ตำรับยา

เปิดตำรับ 118 ปีของ ‘กุยลิ้มฮึ้ง’ กับศาสตร์การรักษาด้วยแพทย์แผนจีนขนานแท้จากรุ่นสู่รุ่น

ชายสูงอายุบุคลิกอ่อนโยน สีหน้าฉาบด้วยรอยยิ้ม นั่งรอรักษาคนไข้อย่างใจเย็นบนเก้าอี้ไม้ตัวเดิม เป็นเช่นนี้ทุกวันจนกลายเป็นภาพชินตาของคนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวถนนไมตรีจิตต์ ย่านเก่าแก่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเยาวราช และแหล่งรวมตัวของคนไทยเชื้อสายจีนหลายชั่วอายุคน

ชายคนดังกล่าวมีชื่อว่า ‘ประกอบ กอร์ปอริยจิต’ เจ้าของและทายาทรุ่นที่ 2 แห่งคลินิกแพทย์แผนจีนโบราณ ‘กุยลิ้มฮึ้ง’ ที่เปิดบริการรักษามาตั้งแต่ปี 2450 เบ็ดเสร็จรวมเป็นระยะเวลา 118 ปี ตั้งแต่เช้าจรดเย็นมีผู้ป่วยแวะเวียนมายังกุยลิ้มฮึ้งไม่ขาดสาย 

บ้างมีอาการจุกเสียดแน่นท้อง บ้างวิงเวียนศรีษะ บ้างครั่นเนื้อครั่นตัวหาสาเหตุไม่ได้ สิ่งที่เราเห็นคือเจ้าของคลินิกวัยชราใช้นิ้วบรรจงจับชีพจร ตาดูหูฟัง ซักประวัติอาการผู้ป่วยด้วยความใจเย็นพลางจดบันทึกอาการ ก่อนจะจ่ายใบสั่งยาเป็นสมุนไพรที่เก็บไว้ในคลังหลังคลินิกให้ผู้ป่วยนำกลับไปต้มดื่ม หรือกินเพื่อบรรเทาอาการ 

ด้วยความน่าเชื่อถือ มีขั้นตอนรักษาชัดเจน กอปรกับบุคลิกเป็นกันเองที่ว่านี้ ผู้ป่วยหลายรายจึงพร้อมใจกันเรียกประกอบว่า ‘หมออากง’ ด้วยความเคารพ

 ปัจจุบันอากงประกอบอายุล่วงเข้าสู่ปีที่ 91 ขณะที่กุยลิ้มฮึ้งขยับขยายจากคลินิกไม่กี่ตารางเมตร สู่สหคลินิกที่มีชื่อว่า ‘ปราชญา กุยลิ้มฮึ้ง’ ซึ่งให้บริการในเรื่อง wellness ครบวงจร โดยมีเทคนิคแพทย์แผนจีนเป็นแกนหลักอยู่

นอกจากจะขยับขยายแบรนดิ้ง ศาสตร์ความรู้เรื่องแพทย์แผนจีนยังถูกถ่ายทอดมาสู่ทายาทรุ่นที่ 4 นั่นคือ หมอหุย–ปณิชา วรพรชัย หลานสาวแท้ๆ ของอากงประกอบ ที่ตั้งใจสืบทอดเจตนารมณ์การรักษาผู้ป่วย และพัฒนากุยลิ้มฮึ้งต่อไปด้วยความรู้ในแบบฉบับคนเจเนอเรชั่นใหม่

เราถือโอกาสชวนอากงประกอบและหลานสาวมานั่งพูดคุยถึงวันวานที่กุยลิ้มฮึ้งถือกำเนิด เบื้องหลังศาสตร์การรักษาด้วยแพทย์แผนจีนอันล้ำลึก การปรับตัวแบรนดิ้งให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ และ ‘หัวใจ’ ที่ทำให้คลินิกแพทย์แผนจีนแห่งนี้ยืนระยะมาได้นานกว่า 1 ศตวรรษ 

ตำรับยาอายุวัฒนะนี้พร้อมเสิร์ฟบำรุงร่างกายแก่ทุกท่านแล้ว 

เปิดตำรับคลินิกแพทย์แผนจีนที่อยู่คู่ชาวเยาวราช

“สมัยก่อนแถวนี้เขาเรียกว่า ซินแซโกย ที่แปลว่า ซอยหมอรักษาคน เพราะว่าแถวนี้มีหมอแผนจีนเปิดร้านรักษาคนไข้อยู่เยอะเป็นห้องแถวรวมๆ เกือบ 10 ห้อง แต่เวลาล่วงเลยไปเดี๋ยวนี้ไม่มีเหลืออยู่แล้ว” 

อากงประกอบเริ่มย้อนความหลังให้เราฟังถึงจุดเริ่มต้นของกุยลิ้มฮึ้ง ที่หากย้อนกลับไป 50-60 ปีก่อน ณ บริเวณซอยนานาไล่ยาวไปจนถึงถนนไมตรีจิตต์ ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นใบยาทั้งแบบสดและแบบตากแห้ง อันเป็นวัตถุดิบสำคัญของหมอแพทย์แผนจีนที่จับกลุ่มรวมตัวเปิดร้านรักษาคนไข้ หนึ่งในนั้นคือเหล่ากงหรือพ่อของอากงประกอบ ที่โล้สำเภาข้ามน้ำข้ามทะเลมายังประเทศไทยโดยพกศาสตร์ความรู้ด้านการรักษาด้วยสมุนไพรติดตัวมาด้วย

ความจริงแล้วพ่อของอากงประกอบเริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้างในโรงสีข้าว แต่เพราะมีความรู้ในศาสตร์การรักษาด้วยสมุนไพรนี้เอง ทำให้พ่อของอากงประกอบตัดสินใจเปิดห้องแถวเล็กๆ บริเวณตรอกรามไมตรี ถนนไมตรีจิตต์ เป็นร้านรักษาผู้ป่วย ซึ่งสมัยก่อนการเข้าถึงการรักษาในโรงพยาบาลยังเป็นเรื่องยาก บรรดาแรงงานทั้งไทยและจีนจึงเลือกร้านแพทย์แผนจีนเป็นตัวเลือกแรกๆ ในการรักษา 

ส่วนที่มาของชื่อร้านกุยลิ้มฮึ้งมาจากนิมิตในฝันของพ่อของอากงประกอบ ที่เห็นว่าร้านของตนเองตั้งอยู่ในสวนอบเชยท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่น เป็นร้านยาที่รักษาคนไข้ได้มากมาย คำว่ากุยลิ้มฮึ้งจึงหมายความว่า ร้านยาที่อยู่ในสวนอบเชย และเป็นที่มาของโลโก้ร้านที่เป็นสวนอบเชยนั่นเอง

“ผมถามพ่อมาตลอด ว่าทำไมพ่อรักษาคนไข้ได้เก่ง แกไม่พูดอะไรแต่เดินไปหยิบตำรามา 4-5 เล่มให้ผมอ่าน แกบอกสั้นๆ ว่า ถ้าตั้งใจเรียนรู้อ่านจนจบก็สามารถรักษาคนไข้ได้ ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจจนกระทั่งพ่อเสียถึงหยิบมาอ่านแบบจริงจัง ในตำราเป็นกลอนให้ท่องจำ เป็นชื่อยาแต่ละชนิดที่ใช้รักษาแต่ละอาการ” อากงประกอบเล่าถึงศาสตร์ตำราการรักษาด้วยสมุนไพรจีนที่ผู้เป็นพ่อเหลือทิ้งไว้ให้ โดยอากงจะตื่นมาท่องจำตำราที่ว่าทุกๆ เช้าตั้งแต่ตี 5 เป็นเช่นนั้นตั้งแต่อายุ 14 จนกระทั่งก้าวขึ้นมาเป็นทายาทรุ่นที่ 2 เต็มตัวในวัย 21 ปี

ไม่ใช่แค่การเรียนรู้เรื่องศาสตร์การรักษาจากตำรา แต่อากงประกอบยังตัดสินใจเรียนหลักสูตรวิชาแพทย์แผนไทย ที่เมื่อผ่านหลักสูตรจะได้รับใบประกอบการแพทย์แผนไทย โดยอากงประกอบอธิบายเพิ่มว่า สมัยก่อนการแพทย์แผนจีนยังไม่มีใบประกอบการแพทย์เป็นกิจลักษณะ จึงต้องอาศัยการเรียนแพทย์แผนไทยที่มีพื้นฐานมาจากการใช้สมุนไพรเหมือนกัน อากงประกอบใช้เวลานับแรมปีเพื่อเรียนหลักสูตรที่ว่านี้ซึ่งมีสอนที่วัดอินทรวิหารและวัดเชตุพนฯ จนประสบผลสำเร็จ หลังจากนั้นจึงขยายร้านจากห้องแถวเล็กๆ หนึ่งห้องเป็นสามห้อง ถัดไปไม่ใกล้ไม่ไกลยังมีโกดังเก็บสมุนไพรสำหรับขายส่งออกไปยังที่ต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

ตำรับการวินิจฉัยโรคที่ต้องใช้ตาสังเกต หูฟัง และใจรักษา

ถึงตรงนี้อากงประกอบขอพักบทสนทนาไว้ ก่อนจะเดินไปนั่งประจำตรงโต๊ะวินิจฉัยคนไข้เหมือนที่ทำมาเกินครึ่งค่อนชีวิต โดยมีบรรดาหมอรุ่นใหม่เป็นลูกมือจัดเตรียมสมุนไพรตามใบสั่งยาที่อากงเขียน

หลังกลับมาจากการวินิจฉัยอากงประกอบอธิบายให้เราฟังว่า ขั้นตอนการวินิจฉัยโรคผู้ป่วยของที่นี่แบ่งออกชัดเจนเป็น 4 ขั้นตอน คือ

1. ม่อ หมายถึงการดูลักษณะท่าทางของผู้ป่วย ว่ามีสีหน้า สีปาก แววตา และท่าทางการเดินยังไง

2. เฉียก หมายถึงการจับชีพจรฟังจังหวะการเต้นของหัวใจ หรือที่เรียกว่าการแมะ

3. มึ่ง หมายถึงการซักประวัติผู้ป่วย ว่ามีไปทำอะไรมาบ้าง มีกิจวัตรยังไงก่อนจะเริ่มมีอาการป่วย

4. บุ๋ง หมายถึงการสังเกตว่าผู้ป่วยมีอาการไอไหม หายใจหอบหืด มีกลิ่นปาก มีกลิ่นตัว หรือนั่งด้วยท่าทางกระวนกระวายไม่สงบหรือเปล่า

เหล่านี้คือเทคนิคแพทย์แผนจีนที่ถูกส่งต่อผ่านกาลเวลามานับหลายร้อยปี เป็นเทคนิคที่นอกจากจะต้องมีความเชี่ยวชาญ ยังต้องใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานช่วยตัดสินใจ 

อย่างไรก็ดีอากงประกอบบอกกับเราว่า อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการรักษาผู้ป่วยคือการ ‘ใช้ใจ’ เข้าช่วย ผู้ป่วยบางคนไม่ใช่แค่ป่วยกายแต่ยังป่วยใจ หน้าที่ของคนรักษาจึงไม่ใช่แค่การวินิจฉัยโรคหรือจ่ายยาแล้วจบ แต่ต้องปลอบประโลมใจด้วยถ้อยคำอ่อนโยน เพื่อให้ผู้ป่วยคลายกังวลและมีกำลังใจในการสู้กับโรคภัย 

“คนไข้บางรายมาด้วยท่าทางอ่อนล้า เสียใจมาก เหนื่อยใจมาก หน้าที่ของคนเป็นหมอต้องกล่อมใจเขา อธิบายให้เขาฟังว่า ชีวิตหนึ่งกว่าจะได้มาไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องพยายามรักษาตัวเองให้หายนะ ถ้าเขาเบาใจก็ยิ่งช่วยให้การรักษาได้ผล คนที่เป็นหมอเองก็ต้องมีสมาธิจึงจะรักษาคนไข้ได้” ทายาทรุ่นที่ 2 แห่งกุยลิ้มฮึ้งอธิบายด้วยรอยยิ้ม 

ปณิชาเสริมอากงของเธอว่า ยาจีนเป็นการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติทำให้ไม่มีสารเคมีตกค้างในร่างกาย ทว่าการรักษาด้วยวิธีนี้จำเป็นต้องใจเย็น เพื่อให้ยาจีนที่ดื่มเข้าไปช่วยปรับสมดุลอวัยวะสำคัญทั้ง 5 ในร่างกายหรือที่แพทย์แผนจีนเรียกว่า อวัยวะตัน นั่นคือ หัวใจ ปอด ม้าม ตับ และไต เมื่อร่างกายไม่ร้อนเกินไป ไม่เย็นเกินไปอาการเจ็บป่วยจึงจะค่อยๆ ดีขึ้น ขณะเดียวกันหน้าที่ของหมอยังต้องแนะนำวิธีดูแลตัวเองแก่ผู้ป่วย ไม่ว่าจะการกิน การนอน เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากที่สุด

ตำรับการรักษาที่ถูกส่งต่อและพัฒนาจากรุ่นสู่รุ่น

“อากงทำงานหนักมาตลอด แกทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น กลางคืนก็มานั่งทำยา เรียนรู้วิธีการรักษาเพิ่มเติม เราไม่อยากให้ความตั้งใจนี้หายไปก็เลยตัดสินใจมาเป็นหมอแผนจีนตามอากง” จากความตั้งใจที่ปณิชาว่านี้เอง ทำให้เธอตัดสินใจเดินตามรอยอากงประกอบด้วยการเข้าเรียนหลักสูตรการแพทย์แผนจีนบัณฑิต ระดับปริญญาตรี 6 ปี จากมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ 

ถึงกระนั้นปณิชายอมรับว่าองค์ความรู้บางอย่างที่เธอเล่าเรียนในตำราแพทย์แผนจีนยุคปัจจุบันไม่มีในตำรา แต่ได้เรียนรู้จากการสังเกตการทำงานของอากง ยกตัวอย่างวิธีการสังเกตคนไข้ การจ่ายยาสมุนไพรบางตัว หรือการเก็บสมุนไพรที่มีกรรมวิธีเฉพาะ เช่น โสม ยาอายุวัฒนะมากมูลค่าที่ต้องเก็บในอุณหภูมิเฉพาะตัว ไม่ชื้นไป ไม่ร้อนไป ไม่เย็นไป หรือสมุนไพรประเภทเก๋ากี้ (โกจิเบอร์รี) ตังกุย และพุทราจีน ที่ต้องเก็บในตู้เย็นไม่เช่นนั้นตัวสมุนไพรสรรพคุณจะลดลง 

ไม่ใช่แค่การดึงความรู้จากรุ่นอากงมาใช้ กลับกันทายาทกุยลิ้มฮึ้งเจเนอเรชั่น 4 ได้นำองค์ความรู้ที่อากงประกอบคิดค้นขึ้นอย่าง ‘ยาลูกกลอน’ ขนานต่างๆ มาแปลงโฉมเป็นยาแคปซูลให้รับประทานง่ายขึ้น พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็นคำสั้นๆ เข้าใจง่าย เช่น ชั่งเช็กอี้ ยาลูกกลอนสรรพคุณลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็นยาแคปซูลที่มีชื่อว่า ออฟฟิศ เหมาะสำหรับบรรดาพนักงานออฟฟิศที่ปวดเมื่อยตัวจากการทำงานตลอดทั้งวัน

เช่นเดียวกันกับการจ่ายใบสั่งยาที่แม้จะเน้นการเขียนตามความถนัดของอากงประกอบ แต่ก็มีระบบหลังบ้านคอยบันทึกประวัติการรักษาเพื่อง่ายต่อการติดตามอาการคนไข้ หรือคอนเทนต์สนุกๆ ให้ความรู้ที่ปณิชาชวนอากงมาเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับแพทย์แผนจีนบนโลกโซเชียลฯ ตามความตั้งใจที่อยากจะเปลี่ยนภาพจำที่ว่า แพทย์แผนจีนเป็นการรักษาที่เก่าจนตามโลกไม่ทัน 

“อนาคตเราจะไม่สามารถอยู่ได้หรือถอยหลังไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ปรับเปลี่ยนตัวเองไปตามยุคสมัย ถ้าอย่างงั้นเราจะทำยังไงให้คนรู้จักแพทย์แผนจีน ยาจีนมันไม่ได้กินยากแบบที่คุณเข้าใจกันนะ งั้นลองชวนอากงมาทำคลิปอธิบายน่าจะดี ช่วงแรกแกก็มีเกร็งๆ บ้าง แต่พอทำจนชินกลายเป็นว่าตอนนี้แกชอบออกหน้ากล้อง แกชอบเล่าเรื่อง คนดูก็สนุกไปด้วย” ปณิชาอธิบายถึงจุดเริ่มต้นไอเดียการโปรโมตกุยลิ้มฮึ้งให้เป็นที่รู้จักบนโซเชียลฯ มากขึ้น

นอกจากจะมีหน้าคลินิกที่อยู่มาถึง 118 ปี ณ เวลานี้ ด้วยความที่เทรนด์การดูแลรักษาสุขภาพกำลังเป็นที่นิยม จึงมีการแตกแบรนด์ ‘กุยลิ้มฮึ้ง ปราชญา’ โดยมีทายาทรุ่นที่ 3 คือ ชุติพงศ์ กอร์ปอริยจิต, โสภิตา กอร์ปอริยจิต และอังคณา วรพรชัย เป็นผู้บริหาร โดบแบ่งโมเดลธุรกิจเป็น 2 ฝั่ง คือ 

1. ปราชญา เวลเนส สหเวชคลินิกที่ให้บริการด้านการฟื้นฟูและดูแลสุขภาพด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีน ตั้งแต่การครอบแก้ว ฝังเข็ม นวดทุยหนา ไปจนถึงบริการสปาหัวจรดเท้า

2. ปราชญาคิทเช่น ซึ่งจัดจำหน่ายสมุนไพรและเครื่องเทศ ทั้งแบบนำไปใช้เป็นวัตถุดิบปรุงยาจีน และแบบสินค้าแปรรูป เช่น ชาสมุนไพร ผงพะโล้ ผงกะหรี่ ฯลฯ 

เหล่านี้คือการนำศาสตร์ความรู้ด้านแพทย์แผนจีนที่มีของกุยลิ้มฮึ้งมาประยุกต์ต่อยอด เพื่อตอบสนองต่อโลกสมัยใหม่ เป็นข้อพิสูจน์ที่ว่าภูมิปัญญาของคนรุ่นก่อนไม่จำเป็นต้องทิ้ง แต่สามารถส่งต่อให้คนรุ่นหลังพัฒนาต่อได้ ในเมื่อทั้งสองสามารถผสมผสานเข้ากันเหมือน ‘หยิน-หยาง’ สมดุลในร่างกาย  

ตำรับความตั้งใจที่ไม่มีวันสูญสลาย

“คนเป็นหมอมีหน้าที่ปลดทุกข์ให้กับคนไข้ คนไข้ที่มาหาไม่ว่าจนหรือรวยเรามียาให้ทั้งนั้น”  

อากงประกอบบอกถึงปณิธานที่ยึดมั่นมาตลอด 70 กว่าปีที่ผ่านมาพร้อมอธิบายว่า พื้นฐานสำคัญของคนที่ประกอบอาชีพหมอคือ ‘คุณธรรม’ จริงอยู่ที่ธุรกิจจะอยู่ได้ถ้ามีการบริหารจัดการหลังบ้านที่ดี หรือมีโปรดักต์น่าสนใจ แต่กับอาชีพหมอแล้วการช่วยเหลือผู้คนนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด 

ด้วยความตั้งใจในการรักษาผู้ป่วยที่ว่านี้เอง ทำให้ใครต่อใครเลือกที่จะรักษากับกุยลิ้มฮึ้ง บางครอบครัวรักษากับที่นี่ตั้งแต่รุ่นอากงอาม่า มาจนถึงรุ่นลูก เป็นความเชื่อมั่นในคุณภาพการรักษาที่บอกกันปากต่อปาก ผลลัพธ์คือการที่กุยลิ้มฮึ้งสามารถยืนหยัดได้นานถึง 118 ปี

และความตั้งใจที่ว่านี้เองยังถูกส่งต่อไปถึงทายาทรุ่นที่ 4 ปณิชายืนยันว่าคลินิกแห่งนี้ยินดีให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วยที่ขาดแคลนกำลังทรัพย์ รวมไปถึงพระภิกษุสงฆ์และภิกษุณี 

นอกจากนี้อากงยังบอกกับเราว่าใครที่สนใจอยากจะศึกษาตำรับวิธีการรักษาแพทย์แผนจีนก็ยินดีจะสอนแบบไม่คิดเงิน หากคนคนนั้นจะสามารถนำความรู้ที่ได้ไปรักษาคนอื่นต่อ และสามารถช่วยสืบต่อภูมิปัญญานี้ไปได้ 

“นอนให้ตรงเวลา กินให้ครบ 3 มื้อ กินให้หลากหลายสารอาหารครบถ้วน อย่าเลือกกิน ออกกำลังกายบ้างเล็กๆ น้อยๆ ชีวิตถึงจะยืนยาว” อากงประกอบทิ้งท้ายถึงเคล็ดลับที่ทำให้ชีวิตยืนยาวด้วยอารมณ์ขัน 

Writer

นักเขียนผู้หลงใหลโลกของฟุตบอล สนีกเกอร์ และกันพลา

Photographer

ทำงานให้งานมันท้อเรา ig : chinnakanc

You Might Also Like