Wheel of Fortune
คุณมีหอไอเฟล ฉันมีชิงช้าสวรรค์ นวัตกรรมแห่งฤดูร้อนและนวัตกรรมที่แสนจะอเมริกัน
คอลัมน์ทรัพย์คัลเจอร์พูดถึงงานเอกซ์โป บ่อยครั้ง ส่วนใหญ่เราจะพูดถึงนวัตกรรมที่เกิดขึ้นในงานเอกซ์โป ในแต่ละครั้ง แล้วเชื่อมโยงไปยังบริบทของเมืองหรือประเทศหนึ่งๆ
แต่หากนึกภาพว่างานนี้เป็นงานที่จัดต่อเนื่องกันเป็นวาระทุกๆ 5 ปี มีการสับเปลี่ยนเจ้าภาพ หลายงานก็เกิดผลงานลือลั่นขึ้น ดังนั้นจึงเริ่มเกิด ‘ความขิง’ หรือเกิดอาการไม่ยอมน้อยหน้ากันของประเทศเจ้าภาพ
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ช่วงที่โลกเริ่มคึกคักทั้งจากความก้าวหน้าและการประชันความยิ่งใหญ่ในงานเอกซ์โป ในช่วงนั้นมีมหาอำนาจสองชาติซึ่งอันที่จริงรักกันเป็นอย่างยิ่ง และมีความเชื่อมโยงกับงานเอกซ์โปทั้งทางตรงและทางอ้อม นั่นก็คือสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส
ทั้งฝรั่งเศสและอเมริกาต่างชื่นชมซึ่งกันและกันทั้งในการประกาศอิสรภาพหรือการปฏิวัติฝรั่งเศส
หนึ่งในตัวแทนสัมพันธไมตรีคือการที่ฝรั่งเศสลงทุนสร้างอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพยักษ์ และมอบเป็นของขวัญให้กับอเมริกา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวแทนของการผสมผสานประติมากรรมที่ใช้นวัตกรรมเป็นโครงสร้างเหล็กมาสร้างอนุสาวรีย์ยักษ์ที่ถอดเป็นสามชิ้นได้ และมีน้ำหนักเบาพอที่จะขนย้ายไปประกอบได้
ผู้ที่รับผิดชอบด้านเทคนิคการสร้างโดยใช้โครงสร้างเหล็กนั้น คือชายที่ชื่อว่า กุสตาฟ ไอเฟล ที่รับผิดชอบการก่อสร้างหอไอเฟลนั้นเอง
เรื่องราวคือเมื่อปารีสจะจัดงานเอกซ์โปซึ่งตรงกับการฉลองร้อยปีปฏิวัติฝรั่งเศส Gustave Eiffel ชนะการประกวดแบบและสร้างหอไอเฟลจนกลายเป็นสุดยอดสัญลักษณ์ของสถาปัตยกรรม แสงไฟจากหอไอเฟลทำให้ปารีสกลายเป็นเมืองแห่งแสงสว่างจวบจนทุกวันนี้
คำถามคือเมื่อปารีสสร้างตำนานด้วยหอคอยเหล็กขนาดมหึมาใน ค.ศ. 1889 แล้ว อเมริกาที่รับไม้ต่อจัดงานชิคาโกเวิลด์แฟร์ (Chicago World’s Fair) จะทำอะไรให้ยิ่งใหญ่เทียบเท่าหรือมากกว่าได้
ข้อสรุปของสิ่งที่จะเป็นหัวใจของเอกซ์โปที่ชิคาโกในครั้งนั้น ถือว่าก้าวล้ำและมหัศจรรย์มาก คือการที่วิศวกรหนุ่มเสนอให้สร้าง ‘ชิงช้าสวรรค์’ เป็นโครงสร้างเหล็กขนาดยักษ์ที่หมุนและพาผู้คนขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ ซึ่งเจ้าชิงช้าสวรรค์นี้ก็ค่อนข้างสะท้อนตัวตนของอเมริกันชน การเฉลิมฉลองในพื้นที่กลางแจ้ง และความเป็นอิสระของฤดูร้อน และกลายเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมอเมริกันซึ่งก็คือคณะละครสัตว์ สวนสนุกและการจัดงานคาร์นิวัล (carnival)

‘ใหม่ เป็นตัวเอง และเป็นที่รัก’
ย้อนไปใน ค.ศ. 1890 ขณะนั้นชิคาโก วางพื้นที่จัดงานเอกซ์โปไว้เป็นพื้นที่โล่งๆ ริมน้ำ ซึ่งที่โล่งนั้นอันที่จริงเป็นดินโคลน และเป็นพื้นที่ที่วางไว้เพื่อพัฒนาสวนที่เน้นการออกแบบที่มีน้ำเป็นหัวใจ
ขณะนั้นสถาปนิกคนสำคัญคือ Daniel Burnham ผู้รับผิดชอบแปลงโฉมพื้นที่เฉอะแฉะให้กลายเป็นสุดยอดชิ้นงานระดับโลก หัวข้อสำคัญที่หัวกะทิของอเมริกามารวมกันในครั้งนั้น คืออเมริกาจะเอาอะไรไปสู้หอไอเฟลดี
ความสนุกของการถกเถียงคือ การลงทุนในครั้งนั้นทางอเมริกาบอกว่าใส่ได้ไม่ยั้ง ไม่ต้องกั๊ก ซึ่งไอเดียที่ได้นั้นมีมากมาย มีกระทั่งการเสนอให้สร้างหอคอยมีรางจากรถไฟ แต่ใช้เลื่อนเพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้ไถลไปตามรางลงจากหอคอย หรือข้อเสนอสุดล้ำที่ให้มัดรถยนต์เข้ากับยางยืดหนาๆ แล้วโยนลงคล้ายกับบันจี้จัมป์
เป็นที่น่าสนใจว่า อเมริกันชนหยิบเอาอุตสาหกรรมของตัวเองทั้งรถไฟ ยาง รถยนต์แล้วตีความให้กลายเป็นเหมือนเครื่องเล่นที่เราพบเจอได้ในสวนสนุกปัจจุบัน ในครั้งนั้นกระทั่งกุสตาฟ ไอเฟล เองก็มาเสนอให้สร้างหอคอยที่ใหญ่กว่าหอไอเฟล
แน่นอนว่ายังไม่มีคำตอบที่ดีพอ ทางแดเนียล เบิร์นแฮม จึงแนะแนวทางเพิ่มคือ ผลงานของอเมริกาในครั้งนี้จะต้อง ‘สดใหม่ ไม่ซ้ำใคร เป็นที่รัก และเฉพาะตัว (something novel, original, daring and unique)’ ซึ่งคำที่น่าสนใจคือคำว่าเป็นที่รักหรือเป็นที่ชื่นชอบ (daring)
ตอนนั้นเองที่ในบรรดาช่าง วิศวกร ผู้เชี่ยวชาญ สถาปนิกที่เข้ามามีหน้าที่ต่างกันไป George Washington Gale Ferris Jr. สถาปนิกวัย 33 ปี ที่ทำหน้าที่ตรวจเหล็กที่จะใช้ในงานแฟร์ ลงมือวาดแบบ ‘วงล้อเหล็ก’ ขนาดยักษ์ ที่ตัวแกนึกภาพเหมือนล้อจักรยานขนาดมหึมาที่หมุนได้ขึ้น
ความรู้สึกของการขึ้นสู่ท้องฟ้า
จินตนาการของเฟอร์ริสในครั้งแรกถูกปฏิเสธ
แนวคิดในการสร้างครั้งแรกค่อนข้างซับซ้อน คล้ายกับการสร้างแป้นและล้อจักรยานสองวงล้อที่ทำงานต่อเนื่องกัน เบิร์นแฮม ตอบกับเฟอร์ริสว่ามัน ‘เปราะบางเกินไป’ และในปลาย ค.ศ. 1890 วงล้อยักษ์ก็เป็นหมันไป
อันที่จริงคุณเฟอร์ริส เป็นอีกหนึ่งนักคิด วิศวกรและผู้ประกอบการ หน้าที่ในการมาตรวจเหล็กของแก มาจากการที่ตัวแกจบด้านวิศวกรรม สนใจการสร้างสะพานและมองเห็นว่าหลังจากนี้โครงสร้างเหล็กจะสำคัญ บริษัทของเฟอร์ริสที่ก่อตั้งขึ้นตอนแรกจึงก่อตั้งขึ้นเพื่อรับทดสอบโครงสร้างเหล็กสำหรับรางรถไฟและสะพานต่างๆ

และความเป็นคนไม่ยอม ตัวคุณเฟอร์ริสถึงขนาดวาดแบบขึ้นใหม่ ตัวเขาเองควักเงิน 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลงทุนทดสอบความปลอดภัย ทั้งยังเอาแบบไปปรึกษากับวิศวกรที่เก่งที่สุดในขณะนั้น แถมด้วยการไปหานายธนาคาร กลายเป็นว่าตัวแกเองสร้างทีมและเกิดเป็นบริษัท The Ferris Company and the Ferris Wheel ที่มาพร้อมเงินลงทุนในการสร้างชิงช้าสวรรค์เหล็กของตัวเองจำนวน 400,000 ดอลลาร์สหรัฐ
จากแนวคิดที่แม้แต่เหล่าสถาปนิกยังหวาดกลัว คือการสร้างวงล้อยักษ์สูงเท่าตึก 26 ชั้น พร้อมด้วยหอคอย จากความคิดที่ว่าไม่มีใครจะขึ้นไปบนนั้น ในที่สุด ข้อเสนอการสร้างชิงช้าสวรรค์สำหรับเวิลด์แฟร์ที่ชิคาโกก็ได้รับอนุมัติให้สร้างในปลาย ค.ศ. 1892 จนเจ้าล้อหมุนยักษ์เริ่มหมุนจริงราวเจ็ดสัปดาห์หลังงานเวิลด์แฟร์เปิดอย่างเป็นทางการ
ลองนึกภาพความบ้าคลั่งของการสร้างเจ้าวงล้อจากเหล็กและงานออกแบบที่สลับซับซ้อน ตัวชิงช้าสูงเท่าๆ กับตึกระฟ้าของชิคาโกในขณะนั้น วงล้อมีความสูง 264 ฟุต โดยตัววงล้อแขวนกระเช้าที่ทำด้วยไม้ 36 กล่อง ซึ่งแต่ละกล่องไม่ได้มีขนาดเล็กๆ โดยรวมแล้วตัวชิงช้าสวรรค์ยักษ์ต้นแบบนี้จะจุคนได้ราว 2,100 คน ในช่วงเวลาที่คนเยอะๆ อาจมีผู้คนอยู่บนกระเช้าได้มากถึง 4,000 คน
ตัวกระเช้าจะหมุนอย่างช้าๆ และหยุดทุกๆ สองวินาทีเพื่อให้คนขึ้นลง โดยหนึ่งรอบของการนั่งกระเช้าครั้งประวัติศาสตร์จะใช้เวลา 20 นาที
ว่ากันว่า ความรู้สึก 20 นาทีนั้น ในการที่มนุษย์ได้ค่อยๆ หมุนไปบนท้องฟ้า มองลงมาเห็นทะเลสาปมิชิแกน เห็นตึกสูงระฟ้าที่กำลังก่อตัวขึ้น และงานแฟร์อันยิ่งใหญ่อยู่เบื้องล่าง ทุกครั้งที่เจ้ากล่องยักษ์ค่อยๆ ถูกยกขึ้น ในแต่ละรอบ แต่ละวินาที แต่ละการได้ขึ้นไปสู่ท้องฟ้า บรรยากาศของผู้คนที่ได้รับจากการขึ้นกระเช้า จะเปลี่ยนไปเสมอ
มีถ้อยคำของผู้คนว่า ความรู้สึกจากล้อเหล็กยักษ์ที่เคลื่อนไหวได้ การเยี่ยมชมเมืองจากบนอากาศ เป็นความรู้สึกที่แทบจะบรรยายเป็นคำพูดออกมาไม่ได้

ในตอนนั้นการลงทุนงานเอกซ์โปของอเมริกายังบอบช้ำจากการจัดงานเอกซ์โปที่ฟิลาเดเฟียใน ค.ศ. 1876 (ในช่วงศตวรรษที่ 19 การจัดงานยังไม่เป็นระบบ 5 ปี บางประเทศจะจัดหลายครั้ง เช่นฝรั่งเศสจัดที่ปารีสบ่อย คือจากการจัดครั้งแรกจนถึง ค.ศ. 1900 ปารีสจัดไป 5 ครั้ง) แต่ความเท่คือตัวชิงช้าสววรค์ของเฟอร์ริสกลับเป็นที่นิยมที่สุดในงานครั้งนั้น และถือว่าเป็นชิ้นงานทำกำไรได้อย่างงดงามที่สุด
ตัวชิงช้าลงทุนสร้างด้วยงบ 380,000 เหรียญ แต่ด้วยการเก็บเงินค่าขึ้นรอบละ 50 เซนต์ ผลคือตลอดทั้งงาน มีผู้คนมาขึ้นกระเช้ามากถึง 1 ล้าน 6 แสนคน ทำให้กระเช้าทำเงินได้ราวสองเท่าจากทุนสร้างของตัวมันเอง
แม้หลังจากนั้นเราจะอุทิศชื่อของแกให้เป็นชื่อสามัญของชิงช้าสวรรค์ แต่เมื่องานจบและต้องรื้อถอนชิงช้าสวรรค์ในตำนานออกไป ตัวแกเองกลับเผชิญปัญหา ถูกฟ้องล้มละลายใน ค.ศ. 1896 และป่วยด้วยไทฟอยด์จนเสียชีวิตลงในปีเดียวกัน ด้วยวัยเพียง 37 ปี
เจ้าชิงช้าในตำนานถูกแยกส่วนและนำไปประกอบอีกหลายครั้ง จนกระทั่งถูกนำไปทำลายทิ้งด้วยการระเบิดใน ค.ศ. 1906 ส่วนคุณเฟอร์ริส จากชายหนุ่มผู้คิดชิงช้าสวรรค์ในวัย 33 ปี สู้จนสร้างตำนานและกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสนุกสนานของฤดูร้อน กลายเป็นตัวแทนของเมือง
แม้ว่าเจ้าของตำนานและเจ้าของบริษัทจะไม่ได้รับดอกผลโดยตรง แต่ชิงช้าสววรค์ถือเป็นอีกจิตวิญญาณของความเป็นอเมริกัน ความก้าวหน้า และความสนุกสนาน กลายเป็นตัวแทนของฤดูร้อนและชีวิตที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะกลางสายลม

จากหอไอเฟลที่เป็นตัวแทนที่ใครลอกเลียนไม่ได้ แต่ชิงช้าสวรรค์กลับกลายเป็นตัวแทนของสวนสนุกกลางแจ้ง และสวนสนุกหรือโรงละครเร่ ทั้งในที่สุดแล้วชิงช้าสวรรค์กลายเป็นอีกหนึ่งสาธารณูปโภคของเมือง เป็นสิ่งปลูกสร้างของเมืองที่เป็นที่รัก เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่เราจะสัมผัสกับเมืองได้อย่างเต็มตาและอิ่มใจ
ชิงช้าสวรรค์ในตำนานเช่นลอนดอนอาย มีผู้คนขึ้นชมกรุงลอนดอนราว 3 ล้าน 5 แสนคนต่อปี หรือวันละหนึ่งหมื่นคนโดยเฉลี่ย พร้อมจ่ายค่าบริการราว 30 ปอนด์ สิงคโปร์ก็มีผู้ใช้บริการเกิน 27,000 รายต่อวัน ชิงช้าสวรรค์ปรากฏขึ้นแทบจะทุกพื้นที่ในทุกเมืองที่เป็นที่รัก ตั้งแต่โอซาก้า เรื่อยมาจนถึงริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตัวชิงช้าสวรรค์กลายเป็นสถาปัตยกรรมของการแข่งขัน พวกมันถูกสร้างให้สูงขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้น น่าตื่นตาตื่นใจขึ้นเรื่อยๆ
และฟังดูก็เป็นเรื่องจริงที่ว่า ทุกครั้งที่คุณก้าวเข้านั่งในกระเช้า เมือง และท้องฟ้าที่กระเช้าค่อยๆ พาเราขึ้นไปสำรวจ กี่ครั้งๆ ก็ไม่เคยเหมือนเดิม
จากกว่าร้อยปีก่อนที่ชาวอเมริกันใส่หมวก คอร์เซตและสูท ขึ้นไปสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของนวัตกรรมของพวกเขา มวลมนุษย์แบบเราๆ จึงได้สัมผัสถึงความรู้สึกในกระเช้า ที่ไม่ว่าจะขึ้นจากที่ไหนในวันนี้ ก็เหมือนได้กลับสู่ความเป็นเด็ก ไปสู่จินตนาการที่ไม่รู้จบ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้จากเหล็กกล้า ความกล้าหาญและความรู้ทางวิศวกรรม
อ้างอิงข้อมูล
- smithsonianmag.com/history/history-ferris-wheel-180955300
- blogs.loc.gov/picturethis/2016/07/a-trip-around-the-ferris-wheel
- architecture.org/online-resources/stories-of-chicago/chicagos-ferris-wheel-story
- novelinvestor.com/how-the-ferris-wheel-went-from-fad-to-deep-value-play
- expo-museum.cn/sbbwg/n137/n139/n239/n242/u1ai20438.html
- daily.jstor.org/the-big-wheel
- nytimes.com/2007/07/28/business/28wheels.html