากมีที่มาที่ไปยังไง

เอาเรื่องจริงไหม (หัวเราะ) เรื่องจริงคือตอนนั้นเราทำมาร์เก็ตติ้งแพลนเพื่อดูว่า customer insight, customer behavior และ customer segment เป็นใคร เราเห็นว่าผู้หญิงส่วนใหญ่จะเป็นคนตัดสินใจเรื่องการซักผ้ามากกว่าผู้ชาย ผู้ชายจะคิดว่าทำยังไงก็ได้ แค่ให้ผ้ามาอยู่ในตู้เสื้อผ้าก็พอ แต่ผู้หญิงจะพิถีพิถันมากกว่า เช่น เรื่องกลิ่น

ผมใช้วิธีคิดเดียวกับวิธีคิดแบบร้านอาหาร เวลาไปกินข้าวผู้หญิงเป็นคนเลือกเมนู ผู้ชายจ่ายตังค์ ร้านซักอบรีดก็อยู่ในทำนองเดียวกันคือผู้หญิงเป็นคนเลือก และผู้หญิงเขาจะชอบอะไรก็ตามที่น่ารัก ตัวเล็กๆ ผมเลยเอาตัวนากมาเป็นมาสคอตดีกว่า เพราะ ณ เวลานั้นที่เราดูในตลาด มันไม่มีใครเอาตัวนากมาเป็นเทรดมาร์กหรือเครื่องหมายการค้าเลย แต่ตัวอื่นถูกใช้หมดแล้ว ไม่ว่าจะหมู หมา หมี แมวแทบจะทุกสายพันธุ์ 

พอมันเป็นตัวนากหรือ Otter ผมก็คิดต่อว่าจะทำยังไงให้มันน่ารักกว่าเดิม ตอนแรกนึกไม่ออก แต่รู้ว่าอยากได้กลิ่นอายแบบญี่ปุ่น วันนั้นก็นอนดูการ์ตูนกับลูกและภรรยาเรื่อง Zootopia ในเรื่องจะมีนากอเมริกาชื่อ Ottertunt ภรรยาก็หันมาคุยด้วยว่า เออ นากอเมริกันชื่อ Ottertunt เนาะ ถ้าเป็นนากญี่ปุ่น เราใช้ชื่อ Otteri (อ๊อตเทริ) ไหม ผมก็ซื้อเลย เพราะฉะนั้นคนที่ตั้งชื่อ Otteri จริงๆ คือภรรยาผมนะ ไม่ใช่ผม (ยิ้ม)

อะไรทำให้คุณมั่นใจว่าร้านสะดวกซักอย่าง Otteri จะประสบความสำเร็จในไทย

บอกตรงๆ ว่าใช้ gut feeling หรือลางสังหรณ์ว่าน่าจะมา แต่ไม่ได้มาจากลางสังหรณ์อย่างเดียวหรอก เพราะช่วงนั้นมีสัญญาณบางอย่าง ผมเคยไปอ่านเจอโพสต์ในเฟซบุ๊กโพสต์หนึ่งที่พูดถึง ‘การตลาดของคนขี้เกียจ’ เขาอธิบายว่าเราจะสามารถทำกำไรจากคนขี้เกียจได้ยังไงบ้าง เช่น อาหารเสริมขายดีเพราะคนขี้เกียจออกกำลังกายแต่อยากมีหุ่นดี หรือแอพฯ ต่อคิวชื่อ QQ เป็นที่นิยมเพราะคนส่วนใหญ่ขี้เกียจต่อแถว จองในแอพฯ ได้เลยแล้วรอเรียก อีกอันคือคนขี้เกียจทำงานบ้าน อยากมีบ้านสะอาดแต่ขี้เกียจ ธุรกิจจ้างแม่บ้านจึงเกิดขึ้น

การซักผ้าเป็นหนึ่งในงานบ้านที่คนไม่อยากทำ เพราะมันไม่มีวันจบ แต่หากเราขุดลึกลงไปดูว่าจริงๆ แล้วการซักผ้ามีกี่ประเภท เราจะพบว่าในประเทศไทยหรือแม้แต่ทั่วโลก การซักผ้ามี 3 อย่าง หนึ่ง–ซักเองที่บ้านถ้าบ้านมีเครื่องซักหรือแม่บ้าน สอง–จ้างซักอบรีดร้อยเปอร์เซ็นต์ สาม–ซักผ้าหยอดเหรียญด้วยตัวเองนอกบ้าน

จากจุดนี้ทำให้ผมเห็นว่ามันมี 3 ตลาด และตลาดที่เราสามารถ penetrate (บุกตลาด) ได้คือตลาดซักหยอดเหรียญนอกบ้าน จากนั้นผมก็มานั่งลิสต์ pain point ลูกค้าว่ามีอะไรบ้าง จากขั้นตอนซักผ้าทั้ง 5 ขั้นตอนคือ ซัก ตาก พับ รีด เก็บ ซึ่งเราให้บริการได้แค่ 4 อย่างเพราะเราเก็บเข้าไปในตู้เสื้อผ้าเขาไม่ได้

pain point ที่เราเจอคือหนึ่ง–สำหรับคนที่ใช้เครื่องซักผ้าแบบฝาวน เวลาเขาซักไปนานๆ บางทีซักไม่สะอาด เครื่องเสีย หรือซักผ้าชิ้นใหญ่ไม่ได้ สอง–การตากผ้าต้องตากตอนเช้า เขาให้ผ้าได้โดนแดดไม่งั้นจะไม่แห้ง การแก้ปัญหาจึงเริ่มจากสองจุดนี้ก่อน นั่นคือการซักด้วยเครื่องซักผ้าคุณภาพ และมีเครื่องอบผ้าให้ผ้าแห้ง ส่วนขั้นตอนอื่นๆ ลูกค้าสามารถใช้แรงงานตัวเองได้เลย

ผมจึงสร้างร้านสะดวกซักที่ให้ลูกค้าสามารถบริการตัวเอง ซักผ้าได้ทีละเยอะๆ แลกกับเงินเพียง 60 บาท ทำให้ต้นทุนต่อชิ้นต่ำกว่าร้านซักรีดที่คิดค่าซักรีดรายชิ้น จากเมื่อก่อนซักอบรีดประมาณชิ้นละ 10-12 บาท ถ้ามาที่นี่ตกแค่ชิ้นละไม่เกิน 3 บาท 

นอกจากเรื่องความสะอาดลูกค้าจะได้ประโยชน์เรื่องเวลาเพราะมีเครื่องอบผ้า ไม่ต้องง้อแดด แทนที่จะต้องมานั่งตากผ้าก็ไม่ต้องตากแล้ว แทนที่จะต้องมาซักตอนเช้าก็ไม่ต้องแล้ว มาตอนเที่ยงคืนก็ได้ 

ข้อดี-ข้อเสียของการกระโดดลงมาทำร้านสะดวกซัก ในเวลาที่ไทยยังไม่มีร้านแบบนี้คืออะไร

ข้อดีคือเราเป็น first mover เรามีสิทธิที่จะ shape ตลาดไปทางไหนก็ได้ ข้อเสียคือการเป็น first mover นี่แหละครับ เพราะมันไม่เคยมีใครทำ แล้วรู้ได้ไงว่ามันจะประสบความสำเร็จและคนจะมาใช้จริงๆ มันมีความเสี่ยงอยู่

แต่แน่นอน ถ้าเราศึกษามาแล้วว่า pain point ของลูกค้าคืออะไร และเป็น pain ที่ผมใช้คำว่า ‘ใหญ่ยาว’ ใหญ่คือเราสามารถแก้ปัญหาให้คนจำนวนมากๆ ได้หรือเปล่า ในทำนองเดียวกัน แก้แล้วจบหรือเปล่า เขาไม่ต้องมาหาเราอีกแล้วไหม เพราะฉะนั้นมันจึงมีคำว่ายาวที่หมายถึงยาวนาน เพราะฉะนั้น Otteri ตอบโจทย์ได้ เพราะการซักผ้ามันต้องซักทุกวัน

พูดได้ไหมกลุ่มลูกค้าที่ Otteri โฟกัสคือทุกคนที่ต้องซักผ้า

จริงๆ เรากำหนดไว้ชัดเจน เรามองออกว่ากลุ่มคนที่ซักผ้าแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือกลุ่มที่เขาสามารถเป็นลูกค้าเรา และกลุ่มไหนจะไม่ใช่ลูกค้าเรา

กลุ่มที่จะไม่ใช่ลูกค้าเราแน่ๆ คือกลุ่มที่จ้างแม่บ้านมาแก้ปัญหาของเขาได้ การซักผ้าไม่ใช่ปัญหาเขา เขามี magic basket ที่โยนผ้าลงไปตอนเช้า ตอนบ่ายก็อยู่ในตู้แล้ว แต่กลุ่มที่จะเป็นลูกค้าเราได้ ส่วนใหญ่ก็เป็นครอบครัวเล็ก ประชากรแฝง เวลาเขาอยู่หอเขาก็ไม่ได้ซื้อเครื่องอำนวยความสะดวกขนาดใหญ่ จะลงมาใช้บริการด้านล่างหอเป็นหลัก 

นอกจากความเสี่ยงเรื่องการเป็นเจ้าแรกในตลาด ความท้าทายของการทำ Otteri คืออะไร

เราสามารถนำเสนอโซลูชั่นในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคได้หรือเปล่า

ตอนแรกๆ ก็มีคนพูดเยอะว่าที่บ้านก็มีเครื่องซักผ้าเปล่าวะ เขาจะมาซักร้านแกทำไม ซึ่งก็ใช่ แต่สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไปมันก็พิสูจน์แล้วว่านี่ไง ทุกคนออกมาซักผ้าที่ Otteri เพราะจริงๆ แล้วการซักผ้าที่บ้านก็มี pain point

pain point ของการซักผ้าที่บ้าน หนึ่งคือการมีเครื่องซักผ้าเครื่องเดียว แต่เวลาซักจะมีผ้าหลายประเภท ซึ่งคนที่อยู่กันเป็นครอบครัวเขาจะไม่ซักทุกวัน แต่รวมไว้หน่อยให้ปริมาณผ้าแต่ละชนิดมันเยอะพอที่จะซักแล้วคุ้ม มันจะเกิดการดองไว้ สองคือมันต้องซักหลายๆ รอบซึ่งเป็นสิ่งที่เปลืองเวลา สามคือบางพื้นที่อาจไม่มีลานสำหรับตากผ้า โดยเฉพาะคนที่อยู่คอนโด กลายเป็นว่าเขาตากผ้าไม่ได้ สี่คือเครื่องซักผ้าที่เขาใช้อาจมีขนาดเล็ก ซึ่งจะซักพวกผ้านวม ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ๆ ไม่ได้ เขาก็จะเอาสิ่งที่ซักที่บ้านไม่ได้มาซักที่เราอยู่ดี

อย่างที่คุณบอกว่าเมืองไทยไม่เคยมีบริการแบบนี้มาก่อน ย้อนกลับไปในช่วงแรกเริ่ม คุณบุกตลาดยังไง

จริงๆ มันง่ายมากเลยครับ สิ่งที่เราต้องทำไม่ใช่การป่าวประกาศบอกว่าบริการของเราดียังไงแต่คือการเชิญชวนให้ลูกค้ามาลองใช้บริการ ให้เขารับรู้ในระดับประสบการณ์ของเขาเองว่าความแตกต่างในการซักที่นี่กับที่อื่นคืออะไร

เพราะฉะนั้น ช่วงแรกๆ ที่เปิดร้านผมเปิดให้ลูกค้าซักฟรีเป็นเดือน พอเขาซักเสร็จก็จะเกิด word of mouth เขาจะบอกต่อให้คนอื่นว่ามันตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาเขาได้

จะเห็นว่าเครื่องซักผ้าของ Otteri มีหลายขนาด ทั้ง 10, 13, 17, 26 กิโลกรัม ทำไมต้องมีหลายไซส์ขนาดนี้

เพราะว่าจริงๆ ลูกค้าของเรามีความต้องการหลากหลาย ลูกค้าอาจจะมาซักทีละเยอะๆ เครื่องหนึ่งซักเสื้อสีอ่อน อีกเครื่องซักผ้าสี อีกเครื่องเป็นกางเกงยีนหรือสินค้า ส่วนอีกเครื่องเป็นผ้านวม ลูกค้าบางคนก็ชอบซักรวมกันได้ แต่บางคนก็ชอบซักแบบแยกซอยทีละเครื่อง 

กลยุทธ์แบบไหนที่คุณใช้ในการขยายธุรกิจของ Otteri จนมีสาขาอยู่ทั่วประเทศ

เราใช้กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจแบบแฟรนไชส์ตั้งแต่แรก หลักการของแฟรนไชส์คือเราสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้วนำมาขยายต่อ ให้คนอื่นเป็นหุ้นส่วนของธุรกิจภายใต้แบรนด์เดียวกัน นั่นทำให้แบรนด์เติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ในทางเดียวกัน ผมก็นำกำไรจากการขายแฟรนไชส์ได้มาเปิดสาขาของตัวเองโดยที่ไม่ต้องกู้ธนาคาร

ความท้าทายของการทำแฟรนไชส์คือการหาแฟรนไชส์ที่ดี เราปฏิเสธคนที่จะมาซื้อแฟรนไชส์จากเราไปเยอะ เช่น ถ้ามีคนมาถามว่าอยากเปิดแฟรนไชส์ที่เชียงใหม่จังเลย แต่ตัวเองทำงานอยู่กรุงเทพฯ นะ คนที่ดูแลคือแม่ที่เพิ่งเกษียณ ผมก็บอกว่าได้ เอาแม่มาคุยก่อน เพราะคนที่ดูแลร้านจริงๆ คือแม่เขา ไม่ใช่ตัวเขาเอง แล้วพอคุณแม่มาคุยเขาก็บอกว่าฉันเพิ่งเกษียณ ให้ฉันทำงานอีกแล้วเหรอ ผมก็ไม่ให้เขาเปิดนะ เพราะมุมมองของเราไม่ตรงกัน

พาร์ตเนอร์แฟรนไชส์ที่คุณมองหาเป็นแบบไหน

ผมมองหาคนที่เป็น entrepreneur หรือผู้ประกอบการ หลายครั้งคนที่มาซักผ้าที่ร้านเราเขาซักแล้วชอบ เขาบอกว่าเขาอยากลงทุน อันนี้เป็นคำที่ทริกเกอร์เรา เพราะนั่นแปลว่าเขามีมายด์เซตแบบนักลงทุน แล้วคุณอยากได้ passive income คุณไม่อยากเทคแอ็กชั่น ถามว่ามันได้ไหมมันก็ได้ แต่ผมคิดว่าร้านสะดวกซักที่จะประสบความสำเร็จจริงๆ มันต้องเริ่มจากมายด์เซตของการเป็นผู้ประกอบการมากกว่าเป็นแค่นักลงทุน

มายด์เซตแบบผู้ประกอบการคือมีอุปสรรคเข้ามาต้องแก้ไข รักในธุรกิจนี้เหมือนกับที่ผมรัก ทำนองเดียวกัน เขาควรจะเป็นคนที่มี service mind เวลาลูกค้าเข้ามาบอกว่ามีปัญหา เครื่องเสีย หยอดเหรียญไม่ลง เจ้าของก็ควรจะเป็นคนแก้ปัญหานั้นให้

ผมมองว่าตัวร้านสะดวกซักที่ประสบความสำเร็จต้อง service community ด้วย เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้คอมมิวนิตี้โดยรอบรักเราด้วย

คุณเปิด Otteri มา 7 ปี ตอนนี้มีสาขาเกือบ 900 สาขาแล้ว คิดว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้ร้านของคุณได้รับความนิยมขนาดนี้

ผมคิดว่าบริการของเราตอบโจทย์ pain point ของลูกค้าได้จริงๆ คือถ้ามันเป็นแค่เทรนด์หรือกิมมิกมันก็จะผ่านไป แต่พอลูกค้ามาใช้แล้วติดใจ เขาก็มาใช้ซ้ำเรื่อยๆ เพราะมันแก้ปัญหาพวกเขาได้ 

สิ่งสำคัญคือการดีไซน์ business model ให้ตอบโจทย์กับลูกค้าจริงๆ 

ระหว่างทาง เคยเจออุปสรรคที่ทำให้ถอดใจบ้างไหม

ไม่เคยถอดใจ เพราะภาระของผมเยอะ (หัวเราะ) จริงๆ มีช่วงหนึ่งที่เคยมีร้านซักผ้าระเบิด ช่วงนั้นเป็นช่วงวิกฤตของชีวิตและบริษัทด้วย มันหนัก ในเคสนั้นเราจ่ายเงินสดประมาณ 15 ล้าน มันจะเป็นช่วงที่ทำให้ถามตัวเองว่าทำไมอะไรแบบนี้ถึงเกิดขึ้นกับเรา แต่ท้อไม่ได้ เพราะสุดท้ายมันก็มีคนที่พึ่งพาเราอยู่ ทั้งพนักงานและครอบครัวของผม ถ้าเราหยุดแล้วเขาจะไปต่อกันยังไง ตอนนั้นก็กัดฟันและสู้ แก้ปัญหากันไป

ความตั้งใจในการทำธุรกิจของคุณในวันแรกกับวันนี้เปลี่ยนไปบ้างไหม

เปลี่ยน ตอนแรกที่ผมทำธุรกิจ ผมทำเพราะจะหนีตายจากการโดนดิสรัปต์ มันคือการทำธุรกิจที่เปลี่ยนจาก B2B มา B2C เพื่อ survive (เอาตัวรอด) เป้าหมายในการทำธุรกิจคือเรื่องเงิน เราได้กำไรเท่าไหร่ แต่พอผ่านมาสักพัก ผมเริ่มเห็นแล้วว่าผลประโยชน์ของธุรกิจไม่ได้มีแค่เรื่องเงิน เพราะฉะนั้นเป้าหมายธุรกิจเปลี่ยนไปเยอะ ผมไม่ได้เอาเงินเป็นที่ตั้งแล้ว แต่เอาเรื่องอื่นเป็นที่ตั้งมากกว่า 

ระหว่างทำ Otteri ผมมีโอกาสได้เรียนหลักสูตร excellent framework แล้วรู้จักสิ่งที่เรียกว่า TQA (Thailand Quality Award) ผมเห็นว่ามีแต่บริษัทมหาชนใหญ่ๆ ดังๆ เป็นตัว Top 10 ได้รางวัลนี้ แต่ผมคิดว่ามันต้องมี secret sauce อะไรบางอย่างในหลักสูตรนี้ที่ทำให้บริษัทเหล่านี้เขา apply กับบริษัทตัวเอง ผมเลยไปเรียนดู สิ่งแรกที่เขาสอนคือเรื่องการคิดวิสัยทัศน์และพันธกิจ 

ตอนแรกผมเขียน vision ว่า ‘อยากเป็นร้านสะดวกซักอันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้’ ที่เขียนแบบนั้นเพราะไปเปิดของบริษัทใหญ่ๆ ดูว่าเขาเขียนประมาณไหน ปรากฏว่าเขียนเสร็จก็นอน ตื่นขึ้นมาอ่านอีกรอบแล้วรู้สึกว่าไม่อยากทำอันนี้ คือเป็นที่หนึ่งแล้วไง เราเติมเต็มจากการเป็นที่หนึ่งเหรอ 

ผมเลยกลับมาดู Otteri ร้านแรกที่เคยเปิด ที่ร้านมีป้ายเขียนไว้ด้านบนว่า Healthy Lifestyle Community ผมก็คิดได้ว่า เออ ใช่ นี่คือจุดเริ่มต้นของมันจริงๆ ผมสร้างร้านนี้มาเพราะ ‘ความปรารถนาให้คนมีสุขภาพดี’ โดยเริ่มต้นจากการสวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด แล้วคำนี้ก็กลายมาเป็นวิสัยทัศน์ของบริษัท

พันธกิจต่อยอดมาจากวิสัยทัศน์นั้น คือเราจะทำร้านสะดวกซักที่มีมาตรฐานสากล สามารถเข้าถึงได้ในราคาประหยัด และเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของชุมชน ผมมองว่าผมอยากสร้างร้านแบบนี้ให้เกิดขึ้นทั่วประเทศ 

ปัจจุบัน กำไรสำคัญกับ Otteri มากแค่ไหน

สำคัญครับ เพราะเราทำธุรกิจ ไม่ได้ทำงานมูลนิธิการกุศล สิ่งที่บริษัทอยากได้คือกำไร การเติบโต และความยั่งยืน 

เราต้องอยากมีกำไรและเติบโตอยู่แล้ว เพราะลูกน้องผมขอเงินเดือนขึ้นทุกปี (หัวเราะ) ถ้าเราไม่โต จะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายเงินเดือนให้พวกเขาเพิ่ม และพวกเขาก็อยากทำงานกับบริษัทนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เป็นบริษัทที่เปิดมา 5-10 ปีแล้วปิด เพราะฉะนั้นเราต้องอยากได้ความยั่งยืน 

ยั่งยืนของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน ในฟากของ Otteri เองเรามองว่าความยั่งยืนคือการที่คนรักเรา เราเข้าไปอยู่ในใจของพวกเขา และคนเรียกร้านสะดวกซักว่า Otteri ซึ่งการจะได้มาซึ่งความยั่งยืนนี้ เราคิดว่าเราต้องดูแลคนในสังคม มันไม่ใช่แค่เอาเครื่องซักผ้าไปตั้งแล้วเรารับเงิน เรามีโครงการ wash & share ที่เปิดให้คนบริจาคเสื้อผ้าที่เราแล้วเราซักให้ ปีที่แล้วจับมือกับ SC GRAND ที่เอาผ้าเหลือใช้ไปปั่นเป็นด้าย ทอเป็นผืนใหม่แล้วส่งผ้าเหล่านี้ไปบริจาคให้มูลนิธิกระจกเงาต่อ หรือโครงการซักผ้าให้กับคนไร้บ้านอย่างโปรเจกต์ ‘ชูมณี’ เองก็ตาม

โปรเจกต์เหล่านี้เติมเต็มตัวผม มันทำให้ผมรู้ว่าทุกวันนี้ผมไม่ได้ทำงานเพื่อเงินเพียงอย่างเดียว แต่ทำงานเพื่อตอบแพสชั่นในตัวผมด้วย นั่นคือการทำให้คนในสังคมอยู่ดีกินดีมากขึ้น อย่างโปรเจกต์ชูมณีที่เราซักผ้าเพื่อคนไร้บ้าน ผมได้เห็นว่ามันมีคนที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงการซักผ้าได้อย่างคนทั่วไป แม้แต่อาบน้ำก็ต้องแอบไปอาบในปั๊ม นี่คือความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นและผมอยากแก้ไขมัน เพราะไม่มีใครในประเทศนี้ควรโดนดูถูกเพราะเขาแค่ใส่เสื้อผ้าสกปรกอีกแล้ว

ถึงตอนนี้ คุณมองว่า Otteri ประสบความสำเร็จหรือยัง

ยังครับ (ตอบทันที) เพราะอย่างที่บอกว่า มุมมองที่ผมมีต่อร้านสะดวกซักนั้นเปลี่ยนไป จากการที่เคยมองว่าเป็นหน่วยธุรกิจหน่วยหนึ่งและมีรายได้ วันนี้ผมมองว่าร้านสะดวกซักควรจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เหมือนกับการเข้าถึงน้ำสะอาด สัญญาณอินเทอร์เน็ต ไฟฟ้า แหล่งพนักงาน มันควรเป็นสิ่งพื้นฐานที่ใครๆ ก็ไม่ควรจะต้องจ่ายเงินในราคาสูงเพื่อการเข้าถึงเสื้อผ้าสะอาด

อย่างที่เล่าให้ฟังว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้เป็นลูกค้าเราเลย laundry ไม่ใช่ปัญหาของเขา เขาสามารถใช้เงินซื้อเสื้อผ้าที่สะอาดได้ แต่กับคนที่มีเงินน้อย เขาต้องเอาเวลาของเขามาแลกความสะอาด ซึ่งสำหรับผม เวลาเป็นสิ่งที่มีค่ามากๆ

ผมเคยมีลูกค้ามาคุยด้วยตอนเปิดร้านใหม่ๆ เขาเดินเข้ามาขอบคุณ ผมก็คิดว่าขอบคุณเรื่องอะไรวะ ไปทำอะไรให้ (หัวเราะ) เขาก็เล่าให้ฟังว่าเขาเป็นคุณแม่ ทำงานวันจันทร์ถึงวันเสาร์ บางวันก็มีโอที กลับบ้านมาก็ต้องสอนการบ้านลูก เตรียมข้าวให้ลูกกิน เขาก็หมดแรงแล้ว กลายเป็นว่าเสื้อผ้าก็ต้องถูกดองไปซักวันอาทิตย์วันเดียว ซึ่งวันอาทิตย์เขาก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ต้องซักผ้าอย่างเดียวเพราะผ้ามันกองเยอะมาก แล้ววันไหนจะเป็นวันพักของเขาล่ะ มันไม่มี

การมาซักผ้าที่ร้านเราตอนคืนวันศุกร์ เขาสามารถนำเสื้อผ้าที่มีเยอะใส่แยกเครื่องแล้วอบ ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงซัก ครึ่งชั่วโมงอบ แล้วก็ลากลูกมาช่วยพับผ้า ไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จแล้ว แล้ววันอาทิตย์คือวันที่เขาได้ใช้ชีวิต ได้พักผ่อน เขารู้สึกว่าวันอาทิตย์ของเขากลับคืนมาและได้ชาร์จพลังเต็มที่จริงๆ 

คุณมองอนาคตของ Otteri ไว้ยังไง

ในอนาคต Otteri จะผันตัวเองจาก domestic brand ไปเป็น regional brand เราตั้งใจจะขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ ในทวีปเซาท์อีสต์เอเชียเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันเราก็มีแผนจะขยายภายในประเทศ ให้ Otteri ไปอยู่ในอำเภอรองหรือระดับตำบล เพื่อให้ทุกคนได้ซักผ้าสะดวกขึ้น

ในฐานะเจ้าของธุรกิจร้านสะดวกซักเจ้าแรกในไทย ถ้ามีคนมาขอคำแนะนำว่าอยากทำธุรกิจที่เป็นเจ้าแรกในตลาดแบบคุณบ้าง คุณจะแนะนำเขาว่าอะไร

ผมว่าแล้วแต่จุดประสงค์ ถ้าเป็นผม ณ ตอนนี้ผมจะบอกเขาว่าอย่าไปโฟกัสแค่เรื่องกำไรอย่างเดียว โฟกัสเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่จะสร้างผลกระทบในสังคมด้วย และพยายามมองทุกอย่างให้รอบด้าน

อย่าอาศัยความรู้สึกเยอะนัก บางทีมันอาจจะผิดก็ได้ ให้อาศัยข้อมูลเป็นหลัก และหากจะศึกษาข้อมูล อย่าศึกษาแค่ angle เดียว ศึกษามุมอื่นๆ ด้วย เช่นข้อกฎหมาย ภาษี รูปแบบการทำธุรกิจ ธุรกิจเราที่เป็นของใหม่มันไปเชื่อมกับข้อกฎหมายข้อไหนหรือเปล่า เพราะถ้าเราไม่ได้เช็กก่อน ถึงเวลาขยายธุรกิจเราอาจเจอทางตัน ขยายไม่ได้เพราะติดข้อกฎหมายก็มี 

% Arabica เชนกาแฟสัญชาติญี่ปุ่น ที่คงความคราฟต์ในทุกแก้ว แม้จะขยายสาขาไปทั่วโลก

Who am I?

What kind of life do I want to live?

สองประโยคคำถามสั้นๆ ที่ เคนเนท โชจิ (Kenneth Shoji) ใช้ถามตัวเองในตอนนั้น 

และคำตอบของเขาคือ กาแฟ

ใครจะไปรู้ว่าคำตอบที่ได้มานั้นจะเป็นจุดเริ่มของแบรนด์กาแฟที่มีชื่อว่า ‘% Arabica’ แบรนด์ร้านกาแฟสัญชาติญี่ปุ่นที่ตอนนี้มีด้วยกัน 146 สาขา ใน 20 ประเทศทั่วโลก และยังเป็นแบรนด์ที่คอกาแฟ ผู้คนมากมายต่างตกหลุมรัก

เรื่องราวความน่าสนใจของแบรนด์ที่เพิ่งมีอายุได้ 10 ปี แต่สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว อะไรคือส่วนผสมที่ % Arabica เบลนด์เมล็ดพันธุ์ออกมาได้อย่างลงตัว เราขอชวนไปดื่มด่ำกาแฟคั่วอ่อน คั่วกลาง และคั่วเข้ม ท่องโลกผ่านแก้วกาแฟสุดกลมกล่อมที่ชื่อว่า % Arabica ไปพร้อมๆ กัน 

โตเกียว ประเทศญี่ปุ่นคือจุดเริ่มต้น เคนเนท โชจิ คือลูกชายคนโตของครอบครัวที่ทำธุรกิจเทรดดิ้ง เมื่อเวลาไปเจรจาธุรกิจที่ต่างประเทศทีไร ครอบครัวของเคนเนทก็มักจะพาเขาไปด้วยเสมอ ทำให้เคนเนทเป็นคนที่เดินทางบ่อยตั้งแต่เด็ก การติดตามและเดินทางบ่อยๆ นี่เองคือจิ๊กซอว์ชิ้นแรกที่สร้างแรงบันดาลใจให้เคนเนทรักในความหลากหลายทางวัฒนธรรม การออกแบบ และสถาปัตยกรรมในแบบต่างๆ ที่ได้พบเจอ

จิ๊กซอว์ชิ้นที่สองเริ่มขึ้นหลังจากที่เคนเนทเรียนจบชั้นมัธยมปลาย และบินไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่อยู่ที่นั่นความรักและหลงในกาแฟของเคนเนทจึงเกิดขึ้น เพราะในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเป็นช่วงที่สตาร์บัคส์แบรนด์กาแฟระดับโลกเริ่มขยายสาขาไปทั่วอเมริกา การขยายสาขาอย่างรวดเร็วที่มาพร้อมกับวัฒธรรมการกินดื่มกาแฟในบรรยากาศอันเงียบสงบดึงดูดความสนใจของเคนเนทไม่น้อย ไม่ว่าจะนัดพบเพื่อน พูดคุย ติวหนังสือ เคนเนทก็จะมาและดื่มกาแฟของสตาร์บัคส์เสมอ

เรียกได้ว่าเขาเป็นแฟนตัวยงของสตาร์บัคส์เลยก็ว่าได้ เพราะเคนเนทตามสะสมกระบอกน้ำ แก้วมัคของสตาร์บัคส์ทุกคอลเลกชั่น หรือแม้กระทั่งจานสีขาวล้วนที่มีโลโก้สตาร์บัคส์อยู่ด้านล่างเขาก็ตามซื้อมาแล้ว

เคนเนทเคยเล่าว่าในญี่ปุ่นเอง ลูกชายคนโตมักจะรับช่วงต่อสานธุรกิจของครอบครัว แม้หลังจากเรียนจบแล้วเขาเองได้มาเรียนรู้ธุรกิจของครอบครัว และเข้ามาบริหารก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าธุรกิจของครอบครัวจะยังไม่ใช่คำตอบและไม่ใช่ตัวตนที่เคนเนทต้องการ

จากที่เขาพบปะผู้คนมากมายทั้งรวย จน เห็นวัฒนธรรมความหลากหลายจากการเดินทางไปต่างประเทศตั้งแต่ยังเด็ก บวกกับชีวิตการทำงานที่ทำให้เขาพบว่า แม้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่จะร่ำรวยมากแค่ไหน แต่ฉันก็พบว่าบางคนก็ไม่ได้มีความสุขเสมอไป ทำให้เคนเนทกลับมาฉุกคิดกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมาด้วยคำถามเดิม 2 ข้อ

Who am I?

What kind of life do I want to live?

ฉันเป็นใคร และอยากใช้ชีวิตแบบไหน

ในที่สุดเคนเนทก็ได้คำตอบว่า ตัวเองต้องการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและติดดิน ต้องการแค่สิ่งพื้นฐานอาหาร เสื้อผ้า และบ้าน อย่างที่พ่อแม่ทำเพื่อเขา และเขาเองก็ต้องการมอบสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกของตัวเองเช่นกัน

และอีกคำตอบ ที่เป็นคำตอบสุดท้ายของเคนเนทคือ ‘กาแฟ

เคนเนทยังสานต่อธุรกิจของรอบครัว พร้อมกับต่อจิ๊กซอว์ชิ้นที่สามคือ ตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจกาแฟของตัวเอง

หากจะจริงจังกับกาแฟนั้นการเป็นเจ้าของฟาร์ม เจ้าของไร่กาแฟเป็นเรื่องจำเป็น ทันทีที่เคนเนทตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจกาแฟ เขาตัดสินใจยืมเงินเพื่อไปซื้อไร่บนเกาะฮาวาย เพื่อปลูกและเพาะพันธุ์กาแฟที่มีเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดเป็นของตัวเอง เริ่มค้าขายเมล็ดกาแฟดิบจากทั่วโลก 

เขากลายเป็นผู้จัดจำหน่าย Slayer Espresso ในญี่ปุ่น เป็นผู้ส่งออกเครื่องคั่วกาแฟรายเดียวของแบรนด์ Tornado King  และผู้จัดจำหน่ายเครื่องชงและอุปกรณ์ชงกาแฟ Chemex ในเอเชีย

เมื่อส่วนผสมทุกอย่างลงตัวจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายคือการออกสตาร์ทเปิด % Arabica ขึ้นแห่งแรกที่ฮ่องกงในปี 2013 ของชายวัยเกือบ 40 ปีที่ชื่อ ‘เคนเนท โชจิ’ ผู้นี้

% Arabica ฮ่องกงในตอนแรกเป็นเพียงโชว์รูมขายเครื่องกาแฟและโรงคั่วกาแฟเท่านั้น ก่อนที่จะเริ่มขายกาแฟมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายตั้งแต่การมีพนักงานเพียงสองคนคือตัวเขาและภรรยา และทำงานกันแบบไม่มีวันหยุดในช่วงสองเดือนแรก ตั้งแต่เสิร์ฟ คั่วกาแฟ ไปจนถึงแคชเชียร์ ยุ่งขนาดชนิดที่ว่าลูกค้าชาวฮ่องกงที่มาซื้อกาแฟที่ร้านช่วยล้างถ้วย ล้างจานรองเลยทีเดียว

ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ ลงตัว เคนเนทตัดสินใจเปิด % Arabica สาขาที่เป็นแฟล็กชิปสโตร์ในประเทศบ้านเกิดอย่างญี่ปุ่น 

ปี 2014 % Arabica ก็ได้เปิดตัวในย่านฮิกาชิยามะ เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น และได้รับความนิยม จนสามารถขยายไปในต่างประเทศ ปัจจุบันมีจำนวน 146 สาขา ใน 20 ประเทศทั่วโลก

ส่วนชื่อเรียกของร้าน % Arabica แม้หลายๆ คนออกเสียงว่า ‘เปอร์เซ็นต์ อะราบิก้า’ , ‘เปอร์เซ็นต์’ บ้างก็ตาม แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วชื่อร้านที่ถูกต้องอ่านออกเสียงว่า ‘อะราบิก้า’ แค่นั้น เคนเนทตั้งใจใช้ชื่อที่เรียบง่าย และเป็นที่รู้จักจึงตั้งชื่อร้านว่า อะราบิก้า ขณะที่สัญลักษณ์โลโก้รูปเปอร์เซ็นต์ที่เราเห็นนั้นก็ไม่ใช่เครื่องหมายเปอร์เซ็นต์แต่อย่างใด เพียงแค่เคนเนทได้ไอเดียมาจากคีย์บอร์ดที่เขาเห็นเครื่องหมาย % แล้วทำให้นึกถึงเมล็ดกาแฟตอนที่ยังเป็นผลเชอร์รีที่อยู่บนกิ่งไม้

และคิดทันทีว่าเขาสามารถสร้างแบรนด์ระดับโลกได้ด้วยสิ่งนี้ได้ % จึงเป็นโลโก้ และเป็นภาพจำแบรนด์ที่ทุกคนนึกถึง แม้ไม่ต้องออกเสียง หรือบอกอะไร แต่พอเห็นสัญลักษณ์ % ที่มาคู่กับร้านกาแฟหน้าตามีเอกลักษณ์ก็รู้ได้ทันทีว่าคือร้าน % Arabica

 แม้ญี่ปุ่นจะไม่ได้มีพื้นที่ปลูกกาแฟเหมือนประเทศอื่นๆ  แถมเครื่องดื่มที่เป็นภาพจำของญี่ปุ่นยังเป็นชาเขียว แต่เหตุผลอะไรที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกตกหลุมรัก % Arabica ทันทีที่ได้ลิ้มชิมรสชาติกาแฟที่เสิร์ฟจากร้านนี้แบบไม่ยากกันแน่ 

ร้านสวยอย่างเดียว ไม่น่าใช่คำตอบ

จุดแข็งของ % Arabica อยู่ที่คุณภาพของกาแฟ ที่มีเมล็ดกาแฟที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีจากทั่วทุกมุมโลก อีกทั้งเรามองว่า ‘Less is More’ ความเรียบง่ายของทุกองค์ประกอบที่ประกอบมาเป็น % Arabica 

ตั้งแต่ “See the world Through coffee” ที่เป็นปรัชญาของร้าน ที่เคนเนทเชื่อว่าคนเราสามารถรู้จักโลกผ่านการชิมกาแฟได้นั่นเอง เช่นเดียวกับการเลือกโลเคชั่นที่ไม่ใช่ว่าจะไปขยายสาขาที่ไหนก็ได้ แต่เคนเนทต้องการส่งต่อเรื่องราว และวัฒนธรรมผ่านการลิ้มรสชาติกาแฟไปพร้อมๆ กับเรื่องราวของพื้นที่ได้อย่างดี

อย่างการเลือกเปิดสาขาแฟล็กชิปสโตร์ที่เกียวโต ญี่ปุ่น ที่เลือกเมืองเกียวโตก็เพราะว่าเป็นเมืองเก่าแก่ และมีเรื่องราวทางวัฒนธรรมมากมาย หรือแม้แต่การมาเปิดสาขาในประเทศไทยที่ไอคอนสยาม เคนเนทก็เป็นผู้มาดูและเลือกทำเลด้วยตัวเอง เหตุผลที่เลือกทำเลสาขาแรกที่ไอคอนสยามนั้น เพราะเคนเนทต้องการให้ % Arabica อยู่ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของวัฒนธรรม แม่น้ำเจ้าพระยาด้านหน้าไอคอนสยาม คือสายน้ำที่เป็นจุดก่อกำเนิดของวิถีชีวิตกับวัฒนธรรมไทยมากมาย

ด้วยความที่ต้องการสะท้อนตัวตนของพื้นที่นั้นๆ จะเห็นว่า การออกแบบบสาขาของ % Arabica แต่ละสาขาหน้าตาร้านก็จะไม่เหมือนกัน แต่ยังคงความเรียบง่ายด้วยความโปร่ง โล่ง และมินิมอล ของร้านไว้เป็นเอกลักษณ์

เมนูที่ไม่ได้มีให้เลือกมากมายเท่าร้านอื่นๆ ไม่ได้มีเมนูสเปเชียลที่ทำมาเฉพาะประเทศไหนๆ แต่มีรสชาติ ที่ไม่ว่าจะดื่มกี่ที กี่สาขาต้องได้รสชาติที่เป็นมาตรฐานตามแบบฉบับของ % Arabica

รวมไปถึงบาริสต้า ที่เคนเนท ตัดสินใจชวน จุนอิจิ ยามากูชิ (Junichi Yamaguchi) บาริสต้าระดับตำนานดีกรีผู้ชนะลาเต้อาร์ตจากการแข่งขัน ‘Coffee Fest Latte Art World Championship’ มาเป็นหัวหน้าบาริสต้าของ % Arabica ตั้งแต่การเปิดสาขาแฟล็กชิปสโตร์ที่ญี่ปุ่นในตอนนั้น ที่บาริสต้าในร้านจะต้องผ่านการฝึกฝนให้มีมาตรฐานเดียวกันหมด

หรือแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเครื่องแต่งกายของบาริสต้าในร้านที่ใช้สีขาวสื่อถึงความเรียบง่าย และแก้วเครื่องดื่มที่เสิร์ฟ ของที่ระลึกที่วางขายอยู่ร้านที่มีเพียงสัญลักษณ์ % ที่สะท้อนตัวตนของ % Arabica  ได้เป็นอย่างดี

ทั้งหมดคือคำตอบ

1. % Arabica มาเปิดสาขาแรกที่ประเทศไทยเมื่อปี 2563 โดยโลเคชั่นของสาขาแรกนั้นอยู่ที่ไอคอนสยามชั้น 1 นับเป็นสาขาที่ 58 ของโลก
2. ความพิเศษของสาขาไอคอนสยามคือ เป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นสาขาเดียวในภูมิภาคนี้ที่ดีไซน์มาเป็นร้านเปิดโล่ง 360 องศา 
3. ปัจจุบัน % Arabica มีสาขาในไทยด้วยกันทั้งหมด 4 สาขา

ภาพจาก เฟซบุ๊ก Arabica, เฟซบุ๊ก Arabica Thailand, อินสตาแกรม arabica.journal

อ้างอิง

Chumchum Grocery ร้านชำที่ชุบชีวิตของสะสมการ์ตูนยุค 90s ให้มีคุณค่าและมูลค่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว คุณก็เคยเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการ์ตูนวัยเด็กอย่างดิสนีย์และการ์ตูนเน็ตเวิร์กใช่หรือไม่

Chumchum Grocery เป็นร้านชำที่รวมของสะสมอย่างนาฬิกา โปสเตอร์ ฟิกเกอร์ และแผ่นเสียง มีทั้งการ์ตูนคลาสสิกอย่าง Mickey Mouse, Cinderella, Beauty and the Beast, Lady and the Tramp, Snow White and the Seven Dwarfs, Winnie the Pooh, The Flintstones, The Simpsons, Garfield and Friends ฯลฯ มีโปสเตอร์การ์ตูนหายากอย่าง Barbapapa, ตุ๊กตาคาแร็กเตอร์เก่าอย่าง Mr.Friendly ไปจนถึงของสะสมการ์ตูนรุ่นใหม่อย่าง Mr.Men Little Miss 

จากวันที่เริ่มสะสมฟิกเกอร์และของเล่นต่างๆในวัยเด็ก เอม–เอมนิกา ยิ้มอำพัน ยังคงสะสมของเล่นยุค 90s ต่อเนื่องมาจนตอนโต ตามหาคอลเลกชั่นลิมิเต็ดของดิสนีย์จากต่างประเทศอย่างนาฬิกาควอตซ์ที่มีลูกเล่นแสนพิเศษ นำโปสเตอร์การ์ตูนยุคเก่ามาชุบชีวิตให้มีชีวิตชีวาอีกครั้งและพรีเซนต์ความน่าสนใจของคาแร็กเตอร์การ์ตูนในแบบของตัวเอง 

ในโอกาสที่ได้เปิดบ้านของฉ่ำฉ่ำครั้งนี้ เราจึงชวนเอมคุยถึงการสร้างแบรนด์ร้านของสะสมจากการขายออนไลน์จนเติบโตมีหน้าร้านเป็นของตัวเอง ความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เป็นพาร์ตเนอร์กับเพื่อนจนมาดูแลร้านเต็มตัวคนเดียว ความเสี่ยงในการลงทุนซื้อของหายากไปจนถึงกำไรที่ได้จากการสร้างพื้นที่ในฝันของตัวเองที่ล้อมรอบด้วยการ์ตูนที่ชื่นชอบ

เสน่ห์นาฬิกาลิมิเต็ดของดิสนีย์   

ก่อนเปิดหน้าร้านที่ซอยปรีดีพนมยงค์ 31 เอมขายของออนไลน์ในนาม Chumchum มาก่อนหน้านั้นเป็นระยะเวลาราวสองปีกว่า เริ่มจากขายของสะสมหลากหลายประเภทตั้งแต่เสื้อผ้ามือสอง รองเท้า นาฬิกาวินเทจ 

ด้วยความชื่นชอบการ์ตูนวัยเด็กเป็นพิเศษทำให้หมวดสินค้าที่โดดเด่นเป็นที่เตะตาอย่างมากจนคนจดจำชื่อร้านได้คือนาฬิกาวินเทจคอลเลกชั่นการ์ตูน เอมอธิบายว่าแบรนด์นาฬิกาที่มีชื่อเสียงมายาวนานอย่าง Fossil, Timex, Lorus, Pedre ล้วนเป็นของสะสมรุ่นเก่าที่ได้ลิขสิทธิ์ออกคอลเลกชั่นพิเศษกับดิสนีย์

“เวลาดิสนีย์ฉลองครบรอบ anniversary ในปีต่างๆ เขาจะทำคอลเลกชั่นลิมิเต็ดร่วมกับแบรนด์นาฬิกาออกมา เอกลักษณ์ของยุค 90s คือกลไกของนาฬิกาแทบทุกเรือนจะมีลูกเล่นยิบย่อยบางอย่างที่สมัยนี้ไม่มีแล้วและเอมชอบมาก มีเข็มวินาทีที่หน้าปัดเลื่อนได้หรือแพ็กเกจที่ลิงก์กับการ์ตูนตัวนั้น” 

นาฬิกา Fossil เป็นแบรนด์โปรดของเอมที่มีวางขายเยอะเป็นพิเศษเพราะเอมชื่นชอบในรายละเอียดที่แบรนด์ใส่ใจทำจึงสะสมไว้จำนวนมาก  

ตัวอย่างเช่น รุ่น Watch Collectors Club Limited Edition, Series II ในปี 1993 เป็นรุ่นที่ทำแพ็กเกจนาฬิกาข้อมือในรูปแบบกล่องหนังสือ โดยเลือกตัวการ์ตูนจากหนังดิสนีย์ 7 เรื่อง นำมาออกแบบเป็นหน้าปัดนาฬิกา 7 รุ่นพร้อมกล่องหนังสือ 7 เล่มที่เข้าคู่กัน ประกอบด้วยเรื่อง Alice in Wonderland, Lady and the Tramp, Sleeping Beauty, Cinderella, The Jungle Book, Pinocchio และ Steamboat Willie ในกล่องหนังสือเขียนเล่าเรื่องถึงฉากในการ์ตูนที่เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ ชวนให้นึกถึงความทรงจำวัยเด็กเกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องโปรดที่ไม่เลือนรางไปตามกาลเวลา 

ช่วงที่คอลเลกชั่นนี้ออกใหม่ Fossil ใช้กลยุทธ์การขายแบบเอ็กซ์คลูซีฟเพื่อให้นาฬิกาเรือนสำคัญตกไปอยู่กับแฟนคลับดิสนีย์ตัวจริงเท่านั้น ลูกค้าจะสามารถซื้อนาฬิกาเรือนที่ 7 ในคอลเลกชั่นได้ก็ต่อเมื่อซื้อนาฬิกา 6 เรือนแรกของคอลเลกชั่นนี้ที่วางขายก่อนหน้านี้แล้วเท่านั้น เพราะรุ่นที่ 7 คือลาย Steamboat Willie คือพระเอกของดิสนีย์หรือมิกกี้ในเวอร์ชั่น Screen debut (ปี 1982) นั่นเอง  

อีกรุ่นที่มีการพรีเซนต์เรื่องเล่าผ่านนาฬิกาได้อย่างน่าสนใจคือ Cruella de Vil & 101 Dalmatians มีเอกลักษณ์คือการ์ตูนที่อยู่บนหน้าปัดนาฬิกาทั้ง 2 ฝั่งสำหรับพลิกใส่ 2 ด้านได้ ด้านหนึ่งเป็นตัวเอกอย่างดัลเมเชี่ยนอีกด้านเป็นตัวร้ายอย่างครูเอลล่า มาพร้อมแพ็กเกจในรูปแบบฟิกเกอร์การ์ตูนที่มีคาแร็กเตอร์อยู่ 2 ฝั่งเช่นกัน

เอม unbox ให้ดูคอลเลกชั่นลิมิเต็ดอื่นๆ ของ Fossil ที่มีรายละเอียดในการออกแบบทั้งตัวเรือนและกล่องนาฬิกาไม่เหมือนกันเลย รุ่นที่มีกล่องนาฬิกาเป็นกล่องเหล็กสี่เหลี่ยมคล้ายกล่องข้าวสมัยก่อนนั้นจะมีความโดดเด่นแตกต่างออกไป เช่น รุ่น Beauty and the Beast มีแถมพิณรูป Lumière เทียนจากในเรื่อง พร้อมแนบฉลากในธีมเดียวกันมาพร้อมนาฬิกา

ในฐานะคิวเรเตอร์และแฟนคลับดิสนีย์ที่เป็นคนเสาะหาของเหล่านี้มาขายรวมถึงเป็นคนพรีเซนต์ความน่าสนใจส่งต่อไปให้ลูกค้า เอมมองว่านาฬิกาแต่ละแบรนด์มีเสน่ห์แตกต่างกันและตั้งใจเก็บสะสมความเป็นออริจินอลของทุกคอลเลกชั่นไว้ให้ได้มากที่สุดทั้งแพ็กเกจและโมเดลที่แถมมากับนาฬิกา

“ยุคก่อน Seiko ราคาแพงมากราว 300-400 ดอลลาร์สหรัฐต่อเรือน ทำให้มีแบรนด์ตัวเลือกอื่นยิบย่อยออกมาให้คนเลือก เช่น Lorus เป็นค่ายลูกของ Seiko ส่วนอีกแบรนด์คือ Pedre ที่เน้นความคลาสสิก”

หน้าปัดนาฬิการุ่น Snow White and the Seven Dwarfs ของ Pedre มีลูกเล่นไม่แพ้แบรนด์ Fossil โดยมาพร้อมกับกล่องนาฬิกาสีแดงที่ดูหรูหรา และยังมีแบรนด์อื่นอีกหลายรุ่นที่แถมโมเดลมาพร้อมตัวเรือนทั้ง Lilo and Stitch และ Lady and the Tramp 

นอกจากสามารถรวมนาฬิกาหายากมาไว้ด้วยกันแล้ว เอมมองว่าสิ่งที่ทำให้คนรักการ์ตูนจดจำ Chumchum ได้จนมีคนติดตามเยอะและสามารถเปิดหน้าร้านได้ในทุกวันนี้เพราะความเป็นตัวของตัวเอง   

“เชื่อว่าถ้าลูกค้าไปเห็นรูปนาฬิกาของร้าน จะรู้เลยทันทีว่าเป็นของ Chumchum เอมพยายามสร้างคาแร็กเตอร์ของร้านที่เฟรนด์ลี่ เข้าถึงง่ายกับทุกคน เอานาฬิกาออกไปถ่ายข้างนอก ไปโดนแดด วางบนทุ่งหญ้า บนหนังสือ บนของเล่นที่มี เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงว่านาฬิกามันน่ารักมากเลยนะ คิดว่าสิ่งนี้ทำให้เกิดภาพจำด้วย”

ชุบชีวิตให้การ์ตูนยุค 90s  

ท่ามกลางสินค้าตัวการ์ตูนที่มีมากมาย เอมบอกว่าส่วนใหญ่ลูกค้าแต่ละคนจะเลือกซื้อจากคาแร็กเตอร์โปรดของตัวเอง แต่ตัวการ์ตูนในตำนานที่มีฐานแฟนคลับเยอะที่สุดคือมิกกี้ โดยนาฬิการุ่นมิกกี้เมาส์และมินนี่เมาส์เป็นรุ่นไอคอนิกที่ขายดีตลอดกาลและมีลูกค้าตามหาเยอะมาก

กูรูการ์ตูนอย่างเอมอธิบายที่มาที่ไปเบื้องหลังความฮิตของมิกกี้ว่า เมื่อมิกกี้เป็นตัวการ์ตูนหลักของดิสนีย์ จึงมีการพัฒนาลายเส้นของตัวการ์ตูนอย่างต่อเนื่องมาเรื่อยๆ และออกคอลเลกชั่นใหม่ถี่ตลอดทุกครั้งที่ปรับลายเส้น หากสังเกตจะพบว่าหน้าตาของมิกกี้เวอร์ชั่น 90s นั้นไม่เหมือนกับมิกกี้ในปัจจุบันเลย 

ตั้งแต่ขายของมาเอมยังพบว่าคอลเลกชั่นของมิกกี้มีเกินร้อยแบบทำให้มีตัวเลือกสินค้าเยอะตามไปด้วย ในขณะที่การ์ตูนที่คนรู้จักในวงแคบกว่าก็จะมีสินค้าให้สะสมน้อยกว่าซึ่งเป็นเสน่ห์อีกแบบเพราะคอลเลกชั่นเหล่านี้จะตามหายาก

“ตัวการ์ตูนบางตัวจะออกคอลเลกชั่นใหม่เฉพาะทุกสิบปี เช่น Lady and the Tramp จะมีเฉพาะตอนครบรอบ 50 ปีหรือ 60 ปี อย่าง 101 Dalmations ก็มีไม่เยอะเลยเหมือนกัน”

โดยรวมแล้วสินค้าของ Chumchum จะอยู่ในยุค 80s-90s เป็นส่วนใหญ่ “ที่จริงมิกกี้เกิดก่อนหน้ายุคนี้นานมากแล้ว แต่ 90s เป็นยุคทองของการสะสม อย่างนาฬิกาควอตซ์เองก็อยู่ในยุคนี้เยอะเพราะถ้าย้อนเวลาไปก่อนหน้านั้น นาฬิกาจะยังเป็นแบบไขลานอยู่ เวลาค้นข้อมูลและเจอของที่เมืองไทยส่วนใหญ่จะเป็นยุค 90s” 

นอกจากนาฬิกาแล้ว สินค้าเด่นอีกอย่างคือโปสเตอร์การ์ตูนที่เอมบอกว่ามีความแตกต่างจากสินค้าดิสนีย์ในยุคนี้ที่ลายเส้นและวิธีพรีเซนต์เช่นกัน 

ระหว่างของวินเทจที่เราสะสมกับสินค้าดิสนีย์สมัยนี้ที่เจอเวลาไปเที่ยว รู้สึกว่ามันแตกต่างกันมาก โปสเตอร์ยุคก่อนจะใช้ตัวอักษรเยอะและสีสดมาก ถ้าสมัยนี้มู้ดโปสเตอร์จะเป็นอีกโทนหนึ่งแล้ว อีกอย่างคือ new print ในทุกวันนี้จะสามารถเลือกลายและไซส์ที่ชอบได้ เช่น บ้านเรามีพื้นที่เท่านี้ ก็สั่งไซส์ภาพตามต้องการได้ แต่เอมจะชอบให้ภาพเป็นไซส์ออริจินัลที่ดิสนีย์ผลิตมา ของสะสมส่วนใหญ่จะเป็นโปสเตอร์หนัง เช่น ฉายหนังในโรงยุคก่อนแล้วผลิตป้ายแผ่นนี้ออกมา ของแท้ต้องมีรอยพับหรือม้วนเก็บไว้ เราก็จะเอามารีดแล้วใส่กรอบใหม่เอง เหมือนชุบชีวิตให้โปสเตอร์ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ก็เลยรู้สึกว่าชอบสไตล์เก่ามากกว่า รู้สึกว่าแบบนี้มีเสน่ห์ดี”

อาจกล่าวได้ว่า Chumchum ไม่ได้ขายแค่สินค้าเกี่ยวกับการ์ตูนหรือสินค้าดิสนีย์เหมือนดิสนีย์ช็อปทั่วไป คุณค่าที่อยากส่งต่อให้ลูกค้าคือความทรงจำเกี่ยวกับการ์ตูนในวัยเด็กที่ถูกแปลงมาเป็นสินค้ารูปแบบต่างๆ

กำไรจากแพสชั่น

แม้ร้านขายของสะสมแนวการ์ตูนแบบ Chumchum ดูเป็นกิจการที่น่าจะมีความชิลล์ในสายตาของใครหลายคนแต่เอมบอกว่ากิจการรูปแบบนี้มีความเสี่ยงตลอดเวลาอย่างการตามหาแหล่งขายของที่เชื่อถือได้ 

“การซื้อของสะสมพวกนี้มันมาพร้อมกับความเสี่ยงนะ คือบางทีเราคุยกับคนขาย เขาบอกว่านาฬิกาเรือนนี้ ‘never worn’ หรือไม่เคยใช้เลยแต่พอซื้อมาจริงๆ แล้วกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น บางทีพังหรือไม่เดินเลย แม้แต่ซ่อมแล้วก็ไม่เดิน ช่วงเปิดเริ่มแรกต้องลองผิดลองถูกเยอะมาก แม้กระทั่งสั่งแล้วของไม่มา โดนโกงก็มี เราก็แบกรับความเสี่ยงตรงนั้นจากการซื้อของเก่าเก็บ แต่เพราะเราชอบก็เลยพยายามดื้อในการหาสินค้าและพร้อมเรียนรู้เติบโตไปกับมัน”

สิ่งที่เอมใช้ช่วยบริหารความเสี่ยงในการกล้าลงทุนคือแพสชั่น “เราเลือกสินค้าจากความชอบของตัวเองเป็นที่ตั้งและเริ่มคิดจากตรงนั้นว่าจะทำยังไงให้ลูกค้าเห็นเหมือนที่เราเห็น คำนึงว่าลูกค้าจะชอบเหมือนเราไหมแต่มันก็มีบางอย่างที่เอามาแล้วก็ขายไม่ได้หรือไม่ค่อยถูกใจลูกค้า ทั้งนี้เราไม่ค่อยมายด์ตรงนั้น เพราะเหตุผลสำคัญคือเราชอบเก็บสะสมเองด้วย รู้สึกว่าถ้าไม่มีใครซื้อเราก็เก็บเอง ทำให้คิดว่าการซื้อครั้งนี้มันไม่มีอะไรเสียเลย”

หากเป็นคนที่ลงทุนเปิดร้านด้วยสินค้าที่ไม่ได้มีแพสชั่นส่วนตัว อาจคำนวณเรื่องกำไรขาดทุนในการซื้อของเข้าร้านอย่างเข้มงวด แพสชั่นเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ขยายขอบเขตความกล้าลงทุนให้กว้างขึ้นจนทำให้ซื้อของสำหรับวางดิสเพลย์และตกแต่งร้านแบบไม่กลัวขาดทุนรวมกันมากมาย เกิดเป็นความโดดเด่นน่าสนใจที่ไม่เหมือนใครจนสามารถดึงดูดลูกค้าตัวจริง เกิดกำไรตามมาในที่สุด สำหรับสินค้าบางอย่าง เอมก็ตั้งใจซื้อมาเพื่อสะสมเองโดยเฉพาะเพื่อตั้งโชว์ในร้านเพราะตัดใจขายไม่ลง

“ของที่สะสมเอง ไม่ได้ขายคือแผ่นเสียง เป็นบทพูดผสมเพลงสไตล์มิวสิคัล ดึงฉากฮิตของเรื่องนั้นมาไว้ในแผ่นเสียง อย่าง Lady and the Tramp จะมีฉากกินสปาเก็ตตี้ มีเสียงหมาเห่าอยู่ห้านาทีได้  พินอคคิโอก็จะมีฉากร้องเพลงกับตัวเอก”

ในส่วนของการคำนวณกำไรอย่างจริงจังทางธุรกิจนั้น เอมมีหลักการตั้งราคาในการซื้อมาขายไปคือการบาลานซ์ระหว่างราคาตลาดกับราคาที่ลูกค้ารับได้

“สมมติเอมได้รุ่น Lady and the Tramp มาก็จะหาราคาตรงกลางที่คนไทยโอเคและเสิร์ชข้อมูลว่าตอนนี้ราคาส่วนใหญ่ที่ต่างประเทศเขาขายกันในราคาเท่าไหร่ บางทีตอนแรกเอมขายรุ่นนี้ในราคาสามพันกว่าบาท แต่ตอนนี้มันขึ้นราคาไปถึง 7,900 บาทแล้ว เพราะว่าแทบหาซื้อทั่วไปไม่ได้แล้วจริงๆ บางรุ่นราคาก็พุ่งจาก 40 ดอลลาร์สหรัฐไปถึง 200 ดอลลาร์สหรัฐแบบนี้” 

สำหรับตลาดของวินเทจและของสะสม เอมมองว่า “ทุกวันนี้ถือว่ามีร้านวินเทจเยอะมากแต่ไม่อยากมองว่าร้านอื่นเป็นคู่แข่งทางธุรกิจเพราะที่จริงเราอยู่ด้วยกันได้ เราต่างสะสมในสิ่งที่แต่ละคนชอบและไม่อยากแข่งกันขายแบบกดราคา รู้สึกว่าของวินเทจมีค่ามากเกินกว่าที่จะมาแข่งขันกัน ถ้าชอบเหมือนกันก็แลกเปลี่ยนพูดคุยกันได้” 

เนื่องจากของวินเทจส่วนใหญ่มักมีจำนวนจำกัด เอมจึงมองว่าแต่ละร้านต่างมีกลุ่มลูกค้าเฉพาะทางของตัวเองและอยากโฟกัสที่การส่งต่อคุณค่าให้ลูกค้าที่รักในสิ่งเดียวกัน “คำว่าของวินเทจแปลว่ามีชิ้นเดียวหรือน้อยมาก อาจไม่เจอคอลเลกชั่นนี้อีกแล้ว การที่ได้สินค้าชิ้นหนึ่งมามันอาจเป็นความบังเอิญหนึ่งในร้อย อยากให้คนที่ได้ไปเห็นค่าของสิ่งนั้น” และการได้ครอบครองของที่หายากคือกำไรแฝงของเอมที่ได้จากการลงทุนเปิดร้านด้วยแพสชั่น  

Chum แปลว่า เพื่อน  

คำว่า Chum ในภาษาอังกฤษแปลว่าเพื่อนซี้ เอมบอกว่าการตั้งชื่อร้านว่า Chumchum grocery มีที่มาจากการเคยทำกิจการร่วมกับเพื่อนในช่วงแรก 

“เริ่มทำกันสองคนกับเพื่อนที่สนิทที่สุดในชีวิตเลยตอนนั้น เลยคิดว่าชื่อ Chumchum ไหมล่ะ แต่มันยาก บางทีพอเราได้บางสิ่งมา ก็ต้องเสียบางอย่างที่เรามีไป สุดท้ายก็ไม่ได้ทำด้วยกันและไม่ได้คุยกันอีกแล้ว”

สำหรับใครที่อยากทำธุรกิจกับเพื่อน เอมแชร์ประสบการณ์ให้ฟังว่าการเป็นพาร์ตเนอร์กับเพื่อนอาจมีปัญหาจุกจิกเล็กน้อยที่อาจขยายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตได้ หัวใจสำคัญจึงเป็นความจริงใจต่อกัน

“มันอาจมีบางอย่างที่เราไม่เคยรู้เลยเพราะอีกฝั่งไม่พูด หรือเขาไม่รู้เลยเพราะเราไม่เคยพูด ในขณะเดียวกันอะไรที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ควรเก็บไว้ในใจบ้าง ต้องรู้จักบาลานซ์วิธีพูดโดยไม่ทำร้ายจิตใจกันและเข้าใจอีกฝ่าย”  

ทั้งนี้มิตรภาพยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจของเอม ร้านชำแห่งนี้เป็นพื้นที่รวมตัวกันของคนรักการ์ตูนที่เอมบอกว่ามองผู้เยี่ยมเยียนเหมือนเพื่อนที่มาเยี่ยมบ้าน ไม่ใช่แค่ลูกค้าที่มาซื้อของ

“ลูกค้าหลายคนของเอมกลายเป็นเพื่อน บางคนคุยกันทางออนไลน์แบบไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน พอวันเปิดร้านก็เอาของขวัญมาให้ หลายคนเอาของแต่งร้านมาให้ บางคนก็ยกทั้งครอบครัวและเพื่อนมาอุดหนุน เหมือนได้คุยแลกเปลี่ยนความชอบจนเข้าใจกัน” 

การเปิดร้านของเอมจึงมีบรรยากาศความเป็นกันเองคล้ายการเปิดบ้านให้คนเยี่ยมชมของสะสม ทั้งนี้ธรรมชาติของร้าน grocery ที่ขายของและเป็นคาเฟ่ด้วยแบบ Chumchum นั้นต้องพูดคุยกับลูกค้า เหมือนคุยกับเพื่อนเวลาเปิดบ้านเพื่อต้อนรับแขก ซึ่งเอมบอกว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถนัดที่สุดในการทำกิจการ  

“ถ้าย้อนกลับไปเมื่อสามปีที่แล้วตอนเริ่มแรก เอมเป็นคนอินโทรเวิร์ตมากๆ ไม่ถนัดคุยกับคนอื่น รู้สึกทำตัวไม่ถูก เอมเคยเป็นคนคนนั้น สิ่งที่ได้เรียนรู้ในการทำร้านคือเปิดใจคุยกับคนอื่นมากขึ้น เพราะที่จริงแล้วความรู้อยู่รอบตัวเรา เช่น ลูกค้าบางคนมาเล่าว่าสมัยก่อนดิสนีย์เคยมีตัวการ์ตูนแบบนี้นะหรือมีคนเล่าว่า
ตอนเขาเป็นเด็ก ที่สยามเคยมีตัวการ์ตูนชื่อ Mr. friendly ตั้งอยู่นะ ตอนนี้คาแร็กเตอร์ตัวนี้ไม่มีที่ไทยแล้ว มีเฉพาะที่ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นยุคที่เราไม่ทันได้เห็น การได้มิตรภาพใหม่แบบนี้เป็นสิ่งที่ดี รู้สึกดีใจที่ตัวเองโตขึ้น” 

ทุกวันนี้การสร้างความเฟรนด์ลี่ในคอมมิวนิตี้คนรักการ์ตูนเป็นสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดเพื่อนใหม่ให้มาเยี่ยมที่ร้าน ไม่ว่าจะเป็นการมีคาเฟ่ที่เสิร์ฟขนมและเครื่องดื่ม การจัดมุมฉายหนังในบรรยากาศที่รายล้อมด้วยโปสเตอร์การ์ตูน การเปิดบ้านเป็นที่จัดเวิร์กช็อปให้แขกมาเช่าบ้านสำหรับแลกเปลี่ยนงานอดิเรกที่สนใจนอกเหนือจากการ์ตูนด้วยกัน เป็นร้านของชำที่สร้างพื้นที่แห่งมิตรภาพสมกับชื่อ ‘ฉ่ำฉ่ำ’

พื้นที่แห่งความชอบของตัวเอง 

การทำกิจการคนเดียวในรูปแบบ solopreneur อย่างเอมนั้นอาจดูเป็นเรื่องเรียบง่ายแต่ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ สำหรับผู้ที่อยากเริ่มตั้งตัวแบบลงทุนไม่เยอะ เอมแชร์คำแนะนำในฐานะผู้ประกอบการเดี่ยวให้ฟังว่า 

“อาจดูเหมือนว่ามีคนที่สามารถเอาความชอบมาเป็นอาชีพจริงได้น้อยแต่ไม่ใช่ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ วันหนึ่งมันอาจเป็นเราก็ได้ที่ได้ทำสิ่งเหล่านั้น ถ้ารู้ว่าตัวเองชอบอะไรอาจเริ่มจากการทำเป็นงานอดิเรกก่อนก็ได้ เพราะเอมก็เริ่มขายของจากการหาเงินไปเที่ยวเหมือนกัน สุดท้ายแล้วมันคงเป็นโชคหรือโอกาสที่ยื่นเข้ามาให้เรา ที่สำคัญคือจะต้องเชื่อว่าเราสามารถทำได้” 

หากย้อนกลับไปในวันที่เป็นมนุษย์เงินเดือน เอมบอกว่าคนรอบตัวก็เคยตั้งคำถามว่าถ้าลาออกมาเปิดร้านแล้วจะเสี่ยงไหม หลักคิดที่เอมใช้ประเมินความพร้อมในการลงทุนเปิดหน้าร้านคือการทดลองขายออนไลน์
เป็นปีจนมั่นใจว่ามีตลาดที่คนพร้อมซื้อแน่นอน

“เราคุยกับลูกค้าทุกวัน รู้ว่ามีคนที่ชอบแบบเราเยอะนะ การ์ตูนดิสนีย์ก็มีแฟนคลับอยู่แล้ว แค่พูดชื่อก็เชื่อว่าไม่มีใครในโลกนี้ไม่รู้จัก

“สำหรับอนาคตอยากให้ Chumchum มีสาขาสอง สาม สี่ ยังไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้ไหม แต่ตอนนี้ก็พยายามทำตรงนี้ให้ดีก่อน” 

พอเป็นร้านชำกึ่งคาเฟ่ที่ไม่ได้ขายแค่ของสะสม เอมจึงบอกว่าอยากเติมความรู้ในมุมอื่นๆ อย่างความเข้าใจในการทำคาเฟ่ให้ลึกซึ้งมากขึ้นเหมือนที่เข้าใจการ์ตูน เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ให้เพื่อนที่มาเยี่ยมบ้าน 

เอมทิ้งท้ายว่าการได้เปิดร้านจากแพสชั่นคือความสุขหนึ่งของเธอเพราะมีความฝันอยากมีเสปซเป็นของตัวเอง แม้จะเป็น solopreneur แต่ไม่เหงา เพราะมีเพื่อนมาเยี่ยมเยียนตลอดและล้อมรอบด้วยการ์ตูนที่เป็นเหมือนเพื่อนตั้งแต่ครั้งวัยเยาว์ 

“เวลาลูกค้ามาร้านแล้วเขารู้สึกว่าของชิ้นนี้น่ารักจัง นั่นแหละคือความสำเร็จสำหรับเราแล้ว ดีใจที่ลูกค้ามาแล้วได้นึกถึงวันเก่าๆ การ์ตูนที่เคยดู ของที่เขาเคยมี เอมอยากให้ทุกคนได้เห็นคุณค่าในของที่เมื่อก่อนเราเคยเห็นแต่อาจเผลอลืมมันไป ได้เอามันกลับไปตั้งใหม่ ไปตั้งในตู้โชว์หรือวางตัวการ์ตูนอยู่ในมุมที่ไม่ต้องโดดเดี่ยว แค่นั้นก็โอเคแล้ว”

  1. Most Expensive : นาฬิกา Alice in wonderland ของ Fossil ราคาหลักหมื่น
    มีราคาแพงเพราะอลิซเป็นตัวการ์ตูนที่หายาก ทำคอลเลกชั่นออกมาน้อย 
  2. Functional with Unique Gimmick : นาฬิกาที่โชว์ตัวการ์ตูนหน้า-หลังได้ 2 ฝั่ง
    ในคอนเซปต์ตัวร้ายกับตัวดี อย่างครูเอลล่ากับดัลเมเชี่ยน ปีเตอร์แพนกับกัปตันฮุก
  3. Hot : โปสเตอร์ไซส์แกรนด์จากฉากคลาสสิกของ Lady and the Tramp เป็นไซส์โปสเตอร์ที่ขายดีและ Lady เป็นการ์ตูนที่คนชอบอย่างมากในตอนนี้
  4. Souvenir : โปสต์การ์ดการ์ตูนไซส์เล็กที่อยากเป็นส่วนเล็กๆในการแต่งบ้านและเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่อยากสะสมได้ 
  5. Hidden Item : ของที่คนไม่รู้ว่ามีขายที่นี่คือ หนังสือศิลปะอย่าง Magritte เป็นหนังสือเก่าที่เป็นของสะสมหนึ่งของเอมเช่นกัน 

ยาคูลท์ แบรนด์ที่ใช้ความสัมพันธ์ของมนุษย์ทำให้คนเปิดใจว่าจุลินทรีย์ดีต่อร่างกาย

“อยากรู้เรื่องยาคูลท์ถามสาวยาคูลท์สิคะ”

หากคุณคุ้นชินกับประโยคนี้เพราะเคยได้รับฟังมันผ่านโฆษณาทีวีเมื่อสักหลายสิบปีก่อน อนุมานความได้ว่าคุณคงเข้าวัยที่เข้าใจความดังของเพลง รักคือฝันไป ของวงสาวสาวสาว คุ้นชินกับเสียงแหบห้าวของอ้อม สุนิสา ในฐานะนักร้อง และเฝ้ารอร้องเพลงและโยกตามศิลปินที่คุณชื่นชอบผ่านรายการ เจ็ดสีคอนเสิร์ต หรือ โลกดนตรี  ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์

ย้อนเวลากลับไปสมัยที่คำว่า รักมิใช่ดวงดาวเมื่อพราวแสง ยังอยู่แต่เพียงในเนื้อเพลง ไม่ได้ถูกนำมาต่อท้ายประโยคไวรัลในอินเทอร์เน็ต สมัยนั้นเรามักได้ยินเพื่อนสนิทคนใกล้ชิดเล่นมุกขำขันปรับเปลี่ยนถ้อยคำโฆษณาในยาคูลท์จาก 

“อยากรู้เรื่องยาคูลท์ถามสาวยาคูลท์สิคะ”

เป็น  

“อยากรู้อะไรถามสาวยาคูลท์สิคะ” 

ต่อเมื่อเขาคนนั้นมีคำถามสงสัยถึงสิ่งใดก็ตามบนโลกใบนี้ เขาก็มักจะสะกิดบอกกันกึ่งกวนกึ่งหยอกเอินว่า สงสัยอะไรก็ลองไปถามสาวยาคูลท์ดูสิ นัยน์ว่าสาวยาคูลท์จะสามารถตอบได้ทุกคำถามบนโลกใบนี้เสียยังไงอย่างนั้น ทั้งที่จริงแล้วสาวยาคูลท์ เขาเชี่ยวชาญเพียงแต่เรื่องยาคูลท์ต่างหาก หาใช่อับดุลผู้รอบรู้ไม่

คนไทยเราคุ้นชินกับ ยาคูลท์ เครื่องดื่มขนาดกะทัดรัด ดื่มง่าย ราคาถูก รสชาติหวานเปรี้ยวกำลังพอดี ดื่มแบบเย็นๆ จะได้รสชาติชื่นใจเป็นที่สุด นอกจากภาพจำดังกล่าวที่ว่ามาเกี่ยวกับยาคูลท์ สิ่งที่น่าสนใจที่สุดของแบรนด์ยาคูลท์คงจะหนีไม่พ้น…สาวยาคูลท์ (Yakult Lady)

สุภาพสตรีที่อาจจะปั่นจักรยานหรือขี่มอเตอร์ไซค์เครื่องเล็กพร้อมกระเป๋าเก็บความเย็นมีโลโก้ยาคูลท์ประทับบนกระเป๋า ภายในบรรจุขวดยาคูลท์มากมายหลายสิบขวด เธอพร้อมจะแบกกระเป๋าเก็บความเย็นขึ้นสะพายบนบ่าเดินเข้าไปกดกริ่งเรียกคุณถึงหน้าบ้าน หรือเดินไปกดลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังออฟฟิศสำนักงานแล้วส่งขวดยาคูลท์แช่เย็นๆ ที่บางทียังแอบมีเกล็ดน้ำแข็งติดอยู่ตามขวดเสียด้วยซ้ำถึงมือคุณทุกที่ที่คุณอยู่ 

ภาพเหล่านี้พวกเราต่างเห็นกันจนชินตาตั้งแต่เด็กจนโต ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ถ้าเห็นสาวยาคูลท์เมื่อไหร่ เราแค่เดินปรี่เข้าไปพร้อมเงินไม่ถึงสิบบาท รับรองว่าได้ความหวานเปรี้ยวชื่นใจกลับมาทุกครั้งแน่นอน

โมเดลธุรกิจการกระจายสินค้าแบบใช้คนกลางเป็นสื่อกลางในการขายตรงให้กับลูกค้าอาจมีให้เห็นไม่มากแล้วในยุคนี้ เพราะในโลกปัจจุบันที่เหมือนกับว่าทุกอย่างถูกเร่งเร้าให้รวดเร็วไปเสียหมด คอนเทนต์แบบออนไลน์ต้องว่องไวกว่ากามนิตหนุ่ม ฟาร์มหมูฟาร์มไก่ต้องฉีดสารเร่งโตให้สัตว์เลี้ยง เด็กอนุบาลถูกบังคับให้ท่องสูตรคูณเป็นก่อนเรียนรู้วิธีการหุงข้าว ทุกอย่างล้วนถูกเร่งรัดราวกับว่าเข็มหน้าปัดบนนาฬิกาเองอาจจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ยังคงหมุนตามจังหวะปกติของมันต่อไป 

รูปแบบการขายของในปัจจุบันจึงอาจไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การเดินขายทีละจุด หยุดทีละบ้าน แบบที่ยาคูลท์ยังคงทำอยู่ ยาคูลท์เองยังคงมุ่งมั่นและเน้นย้ำไปที่การขายผ่านตัวแทน หรือ ผ่านสาวยาคูลท์ ด้วยเหตุผลที่ทุกคนอาจรู้อยู่แล้วแต่คุณไม่รู้ตัวว่าคุณรู้ นั่นคือ เหตุผลแห่งความคุ้นเคยและความเชื่อใจ

สาวยาคูลท์มักเป็นคนในชุมชนหรือคนที่คุณคุ้นเคยคุ้นหน้าคุ้นตา การซื้อของจากคนที่รู้จัก ไม่ว่าจะรู้จักกันมากน้อยแค่ไหนระดับของความไว้ใจคงต้องมีมากกว่าการซื้อของจากคนแปลกหน้าเป็นแน่ ไม่ใช่เพียงแค่ในประเทศไทยเท่านั้นที่มีสาวยาคูลท์ ไม่ว่าจะเป็นที่บราซิล สิงคโปร์ เม็กซิโก อินเดีย ไต้หวัน รวมแล้วประมาณ 40 ประเทศทั่วโลก ต่างใช้โมเดลธุรกิจขายยาคูลท์ผ่านสาวยาคูลท์ทั้งสิ้น

สำนักข่าว Bloomberg เคยทำสกู๊ปสัมภาษณ์สาวยาคูลท์ในอินเดีย พวกเขาขี่สกู๊ตเตอร์ไปตามติดชีวิตหนึ่งวันการทำงานของสาวยาคูลท์วัย 22 เธอเดินเคาะประตูตามบ้านเพื่อพูดคุยและส่งยาคูลท์ให้เหล่าแม่บ้าน คนที่ทำงานรับจ้างซักผ้าอยู่กับบ้าน และชาวบ้านแถบละแวกที่เธออาศัยอยู่ เธอให้สัมภาษณ์ว่า ทริคที่ดีที่สุดสำหรับเธอในการปิดการขายยาคูลท์ในคราวแรกคือ การบอกกับทุกคนว่า “ยาคูลท์ดีต่อสุขภาพนะ”

คำว่า ดีต่อสุขภาพ ของเธอ เธอไม่ได้พูดมันอย่างเลื่อนลอย หากแต่เธอสามารถบรรยายสรรพคุณของยาคูลท์ได้ตามแบบฉบับที่เธอได้เรียนมาจากบริษัท เธอสามารถพูดได้ว่า ยาคูลท์ 1 ขวด มีจุลินทรีย์ที่ดีต่อลำไส้มากหลายพันล้านตัวและสามารถช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันอาการท้องผูก และท้องเสีย ก่อนยื่นใบปลิวของบริษัทให้กับผู้สื่อข่าว Bloomberg

คำโฆษณาที่สาวยาคูลท์อินเดียคนนี้ ท่องจำไว้โปรโมตยาคูลท์ขวดเล็กที่เธอเพียรถือไปส่งให้ชาวบ้านทีละหลังๆ ในอินเดียอาจใช้พูดได้เพียงแค่ที่นี่เท่านั้น เพราะหลายประเทศในฝั่งตะวันตกทั้งยุโรปและอเมริกาที่กิจการยาคูลท์เดินทางไปถึงยังคงเข้มงวดอย่างหนักกับการใช้ถ้อยคำเพื่อกล่าวอ้างในสรรพคุณทางด้านสุขภาพของเครื่องดื่มนมเปรี้ยว

กลับมาที่เรื่องของความคุ้นเคยและเชื่อใจอีกครั้ง กับสาวยาคูลท์

ขอให้คุณลองจินตนาการและตอบตัวเองอย่างซื่อสัตย์ว่า คุณมีความคิดเอนเอียงไปทางใดต่อคำว่า แบคทีเรีย หรือ จุลินทรีย์ 

คนส่วนใหญ่มักมีทัศนคติเชิงลบกับคำสองคำนี้ ด้วยใจที่เชื่อว่า แบคทีเรียและจุลินทรีย์ น่าจะเท่ากับคำว่า เชื้อโรค แต่อันที่จริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป แบคทีเรียและจุลินทรีย์ที่ดีบางชนิดก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกาย เฉกเช่นเดียวกับ จุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัส คาเซอิ ชิโรต้า ที่ ดร.มิโนรุ ชิโนต้า ผู้ก่อตั้งยาคูลท์สามารถเพาะเลี้ยงขึ้นมาให้มันมีสมรรถภาพที่แข็งแรงจนสามารถทนต่อน้ำย่อยจากกระเพาะอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถทนต่อด่างจากตับอ่อน จึงทำให้จุลินทรีย์ชนิดนี้สามารถมีชีวิตรอดไปจนถึงลำไส้ได้ ซึ่งจุลินทรีย์ตัวนี้เอง คือจุลินทรีย์ที่ ดร.มิโนรุ มีความเชื่อว่าสามารถปรับสมดุลของลำไส้ และยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียชนิดที่ไม่ดีได้

ดร. มิโนรุ ผู้มีความเชื่อว่า สุขภาพของลำไส้ที่ดีคือกุญแจที่นำไปสู่ความมีอายุยืนยาว จึงก่อกำเนิด ยาคูลท์ นมเปรี้ยวที่มีจุลินทรีย์ชนิดนี้ขึ้นมาที่ประเทศญี่ปุ่นในปี 1935 และจำหน่ายมันในครั้งแรกที่เมืองฟุกุโอกะ 

แต่การที่อยู่ๆ จะออกไปโฆษณาป่าวประกาศให้ทุกคนทราบว่า สินค้ายาคูลท์นี้ดีตรงที่มีจุลินทรีย์ดังว่า ผู้คนอาจจะอยากถอยหนีตีจากมากกว่าเข้ามาเปิดใจเงี่ยหูฟังคำอธิบายยืดยาวว่า จุลินทรีย์ที่ว่าดีต่อสุขภาพน่ะมันดียังไง

นั่นจึงเป็นอีกหนึ่งที่มาของกลยุทธ์การใช้สาวยาคูลท์เข้ามาช่วยแก้ปัญหาการสื่อสารนี้!

การใช้ผู้คนที่คุ้นเคยกับกลุ่มลูกค้ามาช่วยสื่อสารข้อความดังกล่าวให้แพร่กระจายไปในหมู่ผู้คน น่าจะเป็นเรื่องที่เป็นมิตรและชาญฉลาดไม่น้อยต่อการแนะนำให้ผู้คนรู้จักกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ เช่นนี้ สาวยาคูลท์จึงได้ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่น ต้นกำเนิดของแบรนด์ยาคูลท์ และจวบจนปัจจุบันกลยุทธ์ดังกล่าวยังคงถูกใช้อยู่ในประเทศที่ยาคูลท์เดินทางไปถึง และจำนวนสาวยาคูลท์ทั่วโลกรวมกันน่าจะมีประมาณ 80,000 คนแล้ว

แรกเริ่มเดิมทีสาวยาคูลท์ไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่จำหน่าย ขาย และส่งยาคูลท์เพียงอย่างเดียว หากแต่ยังต้องทำหน้าที่อื่นอีกด้วย หน้าที่นั้นก็คือ…การเก็บขวดยาคูลท์!

ปีที่ยาคูลท์ถือกำเนิดขึ้น ยาคูลท์ไม่ได้มาในชวดพลาสติกกะทัดรัดแบบที่เราเห็นกันในปัจจุบันนี้ แต่มาในรูปแบบขวดแก้วที่มีไม้ก๊อกปิดฝา จนกระทั่ง 20 ปีต่อมา ในปี 1955 มีการดีไซน์รูปแบบขวดผลิตภัณฑ์ขึ้นมาใหม่ แต่ยังคงเป็นขวดแก้วอยู่ โดยลูกค้าที่ซื้อยาคูลท์ไปจะต้องคืนขวดแก้วกับสาวยาคูลท์ นี่อาจจะนับได้ว่าเป็นการรักษ์โลกและสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสาวยาคูลท์กับลูกค้าไปได้พร้อมๆ กันในเวลาเดียว แต่การเก็บขวดแก้วที่ใช้แล้วอาจจะเป็นเรื่องที่หนักอึ้งของสาวยาคูลท์ทั้งในเรื่องน้ำหนักขวดและภาระงาน 

ปี 1968 ยาคูลท์จึงมีการดีไซน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหมด ให้ใช้เป็นขวดพลาสติกที่แข็งแรง น้ำหนักเบา และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แถมรูปทรงของขวดก็ถูกออกแบบมาให้ถือง่าย ปากขวดที่แคบลงทำให้ยกดื่มขึ้นมาแล้วไม่สำลัก และที่สำคัญ ขวดพลาสติกก็น่าจะเป็นมิตรต่อสุขภาพหลังของสาวยาคูลท์อีกด้วย เพราะไม่ต้องยกก้มยกเงย เก็บขวดแก้วอีกต่อไป

ปี 1971 ยาคูลท์เริ่มผลิตและจัดจำหน่ายในประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรก และเป็นที่มาของประโยคยอดฮิตติดปากผู้คน อยากรู้เรื่องยาคูลท์ ถามสาวยาคูลท์สิคะ พร้อมๆ กับการเติบโตของตลาดยาคูลท์และตลาดนมเปรี้ยวในประเทศไทย

ด้วยความเชื่อหลักของ ดร.มิโนรุ ผู้ก่อตั้งยาคูลท์ สามประการที่ถูกนำมาเป็นหัวใจหลักของการดำเนินธุรกิจยาคูลท์ คือการใช้ยาเพื่อป้องกันโรค, สุขภาพของลำไส้ที่ดีคือกุญแจที่นำไปสู่ความมีอายุยืนยาว และราคาที่ต้องจับต้องและเข้าถึงได้

ยาคูลท์จึงถูกจัดจำหน่ายในราคาเบาๆ สบายกระเป๋า คุณสามารถจ่ายเพื่อซื้อมันได้เพียงแค่ไม่กี่สตางค์ เท่าที่ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์มาคือ ยาคูลท์เคยถูกขายในราคาขวดละ 3.50 บาท จนปัจจุบันราคายาคูลท์สูตรดั้งเดิมถูกขายอยู่ที่ราคาขวดละ 7 บาท และสูตรน้ำตาลน้อย ขวดละ 8 บาท

เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ยาคูลท์ประเทศไทย ออกประกาศผ่านทางหน้าเว็บไซต์ของยาคูลท์ประเทศไทยว่าจะปรับขึ้นราคา 1 บาท หลังจากวันที่ 1 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป เพราะต้นทุนในการผลิตนมเปรี้ยวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเปรียบเทียบกับค่าครองชีพและเงินที่เฟ้อขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราอาจจะพอเข้าใจได้ว่าราคาสิ่งของของทุกอย่างในปัจจุบันคงต้องปรับตัวขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องและเข้าใจได้อยู่แล้ว แต่หากคุณข้องใจและอยากได้บทวิเคราะห์อัตราดอกเบี้ยที่สัมพันธ์กันกับต้นทุนการผลิตนมเปรี้ยวต่อหน่วย รวมกับค่าขนส่งของยาคูลท์ว่ามันขึ้นสูงได้ยังไง ในอัตราเท่าไหร่ต่อปีเมื่อเทียบตามสัดส่วน และคุณถือว่ามันเป็นเรื่องหนึ่งของยาคูลท์ คุณอาจจะ…

ลองถามสาวยาคูลท์ดูสิคะ

ที่มา

My Home My Love สินเชื่อเคหะจากธนาคารออมสินสำหรับคนซื้อบ้านใหม่ รีโนเวท และรีไฟแนนซ์

คุณกำลังฝันอยากมีบ้านสักหลังอยู่ไหม?

หรือกำลังอยากรีโนเวทบ้านหลังเดิมที่อาศัยมานานอยู่หรือเปล่า?

เชื่อว่าหนึ่งในความฝันของใครหลายคนคือการมีบ้านเป็นของตัวเอง หรือบางคนที่มีบ้านอยู่แล้วก็อาจอยากรีโนเวทให้บ้านตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และรสนิยมในการอยู่อาศัย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวตัดสินว่าความฝันที่ว่าจะเป็นจริงไหมนั้น คือเงินที่แต่ละคนเก็บออมไว้

อีกหนึ่งวิธีบรรลุความฝันคือการมองหาสินเชื่อเคหะที่เหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการ ซึ่งธนาคารออมสินที่คอยสนับสนุนและออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของทุกคนจึงออกโปรโมชัน ‘สินเชื่อเคหะ My Home My Love’ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการที่อยู่อาศัยในยุคสมัยปัจจุบัน

สินเชื่อเคหะ My Home My Love นั้นเป็นสินเชื่อสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อบ้าน, ปลูกสร้าง, ต่อเติมซ่อมแซม หรือรีไฟแนนซ์ พร้อมเงื่อนไขให้ผ่อนต่ำและอัตราดอกเบี้ยพิเศษ โดยจุดเด่นอันเป็นไฮไลต์ของสินเชื่อนี้คือ 

  • อัตราดอกเบี้ยปีแรก 2.640% (MRR-3.855%) ต่อปี
  • ผ่อนต่ำล้านละ 3,555 บาท ต่อเดือน (6 เดือนแรก)
  • พร้อมทั้งฟรีค่าจัดทำนิติกรรมสัญญาและค่าบริการสินเชื่อ

*ปัจจุบัน MRR = 6.495% ต่อปี (ตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2566)

โดยคุณสมบัติของผู้กู้คือขอเพียงเป็นบุคคลที่มีอาชีพและรายได้แน่นอน มีอายุครบ 20 ปีขึ้นไปและเมื่อรวมอายุผู้กู้กับระยะเวลาชำระคืนเงินกู้รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 70 ปี 

สำหรับใครที่สนใจสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครใช้บริการสินเชื่อได้ที่ http://bit.ly/3YmUdGK หรือที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่ วันนี้ถึง 31 มีนาคม 2566 

หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อที่ธนาคารออมสินทุกสาขา หรือ GSB Contact Center 1115 และติดตามข้อมูลข่าวสารอื่นๆ ได้ที่ www.gsb.or.th หรือเพจเฟซบุ๊ก GSB Society

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

La Meow หมาล่าบาร์และอาหารหูหนานต้นตำรับของวิศวกรที่เชื่อในรักแท้ ดาต้า และความแตกต่าง

อาจเพราะคนจีนเดินทางมาตั้งรกรากในไทยนานแสนนาน อาหารจีนในความทรงจำคนไทยหลายคนจึงมักเชื่อมโยงกับความเก่าแก่ ดูเป็นอาหารที่คนรุ่นใหม่เข้าไม่ถึง และหลายเมนูก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย ไม่ได้มีความแปลกใหม่ และบ้างก็ไร้ความตื่นเต้นจนรู้สึกเฉยชา

ไม่ว่าจะก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ เป็ดย่าง บ้างก็อาหารที่ลูกหลานจีนต้องเตรียมไว้ไหว้บรรพบุรุษ เหล่านี้เป็นอาหารจีนแบบกวางตุ้ง บ้างก็แต่จิ๋ว ที่มีรสชาติมันๆ เค็มๆ เรียกได้ว่าแทบไม่มีเมนูไหนที่ให้ความรู้สึกเผ็ดร้อน

เมื่อ ‘หมาล่า’ อาหารจีนจากเสฉวนที่ปรุงด้วยซอสรสชาติเผ็ดชาเข้ามาในไทย อาหารจีนก็เริ่มกลายเป็นกระแสอีกครั้งจนบางคนยอมต่อคิวหลายชั่วโมงเพื่อได้กินหมาล่าที่ปรารถนา

ในบรรดาร้านขายหมาล่าเหล่านั้น La Meow ร้านหมาล่าบาร์และอาหารหูหนานของอดีตวิศวกรอย่าง แอมป์–รัตตรุจน์ ทองประดิษฐ์ ก็เป็นอีกร้านที่โดดเด่น ด้วยเป็นร้านแรกในไทยที่นำไอเดียหมาล่าบาร์มาใช้ในร้าน เพื่อให้ลูกค้าเลือกตักวัตถุดิบที่อยากทานในวันนั้นได้ นอกจากนั้น ยังนำเสนอหมาล่าที่ไม่จำเป็นต้องมาในรูปแบบหม้อไฟ แต่ยังมีหมาล่าผัดแห้งที่แตกต่างจากที่ไหนๆ รวมถึงมีอาหารหูหนานเสฉวนให้คนไทยได้ลองชิมลองรัก

“ตอนแรกผมคิดจะทำเล่นๆ แค่ให้ไม่เจ๊งก็พอแล้ว” แอมป์ว่าอย่างนั้นเพราะ La Meow หรือล่าเมียวนั้นเกิดขึ้นมาจากความรักที่มีต่อภรรยาชาวจีนของเขา แต่แม้แรกเริ่มจะทำเล่นๆ ภายใต้คำว่า ‘เล่น’ ของแอมป์นั้นกลับเต็มไปด้วยกลยุทธ์มากมายเพื่อให้สุดท้าย ล่าเมียวเดินถึงฝั่งฝัน

จึงเป็นที่มาที่เราได้นั่งสนทนากับเขาถึงภารกิจล่าฝันของล่าเมียว ท่ามกลางกลิ่นหมาล่าที่ตลบอบอวลทั่วทั้งสาขาแฟล็กชิปที่เซ็นทรัลเวิลด์

ย้อนกลับไป วิศวกรอย่างคุณเห็นโอกาสอะไรในธุรกิจร้านอาหาร 

ตอนนั้นผมทำธุรกิจ 2 อย่าง อย่างแรกคือธุรกิจส่งออกไปจีน อย่างที่สองคือทำล่าเมียวนี่แหละเพราะภรรยาผมเป็นคนจีนหูหนาน เขาทานอาหารไทยที่มีรสชาติหวานไม่ได้เลยจนน้ำหนักลด ผมเลยเปิดร้านอาหารจีนเสฉวนหูหนานเอง โดยอาหารเสฉวนจะเผ็ดๆ ชาๆ มันๆ ส่วนอาหารหูหนานจะมีรสเผ็ดเปรี้ยว ในร้านก็จะมีทั้งหมาล่าบาร์ที่ให้คนเลือกตักของที่อยากทานเองได้ และมีเมนูอาหารให้สั่งแยก

ตอนนั้นผมหมายมั่นปั้นมือว่าธุรกิจส่งออกมันต้องไปได้ดีกว่าแน่ๆ แต่มันดันไม่เวิร์ก แถมยังโดนโกงด้วย กลับกัน ล่าเมียวที่คิดจะทำเล่นๆ แค่ให้ไม่เจ๊ง มันดันกำไรตั้งแต่เดือนแรก  

ที่บอกว่าทำเล่นๆ แต่ดันไปได้ดี คุณทำยังไง

สี่ปีที่แล้วยังไม่มีใครรู้จักอาหารประเภทนี้เลย แต่ผมอยากทำอะไรที่มันแปลกกว่าชาวบ้าน มันอาจจะใช้เวลา educate ลูกค้าค่อนข้างนานและมีความเสี่ยงมากกว่าการทำธุรกิจที่เป็นกระแสอยู่แล้ว เช่นร้านอาหารเกาหลี ญี่ปุ่น แต่ถ้ามันสำเร็จมันก็จะเวิร์กกว่าเพราะคู่แข่งเราน้อย

ทีนี้ผมเลยไปเปิดสาขาแรกที่เอสพลานาด รัชดา โดยที่คิดว่าคนไทยไม่รู้จักแน่ๆ แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราค่อยๆ ทำให้คนไทยรู้จักเราก็ได้ เพราะข้างหลังมันมีตลาดนัดรถไฟที่ทัวร์จีนมาอยู่แล้ว ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คนจีนบางคนเขาไม่อยากเดินตลาดร้อนๆ บางคนก็เหมือนภรรยาผมที่ทานอาหารไทยไม่ได้ เขาก็เดินวนๆ ในห้างแล้วมาเจอเรา 

กลายเป็นว่าคนจีนเต็มร้านจนคนไทยไม่ค่อยกล้าเข้า แต่เมื่อไหร่ที่มีคนไทยเข้ามากินอาหารร้านเรา เขาก็ชอบกันหมดเลย

ความแปลกของล่าเมียวที่เอาชนะใจลูกค้าคนไทยได้คืออะไร

ตอนนั้นร้านส่วนใหญ่นิยมขายแบบบุฟเฟต์หม้อไฟหรือชาบูมากกว่า แต่ผมอยากให้ลูกค้าได้ประสบการณ์ในการเข้ามาทานอาหารในร้าน เลยเลือกที่จะทำเป็นหมาล่าบาร์ที่ให้คนมาเลือกตักอาหารเองได้เพราะในแต่ละวันเราคงไม่อยากกินอะไรเดิมๆ อยู่แล้ว การใช้หมาล่าบาร์ที่คนจีนคุ้นเคยแต่คนไทยไม่เคยเห็นก็น่าจะดึงลูกค้าได้ เหมือนกับที่เราตั้งชื่อร้านว่า Spicy Cat ในภาษาอังกฤษ และชื่อว่า La Meow ในภาษาจีน ซึ่งมันแปลว่าแมวเผ็ด เพราะเรามองว่าแมวมันมีความเอาแน่เอานอนไม่ได้และมีความเป็นตัวของตัวเองสูง

ส่วนเมนูอาหารอื่นๆ เราก็เลือกทำเมนูแบบรสชาติดั้งเดิมของอาหารจีนเสฉวนและหูหนาน โดยทุกๆ เมนูจะต้องผ่านภรรยาผมทั้งหมด จะไม่มีการปรับเปลี่ยนให้เป็นรสชาติของคนไทยเลย อย่างครัวในทุกสาขาของเราก็ไม่มีน้ำตาลเลยนะ 

อีกอย่างที่ผมคิดว่ามันแปลกและได้ผลคือแบรนด์ดิ้งที่ดูขี้เล่น สนุกสนาน ล่าเมียวจะได้เป็นร้านอาหารที่คนเข้าได้ทุกวัน ใส่ชุดอะไรมาทานก็ได้ ไม่เหมือนร้านอาหารจีนทั่วไปที่คนไทยจะเข้าไปทานเฉพาะวันสำคัญ นอกจากนั้นผมก็ออกแบบร้านให้ไม่เหมือนร้านอาหารจีน แต่ออกแบบให้เหมือนคาเฟ่มากกว่า คนไทยจะได้กล้าเข้า ส่วนวัยรุ่นหรือคนวัยทำงานจะได้เข้ามาแฮงเอาต์หรือคุยงานได้โดยไม่รู้สึกเคอะเขิน 

ทั้งหมดนี้คิดขึ้นบนฐานที่ผมมองว่าทาร์เก็ตของเราคือคนเจนฯ วาย เจนฯ แซด แต่เอาเข้าจริงๆ เราตอบโจทย์คนได้ทุกกลุ่มเลย 

จากร้านแรกที่เอสพลานาด รัชดา ตอนไหนที่คุณรู้สึกพร้อมที่จะเปิดสาขา 2 ที่เซ็นทรัลเวิลด์

จริงๆ พอเปิดร้านมาได้ครึ่งปี Haidilao ก็เข้ามาเปิดที่เซ็นทรัลเวิลด์ ผมก็ไปเดินดูแล้วเห็นว่า เฮ้ย คนไทยก็กิน Haidilao กันนี่นา แถมยังต่อคิวยาวมากจนกลายเป็นกระแส เลยคิดว่าล่าเมียวก็ทำอาหารใกล้เคียงกันนะ แสดงว่าเทรนด์ก็น่าจะมาแล้ว เลยลองไปติดต่อเซ็นทรัลเวิลด์เพื่อขอที่ตรงนี้ 

ทำไมถึงมั่นใจว่าเซ็นทรัลเวิลด์จะให้ที่แน่ๆ 

ไม่มั่นใจ แต่ผมคิดว่าคนกรุงเทพฯ ต้องเข้ามาที่เซ็นทรัลเวิลด์และแถวสยามอยู่แล้ว ดังนั้นมันเหมือนกับว่าถ้าร้านคุณเข้ามาที่ห้างเบอร์หนึ่งได้แสดงว่าร้านคุณต้องไม่ธรรมดา บรรยากาศร้านต้องดี อาหารต้องอร่อย ผมเลยหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องเข้ามาตั้งร้านที่นี่ให้ได้

แล้วพอลองยื่นไปเขาก็ไม่อนุมัติ (หัวเราะ) รอบสองผมเลยลงทุนเป็นแสนเพื่อจ้างทำร้านแบบ 3 มิติเลยนะเพื่อให้เขาเห็นว่าหน้าตาร้านเราจะเป็นแบบนี้ แต่เขาก็ยังไม่เอา ยื่นไปรอบที่สามก็ยังไม่เอา เพราะเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว คำว่าหมาล่ายังไม่เป็นที่รู้จักเลย ส่วน Haidilao เขาเป็นมือหนึ่งของโลกเรื่องหมาล่าหม้อไฟอยู่แล้ว

จนมารอบที่สี่ ผมเอาอาหารร้านเราไปเสิร์ฟให้บอร์ดเซ็นทรัลเวิลด์ชิม แล้วเขาก็อนุมัติวันนั้นเลย มันหมายความว่า เฮ่ย ขนาดกรรมการของเซ็นทรัลยังชอบก็แปลว่าลูกค้าคนไทยก็น่าจะชอบหรือเปล่า

พอได้มาเปิดที่นี่จริงๆ มันทำให้คุณเห็นความเป็นไปได้ของล่าเมียวยังไงอีกบ้าง

เราได้กลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งกลุ่มคนทำงาน กลุ่มนักเรียน กลุ่มครอบครัว ประจวบกับที่ผมเองก็เป็นวิศวกรมาก่อน ผมกับหุ้นส่วนอีกคนที่ถนัดเรื่องการทำข้อมูลเลยเริ่มเก็บฐานข้อมูลกันเพื่อดูว่ากลุ่มลูกค้าของเราเป็นใครบ้าง 

ช่วงแรกๆ ที่ยังไม่มีระบบอะไรก็อาศัยการมาร้านทุกวันแล้วจดว่าลูกค้าอายุเท่าไหร่ เพศอะไร เป็นคนกลุ่มไหน พอทำมาเรื่อยๆ ก็เริ่มมีระบบของตัวเองเช่นให้ลูกค้าสมัครสมาชิกตาม พ.ร.บ. PDPA มีการเก็บสะสมแต้ม จากนั้นก็ทดลองส่งคูปองแบบต่างๆ ไปให้ลูกค้า เช่นลองส่งคูปองหมูสไลด์ฟรีให้กลุ่มคนทำงาน ลองส่งคูปองกับข้าวฟรีให้กลุ่มครอบครัว 

เราก็จะเห็นว่าลูกค้าแต่ละคนจ่ายเงินต่อหัวเท่าไหร่ ลูกค้าเพศไหนชอบกินอะไร นอกจากนั้น เราก็มี social listening ที่บางครั้งก็คุยกับลูกค้าเองในอินบอกซ์จนเห็นว่าลูกค้าอยากให้เราไปเปิดสาขาไหนอีกบ้าง เราก็จะมีข้อมูลมากพอที่จะนำมาวิเคราะห์และใช้ในการขยายสาขาหรือพัฒนาร้านให้ดีขึ้นได้  

การจริงจังกับฐานข้อมูลมันทำให้คุณบริหารล่าเมียวง่ายขึ้นยังไงบ้าง

มันทำให้เราไม่ใช่แค่ร้านที่อาหารอร่อย แปลก ยากที่จะลอกเลียนแบบ แต่มันมีการตลาดที่เข้าใจลูกค้า มีไอเดียการทำธุรกิจที่วิเคราะห์จากข้อมูลที่มี องค์ประกอบเหล่านี้มันเชื่อมต่อเหมือนจิ๊กซอว์จนทำให้ล่าเมียวค่อนข้างที่จะแข็งแรง

ไม่ว่าจะการเลือกของเข้าร้าน ไปจนถึงการขยายสาขา เราก็จะไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวเพราะเรามีหลักการในการทำทั้งหมด เราจะเห็นเลยว่ากี่ปีต่อจากนี้เราจะขยายสาขาไปที่ไหนอีกบ้าง หรือถ้าเราอยากจะมีสาขาเป็นสิบสาขา เราต้องเริ่มจากอะไร 

ถ้ากำไรต่อเดือนในปัจจุบันมันไม่มีทางจะเอาไปเปิดสาขาได้ ก็ต้องคิดหาวิธีติดต่อนักลงทุนทั้งรายใหญ่รายย่อย จนสุดท้ายก็ไปจบที่การทำ crowdfunding ที่ปกติเขาจะใช้เวลา 3 เดือนถึงจะปิดดีลได้ทั้งหมด แต่เราก็สร้างปรากฏการณ์  crowdfunding ที่มีการจองเต็มภายใน 24 ชั่วโมง

คิดว่าทำไมล่าเมียวถึงสร้างปรากฏการณ์นี้ได้

อย่างแรกเลยคือส่วนน้อยมากๆ ที่ธุรกิจร้านอาหารจะมีระบบหลังบ้านที่แน่น มีระบบบัญชีที่ยื่นภาษีถูกต้อง อย่างที่สองคือเรามีข้อมูลตั้งแต่เปิดร้านวันแรกว่าขายเป็นยังไง กำไรแค่ไหน และสามคือเรามีแผนที่ชัดเจนมากว่าแต่ละปีเราจะโตที่ไหน ใช้เงินเท่าไหร่ เปิดสาขาที่ไหน ยอดขายน่าจะเป็นเท่าไหร่ 

เรียกว่ามีข้อมูลให้เขาทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ดังนั้นมันเลยตอบโจทย์นักลงทุนว่าเรามีศักยภาพในการบริหารงานนะ เขาจะเข้าใจว่าเงินที่เขาลงมาเราจะเอาไปทำอะไรบ้าง

จากวันที่คนไทยไม่รู้จักอาหารประเภทนี้ จนวันที่อาหารจีนและหมาล่ากลายเป็นเทรนด์ ล่าเมียวจะทำยังไงให้อยู่ในเรดโอเชียนและอยู่ได้ตลอดไป

ขอยกตัวอย่างสตาร์บัคส์เลยนะ มันเคยมีงานวิจัยว่าต่อให้คุณเอากาแฟสตาร์บัคส์ที่ใช้เมล็ดเดียวกัน ทำจากเครื่องเดียวกันไปขายในราคาที่ถูกกว่าที่ร้านตรงข้าม ลูกค้าก็จะยังซื้อจากสตาร์บัคส์อยู่ดี เพราะเขาเชื่อมั่นในแบรนด์ เขาภาคภูมิใจเวลานั่งทานในสตาร์บัคส์ แม้วันนี้เทรนด์กาแฟอาจจะนิ่งแล้ว แต่สตาร์บัคส์ยังคงรักษาฐานลูกค้าได้

ล่าเมียวเองก็เหมือนกัน เราอยากจะเป็นสตาร์บัคส์ของวงการหมาล่าที่ลูกค้าจะรักและเชื่อใจเรา ที่ต่อให้มีคู่แข่งเขาก็จะกลับมาที่เรา เราจึงต้องรักษาความเป็นผู้นำให้ได้ ต้องขยายสาขาให้ครอบคลุมมากที่สุดเพื่อให้ลูกค้ารู้ว่าเราคือนัมเบอร์วัน ที่สำคัญ ต้องรักษาคุณภาพและบริการให้ได้มาตรฐานทุกสาขา 

หลายครั้งที่ลูกค้าคอมเพลน ผมโทรหาลูกค้าเองด้วยซ้ำและชดใช้ให้ลูกค้าแบบเหนือความคาดหมาย  

หรืออย่างตอนนี้ที่เราคุยกันอยู่ที่สาขานี้ ก็มีทีมที่ปรึกษาที่เราเชิญมาเพื่อดูแลปรับปรุงร้าน และพอจีนเปิดประเทศ ผมก็จะบินไปเพื่อหาอะไรใหม่ๆ มาเข้าร้าน และดูว่าเราจะพาลูกค้ากลุ่มวีไอพีไปเที่ยวหูหนานและไปลองชิมอาหารที่นั่นยังไงได้บ้าง

แล้วรู้ไหม ล่าเมียวจ่ายเงินเดือนให้พนักงานสูงกว่ามาตรฐานสองเท่าครึ่ง เรายังแชร์ยอดขาย แชร์กำไรในแต่ละเดือนให้เขารู้ รวมถึงให้หุ้นพนักงานด้วย เพราะผมเองอยู่หน้าร้านทุกสาขาไม่ได้ น้องพนักงานทุกคนจึงเป็นเหมือนตัวแทนที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกดี ดังนั้นถ้าน้องๆ รู้สึกถึงความเป็นเจ้าของล่าเมียว เขาก็จะดูแลลูกค้าเหมือนเขาเป็นเจ้าของจริงๆ 

คุณได้สิ่งเหล่านี้มายังไงทั้งที่คุณเป็นวิศวกรมาก่อน

เพราะเราอยู่กับร้านตั้งแต่ Day 1 เรารู้จักลูกค้าทุกคน เรารู้ว่าลูกค้าสำคัญกับเรายังไง ต่อให้วันนี้ยอดขายทุกสาขาจะดีมากแบบที่ถ้าเสียลูกค้าไป 10 คนก็ไม่กระทบ แต่เราไม่อยากเสียลูกค้าไปแม้แต่คนเดียวเลยเพราะเขาคือผู้มีพระคุณกับเรา 

แล้วภาพในอนาคตของล่าเมียวที่คุณวาดไว้เป็นแบบไหน

เราจะขยายธุรกิจของเราให้มีทั้งอาหารจีนในไทย และมีร้านอาหารไทยในจีนซึ่งตอนนี้ผมก็ไปเปิดร้านอาหารไทยที่เซินเจิ้นแล้ว ร้านยังติดท็อปทรีจากร้อยร้านอาหารต่างประเทศในจีน อีกไม่นานก็จะวางแผนเปิดร้านอาหารนี้ในไทยเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจีนด้วย  

สุดท้าย ไม่เกินห้าปี เราตั้งใจจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ให้ได้

แล้วภรรยาของคุณล่ะ เขารู้สึกยังไงบ้างที่ร้านเดินทางมาถึงจุดนี้

เขาก็แฮปปี้และภูมิใจว่ามันมาถึงจุดนี้ได้และเริ่มที่จะไปไกลกว่าที่คิดไว้เยอะเลย 

What I’ve Learned
“ความอร่อยที่แตกต่าง การไม่ประนีประนอมกับคุณภาพสินค้าและบริการจะทำให้เราเป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า”