รู้จัก HYROX เทรนด์การแข่งขันฟิตเนสระดับโลกที่มาแรงแซงทางโค้งจนเหล่าธุรกิจไม่ควรมองข้าม

นอกจากเทรนด์วิ่ง ปั่นจักรยาน พิลาทิส ไปจนถึงไกโรแพคติก อีกวิธีออกกำลังกายที่กำลังมาแรงและเป็นที่พูดถึงไม่น้อยคือ HYROX หรือการแข่งขันฟิตเนสที่กำลังขยายตัวไปยังหลายประเทศทั่วโลก และประเทศไทยเองกำลังจะเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางใหม่ของการแข่งขันนี้ เพราะการแข่งขัน HYROX จะจัดขึ้นครั้งแรกในที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 24-25 พฤษภาคม 2025 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC)

การเติบโตอย่างรวดเร็วของ HYROX ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงแนวโน้มการออกกำลังกายในระดับสากล แต่ยังเปิดโอกาสสำคัญให้กับแบรนด์กีฬาและธุรกิจที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมฟิตเนส Recap ครั้งนี้จึงขอพาทุกคนไปทำความรู้จักเทรนด์ HYROX อย่างลงลึก ทั้งในเชิงไลฟ์สไตล์และบทเรียนธุรกิจที่น่าจับตา

01 HYROX คืออะไร?

HYROX เป็นการแข่งขันฟิตเนสที่แบรนด์กล่าวว่าออกแบบให้เหมาะกับผู้ออกกำลังกายในทุกระดับความสามารถ โดยรวมการวิ่ง 8 รอบ รอบละ 1 กิโลเมตร สลับ 8 ฐาน Functional Fitness เช่น Sled Push, Rowing, Wall Balls และ Burpee Broad Jumps รูปแบบการแข่งขันนี้ถูกกำหนดให้เหมือนกันทั่วโลก เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสามารถเปรียบเทียบผลการแข่งขันระหว่างกันได้ 

การแข่งขันยังมีหลายระดับตาความฟิตของแต่ละคน การแข่งขันนี้ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลาสิ้นสุด และไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติพิเศษก็สมัครเข้าร่วมได้ ทำให้ HYROX เป็นการแข่งขันที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าการแข่งขันฟิตเนสอื่นๆ เช่น CrossFit ซึ่งมักต้องการทักษะเฉพาะทาง แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าไม่แข็งแรงพอ ก็อาจไปต่อไม่ไหว

02 เทรนด์ HYROX ในระดับโลกที่ใครๆ ต่างก็พูดถึง

HYROX เปิดตัวครั้งแรกในปี 2017 ที่ฮัมบูร์ก เยอรมนี โดย Christian Toetzke ผู้เชี่ยวชาญด้านการแข่งขันกีฬาและ Moritz Furste นักกีฬาโอลิมปิกที่เคยคว้าเหรียญรางวัลจากการแข่งขันระดับโลก ตัวแบรนด์เองถือว่เติบโตเร็วมาก จำนวนผู้เข้าร่วม HYROX เพิ่มขึ้นมากกว่า 100% ต่อปี ในปี 2023 มีผู้เข้าแข่งขัน 125,000 คน มีผู้ชมรวม 70,000 คน พาร์ตเนอร์ยิมของ HYROX ยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีมากกว่า 1,700 แห่งทั่วโลก และภายใน 12 เดือนที่ผ่านมา มียิมเข้าร่วมใหม่กว่า 900 แห่ง

นอกจากตลาดยุโรปและอเมริกาเหนือ HYROX กำลังขยายตัวเข้าสู่เอเชียแปซิฟิก โดยในปี 2023 ได้จัดการแข่งขันในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฮ่องกง และสิงคโปร์ การแข่งขันที่สิงคโปร์มีผู้เข้าร่วมมากถึง 4,000 คน ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคนี้  

03 Business Model ของ HYROX ที่น่าจับตามอง

HYROX ไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันกีฬา แต่เป็นโมเดลธุรกิจที่สร้างรายได้ผ่านหลายช่องทางด้วยกัน 

เริ่มตั้งแต่ค่าสมัครที่บางการแข่งขันที่ผ่านมา คนสมัครเยอะจนต้องจับสลาก

HYROX ยังทำงานร่วมกับยิมมากกว่า 1,700 แห่งทั่วโลก ยิมเหล่านี้จะเปิดคอร์สฝึกซ้อม HYROX ให้สมาชิกเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน ประโยชน์ที่ยิมพันธมิตรจะได้รับคือการสนับสนุนด้านการตลาด การฝึกอบรมโค้ช และค่าคอมมิชชันสำหรับสมาชิกที่สมัครเข้าร่วมการแข่งขัน ไม่เพียงช่วยสร้าง รายได้ใหม่ๆ แต่ยังเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับยิม ช่วยให้ยิมเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ต้องการเข้าร่วมการแข่งขัน HYROX ได้ง่ายขึ้น

HYROX ได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์กีฬาระดับโลก เช่น Puma, Red Bull, Unilever, Foodspring และ Concept 2  และ HYROX ยังวางแผนขยายการแข่งขันไปยังประเทศใหม่ๆ ในเอเชีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสนใจกับฟิตเนสและการแข่งขันแบบ Functional Training

04 โอกาสของแบรนด์กีฬามาถึงแล้ว?

การเติบโตของ HYROX ทำให้แบรนด์กีฬามีโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการเป็นผู้สนับสนุนหลัก การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับการแข่งขัน หรือการทำตลาดผ่านกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง

ไม่ว่าจะชุด รองเท้ากีฬา อาหารเสริม อุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ ด้วย HYROX เป็นการแข่งขันที่ต้องใช้ความแข็งแกร่งและความทนทานของร่างกายอย่างมาก จึงเป็นโอกาสเหมาะที่แบรนด์ที่ผลิตรองเท้าวิ่ง เสื้อผ้าออกกำลังกาย และอุปกรณ์เสริม เช่น ถุงมือหรืออุปกรณ์ซัพพอร์ต ไปจนถึงเครื่องดื่มเกลือแร่หรือสมาร์ทวอช ที่สามารถร่วมไปกับเทรนด์นี้ได้ 

ที่ผ่านมา หนึ่งในแบรนด์ที่สนับสนุน HYROX ก่อนใครเพื่อนก็คือ Puma เพราะเข้าร่วมเป็นพันธมิตรตั้งแต่การแข่งขันครั้งแรกในปี 2018 ล่าสุด Puma ยังได้ลงนามข้อตกลงเป็นพันธมิตรเครื่องแต่งกายและรองเท้าอย่างเป็นทางการของ HYROX จนถึงปี 2027

Puma ได้พัฒนาและเปิดตัวคอลเลกชันพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อการแข่งขัน HYROX โดยเฉพาะ เช่น เสื้อผ้าที่ใช้เทคโนโลยี Cloudspun และ dryCELL ที่ช่วยระบายความชื้น และรองเท้ารุ่น Velocity NITRO™ 3, Deviate NITRO™ 3 และ Deviate NITRO™ Elite 3 ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหว

นอกจากนี้ Puma ยังให้การสนับสนุน HYROX Elite 15 ซึ่งเป็นกลุ่มนักกีฬาชั้นนำของการแข่งขัน Puma ใช้ HYROX เป็นแพลตฟอร์มในการเข้าถึงกลุ่มนักกีฬาฟิตเนสที่กำลังเติบโต และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อการแข่งขันประเภทนี้โดยเฉพาะ

05 Lesson Learned จาก HYROX

สิ่งหนึ่งที่ Brandon Ganske ซึ่งเป็น TikTok Shop Partner Agency Owner ที่สร้างรายได้มากกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บน TikTok Shop ได้กล่าวไว้ใน Linekin นั้นน่าสนใจไม่น้อย เขาชี้ให้เห็นว่า HYROX ไม่ใช่เพียงการแข่งขันฟิตเนส แต่เป็นตัวอย่างที่ดีของ การสร้างแบรนด์และขยายธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ 

ไม่ว่าจะเป็นการสร้างมาตรฐานการแข่งขันที่เหมือนกันทั่วโลกทำให้ HYROX ขยายได้รวดเร็ว ซึ่งสำหรับธุรกิจอื่นๆ การสร้างมาตรฐานถือเป็นการสร้างประสบการณ์ที่สม่ำเสมอ ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือต่อลูกค้า ขณะเดียวกัน HYROX ยังออกแบบการแข่งขันให้เหมาะกับทุกระดับของนักกีฬา ตั้งแต่มือสมัครเล่นไปจนถึงนักกีฬามืออาชีพ ช่วยดึงดูดลูกค้าหลากหลายกลุ่ม ซึ่งสำหรับคนทำธุรกิจแล้วนี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการทำ Customer Segmentation ที่ช่วยให้แบรนด์ตอบโจทย์ลูกค้าได้หลากหลาย

HYROX ยังใช้ Data-Driven Strategy มาปรับปรุงการแข่งขัน และมากไปกว่านั้น HYROX ยังทำให้การแข่งขันกีฬามีความเป็นชุมชนหรือ community ที่รวมคนที่มีไลฟ์สไตล์แบบเดียวกัน ช่วยสร้างความเป็นส่วนหนึ่ง และทำให้ธุรกิจเติบโตได้ด้วยตนเอง   

HYROX ยังสร้าง Customer Journey ที่ต่อเนื่อง คือสื่อสารว่านี่ไม่ใช่แค่การแข่งขันฟิตเนสแต่เป็นเส้นทางของการพัฒนาตัวเอง จนทำให้ผู้สมัครรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทาง ในแง่มุมธุรกิจ การสร้าง Customer Journey จะสร้างโอกาสการกลับมาใช้หรือซื้อซ้ำ พร้อมแนะนำแบบปากต่อปากได้ด้วย ครั้งหนึ่ง Toetzke ให้สัมภาษณ์กับทางสื่อ Entrepreneur ว่า 60-80% ของคอมมิวนิตี้ HYROX มองว่าฟิตเนสเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทางสังคม เขายังมองว่าในอนาคต ยิมจะเป็นเหมือนคลับเฮาส์ของนักกีฬาเลยทีเดียว

เรียกได้ว่า HYROX ไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันกีฬา แต่เป็นเทรนด์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมฟิตเนสทั่วโลก การขยายตัวของการแข่งขันนี้เปิดโอกาสให้แบรนด์กีฬาสามารถเข้าร่วมและสร้างมูลค่าทางธุรกิจใหม่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตเสื้อผ้า อุปกรณ์กีฬา อาหารเสริม หรือเทคโนโลยีด้านฟิตเนส

ที่สำคัญ การเข้ามาของ HYROX ในประเทศไทยเป็นสัญญาณว่าตลาดฟิตเนสในเอเชียกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นโอกาสสำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันฟิตเนสมวลชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก

อ้างอิง

WWE x Netflix คู่แท็กแสนล้านที่พามวยปล้ำสร้างปรากฏการณ์ในโลกยุคใหม่

Match : Monday Night Raw (5 ม.ค. 2025)

ภาพความทรงจำที่เคยจางค่อยๆ กลับมาชัดอีกครั้ง

อังเดร เดอะ ไจแอนต์, ฮัล์ก โฮแกน, ดิ อัลทิเมต วอร์ริเออร์, มิค โฟลีย์ ศึกต่างๆ ในอดีตมากมาย 

“เราต่างเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่พวกเราร่วมกันสร้างขึ้นมา ไม่ใช่เพียงแค่เหล่าวีรบุรุษ แต่รวมถึงเหล่าร้ายด้วย เพราะพวกเขาต่างต้องการกันและกัน เช่นกันกับที่พวกเราต้องการพวกเขา

“เพื่อบอกเล่าเรื่องราว”

‘The Game’ ทริปเปิล เอช ประกาศก้องบนเวทีต้อนรับผู้ชมทุกคน ไม่ใช่เฉพาะใน Intuit Dome แต่เป็นอีกหลายล้านคนทั่วทั้งโลกที่ได้รับชมพร้อมกันสดๆ

“ขอต้อนรับเข้าสู่ยุคสมัยของ Netflix!” 

มีใครเคยชอบดูมวยปล้ำบ้างไหมครับ?

ผมเดาเอาเองว่าคุณผู้อ่านหลายๆ คนน่าจะมีโอกาสได้ดูมวยปล้ำบ้างโดยเฉพาะในสมัยที่เรายังเด็กๆ ที่โลกใบเล็กของเรายังไม่มีอะไรมากไปกว่าการหาอะไรเล่นหรือดูอะไรสนุกๆ ในเวลาว่างที่มีมากมายเสียเหลือเกิน

มวยปล้ำ (wrestling) ถือเป็นหนึ่งในความบันเทิงที่ยอดเยี่ยมกระเทียมเจียวสำหรับเด็กๆ ถึงแม้ว่าจะดูเป็นกีฬาที่รุนแรง มีการใช้คำพูดคำจาไม่น่าฟังบ้าง แต่โดยเนื้อแท้แล้วถือเป็นหนึ่งในบทเรียนที่สอนทุกคนได้ดีพอสมควรในเรื่องของโลกและชีวิต

ฮีโร่กับวายร้าย ธรรมะกับอธรรม ขาวกับดำ คนสีเทา การเติบโตและเปลี่ยนแปลง

ความพยายาม ความมานะ ความอดทน 

และหัวใจที่สู้ไม่ถอย

พูดแล้วภาพของฮัล์ก โฮแกน, สติง, ริค แฟลร์, มาโชแมน แรนดี้ ซาเวจ, ดิ อัลทิเมต วอร์ริเออร์, สโตนโคลด์ สตีฟ ออสติน, เจค เดอะ สเนก โรเบิร์ตส, ลอร์ด สตีเวน รีกัลล์, พี่น้องสไตเนอร์, ชอว์น ไมเคิล, ริคกี้ เดอะ ดราก้อน สตีมโบต, เดอะ เกรท มูตา, ดิ อันเดอร์เทคเกอร์, อังเดร เดอะ ไจแอนต์, บิ๊ก แวน เวเดอร์, เรเซอร์ เรมอน, ทริปเปิล เอช, เอ็กซ์แพ็ก, เรย์ มิสเทริโอ จูเนียร์, โกลด์ ดัสต์, บิลล์ โกลด์เบิร์ก, จอห์น ซีนา และอีกมากมายก็ลอยขึ้นมาไม่หยุด

พร้อมกับศึกในความทรงจำส่วนตัวมากมายที่หาได้ตามร้านเช่าวิดีโอ ในสนนราคาสมัย 30 ปีที่แล้วที่ม้วนละ 20 บาท ที่จะต้องรีบดูให้จบโดยเร็วเพื่อจะไปเช่าม้วนต่อไปมาดู หรือต้องคอยถามเจ้าของร้านว่าตอนใหม่มาหรือยัง

และเสียงบรรยายสนุกๆ ตลกๆ ของ ‘น้าติง’ สุวัฒน์ กลิ่นเกษร ผู้เป็นที่รักของแฟนมวยปล้ำชาวไทยทุกคน

อ้อ! เมื่อสักครู่ผมบอกว่ามวยปล้ำเป็นกีฬา

มันเป็นความจริงแค่ครึ่งเดียวนะครับ เผื่อบางคนอาจจะไม่รู้จริงๆ เพราะอีกครึ่งของมวยปล้ำคือการแสดง เป็นโชว์อย่างหนึ่ง

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นถูกร้อยรัดด้วยเรื่องราวที่ตั้งใจเขียนมาอย่างดี มีการกำกับบทกันเป็นอย่างดี โดยทีมงานเขียนบทจะคอยเช็กตลอดว่ากระแสของผู้ชมไปในทิศทางไหน และควรจะเล่าเรื่องต่อยังไงเพื่อให้เรารู้สึกสนใจและผูกพันกับตัวละครต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่ในฝ่ายธรรมะผู้ไม่ยอมพ่ายแพ้ง่ายๆ หรือสำหรับบางคนอาจจะชอบใจความเด็ดเดี่ยวหรือเห็นใจตัวละครฝ่ายอธรรมบางคนขึ้นมา

ในวัยเด็กสมัยก่อนนั้นเราดูก็เชื่อหมดครับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง แม้ว่าบางอย่างมันจะดูแปลกๆ เช่น ปาปา ชางโก นักมวยปล้ำที่รับบทเป็นพ่อมดวูดู มาสาปใส่คู่ปรับอย่างดิ อัลทิเมต วอร์ริเออร์ จนปวดท้องตัวบิดตัวงอไปหมด (ตัวจริงของปาปา ชางโก เป็นคุณลุงสุภาพใจดีที่น่ารักมาก)

ส่วนเด็กที่ได้ติดตามในเจเนอเรชั่นหลังๆ จนถึงปัจจุบันก็น่าจะรู้เท่ารู้ทันกันหมดว่านี่คือการแสดงไม่ใช่เรื่องจริง แต่คนก็ยังคอยติดตามรับชมอยู่เสมอ 

โดยที่วงการมวยปล้ำเองก็มีการปรับเปลี่ยนตามเหมือนกัน

โดยเฉพาะศึกมวยปล้ำ World Wrestling Entertainment หรือ ‘WWE’ ซึ่งถือเป็นสถาบันที่ได้รับความนิยมสูงสุดอันดับหนึ่งตลอดกาล

ล่าสุดเพิ่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เป็นที่พูดถึงอย่างมากเมื่อไม่นานมานี้ครับ

ความเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้นไม่ใช่เรื่องของการปรับเปลี่ยนรูปแบบการแข่ง (แสดง) ซึ่งจุดยืนของ WWE นั้นจับตลาดกลุ่มแมส ดูได้ทุกเพศทุกวัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ (ที่ถ้าเป็นเรื่องนี้ยังไม่อยากโต ขอหน่อยเถอะ) การปล้ำไม่ได้เน้นความสมจริงดุเดือดเลือดพล่านขนาดนั้น ซึ่งคนที่ชอบการปล้ำที่ดุเดือดก็จะมีค่ายแนวนั้นให้ติดตาม

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับ WWE คือการปรับเปลี่ยนแพลตฟอร์มในการฉาย

จากม้วนวิดีโอและเคเบิลทีวี มาเป็นการฉายผ่านระบบสตรีมมิงบน Netflix แทน

ว่าแต่ทำไมต้อง Netflix ด้วย แล้วมันมีความหมายหรือความสำคัญยังไง?

เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ

โดยที่มาที่ไปแล้ว WWE ถือเป็นมวยปล้ำอาชีพ (pro wrestling) ที่แตกต่างจากมวยปล้ำสมัครเล่นซึ่งยังเป็นกีฬาแข่งขันกันจริงๆ

เพียงแต่ในอดีตกาลนานมาแล้วนักมวยปล้ำอาชีพก็เคยแข่งขันกันแบบจริงจังเหมือนกัน เพียงแต่คนดูในสหรัฐอเมริกาไม่ชอบเท่าไหร่นัก เมื่อไม่มีคนดูก็ไม่มีเงิน ไม่มีกิน ชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบากทำให้นักมวยปล้ำอาชีพตัดสินใจที่จะลองคิดใหม่ดู

สิ่งที่พวกเขาทำคือการแข่งขันกันแบบปลอมๆ มีการเขียนบทกำกับ โดยนักแสดงก็คือนักมวยปล้ำที่จะมาโชว์พลัง ความแข็งแกร่ง ลีลาการปล้ำในบทบาทสมมติของตัวละครที่ถูกกำหนดให้

ปรากฏว่าคนดูชอบ ถูกใจ มวยปล้ำอาชีพจึงเปลี่ยนจากการแข่งขันกีฬาเป็นศิลปะการแสดง (performance art) แทน

ในช่วงยุคก่อร่างสร้างตัวนั้นมวยปล้ำเป็นมหรสพที่ไม่ได้ต่างจากละครสัตว์ (circus) มีค่ายที่จะคอยตระเวนจัดโชว์ตามเมืองต่างๆ มีรายได้จากการจำหน่ายตั๋วเข้าชมเป็นหลัก ก่อนที่จะเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มมีการรวมตัวกันก่อตั้งสมาคม CWC (Capitol Wrestling Corporation) ในช่วงปี 1950 ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา

โดย CWC เปลี่ยนชื่อเป็น WWF (World Wide Wrestling Federation ก่อนจะเป็น World Wrestling Federation) และควบรวมกับคู่แข่งอย่าง WCW (World Championship Wrestling) กลายเป็น WWE ในปี 2002 จนถึงปัจจุบัน

สิ่งที่ช่วยทำให้มวยปล้ำกลายเป็นกีฬามหาชนนั้นนอกจากเรื่องของการปล้ำ การแสดงที่สมบทบาทของบรรดาเหล่านักมวยปล้ำทั้งหลายและการเขียนบทที่แยบยลประหนึ่งมือเขียนบทรางวัลออสการ์–ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเล่นกับความรู้สึกของคนดู โดยเฉพาะการเปลี่ยนฮีโร่ให้เป็นวายร้าย–เรื่องโมเดลธุรกิจของพวกเขาก็น่าสนใจ

คนที่เบื้องหลังในการเปลี่ยนมวยปล้ำให้กลายเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่คือ วินเซนต์ ‘วินซ์’ เคนเนดี้ แม็คมาน ที่หลายคนน่าจะรู้จักดีในบทบาททั้งเจ้าของและตัวแสดงคนหนึ่งที่ขอซื้อธุรกิจค่ายมวยปล้ำต่อจากวินเซนต์ เจมส์ แม็คมาน พ่อของเขา (ซึ่งบ้างก็เชื่อว่าเขาได้ธุรกิจนี้มาจากเจสซี่ แม็คมาน พ่อของเขาอีกที) 

วินซ์ (ขออนุญาตเรียกสั้นๆ นะครับ) ร่วมกับลินดา ภรรยา ก่อตั้งบริษัท Titan Sports และขึ้นทะเบียนการค้าของ WWF โดยเป้าหมายของเขาคือการทำให้ WWF กลายเป็น ‘มวยปล้ำเกรดพรีเมียม’ ของสหรัฐอเมริกาให้ได้

การปรับโน่นเปลี่ยนนี่เกิดขึ้นมากมายจนทำให้โชว์ของ WWF กลายเป็นที่นิยม และความนิยมไต่ไปถึงระดับทะลุปรอทแตกในข่วงปลายยุค 80s ที่มีซูเปอร์สตาร์ที่เป็นขวัญใจมหาชนคนแรกอย่าง ฮัล์ก โฮแกน ในบทนักมวยปล้ำจอมพลังที่ต้องงัดพลังแฝงผ่านการขอเสียงเชียร์จากแฟนๆ (Hulkmania หรือที่ ‘น้าติง’ เรียกให้เข้าปากคนไทยว่าฮ๊องกำมะเนีย) เพื่อพิชิตเหล่าร้าย 

ใครๆ ก็อยากดู WWF ตอนนั้น และคนที่จะดูได้ในสหรัฐอเมริกาต้องจ่ายค่าชมผ่านระบบ PPV (pay-per-view) เท่านั้น

และระบบนี้ก็ยังอยู่มาจนถึงปีกลาย เป็นฐานรายได้สำคัญที่สุดนอกเหนือจากบัตรเข้าชมการแข่งขันและเหล่าสินค้าที่ระลึกต่างๆ ที่ผลิตออกมาหลอกล่อน้องๆ หนูๆ จนขายกันแทบไม่ทัน

ส่วนผู้ชมนอกสหรัฐอเมริกานั้นนอกจากจะหาเช่าตามร้านวิดีโอในยุคอดีตแล้ว (ซึ่งก็ถูกลิขสิทธิ์บ้างไม่ถูกลิขสิทธิ์บ้าง) อีกทางที่จะรับชมได้คือตามผู้ให้บริการเคเบิลทีวีหรือสถานีโทรทัศน์ (Linear TV) ที่ซื้อลิขสิทธิ์มาให้ชม

มองผิวเผินแล้วก็เป็นโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่งประหนึ่งแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวตเลย

แต่ลึกๆแล้ว WWE รู้ดีว่าโลกนั้นเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ความสำเร็จที่สวยงามที่ผ่านมาคืออดีต แต่ความสำเร็จในอนาคตคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ หากพวกเขาไม่คิดที่จะปรับตัว มันอาจจะสายเกินไป

มันนำไปสู่คำถามเดียวที่สำคัญที่สุด “เราคิดว่าแฟนๆ ของเราจะอยากชมคอนเทนต์ของเราทางไหนกันแน่?”

ว่าแล้ว WWE ได้มีการทดลองชิมลางการชมแบบออนไลน์ดูเป็นครั้งแรกในรายการ WrestleMania ครั้งที่ 30 เมื่อปี 2014 ซึ่งมองว่าเป็นสุดยอดรายการที่น่าจะได้รับการตอบรับอย่างดี ซึ่งเมื่อเปิดให้มีการลงทะเบียนสมัครบริการ WWE Network เพื่อรับชมนั้นสิ่งที่พวกเขาได้รับกลับมาเกินความคาดหมายไปมาก

เฉพาะในสหรัฐอเมริกาในวันแรกมีผู้ชมถึง 700,000 คน และภายในเดือนมกราคม 2015 มีจำนวนผู้ลงทะเบียนถึง 1 ล้านคน

แปลว่าออนไลน์คือคำตอบ คือหนทางใหม่ และกลายเป็นสิ่งที่ WWE ให้น้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในระหว่างนั้นมีการบริการเนื้อหาทั้งถ่ายทอดสด และทีเด็ดที่หลายคาดไม่ถึงคือการนำบันทึกในอดีตมาให้เลือกชมได้แบบ on-demand ด้วย

เพราะไม่ใช่ทุกคนจะลืมอดีต หลายคนคิดถึงอดีต คิดถึงโมเมนต์ในความทรงจำอยู่เสมอ

ตรงนี้เด็ดจริงเพราะในขณะที่มองว่าความสำเร็จในอดีตเป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดติด แต่พวกเขาก็ยังนำอดีตกลับมาเป็นเครื่องมือได้อีก

แต่แค่นี้ไม่พอ ความยากในขั้นต่อมาคือการหาทางเอาชนะใจแฟนรุ่นใหม่ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องให้ความสำคัญมากที่สุดให้ได้ 

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะแม้แต่เกมกีฬายอดนิยมอันดับหนึ่งอย่างฟุตบอลยังเผชิญกับปัญหาแฟนคนรุ่นใหม่ไม่ชอบการแข่งขันที่ยืดยาวถึง 90 นาทีจนมีการศึกษาจะปรับเปลี่ยนเกมให้กระชับขึ้น

โชคดีสำหรับ WWE ที่พวกเขาได้เห็นความสำเร็จของ F1 ที่เคยเจอปัญหาแบบเดียวกันและฟื้นความนิยมกลับมาได้ภายหลังจากการเปลี่ยนเจ้าของเป็น Liberty Group ที่ในเวลาต่อมาจุดกระแสให้การแข่งขันที่เคยถูกมองว่าโบราณคร่ำครึใหม่ด้วยการปล่อยสารคดี F1: Drive to Survive ที่ฉายแบบเอกซ์คลูซีฟบน Netflix

ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นคือ F1 กลายเป็นกีฬาที่คนรุ่นใหม่ติดตามและพูดถึงมากที่สุดไปแล้ว

ด้วยเหตุผลนี้เองครับที่ทำให้ WWE เฝ้ารอโอกาสที่จะจับมือกับ Netflix มาโดยตลอด

เพียงแต่การเจรจาระหว่างสองฝ่ายไม่ใช่เรื่องง่าย ใช้เวลาเนิ่นนาน และผ่านบททดสอบหลายอย่าง ซึ่งสำหรับ Netflix เองพวกเขาแม้จะเป็นเจ้าแห่งสตรีมมิงแต่ก็ใหม่ต่อเกมกีฬามาก ระหว่างทางจึงต้องทดสอบด้วยการใช้ Sport Documentary มากมาย รวมถึงเรื่องอย่าง The Last Dance ที่บอกเล่าเรื่องราวขวบปีสุดท้ายของไมเคิล จอร์แดน กับทีมชิคาโก บูลส์ ที่กลายเป็นการจุดประกายครั้งใหญ่

ในฝั่ง WWE พวกเขาก็ต้องเคลียร์ตัวเองเช่นกันเพราะมีสัญญาถ่ายทอดสดผูกพันกับผู้ให้บริการทั่วโลกมากมาย แต่ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะจับมือกับ Netflix ให้ได้ จึงเคลียร์ตัวเองอย่างขาวสะอาด จนสุดท้ายสามารถบรรลุข้อตกลงบันลือโลกได้เมื่อเดือนมกราคม 2024

WWE ลงนามร่วมกับ Netflix ในการนำรายการหลักทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น Raw, Smack Down, NXT จนถึง 4 รายการใหญ่ WrestleMania, Royal Rumble, Summer Slam และ Survivor Series ออกอากาศบน Netflix ที่เดียวเป็นระยะเวลา 10 ปี ในมูลค่ามหาศาลถึง 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

คิดเป็นเงินไทยบ้านเรา 1.69 แสนล้านบาท!

โดยช่วงที่ผ่านมา Netflix ก็ได้เริ่มลองของกับการถ่ายทอดสดกีฬา (live sport) บนแพลตฟอร์มของตัวเอง อย่างรายการกอล์ฟ Netflix Cup, รายการเทนนิส Netflix Slam และไม่นานมานี้กับมวยหยุดโลก เจค พอล VS ไมค์ ไทสัน

คำถามว่า WWE จะได้อะไรจากความร่วมมือครั้งนี้?

อย่างแรกคือจำนวนผู้ชมที่คาดหวังได้ว่าจะสูงขึ้นกว่าเดิม เพราะฐานสมาชิกของ Netflix ทั่วโลกมากถึง 282 ล้านคน จาก 190 ประเทศทั่วโลก และสมาชิกเหล่านี้สามารถรับชมได้โดยไม่มีการคิดค่าบริการเพิ่มเติมแต่อย่างใด (ยกเว้นบางแพ็กเกจที่จะมีโฆษณาแทรกบ้าง)

ในวันเปิดตัววันแรกเมื่อ 6 มกราคม 2025 ที่ผ่านมา Netflix เปิดเผยว่ามีจำนวนผู้ชมสดๆ ถึง 4.9 ล้านคน หรือคิดเป็น 2.6 ล้านครัวเรือน ซึ่งสูงกว่าผู้ชมเฉลี่ยของรายการ Raw ในปี 2024 นับเฉพาะในสหรัฐฯ ที่เคยทำไว้ 1.2 ล้านคนถึง 116% และแน่นอนว่าสูงกว่าผู้ชมรายการ Raw โดยเฉลี่ยตลอด 5 ปีที่ผ่านมา

ไม่ใช่แค่นั้น บนโซเชียลมีเดียแฮชแท็ก #WWERaw ก็ติดเทรนด์อันดับ 1 ในสหรัฐฯ, บราซิล, ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร และ #RawonNetflix ก็ติดเทรนด์ในบราซิล, เม็กซิโก, สเปน และสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน

วันนั้นวันเดียวมีผู้ชมคอนเทนต์ Raw ในวันแรกสูงถึง 223 ล้านคน สูงกว่าทุกเอพิโสดของ Raw ในปี 2024

เรียกว่าเป็นตัวเลขที่ทำให้ผู้บริหารของ WWE รวมถึง Netflix ยิ้มกว้าง เพราะมองเห็นโอกาสที่สดใส เมื่อสิ่งสำคัญที่สุดคือการทำให้คนสนใจ และพวกเขาทำได้สำเร็จแล้ว 

โดยเฉพาะฝั่ง WWE ที่ดีใจเป็นพิเศษเพราะเป็นเหมือนการพาตัวเองไปเดินแจกนามบัตรให้ทุกคนอีกครั้ง และเป็นย่านที่มีคนรุ่นใหม่เต็มไปหมด โดยที่ตอนนี้ทุกคนสามารถดู WWE ได้ทุกที่ทุกเวลา เพราะมันอยู่บนมือของเราเอง

“สวัสดีครับ ผมชื่อ WWE ผมเล่นมวยปล้ำสนุก มาดูผมกันเยอะๆ นะ”

ขณะที่ Netflix เองก็ต้องการเปิดตลาดใหม่ๆ เพราะลำพังการฝากความหวังกับซีรีส์ หนังอย่างเดียวไม่ต่างอะไรจากการผูกเชือกมัดมือตัวเอง ถึงตลาดกีฬาจะเป็นสนามที่พวกเขาไม่คุ้นเคยแต่ก็เริ่มรู้จักกันมากขึ้น โดย WWE คือคอนเทนต์กีฬาจริงจังครั้งแรก และจะมีอีกมากมายตามมาแน่นอน โดยก่อนนี้ก็ซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกหญิงปี 2027 และ 2031 มาเป็นที่เรียบร้อย

ถามว่ามีโอกาสไหมที่ Netflix จะซื้อลิขสิทธิ์กีฬาสุดฮิตในระดับโกลบอลอย่างฟุตบอลพรีเมียร์ลีก, รถแข่ง F1, บาสเกตบอล NBA หรืออเมริกันฟุตบอล NFL ในอนาคต? ตอนนี้ยังบอกได้ว่าไกลตัว เพราะยุทธศาสตร์ของ Netflix จะเน้นไปที่รายการรองแต่มีเรื่องเล่าหรือเรื่องราวที่น่าสนใจ

แต่ Never Say Never ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ อย่างน้อยครั้งนี้ก็ถือเป็นการลงสนามครั้งแรกที่น่าสนใจ

เล่ามาถึงตรงนี้ก็รู้สึกเหมือนได้ดูการจับคู่แท็กทีมของสองขาใหญ่ขึ้นมา

ต่างเป็นนักมวยปล้ำที่เก่งในทางของตัวเองซึ่งแตกต่างกัน แต่สามารถผสมผสานลีลาการปล้ำเข้ากันได้อย่างน่ามหัศจรรย์

แน่นอนว่ามีความท้าทายที่รอคอยอยู่สำหรับทั้ง WWE และ Netflix โดยเฉพาะการพยายามรักษากระแสความนิยม เพิ่มความนิยม สร้างการรับรู้ ไปจนถึงเรื่องของการพัฒนาคุณภาพการแข่งขัน การเขียนบท การเล่าเรื่อง การแสดงบนเวที โปรดักชั่น และการคิดคอนเทนต์แวดล้อมต่างๆ

ทำยังไงจะให้คนรุ่นใหม่รักมวยปล้ำเหมือนรุ่นก่อนๆ ที่ผ่านมา นี่คือคู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุด

แต่ตอนนี้อยู่บนเวทีแล้ว ไม่มีคำว่ากลัวหรือเกรงแล้ว

เข้ามาพร้อมๆ กันได้เลย พวกแกทั้งหมดน่ะ!

อ้างอิง

‘ไฟไหม้ชิคาโก’ ประวัติศาสตร์จากกองไฟ เตาเผาดิน กับการเกิดใหม่ของตึกระฟ้า

เวลาที่เรานึกถึงไฟไหม้ใหญ่ เราอาจเห็นภาพหายนะภัยอันยิ่งใหญ่ เห็นเปลวเพลิงที่กลืนกินสรรพสิ่งของมนุษย์เราจนราบเป็นหน้ากลอง

ทว่ามนุษย์เรานี้กลับเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ยอมแพ้ และไฟไหม้กับเมืองค่อนข้างเป็นของคู่กัน 

ถ้าเรามองย้อนไปในประวัติศาสตร์ของเมืองต่างๆ และการพัฒนาเมือง เมืองส่วนใหญ่มักเติบโตขึ้นอย่างไร้ทิศทาง แรกเริ่มมักก่อสร้างอาคารด้วยไม้ ไม่มีการควบคุมการก่อสร้างของอาคาร ไม่มีการควบคุมด้านผังเมืองมากนัก เมืองใหญ่ๆ จึงมักเจอกับไฟไหม้ใหญ่ 

เช่นมหาอัคคีภัยที่เผาเอโดะในปี 1657 ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มของผังเมืองและการรับมือภัยพิบัติอันกลายเป็นรากฐานของโตเกียว ไม่ถึงสิบปีลอนดอนก็เจอไฟไหม้ใหญ่ในปี 1666 นำไปสู่การควบคุมอาคารในเขตเมืองลอนดอนและเกิดกิจการประกันอัคคีภัย

เกือบร้อยปีหลังจากนั้น อเมริกาเริ่มเกิดเมืองใหญ่ขึ้น ชิคาโกเป็นหนึ่งในเมืองที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เมืองชิคาโกในทศวรรษ 1870-1880 เป็นศูนย์กลางสินค้าเกษตรของอเมริกาฝั่งตะวันตก และเป็นเมืองที่สินค้าต่างๆ จะมารวมตัวกันเพื่อป้อนให้กับพื้นที่อุตสาหกรรมของเมือง ทว่าในปี 1871 ชิคาโกได้เกิดเพลิงไหม้ใหญ่ ด้วยเงื่อนไขและจังหวะเวลาที่โลกสถาปัตยกรรมกำลังก้าวไปข้างหน้า

หลังจากไฟไหม้ใหญ่และไฟไหม้ซ้ำ เมืองชิคาโกซึ่งกำลังต้องการการสร้างเมืองโดยเฉพาะพื้นที่การค้ากลางเมืองขึ้นจึงพลิกวิกฤตเป็นโอกาสสำคัญ ด้วยความบรรจบกันระหว่างความคิดทางสถาปัตยกรรมและการออกแบบแบบใหม่ การเป็นพื้นที่รวมตัวกันของสถาปนิกหัวก้าวหน้า และการมาถึงของนวัตกรรมทั้งการก่อสร้างด้วยโครงสร้างเหล็กและลิฟต์ ทั้งหมดนี้ทำให้กลางเมืองของชิคาโกเริ่มกลายเป็นภาพกลางเมืองที่เราคุ้นเคย คือการพุ่งตัวขึ้นของอาคารรูปแบบใหม่ซึ่งมีขอบฟ้าเป็นเครื่องประดับ

ตึกระฟ้า ย่านกลางเมือง กลุ่มอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้าซึ่งเป็นหน้าตาของเมืองที่คุ้นเคย พัฒนาการสำคัญเกิดขึ้นที่ชิคาโก กลางเมืองใหม่ของชิคาโกจึงเป็นอีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงที่มีการเปลี่ยนความคิด เทคนิคของสถาปัตยกรรม กระทั่งเป็นพื้นท่ีแสดงฝีมือของสถาปนิกที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในบิดาของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของอเมริกา และเป็นบิดาของตึกสูง ‘หลุยส์ ซัลลิแวน’ สถาปนิกหนุ่มผู้ประดับอาคารด้วยความวิจิตรแบบคลาสสิก และเป็นเจ้าของแก่นของงานออกแบบสำคัญ คือ form follows function

ไฟไหม้ใหญ่ และเวลาที่เป็นเงินเป็นทอง

ก่อนจะคุยเรื่องไฟไหม้ และการที่ชิคาโกกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ มีการถกเถียงบ้างว่า การเป็นเมืองตึกระฟ้า เป็นพื้นที่เมืองสมัยใหม่ที่ก้าวกระโดดขึ้น อาจจะไม่ได้เป็นผลโดยตรงจากไฟไหม้ซะทีเดียว แต่สัมพันธ์กับบริบทอื่นๆ มากมาย 

เช่นช่วงนั้นกระแสสถาปัตยกรรมสมัยใหม่และนวัตกรรมการก่อสร้างเช่นโครงสร้างเหล็กและอาคารสูงก็มีการพัฒนาขึ้นในพื้นที่อื่นๆ อย่างนิวยอร์ก ที่สำคัญสถาปนิกและวิศวกรต่างๆ ก็เดินทางไปมาในหลายๆ เมืองใหญ่ที่กำลังเติบโตขึ้น 

ประกอบกับ Panic of 1873 ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปที่ถดถอยลงจากหลายปัจจัย เช่น สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย (1870) เงินเฟ้อ การลงทุนขนานใหญ่โดยเฉพาะรถไฟ ไฟไหม้ใหญ่ในชิคาโกที่ติดตามมาด้วยไฟไหม้ใหญ่ในบอสตัน (1872) เมื่อวิกฤตเศรษฐกิจคลายตัว การลงทุนและการฟื้นขึ้นในฐานะเมืองตึกระฟ้าถึงกลับมาอย่างเป็นรูปธรรม

แต่เอาเป็นว่า ชิคาโกเป็นเมืองที่เปลี่ยนหน้าตาหลังจากไฟไหม้ใหญ่โดยใช้เวลาราว 20 ปี จากแต่เดิมเป็นเมืองไม้ ตึกก่ออิฐที่เคยมีก็เป็นตึกสูงแค่ 4-5 ชั้น (เริ่มมีลิฟต์แล้ว) มาสู่ความเป็นดาวน์ทาวน์ที่ประกอบด้วยอาคารพาณิชย์ สำนักงาน ห้าง และตึกระฟ้าสูงสิบชั้น เมืองชิคาโกถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยความหวังและนวัตกรรมความก้าวหน้า ซึ่งถ้ามองย้อนไป เป็นความก้าวหน้าที่เดินบนเงื่อนไขร้อยแปดทั้งเศรษฐกิจตกต่ำ ภาวะข้าวยากหมากแพง ภัยพิบัติทั้งไฟไหม้ น้ำท่วม แต่ทั้งหมดนี้ฉุดรั้งชิคาโกไว้ไม่ได้

กลับมาที่ไฟไหม้ ชิคาโกเกิดเพลิงไหม้ใหญ่ที่เรียกว่ามหาอัคคีแห่งชิคาโก (Great Chicago Fire) เป็นเพลิงไหม้ใหญ่ที่กินเวลาสามวันสามคืน เริ่มต้นในโรงงานแห่งหนึ่งวันที่ 7 ตุลาคม ต้นเพลิงแรกถูกดับได้ในบ่ายของวันที่ 8 ทว่าไฟกลับลุกขึ้นอีกครั้งในช่วงค่ำวันนั้น ลุกลามกลายเป็นไฟไหม้ใหญที่ค่อยๆ ลามจากย่านดาวน์ทาวน์ ข้ามแม่น้ำไปยังพื้นที่ทางตอนใต้ของเมือง เพลิงไหม้ตั้งแต่วันที่ 8-10 ตุลาคม ย่านสำคัญคือย่านธุรกิจกลางเมืองราบเป็นหน้ากลอง ย่านพักอาศัยไม่น้อยเสียหาย พื้นที่ที่กลายเป็นเถ้าถ่านกินพื้นที่แนวยาวราว 4 ไมล์

ไฟแห่งชิคาโกในครั้งนั้นรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 300 ราย อาคาร 18,000 หลังถูกทำลาย ผู้คนราวหนึ่งแสนคน หรือ 1 ใน 3 ของเมืองไร้ที่อยู่อาศัย แต่เงื่อนไขทางเศรษฐกิจของเมืองเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชิคาโกต้องรีบลุกขึ้น 

ในตอนนั้นชิคาโกเริ่มเป็นเมืองอุตสาหกรรมแล้ว รางรถไฟและท่าเรือพาเอาผลิตผลทางการเกษตรเข้าแปรรูป ไม่ว่าจะเป็นธัญพืช เนื้อสัตว์ ไม้ รวมถึงอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า ทั้งชิคาโกเองเริ่มเป็นศูนย์กลางการค้าและการเงินของภูมิภาค ดังนั้นไฟไหม้ใหญ่ของชิคาโกซึ่งส่วนใหญ่มีประกันอัคคีภัย จึงไม่มีเวลาให้หายใจ ผู้ประกอบการต้องการสร้างอาคารกิจการของตัวเองขึ้นในทันที

ในวันแรกเมื่อไฟมอดลง หนังสือพิมพ์ Chicago Tribune ได้เผยแพร่ข้อความเรียกขวัญกำลังใจและผู้คน โดยพาดหัวว่า ‘ไปที่ชิคาโกเดี๋ยวนี้! คนหนุ่มทั้งหลาย ผู้เฒ่าผู้แก่ส่งลูกชายของคุณไป ภรรยาจงส่งสามีของคุณไปที่นั่น คุณไม่มีวันจะมีโอกาสจะหาเงินได้แบบนี้อีกแล้ว’ (Young men, hurry there! Old men, send your sons! Women, send your husbands! You will never again have such a chance to make money!)

ในช่วงแรกเอง เมืองชิคาโกก็เริ่มมีกฎควบคุมเพื่อการป้องกันอัคคีภัย ในแง่นวัตกรรมการก่อสร้าง แม้แต่ก่อนไฟไหม้ชิคาโกเริ่มมีการใช้เหล็กกล้าในการก่อสร้าง ซึ่งตอนนั้นหวังกันว่าจะช่วยป้องกันไฟไหม้ได้ ผลคือเหล็กกล้ากลับหลอมละลายและกลายเป็นเชื้อไฟสำคัญในไฟไหม้ใหญ่ของชิคาโกด้วย

ดินเผา และผลทางอ้อมของการควบคุมอาคาร

หลังไฟไหม้เจ้าของกิจการยังคงสร้างอาคารด้วยหน้าตาเหมือนก่อนไฟไหม้ ประกอบกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่อเมริกาเผชิญความฝืดเคืองซึ่งมาคลี่คลายเอาช่วงต้นทศวรรษ 1880 ในช่วงหลังไฟไหม้

การพยายามปรับปรุงมาตรการเรื่องอาคารและการป้องกันไฟไหม้ไม่ค่อยได้รับความร่วมมือ เช่นการบอกว่าห้ามสร้างบ้านด้วยโครงสร้างไม้ ซึ่งการต้องก่อสร้างด้วยเหล็กหรือปูนมีราคาแพง ทำให้คนชั้นกลางระดับล่างโดยเฉพาะผู้อพยพเยอรมันที่มาตามหาความฝันอเมริกันจ่ายการสร้างบ้านในย่านกลางเมืองของชิคาโกไม่ไหว

เงื่อนไขที่สำคัญอีกด้านคือความเข้าใจเรื่องวัสดุหรือเทคนิคการก่อสร้างทนไฟที่ยังไม่มีประสิทธิภาพพอ ในตอนนั้นเหล็กหล่อ (cast iron) เป็นความหวังสำคัญ แต่ในที่สุดไฟไหม้ที่ชิคาโก ต่อด้วยบอสตัน และไฟไหม้ชิคาโกซ้ำในปี 1874 ก็เป็นคำตอบว่าความรู้ด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมการก่อสร้างของมนุษย์ยังต้องทดลองต่อไป

อีกความโชคดีคือ ในปี 1874 นอกจากเมืองจะตื่นตัวเรื่องนวัตกรรมการป้องกันไฟที่ต้องจริงจังกันแล้ว ในปีนั้นสถาปนิกชื่อ Peter Wight ได้ทดลองระบบป้องกันไฟด้วยการทดสอบเสาที่ใช้วัสดุเหล็ก ทว่าการทดสอบของแกทดลองเผาเสาจากเหล็กที่ว่าด้วย ‘เตาดินเผา (terra cotta)’ 

แกเองก็เอ๊ะว่า อ้าว ดินเผามันทนไฟนี่นา จากความรู้นั้น เหล็กหล่อโล้นๆ ถ้าปิดผิวด้วยวัสดุดินเผาเช่นกระเบื้อง (ถ้าจำได้ในตอนที่เราพูดถึงการเกิดขึ้นของร้านยะไต ความรู้นี้เป็นแบบเดียวกันกับที่เอโดะสั่งให้ล้อมวัดด้วยกำแพงในศตวรรษที่ 17) หลังจากไฟไหม้และความรู้ดังกล่าว ทางเมืองก็ออกกฎว่าห้ามสร้างอาคารด้วยโครงสร้างไม้อย่างเดียวอีกต่อไป แต่ต้องใช้วัสดุต่างๆ คือถ้าไม่สร้างด้วยอิฐ หิน ก็ต้องเป็นวัสดุเช่นเหล็กที่คลุมด้วยดินเผาอีกชั้น 

ผลคือเมื่อกฎกลายเป็นข้อบังคับ ย่านกลางเมืองของชิคาโกจึงต้องสร้างด้วยอาคารโครงสร้างอิฐหรือเหล็กกรุด้วยดินเผาเท่านั้น ผู้คนที่จ่ายไม่ไหวเช่นกลุ่มแรงงานและผู้อพยพจำเป็นต้องย้ายออกจากพื้นที่กลางเมือง

ตรงนี้เป็นความก้าวหน้าที่น่าเศร้า คือกฎความปลอดภัยใหม่ของเมืองกำลังขับไล่ผู้มีรายได้น้อยออกไปจากกลางเมืองชิคาโกซึ่งล้อมด้วยรถไฟและแม่น้ำ เจ้าของที่ดินที่อยู่ หรือนักลงทุนที่จ่ายไหวจึงเข้าจับจองพื้นที่ พื้นที่กลางเมืองจึงแออัดน้อยลง แต่พอผลักดันผู้คนออกไป กลางเมืองก็ปลอดภัยมากขึ้น

ลิฟต์ โครงกระดูกเหล็ก และชิคาโกสีเอิร์ทโทน

การมาของดินเผาเป็นการมาทั้งของกิจการกระเบื้องและเครื่องตกแต่งที่ผลิตจากดินเผา เป็นการผสานกันของนวัตกรรมการก่อสร้าง คือโครงสร้างเหล็กแบบใหม่ที่เรียกว่าโครงสร้างกระดูกหรือ skeleton construction ประกอบกับการมาของนวัตกรรมสำคัญอย่างลิฟต์ 

ถือเป็นการรวมพลังกันของโครงสร้างอาคารเหล็ก การปิดวัสดุเหล็กด้วยกระเบื้องดินเผา งานประติมากรรมดินเผา และลิฟต์ ซึ่งรวมกับอีกหลายเงื่อนไขเช่นความต้องการพื้นที่เชิงพาณิชย์จำนวนมาก ที่ต่อมาขยายไปสู่ความต้องการที่พักอาศัย 

เทคนิคก่อสร้างแบบโครงสร้างเหล็กเป็นความสำเร็จของกลุ่มสถาปนิกและวิศวกรโครงสร้างของชิคาโกซึ่งต่อมาเรียกรวมว่าเป็น ‘ชิคาโกสกูล’ ย้อนไปในยุคนั้น นวัตกรรมการก่อสร้างเช่นงานโครงสร้างและเหล็กมีมานานแล้ว แต่มักใช้ในการก่อสร้างขนาดใหญ่เช่นสะพานหรือสาธารณูปโภคขนาดยักษ์ สถาปนิกกลุ่มชิคาโกเป็นสถาปนิกหัวก้าวหน้าซึ่งทดลองนำเอาเทคโนโลยีการก่อสร้างมาใช้ในอาคารสเกลการลงทุนของเอกชน

เจ้าโครงสร้างเหล็กแบบกระดูกเป็นลักษณะโครงสร้างที่ถ่ายน้ำหนักแบบใหม่แตกต่างไปจากการก่อด้วยกำแพง การประยุกต์ใช้นี้ทำให้ตัวอาคารสามารถสร้างสูงขึ้นได้โดยแทบไม่มีข้อจำกัด ผนังหรือกำแพงของอาคารลดภาระการรับน้ำหนักลง ทำให้การออกแบบหน้าตาช่องแสงก็ทำได้อย่างอิสระขึ้น กว้างขวาง โปร่งโล่งขึ้น และแน่นอน ลิฟต์ยังทำให้การออกแบบพื้นที่ในแนวตั้งเป็นไปได้

ในระยะแรกของโปรเจกต์ก่อสร้างโดยสถาปนิกในชิคาโก ตอบสนองกลุ่มพื้นที่พาณิชย์เป็นหลัก กระแสของกลุ่มชิคาโกเรียกว่าเป็นตึกแบบ Chicago Commercial Style เป็นอาคารสูงสิบชั้นขึ้นไป อาคารอันเป็นหมุดหมายของสถาปัตยกรรมและการใช้ชีวิต รวมถึงหน้าตาของกลางเมืองหรือย่านธุรกิจใหม่คืออาคาร Home Insurance Building สร้างเสร็จหลังไฟไหม้ 14 ปี

หน้าตาตึกแบบชิคาโกยังปรากฏอยู่ในหลายอาคารทั้งของชิคาโกและอีกหลายเมืองของสหรัฐฯ คำว่ากระเบื้องดินเผาเป็นหน้าตาอาคารที่เราอาจจะพอนึกออก คือเป็นตึกสูง มีช่องหน้าต่างสูงๆ ปิดด้วยแผ่นกระเบื้อง ตัวอาคารมักตกแต่งด้วยบัวหรือลวดลายซึ่งจริงๆ เป็นบล็อกสำเร็จรูป

ย้อนไปยังกิจการกระเบื้องหรือแผ่นดินเผา สัมพันธ์กับการก่อตั้งบริษัท Northwestern Terra Cotta Company ในปี 1878 กิจการแผ่นดินเผาเริ่มที่การจ้างงานช่างฝีมือจากยุโรป และเมื่อเมืองออกกฎการกรุโครงสร้างอาคารเหล็กด้วยแผ่นดินเผาเหล่านี้ สินค้าของโรงงานจึงมีตั้งแต่แผ่นดินเผาที่ใช้กรุ ไปจนถึงเครื่องประดับอาคารทั้งภายในและภายนอก

ความพิเศษของแผ่นดินเผาคือพวกมันเบา ทนไฟ ด้วยป้องกันเหล็กจากความร้อน ไปจนถึงหน้าตาของดินเผาคือสีพวกมันทำให้ตึกระฟ้าใหม่ๆ ที่ผุดขึ้นกลางชิคาโกมีสีสันที่อบอุ่นอ่อนนุ่ม คือสีอิฐ ปูนแดง ไปจนถึงสีครีม ทั้งตัวดินเผายังถูกนำไปออกแบบเป็นลวดลาย เป็นงานปั้นนูนต่ำ ทำให้อาคารสูงเริ่มมีสุนทรียภาพแบบใหม่ขึ้น

อาคารที่งดงามและมีความหมายทุกตารางนิ้ว

ผู้นำสำคัญของชิคาโกสกูลมีหลายคน ส่วนใหญ่คนเหล่านี้คือคนรุ่นใหม่ๆ ที่มีความรู้และนำเอาความคิด นวัตกรรมเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องสิ่งปลูกสร้างและรับงานในเมืองชิคาโก คนสำคัญๆ เช่น William Le Baron Jenney วิศวกรที่เคยทำงานในการสร้างรางรถไฟและได้นำความก้าวหน้าทางวิศวกรรมมาใช้ในการสร้างอาคารโครงสร้างเหล็ก ซึ่งก็คือ Home Insurance Building หลังจากอาคารสำคัญสร้างเสร็จ สถาปนิกคนอื่นๆ ก็นำเอาเทคโนโลยีไปใช้ด้วย

หลังจากอาคาร Home Insurance Building ซึ่งเป็นอาคารสำนักงาน เลอบารอนก็ได้นำเอาเทคนิคโครงสร้างเหล็กไปใช้ออกแบบห้างสรรพสินค้า The Fair Building ตัวห้างแฟร์ถือเป็นหมุดหมายและคำประกาศทางสถาปัตยกรรมจากอาคารนวัตกรรมได้ คือนอกจากการเป็นตึกสูง 9 ชั้นแล้ว เลอบารอนยังขยายศักยภาพของอาคารให้สอดคล้องกับการใช้งานเช่นการทำให้ชั้นล่างของอาคารเป็นกระจกเกือบทั้งหมด (ทำได้ด้วยโครงสร้างเหล็ก) ห้างกระจกขายพื้นที่การวางและมองเห็นสินค้าให้มากที่สุด

การนำเอานวัตกรรมมาสู่สถาปัตยกรรมซึ่งรูปลักษณะและการใช้งานอาคารกำลังเปลี่ยนอารยธรรมมนุษย์และความงามของเราไปอย่างสิ้นเชิง ภาพของอาคารสูงที่ถูกขึงด้วยโครงสร้างเหล็ก แนวเสาและกำแพงที่ไม่ถูกจำกัดด้วยการรับน้ำหนัก แนวกระจกตัดกับแนวเสาสูง ดินแดนสำคัญเช่นห้าง ออฟฟิศ ร้านค้า ต่อมาขยายไปสู่พื้นที่พักอาศัยที่อนุญาตให้เราใช้ชีวิตในแนวสูง มองเห็นขอบฟ้า และทำให้ขอบฟ้าของมหานครเปลี่ยนไปตลอดกาล 

นอกจากเลอบารอนแล้ว สถาปนิกอีกคนที่เราอยากพูดถึงคือ Louis Sullivan อีกหนึ่งสถาปนิกที่ได้รับฉายาว่าเป็นบิดาแห่งตึกระฟ้า หลุยส์ ซัลลิแวน จบการศึกษาจาก MIT และจบการศึกษาวิจิตรศิลป์จากปารีส หลังไฟไหม้ไปทำงานที่ฟิลาเดลเฟียกับปรมาจารย์ Frank Furness ทว่าด้วยผลของเศรษฐกิจตกต่ำ ช่างเขียนแบบหนุ่มวัย 17 ปีจึงถูกเลย์ออฟและตัดสินใจเดินทางกลับมาอยู่กับพ่อแม่ที่ชิคาโกและเริ่มสร้างผลงานที่ชิคาโก

เหตุที่เราชอบและขอเอ่ยถึงหลุยส์ ซัลลิแวน เป็นการพิเศษคือ ซัลลิแวนภายหลังคาดกันว่าน่าจะเป็นสถาปนิกที่เป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ แกไม่แต่งงาน ร่วมคลับสุภาพบุรุษ และมีจุดเด่นในการประดับตึกสูงด้วยเครื่องประดับอาคารมีความวิจิตรบรรจงเช่นการใช้ลายเครือดอกไม้ เถาวัลย์ และองค์ประกอบแบบคลาสสิกอื่นๆ 

แน่นอนว่าซัลลิแวนได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของตึกระฟ้า และซัลลิแวนเป็นผู้ที่นำเอากรอบความคิดแบบคลาสสิกและอธิบายว่าตึกระฟ้ามี ‘ภาษา’ และสุนทรียะเป็นของตัวเอง ความสวยงามของตึกระฟ้ามาจากความคิดเรื่องอรรถประโยชน์ และซัลลิแวนเป็นผู้กล่าวประโยคอมตะ form follows function ในฐานะหัวใจของสถาปัตยกรรมและการออกแบบสมัยใหม่

คำว่าฟังก์ชั่นมาก่อนรูปลักษณ์ส่วนหนึ่งมาจากการคิดเรื่องอาคารที่พวกมันพุ่งขึ้นเสียดฟ้า รูปลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่นั้นสะท้อนฟังก์ชั่นของพวกมันคือการสะท้อนโครงสร้างที่ทำให้พวกมันตั้งตรงได้ และพื้นที่ใช้สอยของเมืองที่เราต้องการเพิ่มขึ้น

มุมมองของซัลลิแวนได้รับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมคลาสสิก ซึ่งอ้างจากงานเขียนของสถาปนิกโรมันในงานเขียนชื่อ De architectura (On architecture) ของ Marcus Vitruvius Pollio กฎ 3 ประการของโครงสร้างคือ firmitas, utilitas, venustas ซึ่งก็คือความมั่นคง มีประโยชน์ และสวยงาม (“solid, useful, beautiful)

ด้วยอิทธิพลและหลักคิด อาคารที่ถูกออกแบบขึ้นจึงตอบสนองทั้งเงื่อนไขด้านโครงสร้าง และอาคารแต่ละหลังออกแบบโดยรองรับฟังก์ชั่นการใช้งาน จุดเด่นหนึ่งและอิทธิพลของซัลลิแวนนอกจากจะอยู่ที่การประดับอาคารที่ได้อิทธิพลจากศิลปะคลาสสิกเช่นลายพฤกษาหรือการใช้ซุ้มโค้งและแนวเสาแล้ว ซัลลิแวนยังแบ่งอาคารออกเป็นห้าส่วนตามการใช้สอยชั้นต่างๆ 

เช่นพื้นที่ใต้ดินใช้สำหรับงานระบบต่างๆ ชั้นโถงเป็นพื้นที่โล่งโปร่งใช้สำหรับร้านค้า ธนาคาร และอื่นๆ ส่วนที่สามเป็นชั้นลอย โปร่งโล่งด้วยกระจก และชั้นถัดไปเป็นชั้นสำนักงานที่มีจำนวนชั้นไม่จำกัด และส่วนที่ 5 คือส่วนยอด เป็นงานระบบซึ่งทำงานร่วมกับพื้นที่ที่อยู่ส่วนใต้ดิน ดังนั้นหน้าตาหรือองค์ประกอบตึกสูงทุกวันนี้ที่มีโถง ที่มีร้านค้าธนาคารแยกส่วนขึ้นไปเป็นชั้นสำนักงานที่แบ่งเป็นพื้นที่เล็กๆ กระจายตัวขึ้นไป และการแบ่งส่วนบนของอาคารที่มักมีการแบ่งเป็นพื้นที่ทั้งรองรับงานระบบหรือเป็นพื้นที่สันทนาการอื่นๆ เช่นสวน ร้านอาหาร หรือพื้นที่สันทนาการลอยฟ้าอื่นๆ 

ในแง่ของโครงสร้างด้านนอก ซัลลิแวนได้รับอิทธิพลจากเสาแบบกรีกที่ประกอบด้วยฐาน ตัวเสา และยอดเสา (base, shaft, and cornice) ทำให้ตึกของซัลลิแวนมีการประดับส่วนบนของตึกซึ่งเป็นจุดเด่นของสถาปัตยกรรมตึกสูงที่ซัลลิแวนได้นำเอาวิธีคิดแบบคลาสสิกกลับมาตกแต่งให้ตึกสูงของเราไม่แห้งแล้ง เกิดเป็นสุนทรียภาพรูปแบบใหม่ในสถาปัตยกรรม

ประเด็นเรื่องไฟไหม้ชิคาโกเป็นอีกหนึ่งจังหวะสำคัญของชิคาโก ที่ประจวบเหมาะทั้งการเป็นพื้นที่ที่นักออกแบบและนักคิดรุ่นใหม่ๆ เข้ามาร่วมทำงาน เป็นจังหวะที่ความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจบางเบาลง เกิดนวัตกรรมสำคัญเช่นการก่อสร้างโครงสร้างเหล็ก และบทบาททั้งความงามและการป้องกันไฟของกระเบื้องและวัสดุตกแต่งดินเผา 

ภายหลังสถาปนิกกลุ่มชิคาโกหลายคนก็เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจอีกครั้ง และอาคารสูงก็เริ่มเปลี่ยนความนิยมไปสู่รูปลักษณ์ที่เรียบง่ายกว่า ไม่มีการประดับประดาด้วยวัสดุหรือรูปทรงแบบคลาสสิกอีกต่อไป ทว่าการปิดอาคารด้วยดินเผายังเป็นสิ่งที่พบได้ทั้งในตึกสูง อาคารต่างๆ ไปจนถึงบ้านเรือนทั้งในชิคาโกและนิวยอร์ก

และนี่คืออีกหนึ่งประวัติศาสตร์จากกองไฟ จากเตาเผาดิน ถึงการกลายเป็นตึกระฟ้า อีกหนึ่งอาณาจักรที่พามนุษย์เราขึ้นไปใช้ชีวิตบนหมู่เมฆ และทำให้เส้นขอบฟ้าของเมืองมหานครกลายเป็นอย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้

อ้างอิงข้อมูลจาก

เตรียมตัวให้พร้อม! วีกเอนด์นี้แล้วที่ Creative House by CEA : Creativity x Business

เตรียมตัวให้พร้อม! วีกเอนด์นี้แล้วที่ Creative House by CEA : Creativity x Business หนึ่งในแคมเปญของงาน Bangkok Design Week 2025 จะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ

Creative House By CEA: Creativity x Business ไม่เพียงแค่สร้างโอกาสทางธุรกิจ แต่ยังเปิดโอกาสให้คุณได้สัมผัสและช้อปสินค้าสุดสร้างสรรค์จากผู้ประกอบการโดยตรง

🛍️ เสาร์-อาทิตย์ที่ 8-9 และ 15-16 กุมภาพันธ์ – โซน Show & Shop เปิดให้ทุกคนเข้ามาพูดคุย ชิตแชตกับผู้ประกอบการ พร้อมเลือกช้อปสินค้าดีไซน์สุดพิเศษกลับบ้านแบบจัดเต็ม!

✨ จันทร์-ศุกร์ที่ 10-14 กุมภาพันธ์ – เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจเจรจาและเชื่อมต่อโอกาสทางธุรกิจกับผู้ประกอบการ ทั้งยังมีกิจกรรมอัดแน่น

ไม่ว่าจะเป็น Panel Talk วงสนทนาขนาดย่อม, Workshop กิจกรรมเวิร์กช็อปที่เปิดให้ลงมือทำจริง และ Live Demo การแสดงการทำผลงานกันแบบสดๆ ไม่ใช้สแตนด์อิน ว่าแต่กิจกรรมครั้งนี้จะมีอะไรบ้าง ไปชมกัน

Creative House By CEA: Creativity x Business เป็นแคมเปญที่คัดสรรผู้ประกอบการและนักสร้างสรรค์ไทยกว่า 60 ราย มาแสดงศักยภาพและเชื่อมต่อโอกาสทางธุรกิจในงาน Bangkok Design Week 2025 นอกจากนั้นยังมีการเจรจาธุรกิจ การเปิดตัวสินค้า เสวนา เวิร์กช็อป และอีกมากมาย

ฟรี! งานนี้เปิดให้ดาวน์โหลด Business Directory ดิจิทัลบุ๊กที่รวบรวมข้อมูลธุรกิจสร้างสรรค์ของผู้เข้าร่วมกว่า 60 ราย ดาวน์โหลดได้ที่ shorturl.asia/zxvCt

📍 พบกันวันที่ 8-16 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 11:00-22:00 น. ณ Creative Space ชั้น 5, TCDC กรุงเทพฯ

Learn to Earn ให้ทุนผู้ช่วยพยาบาล เน้นการศึกษาแบบเรียนไว จบไว และมีงานทำ 

การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญและเป็นหนึ่งในแรงผลักดันที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนได้ มูลนิธิเอสซีจี จึงเดินหน้าส่งเสริมการศึกษาเชิงอาชีพผ่านแนวคิด ‘Learn to Earn – เรียนรู้เพื่ออยู่รอด’ มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะและประสบการณ์ของเยาวชนให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีความต้องการสูง 

หนึ่งในโครงการสำคัญคือทุนการศึกษาหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล ซึ่งร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ตั้งแต่ปี 2563 เพื่อผลิตบุคลากรด้านสุขภาพให้สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้รวดเร็วขึ้น

จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ปัจจุบันอัตราส่วนพยาบาลต่อประชากรในไทยอยู่ที่ 1 ต่อ 250 คน ซึ่งยังต่ำกว่ามาตรฐานที่ตั้งเป้าไว้ที่ 1 ต่อ 200 คน ภายในปี 2577 แม้ว่าจะมีความพยายามผลิตบุคลากรเพิ่มเติม แต่การเรียนพยาบาลต้องใช้เวลาถึง 4 ปี ขณะที่งานหลายส่วนสามารถกระจายไปยังผู้ช่วยพยาบาลได้ ซึ่งใช้เวลาเรียนเพียง 1 ปี จึงเป็นโอกาสสำคัญในการเพิ่มบุคลากรเข้าสู่ระบบสาธารณสุขได้รวดเร็วขึ้น

รศ. นพ.ตรีภพ เลิศบรรณพงษ์ รองคณบดีฝ่ายการศึกษาก่อนปริญญา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวว่าที่ผ่านมาโรงพยาบาลศิริราชผลิตผู้ช่วยพยาบาลได้เพียง 200 คน ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของโรงพยาบาลเอง รวมถึงตลาดแรงงานภายนอก ส่งผลให้พยาบาลและผู้ช่วยพยาบาลต้องทำงานอย่างหนักเกินกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน นอกจากนี้ความต้องการผู้ช่วยพยาบาลยังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย ทำให้อาชีพนี้กลายเป็นสายงานที่มีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง 

ภายใต้แนวคิด Learn to Earn มูลนิธิเอสซีจีจึงมุ่งเน้นให้ทุนการศึกษาในหลักสูตรที่สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้เร็ว และมีโอกาสเติบโตในสายอาชีพ โดยเฉพาะอาชีพที่เป็นที่ต้องการของประเทศ ปัจจุบันได้ให้ทุนการศึกษาหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาลไปแล้ว 179 ทุน คิดเป็นงบประมาณกว่า 4 ล้านบาท ซึ่งผู้รับทุน 100% มีงานทำทันทีหลังเรียนจบ

ภัชราภรณ์ กาลเขว้า นักเรียนทุนรุ่นปัจจุบันได้แชร์ประสบการณ์ว่า “ก่อนมาเรียน คิดว่าผู้ช่วยพยาบาลเป็นงานที่ไม่ซับซ้อน แต่เมื่อได้เรียนจริงจึงเข้าใจว่าต้องใช้ทั้งความรู้และทักษะหลายด้าน ทั้งการดูแลผู้ป่วย วัดความดันโลหิต และการประสานงานกับทีมแพทย์ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญต่อการทำงานจริง”

ส่วนเบญจมาศ ไชยศร ศิษย์เก่าผู้ช่วยพยาบาลที่ได้รับทุน และกำลังเรียนต่อพยาบาล กล่าวว่า

“เดิมคิดว่าไม่มีโอกาสเรียนพยาบาลเพราะค่าใช้จ่ายสูง จึงเลือกเรียนผู้ช่วยพยาบาลก่อน เมื่อทำงานแล้ว จึงมีโอกาสเก็บเงินเรียนต่อพยาบาลเต็มตัว และมั่นใจว่าเส้นทางอาชีพนี้จะเติบโตไปได้ไกล”

ทั้งหมดนี้คือผลพวงของ Learn to Earn ที่ต้องการปรับเปลี่ยนมุมมองด้านการศึกษา ให้สอดคล้องกับสภาพตลาดแรงงานและการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเน้นหลักสูตรที่เรียนไว จบไว และมีงานรองรับ ซึ่งไม่เพียงช่วยให้เยาวชนมีอาชีพที่มั่นคง แต่ยังช่วยเสริมสร้างบุคลากรในสายงานที่ขาดแคลนให้แก่ประเทศได้อีกด้วย

Free Download! Business Directory ที่รวมเหล่านักออกแบบและผู้ประกอบการไทยและเทศกว่า 60 เจ้า

Creative House By CEA และ Capital ชวนทุกคนเปิดโลกธุรกิจสร้างสรรค์กับ Creativity x Business : Business Directory ดิจิทัลบุ๊กสุดพิเศษที่รวบรวมข้อมูลธุรกิจและบริการสร้างสรรค์อันโดดเด่นจากผู้ร่วมงานเทศกาล Bangkok Design Week 2025 (BKKDW2025) กว่า 60 เจ้า ที่คัดสรรมาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและจุดประกายโอกาสทางธุรกิจให้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย

🔎 เนื้อหาในดิจิทัลบุ๊กเล่มนี้ประกอบด้วย

✨ Creative Business : ธุรกิจสร้างสรรค์ที่มีเรื่องราวน่าสนใจและสินค้าโดดเด่น

✨ Creative Service : กลุ่มศิลปินและนักออกแบบที่พร้อมให้บริการและร่วมงานกับทุกคนที่สนใจ

✨ Creative District: ผู้ประกอบการและศิลปินในย่านสร้างสรรค์ที่กระจายตัวทั่วกรุงเทพฯ ในงาน BKKDW2025 ครั้งนี้

✨ Creative Excellence Awards 2024 : ผู้ประกอบการและนักสร้างสรรค์ที่การันตีความยอดเยี่ยมด้วยรางวัลจากเวที Creative Excellence Awards 2024

📥 ดาวน์โหลด Business Directory ได้แล้วที่ : shorturl.asia/zxvCt

มาทำความรู้จักนักสร้างสรรค์ไทยและเชื่อมต่อธุรกิจในโลกแห่งความคิดสร้างสรรค์ไปด้วยกัน! ถ้าผู้ประกอบการคนไหนเข้าตา อยากเจรจาหรือแลกเปลี่ยนโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน สามารถ Inbox ให้ทาง Capital ติดต่อประสานงานให้ได้เลย

ส่วนใครอยากพบผู้ประกอบการภายในเล่ม สามารถไปตามชมงานจริงกันได้ช่วง Bangkok Design Week 2025 ทั้งที่ชั้น 5 TCDC และย่านต่างๆ ทั่วกรุง

เช็กอิน 5 ย่าน กับ 5 งานสร้างสรรค์จากการร่วม ‘บวก’ กันของนักออกแบบ ผู้ประกอบการ และชุมชน!

นอกจากการแสดงสินค้าและการออกร้านของเหล่าผู้ประกอบการทั้ง 17 เจ้า ใน Creative House by CEA: Creative x Business แล้ว ในงาน Bangkok Design Week 2025 ครั้งนี้ยังมีการจัดแสดงและกิจกรรมมากมายทั้งในอาคารไปรษณีย์กลาง บางรัก และในย่านต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ ที่กระจายไปยังสถานที่และวันเวลาแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น

📍 8-16 กุมภาพันธ์ ที่ย่านเจริญกรุง-ตลาดน้อย, เยาวราช-ทรงวาด, ปากคลองตลาด และพื้นที่อื่นๆ

📍 15-23 กุมภาพันธ์ ที่ย่านพระนคร, บางลำพู​-ข้าวสาร และพื้นที่อื่นๆ

📍 เฉพาะเสาร์และอาทิตย์ 8-9, 15-16, 22-23 กุมภาพันธ์ ที่ย่านหัวลำโพง, บางโพ และพื้นที่อื่นๆ

ภายใต้ธีม ‘ออกแบบพร้อมบวก’ ครั้งนี้ Capital และ CEA จึงขอพาทุกคนไปเช็กอิน 5 ย่าน ผ่าน 5 งานสร้างสรรค์ที่เกิดจากการร่วมบวกกันของเหล่านักออกแบบ ผู้ประกอบการ และชุมชนต่างๆ พร้อมๆ กัน อ้อ! มากกว่าทั้ง 5 งานคัดสรรครั้งนี้ ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกมาก สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.bangkokdesignweek.com/bkkdw2025

Creative House By CEA: Creativity x Business เป็นแคมเปญที่คัดสรรผู้ประกอบการและนักสร้างสรรค์ไทยกว่า 60 ราย มาแสดงศักยภาพและเชื่อมต่อโอกาสทางธุรกิจในงาน Bangkok Design Week 2025 นอกจากนั้นยังมีการเจรจาธุรกิจ การเปิดตัวสินค้า เสวนา เวิร์กช็อป และอีกมากมาย

ฟรี! งานนี้เปิดให้ดาวน์โหลด Business Directory ดิจิทัลบุ๊กที่รวบรวมข้อมูลธุรกิจสร้างสรรค์ของผู้เข้าร่วมกว่า 60 ราย ดาวน์โหลดได้ที่ shorturl.asia/zxvCt

📍 พบกันวันที่ 8-16 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 11:00-22:00 น. ณ Creative Space ชั้น 5, TCDC กรุงเทพฯ

ศาสตร์แห่งการแคร์ของ Arincare จากซอฟต์แวร์ร้านยา สู่แพลตฟอร์มเชื่อมต่อ healthcare ไทย

ประเทศไทยยืนหนึ่งเรื่อง wellness destination

ประเทศไทยเป็นหนึ่งใน medical hub ที่ดีที่สุดในโลก

เคยได้ยินประโยคข้างต้นกันบ้างไหม หากมองในมุมชาวต่างชาติที่บินข้ามน้ำข้ามทะเลมารักษาในโรงพยาบาลเอกชนก็คงใช่ แต่หากมองในมุมคนไทยด้วยกันเอง มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เข้าใจคำกล่าวที่ว่า เพราะประชากรส่วนใหญ่ของไทยมีโอกาสเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลรัฐเท่านั้น หาใช่โรงพยาบาลเอกชนที่บริการรวดเร็วและสะดวกสบาย 

โรงพยาบาลรัฐที่ขึ้นชื่อว่าดี เชี่ยวชาญ และครบจบ 

หากแต่ต้องเสียเวลานั่งรอคิวเป็นวัน รอคิวผ่าตัดนานหลายเดือน นั่นทำให้ประชากรไทยหลายคนหลุดจากระบบสาธารณสุขไทย บ้างยอมทนความเจ็บป่วยจนหายจากโรคไปเอง แต่กับบางคนที่โชคร้ายก็อาจหายไปจากโลกใบนี้

ยาผีบอกตามตำรับตำราโบราณจึงกลายเป็นหนึ่งในทางออกของการรักษา หากดีขึ้นมาหน่อย ใครที่ต้องการพึ่งยาสมัยใหม่ก็เลือกปรึกษาเภสัชกรใกล้บ้าน นั่นทำให้ร้านขายยาเป็นเสมือนด่านหน้าของระบบสาธารณสุขไทย คอยจ่ายยาให้คนไข้ระหว่างรอคิวรักษา บ้างก็จ่ายยากันจนผูกพันตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า 

สถานะการเป็นด่านหน้านี้เองที่อาจทำให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย ด้วยปริมาณยาและเภสัชกรอาจไม่เพียงพอต่อคนไข้ 

เมื่อกว่า 8 ปีที่แล้ว Arincare ระบบบริหารร้านขายยาและเภสัชกรรมแบบครบวงจรโดยสองผู้ก่อตั้งอย่าง ‘เอ็ม–ธีระ กนกกาญจนรัตน์’ และ ‘หนึ่ง–ชายพงษ์ นิยมกิจ’ จึงเกิดขึ้น เพื่อช่วยเภสัชกรบริหารสต็อกสินค้า รวบรวมข้อมูลลูกค้าและประวัติคนไข้ ทำระบบขายหน้าร้านหรือ POS มีระบบ e-Prescription และ e-Referral ทั้งยังช่วยทำงานเอกสารอีกมาก 

เน้นย้ำว่าบริการดังกล่าว Arincare เปิดให้เภสัชกรและผู้ประกอบการร้านขายยาใช้ฟรี

ขวบปีผ่านไป Arincare ยังเป็นตัวกลางระหว่างร้านขายยาทุกขนาดและบริษัทยาเพื่อกระจายยาสู่ร้านขายยาท้องถิ่นอย่างเท่าเทียม พร้อมทั้งทำราคาที่เข้าถึงได้ ในช่วงโควิด-19 ยังขยายบริการไปสู่การทำ telemedicine มีระบบ AI ที่ช่วยซักประวัติเบื้องต้น ทั้งยังเปิดร้านขายยาของตนเอง 4 แห่ง เพื่อกระจายยาให้ถึงผู้บริโภค

เมื่อต้นปี 2566 Arincare ยังปิดดีล Series B มูลค่า 4,000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ จากกลุ่ม รพ.จุฬารัตน์ และ PTG เพื่อขยายบริการ รวมถึงสร้างระบบนิเวศ health tech ให้คนไทย พร้อมทั้งตั้งเป้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ให้ได้ในปี 2569

ถึงวันนี้ Arincare ไม่ใช่เพียงระบบบริหารร้านขายยาเท่านั้น แต่ถือเป็น tech company ด้านสุขภาพที่ตั้งเป้ายกระดับสาธารณสุขไทยให้เข้าถึงได้มากกว่าเดิม แต่การเดินทางสู่เป้าหมายที่ฝันอาจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ Brand Belief ตอนนี้จึงพาไปสนทนากับเอ็ม

ย้อนกลับไป day 1 คุณทำ Arincare ด้วยความรู้สึกแบบไหน 

ตอนที่ทำ Arincare ครั้งแรก เราเห็นช่องว่างว่าสาธารณสุขบ้านเรามันต่างกับที่เราเคยเห็นที่เมืองนอก ที่เขาทำงานเป็นทีมระหว่างภาครัฐและเอกชน ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาและแคนาดา ไม่ว่าคุณจะเข้าโรงพยาบาลที่ไหน ข้อมูลเชื่อมถึงกันหมด หรือแม้จะไปร้านยา ข้อมูลประวัติการรักษาก็เข้าถึงได้ 

คือรัฐบาลจะไม่ทำแอพฯ เอง ไม่มาทำระบบ POS เอง ไม่มาลงเล่นเอง แต่เขาจะวางกฎหมาย วางโครงสร้างพื้นฐานไว้ให้ แล้วเปิดให้เอกชนเข้ามาต่อยอด เขาแบ่งงานกันทำแบบนี้ แต่ในเมืองไทย รัฐกับเอกชนมันแบ่งแยกกันชัดเจน เวลาเราไปร้านยา ไปโรงพยาบาลเอกชน ประวัติไม่มี เหมือนอยู่กันคนละประเทศ พอมันแยกกันแบบนี้มันทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำสูงมาก  

คำถาม day 1 ของผมคือที่เขาบอกว่า ประเทศไทยนับว่าเป็น medical hub เป็นระดับ world’s best ด้านการแพทย์ ตรงนี้คนไทยเข้าถึงหรือเปล่า หรือเฉพาะคนมีเงิน เพราะล่าสุดผมไปโรงพยาบาลเอกชนระดับ 5 ดาวที่หนึ่ง ตอนที่นั่งรอชำระเงิน มีคนนั่งเล่นเปียโน เล่นไวโอลินให้ฟัง แต่พอไปโรงพยาบาลรัฐบาล ประชาชนจำนวนมากไปรอตั้งแต่ตี 5 กว่าจะเสร็จก็เที่ยง ได้เจอหมอ 10 นาที แล้วคนป่วยรอเต็มไปหมด  

เพราะฉะนั้น ตั้งแต่ day 1 สิ่งที่เราบอกเลยว่าเราจะทำคือ make healthcare affordable คือเราจะทำยังไงให้ healthcare มันเข้าถึงคนหมู่มากให้ได้มากที่สุด ตอน day 1 เราบอกได้เลยว่าในกลุ่มโรงพยาบาลเราไม่มีโอกาสเข้าไป เพราะมันสเกลใหญ่มาก เราเลยมาดูว่าหน่วยไหนในสาธารณสุขที่เข้าถึงคนเยอะ ใกล้ชิดชุมชนมากที่สุด 

เราก็ไปเจอว่าร้านขายยาชุมชนมีเยอะมากในเมืองไทย ตอนที่เราเริ่มเมื่อ 8 ปีที่แล้ว เซเว่นฯ มีไม่ถึง 10,000 สาขา ร้านยามีถึง 20,000 ร้าน มากกว่าเซเว่นฯ 2 เท่า แต่ร้านยาส่วนใหญ่ในเมืองไทยเป็น SME แล้วร้านยาเหล่านี้พอเป็นเอกชนก็ตัวใครตัวมัน ไม่เคยได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเลย เราเลยมองว่า ในช่วงแรก เราอยากทำให้ healthcare เข้าถึงคนได้ง่ายขึ้น 

สิ่งที่เราทำใน day 1 คือ empower pharmacist มันเป็น motto เป็นมิชชั่นแรกของเรา คือทำยังไงให้เขาทำงานได้ดีขึ้น ให้เขาดูแลคนได้ดีขึ้น แต่พอผ่านมา 8 ปีเราก็ค่อนข้าง make progress ได้ค่อนข้างเยอะ จนตอนนี้ก็บอกได้ว่า empower pharmacist น่าจะเล็กไปแล้ว ตอนนี้เราจึงใช้คำว่า make healthcare affordable 

ด้วย motto ที่ใหญ่ขึ้น Arincare เปลี่ยนไปยังไงบ้าง  

เราทำเรื่อง supply chain กับบริษัทยา ตอนนี้นอกจากเราไปช่วยบริหารร้านยาแล้ว เราทำงานกับผู้ผลิต โรงงานยา บริษัทยา ผู้นำเข้ายา เพื่อให้ยามันกระจายไปสู่ร้านยาทั่วประเทศ 

จากที่แต่ก่อนบริษัทยาจะทำงานกับยี่ปั๊วหรือร้านยาใหญ่ๆ ในแต่ละพื้นที่ซึ่งบางครั้งทำให้ร้านยาเล็กๆ ก็เข้าไม่ถึงยาที่จำเป็นบางตัวที่มีจำนวนจำกัด หรือได้ยาบางตัวในราคาที่แพงกว่าคนอื่น แต่ตอนนี้พอเราทำงานโดยตรงกับบริษัทยา กับผู้ค้าส่งเจ้าหลักในไทย และผู้นำเข้า เราสามารถกระจายยาไปถึงร้านยาชุมชนได้ทั่วถึง และราคาถูกลง 

ช่วงโควิด-19 เราก็ทำ telehealth เพื่อเชื่อมให้คนไข้ปรึกษาเภสัชได้ และมียาไปส่งถึงบ้าน ตอนนี้เราพาร์ตเนอร์กับ LINE Thailand ที่จะมี mini app ที่คนสามารถปรึกษาอาการเบื้องต้นกับเภสัชกรได้เลย หากอาการเป็นมาก เขาก็จะแนะนำให้ไปโรงพยาบาล แต่ถ้าเป็นอาการที่พอจะบรรเทาได้ก็จะคอนเนกต์กับร้านยาที่อยู่ใกล้ๆ ให้

ทั้งหมดนี้เกิดจากคุณเห็นช่องโหว่แล้วเราค่อยๆ ไปอุดมัน ถูกไหม

ผมคิดว่ามันเกิดจากการที่เรา focus on users มากกว่า

ตอนแรกมันเป็นคอนเซปต์ที่ง่ายมาก เราทำซอฟต์แวร์ให้เภสัชกรใช้ ระหว่างที่เขาใช้เราก็สังเกตพูดคุยกับเขาว่าเป็นยังไงบ้าง โอเคมั้ย ต้องการอะไรมั้ยเพื่อเพิ่มฟีเจอร์เข้าไป จนวันหนึ่งเราไปสังเกตเห็นว่าร้านยาบางร้านเขาต้องการยาตัวนี้แต่ไม่มี หรือเห็นว่ายาตัวเดียวกัน แต่ราคาต่างกัน 2 เท่าระหว่าง 2 ร้าน เราเลยเริ่มถามเขาว่าในส่วนนี้เราช่วยคอนเนกต์ให้มั้ย เพราะเราคุยกับบริษัทยา เขาเองก็บอกเหมือนกันว่าไม่รู้จะแก้ยังไง เพราะ “มันเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว” 

ไอ้คำนี้ ผมถือว่ามันคือโอกาส ผมว่าถ้ามันไม่เคยเปลี่ยน แล้วมันห่วยมานานแล้ว ถ้าเราทำให้มันดีขึ้นได้มันน่าจะมีโอกาส นี่คือสิ่งที่ทำให้เราอยาก explore เพิ่มว่าเราสามารถทำอะไรที่มัน win-win ได้ไหม แบบนี้ cost ของบริษัทยาก็ลดลง สามารถกระจายของได้ดีขึ้น ร้านยาก็สามารถได้ของที่เขาต้องการให้คนไข้ ในราคาที่เข้าถึงได้ ไม่ต้องโดนชาร์จแพง

ดังนั้นถึงเราจะไม่ได้เก็บค่าใช้ซอฟต์แวร์ของเราก็จริง แต่เราสามารถสร้างรายได้จากการลดความขาดประสิทธิภาพได้ เช่น แทนที่เราจะเก็บจากร้านยา จากเมื่อก่อนต้นทุนคุณเท่านี้ แต่ถ้าเราทำบริการที่มันลดต้นทุนคุณไป 20% ผมขอส่วนแบ่งจากตรงนั้น คือเราขอส่วนแบ่งจากส่วนที่เราสร้างประโยชน์ให้เขาได้ 

เรายังมีช่วยเขาหารายได้ด้วย เราไปดีลกับพาร์ตเนอร์มา มีโครงการแบบนี้ ถ้าคุณทำ คุณได้ค่าตอบแทนเท่านี้ เช่นโครงการวิจัย ให้ร้านยาช่วยทำวิจัยให้และได้ค่าทำวิจัย ตรงนี้เราก็จะขอส่วนแบ่งนิดหนึ่ง จากการที่เราไปช่วยดีล ผมคิดว่ามันก็ win-win

แต่นี่ก็เป็นแค่ตัวอย่าง เพราะจริงๆ แล้ว 10 โปรเจกต์อาจจะเวิร์กแค่ 2-3 เท่านั้นที่เหลืออาจจะเฟล แต่ก็โอเค เพราะมันคือการลอง มันไม่มีใครเคยทำ ถ้าเราไม่ไปลอง มันก็จะยังห่วย ยังช้าเหมือนเดิมไปตลอด

อย่างนั้นคุณนิยามว่า Arincare คืออะไร  

ราเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยบริหารงานเภสัชกรรม อันนี้เป็นนิยามสั้นๆ เพราะมันครอบคลุมเรื่องของยาตั้งแต่การผลิตไปจนถึงผู้บริโภค แต่อย่างที่บอก คอนเซปต์ของเราตั้งแต่วันแรกคือ empower เราไม่ได้จะทำแทนเขา แต่เราเหมือนเป็น facilitator ที่เข้าไปช่วยให้เขาทำงานได้ดีขึ้น ให้เขากระจายยาได้ เข้าถึงคนไข้ เพราะเรามี ecosystem มีร้านยาเครือข่ายอยู่ในระบบนับเป็น 20% ของร้านยาทั่วประเทศ

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ เรามี AI ที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นผู้ช่วยเภสัชกรในงานที่เภสัชไม่จำเป็นต้องทำ เช่น เภสัชกรจะต้องถามคนไข้ว่าวันนี้เป็นอะไรมา เคยกินยาอะไรมาบ้าง แพ้ยาอะไรมั้ย ยาตัวเดิมที่กินแล้วไม่หาย กินมากี่วันแล้ว อันนี้เราจะให้ AI ช่วยซักถาม แล้วเภสัชจะเป็นคนตัดสินใจว่าคุณควรจะกินยาตัวไหน หรือถ้าคำตอบมันยังไม่เคลียร์ เภสัชจะได้รู้ว่าควรจะถามอะไรเพิ่มเติมมั้ย 

นี่คือโฟลว์ที่เราดีไซน์เพื่อให้เภสัชมีเวลาไปทำอย่างอื่น รับคนไข้ทีละหลายคน เหมือนกับ AI เป็นผู้ช่วยพ่อครัวที่เตรียมอาหารไว้ให้ แล้วให้เภสัชหรือพ่อครัวมาผัดทีเดียว เราวาง positioning ของ Arincare ไว้แบบนี้

แล้วการที่คุณระดมทุนจนได้ Series B จากโรงพยาบาลจุฬารัตน์และ PTG มันส่งผลต่อการดำเนินงานของ Arincare ยังไงบ้าง

ผมคิดว่า end goal ในใจเราไม่ได้ต่าง แต่มิชชั่นมันต่างไปตามสเกลธุรกิจ 

มันก็มี synergy บางประการ อย่างการได้ทำงานร่วมกับโรงพยาบาลจุฬารัตน์ก็ทำให้เราได้เรียนรู้การบริหารของโรงพยาบาลมากขึ้น เพราะเราก็ต้องไปเรียนรู้กลไกการทำงานว่าเขาทำงานลักษณะไหน ถึงจะ identify ปัญหาได้ เรามีโอกาสอะไรบ้าง หรือในเรื่อง telehealth ถ้าเราอยากไปร่วมกับคุณหมอ จะทำในลักษณะแบบไหนได้บ้าง ในฝั่งโรงพยาบาลมันมี value อะไรที่เราเข้าไปร่วมทำได้อีกบ้างเพื่อทำให้คนไทยเข้าถึง healthcare ได้ง่ายขึ้นจริงๆ

อีกเจ้าที่ร่วมคือ PTG คือเขามีเป้าหมายว่าอยากทำให้ปั๊มเป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น ซึ่งเรื่อง healthcare เป็นเรื่องที่ทิ้งไม่ได้เลย ยกตัวอย่างโปรเจกต์ที่ทำร่วมกัน เวลาเราเติมน้ำมันกับ PT มันจะมี Max Card หรือบัตรสะสมแต้ม ซึ่งคะแนนที่ได้นอกจากจะเอาไปแลกกาแฟได้ เราลอง explore ว่าเอาแต้มสะสมนั้นไปใช้รับสิทธิพิเศษที่ร้านยาได้ไหม

คุณยังเคยบอกว่า Arincare ไม่ได้จะหยุดแค่นี้ แต่ตั้งเป้า IPO ด้วย คุณต้องทำยังไงถึงจะไปถึงอีกเป้านั้นได้  

หนึ่งในกลยุทธ์ของเราคือเราต้องเน้นย้ำ synergy ที่เกิดขึ้นระหว่างส่วนต่างๆ อย่างที่สองคือเรื่องสเกล 2 ปีแรก เรามีร้านยาในแพลตฟอร์มไม่ถึง 100 ร้าน วันนี้ต่ำๆ ก็มากกว่า 5,000 ร้าน เราเชื่อว่าเราจะสามารถสร้างอิมแพกต์ได้มากกว่า ในสเกลที่ใหญ่กว่านี้ เพราะมันจะตอบโจทย์ goal ของธุรกิจด้วย 

เราไม่ได้โฟกัสแค่สร้าง value ให้สังคม แต่ผมยังให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ถือหุ้นด้วย เพราะเขาเชื่อในวิชชั่นเรา ดังนั้นเราสร้างอิมแพกต์แล้ว ก็ต้องมีรีเทิร์นให้เขาด้วย การ IPO ว่ามันจะเป็นทางหนึ่งที่เราจะตอบแทนเขาได้ เพราะเขาให้โอกาสเรามาแล้ว แล้วมันจะมีโอกาสไหนที่เราดูแลเขาได้บ้าง

เราจะทำยังไงให้การทำธุรกิจที่ดีกับสังคมมันดีกับเรา ดีกับบริษัทและคนทำงานด้วย

มีคนเคยถามว่า Arincare ทำขนาดนี้ เป็น social enterprise หรือเปล่า? 

ผมก็ถามคำถามกลับไปว่า ธุรกิจที่เป็น social enterprise กับไม่เป็น social enterprise มันต่างกันยังไง มีคนบอกว่า social enterprise คือไม่เอากำไร อยู่ด้วยเงินบริจาค ผมบอกว่านั่นไม่ใช่ธุรกิจ นั่นคือการกุศล 

ความเห็นส่วนตัว ผมเชื่อว่า social enterprise ไม่จำเป็น ผมมองว่า priority ของคนทำธุรกิจต้องชัด ถ้า social ขึ้นก่อน แล้ว profit มาท้าย มันคือการกุศล แต่ถ้าธุรกิจจริงๆ อันดับแรกมันคือ business อันดับสองถึงเป็น social คืออย่าทำอะไรที่มันไม่ดีกับสังคม  

ทั้งหมดทั้งมวลแปลว่าธุรกิจต้องมีคำว่า social อยู่ข้างในอยู่แล้ว ผู้ประกอบการต้องมีธรรมาภิบาลเป็นตัวกำหนดทิศทางที่สำคัญ หลายครั้งเวลามีข่าวว่าธุรกิจนั้นแย่อย่างนั้นอย่างนี้ ผมว่าจริงๆ ธุรกิจเองไม่ได้แย่ แต่สิ่งที่แย่คือคนมันขาดธรรมาภิบาล มันเลยทำให้เกิดความบิดเบี้ยว

แล้วคุณมีมุมมองต่อตลาด health tech ในประเทศไทยยังไงบ้าง

ผมมองว่าตลาด health tech ในไทยเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย เพราะประเทศเรามีความสามารถสูง แต่ตลาดนี้มีความท้าทายจากการกำกับดูแลที่เข้มงวด และผู้เล่นในอุตสาหกรรมเองก็ไม่ค่อยร่วมมือกัน มันสะท้อนย้อนกลับไปถึงโครงสร้างของระบบรัฐในไทยที่แยกส่วนกันอย่างชัดเจนระหว่างภาครัฐและเอกชน 

กฎระเบียบต่างๆ ตรงนี้มันเลยเอื้อให้กับผู้เล่นรายใหญ่ที่อยู่มานาน เขามีอำนาจ มีพาร์ตเนอร์ กลับกัน สตาร์ทอัพหรือผู้ที่ต้องการนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาในตลาด จะท้าทายและถูกจำกัดโดยกฎระเบียบเก่าๆ เสมอ

ต่างจากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งกฎหมายของเขาจะมองว่า ถ้าไม่มีข้อห้ามในกฎหมายก็สามารถทำได้ แต่ในไทย ถ้ากฎหมายไม่ได้เขียนไว้ว่าสามารถทำได้ ก็ถือว่าทำไม่ได้ ซึ่งทำให้นวัตกรรมไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะนวัตกรรมต้องการช่องว่าง (unmet needs) ในการพัฒนา แต่ช่องว่างเหล่านี้กลับถูกปิดกั้นด้วยกฎระเบียบที่คลุมเครือไม่ชัดเจน

ผมไม่ได้บอกว่ามันผิดหรือถูกนะ ข้อดีของมันก็มี คือพอ healthcare มันเป็นเรื่องสำคัญกับชีวิตคน เขาให้เหตุผลว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ควรจะเอามาล้อเล่นนะ ซึ่งมันคือการทำเพื่อความปลอดภัยของคนนั่นแหละ แต่หากมองในมุม innovation มันจะต้องมี risk taking ระดับหนึ่งในขอบเขตที่ยอมรับได้ เช่น การทำ Sandbox 

ความยากของตลาด health tech ในไทยอยู่ที่ระบบรัฐหรือโครงสร้างอุตสาหกรรม?

สำหรับผม ความยากของตลาดนี้เป็นทั้ง blessing และ curse 

สิ่งที่ยากคือ คุณไม่สามารถทำงานในตลาดนี้ด้วยตัวเองได้ หลายครั้งคนอาจจะคิดว่าคนทำธุรกิจในตลาดนี้มันต้องดีแน่เลย แต่พอทำไปสักพักเราจะรู้ว่า เราต้องพึ่งพาคนอื่นเขาไปหมดเลย คุณจะไม่สามารถเก่งคนเดียว โตคนเดียวได้ เพราะ healthcare เป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน เช่น โรงพยาบาล หน่วยงานรัฐ ผู้ผลิตยา ร้านยา รวมถึงประกันสุขภาพ  

คือเรียกว่าต่อให้คุณทำดี แต่คุณไม่ไปกับ ecosystem คุณก็จะหยุดอยู่แค่นั้น อันนี้ถือว่าเป็น curse กลับกัน ถ้าคุณทำแฟชั่น ทำ retail ถ้าคุณทำดี ลูกค้าแฮปปี้ คุณก็ได้ตลาด คุณก็โตได้ 

ส่วน blessing คือตลาดนี้ยังเป็น blue ocean อยู่ มันมี barrier to entry หรือกำแพงสูง ตอนที่เราสร้างมันขึ้นมา น้องในทีมถามว่าทำไมมันยากจังพี่ ผมตอบได้อย่างเดียวว่า ถ้าเรายาก คนอื่นก็ยากนะ ดังนั้นจึงหมายความว่า สิ่งที่เราต้องโฟกัสอาจจะไม่ใช่คู่แข่ง แต่เราต้องโฟกัสว่าเราทำได้มั้ย 

ที่บอกว่าธุรกิจนี้ทำคนเดียวไม่ได้ แล้วคุณมีวิธีอะไรที่ทำให้เข้าไปร่วมกับภาครัฐ หรือหลายๆ ส่วนได้ 

เรื่องการบริหารความสัมพันธ์ จริงๆ เป็นเรื่องยาก ถ้าภาครัฐไม่ทำงานกับเรา ไม่โอเคกับโครงการนั้นโครงการนี้ มันแปลว่าเราจะไปต่อไม่ได้เหรอ ผมคิดว่าอาจจะไม่ใช่ 

เราต้องยืนด้วยตัวเองให้ได้ก่อน แล้วถ้าเราสร้างคุณค่าให้เราได้ ให้องค์รวมได้ ผมคิดว่ามันต้องมีพาร์ตเนอร์ที่มองเห็นคุณค่านั้น แต่ถ้าวันนี้เราไม่สามารถ provide value ได้เลย ไม่ได้สร้างอิมแพกต์ ไม่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรในอุตสาหกรรมนี้ แล้วใครจะอยากมาร่วมมือกับคุณ 

ถ้ามันเต็มไปด้วยความท้าทายขนาดนี้ ทำไม Arincare ถึงสามารถอยู่รอดและเติบโตได้?

ผมว่าสิ่งสำคัญคือ resilience กับ perseverance หรือความยืดหยุ่นและอดทนไม่ยอมแพ้ คือเราโดนมาทุกแบบ ทั้งความกดดันจากการแข่งขัน ความกดดันจาก regulator ทั้งคู่แข่งที่เป็นเจ้าเดิม เจ้าใหญ่ เราเจอมาหมด เพียงแต่ว่าเราต้องรู้จักปรับตัว และหาช่องว่างให้เรามี positioning ในตลาด ตอนนี้เราทำได้แล้ว แล้วเราถึงอยู่มาได้ 

มันเป็นงานมาราธอนอยู่เหมือนกันว่าใครจะหมอบก่อน แต่ถ้าคุณยังวิ่งต่อได้จนถึงไมล์สโตนคุณมีพันธมิตรเพิ่ม หาจังหวะทำงานกับหน่วยงานเหล่านี้ได้ คุณก็จะอยู่ได้นะ แต่อาจจะบอกได้ว่าเป็นโชคด้วยมั้ง ผมว่าเรารู้ทุกอย่างไม่ได้ แต่มันทำให้เราสามารถไปต่อได้

มีหลายครั้งที่ผมกับ co-founder ตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราจะสู้ต่อไหม? เราควรยอมแพ้หรือเปล่า? แต่เราก็เลือกที่จะเดินหน้าต่อ ด้วยการโฟกัสที่การสร้างคุณค่าในจุดที่เรามองเห็นโอกาส 

อะไรคือแรงผลักดันที่ทำให้คุณรู้สึกว่าไม่สามารถหยุดหรือยอมแพ้ได้?

อย่างแรกคือเรื่องส่วนตัว ตอนที่เริ่ม Arincare ผมลาออกจากงานเก่า และปิดธุรกิจของครอบครัวเพื่อโฟกัสกับสิ่งนี้โดยเฉพาะ ผมไม่มีทางเลือกอื่น

อย่างที่สองคือทีมงาน เราให้ความสำคัญกับทีมมาก ในช่วงโควิด-19 เราไม่เคยลดขนาดทีม ไม่เคยปลดพนักงาน หรือแม้แต่ลดเงินเดือน ทุกอย่างที่เราทำคือเพื่อให้ทีมสามารถเดินหน้าต่อไปได้

สุดท้ายคือเป้าหมายที่เราวางไว้ ระหว่างที่เจอเรื่องยากๆ เราก็ถามตัวเองตลอดว่าสิ่งที่เราทำมันมีความเปลี่ยนแปลงหรือ progress บ้างไหม ถ้าเราเน้นที่ progress การที่เราจะหมอบตอนนี้มันก็เป็นเรื่องน่าเสียดายไม่ว่าจะทำมา 5 ปี 10 ปี 20 ปี ถ้าเราหยุด ทุกอย่างคือศูนย์ 

ถ้าเราหยุดไปแล้ว สิ่งที่เราตั้งเอาไว้ นอกจากในเชิงธุรกิจ คือเชิงผลกระทบต่อสังคม เราเห็นว่าอิมแพกต์ที่เราทำมันสูงขึ้นเรื่อยๆ มันขยายวงไปเรื่อยๆ เราเลยคิดกันว่า ถ้าเราไม่ทำก็คงไม่มีใครทำ และมันก็คงน่าเสียดายมาก เพราะว่าเรื่องนี้มันจะไม่เกิด มันทำให้ยังมีแรงสู้ต่อ ลองปรับแบบนี้ ลองทำแบบนี้ ลองอะไรใหม่ๆ

ณ ตอนนี้ ภาพที่คุณอยากเห็น Arincare ไปให้ถึงเป็นแบบไหน

ตอนแรกเราไม่ได้มองไกล เราแค่อยาก empower pharmacist แต่ตอนนี้เราอยู่ในเฟส 2 ที่ต้องการเชื่อมโยงระบบนิเวศนี้เข้าด้วยกัน สุดท้ายในเฟส 3 หรือในอนาคต Arincare จะเปลี่ยนจาก tech company ไปสู่ healthcare company 

ถามว่าทำไม เพราะตอนเราเริ่ม เราเริ่มจากสตาร์ทอัพ เราทำเรื่องเทคฯ มาตลอด คนใน healthcare ก็จะมองว่าเราไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเขา ทั้งที่ตอนนี้เราทำหลายเรื่องที่ไม่ใช่แค่เรื่องเทคฯ และคนในอุตสาหกรรมก็เริ่มมองว่าเราเป็นเหมือน healthcare service company ที่สามารถสร้างอิมแพกต์ให้กับตลาดได้ 

นั่นแปลว่าถึงแม้เขาอาจจะไม่รู้ว่าเราทำอะไรได้บ้าง แต่เขาจะรู้ว่า healthcare จะขาด Arincare ไม่ได้ เราคือส่วนหนึ่งของห่วงโซ่ของอุตสาหกรรม 

ทั้งหมดทั้งมวล เราคงไม่ได้ทำทุกอย่างในเวลาเดียว เราค่อยๆ ไป เราค่อยๆ ทำทีละเรื่อง แต่พอเราได้สร้างอิมแพกต์ไปแล้ว สร้างโมเมนตั้มไปแล้ว มันจะเริ่มเห็นทางว่าเราจะทำอะไรต่อได้อีก ก็ต้องทดลอง ไม่มีอะไรตายตัว แต่ถ้าไม่ลองเลยเพราะกลัวพลาด ก็จะไม่มีการพัฒนา 

การรีแบรนด์ของ ‘น้ำดื่มสิงห์’ ที่ปรับฉลากใหม่ลุคโมเดิร์นพร้อมตอกย้ำจุดแข็งด้านใส่ใจคุณภาพ

ในอุตสาหกรรมน้ำดื่มที่มีการแข่งขันสูง การสร้างความแตกต่างและยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน แม้แต่แบรนด์ ‘น้ำสิงห์’ ที่ทุกคนคุ้นชิ้นกับโลโก้และแบรนด์ดิ้งมาเนิ่นนานก็ถึงเวลาเปลี่ยนฉลากใหม่ให้มีความโมเดิร์นและมินิมอลขึ้น

เบื้องหลังการเปลี่ยนฉลากของน้ำดื่มสิงห์ในครั้งนี้เพื่อสื่อถึงภาพลักษณ์ที่ทันสมัยของแบรนด์ ทั้งมาตรฐานและคุณภาพของน้ำดื่มที่ใช้เทคโนโลยี Smart Micro Filter ซึ่งเป็นระบบการผลิตแบบปิดที่ช่วยขจัดสิ่งปนเปื้อนแต่ยังคงรักษาแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และยังได้มีการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ที่สื่อสารถึงรสชาติเอกลักษณ์ของน้ำดื่มสิงห์ โดยมีบิวกิ้น พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุลเป็นพรีเซ็นเตอร์หลัก ภายใต้คอนเซปต์ ‘รสชาติที่คุณรู้สึก คือ รสชาติของแร่ธาตุที่ใช่’

การสื่อสารการตลาดที่ล้อไปด้วยกันทั้งการทำแบรนด์ดิ้งที่ทันสมัยและใช้พรีเซนเตอร์ขวัญใจวัยรุ่นสะท้อนให้เห็นถึงการอยากเข้าถึงคนรุ่นใหม่และสื่อสารถึงความพรีเมียมของแบรนด์ทั้งกระบวนการผลิตที่พิถีพิถันและการคัดสรรแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่องมายาวนาน การปรับตัวของน้ำดื่มสิงห์ในครั้งนี้จึงเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการพัฒนาแบรนด์ให้สอดรับกับพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ในตลาดที่เต็มไปด้วยทางเลือกและการแข่งขันอย่างเข้มข้น

น้ำดื่มสิงห์ฉลากใหม่จะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 เป็นต้นไปในทุกขนาด ตั้งแต่ 330 มิลลิลิตร ไปจนถึง 6 ลิตร โดยจะกระจายผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายทุกช่องทางของบริษัท