ขั้นกว่าของโซลูชันการรับบริจาคโดยทีทีบี ที่อยากทำให้การทำบุญเป็นเรื่องง่ายทั้งฝั่งผู้ให้และผู้รับ

เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าไปไกล ใครๆ ก็รับ-จ่ายเงินผ่านมือถือและแทบจะไม่พกเงินสดกันอีกต่อไป กิจกรรมยอดฮิตของคนไทยสายบุญอย่างการบริจาคก็ต้องปรับเปลี่ยนไปด้วย ทุกวันนี้เราสแกนทำบุญกันแบบออนไลน์ผ่าน QR code ที่ถูกแปะไว้กับตู้หย่อนบริจาคของวัด โรงพยาบาล และมูลนิธิต่างๆ คือภาพที่เราเห็นกันได้ทั่วไป

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี คือหนึ่งในธนาคารที่อยากเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างมาตรฐานใหม่ในการทำธุรกิจ ด้วยการตอบแทนและเป็นแบบอย่างในการช่วยเหลือสังคม ตามกรอบแนวคิด B+ESG ที่เชื่อว่าธุรกิจกับสังคมควรจะเติบโตไปพร้อมกัน 

หนึ่งในนั้นคือ ‘ปันบุญ โดย ทีทีบี’ โซลูชันในการช่วยระดมทุนและรับบริจาคอย่างครบวงจร ที่ก่อตั้งใน พ.ศ. 2561 และดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อสนับสนุนให้มูลนิธิและองค์กรสายบุญต่างๆ ได้จัดการระดมทุนบริจาคอย่างมีประสิทธิภาพ พูดง่ายๆ ก็คือ ทำให้ผู้บริจาคสามารถบริจาคได้ง่ายขึ้นผ่านแพลตฟอร์ม และเงินบริจาคส่งตรงถึงมูลนิธิทันที โดยหากนับจนถึงตอนนี้ ปันบุญ โดย ทีทีบี สามารถช่วยเหลือองค์กรการกุศลไปมากกว่า 400 องค์กร มีผู้บริจาคกว่า 9 แสนราย ระดมทุนบริจาครวมแล้วได้มากกว่า 900 ล้านบาท แถมยังมีการแบ่งปันความรู้ด้านการตลาดออนไลน์ให้กับองค์กรและมูลนิธิในโครงการ เพื่อให้พวกเขาสามารถระดมทุนกับผู้บริจาครายใหม่ได้อย่างสม่ำเสมอ

เมื่อก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 ปันบุญ โดย ทีทีบี จึงตั้งใจยกระดับมาตรฐานการทำธุรกิจและช่วยเหลือสังคมด้วยโครงการ ‘Circle of boon วัฏจักรพลังการแบ่งปัน’ ภายใต้ ปันบุญ โดย ทีทีบี เพื่อขยายใหญ่พลังแห่งการแบ่งปันตามชื่อโครงการ 

นายศรัณย์ ภู่พัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวในงานแถลงข่าวโครงการนี้ว่า ทีทีบีจะรวบรวมพันธมิตรทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้า ธุรกิจรายย่อย ผู้บริหาร หน่วยงานราชการ มาช่วยกันระดมทุนเพื่อส่งมอบให้กับโรงพยาบาลท้องถิ่น ซึ่งปัจจุบันเข้าร่วมแล้วจำนวน 6 แห่ง ที่กำลังขาดแคลนเครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์ที่จำเป็น หรือถูกจำกัดการให้บริการด้วยขนาดพื้นที่ รวมถึงเผชิญกับความท้าทายเรื่องอื่นๆ ซึ่งได้แก่ โรงพยาบาลสระบุรี โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา โรงพยาบาลพุทธโสธร โรงพยาบาลราชบุรี โรงพยาบาลบ้านแพ้ว และโรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า

นอกจากการเชิญชวนพันธมิตรต่างๆ ให้มาร่วมวัฏจักรพลังการแบ่งปันด้วยกันแล้ว Circle of boon ยังมีการพัฒนาโซลูชันปันบุญ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ภาคส่วนธุรกิจในการทำกิจกรรม CSR ของทางบริษัท สามารถจัดทำโครงการระดมเงินบริจาคเพื่อโรงพยาบาลท้องถิ่นให้ง่ายขึ้น พร้อมแนะนำฟีเจอร์ใหม่ รายงานวิเคราะห์เชิงลึกถึงพฤติกรรมผู้บริจาค เพื่อเสริมประสิทธิผลการรับบริจาคให้ดียิ่งขึ้น ได้แก่

🔹 รับเงินบริจาคได้หลากหลายรูปแบบ เพื่อคนหลากหลายเจนฯ ไม่ว่าจะเป็น QR code โมบายแบงก์กิ้ง หรือหักบัตรเครดิตรายเดือนก็ทำได้

🔹 ระบบของปันบุญจะเชื่อมโครงการเข้ากับบัญชีของโรงพยาบาล เงินสดจะส่งตรงเข้าบัญชีโรงพยาบาลทันที และที่สำคัญคือเงินทั้งหมดที่บริจาคผ่านโครงการ สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 2 เท่าของเงินบริจาคอีกด้วย โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งตรงให้กรมสรรพากร จึงไม่จำเป็นต้องไปขอใบเสร็จจากโรงพยาบาลเพื่อเป็นหลักฐานลดหย่อนภาษี

🔹 ฟีเจอร์รายงานวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เพื่อให้องค์กรที่รับบริจาคสามารถเห็นภาพการบริจาคได้ชัดและคมยิ่งขึ้น โดยดูได้ทั้งภาพรวม แนวโน้มการบริจาค ช่องทางการบริจาค รวมไปถึงข้อมูลของผู้บริจาคว่ามีอายุเท่าไหร่ ทำอาชีพอะไร กลุ่มไหนบริจาคถี่ที่สุด บริจาคถี่ที่ไหนในช่วงเวลาไหน เห็นว่าผู้บริจาคมีพฤติกรรมอย่างไรบ้าง เพื่อให้องค์กรนั้นๆ สามารถนำไปออกแบบแคมเปญการบริจาคในอนาคตให้ตรงใจสายบุญได้

นอกจากนี้ในงานแถลงข่าวโครงการ ‘Circle of boon วัฏจักรพลังการแบ่งปัน’ ทางทีทีบียังชวนตัวแทนองค์กรพันธมิตรและผู้บริหารโรงพยาบาลท้องถิ่นมาร่วมพูดคุยถึงความจำเป็นในการระดมทุนและความท้าทายต่างๆ ที่ได้เจอ

🔹 เริ่มจาก แพทย์หญิงภาวิณี เอี่ยมจันทน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสระบุรี พูดถึงความท้าทายเรื่องจำนวนของผู้ป่วยที่มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุ ผู้ป่วยสูงอายุมีถึง 20% เมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อนที่มีเพียง 13% นอกจากนี้ผู้ป่วยสูงวัยยังมีอัตราการมาโรงพยาบาลบ่อยขึ้น ในขณะที่สถานที่บริการมีขนาดเท่าเดิม ทำให้โรงพยาบาลกลายเป็นพื้นที่แออัด เกิดความกดดันต่อทั้งผู้ป่วยและผู้ให้บริการ ไม่นับรวมเรื่องเครื่องมือแพทย์ที่ขาดแคลนเป็นอย่างมาก

🔹 นายแพทย์ธเนศ ดุสิตสุนทรกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา เสริมว่า นอกจากจำนวนผู้ป่วยที่มากขึ้น มีผู้ป่วยหลายเคสที่รักษาในโรงพยาบาลท้องถิ่นไม่ได้ เนื่องจากพื้นที่และเครื่องมือไม่พร้อม ทำให้ต้องส่งตัวไปรักษาในโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ ซึ่งไม่สะดวกทั้งต่อตัวคนไข้และญาติพี่น้องที่ต้องตามไป นี่คือปัญหาที่หลายโรงพยาบาลกำลังประสบอยู่ 

🔹 ดร.ศิริพร วณิชธนานันต์ ผู้บริหารกลุ่มบริษัท เอ็มเพอร์เรอร์ ออโต้ จำกัด หนึ่งในพันธมิตรลูกค้าธุรกิจของธนาคาร กล่าวว่า ปกติบริษัทฯ มีการทำโครงการ CSR อยู่แล้ว และเมื่อทีทีบีติดต่อให้เข้าร่วมโครงการ Circle of boon ก็ตอบตกลงทันที เพราะอยากเป็นส่วนหนึ่งของพลังเสริมที่จะช่วยระดมทุนแบ่งปันไปช่วยเหลือโรงพยาบาลท้องถิ่นต่อไป โดย ดร.ศิริพร ได้เลือกสนับสนุนโรงพยาบาลบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร และที่ออฟฟิศของบริษัทที่มีลูกค้าหมุนเวียนเข้ามาตลอดได้มีการตั้ง QR code เพื่อเชิญชวนให้ลูกค้าบริจาคร่วมกันอีกด้วย

🔹 สุดท้าย คุณกนกพร จูฑา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าบริหารผลิตภัณฑ์ธุรกิจ ทีเอ็มบีธนชาต ผู้ดูแลโซลูชันปันบุญ ที่มาร่วมแชร์แนวคิดในการพัฒนาโซลูชันปันบุญ ที่ช่วยทั้งการระดมทุน การบริหารการรับบริจาค พร้อมแนะนำฟีเจอร์ใหม่ รายงานวิเคราะห์เชิงลึก เพื่อเสริมประสิทธิผลการรับบริจาคให้ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งอธิบาย 5 ขั้นตอนง่ายๆ ในการมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ‘Circle of boon วัฏจักรพลังการแบ่งปัน’ คือ

1. เข้าเว็บไซต์ปันบุญ โดย ทีทีบี

2. เลือกโรงพยาบาลที่ต้องการสนับสนุน

3. ดูรายละเอียดโรงพยาบาลและเลือกโครงการที่ต้องการสนับสนุน

4. เลือกช่องทางการบริจาคพร้อมระบุจำนวนเงินและข้อมูลส่วนตัว

5. สแกนหรือบันทึกรูป QR code เพื่อบริจาคผ่าน mobile banking ของธนาคารใดก็ได้ (สำหรับลูกค้าทีทีบี กดบริจาคผ่านแอป ttb touch ได้เลย)

สำหรับผู้ที่สนใจร่วมบริจาคเพื่อขยายพลังการให้ไปยังโรงพยาบาลท้องถิ่น ผ่านโครงการ ‘Circle of boon วัฏจักรพลังการแบ่งปัน’ ภายใต้แพลตฟอร์ม ปันบุญ โดย ทีทีบี สามารถเข้าไปทำร่วมบุญกันได้ที่ www.punboon.org/circleofboon หรือหากอยากรู้ว่าโรงพยาบาลท้องถิ่นต้องเผชิญความท้าทายอะไรบ้าง ดูได้ในคลิปวิดีโอ ‘สู้ศึกดราม่าด้วย REAL Drama ของโรงพยาบาล’ ตามลิงก์นี้เลย www.youtube.com/watch?v=ykpnyUc9Yjk

Bluebik Titans ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ผู้วางหมากกลยุทธ์รับมือความเสี่ยงให้ธุรกิจ

ภัยไซเบอร์เป็นความเสี่ยงที่ใกล้ตัวกว่าที่คิดสำหรับทุกธุรกิจ แต่น้อยคนจะรู้ว่าเบื้องหลังการทำงานของที่ปรึกษาด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ให้ธุรกิจต่าง ๆ อย่าง Bluebik Titans ต้องอาศัยการวางกลยุทธ์รับมือความเสี่ยงที่รัดกุม เพื่อรู้เท่าทันแฮกเกอร์

ตั้งแต่การทำงานจำลองสวมบทบาทเป็นแฮกเกอร์ที่เรียกว่า Red Teaming เพื่อทดสอบการบุกรุกและป้องกันก่อนเกิดเหตุให้องค์กร การสวมบทบาทคล้ายหน่วยพิสูจน์หลักฐานของตำรวจที่ใช้หลักนิติวิทยาศาสตร์ทางดิจิทัลเพื่อตามหาเบาะแสของคนร้าย การวางกลยุทธ์และลงทุนด้านความเสี่ยงให้สอดคล้องกับเป้าหมายของธุรกิจ เพื่อเฝ้าระวังโจรได้อย่างทันท่วงทีโดย Security Architect

จากประสบการณ์และวิสัยทัศน์ของ พลสุธี ธเนศนิรัตศัย ผู้อำนวยการ บริษัท บลูบิค ไททันส์ จำกัด (Bluebik Titans) ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ได้ชี้ให้เห็นว่า ความเสี่ยงทางไซเบอร์ในปัจจุบันไม่ใช่แค่การมีโปรแกรมหรือระบบทางไอทีแล้วจะปลอดภัยเสมอไป เพราะการดูแลด้านความมั่นคงปลอดภัยในยุคนี้ต้องอาศัยการวางแผนที่สอดคล้องกับเป้าหมายและบริบทของธุรกิจ มีบุคลากรที่เข้าใจ มีระบบที่ดูแลอย่างต่อเนื่อง และต้องรู้จักสินทรัพย์ทางเทคโนโลยีของตัวเองอย่างแท้จริง ซึ่งช่องโหว่เพียงเล็กน้อยก็อาจเป็นประตูให้แฮกเกอร์แทรกซึมเข้ามาได้ง่าย ๆ

วิสัยทัศน์ของ ‘Bluebik Titans’ จึงเกิดขึ้นจากการตั้งคำถามพื้นฐานว่าหาก Bluebik ซึ่งเป็นบริษัทแม่ มีต้นทุนทางธุรกิจที่เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันครบวงจรอยู่แล้ว ในขณะที่องค์กรธุรกิจต่าง ๆ ยังบริหารจัดการด้าน Cybersecurity ได้ไม่ดีพอ บทบาทที่ปรึกษาทางธุรกิจจะสามารถเติมเต็มภาพรวมของการให้บริการได้ยังไงบ้าง เพื่อให้เทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้งานสามารถสร้างคุณค่าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

โดยไม่ต้องแลกมากับความเสี่ยงที่อาจร้ายแรงถึงขั้นล่มทั้งระบบธุรกิจในพริบตา

ตอนที่ Bluebik แตกหน่วยธุรกิจใหม่ ‘Bluebik Titans’ เกิดจากการมองเห็นโอกาสทางธุรกิจอะไร

ผมรู้จักกับผู้ก่อตั้ง Bluebik มานานแล้ว แล้วก็ได้เห็นการเติบโตทางธุรกิจของ Bluebik มาอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันที่สามารถพาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ เรารู้ว่ามีโอกาสทางธุรกิจมากในด้านการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันซึ่งเป็นบริการหลักของ Bluebik ที่ทำตั้งแต่การวางกลยุทธ์ธุรกิจ พัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม นำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อสร้างประโยชน์ทางธุรกิจ 

แต่ความจริงแล้วเวลาที่เราเห็นโอกาส มันจะมาพร้อมกับความเสี่ยงถ้าบริหารจัดการเรื่องความปลอดภัยทางดิจิทัลเทคโนโลยีไม่ดีพอ ก็เลยคิดว่าอยากเติมเต็มภาพรวมในบริการของ Bluebik ให้ครบลูป (End-to-End Solution) คือหลังจากคิดกลยุทธ์ทางดิจิทัลเทคโนโลยีและนำมาใช้งานแล้ว เราจะทำยังไงให้มีความปลอดภัย เพราะไม่อย่างนั้นมันจะไม่ยั่งยืน แล้วอาจทำให้เกิดผลกระทบที่ทำให้ธุรกิจหยุดชะงักไปจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้
เราเลยมองเห็นโอกาสในการให้คำปรึกษา ตั้งแต่จะทำยังไงให้การวางแผนการบริหารจัดการด้าน Cybersecurity สอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจ จะใช้เทคโนโลยีอะไร หรือทำยังไงให้ปลอดภัย ไม่ใช่แค่เอาระบบมาขาย ติดตั้งเสร็จ ทำงานได้ปกติแล้วเราก็สบายใจ แต่มองถึงภาพรวมว่าต้องมีกระบวนการอะไรที่ไปครอบโซลูชันรักษาความปลอดภัย ต้องมีบุคลากรที่เข้ามาช่วยรันกระบวนการนี้ให้ต่อเนื่องยังไงบ้าง เพราะการมีแค่โปรแกรมไม่สามารถทำให้องค์กรนั้นปลอดภัยได้

ทำไมการติดตั้งโปรแกรมในองค์กรถึงยังป้องกันภัยไซเบอร์ได้ไม่เพียงพอ

ผมทำงานด้าน Cybersecurity มาตลอด ก็จะรู้ว่าเวลาพูดถึงเรื่องนี้ ส่วนใหญ่องค์กรในประเทศไทยมักมีความเชื่อหรือธรรมเนียมปฏิบัติว่า ถ้าไปจ้าง System Integrator ที่เอาระบบมาติดตั้งและใช้งานในองค์กรแล้ว ทุกอย่างจะปลอดภัยและอยู่ในการควบคุม ซึ่งความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นแบบนั้น 

ยกตัวอย่างง่าย ๆ คือเหมือนเวลาเรากลัวเครื่องคอมพิวเตอร์ติดไวรัส ก็เลยไปซื้อโปรแกรมแอนตี้ไวรัสมาลงเครื่อง แต่เวลามีการแจ้งเตือนขึ้นมาให้อัปเดตไวรัสใหม่เราก็กดปิดไป ไม่ได้ใส่ใจ คือเรามีระบบแล้วแต่ใช้งานไม่ถูกต้อง ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้นอกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแล้ว ก็ยังเกิดขึ้นกับในระบบไอทีขององค์กรด้วยเหมือนกัน ในการติดตั้งโปรแกรมแอนตี้ไวรัส ความจริงต้องมีการตั้งนโยบายว่าเราจะอัปเดตโปรแกรมบ่อยแค่ไหน จะเข้ามาดูการแจ้งเตือนบ่อยแค่ไหน แล้วจะมีการแก้ไขยังไงเมื่อเกิดการแจ้งเตือน สิ่งนี้คือกระบวนการที่ควรมี 

แล้วทุกวันนี้ภาคธุรกิจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ยังไงบ้าง

ผมคิดว่าตอนนี้ทุกธุรกิจที่ใช้งานระบบสารสนเทศที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต หรือเชื่อมต่อเครือข่ายกับคู่ค้าหรือพันธมิตรทางธุรกิจ ทุกองค์กรมีความเสี่ยงทั้งหมด เพียงแต่ว่าจะเสี่ยงมากหรือน้อย หรือจัดการได้ดีหรือไม่อย่างไรก็มีความต่างกันจากขนาดของความเสี่ยง

สมมติว่าองค์กรหนึ่งให้บริการลูกค้าผ่านทางช่องทางดิจิทัลหรือออนไลน์ อย่างเช่น ขายของออนไลน์หรือเป็นธนาคารที่ทำแอปพลิเคชันให้ลูกค้าใช้ แน่นอนว่าพอบริการทั้งหมดอยู่บนระบบเทคโนโลยี การบริหารจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัยก็ต้องทำแบบเต็มสูบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไม่ได้ให้บริการผ่านทางช่องทางออนไลน์แล้วจะไม่เสี่ยงเลย เพราะว่ายังมีธุรกิจกลุ่มที่มีการเชื่อมต่อระบบหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคู่ค้า ยกตัวอย่างว่าโรงงานที่รับผลิตสินค้าหรือรับคำสั่งการผลิตผ่านระบบไอที เวลามีคำสั่งซื้อผ่านระบบก็แสดงว่ามีช่องทางการเชื่อมต่อของข้อมูลระหว่างพันธมิตรหรือคู่ค้าทางธุรกิจแล้ว ตรงนั้นก็ต้องมีการควบคุมที่ดี

นอกเหนือจากนั้นองค์กรยังมีความเสี่ยงจากการบังคับใช้กฎหมายด้าน Cybersecurity อีกหลายฉบับ เช่น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ก็มีผลมาก เพราะทุกองค์กรมีข้อมูลส่วนบุคคล น้อยที่สุดคือข้อมูลของพนักงาน มากไปกว่านั้นคือข้อมูลของลูกค้า ยิ่งถ้าเป็นองค์กรธุรกิจที่ให้บริการลูกค้า B2C จะต้องมีการทำระบบ CRM ต่าง ๆ ที่ต้องดูแลให้ปลอดภัย

 ข้อมูลที่มีอยู่ตรงนี้จะเสี่ยงต่อการตกเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์หรือผู้ไม่ประสงค์ดีทั้งหลาย ถามว่าทำไม เพราะว่าการบังคับใช้กฎหมายมีบทลงโทษทั้งทางปกครอง ทางอาญา และทางแพ่ง ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ แต่ละภาคส่วนก็จะมีกฎหมายลูกหรือกฎหมายรองที่บังคับให้แต่ละองค์กรต้องยกระดับมาตรการในการบริหารจัดการด้าน Cybersecurity ให้ดี อย่างภาครัฐก็จะมีกฎหมายใหม่ของ สกมช. (สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ) มากำกับดูแล ซึ่งบทลงโทษตรงนี้แหละที่อาชญากรหรือแฮกเกอร์รู้ว่าถ้าสามารถแฮกแล้วขโมยข้อมูลเป็นตัวประกัน เขาสามารถต่อรองกับองค์กรที่ถูกแฮกได้ ถ้าไม่อยากให้เปิดเผยข้อมูลพวกนี้ และอยากให้เรื่องเงียบ คุณก็ต้องจ่ายค่าไถ่มา

อุตสาหกรรมใดในไทยที่กำลังเผชิญความเสี่ยงด้านไซเบอร์มากที่สุด

แน่นอนว่าถ้าเป็นยุคก่อน แฮกเกอร์จะไปแฮกระบบของธนาคาร ทีนี้คล้ายกับเรื่องอื่น ๆ ทั่วไปที่เวลาโจรหรือแฮกเกอร์ไม่สามารถแฮกองค์กรที่ปรับตัวให้แข็งแรงได้ ก็จะหันไปโจมตีอุตสาหกรรมใหม่ที่ยังอ่อนแออยู่ อย่างเช่น ธุรกิจค้าปลีกที่มี Online Commerce ซึ่งมีการจับจ่ายและการกรอกข้อมูลบัตรหรือข้อมูลทางการเงิน 

สมมติผมไปแฮกเว็บไซต์ออนไลน์แห่งหนึ่งแล้วขโมยข้อมูลของลูกค้ามาได้ทั้งฐานข้อมูลเลย หนึ่งคือเอาไปขายในตลาดมืด (Dark Web) ได้ สองคือเอามาต่อรองกับองค์กรที่เป็นเจ้าของข้อมูลหรือผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ซึ่งเมื่อต้นปีนี้เองที่เราเห็นว่ามีข่าวดัง อย่างเว็บของบริษัทค้าปลีกที่ตกเป็นข่าวว่าแฮกเกอร์ขโมยข้อมูลมาได้ หรือหน่วยงานราชการแห่งหนึ่งด้านโลจิสติกส์ที่ส่งจดหมายออกมายอมรับว่าถูกแฮกขโมยข้อมูลไป แต่จะเป็นข่าวออกมาในมุมที่ว่าไม่มีข้อมูลทางการเงิน ทุกคนสบายใจได้ แต่ความจริงแล้วมันก็ไม่สบายใจหรอก เพราะมันคือข้อมูลส่วนบุคคลของเรา 

มากไปกว่านั้นในอนาคตเราเข้าสู่ยุคของสังคมผู้สูงอายุที่มีการเติบโตหรือขยายตัวของธุรกิจ Well-being และ Healthcare มากขึ้น โรงพยาบาลต่าง ๆ มีข้อมูลที่อ่อนไหว เราคงไม่อยากให้ข้อมูลสุขภาพของเราหลุดไป ธุรกิจเหล่านี้อาจเป็นเป้าหมายถัด ๆ ไปที่อาจเกิดเหตุเรื่องของการละเมิดความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ได้

แล้วนึกภาพไปถึงธุรกิจด้าน Utility ของประเทศอย่างเช่น ไฟฟ้า น้ำประปา อินเทอร์เน็ตต่าง ๆ ที่สำคัญต่อความเป็นอยู่ของประชาชนก็ตกเป็นเป้าหมายเหมือนกัน ยกตัวอย่างสักประมาณ 3 – 4 ปีที่แล้ว บริษัทท่อขนส่งน้ำมันแห่งหนึ่งของอเมริกาถูกแฮกเกอร์ยึดระบบไปจนไม่สามารถส่งน้ำมันจากภาคกลางของอเมริกาไปภาคตะวันตกได้ แล้วก็เรียกค่าไถ่ว่าถ้าอยากเปิดระบบให้กลับมาทำงานได้ปกติ คุณต้องจ่ายค่าไถ่เป็นคริปโทเคอร์เรนซี ตอนแรกซีอีโอก็ไม่จ่าย เพราะว่าจ้างที่ปรึกษาหรือว่าผู้เชี่ยวชาญทางไซเบอร์เข้าไปให้คำแนะนำแล้ว ซึ่งไม่มีใครหรอกอยากต่อรองกับโจร เพราะเราก็รู้ว่าไม่มีสัจจะในหมู่โจร จ่ายไปก็ไม่รู้ว่าเปิดระบบให้ไหม หรือจะขู่เพิ่มหรือเปล่า ก็ต้องชั่งใจพอสมควร จนสุดท้ายเขาตัดสินใจว่าต้องจ่ายค่าไถ่ เพราะราคาน้ำมันของฝั่งตะวันตกของอเมริกาพุ่งสูงเพราะน้ำมันขาดแคลน ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของคน ตอนสุดท้ายพอจ่ายแล้วก็เปิดระบบได้ แล้ว FBI ก็ไปตามเงินจากกระเป๋าของคริปโทฯ มาได้ส่วนหนึ่ง 

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมทำงานที่ Bluebik แล้ว ลูกค้ารายหนึ่งเป็นร้านอาหารที่มีสาขาเยอะ ซึ่งดูเหมือนไม่น่าจะมีความเสี่ยงอะไรเลย แต่มีระบบ Point of Sale ที่เป็นระบบคิดเงินและระบบเชื่อมต่อระหว่างสาขา สำหรับบันทึกรายรับ-รายจ่ายและทำบัญชี มีคอมพิวเตอร์อยู่เครื่องเดียวที่สำนักงานและคอมพิวเตอร์ที่เป็นระบบคิดเงินตามสาขา เขาถูกแฮก ขโมยข้อมูล แล้วลบระบบบัญชีทั้งหมด แล้วมันเป็นช่วงที่เขาต้องทำบัญชีรายงานงบให้กับกรมสรรพากร สิ่งที่เขาห่วงที่สุดก็คือการกู้ข้อมูลกลับมา เพราะข้อมูลที่หายไปหมดเลยตรงนั้นคือข้อมูลตั้งแต่เริ่มธุรกิจจนถึงวันที่ถูกลบ ด้วยความที่ไม่ได้ตระหนักมาก่อนหรือไม่คิดว่าวันหนึ่งจะโดน แต่เวลาที่โดนขึ้นมาความเสียหายก็มีมูลค่าเยอะและย้อนเวลาไม่ได้ มันก็เป็นสิ่งที่ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น แล้วช่วงปีนั้นมันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นบ่อยมากในประเทศไทย ทั้งหมดนี้ก็เป็นภาพสะท้อนว่ายังมีความหละหลวมของการดูแลเรื่องความปลอดภัยขององค์กร

‘Unknown Unknown’ หรือสิ่งที่ธุรกิจไทย ‘ไม่รู้ว่าไม่รู้’ ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์คืออะไรบ้าง

Unknown ตัวแรกที่ผมจะเล่าให้ฟังซึ่งเป็นเรื่องน่าประหลาดใจก็คือ ภาคธุรกิจมักไม่รู้ว่ามีระบบ เครื่องมือ หรืออุปกรณ์อะไรบ้างที่ต้องจัดการ สิ่งแรกเวลาที่เราเข้าไปช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้กลับมาเป็นปกติหลังองค์กรถูกแฮกมาแล้วคือ เราจะสอบถามข้อมูลก่อนว่าระบบนี้ทำหน้าที่อะไรหรือมีเครื่องนี้อยู่ด้วยวัตถุประสงค์ใด บางทีเครื่องนี้มันถูกลืมไปว่าเคยมีอยู่แต่ก็ยังเปิดใช้งานอยู่ หรือไม่ได้มีการปรับปรุงสินทรัพย์ทางด้านไอทีให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนกับเราละเลยว่าสิ่งที่ต้องบริหารจัดการหรือต้องดูแลมีอะไรบ้าง 

ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ ว่าเราจะไม่สามารถปกป้องทรัพย์สินของเราได้ถ้าเราไม่รู้ว่าเรามีทรัพย์สินอะไรบ้าง ถ้ามีโจรปล้นบ้านสักหลังหนึ่ง แล้วเจ้าของบ้านไม่รู้ว่าตัวเองมีทรัพย์สินอะไรบ้าง สุดท้ายก็จะไม่รู้ว่าอะไรที่สำคัญหรืออะไรที่ความจริงถ้าหายไปก็ไม่เป็นไร เราจึงต้องทำสิ่งที่เรียกว่า IT Asset Inventory ที่ทำให้รู้ว่ามีสินทรัพย์ทางด้านดิจิทัลอะไรบ้าง ซึ่งต้องครอบคลุมไปถึงทุกกระบวนการของธุรกิจ รวมถึงระบบที่หน่วยงานย่อยไป Subscribe หรือใช้บริการจากบุคคลภายนอกด้วย

Unknown ที่ 2 ซึ่งเรามักจะเจอเวลาเกิดเหตุถูกแฮกก็คือ บางทีเราไม่รู้ว่าระบบของเรามีโจรแอบแฝงตัวเข้ามาอยู่แล้ว ความจริงโจรเข้าบ้านมาตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่ได้ลงมือจริงจังให้เกิดผลกระทบต่อการทำงานขององค์กร เพราะมาหาก่อนว่ามีอะไรสำคัญที่สามารถใช้เป็นตัวประกันในการต่อรองเรียกค่าไถ่ได้ โดยจะพยายามเปิดประตูห้องนั้นห้องนี้ดูว่ามีอะไรที่มีมูลค่าบ้าง ทีนี้พอเจอแล้วถึงจะแอบทยอยเอาสินทรัพย์หรือข้อมูลสำคัญที่ใช้เป็นตัวประกันได้ออกไป แล้วค่อยเลือกว่าจะทำลายข้อมูล หรือทำให้เจ้าของบ้านรู้ตัวหรือเปล่า ซึ่งหากโจรอยากเพิ่มอำนาจการต่อรองก็จะลบข้อมูลนั้นทิ้ง ข้อมูลก็จะอยู่ที่มือโจร ถ้าคุณอยากได้ก็ต้องจ่ายค่าไถ่ หลายองค์กรก็ยังตกอยู่ในสภาพนี้ คือถูกโจรลบข้อมูลไปแล้วก็ไม่มีอำนาจต่อรองอะไร ถึงแม้จะแบ็กอัปข้อมูลไว้อีกที่ แต่โจรยุคนี้ก็ปรับตัวเหมือนกัน และตามไปลบข้อมูลจากสองที่ก็มี จนสุดท้ายองค์กรต้องทำแบ็กอัปแบบไม่ต่ออินเทอร์เน็ต เพื่อให้เวลาที่โจรเข้ามาอยู่ในบ้านแล้วไม่รู้ว่าเรามีอีกก๊อบปี้หนึ่งที่ใส่ไว้ในลิ้นชักนะ ซึ่งถ้าเป็นองค์กรที่ลงทุนด้านความปลอดภัยก็จะเอาระบบเซนเซอร์ กล้องวงจรปิด ระบบ Motion Detection มาติดตามระบบไอทีเพื่อดูว่ามีอะไรแปลกปลอมไหม จะได้จัดการได้ทันที

สุดท้าย Unknown ที่ 3 คืออย่างที่เล่าไปว่าการจัดการปัญหาเรื่อง Cybersecurity ไม่ใช่เพียงแค่การไปซื้อเทคโนโลยีหรือซื้อซอฟต์แวร์มาติดตั้ง แต่ต้องมีบุคลากรที่มากำกับกระบวนการ เพื่อทำให้การเฝ้าระวังหรือการจัดการเหตุพวกนี้ทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ซึ่งก็ต้องเพียงพอต่อระดับความเสี่ยงขององค์กรด้วยว่าพึ่งพาเทคโนโลยีมากน้อยแค่ไหน ให้บริการลูกค้าผ่านช่องทางไหน มีการเชื่อมต่อระบบกับคู่ค้าธุรกิจผ่านช่องทางไหน กระบวนการเฝ้าระวังตรงนี้จะเป็นตัวกำหนดระดับของความเสี่ยงขององค์กร

ซึ่งการแฮกทุกวันนี้จะมีลักษณะเป็น Supply Chain Attack หมายความว่าในปัจจุบันนี้ไม่มีองค์กรไหนใช้เทคโนโลยีทุกอย่างที่สร้างด้วยตัวเอง แต่ใช้โปรแกรมของบริษัท A B C D ยกตัวอย่างเช่น สมมติ Microsoft ที่เป็นระบบระดับโลกดูแลรักษาความปลอดภัยในระบบของเขาดีแล้ว แต่มีการใช้ระบบไอทีเอาต์ซอร์สสักระบบหนึ่งแล้วระบบนั้นถูกแฮก มันก็จะส่งผลกระทบต่อเนื่องแล้วได้ข้อมูลของ Microsoft มาได้เหมือนกัน 

Bluebik Titans เข้าไปช่วยเสริมความปลอดภัยให้ธุรกิจเหล่านี้แบบครบลูปผ่านบริการต่างๆ ยังไง

ในมุมของการตั้งต้นแนวคิดของบริการของเรา เรามองถึงทั้ง Value Chain ของ Cybersecurity (End-to-End Solution) จากบริการของ Bluebik ที่เริ่มตั้งแต่การวางกลยุทธ์ธุรกิจ การออกแบบกลยุทธ์ของผลิตภัณฑ์ทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัล แล้วเราก็พยายามร้อยเรียงเอากลยุทธ์ทางธุรกิจตรงนั้นหรือเป้าหมายที่สำคัญทางธุรกิจขององค์กรเข้ามาในการทำประเมินหรือการจัดทำโรดแมปให้สอดคล้องกับเรื่อง Cybersecurity

ผมคิดว่าคนในวงการไอทีมักจะเจอปัญหาว่าเวลาที่ของบประมาณในการทำเรื่องการรักษาความปลอดภัย มักจะมีคำถามจากผู้บริหารฝั่งธุรกิจมาเสมอว่า ทำไมต้องแพงขนาดนี้ จะเกิดความไม่สะดวกต่อการทำงานหรือเปล่า หมายความว่า สมมติร้านอาหารนั้นเขาไม่จำเป็นต้องไปซื้อระบบระดับโลกให้ครบทั้ง 20 ตัวเหมือนธนาคาร แต่อะไรคือสิ่งที่เพียงพอในการทำให้องค์กรของเขาบรรลุเป้าหมายธุรกิจ เราก็พยายามสร้าง โรดแมปที่เปรียบเหมือนสูทสั่งตัดเฉพาะสำหรับองค์กรนั้น ๆ โดยที่ประเมินว่าเป้าหมายกลยุทธ์ทางธุรกิจของเขาคืออะไร ระดับความเสี่ยงของเขาคืออะไร แล้วเขามีสินทรัพย์ที่ต้องปกป้องดูแลมากน้อยแค่ไหน

บริการแรก เราก็ประเมินว่าจากปัจจุบัน เขามีจุดอ่อนหรือช่องว่างช่องโหว่อะไรไหม ต้องปรับปรุงยกระดับอะไรบ้าง ต้องเดินต่อไปยังไง ต้องทำอะไรก่อน ควรทำอะไรก่อน – หลังตามระดับความสำคัญที่สอดคล้องกับธุรกิจและการบริหารจัดการความเสี่ยง ในโรดแมปต้องเห็นภาพว่าอะไรที่ทำน้อย แต่มีผลกระทบเชิงบวกมาก แล้วสามารถที่จะปิดความเสี่ยงที่สำคัญได้ก่อน จะเป็นการทำงานในลักษณะของการวางกลยุทธ์ด้าน Cybersecurity

บริการที่ 2 คือการจำลองตัวเองเป็นผู้ร้ายเพื่อประเมินมาตรการควบคุม หมายความว่าเราทำตัวเป็นแฮกเกอร์ ก่อนที่จะเปิดระบบให้ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายใช้งาน เราจะมองตัวเองเป็นโจรเสียก่อน เข้าไปทดสอบก่อนว่าตัวควบคุมที่ออกแบบและติดตั้งไปมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลดีพอหรือเปล่า เขาเรียกบริการแบบนี้ว่า Penetration Testing  ที่เข้าไปทดสอบการบุกรุก ซึ่งตอนนี้ในตลาดแข่งขันสูงมากจนกลายเป็นสงครามราคาแล้ว ในส่วนของการลองแฮกองค์กรจะเรียกว่า Red Teaming แบ่งเป็น Red Team ทีมบุก กับ Blue Team ทีมป้องกัน คล้าย ๆ กับหนังเรื่อง The Matrix ว่าคุณจะเลือกอยู่ทีมสีอะไร

การทำ Red Teaming หมายความว่าเราตกลงกับ Chief Risk Officer หรือ Chief Security Officer ที่ดูแลความเสี่ยงขององค์กรนั้นก่อนว่าอะไรคือความกังวลสูงสุดขององค์กร อย่างเช่น Intellectual Property ซึ่งเป็น R&D ที่ไม่สามารถสูญเสียได้ หรือข้อมูลที่เป็นความลับสูงสุดและมีการป้องกันหลายชั้น แล้วมาให้โจทย์ Red Team ว่าลองใช้วิธีการอะไรก็ได้ในการพิสูจน์ว่าสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญสูงสุดขององค์กรได้หรือเปล่าโดยให้เวลา 6 สัปดาห์หรือให้โจทย์ลองเข้ามาแฮก CEO Mailbox ภายในเวลาที่ตกลงกัน ซึ่งโดยส่วนมากมักจะเป็น 4 – 6 สัปดาห์ หรือบางทีก็ 2 เดือน 

ในการทำ Red Teaming จะมีทั้งแบบที่มีเป้าหมายชัดเจน เช่น ตกลงกันว่าแฮกระบบ A หรือ B เท่านั้น แต่จะมีขั้นกว่าของ Penetration Test ทั่วไป คือ Intelligent Penetration Test ที่มองภาพใหญ่ว่าแฮกเกอร์ผู้มุ่งเป้าโจมตีองค์กรจะไม่เลือกว่าจะแฮกแค่ระบบไหน แต่จะหาระบบที่อ่อนแอที่สามารถทำให้เข้าไปในองค์กรได้

บริการที่ 3 คือกลุ่มที่เรายกระดับการควบคุมด้าน Data Protection ตัวอย่างการเพิ่มการควบคุมและรักษาความปลอดภัยขององค์กร เช่น การให้นำอุปกรณ์ส่วนตัวทางไอทีมาใช้ทำงานได้ ซึ่งก็มีความเสี่ยงที่ถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหายไป ข้อมูลขององค์กรก็จะรั่วไหลไปด้วย ดังนั้นในโรดแมปควรต้องมีกระบวนการทำ Data Protection เช่น ต้องลงทะเบียนเครื่องก่อนว่าเอาอุปกรณ์อะไรมาใช้งานในการเข้าถึงข้อมูลขององค์กร หรือต้องเสริมซอฟต์แวร์อะไรเข้าไป เพื่อทำให้องค์กรสามารถปกป้องข้อมูลตามเครื่องของพนักงานได้

บริการสุดท้ายคือ Digital Forensic Incident Response การรับมือกับเหตุละเมิดความปลอดภัย คล้ายกับหน่วยพิสูจน์หลักฐานของตำรวจที่เข้าไปเก็บหลักฐานเวลาถูกแฮกระบบต่าง ๆ ซึ่งจะใช้หลักนิติวิทยาศาสตร์ทางด้านดิจิทัล (Digital Forensic) มาใช้ในการเก็บรวบรวมหลักฐานของอุปกรณ์ไอทีหรือระบบสารสนเทศที่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ อย่างเช่นการกู้ข้อมูลจากอุปกรณ์ไอที ยกตัวอย่างว่า หลายองค์กรก็เข้ามาเป็นลูกค้าเราตอนมีปัญหาถูกแฮกเกิดขึ้น แต่ไม่สามารถสรุปได้ว่าสาเหตุคืออะไร จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์อยู่ตรงไหน ทำให้ไม่สามารถประเมินได้ว่ามีความเสียหายอะไรบ้าง และจะป้องกันไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำได้ยังไง เราก็จะเข้าไปช่วยลูกค้าเก็บรวบรวมวิเคราะห์หลักฐาน ลำดับเหตุการณ์ ขอบเขตความเสียหาย ประเมินและให้คำแนะนำในการปรับปรุง ช่วยรับมือแล้วดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ หลายครั้งก็เจอว่าสาเหตุสำคัญจริง ๆ ไม่ได้เป็นเพราะขาดโปรแกรมป้องกัน แต่ขาดบุคลากรที่จัดการเหตุอย่างทันท่วงที หรือขาดกระบวนการป้องกันหรือเฝ้าระวังอย่างสม่ำเสมอ 

จุดแข็งที่ทำให้ Bluebik Titans แตกต่างจากที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยไซเบอร์รายอื่นคืออะไร

เรื่องแรกเลย จากดีเอ็นเอของบริษัทฯ เราคือพยายามสร้างทีมให้มองภาพการบริหารจัดการความปลอดภัยทางไซเบอร์โดยเริ่มต้นจากมุมมองความต้องการทางธุรกิจก่อน ใช้ความรู้ความเข้าใจทางด้านธุรกิจเป็นตัวนำ เพราะถ้าคนที่รู้ด้านไอทีอย่างเดียวจะมีอุปสรรคในการสื่อสารว่าความปลอดภัยทางไซเบอร์สำคัญยังไงต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทางธุรกิจ (Business Stakeholder)

เวลาของบการลงทุนเพื่อจัดการความเสี่ยง กับ CFO, CEO หรือ COO การร้อยเรียงจากกลยุทธ์เป้าหมายทางธุรกิจเป็นเรื่องสำคัญ เราต้องเทียบดูว่าองค์กรของเรามีความเสี่ยงระดับไหน และจะลงทุนเพื่อควบคุมความเสี่ยงให้ลดลงมาอยู่ในระดับไหนที่เรายอมรับได้ คล้ายกับการซื้อประกันรถยนต์ที่ต้องมองในมุมของการบริหารจัดการความเสี่ยงว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น เราต้องจ่ายมากกว่าที่เราจ่ายเงินในการซื้อประกัน

เรื่องที่ 2 คือ Digital Forensic Incident Response ผมเชื่อว่าในรูปแบบหรือลักษณะของการดำเนินการที่เราทำ ถ้าเป็นบริษัทไทยน่าจะมีอยู่ไม่กี่บริษัทที่สามารถทำได้ในระดับความสามารถหรือบริการที่เรามีตั้งแต่เริ่มจากตรงไหน เกิดอะไรขึ้นบ้าง โดนอะไรไปบ้าง แล้วจะเข้าไปแก้ปัญหายังไง

เรื่องที่ 3 คือกระบวนการทำงาน เรามีประสบการณ์ทำงานกับบริษัทชั้นนำ แล้วนำระบบการทำงานของบริษัทระดับโลกมาปรับใช้ ซึ่งก็เชื่อว่าคุณภาพการให้บริการของเราไม่แพ้บริษัทต่างชาติ 

การปั้น Bluebik Titans ในฐานะที่ปรึกษาด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ชั้นนำต้องมีตำแหน่งสำคัญหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไหนบ้าง

เมื่อกี้เราพูดถึง Red Team และ Blue Team คือสิ่งที่เรียกว่าเป็น Ethical Hacker หมายความว่าเป็นแฮกเกอร์ที่มีคุณธรรม เป็นทีมที่ทำเรื่อง Control Assessment แต่ถ้าเป็นทีมฝ่ายกลยุทธ์ เรามีทีม Security Strategist หรือ Security Architect ที่มองภาพใหญ่จากมุมของกลยุทธ์ของธุรกิจ คล้ายการมองจากมุมการออกแบบสถาปัตยกรรมที่เป็นภาพใหญ่

อีกส่วนหนึ่งคือทีมที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน อย่างเช่น เวลาเราทำ Cloud Security ก็มีทีมที่มีความรู้เรื่อง Cloud โดยเฉพาะ รวมถึงทีมที่มีความรู้เฉพาะทางที่สอดรับกับบริการของเราไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือ Mobile Application รวมถึงทีมที่มีประสบการณ์ในการทำด้าน Digital Forensic

มีแนวทางพัฒนาบุคลากรยังไงเพื่อให้เป็นสุดยอดทีมที่สามารถรับมือกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ

ในภาพใหญ่ของ Bluebik เรามีส่วนที่ทำ Personalized Development คือหมายความว่า เราดูว่าแต่ละคนมีสกิลอะไรบ้าง แล้วจะต้องเติมอะไรทั้งด้าน Hard Skill และ Soft Skill ที่เหมาะสมกับการพัฒนา Career Path ของแต่ละคน

ส่วนที่ 2 คือเราให้ความสำคัญและสนับสนุนเรื่องการฝึกอบรม เทรนนิ่งในคอร์สความรู้เฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน ตัวอย่างเช่น ส่งเสริมการอบรมเรื่องมาตรฐานทางด้าน Security ที่เกี่ยวข้องให้ทีมด้านกลยุทธ์ สนับสนุนคอร์สของต่างประเทศให้ทีมที่ต้องติดตามความรู้และเทคนิคใหม่ ๆ ในการแฮก มีเทรนนิ่งจากพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจของเราให้ทีมได้เรียนรู้ อย่างเรื่องของ Cloud Security ล่าสุดก็มีทั้งเทรนนิ่งแบบ Hands-on และ On-the-job Training

ส่วนที่ 3 คือสิ่งที่ผมเชื่อว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้ที่ดี ตอนที่ผมจบมหาวิทยาลัยมา เพิ่งเริ่มงานแล้วยังแฮกระบบไม่เป็น แต่ต้องมาทำงานในการทดสอบเจาะระบบ มันจะไม่เกิดกระบวนการเรียนรู้เลยถ้าสภาพแวดล้อมการทำงานไม่มีการทำ Knowledge Sharing ระหว่างทีม ซึ่งเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่เราพยายามสร้างให้เกิดขึ้นในทีมของเรา

ยกตัวอย่างกรณีศึกษาที่ Bluebik Titans ประสบผลสำเร็จในการให้คำปรึกษาการป้องกันภัยไซเบอร์กับองค์กรธุรกิจให้ฟังหน่อย

ผมมีอยู่ 3 เคส เคสแรกเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งมีการประเมินเรื่องการบริหารจัดการ Cybersecurity อยู่เป็นประจำ เขารู้แค่ What ว่ามีอะไรต้องทำบ้าง แต่ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงและกำหนดความสำคัญยังไง เราก็ช่วยในการทำโรดแมปโดยดูจากเป้าหมายทางธุรกิจของเขา ดูกลยุทธ์ และดูว่าผู้บริหารระดับสูงขององค์กรมองยังไงเรื่องความคาดหวังด้าน Cybersecurity รวมถึงหน่วยงานธุรกิจ หน่วยงานฝ่ายขาย หน่วยงานฝ่ายปฏิบัติการต่าง ๆ มองยังไง แล้วเอา Input ทั้งหมดมาผสมรวมกันเป็นตัวตั้งในการสร้างโรดแมปจากสถานะปัจจุบันที่องค์กรนี้มีอยู่ จัดลำดับความสำคัญ แล้วมองถึงภาพของความเสี่ยงด้วยว่าถ้าทำหรือไม่ทำจะส่งผลต่อระยะสั้นและยาวยังไง จะมีความเสี่ยงอะไรบ้างต่อองค์กร ซึ่งก็สอดคล้องกับความจำเป็นขององค์กรนั้น

เคสที่ 2 เป็นโครงการของสถาบันการเงินกับหน่วยงานสาธารณสุขแห่งหนึ่งที่มีการให้บริการผ่านทาง Mobile Application กับกลุ่มผู้ใช้งานจำนวนมาก เรามีโอกาสเข้าไปสนับสนุนการทดสอบความปลอดภัยของแอปพลิเคชันก่อนเปิดฟังก์ชันใหม่ซึ่งเกี่ยวข้องกับการให้บริการทางการเงินด้วยส่วนหนึ่ง เข้าไปดูว่ามีช่องโหว่หรือจุดอ่อนทางด้านความปลอดภัยอะไรไหม มีความเสี่ยงแค่ไหน จะดำเนินการแก้ไขยังไง ผลลัพธ์ที่ได้จากฟีดแบ็กลูกค้าในรอบนั้นคือ ความจริงแล้วแอปฯ ตัวนี้ไม่ใช่ทีมผมเป็นทีมแรกที่เข้ามาตรวจ แต่ผลการประเมินของเราพบสิ่งที่บริษัทซึ่งเคยเข้ามาตรวจประเมินรอบก่อนไม่เจอ เป็นโปรเจกต์ที่เราภูมิใจว่าเข้าไปช่วยแล้วสร้าง Value Added ทำให้เกิดประโยชน์ในภาพรวมกับบริการของหน่วยงานนั้นได้

สุดท้ายเคสที่ 3 เป็นบริษัทในอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศไทยที่เจอเหตุการณ์โจมตีทางไซเบอร์ เขารู้ตัวว่าถูกแฮกและมีความผิดปกติเกิดขึ้นจากการแจ้งเตือนของระบบรักษาความปลอดภัยของบริษัทในเครือ ตอนแรกเขามีผู้ให้บริการที่ทำการเฝ้าระวังและป้องกันเหตุละเมิดความปลอดภัยทางไซเบอร์อยู่แล้ว และเลือกใช้บริการจากผู้ให้บริการเดิมก่อน แต่สุดท้ายไม่สามารถสรุปได้ว่าสาเหตุของเหตุการณ์คืออะไร หรือโดนอะไรไปบ้าง จะต้องทำยังไงต่อ ก็เลยกลับมาให้เราเข้าไปช่วยวิเคราะห์เหตุการณ์ทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง เคลียร์ว่าข้อมูลรั่วไหลหรือเปล่า มีความเสี่ยงตรงไหน ทำ Timeline Analysis หรือ Root Cause Analysis โดยละเอียดมากขึ้น 

จากตลาด Cybersecurity ในไทยที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว Bluebik Titans มีแผนต่อไปยังไงเพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

แนวทางแรก เรามองถึงการขยายความรู้ความเชี่ยวชาญและขยายประสบการณ์ของเราให้กว้างมากยิ่งขึ้น เพราะในมุมมองของผม ส่วนใหญ่งานของเราจะเข้าไปให้คำปรึกษากับลูกค้าที่มีความสามารถในการลงทุน ซึ่งจะเป็นกลุ่มธุรกิจที่โตแล้ว อย่างเช่น กลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มประกันภัย กลุ่มค้าปลีกขนาดใหญ่

แต่เราเชื่อว่ายังมีอีกหลายอุตสาหกรรม อย่างเช่น Healthcare, Manufacturing, Utility ที่ยังมี Unknown Unknown อยู่ ซึ่งบางครั้งอาจเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันถูกแฮกขึ้นมาหรือมีตัวผลักดัน เช่น ความตระหนักรู้ที่มากขึ้น การมีกฎระเบียบในอุตสาหกรรม เราก็เลยพยายามขยายความเชี่ยวชาญของทีมเราให้ครอบคลุมอุตสาหกรรมที่กว้างมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองดีมานด์หรือความต้องการของตลาด

แนวทางที่ 2 คือ เราพยายามมองหา Business Partnership รูปแบบใหม่ สมัยก่อนถ้าเราต้องการระบบความปลอดภัยสักระบบหนึ่ง ต้องเริ่มจากการไปซื้อเซิร์ฟเวอร์เครื่องใหญ่ ซื้อระบบปฏิบัติการ ระบบฐานข้อมูลมารอไว้ก่อน แล้วติดตั้ง เขียนกระบวนการและนโยบายต่าง ๆ หลายขั้นตอน แต่ยุคนี้มี Software as a Service ที่แค่ Subscribe ได้และสะดวกขึ้นมาก 

เราก็เลยพยายามหา Cutting-edge Technology ที่เข้ามาให้บริการในประเทศไทยเพื่อยกระดับความปลอดภัย ทดแทนเทคโนโลยีเก่า ๆ ที่ไม่ทันสมัย ไม่ทันต่อเหตุการณ์ ไม่ทันต่อการจัดการความเสี่ยง โดยในบทบาทของที่ปรึกษา เราเป็นเหมือนหมอที่พิจารณาว่าโซลูชันต่าง ๆ จำเป็นต่อองค์กรหรือเปล่าหากเทียบกับรูปแบบเดิม ไม่ใช่ว่าเราเป็นพาร์ตเนอร์ชิปแล้วแนะนำอย่างเดียว อย่างกลุ่ม SMEs ก็รู้สึกหดหู่ว่าทำไมบริษัทของคนไทยโดนเยอะขนาดนี้ เราก็พยายามมองหา One-stop Solution อยู่ แต่ยังไม่เจอตัวที่เข้าถึงง่ายและสามารถบริหารจัดการได้ง่าย ตรงนี้ก็เป็นกลุ่มเป้าหมายของเราที่อยากขยายออกไปนอกเหนือจากบริษัทใหญ่

สุดท้ายนี้ อะไรคือปัจจัยหลักที่ทำให้ Bluebik Titans ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ให้บริการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่ได้รับความไว้วางใจในตลาดไทย

ในการจัดการ Cybersecurity จากมุมการบริหารความเสี่ยง เราจะมองว่าทำแล้วสร้างคุณค่าอะไรให้ธุรกิจได้บ้าง อย่างเช่น สมมติเราต้องลงทุน 5 ล้านบาทในการปกป้องข้อมูลขององค์กร การลงทุนนี้จะสร้างคุณค่าอะไรกับธุรกิจบ้าง หมายความว่าถ้าธุรกิจสูญเสียข้อมูลตรงนี้ไปจะทำให้ธุรกิจได้รับความเสียหายอะไร หนึ่งคือบทลงโทษทางกฎหมาย สองคือการสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน สามคือ Intangible หรือว่า Non-Financial Impact อื่น ๆ ในเรื่องความเชื่อมั่นและชื่อเสียงต่าง ๆ เรามองภาพจากในมุมของคุณค่าที่เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการ Cybersecurity ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นมุมที่ผู้ให้บริการรายอื่น ๆ ไม่ได้ทำกัน

ส่วนที่ 2 คือเรื่องความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของทีมงาน เราคัดเลือกและรวบรวมทีมผู้เชี่ยวชาญที่ไม่เป็นรองจากบริษัทต่างชาติและผู้ให้บริการรายอื่น ด้วยแนวทางที่เล่าให้ฟังไปทั้งหมดว่าเราไม่ได้มองแค่ขายเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์ หรือโซลูชันอย่างเดียว แต่มองถึงความจำเป็นหรือความเสี่ยงที่จะสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจขององค์กรนั้น ๆ

ส่วนที่ 3 เป็นสิ่งที่ผมพยายามเน้นย้ำแล้วก็ปลูกฝังกับทีมเสมอว่าเราไม่ต้องการตีหัวลูกค้าเข้าบ้าน หมายความว่าเราไม่ได้ต้องการแค่กำไรสูงสุดหรือทำงานจบให้เร็วเพื่อทำให้โปรเจกต์นี้สำเร็จ เราไม่ต้องการแบบนั้น แต่เราต้องการสร้างความเชื่อมั่น สร้างความไว้วางใจจากลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นโปรเจกต์เล็กหรือใหญ่ เราต้องการเป็นคู่คิด เป็นพันธมิตรกับลูกค้าในระยะยาว โดยพยายามเข้าใจว่าเหตุผล ที่มาที่ไป เป้าหมายที่ลูกค้าต้องการจากบริษัทที่ปรึกษาคืออะไร แล้วก็พยายามทำเกินหน้าที่ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์หรือทำให้องค์กรเขาสำเร็จในเป้าหมายที่วางไว้ เราทำทุก ๆ ทางเพื่อให้เติบโตไปในทิศทางนี้ เพราะต้องการเป็นพาร์ตเนอร์ทางกลยุทธ์ (Strategic Partner) กับองค์กรที่เป็นลูกค้าของเราอย่างแท้จริง 


เปิดตำรับ 118 ปีของ ‘กุยลิ้มฮึ้ง’ กับศาสตร์การรักษาด้วยแพทย์แผนจีนขนานแท้จากรุ่นสู่รุ่น

ชายสูงอายุบุคลิกอ่อนโยน สีหน้าฉาบด้วยรอยยิ้ม นั่งรอรักษาคนไข้อย่างใจเย็นบนเก้าอี้ไม้ตัวเดิม เป็นเช่นนี้ทุกวันจนกลายเป็นภาพชินตาของคนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวถนนไมตรีจิตต์ ย่านเก่าแก่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเยาวราช และแหล่งรวมตัวของคนไทยเชื้อสายจีนหลายชั่วอายุคน

ชายคนดังกล่าวมีชื่อว่า ‘ประกอบ กอร์ปอริยจิต’ เจ้าของและทายาทรุ่นที่ 2 แห่งคลินิกแพทย์แผนจีนโบราณ ‘กุยลิ้มฮึ้ง’ ที่เปิดบริการรักษามาตั้งแต่ปี 2450 เบ็ดเสร็จรวมเป็นระยะเวลา 118 ปี ตั้งแต่เช้าจรดเย็นมีผู้ป่วยแวะเวียนมายังกุยลิ้มฮึ้งไม่ขาดสาย 

บ้างมีอาการจุกเสียดแน่นท้อง บ้างวิงเวียนศรีษะ บ้างครั่นเนื้อครั่นตัวหาสาเหตุไม่ได้ สิ่งที่เราเห็นคือเจ้าของคลินิกวัยชราใช้นิ้วบรรจงจับชีพจร ตาดูหูฟัง ซักประวัติอาการผู้ป่วยด้วยความใจเย็นพลางจดบันทึกอาการ ก่อนจะจ่ายใบสั่งยาเป็นสมุนไพรที่เก็บไว้ในคลังหลังคลินิกให้ผู้ป่วยนำกลับไปต้มดื่ม หรือกินเพื่อบรรเทาอาการ 

ด้วยความน่าเชื่อถือ มีขั้นตอนรักษาชัดเจน กอปรกับบุคลิกเป็นกันเองที่ว่านี้ ผู้ป่วยหลายรายจึงพร้อมใจกันเรียกประกอบว่า ‘หมออากง’ ด้วยความเคารพ

 ปัจจุบันอากงประกอบอายุล่วงเข้าสู่ปีที่ 91 ขณะที่กุยลิ้มฮึ้งขยับขยายจากคลินิกไม่กี่ตารางเมตร สู่สหคลินิกที่มีชื่อว่า ‘ปราชญา กุยลิ้มฮึ้ง’ ซึ่งให้บริการในเรื่อง wellness ครบวงจร โดยมีเทคนิคแพทย์แผนจีนเป็นแกนหลักอยู่

นอกจากจะขยับขยายแบรนดิ้ง ศาสตร์ความรู้เรื่องแพทย์แผนจีนยังถูกถ่ายทอดมาสู่ทายาทรุ่นที่ 4 นั่นคือ หมอหุย–ปณิชา วรพรชัย หลานสาวแท้ๆ ของอากงประกอบ ที่ตั้งใจสืบทอดเจตนารมณ์การรักษาผู้ป่วย และพัฒนากุยลิ้มฮึ้งต่อไปด้วยความรู้ในแบบฉบับคนเจเนอเรชั่นใหม่

เราถือโอกาสชวนอากงประกอบและหลานสาวมานั่งพูดคุยถึงวันวานที่กุยลิ้มฮึ้งถือกำเนิด เบื้องหลังศาสตร์การรักษาด้วยแพทย์แผนจีนอันล้ำลึก การปรับตัวแบรนดิ้งให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ และ ‘หัวใจ’ ที่ทำให้คลินิกแพทย์แผนจีนแห่งนี้ยืนระยะมาได้นานกว่า 1 ศตวรรษ 

ตำรับยาอายุวัฒนะนี้พร้อมเสิร์ฟบำรุงร่างกายแก่ทุกท่านแล้ว 

เปิดตำรับคลินิกแพทย์แผนจีนที่อยู่คู่ชาวเยาวราช

“สมัยก่อนแถวนี้เขาเรียกว่า ซินแซโกย ที่แปลว่า ซอยหมอรักษาคน เพราะว่าแถวนี้มีหมอแผนจีนเปิดร้านรักษาคนไข้อยู่เยอะเป็นห้องแถวรวมๆ เกือบ 10 ห้อง แต่เวลาล่วงเลยไปเดี๋ยวนี้ไม่มีเหลืออยู่แล้ว” 

อากงประกอบเริ่มย้อนความหลังให้เราฟังถึงจุดเริ่มต้นของกุยลิ้มฮึ้ง ที่หากย้อนกลับไป 50-60 ปีก่อน ณ บริเวณซอยนานาไล่ยาวไปจนถึงถนนไมตรีจิตต์ ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นใบยาทั้งแบบสดและแบบตากแห้ง อันเป็นวัตถุดิบสำคัญของหมอแพทย์แผนจีนที่จับกลุ่มรวมตัวเปิดร้านรักษาคนไข้ หนึ่งในนั้นคือเหล่ากงหรือพ่อของอากงประกอบ ที่โล้สำเภาข้ามน้ำข้ามทะเลมายังประเทศไทยโดยพกศาสตร์ความรู้ด้านการรักษาด้วยสมุนไพรติดตัวมาด้วย

ความจริงแล้วพ่อของอากงประกอบเริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้างในโรงสีข้าว แต่เพราะมีความรู้ในศาสตร์การรักษาด้วยสมุนไพรนี้เอง ทำให้พ่อของอากงประกอบตัดสินใจเปิดห้องแถวเล็กๆ บริเวณตรอกรามไมตรี ถนนไมตรีจิตต์ เป็นร้านรักษาผู้ป่วย ซึ่งสมัยก่อนการเข้าถึงการรักษาในโรงพยาบาลยังเป็นเรื่องยาก บรรดาแรงงานทั้งไทยและจีนจึงเลือกร้านแพทย์แผนจีนเป็นตัวเลือกแรกๆ ในการรักษา 

ส่วนที่มาของชื่อร้านกุยลิ้มฮึ้งมาจากนิมิตในฝันของพ่อของอากงประกอบ ที่เห็นว่าร้านของตนเองตั้งอยู่ในสวนอบเชยท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่น เป็นร้านยาที่รักษาคนไข้ได้มากมาย คำว่ากุยลิ้มฮึ้งจึงหมายความว่า ร้านยาที่อยู่ในสวนอบเชย และเป็นที่มาของโลโก้ร้านที่เป็นสวนอบเชยนั่นเอง

“ผมถามพ่อมาตลอด ว่าทำไมพ่อรักษาคนไข้ได้เก่ง แกไม่พูดอะไรแต่เดินไปหยิบตำรามา 4-5 เล่มให้ผมอ่าน แกบอกสั้นๆ ว่า ถ้าตั้งใจเรียนรู้อ่านจนจบก็สามารถรักษาคนไข้ได้ ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจจนกระทั่งพ่อเสียถึงหยิบมาอ่านแบบจริงจัง ในตำราเป็นกลอนให้ท่องจำ เป็นชื่อยาแต่ละชนิดที่ใช้รักษาแต่ละอาการ” อากงประกอบเล่าถึงศาสตร์ตำราการรักษาด้วยสมุนไพรจีนที่ผู้เป็นพ่อเหลือทิ้งไว้ให้ โดยอากงจะตื่นมาท่องจำตำราที่ว่าทุกๆ เช้าตั้งแต่ตี 5 เป็นเช่นนั้นตั้งแต่อายุ 14 จนกระทั่งก้าวขึ้นมาเป็นทายาทรุ่นที่ 2 เต็มตัวในวัย 21 ปี

ไม่ใช่แค่การเรียนรู้เรื่องศาสตร์การรักษาจากตำรา แต่อากงประกอบยังตัดสินใจเรียนหลักสูตรวิชาแพทย์แผนไทย ที่เมื่อผ่านหลักสูตรจะได้รับใบประกอบการแพทย์แผนไทย โดยอากงประกอบอธิบายเพิ่มว่า สมัยก่อนการแพทย์แผนจีนยังไม่มีใบประกอบการแพทย์เป็นกิจลักษณะ จึงต้องอาศัยการเรียนแพทย์แผนไทยที่มีพื้นฐานมาจากการใช้สมุนไพรเหมือนกัน อากงประกอบใช้เวลานับแรมปีเพื่อเรียนหลักสูตรที่ว่านี้ซึ่งมีสอนที่วัดอินทรวิหารและวัดเชตุพนฯ จนประสบผลสำเร็จ หลังจากนั้นจึงขยายร้านจากห้องแถวเล็กๆ หนึ่งห้องเป็นสามห้อง ถัดไปไม่ใกล้ไม่ไกลยังมีโกดังเก็บสมุนไพรสำหรับขายส่งออกไปยังที่ต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

ตำรับการวินิจฉัยโรคที่ต้องใช้ตาสังเกต หูฟัง และใจรักษา

ถึงตรงนี้อากงประกอบขอพักบทสนทนาไว้ ก่อนจะเดินไปนั่งประจำตรงโต๊ะวินิจฉัยคนไข้เหมือนที่ทำมาเกินครึ่งค่อนชีวิต โดยมีบรรดาหมอรุ่นใหม่เป็นลูกมือจัดเตรียมสมุนไพรตามใบสั่งยาที่อากงเขียน

หลังกลับมาจากการวินิจฉัยอากงประกอบอธิบายให้เราฟังว่า ขั้นตอนการวินิจฉัยโรคผู้ป่วยของที่นี่แบ่งออกชัดเจนเป็น 4 ขั้นตอน คือ

1. ม่อ หมายถึงการดูลักษณะท่าทางของผู้ป่วย ว่ามีสีหน้า สีปาก แววตา และท่าทางการเดินยังไง

2. เฉียก หมายถึงการจับชีพจรฟังจังหวะการเต้นของหัวใจ หรือที่เรียกว่าการแมะ

3. มึ่ง หมายถึงการซักประวัติผู้ป่วย ว่ามีไปทำอะไรมาบ้าง มีกิจวัตรยังไงก่อนจะเริ่มมีอาการป่วย

4. บุ๋ง หมายถึงการสังเกตว่าผู้ป่วยมีอาการไอไหม หายใจหอบหืด มีกลิ่นปาก มีกลิ่นตัว หรือนั่งด้วยท่าทางกระวนกระวายไม่สงบหรือเปล่า

เหล่านี้คือเทคนิคแพทย์แผนจีนที่ถูกส่งต่อผ่านกาลเวลามานับหลายร้อยปี เป็นเทคนิคที่นอกจากจะต้องมีความเชี่ยวชาญ ยังต้องใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานช่วยตัดสินใจ 

อย่างไรก็ดีอากงประกอบบอกกับเราว่า อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการรักษาผู้ป่วยคือการ ‘ใช้ใจ’ เข้าช่วย ผู้ป่วยบางคนไม่ใช่แค่ป่วยกายแต่ยังป่วยใจ หน้าที่ของคนรักษาจึงไม่ใช่แค่การวินิจฉัยโรคหรือจ่ายยาแล้วจบ แต่ต้องปลอบประโลมใจด้วยถ้อยคำอ่อนโยน เพื่อให้ผู้ป่วยคลายกังวลและมีกำลังใจในการสู้กับโรคภัย 

“คนไข้บางรายมาด้วยท่าทางอ่อนล้า เสียใจมาก เหนื่อยใจมาก หน้าที่ของคนเป็นหมอต้องกล่อมใจเขา อธิบายให้เขาฟังว่า ชีวิตหนึ่งกว่าจะได้มาไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องพยายามรักษาตัวเองให้หายนะ ถ้าเขาเบาใจก็ยิ่งช่วยให้การรักษาได้ผล คนที่เป็นหมอเองก็ต้องมีสมาธิจึงจะรักษาคนไข้ได้” ทายาทรุ่นที่ 2 แห่งกุยลิ้มฮึ้งอธิบายด้วยรอยยิ้ม 

ปณิชาเสริมอากงของเธอว่า ยาจีนเป็นการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติทำให้ไม่มีสารเคมีตกค้างในร่างกาย ทว่าการรักษาด้วยวิธีนี้จำเป็นต้องใจเย็น เพื่อให้ยาจีนที่ดื่มเข้าไปช่วยปรับสมดุลอวัยวะสำคัญทั้ง 5 ในร่างกายหรือที่แพทย์แผนจีนเรียกว่า อวัยวะตัน นั่นคือ หัวใจ ปอด ม้าม ตับ และไต เมื่อร่างกายไม่ร้อนเกินไป ไม่เย็นเกินไปอาการเจ็บป่วยจึงจะค่อยๆ ดีขึ้น ขณะเดียวกันหน้าที่ของหมอยังต้องแนะนำวิธีดูแลตัวเองแก่ผู้ป่วย ไม่ว่าจะการกิน การนอน เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากที่สุด

ตำรับการรักษาที่ถูกส่งต่อและพัฒนาจากรุ่นสู่รุ่น

“อากงทำงานหนักมาตลอด แกทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น กลางคืนก็มานั่งทำยา เรียนรู้วิธีการรักษาเพิ่มเติม เราไม่อยากให้ความตั้งใจนี้หายไปก็เลยตัดสินใจมาเป็นหมอแผนจีนตามอากง” จากความตั้งใจที่ปณิชาว่านี้เอง ทำให้เธอตัดสินใจเดินตามรอยอากงประกอบด้วยการเข้าเรียนหลักสูตรการแพทย์แผนจีนบัณฑิต ระดับปริญญาตรี 6 ปี จากมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ 

ถึงกระนั้นปณิชายอมรับว่าองค์ความรู้บางอย่างที่เธอเล่าเรียนในตำราแพทย์แผนจีนยุคปัจจุบันไม่มีในตำรา แต่ได้เรียนรู้จากการสังเกตการทำงานของอากง ยกตัวอย่างวิธีการสังเกตคนไข้ การจ่ายยาสมุนไพรบางตัว หรือการเก็บสมุนไพรที่มีกรรมวิธีเฉพาะ เช่น โสม ยาอายุวัฒนะมากมูลค่าที่ต้องเก็บในอุณหภูมิเฉพาะตัว ไม่ชื้นไป ไม่ร้อนไป ไม่เย็นไป หรือสมุนไพรประเภทเก๋ากี้ (โกจิเบอร์รี) ตังกุย และพุทราจีน ที่ต้องเก็บในตู้เย็นไม่เช่นนั้นตัวสมุนไพรสรรพคุณจะลดลง 

ไม่ใช่แค่การดึงความรู้จากรุ่นอากงมาใช้ กลับกันทายาทกุยลิ้มฮึ้งเจเนอเรชั่น 4 ได้นำองค์ความรู้ที่อากงประกอบคิดค้นขึ้นอย่าง ‘ยาลูกกลอน’ ขนานต่างๆ มาแปลงโฉมเป็นยาแคปซูลให้รับประทานง่ายขึ้น พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็นคำสั้นๆ เข้าใจง่าย เช่น ชั่งเช็กอี้ ยาลูกกลอนสรรพคุณลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็นยาแคปซูลที่มีชื่อว่า ออฟฟิศ เหมาะสำหรับบรรดาพนักงานออฟฟิศที่ปวดเมื่อยตัวจากการทำงานตลอดทั้งวัน

เช่นเดียวกันกับการจ่ายใบสั่งยาที่แม้จะเน้นการเขียนตามความถนัดของอากงประกอบ แต่ก็มีระบบหลังบ้านคอยบันทึกประวัติการรักษาเพื่อง่ายต่อการติดตามอาการคนไข้ หรือคอนเทนต์สนุกๆ ให้ความรู้ที่ปณิชาชวนอากงมาเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับแพทย์แผนจีนบนโลกโซเชียลฯ ตามความตั้งใจที่อยากจะเปลี่ยนภาพจำที่ว่า แพทย์แผนจีนเป็นการรักษาที่เก่าจนตามโลกไม่ทัน 

“อนาคตเราจะไม่สามารถอยู่ได้หรือถอยหลังไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ปรับเปลี่ยนตัวเองไปตามยุคสมัย ถ้าอย่างงั้นเราจะทำยังไงให้คนรู้จักแพทย์แผนจีน ยาจีนมันไม่ได้กินยากแบบที่คุณเข้าใจกันนะ งั้นลองชวนอากงมาทำคลิปอธิบายน่าจะดี ช่วงแรกแกก็มีเกร็งๆ บ้าง แต่พอทำจนชินกลายเป็นว่าตอนนี้แกชอบออกหน้ากล้อง แกชอบเล่าเรื่อง คนดูก็สนุกไปด้วย” ปณิชาอธิบายถึงจุดเริ่มต้นไอเดียการโปรโมตกุยลิ้มฮึ้งให้เป็นที่รู้จักบนโซเชียลฯ มากขึ้น

นอกจากจะมีหน้าคลินิกที่อยู่มาถึง 118 ปี ณ เวลานี้ ด้วยความที่เทรนด์การดูแลรักษาสุขภาพกำลังเป็นที่นิยม จึงมีการแตกแบรนด์ ‘กุยลิ้มฮึ้ง ปราชญา’ โดยมีทายาทรุ่นที่ 3 คือ ชุติพงศ์ กอร์ปอริยจิต, โสภิตา กอร์ปอริยจิต และอังคณา วรพรชัย เป็นผู้บริหาร โดบแบ่งโมเดลธุรกิจเป็น 2 ฝั่ง คือ 

1. ปราชญา เวลเนส สหเวชคลินิกที่ให้บริการด้านการฟื้นฟูและดูแลสุขภาพด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีน ตั้งแต่การครอบแก้ว ฝังเข็ม นวดทุยหนา ไปจนถึงบริการสปาหัวจรดเท้า

2. ปราชญาคิทเช่น ซึ่งจัดจำหน่ายสมุนไพรและเครื่องเทศ ทั้งแบบนำไปใช้เป็นวัตถุดิบปรุงยาจีน และแบบสินค้าแปรรูป เช่น ชาสมุนไพร ผงพะโล้ ผงกะหรี่ ฯลฯ 

เหล่านี้คือการนำศาสตร์ความรู้ด้านแพทย์แผนจีนที่มีของกุยลิ้มฮึ้งมาประยุกต์ต่อยอด เพื่อตอบสนองต่อโลกสมัยใหม่ เป็นข้อพิสูจน์ที่ว่าภูมิปัญญาของคนรุ่นก่อนไม่จำเป็นต้องทิ้ง แต่สามารถส่งต่อให้คนรุ่นหลังพัฒนาต่อได้ ในเมื่อทั้งสองสามารถผสมผสานเข้ากันเหมือน ‘หยิน-หยาง’ สมดุลในร่างกาย  

ตำรับความตั้งใจที่ไม่มีวันสูญสลาย

“คนเป็นหมอมีหน้าที่ปลดทุกข์ให้กับคนไข้ คนไข้ที่มาหาไม่ว่าจนหรือรวยเรามียาให้ทั้งนั้น”  

อากงประกอบบอกถึงปณิธานที่ยึดมั่นมาตลอด 70 กว่าปีที่ผ่านมาพร้อมอธิบายว่า พื้นฐานสำคัญของคนที่ประกอบอาชีพหมอคือ ‘คุณธรรม’ จริงอยู่ที่ธุรกิจจะอยู่ได้ถ้ามีการบริหารจัดการหลังบ้านที่ดี หรือมีโปรดักต์น่าสนใจ แต่กับอาชีพหมอแล้วการช่วยเหลือผู้คนนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด 

ด้วยความตั้งใจในการรักษาผู้ป่วยที่ว่านี้เอง ทำให้ใครต่อใครเลือกที่จะรักษากับกุยลิ้มฮึ้ง บางครอบครัวรักษากับที่นี่ตั้งแต่รุ่นอากงอาม่า มาจนถึงรุ่นลูก เป็นความเชื่อมั่นในคุณภาพการรักษาที่บอกกันปากต่อปาก ผลลัพธ์คือการที่กุยลิ้มฮึ้งสามารถยืนหยัดได้นานถึง 118 ปี

และความตั้งใจที่ว่านี้เองยังถูกส่งต่อไปถึงทายาทรุ่นที่ 4 ปณิชายืนยันว่าคลินิกแห่งนี้ยินดีให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วยที่ขาดแคลนกำลังทรัพย์ รวมไปถึงพระภิกษุสงฆ์และภิกษุณี 

นอกจากนี้อากงยังบอกกับเราว่าใครที่สนใจอยากจะศึกษาตำรับวิธีการรักษาแพทย์แผนจีนก็ยินดีจะสอนแบบไม่คิดเงิน หากคนคนนั้นจะสามารถนำความรู้ที่ได้ไปรักษาคนอื่นต่อ และสามารถช่วยสืบต่อภูมิปัญญานี้ไปได้ 

“นอนให้ตรงเวลา กินให้ครบ 3 มื้อ กินให้หลากหลายสารอาหารครบถ้วน อย่าเลือกกิน ออกกำลังกายบ้างเล็กๆ น้อยๆ ชีวิตถึงจะยืนยาว” อากงประกอบทิ้งท้ายถึงเคล็ดลับที่ทำให้ชีวิตยืนยาวด้วยอารมณ์ขัน 

คุณมีหอไอเฟล ฉันมีชิงช้าสวรรค์ นวัตกรรมแห่งฤดูร้อนและนวัตกรรมที่แสนจะอเมริกัน

คอลัมน์ทรัพย์คัลเจอร์พูดถึงงานเอกซ์โปบ่อยครั้ง ส่วนใหญ่เราจะพูดถึงนวัตกรรมที่เกิดขึ้นในงานเอกซ์โปแล้วเชื่อมโยงไปยังบริบทของเมืองหรือประเทศหนึ่งๆ 

แต่หากนึกภาพว่างานนี้เป็นงานที่จัดต่อเนื่องกันเป็นวาระทุกๆ 5 ปี มีการสับเปลี่ยนเจ้าภาพ  หลายงานก็เกิดผลงานลือลั่นขึ้น ดังนั้นจึงเริ่มเกิด ‘ความขิง’ หรือเกิดอาการไม่ยอมน้อยหน้ากันของประเทศเจ้าภาพ

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ช่วงที่โลกเริ่มคึกคักทั้งจากความก้าวหน้าและการประชันความยิ่งใหญ่ในงานเอกซ์โป ในช่วงนั้นมีมหาอำนาจ 2 ชาติซึ่งอันที่จริงรักกันเป็นอย่างยิ่ง และมีความเชื่อมโยงกับงานเอกซ์โปทั้งทางตรงและทางอ้อม นั่นก็คือสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส 

ทั้งฝรั่งเศสและอเมริกาต่างชื่นชมซึ่งกันและกันทั้งในการประกาศอิสรภาพหรือการปฏิวัติฝรั่งเศส

หนึ่งในตัวแทนสัมพันธไมตรีคือการที่ฝรั่งเศสลงทุนสร้างอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพยักษ์ และมอบเป็นของขวัญให้กับอเมริกา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวแทนของการผสมผสานประติมากรรมที่ใช้นวัตกรรมเป็นโครงสร้างเหล็กมาสร้างอนุสาวรีย์ยักษ์ที่ถอดเป็นสามชิ้นได้ และมีน้ำหนักเบาพอที่จะขนย้ายไปประกอบได้

ผู้ที่รับผิดชอบด้านเทคนิคการสร้างโดยใช้โครงสร้างเหล็กนั้น คือชายที่ชื่อว่า Gustave Eiffel ที่รับผิดชอบการก่อสร้างหอไอเฟลนั่นเอง

เรื่องราวคือเมื่อปารีสจะจัดงานเอกซ์โปซึ่งตรงกับการฉลองร้อยปีปฏิวัติฝรั่งเศส กุสตาฟ ไอเฟล ชนะการประกวดแบบและสร้างหอไอเฟลจนกลายเป็นสุดยอดสัญลักษณ์ของสถาปัตยกรรม แสงไฟจากหอไอเฟลทำให้ปารีสกลายเป็นเมืองแห่งแสงสว่างจวบจนทุกวันนี้

คำถามคือเมื่อปารีสสร้างตำนานด้วยหอคอยเหล็กขนาดมหึมาใน ค.ศ. 1889 แล้ว อเมริกาที่รับไม้ต่อจัดงานชิคาโกเวิลด์แฟร์ (Chicago World’s Fair) จะทำอะไรให้ยิ่งใหญ่เทียบเท่าหรือมากกว่าได้

ข้อสรุปของสิ่งที่จะเป็นหัวใจของเอกซ์โปที่ชิคาโกในครั้งนั้นถือว่าก้าวล้ำและมหัศจรรย์มาก คือการที่วิศวกรหนุ่มเสนอให้สร้าง ‘ชิงช้าสวรรค์’ เป็นโครงสร้างเหล็กขนาดยักษ์ที่หมุนและพาผู้คนขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ ซึ่งเจ้าชิงช้าสวรรค์นี้ก็ค่อนข้างสะท้อนตัวตนของอเมริกันชน การเฉลิมฉลองในพื้นที่กลางแจ้ง และความเป็นอิสระของฤดูร้อน และกลายเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมอเมริกันซึ่งก็คือคณะละครสัตว์ สวนสนุก และการจัดงานคาร์นิวัล

‘ใหม่ เป็นตัวเอง และเป็นที่รัก’

ย้อนไปใน ค.ศ. 1890 ขณะนั้นชิคาโกวางพื้นที่จัดงานเอกซ์โปไว้เป็นพื้นที่โล่งๆ ริมน้ำ ซึ่งที่โล่งนั้นอันที่จริงเป็นดินโคลน และเป็นพื้นที่ที่วางไว้เพื่อพัฒนาสวนที่เน้นการออกแบบที่มีน้ำเป็นหัวใจ 

ขณะนั้นสถาปนิกคนสำคัญคือ Daniel Burnham ผู้รับผิดชอบแปลงโฉมพื้นที่เฉอะแฉะให้กลายเป็นสุดยอดชิ้นงานระดับโลก หัวข้อสำคัญที่หัวกะทิของอเมริกามารวมกันในครั้งนั้น คืออเมริกาจะเอาอะไรไปสู้หอไอเฟลดี

ความสนุกของการถกเถียงคือ การลงทุนในครั้งนั้นทางอเมริกาบอกว่าใส่ได้ไม่ยั้ง ไม่ต้องกั๊ก ซึ่งไอเดียที่ได้นั้นมีมากมาย มีกระทั่งการเสนอให้สร้างหอคอยมีรางจากรถไฟ แต่ใช้เลื่อนเพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้ไถลไปตามรางลงจากหอคอย หรือข้อเสนอสุดล้ำที่ให้มัดรถยนต์เข้ากับยางยืดหนาๆ แล้วโยนลงคล้ายกับบันจี้จัมป์

เป็นที่น่าสนใจว่า อเมริกันชนหยิบเอาอุตสาหกรรมของตัวเองทั้งรถไฟ ยาง รถยนต์แล้วตีความให้กลายเป็นเหมือนเครื่องเล่นที่เราพบเจอได้ในสวนสนุกปัจจุบัน ในครั้งนั้น กระทั่งกุสตาฟ ไอเฟล เองก็มาเสนอให้สร้างหอคอยที่ใหญ่กว่าหอไอเฟล 

แน่นอนว่ายังไม่มีคำตอบที่ดีพอ ทางแดเนียล เบิร์นแฮม จึงแนะแนวทางเพิ่มคือ ผลงานของอเมริกาในครั้งนี้จะต้อง ‘สดใหม่ ไม่ซ้ำใคร เป็นที่รัก และเฉพาะตัว (something novel, original, daring and unique)’ ซึ่งคำที่น่าสนใจคือคำว่าเป็นที่รักหรือเป็นที่ชื่นชอบ (daring) 

ตอนนั้นเองที่ในบรรดาช่าง วิศวกร ผู้เชี่ยวชาญ สถาปนิกที่เข้ามามีหน้าที่ต่างกันไป George Washington Gale Ferris Jr. สถาปนิกวัย 33 ปี ที่ทำหน้าที่ตรวจเหล็กที่จะใช้ในงานแฟร์ลงมือวาดแบบ ‘วงล้อเหล็ก’ ขนาดยักษ์ ที่ตัวแกนึกภาพเหมือนล้อจักรยานขนาดมหึมาที่หมุนได้ขึ้น

ความรู้สึกของการขึ้นสู่ท้องฟ้า

จินตนาการของเฟอร์ริสในครั้งแรกถูกปฏิเสธ 

แนวคิดในการสร้างครั้งแรกค่อนข้างซับซ้อน คล้ายกับการสร้างแป้นและล้อจักรยานสองวงล้อที่ทำงานต่อเนื่องกัน เบิร์นแฮมตอบกับเฟอร์ริสว่ามัน ‘เปราะบางเกินไป’ และในปลาย ค.ศ. 1890 วงล้อยักษ์ก็เป็นหมันไป

อันที่จริงคุณเฟอร์ริสเป็นอีกหนึ่งนักคิด วิศวกร และผู้ประกอบการ หน้าที่ในการมาตรวจเหล็กของแกมาจากการที่ตัวแกจบด้านวิศวกรรม สนใจการสร้างสะพานและมองเห็นว่าหลังจากนี้โครงสร้างเหล็กจะสำคัญ บริษัทของเฟอร์ริสที่ก่อตั้งขึ้นตอนแรกจึงก่อตั้งขึ้นเพื่อรับทดสอบโครงสร้างเหล็กสำหรับรางรถไฟและสะพานต่างๆ

และความเป็นคนไม่ยอม ตัวคุณเฟอร์ริสถึงขนาดวาดแบบขึ้นใหม่ ตัวเขาเองควักเงิน 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลงทุนทดสอบความปลอดภัย ทั้งยังเอาแบบไปปรึกษากับวิศวกรที่เก่งที่สุดในขณะนั้น แถมด้วยการไปหานายธนาคาร กลายเป็นว่าตัวแกเองสร้างทีมและเกิดเป็นบริษัท The Ferris Company and the Ferris Wheel ที่มาพร้อมเงินลงทุนในการสร้างชิงช้าสวรรค์เหล็กของตัวเองจำนวน 400,000 ดอลลาร์สหรัฐ

จากแนวคิดที่แม้แต่เหล่าสถาปนิกยังหวาดกลัว คือการสร้างวงล้อยักษ์สูงเท่าตึก 26 ชั้น พร้อมด้วยหอคอย จากความคิดที่ว่าไม่มีใครจะขึ้นไปบนนั้น ในที่สุดข้อเสนอการสร้างชิงช้าสวรรค์สำหรับเวิลด์แฟร์ที่ชิคาโกก็ได้รับอนุมัติให้สร้างในปลาย ค.ศ. 1892 จนเจ้าล้อหมุนยักษ์เริ่มหมุนจริงราวเจ็ดสัปดาห์หลังงานเวิลด์แฟร์เปิดอย่างเป็นทางการ

ลองนึกภาพความบ้าคลั่งของการสร้างเจ้าวงล้อจากเหล็กและงานออกแบบที่สลับซับซ้อน ตัวชิงช้าสูงเท่าๆ กับตึกระฟ้าของชิคาโกในขณะนั้น วงล้อมีความสูง 264 ฟุต โดยตัววงล้อแขวนกระเช้าที่ทำด้วยไม้ 36 กล่อง ซึ่งแต่ละกล่องไม่ได้มีขนาดเล็กๆ โดยรวมแล้วตัวชิงช้าสวรรค์ยักษ์ต้นแบบนี้จะจุคนได้ราว 2,100 คน ในช่วงเวลาที่คนเยอะๆ อาจมีผู้คนอยู่บนกระเช้าได้มากถึง 4,000 คน

ตัวกระเช้าจะหมุนอย่างช้าๆ และหยุดทุกๆ สองวินาทีเพื่อให้คนขึ้นลง โดยหนึ่งรอบของการนั่งกระเช้าครั้งประวัติศาสตร์จะใช้เวลา 20 นาที 

ว่ากันว่าความรู้สึก 20 นาทีนั้น ในการที่มนุษย์ได้ค่อยๆ หมุนไปบนท้องฟ้า มองลงมาเห็นทะเลสาปมิชิแกน เห็นตึกสูงระฟ้าที่กำลังก่อตัวขึ้น และงานแฟร์อันยิ่งใหญ่อยู่เบื้องล่าง ทุกครั้งที่เจ้ากล่องยักษ์ค่อยๆ ถูกยกขึ้น ในแต่ละรอบ แต่ละวินาที แต่ละการได้ขึ้นไปสู่ท้องฟ้า บรรยากาศของผู้คนที่ได้รับจากการขึ้นกระเช้าจะเปลี่ยนไปเสมอ 

มีถ้อยคำของผู้คนว่า ความรู้สึกจากล้อเหล็กยักษ์ที่เคลื่อนไหวได้ การเยี่ยมชมเมืองจากบนอากาศ เป็นความรู้สึกที่แทบจะบรรยายเป็นคำพูดออกมาไม่ได้

ในตอนนั้นการลงทุนงานเอกซ์โปของอเมริกายังบอบช้ำจากการจัดงานเอกซ์โปที่ฟิลาเดเฟียใน ค.ศ. 1876 (ในช่วงศตวรรษที่ 19 การจัดงานยังไม่เป็นระบบ 5 ปี บางประเทศจะจัดหลายครั้ง เช่น ฝรั่งเศสจัดที่ปารีสบ่อย คือจากการจัดครั้งแรกจนถึง ค.ศ. 1900 ปารีสจัดไป 5 ครั้ง) แต่ความเท่คือตัวชิงช้าสววรค์ของเฟอร์ริสกลับเป็นที่นิยมที่สุดในงานครั้งนั้น และถือว่าเป็นชิ้นงานทำกำไรได้อย่างงดงามที่สุด 

ตัวชิงช้าลงทุนสร้างด้วยงบ 380,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ด้วยการเก็บเงินค่าขึ้นรอบละ 50 เซนต์ ผลคือตลอดทั้งงานมีผู้คนมาขึ้นกระเช้ามากถึง 1,600,000 คน ทำให้กระเช้าทำเงินได้ราว 2 เท่าจากทุนสร้างของตัวมันเอง

แม้หลังจากนั้นเราจะอุทิศชื่อของแกให้เป็นชื่อสามัญของชิงช้าสวรรค์ แต่เมื่องานจบและต้องรื้อถอนชิงช้าสวรรค์ในตำนานออกไป ตัวแกเองกลับเผชิญปัญหา ถูกฟ้องล้มละลายใน ค.ศ. 1896 และป่วยด้วยไทฟอยด์จนเสียชีวิตลงในปีเดียวกัน ด้วยวัยเพียง 37 ปี 

เจ้าชิงช้าในตำนานถูกแยกส่วนและนำไปประกอบอีกหลายครั้ง จนกระทั่งถูกนำไปทำลายทิ้งด้วยการระเบิดใน ค.ศ. 1906 ส่วนคุณเฟอร์ริส จากชายหนุ่มผู้คิดชิงช้าสวรรค์ในวัย 33 ปี สู้จนสร้างตำนานและกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสนุกสนานของฤดูร้อน กลายเป็นตัวแทนของเมือง 

แม้ว่าเจ้าของตำนานและเจ้าของบริษัทจะไม่ได้รับดอกผลโดยตรง แต่ชิงช้าสวรรค์ถือเป็นอีกจิตวิญญาณของความเป็นอเมริกัน ความก้าวหน้า และความสนุกสนาน กลายเป็นตัวแทนของฤดูร้อนและชีวิตที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะกลางสายลม

จากหอไอเฟลที่เป็นตัวแทนที่ใครลอกเลียนไม่ได้ แต่ชิงช้าสวรรค์กลับกลายเป็นตัวแทนของสวนสนุกกลางแจ้ง และสวนสนุกหรือโรงละครเร่ ทั้งในที่สุดแล้วชิงช้าสวรรค์กลายเป็นอีกหนึ่งสาธารณูปโภคของเมือง เป็นสิ่งปลูกสร้างของเมืองที่เป็นที่รัก เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่เราจะสัมผัสกับเมืองได้อย่างเต็มตาและอิ่มใจ

 ชิงช้าสวรรค์ในตำนานเช่นลอนดอนอาย มีผู้คนขึ้นชมกรุงลอนดอนราว 3 ล้าน 5 แสนคนต่อปี หรือวันละหนึ่งหมื่นคนโดยเฉลี่ย พร้อมจ่ายค่าบริการราว 30 ปอนด์ สิงคโปร์ก็มีผู้ใช้บริการเกิน 27,000 รายต่อวัน ชิงช้าสวรรค์ปรากฏขึ้นแทบจะทุกพื้นที่ในทุกเมืองที่เป็นที่รัก ตั้งแต่โอซาก้า เรื่อยมาจนถึงริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตัวชิงช้าสวรรค์กลายเป็นสถาปัตยกรรมของการแข่งขัน พวกมันถูกสร้างให้สูงขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้น น่าตื่นตาตื่นใจขึ้นเรื่อยๆ

และฟังดูก็เป็นเรื่องจริงที่ว่า ทุกครั้งที่คุณก้าวเข้านั่งในกระเช้า เมือง และท้องฟ้าที่กระเช้าค่อยๆ พาเราขึ้นไปสำรวจ กี่ครั้งๆ ก็ไม่เคยเหมือนเดิม

จากกว่าร้อยปีก่อนที่ชาวอเมริกันใส่หมวก คอร์เซตและสูท ขึ้นไปสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของนวัตกรรมของพวกเขา มวลมนุษย์แบบเราๆ จึงได้สัมผัสถึงความรู้สึกในกระเช้า ที่ไม่ว่าจะขึ้นจากที่ไหนในวันนี้ ก็เหมือนได้กลับสู่ความเป็นเด็ก ไปสู่จินตนาการที่ไม่รู้จบ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้จากเหล็กกล้า ความกล้าหาญและความรู้ทางวิศวกรรม

อ้างอิงข้อมูล

‘สมอทอง’ จากผู้ผลิตน้ำมันปาล์ม สู่การเป็นหุ้น IPO ที่น่าจับตา

ในวันที่น้ำมันปาล์มดิบไม่ได้เป็นแค่วัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหาร แต่ยังเป็นหมุดหมายของความมั่นคงทางพลังงานและเศรษฐกิจไทย หนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ที่กำลังขยับครั้งสำคัญคือ บริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) หรือ SMO 

สมอทองถือเป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มดิบรายสำคัญที่มีประสบการณ์กว่า 15 ปี และเพิ่งยื่นไฟลิ่งเตรียมขายหุ้น IPO กว่า 231.6 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็น 25.17% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขาย โดยมี บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน 

การระดมทุนครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อขยายโรงงาน ปรับปรุงกระบวนการผลิต และต่อยอดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และเสริมความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มดิบของไทย

ที่ผ่านมาสมอทองดำเนินธุรกิจครบวงจร จากพลังงานถึงความมั่นคงทางอาหาร ด้วยดำเนินธุรกิจหลักคือการผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ รวมถึงผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพผ่านบริษัทย่อยอีก 3 แห่ง ได้แก่

  1. บริษัท มิตรประสงค์กรีนเพาเวอร์ จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพ 
  2. บริษัท เอ แอล ปาล์ม จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ และผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่อง และธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพ 
  3. บริษัท ทีมอีโวลูชั่น จำกัด ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 49.44 โดยปัจจุบันยังไม่มีการประกอบธุรกิจ 

ปัจจุบันยังมีโรงงานผลิตรวม 4 แห่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี สระบุรี และชุมพร มีกำลังการผลิตรวม 240 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมง และมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 14.38 เมกะวัตต์ (ตามสัญญาขายไฟฟ้า 12.7 เมกะวัตต์) ซึ่งครอบคลุมจุดยุทธศาสตร์ของอุปทานปาล์มสดที่สำคัญของประเทศ มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของประเทศไทย 

ทั้งหมดนี้ SMO วางตำแหน่งธุรกิจบนพื้นฐานของความได้เปรียบด้านทำเลโรงงานใกล้แหล่งวัตถุดิบและเส้นทางหลัก พร้อมช่องทางจำหน่ายที่ครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้บริษัทยังเป็นสมาชิกของ โต๊ะกลมเพื่อการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน (RSPO) ซึ่งสะท้อนแนวคิดในการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

‘สร้างคอนเทนต์ยังไงให้คนก็รัก AI ก็นำส่ง’ สูตรเข้าใจอัลกอริทึมและคนดูฉบับ Softpomz

ไม่ว่าจะเป็นครีเอเตอร์ อินฟลูเอนเซอร์ หรือจะเป็นเจ้าของกิจการที่หันมาทำคอนเทนต์เอง สิ่งที่ยากในยุคที่แต่ละวันมีคอนเทนต์โผล่ขึ้นมาหลายล้าน และ someone อาจกลายเป็น somebody ได้ในชั่วข้ามคืน คือไม่เพียงจะต้องทำคอนเทนต์ให้ถูกใจลูกค้าหรือแฟนคลับ แต่ยังต้องสร้างสรรค์คอนเทนต์อย่างเข้าใจอัลกอริทึมของแต่ละแพลตฟอร์มให้ได้

ในสัปดาห์ที่ 3 ของ iCreator Camp Gen 2 แคมป์ที่เหล่าคนอยากเป็นครีเอเตอร์ฝีมือเยี่ยมมารวมตัวกัน เข้าสู่หัวใจของ Production & Platform กับเสวนาสุดเข้มข้นโดย ‘ซอฟ–Softpomz’ หรือ รษิกา พาณีวงศ์ ครีเอเตอร์หญิงผู้ผ่านสนามจริงของคอนเทนต์ทั้งสายเล่าสายรีวิวจนเข้าใจอัลกอริทึมของแต่ละแพลตฟอร์มแบบรอบด้าน

ในเซสชั่น ‘Breakthrough Algorithm’ ครั้งนี้ เธอจะพาเราไปดูเบื้องหลังการทำคอนเทนต์ให้ทั้ง ‘คนดูชอบ’ และ ‘แพลตฟอร์มส่ง’ ด้วยเครื่องมือที่ครีเอเตอร์ทุกคนต้องรู้ ซึ่ง Capital สรุปมาให้แล้ว 

📖 เปิดใจให้กว้าง พร้อมเป็นไผ่ลู่ลม : เธอกล่าวว่าไม่ว่าจะทำคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือ อย่ายึดติดกับแพลตฟอร์มนั้นๆ จนเกินไป เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าในโลกคอนเทนต์นั้นทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนเฟซบุ๊กอาจยืนหนึ่ง แต่สมัยนี้โซเชียลมีเดียมีมากมายหลายแบบ หากไม่อาจห้ามคนดูให้กระโดดไปยังน่านน้ำแพลตฟอร์มใหม่ๆ ได้ฉันใด ก็จำเป็นต้องหว่านแหให้คอนเทนต์ของเราขยายวงไกลที่สุดฉันนั้น

สำหรับเธอที่เติบโตจากยุคทีวีมาสู่ยูทูบ แล้วผันตัวมาทำคอนเทนต์วิดีโอสายสั้นแล้วนั้น เธอมองว่าฟังก์ชั่นของวิดีโอแบบยาวและสั้นนั้นต่างกัน ซึ่งทั้งสองแบบนี้ เธอคิดว่าต้องทำควบคู่กันเสมอ นั่นคือ

– long-form วิดีโอแบบยาวทำหน้าที่ลงลึก สื่อสารเนื้อหาที่เป็นรากฐาน สร้างการจดจำกับผู้ชม ซึ่งแม้ปัจจุบันอาจไม่ปังเท่าวิดีโอแบบสั้น แต่ยังคงต้องทำต่อไป เหมือนเป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์ให้ผู้ชมรู้จักและผูกพันกับเรา

– short-form วิดีโอแบบสั้นทำหน้าที่สื่อสารให้เร็วและกว้าง เป็นเหมือนด่านหน้าที่พาคนเข้ามาให้ได้รู้จักเรา 

📖 ซ้ำๆ ย้ำๆ คือเคล็ดลับความสำเร็จ : ในฐานะคนทำคอนเทนต์ เธอกล่าวว่าครีเอเตอร์ทุกคนกำลังแข่งขันกับระบบความจำทั้งของมนุษย์ และ AI เพราะมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ความจำสั้น ในขณะที่ AI นั้นจะประมวลผลทุกอย่างจากความเข้มข้นของข้อมูล หากเธออยากให้คนจดจำว่าเป็นเจ้าแม่การรีวิวของเล่น การทำรีวิวของเล่นแค่ 1-2 วิดีโอคงไม่สามารถทำให้ระบบจดจำเธอได้ 

📖 ซุปวิวดี: เธอเปรียบคอนเทนต์เหมือน ‘ซุปกระป๋อง’ ถ้าอยากขายดี ต้องทำให้ซุปอร่อยก่อน และไม่ว่าจะทำคอนเทนต์ในน่านน้ำไหน ทำแบบยาวหรือแบบสั้น สิ่งสำคัญคือการทำให้คนดูหยุดดูนานที่สุด ทำให้คนรู้สึกสนุกที่สุด ทำให้คนกลับมาดูซ้ำบ่อยที่สุด เปรียบกับการทำร้านอาหาร ที่ถ้าคนนั่งนานร้านก็ขายได้เยอะ อาหารอร่อยร้านก็เป็นที่จดจำ และถ้าคนกลับมาซ้ำ ร้านก็ได้กลุ่มลูกค้าที่การันตีว่าร้านจะอยู่ต่อไปได้ 

เธอยังเปิดวัตถุดิบ หรือองค์ประกอบที่จะทำให้ได้ ‘ซุปวิวดี’ หรือก็คือการทำคอนเทนต์แบบยาวให้โดนใจคน โดนเส้น AI ซึ่งประกอบด้วย 6 ข้อสำคัญ ดังนี้

1️⃣ keyword ต้องระบุคีย์เวิร์ดให้ชัด ทั้งในชื่อคลิป คำบรรยาย ทั้งยังควรติดแท็กที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วย AI แยกหมวดให้ถูก

2️⃣ impression หรือการมองเห็นคลิป คือจำนวนครั้งที่คลิปถูกแสดงให้คนเห็นบนหน้าจอ เช่น บนหน้าแรก YouTube, หน้า For You ของ TikTok, หรือ Feed ของ Facebook แต่ยังไม่ถือว่าคนกดดูหรือยัง

3️⃣ click-through rate หรือ CTR คือยอดคนที่เห็นคลิปแล้วกดดูจริงๆ ซึ่งการที่คนจะกดดูนั้นสัมพันธ์กับความสวยงามและความน่าดึงดูดของปกคลิป หากยอด CTR ต่ำ AI อาจไม่นำส่งคลิป ซึ่งค่า CTR ที่ดีคือ 6.0-8.9% แต่หากสูงเกินไป AI จะเลือกพิจารณาพร้อม AVD หรือค่าเฉลี่ยการดูคลิป เพื่อป้องกันคลิปคลิกเบตที่เนื้อหาอาจไม่มีคุณภาพ

4️⃣ view จำนวนยอดวิวรวมทั้งหมด

5️⃣ average view duration หรือ AVD ที่หากระยะเวลาดูเฉลี่ยยิ่งนาน ก็หมายความว่าคอนเทนต์นั้นยิ่งดี

6️⃣ watch time หรือยอดรวมเวลาที่คนใช้กับคลิป

สำหรับคอนเทนต์แบบสั้น การนับว่าคลิปนั้นๆ คุณภาพดีหรือไม่จะวัดจากเอนเกจเมนต์ ทั้งคอมเมนต์ ไลก์ แชร์ หรือเซฟ แต่หากคอนเทนต์นั้นโดนรีพอร์ต AI จะพิจารณาว่าเป็นคอนเทนต์ที่ไม่ดี เพราะการรีพอร์ตนั้นมีขั้นตอนซับซ้อน หากคนเสียเวลามารีพอร์ตคลิปก็สะท้อนถึงคุณภาพของคลิปได้อย่างดี

📖 อย่างไรก็ตาม หนึ่งในสิ่งที่คนอยากทำคอนเทนต์ประสบปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องแพลตฟอร์มเท่านั้น แต่คือจะทำยังไงให้สร้างสรรค์เนื้อหาได้ถูกจริตตัวเอง และยังโดนใจคนดูด้วย เธอจึงแนะนำว่า ให้เริ่มต้นทำคอนเทนต์จากตัวเรา 

ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ชอบ สิ่งที่ไม่ชอบ สิ่งที่สนใจ สิ่งที่ไม่ถนัด สิ่งที่เชื่อ และสิ่งที่เชี่ยวชาญ ในแต่ละคำถามเหล่านี้ ให้ลองใส่คีย์เวิร์ดในแต่ละข้ออย่างน้อยคำถามละ 5 คีย์เวิร์ด จากนั้น หยิบคีย์เวิร์ดหนึ่งมาประกอบร่างกับคอนเทนต์ ‘What if…’ เช่น ‘จะเกิดอะไรขึ้นถ้า + คีย์เวิร์ด + ทำให้น้อยกว่า, ทำให้ขัดแย้ง, ทำให้เกี่ยวเนื่อง, ทำให้เกิดสิ่งใหม่’

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น หากหยิบคีย์เวิร์ด ‘จัดบ้าน’ มาทำเป็นคอนเทนต์ ด้วยเงื่อนไข ‘ทำให้มากกว่า’

เช่น ลองตั้งต้นว่า ‘จะเกิดอะไรขึ้นถ้าห้องคอนโดมีพื้นที่ใช้สอย 100 ตรม. จากขนาดห้อง 30 ตรม.’ และแปลงเป็นภาษาคอนเทนต์ว่า ‘วิธีเพิ่มขนาดคอนโดให้ใหญ่ขึ้น 120% โดยไม่ต้องซื้อใหม่!’  

ขณะเดียวกันก็ใช้กับเงื่อนไขทำให้เกี่ยวเนื่องได้ เช่น ‘จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุมงบรีโนเวตบ้านได้ งบไม่บานปลาย วัสดุยังคุณภาพดี’ จากนั้นแปลงเป็นภาษาคอนเทนต์ว่า ‘5 สิ่งที่มือใหม่หัดรีโนเวตบ้านควรรู้ไว้งบไม่บาน’

เพียงเท่านี้ ครีเอเตอร์ อินฟลูเอนเซอร์ และเจ้าของธุรกิจทั้งหลายที่ต้องมานั่งทำคอนเทนต์เองก็จะได้กลยุทธ์ไว้ปรับใช้กับช่องตัวเองอีกเพียบ! และทั้งหมดนี้คือคู่มือทำคอนเทนต์จากการสังเกต การทดลอง และการเรียนรู้จริงล้วนๆ ของ Softpomz

GoWabi จากแอพฯ จองตัดผมชาย สู่การเป็นแพลตฟอร์มจองบริการความงามและสุขภาพอันดับ 1 ของไทย

หากต้องการจองนวดสปา หรือใช้บริการความสวยความงามต่างๆ ทุกคนเลือกจองบริการเหล่านั้นด้วยวิธีการไหน 

ก. โทรไปสอบถามคิวกับทางร้านโดยตรง
ข. จองผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย 
ค. จองผ่านแพลตฟอร์มให้บริการการจอง

เชื่อว่าในข้อ ค. นั้น หนึ่งในผู้ให้บริการที่หลายคนน่าจะคุ้นเคย ต้องมีชื่อของ GoWabi แพลตฟอร์มจองบริการความงามและสุขภาพที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2016 อยู่บ้าง เพราะนอกจากจะเป็นแพลตฟอร์มแรกๆ และแทบจะเป็นแพลตฟอร์มเดียวในไทยที่ขึ้นชื่อเรื่องนี้แล้ว แพลตฟอร์มยังใช้งานง่าย มีตัวเลือกหลากหลาย ตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการ

ไม่ว่าจะอยากทำสวย ตรวจสุขภาพ นวดแก้ออฟฟิศซินโดรม หรือจะดริปวิตามิน GoWabi ก็มีพร้อม

จากแพลตฟอร์มที่เริ่มต้นด้วยปัญหาเล็กๆ ของชาวต่างชาติที่อยากตัดผมในไทยแต่จองคิวไม่ได้ อย่างวาดิม เยเรเมฟ CTO & Co-founder และซาเมียร์ เซอร์โร CEO & Co-founder กลายมาเป็น GoWabi ที่คนไทยรู้จักในฐานะ ‘เพื่อนสาว’ ที่ช่วยจองทุกอย่างตั้งแต่นวด สปา ไปจนถึงคลินิกสุขภาพและบริการโรงพยาบาล 

ที่ผ่านมา OR หรือบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ยังลงทุนกับทาง GoWabi เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่สนใจเรื่องสุขภาพ GoWabi จึงไม่ได้แค่เปลี่ยนวิธีจองนัดให้กลายเป็นเรื่องง่ายในแอพฯ แต่ยังเปลี่ยนวิธีคิดของทั้งร้านค้าและลูกค้า ด้วยวิสัยทัศน์ที่ขยายจาก ‘beauty’ สู่ ‘wellness’ 

คอลัมน์ Brand Belief ในครั้งนี้จึงขอพาไปสนทนากับวิภาวี วงศ์สิริศักดิ์ CCO & Co-founder ถึงการทำให้ GoWabi ยังคงยืนหนึ่งได้ด้วยสิ่งที่ไม่มีใครลอกเลียนได้ง่ายๆ ในวันที่ตลาดบริการความงามและสุขภาพแข่งขันกันสูง 

เป็นกลยุทธ์ที่ไม่ซับซ้อนแต่ประกอบด้วยความเข้าใจ ความสัมพันธ์ และการเป็น ‘ตัวช่วย’ ที่ร้านค้าและลูกค้าต่างไว้ใจ 

GoWabi ในวันนี้เติบโตและเป็นที่รู้จักในหมู่คนรักการนวดสปา แต่หากย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น พวกคุณสร้างแบรนด์นี้ขึ้นจากอะไร

เราต้องตั้งต้นก่อนว่าส่วนใหญ่สตาร์ทอัพมักเกิดจากการต้องการแก้ pain point สำหรับ GoWabi pain point ในวันแรกคือ Co-founder 2 ท่าน ซึ่งเป็นคนสวีเดนและรัสเซีย เขามีปัญหาการจองตัดผมในไทย คือโทรไปจองตัดผมแล้วไม่ได้คิวสักที คือในต่างประเทศเขาจะมีเว็บให้จองกันง่ายๆ แต่ในไทยไม่ได้มีแบบนั้น

เขารู้สึกว่าทำไมการจองมันยากจัง ทั้งระบบ ทั้งภาษา คือฉันไม่ได้อยากจะคุยกับใคร ฉันแค่อยากจะตัดผมให้มันสั้นขึ้น เขาเลยสร้างแพลตฟอร์มนี้ขึ้นมา

ค่อนข้างแตกต่างจากปัจจุบันที่ภาพลักษณ์คือแอพฯ จองนวดสปาและเป็นที่รู้จักในหมู่ผู้หญิงมากกว่า

ใช่ ตอนแรกกลุ่มลูกค้าหลักคือผู้ชาย เพราะคนก่อตั้งเป็นเขา 2 คนไง แต่มันมีจุดตันคือตัดผมผู้ชาย แพงสุดก็ 900 บาทในยุคนั้น มันต่อยอดไปทำอย่างอื่นไม่ค่อยได้เพราะธรรมชาติของผู้ชายเขาไม่ได้ใช้เงินกับเรื่องเหล่านี้เหมือนผู้หญิง

ตอนนั้นที่เราเข้ามา เราเลยกลับมามองที่คอนเซปต์ของแอพฯ เราเป็นแอพฯ ที่เกี่ยวกับ ‘beauty’ แล้วคำคำนี้มันหมายความว่าอะไรได้บ้าง มันได้ทั้ง beauty ภายในและภายนอกนะ มันขยายไปเรื่องความผ่อนคลาย ความสบายได้ เราก็เลยนึกถึงการนวดและการเข้าสปา เพราะจริงๆ มันเป็นบริการที่ unisex เพศไหนจะใช้บริการก็ได้ จากที่แต่เดิมที่เป็นแค่ร้านตัดผมเลยเริ่มดึงร้านนวดสปาเข้ามา

ความยากในตอนนั้นคืออะไร เมื่อคนน่าจะยังไม่เข้าใจคอนเซปต์การจองผ่านแอพฯ มากนัก

เราคิดแทนเขาหมดเลย คิดแทนร้านค้า อย่างเช่นร้านค้าจะบันทึกคิวการใช้บริการด้วยการจดลงสมุดใช่ไหม แต่เราว่ามันโบราณมากเลย เราอยากจะเปลี่ยนคอมมิวนิตี้นี้ เราอยากให้ใช้ระบบการจัดการจองเพราะเรามีระบบหลังบ้าน สมมติเราเป็นร้านค้าเราก็เข้าไประบบหลังบ้าน ล็อกวันและเวลาจองได้เลย 

แต่สรุปก็คือไม่มีคนใช้ เพราะอะไร เพราะมันยาก มันซับซ้อน ก็ยังใช้เป็นกระดาษอยู่ เพราะฉะนั้น แรกๆ ก็เรียนรู้ว่าเราไม่ควรคิดอะไรที่เรายังไม่ได้ถามเขา คือร้านยังไม่พร้อมด้วยซ้ำ หรือการดู sales report คุณดูผ่านระบบหลังบ้านได้ว่าอะไรขายดีในช่วงเวลาไหน มันอยู่ในนั้นหมดเลย 

ถ้าให้สรุปคือช่วงนั้น ความยากมันคือการ educate ร้านค้าว่าทุกครั้งที่มีการจองมา เรามี partner app ให้เขาดูจากระบบหลังบ้านได้เลยนะ รวมถึงเราต้องฟังเขาแล้วค่อยๆ มาปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ  

ช่วงแรก คุณหาพาร์ตเนอร์ร้านยังไง

คือแต่ก่อนมันจะมี Ensogo ซึ่งเป็นอีคอมเมิร์ซรายแรกๆ ที่ขายพวกเวาเชอร์ต่างๆ ขายกระติกน้ำ ขายดีลคลินิก ขายกระเป๋า แต่มันก็ปิดตัวไป เลยเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีสำหรับร้านค้า ว่า GoWabi จะเหมือน Ensogo หรือเปล่า จะบังคับให้ลดราคา 50% หรือเปล่า

เราเองตอนแรกๆ มาเป็นเซลส์ ก็ต้องไปตามร้านค้าและอธิบายให้เขาฟังว่าคอนเซปต์ของเราคือถ้าคุณลงกับเราแล้วไม่มีคนจองมาเลย คุณก็ไม่ต้องเสียอะไรเลยนะ แต่สมมติลูกค้าจองเข้ามาด้วยบริการ 100 บาท เราขอหัก 20 บาทได้ไหม ซึ่งนอกจากคุณจะไม่ต้องเสียต้นทุนไปก่อนที่คนจะจองแล้ว เวลาคุณมาลงร้านกับเราลูกค้าก็จะเห็นร้านคุณและอาจติดต่อผ่านช่องทางติดต่อของคุณเองโดยไม่ได้ผ่านเราก็ได้นะ

ช่วงแรกก็ต้องเอาเจ้าใหญ่ๆ มาลงก่อน เช่น Let’s Relax หรือ PAÑPURI พอเอาร้านใหญ่เข้ามา ได้ ร้านเล็กๆ ก็เริ่มเชื่อมั่นในแพลตฟอร์มมากขึ้น

เหมือนเป็นผู้ช่วยให้ร้านค้าได้มีเวทีหรือช่องทางเจอลูกค้ามากขึ้น

ใช่ แต่มันก็ท้าทายอยู่เหมือนกัน คือบางทีรายเล็กๆ ก็จะบอกว่าอุ๊ย เรามีแต่เชนใหญ่ๆ แล้วเขาจะไปสู้ได้เหรอ เราก็ต้องสื่อสารว่าไม่ใช่แบบนั้นนะ คนใช้บริการเนี่ย บางวันเขาก็ไม่ได้อยากไป Let’s Relax ตลอด บางครั้งเขาก็อยากได้ร้านชิคๆ บางครั้งก็อยากไปร้านแนวบูทีกๆ 

แล้วเราก็พยายามเพิ่มฟีเจอร์ในแอพฯ เพื่อช่วยให้ร้านขายได้ เช่น ฟีเจอร์ near me สมมติอยู่แถวทองหล่อ พอกด near me ปุ๊บ แอพฯ ก็จะขึ้นว่าภายใน 1 กิโลเมตรใกล้เรามีร้านอะไรบ้าง เพื่อให้ระหว่างเขาพักเบรกช่วงกลางวัน เขาอาจจะออกไปทำเล็บแล้วค่อยกลับมาทำงานได้ หรือบางทีก็มีเแคมเปญที่ให้โปรโมชั่นส่วนลด 

แทนที่ร้านจะขายบอดี้สครับอย่างเดียว ลองทำเป็นบริการนวดอโรม่าพร้อมบอดี้สครับไหม นอกจากร้านได้เงินมากขึ้น มันเป็นการเพิ่ม value ให้ทางร้านด้วย แม้กระทั่งรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ เช่น ร้านตั้งอยู่ในโลเคชั่นไหน รูปควรจะเลือกรูปแบบไหน คำบรรยายต้องเป็นยังไง ร้านนวดไทยมีเป็นร้อยร้าน คุณจะชนะร้านอื่นได้ยังไง ทำไมบางร้านนวดไทยตั้ง 1,000-2,000 แต่เขาขายได้ บางทีมันอยู่ที่การบรรยายด้วย

เราพยายามทำให้ร้านรู้สึกว่าเราเป็นมากกว่าตัวกลาง แทนที่จะไปยิงแอดผ่านโซเชียลมีเดียซึ่งไม่รู้มันจะได้ผลไหม คุณมาลงกับ GoWabi คุณไม่เสียเงินนะถ้ายังไม่มีคนจอง เราเหมือนเป็นที่ปรึกษาที่ช่วยคุณ และเงินที่หักไปก็คือการพัฒนาแอพพลิเคชั่นให้มันตอบโจทย์ทั้งร้านและลูกค้า เราไม่ได้แค่หัก 20% ไปเปล่าๆ แต่เราเอาต้นทุนตรงนั้นไปทำการตลาดให้เขา เราเอาไปยิงโฆษณา บางทีก็ไปดีลกับบล็อกเกอร์เพื่อให้ไปรีวิวร้าน  

จากแอพฯ จองตัดผม จองนวดสปา ทุกวันนี้ GoWabi มีบริการหลากหลายมาก คุณเห็นอะไรในตลาดนี้

พอเราเข้ามาทำงานที่นี่ เราก็เป็นผู้หญิง เป็นคนไทย เราเห็นคลินิกอยู่ตามท้องถนนทุกมุมเลยรู้สึกว่าคลินิกมันคือส่วนหนึ่งของคำว่า beauty นะ เลยเริ่มเข้าคลินิก แล้วพออยู่ในวงการนี้ไปเรื่อยๆ เราเริ่มเข้าใจว่าบางทีไม่ใช่ว่าจะต้องเข้าคลินิกเพื่อให้หน้าตึงตลอดเวลา แต่บางทีมันคือการ maintain ผิวหน้าและร่างกาย มันเหมือนเป็นการดูแลตัวเอง มันไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงามที่เป็นหน้าตาแต่มันเป็นเรื่องความมั่นใจ

พอเริ่มมีคลินิกเลยนึกถึงความสวยงามทั่วไปว่ามันมีอะไรบ้างล่ะ มีทำเล็บ ต่อขนตา ตัดผมผู้หญิง ดัดผม ทำสี เริ่มขยายไปเรื่อยๆ จนตอนนี้พยายามมุ่งไปฝั่งของโรงพยาบาลมากขึ้น เพราะหนึ่ง–เป็นบริการที่ใครก็จองได้ สอง–เทรนด์ตอนนี้คนไม่ได้เข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาเท่านั้นแต่เราเข้าไปเพื่อป้องกัน 

ไม่ว่าจะบริการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก บริการตรวจสุขภาพ เพราะเทรนด์ทุกวันนี้คือการดูแลตัวเองให้ร่างกายแข็งแรงซึ่งมันก็เป็นหมวดหมู่ Beauty and Wellness

แต่ถามว่าตอนแรกเรารู้ไหมว่าต้องเอาอะไรเข้ามา ไม่รู้หรอกเราก็เอาเข้ามาหมดเพราะเราไม่มีข้อมูล อันไหนดีก็ขายต่อ อันไหนไม่ดีก็บ๊ายบาย แต่พอมันผ่านมา 9 ปีก็เริ่มมีข้อมูลแล้ว เช่น บริการกำจัดขนส่วนไหนขายดี คลินิกไหนได้รับความนิยม  

หรือตอนนี้เราก็มีข้อมูลแล้วว่า 85% ของผู้ใช้งานคือผู้หญิง แต่ถามว่ามันละเอียดมากไหมในเรื่องเพศก็อาจจะไม่ได้ขนาดนั้น เพราะบางทีผู้หญิงเขาซื้อให้แฟนก็มี  

GoWabi ค่อนข้างเข้าใจพาร์ตเนอร์ร้านค้ามาก กลับกัน ในฝั่งผู้ใช้บริการ คุณทำยังไงให้ลูกค้าใช้ GoWabi แทนที่จะไปจองเอง หรือไปใช้แพลตฟอร์มอื่น

อย่างแรก จำนวนของร้านค้าต้องมีเยอะและหลากหลาย เรารู้สึกว่าถ้าร้านไม่เยอะ ลูกค้าคงไม่อยากเข้ามา เขาไปหาเองก็ได้มั้ง ดังนั้นร้านค้าตามเส้น BTS เส้น MRT เราต้อง cover ให้มากที่สุด 

อย่างที่สอง เรื่องราคา เราต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราถูกที่สุด ดีที่สุด อย่างที่สาม คือเราต้องทำให้เขากลับมาใช้ซ้ำได้ ดังนั้นเราเลยมี loyalty program เช่น ทุกครั้งที่จองบริการ ฉันก็ได้ cashback กลับมาซื้ออีก แล้วเรายังมีฟีเจอร์ให้ลูกค้ารีวิวซึ่งมันเป็นรีวิวจากลูกค้า 100% เลยนะ ดังนั้นมันเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ร้านและลูกค้ามากขึ้นด้วย  

ก่อนประสบความสำเร็จเช่นทุกวันนี้ GoWabi เคยเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบากบ้างหรือเปล่า  

ช่วงโควิด-19 เลย คลินิก สปาถูกปิด เป็นช่วง 2 ปีที่ค่อนข้างจะวิกฤตสุดๆ 

ธุรกิจเราขึ้นกับอันนี้หมดเลย พอรัฐบาลสั่งปิดแล้วเราจะเอาเงินจากไหน แต่โชคดีที่เราไม่ layoff แต่เราก็แจ้งไปตามตรงว่าเรามีหักเงินนะ บางคนก็ยังอยู่ บางคนก็ออกไปบริษัทที่เขาไม่หัก เราก็เข้าใจ

แต่ตอนนี้สิ่งที่เราเห็นคือช่วงแรกๆ การตรวจโควิดมันยากเหมือนกัน ต้องจองคิวในโรงพยายาล แต่โรงพยาบาลก็เต็ม เราเลยมีไอเดียว่าเรามีพาร์ตเนอร์ที่เป็นคลินิกซึ่งเขามีพื้นที่ มีพยาบาล มีลานจอดรถ งั้นเราดีลกับคลินิก 45-50 ที่ เพื่อเปิดให้บริการตรวจโควิดแบบ swab test ATK แล้วก็ขายใน GoWabi 

แต่สิ่งที่เราโชคดีอย่างหนึ่งคือ เราโชคดีที่ 80% ของลูกค้า GoWabi เป็นคนไทย เพราะฉะนั้นเราเลยไม่ต้องพึ่งพาชาวต่างชาติมากนัก เพราะช่วงนั้นต่างชาติก็บินมาไม่ได้ เราเลยทำ Voucher Buy now, Use Later ที่ร้านก็จะให้ราคาถูก เหมือนขายเพื่อเอาเงินมาก่อน 

ในขณะเดียวกันเราก็ทำบริการกู้ให้ร้านค้า เพราะเราก็รู้อยู่แล้วว่าร้าน A ปกติขายได้เดือนละหมื่น เพราะฉะนั้นเราก็ให้กู้ประมาณ 5,000 แล้วคิดดอกเบี้ยโดยที่ไม่ต้องใช้เอกสาร เพราะเรามีข้อมูลอยู่แล้ว ถามว่ามันดียังไง ทั้งเวาเชอร์ ทั้งการกู้ยืม เพราะร้านก็ยังต้องดูแลลูกน้อง เช่น การันตีรายได้ของหมอนวด แต่เขาก็ไม่รู้จะหาเงินจากไหน 

อีกวิธีคือพยายามติดต่อโรงแรมเพื่อทำ package staycation เรียกว่าเราพยายามหา target คนไทยให้ได้มากที่สุด  

ในฐานะที่เป็นเจ้านาย เป็นพี่ๆ ของน้องในทีม คิดว่าทักษะอะไรที่ทำให้คุณผ่านช่วงเวลานั้นมาได้

เรารู้สึกว่าการสื่อสารกับคนในทีม กับ positive thinking สำคัญ

ทั้งๆ ที่เราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะผ่านไป แต่ถ้าเราดาวน์ ทีมคงรู้สึกไม่มั่นคง  

แล้วโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมของคนไทยเปลี่ยนไปยังไงบ้าง ในมุมของผู้ให้บริการจองสุขภาพและความงาม

ในเชิงเศรษฐกิจ เราว่าคนไทยระมัดระวังเรื่องการใช้เงินมากขึ้น แต่ก่อนมันคือราคาถูกก็ซื้อๆ ไปก่อน แต่ตอนนี้คนจะคิดว่าถ้าฉันจะซื้ออันนี้เขาจะไปวันไหน ได้ใช้จริงไหม ฉะนั้นเวลาออกโปรโมชั่น เราต้องคิดว่าคนเขาต้องการอะไร อย่างตอนนี้หมวดหมู่คลินิกค่อนข้างเยอะ เราก็จะเน้นขายของราคาสูง ของที่เน้นเทคโนโลยีไปเลย เพราะลูกค้าจะรู้สึกว่าเขาจ่ายไปแล้วมันคุ้ม  

ในเชิงบริการ เดี๋ยวนี้มันมีทางเลือกเยอะมากในการดูแลตัวเอง สมมติร้านตัดผมไม่ได้มีแค่ตัดผมแล้ว มันมีสปาผม สปาหู สลายขี้ไคล สระผมเวียดนาม นวดศีรษะอินเดีย มันจะมีมาเรื่อยๆ หน้าที่เราคือ educate ว่าสิ่งนี้เราทำไปเพื่ออะไร มันดียังไง ข้อดี-ข้อเสียคืออะไร หรือถ้าเราเป็นออฟฟิศซินโดรม มันไม่ได้มีแค่นวดแล้วนะ มันยังมีครอบแก้ว ฝังเข็ม เผายา  

อีกอย่าง คือเรื่องการทำหัตถการสมัยนี้มันเป็นเรื่องที่คนเปิดเผยกันได้ แต่ก่อนดาราจะบอกว่าไม่ได้ทำหน้าค่ะ แต่เดี๋ยวนี้เขาก็จะบอกว่าทำที่ไหน มันทำให้คนทำงานสนุกกับการทำคอนเทนต์ อย่างเราเองออกกำลังกายเยอะ แต่ก่อนไม่ค่อยเข้าใจว่าเราจะทำหัตถการไปทำไม แต่พอเราไปเจอหมอแต่ละคนที่เขาให้ข้อมูลเชิงลึก เราถึงได้เข้าใจว่าจริงๆ มันไม่ใช่แค่เรื่องการทำให้เราสวย แต่มันคือการป้องกัน

แต่ก่อนเวลาเราโปรโมตอะไร เราจะนึกถึงแต่ดาราตัวท็อป แต่เทรนด์ตอนนี้ทุกคนเป็น somebody ได้ แล้วมันดูจริงกว่า เขาซื้อได้ เราก็ซื้อได้ ฟีดแบ็กจะต่างกับการใช้ดาราใหญ่ เพราะมันเหมือนว่าดาราเขาสวยอยู่แล้ว แล้วเราไปทำมันคงไม่ดีเท่า

เหมือนกับว่ายังมีโอกาสและพื้นที่ให้ GoWabi เข้าไปลองเข้าไปเล่นอีกเยอะ 

มันไปได้กว้างมาก 

เมื่อต้นปีเราเพิ่งออกระบบ POS สำหรับร้านค้า คือไม่ว่าลูกค้าจะมาจากช่องทางไหน ทั้ง GoWabi, Facebook, IG หรือวอล์กอิน ร้านสามารถ gererate link แล้วส่งเข้าไปใน Line Official ได้ ลูกค้าจองวันเวลาบริการที่ต้องการได้ มัดจำก็ทำได้ 

แม้กระทั่งลูกค้าทำเล็บมือ-เท้า มีช่าง 2 คน ก็แบ่ง commission ได้ หรือ sales report ที่อยากทราบยอดขายแต่ละเดือน บริการอะไรขายดีที่สุด ราคาไหนที่เท่าไหร่เราสามารถทำได้ในทีเดียว นอกจากนี้ยังเพิ่มประวัติของลูกค้าได้ ว่าลูกค้าไหนชอบหมอคนไหน ชอบนวดแบบไหน หรือระบบ CRM  เช่น เดือนเกิดของลูกค้าก็ส่ง SMS หรือ Line มอบส่วนลดเพิ่ม 10% ได้ ซึ่งเป็นส่วนที่แยกกับ GoWabi ถ้าร้านค้าอยากได้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 

อย่างตอนนี้เราอยากเป็นเหมือนทินเดอร์ของโรงพยาบาล (หัวเราะ) เช่น มันพอจะนัดทำศัลยกรรม เลสิก หรือโรคที่ไม่ต้องผ่าตัดด่วนได้ไหม หรือสมมติถ้าเราอยากทำทัวร์ศัลยกรรมเกาหลี แล้วเราไปดีลกับเอเจนต์เกาหลีได้หรือเปล่า อีกเรื่องที่เริ่มทำแต่ยังไม่ได้เน้นมากคือสัตว์เลี้ยง เช่น ดึงสปาสัตว์เลี้ยง โรงแรมสัตว์เลี้ยงเข้ามาในแพลตฟอร์มของเรา 

หรือว่าจะเป็นคอมมิวนิตี้ที่อยู่ใน GoWabi ให้ลูกค้าโพสต์รูปได้ว่าเขาไปทำบริการอะไรมา ระบบหลังบ้านก็จะมีการติดตามข้อมูลแล้วให้ badge กับเขา เช่น ถ้าเราไปทำเล็บมาทุกเดือน ร้าน A B C รูปโปรไฟล์ของเราก็จะมี badge การทำเล็บให้คนติดตามได้ 

เราสามารถเอา badge นี้ไปขายร้านได้ว่าคนคนนี้เป็นอินฟลูเอนเซอร์เรื่องทำเล็บใน GoWabi นะ ลอง offer service ให้เขา แล้ว generate affiliate link ให้ไหม เพื่อดึงให้คนมาใช้บริการต่อ ที่จริงเรายังมี GoWabi blog ที่ใช้สื่อสารกับลูกค้าด้วยว่าบริการต่างๆ ของเรามีอะไรบ้าง เขามีตัวเลือกอะไรให้ได้ดูแลตัวเองอีก

คุณคิดฟีเจอร์พวกนี้ได้ยังไง  

เราแค่คิดว่า “ทำไมไม่ทำให้มันเยอะได้มากกว่านี้” ทุกวันนี้มีรูป แล้วมันยังไงต่อ เราสามารถทำอะไรกับรูปได้มั้ย เช่น ตอนนี้ถ้าใครโพสต์รูป ก็จะได้ cashback เยอะกว่า 

หรือล่าสุด เราก็มี Top Rated หมวดสปายอดเยี่ยม หมวดอโรม่ายอดเยี่ยม ปีแรกๆ เราก็ยังงบน้อย ตระเวนไปตามร้านแล้วถ่ายรูปให้รางวัล ซึ่งร้านเล็กๆ เขา appreciate สิ่งนี้นะ เพราะเขาสามารถชนะหลายๆ ร้านที่อยู่ในหมวดเดียวกันได้ แล้วเราก็จัดมาทุกปี ปีที่แล้วเป็นปีแรกที่จัดงานแบบออฟไลน์ 

เรารู้สึกว่าเป็นคอมมิวนิตี้ที่อบอุ่นจัง แต่ละโรงแรม แต่ละร้านค้าได้มารวมตัวพูดคุยกัน แล้วเราก็ได้ฟีดแบ็กจากทางร้าน ได้เห็นร้านเวลาขึ้นไปพูดขอบคุณ ว่าเขาโตมากับ GoWabi ได้แก้ปัญหาโควิดด้วยกัน จนเหมือนเป็นเพื่อนกัน บางทีร้านค้าก็ปรึกษาเราในมุมว่าอยากเปิดสาขาใหม่ควรไปที่ไหน เราก็พร้อมให้คำปรึกษากับเขาเพราะเรามีข้อมูลในมือ

แล้วในตลาดนี้มีผู้เล่นอื่นนอกจาก GoWabi ไหม 

ไม่ได้เป็น direct competitor แต่เราเรียกเป็น player มากกว่า เพราะบางเจ้าเขาเน้นไปที่การจองบริการสุขภาพอย่างเดียว บางเจ้าเน้นไปที่การซื้อบัตรเข้างานหรือสวนสนุก ถามว่าเขามีส่วนที่เป็นสปาหรือคลินิกไหมก็มีนะ แต่ไม่ได้มีมากเท่าเรา

เรียกว่ามันไม่ได้มีอะไรที่เหมือนกับเรา แบบเป็นแอปเปิลกับแอปเปิลขนาดนั้น

คิดว่าเหตุผลอะไรถึงไม่มีผู้เล่นใน segment เดียวกันขนาดนั้น  

เราเชื่อเรื่องความสัมพันธ์ที่เรามีต่อร้านค้า ถ้าร้านค้ามีอะไรเขาก็จะบอกเรา ที่ผ่านมา รานก็บอกว่าเขาขายกับเราได้เยอะแล้ว เขาไม่ได้อยากไปลงแพลตฟอร์มอื่นเพราะลงหลายแอพฯ มันก็ต้องทำโอเปอเรชั่นลายแอพฯ เราเลยรู้สึกอุ่นใจว่าเรายังเป็นนัมเบอร์วันในใจเขาอยู่

อะไรทำให้ GoWabi เติบโตและอยู่มาได้กว่า 10 ปี 

เราต้องขอบคุณพาร์ตเนอร์ที่เขาอยู่กับเรา โปรโมชั่นที่เขาให้เรา ทุกอย่างเขาไว้ใจเรา และลูกค้าเองเราก็แบ่ง loyalty tier อย่าง diamond คือคนที่ใช้ GoWabi 20k ต่อปีจะได้สิทธิพิเศษ เช่น cashback 5% มีส่วนลด เลยทำให้ลูกค้าอยู่กับเรา หรือเวลาลูกค้าซื้อบริการราคาสูง เราก็มีบริการผ่อนได้ผ่าน GoWabi โดยที่ร้านไม่ต้องเสียค่า fee ลูกค้าก็เลือกได้ว่าอยากผ่อนกี่เดือน  

เรียกว่าเราเป็นธุรกิจที่ต้องพยายามมองตลอดเวลาว่าเขาต้องการอะไร  

มีสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำในธุรกิจนี้บ้างไหม

สิ่งที่เราขายควรเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะว่ามันเล่นกับเรื่องร่างกาย บางทีเราลองไปเป็นลูกค้า เนียนไปดูว่ามีอะไรแอบแฝงมั้ย คือเราอยากลองทำทุกอย่าง แต่ถ้าอันไหนไม่เวิร์กก็ปล่อย  

อยากให้ร้านค้าและลูกค้ามอง GoWabi ในภาพไหน  

อยากให้มองเป็นเพื่อนสาว เหมือนว่าถ้าคิดไม่ออกก็ถามเพื่อนสาว อยากสวยถามเพื่อนสาว อยากหายปวดเมื่อยก็ถามเพื่อนสาว เราอยากเป็นแบบนั้น เพราะสุดท้ายแล้ว GoWabi เชื่อว่าทุกคนอยากดูดีทั้งร่างกายและจิตใจ ฉะนั้นเราอยากเป็นคนคอยซัพพอร์ต ให้เขามี good day ในแต่ละวัน