การรีแบรนด์ ‘กิมกวนเฮง’ ร้านขายผ้า 102 ปียุคสงครามโลกโดยทายาทรุ่น 4 และนักออกแบบชาวไต้หวัน

ลายแพตเทิร์นแปลกตาอย่างไข่ปลากระบอก (mullet roe), ก๋วยเตี๋ยว (noodle), รองเท้าแตะยางสีฟ้าขาว (slipper), ชานมไข่มุก (bubble tea) และลวดลายดีไซน์โมเดิร์นสีสดใสอีกหลายลายซึ่งจัดแสดงที่นิทรรศการ ‘CITY PATTERN: Textile Designs of Yang Tzu Hsing & The Story of Gimgoanheng Yang Tzu Hsing’ ณ แกลลอรี Matdot Art Center ที่กรุงเทพฯ เมื่อปลายปีที่แล้วนำพาให้เรารู้จักกับนักออกแบบชาวไต้หวันเจ้าของนิทรรศการนี้คือหยางจื่อชิง (Yang Tzu Hsing)

เขาไม่เพียงแค่เป็นนักออกแบบที่จัดแสดงนิทรรศการศิลปะทั่วไป แต่ยังเป็นทายาทรุ่นที่ 4 ของ ‘กิมกวนเฮง’ (錦源興 Gímgoânheng) ร้านขายผ้าที่ปีนี้จะมีอายุ 102 ปีนับตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อได้รู้ว่าเบื้องหลังนิทรรศการครั้งนี้มีความตั้งใจอยากเล่าเรื่องราวทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของเมืองไถหนานผ่านลวดลาย คอลัมน์ ‘หนึ่งร้อยปีแห่งความเด็ดเดี่ยว’ เลยไม่ลังเลที่จะชวนทายาทร้านผ้าพูดคุยถึงแรงบันดาลใจในการรีแบรนด์ธุรกิจหลักศตวรรษแห่งไต้หวัน

หยางจื่อชิงเรียนจบปริญญาตรีด้านออกแบบตกแต่งภายใน และจบปริญญาโทสาขาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เขาทดลองเรียนวิชาออกแบบเสื้อผ้าสมัยมหาวิทยาลัยตั้งแต่วันที่ยังไม่มีไอเดียว่าจะนำความรู้นี้กลับไปใช้ในธุรกิจของครอบครัวยังำง แต่เรียนเพราะสนใจเกี่ยวกับการออกแบบ

หลังเรียนจบเขาก่อตั้งบริษัทออกแบบร่วมกับเพื่อน รับตั้งแต่งานชิ้นเล็กอย่างนามบัตร โลโก้ คาแร็กเตอร์ดีไซน์ ออกแบบแบรนดิ้ง ไปจนถึงออกแบบตกแต่งภายในโดยมีโปรเจกต์งานสำคัญเป็นโครงการของรัฐบาลไต้หวันที่อยากเปลี่ยนโฉมโรงงานในประเทศให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว

หลังทำบริษัทออกแบบของตัวเองมาเป็นระยะเวลาราว 7 ปี ในปี 2018 หยางจื่อชิงเริ่มรู้สึกว่างานที่ทำมักต้องปรับเปลี่ยนแก้งานตามความต้องการของลูกค้าเสมอแม้ตัวเขาเองจะพอใจในงานแล้ว เขาเริ่มมองเห็นโอกาสว่าธุรกิจครอบครัวหลักศตวรรษสามารถเป็นเวทีพัฒนาผลงานสร้างสรรค์ที่ตัวเองอยากทำอย่างเต็มที่ได้ การมีความเข้าใจในศาสตร์การออกแบบหลายแขนงจากประสบการณ์ส่วนตัวหล่อหลอมให้เขาออกแบบคอนเซปต์ดีไซน์จากแรงบันดาลใจได้อย่างน่าสนใจ 

“สำหรับผมการออกแบบเป็นเรื่องของแนวคิด ส่วนเครื่องมือเป็นแค่สิ่งที่เราใช้ ถ้าคุณใช้ Illustrator หรือ Photoshop ได้ คุณก็เป็นกราฟิกดีไซเนอร์ได้ ถ้าคุณใช้จักรเย็บผ้าและรู้วิธีทำแพตเทิร์น คุณก็เป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ได้ ถ้าคุณรู้เรื่องวัสดุต่าง ๆ เช่น ไม้ เหล็ก หรือกระจก คุณก็เป็นนักออกแบบตกแต่งภายในได้” และถ้าคุณภูมิใจใน legacy ของธุรกิจครอบครัว ถึงแม้ธุรกิจจะเคยปิดตัวไปแล้วในช่วงระยะเวลาหนึ่ง คุณก็สามารถพลิกฟื้นธุรกิจกลับขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้งจากความถนัดของตัวเอง  

กิมกวนเฮง

Sunrise Business Before World War II 

หลังจากเดินชมการจัดแสดงผลงาน City Pattern ในบ่ายวันหนึ่ง บทสนทนาที่แกลเลอรี่ในวันนั้น ทำให้หยางจื่อชิงยินดีเล่าเรื่องธุรกิจหลักร้อยปีของครอบครัวให้ฟังอย่างเป็นกันเอง

“คุณตาทวดของผมชื่อ Zhang Xiang เป็นผู้ก่อตั้งธุรกิจนี้ เขาเป็นคุณพ่อของคุณยายผมและเริ่มต้นธุรกิจในปี 1923 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ในตอนนั้นไต้หวันอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น เป็นช่วงที่มีการอพยพของชาวจีนจำนวนมากมายังไต้หวันเพื่อเอาชีวิตรอดและมาทำธุรกิจที่นี่ คุณตาทวดของผมก็เช่นกัน เขาย้ายมาไต้หวันตั้งแต่ยังเด็กและได้เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งทอ จนก่อตั้งกิมกวนเฮงขึ้นมา”  

กิมกวนเฮง

“ยุคแรกโรงงานเริ่มจากรับย้อมผ้า โมเดลธุรกิจแรกเริ่มคือคุณตาทวดจะซื้อผ้าจากญี่ปุ่น นำเข้ามาไต้หวันแล้วนำผ้ามาย้อมเอง โรงงานของเราตั้งอยู่ที่ถนน Shennong ซึ่งเป็นย่านธุรกิจเก่าแก่ในไถหนาน ธุรกิจนี้ดำเนินต่อมาจนถึงรุ่นที่ 3 คือคุณลุงของผม”

โรงงานกิมกวนเฮงในยุคนั้นเน้นการตัดเย็บผ้าแบบเรียบง่ายเพื่อขายผ้าให้ผู้ที่อยากตัดเสื้อผ้าหรือทำสิ่งทอต่างๆ ในยุคที่ยังไม่มีแบรนด์เสื้อผ้าสำเร็จรูปขายอย่างแพร่หลาย หยางจื่อชิงบอกกับเราอย่างถ่อมตัวว่าการประสบความสำเร็จของธุรกิจครอบครัวมาจากปัจจัยของยุคสมัยในวันที่การเป็น entrepreneur ไม่ใช่เรื่องท้าทายเท่าทุกวันนี้

“ผมคิดว่าถ้าคุณอยากทำธุรกิจในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 มันมีข้อได้เปรียบที่ทำให้สำเร็จในช่วงเวลานั้นเพราะการเข้าถึงข้อมูลทางธุรกิจยังไม่เยอะเหมือนปัจจุบัน สมัยนี้ถ้าคุณอยากซื้ออะไร คุณอาจค้นหาในกูเกิล เข้าเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์เพื่อเปรียบเทียบราคาได้ง่ายๆ แต่มันยากมากที่จะทำแบบนั้นในยุคก่อน

“ในอดีตผ้าของเราไม่ได้มีอะไรพิเศษมาก มันคือการย้อมผ้าธรรมดาในสีต่างๆ และตัดเย็บแบบง่ายๆ ครอบครัวเราเพียงค่อยๆ ขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น ผมมองว่าเหตุผลที่คุณตาทวดของผมประสบความสำเร็จคือการเป็นนักธุรกิจที่ดี ใจดีต่อผู้คน และรู้วิธีทำธุรกิจ ในยุคนั้นถ้าคุณรู้แหล่งซื้อและแหล่งขาย ถ้าคุณมีเงิน มีความกล้า มีความตั้งใจ และทำงานหนัก คุณก็มีโอกาสประสบความสำเร็จ”

ดังเช่นทุกธุรกิจที่มีทั้งช่วง sunrise และ sunset ยุคทองของการขายผ้าก็ไม่ได้คงอยู่ตลอดไปเช่นกัน การเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญของกิมกวนเฮงคือการเปลี่ยนแปลงในยุคอุตสาหกรรมหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีการผลิตเสื้อผ้าแบบ mass production เมื่อผู้คนสามารถซื้อเสื้อผ้าจากห้างสรรพสินค้าและอินเทอร์เน็ตได้เองโดยไม่ต้องมานั่งตัดเย็บเองอีกต่อไป ทำให้ธุรกิจขายผ้าลดบทบาทความสำคัญลง

เมื่อเห็นว่าไม่สามารถห้ามช่วงเวลาอาทิตย์อัสดงได้ตามธรรมชาติของธุรกิจ ลุงของหยางจื่อชิงจึงตัดสินใจปิดกิจการในปี 2012 เพราะคิดว่าการรักษาธุรกิจครอบครัวนี้ต่อไปเป็นเรื่องยากเกินไป

Begin Again 

เมื่อธุรกิจปิดตัวลงคนส่วนใหญ่มักคิดว่าคือจุดสิ้นสุด แต่หยางจื่อชิงไม่คิดแบบนั้น 

แม้จะเคยปิดตัวไปแล้วในช่วงเวลาหนึ่งก็สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ โจทย์แรกคือจะทำยังไงเมื่อไม่มีสินทรัพย์สำคัญทางธุรกิจคือโรงงานอีกต่อไปแล้ว

“เพราะธุรกิจของเราเริ่มจากร้านขายผ้า สินค้าก็ต้องเกี่ยวข้องกับผ้า แต่ผมไม่อยากนำเข้าผ้าจากประเทศอื่นแล้วตัดเย็บในไต้หวัน มันจะกลายเป็นแค่ธุรกิจทั่วไปที่ไม่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมแบบเดิม และผมก็ไม่ใช่นักธุรกิจที่มีเงินทุนมากพอจะซื้อเครื่องจักรหรือสร้างโรงงานใหม่ซึ่งมีราคาหลักหลายล้านบาท ความจริงผมก็ไม่ค่อยสนใจการผลิตจำนวนมากเท่าไหร่ด้วย

“ผมจึงคิดว่าในเมื่อยังมีโรงงานผ้าดีๆ ในไต้หวันอยู่มากมาย เราอาจร่วมมือกับพวกเขาได้ แล้วผมที่เป็นนักออกแบบจะโฟกัสแค่งานออกแบบและการตลาดรวมถึงบริหารจัดการ supply chain ของผ้า ทุกวันนี้เราจึงร่วมงานกับโรงงานหลายแห่งในไต้หวัน ตั้งแต่กระบวนการทอผ้า ย้อมสีผ้า และตัดเย็บกระเป๋าหรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ โดยผลิตในไถหนานมากกว่าครึ่งหนึ่งของการผลิต”

โรงงานผ้า

“ผมจะอธิบายให้ลูกค้าฟังเสมอว่าเราไม่มีโรงงานของตัวเองแล้ว แต่ไม่ต้องกังวล เพราะสิ่งที่เราทำคือการจัดการ supply chain ผมอยากทำเงินด้วยโมเดลธุรกิจใหม่จากงานออกแบบและการขายผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่แค่ขายผ้าแบบเดิมเท่านั้น โดยอยากให้แต่ละโรงงานที่เราร่วมงานกันได้กำไรจากความเชี่ยวชาญในสิ่งที่พวกเขาทำด้วย”  

วิธีที่ชาญฉลาดนี้ทำให้สินค้าทั้งหมดของกิมกวนเฮงยังคงผลิตในไต้หวันดังเดิม สิ่งที่น่าสนใจคือปัจจุบันไถหนานซึ่งเป็นบ้านเกิดของโรงงานกิมกวนเฮงยังคงเป็นแหล่งผลิตผ้าด้วยนวัตกรรมสิ่งทอที่ล้ำสมัย และยังเป็นแหล่งซัพพลายเออร์ให้แบรนด์ระดับโลก เช่น Levi’s, Louis Vuitton และแบรนด์ระดับโลกอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์หรูหรือแบรนด์กีฬา การที่กิมกวนเฮงยังคงพยายามรักษาแหล่งผลิตดั้งเดิมในไถหนานจึงเป็นการรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมโดยไม่ยึดติดว่าต้องผลิตจากโรงงานของตัวเอง 

โจทย์ที่สองคือจะทำยังไงให้ธุรกิจมีจุดแข็งที่แตกต่างในวันที่ตลาดผ้าไม่เหมือนศตวรรษก่อนอีกต่อไป การสร้าง legacy ใหม่โดยทายาทรุ่นที่ 4 ของกิมกวนเฮงคือใช้ทักษะออกแบบที่ตัวเองมีเป็นต้นทุนในการสร้างธุรกิจขึ้นใหม่ ผสานไอเดียการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์เข้าไปในผลิตภัณฑ์ 

ลวดลายผ้า

Taiwanese Pattern from City Wander 

การเริ่มต้นธุรกิจใหม่เกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2020 ด้วยการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากผ้าในลวดลายใหม่ที่หยางจื่อชิงออกแบบเองและขายตามร้านค้าปลีก “เมื่อคนรู้ว่าคุณเป็นร้านผ้าเก่า ผู้คนจะคิดว่าถ้าอยากซื้ออะไรสักอย่างจากเราก็ต้องเป็นผ้า”

กิมกวนเฮงในเวอร์ชั่นใหม่จึงขายสินค้าหลายประเภท เช่น กระเป๋า หมวก เครื่องเขียน ของใช้จากผ้า และยังคงขายผืนผ้าด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม โชคร้ายว่าเป็นปีที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้นักท่องเที่ยวซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักไม่ค่อยช้อปปิ้งสินค้าแฟชั่น

“ตอนช่วงโควิด-19 ในฐานะร้านค้าปลีก ผมรู้สึกเบื่อมากเพราะไม่มีลูกค้าเลย ผมจึงคิดว่าจะนั่งรอให้คนเดินเข้าร้านเฉยๆ ไม่ได้ ต้องสื่อสารออกไปให้คนรู้จักจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวของแบรนด์สู่ภายนอก ตอนแรกคิดว่าจะใช้วิธีเปิดร้านป๊อปอัพเพื่อวางขายสินค้า แต่มาคิดอีกทีว่าถ้าลายผ้ามีเรื่องราวและแนวคิดในการออกแบบ ผมน่าจะใช้วิธีการจัดนิทรรศการให้ผลงานสร้างสรรค์ของผมเป็นตัวนำแล้วค่อยขายสินค้า” 

นิทรรศการแรกของหยางจื่อชิงชื่อ City Pattern จัดแสดงการออกแบบแพตเทิร์นที่ได้แรงบันดาลใจจากเมืองไถหนานควบคู่กับคอลเลกชั่นสินค้าในลวดลายเดียวกันทั้งหมด 10 ลาย เช่น ลายไข่ปลากระบอกหรือมัลเล็ตโรล (mullet roe) ที่มีคอนเซปต์คือ The Flavor of Love and Reunion เล่าถึงร้านขายไข่ปลากระบอกในความทรงจำของหยางจื่อชิงที่คุณยายมักซื้อมาให้ทานเป็นเมนูพิเศษในช่วงเทศกาลปีใหม่, ลายรองเท้าแตะยาง ซึ่งสื่อถึงยุคสมัยประวัติศาสตร์ในปี 1950 ที่คนไต้หวันยากจนทำให้รัฐบาลไต้หวันในยุคนั้นผลิตรองเท้ารุ่นสีน้ำเงินและขาวจากตราสัญลักษณ์ประจำชาติออกมา, ลายเก้าอี้ Stool สีแดงที่มักพบเห็นได้ตามถนน ร้านข้างทาง งานวัดหากมาเที่ยวไต้หวัน 

“ถ้าคุณพูดถึงเมืองไถหนานกับคนไต้หวัน ส่วนใหญ่จะนึกถึงภาพเมืองเก่าของไต้หวันที่มีเสน่ห์ เต็มไปด้วยอาหารและบรรยากาศเก่าแก่ ผมจึงคิดว่ามันมีเหตุผลที่ธุรกิจผ้าดั้งเดิมของครอบครัวผมซึ่งตั้งอยู่ในไถหนานจะเป็นแรงบันดาลใจให้สร้างคอลเลกชั่นแรกนี้ขึ้นมา อยากให้เมื่อคนไต้หวันเห็นลวดลายของกิมกวนเฮงครั้งแรกแล้วเชื่อมโยงถึงไถหนานได้” 

ทุกครั้งที่จัดนิทรรศการ นอกจากแสดงผลงานภาพแล้ว ผู้เข้าชมจะซื้อสินค้าสกรีนลายแพตเทิร์นเหล่านี้อย่างกระเป๋า Kaki สไตล์ดั้งเดิมของไต้หวัน โปสต์การ์ด แก้ว เสื้อผ้าต่างๆ กลับไปได้ ภายในระยะเวลาราว 4 ปีหลังจากเปิดตัวครั้งแรก นิทรรศการ City Pattern ซึ่งเป็นคอลเลกชั่นเด่นของแบรนด์ได้จัดไปแล้วทั้งหมด 21 ครั้ง นอกจากจัดแสดงทั่วไต้หวันก็เคยจัดที่มาเลเซียและกรุงเทพฯ เป็นครั้งที่ 21 เมื่อปลายปีที่ผ่านมา

หลังจากนั้นหยางจื่อชิงก็ทยอยออกคอลเลกชั่นใหม่ทุกครึ่งปีหรือทุกปี ซึ่งแม้แต่ละคอลเลกชั่นจะมีแรงบันดาลใจของลายแพตเทิร์นที่แตกต่างกันออกไปแต่ก็มักจะมีเรื่องราวของลวดลายที่เชื่อมโยงจากแรงบันดาลใจจากในเมืองหรือการเดินทาง เช่น คอลเลกชั่น City Garden หรือคอลเลกชั่นล่าสุดของปีที่แล้วชื่อ Let’s Play Again ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากของเล่นในวัยเด็ก

หยางจื่อชิงบอกว่าสินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือกระเป๋าโท้ตคลาสสิกและใช้งานง่าย รองลงมาคือถุงเท้าที่ทำร่วมกับแบรนด์ถุงเท้าของไต้หวันชื่อ Good Name Cozy ในลายของกิมกวนเฮง อันดับสามคือแฟ้มผ้าและกระเป๋าผ้าทรงอื่นๆ 

“สิ่งที่น่าสนใจคือเราวางขายสินค้าของเราที่ร้านค้าปลีกประมาณ 20-22 แห่งในไต้หวันรวมถึงต่างประเทศ บางร้านตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า บางร้านเป็นร้านขายของที่ระลึกตามสถานที่ประวัติศาสตร์ ในแต่ละร้านสินค้าขายดีอันดับหนึ่งมักจะแตกต่างกันไปเล็กน้อย เช่น คุณอาจจะอยากซื้อของที่ราคาไม่เกิน 100 ดอลลาร์ไต้หวันเป็นของที่ระลึกเมื่อไปเที่ยวสถานที่ประวัติศาสตร์ แต่ถ้าไปห้างคุณอาจจะยอมจ่ายเงิน 2,000 ดอลลาร์ไต้หวันเพื่อซื้อกระเป๋า”

“ลายผ้าทุกลายของกิมกวนเฮงเป็นสิ่งที่ผมออกแบบและอยากทำเองจริงๆ หลังจากออกแบบแล้ว เราจะพูดคุยกับทีมว่าผลิตภัณฑ์ใดที่เหมาะกับลายนั้นๆ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ผมรู้สึกพอใจกับสิ่งที่ทำทุกวันนี้มากเพราะมันเป็นการผสมผสานระหว่างความสร้างสรรค์ของตัวเองและความต้องการของตลาด” 

No Hard Sale, Just Travel Blogging   

แม้จะฝากวางขายตามร้านค้าปลีกหลายแห่งแต่ร้านที่หยางจื่อชิงเป็นเจ้าของเองมีแห่งเดียวคือร้าน Jinyuanxing ที่ไถหนาน ส่วนช่องทางออนไลน์ก็มีรูปแบบการขายที่คล้ายกันคือมีการฝากขายตามเว็บไซต์ที่รวมแบรนด์สร้างสรรค์ระดับนานาชาติเช่น Pinkoi และมีร้านค้าออนไลน์ของตัวเองทางเว็บไซต์ของกิมกวนเฮง ในยุคที่ทุกแบรนด์ต่างกระหน่ำทำการตลาดทางช่องทางออนไลน์ หยางจื่อชิงกลับบอกว่าช่องทางออนไลน์เป็นส่วนที่ทำรายได้น้อยที่สุดสำหรับกิมกวนเฮง 

“ผมคิดว่าในปัจจุบัน ถ้าคุณต้องการทำธุรกิจออนไลน์เป็นหลัก คุณต้องใช้เงินจำนวนมากในการทำการตลาด เช่น ซื้อโฆษณาบนเฟซบุ๊ กอินสตาแกรม หรือการร่วมมือกับ KOL (อินฟลูเอนเซอร์) ในไต้หวันเพื่อโปรโมตสินค้า แต่ผมไม่มีพื้นฐานการทำตลาดออนไลน์และอยากมีโอกาสพูดคุยกับลูกค้าในร้านค้าออฟไลน์มากกว่า สำหรับผมร้านค้าออนไลน์เป็นเพียงช่องทางที่ง่ายสำหรับลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้าเท่านั้น แต่เราไม่ได้ทำเป็นโมเดลธุรกิจหลัก

“ผมติดตามดูแบรนด์คู่แข่งทางช่องทางออนไลน์ทุกวัน สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นในไต้หวันคือ ถ้าคุณใช้โซเชียลมีเดียเป็นเพียงแพลตฟอร์มโฆษณา โพสต์ของคุณจะไม่ค่อยมีคนเห็น เพราะโซเชียลมีเดียเหล่านี้ต้องการให้คุณจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อโฆษณา แต่แบรนด์เราไม่ค่อยใช้เงินโฆษณา เรามุ่งเน้นไปที่การทำสิ่งที่เชื่อมโยงกับแบรนด์เรามากกว่า เช่น การเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับไต้หวันและวัฒนธรรมผ่านลวดลายของเรา”

สิ่งที่หยางจื่อชิงทำคือเปลี่ยนเฟซบุ๊กของตัวเองให้เป็นบล็อกท่องเที่ยว ทรีตช่องทางโซเชียลมีเดียของกิมกวนเฮงให้เล่าเรื่องเหมือนเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่สะท้อนตัวตนความสนใจของตัวเอง เล่าในสิ่งที่คิดว่ากลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกค้าน่าจะชอบ เช่น ศิลปะ สิ่งสร้างสรรค์ การเดินทาง

“ผมจะแชร์เรื่องราวการเดินทางของผมทุกวันว่าไปที่ไหนมาบ้าง เห็นอะไร ได้ประสบการณ์อะไรมา บางครั้งผมอาจถ่ายรูปเมืองของผมแล้วเล่าเรื่องราวในสิ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสินค้าเลยก็ได้ นอกจากนี้ผมยังมีพ็อดแคสต์ของตัวเองที่เล่าถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นและสัมภาษณ์นักธุรกิจในไถหนาน รวมถึงมีพื้นที่มินิแกลเลอรีจัดแสดงนิทรรศการเล็กๆ โดยศิลปินและดีไซเนอร์หน้าใหม่ในไต้หวันที่จัดหมุนเวียนแตกต่างกันไปในทุกๆ เดือนบนชั้นสามของร้านเรา

“เรามอบพื้นที่ให้พวกเขาฟรีๆ ดังนั้นลูกค้าของเราจะได้รู้จักกับครีเอเตอร์หลากหลาย ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการขายสินค้าและไม่ได้เกี่ยวข้องกับกิมกวนเฮงเลย ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ทำให้แบรนด์เราแตกต่างออกไป” 

Stay Small 

“สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าแตกต่างเมื่อเปรียบเทียบกับกิมกวนเฮงรุ่นเก่าที่ก่อตั้งโดยตาทวดของผม ก็คือโมเดลธุรกิจใหม่ที่ผมคิดว่ามันได้ผล แต่มันยังทำให้ดีขึ้นกว่านี้ได้และคิดว่าหนึ่งในวิธีนั้นคือการทำลิขสิทธิ์”

หยางจื่อชิงตั้งเป้าหมายว่าในอนาคตอยากเพิ่มสัดส่วนรายได้จากสินค้าลิขสิทธิ์ให้สูงขึ้นเพราะเป็นโมเดลธุรกิจที่ทำง่าย แค่ออกแบบลายให้แบรนด์นำไปผลิตต่อโดยไม่ต้องปรับแต่งหรือทำลวดลายใหม่เยอะก็ได้ค่าลิขลิทธิ์มาอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องผลิตสินค้าเอง

ปีที่ผ่านมากิมกวนเฮงทำสินค้าลิขสิทธิ์ร่วมกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง 7-11 ในโอกาสเปิดสาขาขนาดใหญ่ที่ไถหนานโดยออกแบบลวดลายใหม่ในคอลเลกชั่นลิมิเต็ดที่ผสานลายต้นฉบับของกิมกวนเฮงกับตัวการ์ตูนของ 7-11 ในไต้หวัน และยังมีโอกาสร่วมมือกับบัตร EasyCard (บัตรเดินทางในไต้หวัน) ในการออกบัตรรุ่นพิเศษออกมา

“ผลงานเหล่านี้จะย้อนกลับไปสู่เรื่องเล่าทั้งหมดก่อนหน้านี้ว่าทำไมผมถึงทำสิ่งที่หลากหลายและน่าสนใจมากมาย เพราะผมอยากให้คนชอบแบรนด์และเข้าใจว่าแบรนด์ของเรากำลังทำอะไร เพราะถ้าคุณอยากทำสินค้าลิขสิทธิ์ สิ่งที่คุณต้องทำคือต้องทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับจากทุกคนก่อน เมื่อถึงวันที่คุณออกแบบสินค้าลิขสิทธิ์ร่วมกับแบรนด์อื่นๆ ผู้คนจะได้อยากซื้อ ซึ่งสินค้าลิขสิทธิ์จะมีราคาถูกกว่าด้วยเพราะเป็นการผลิตจำนวนมากแบบแมสและส่งให้แบรนด์ที่ร่วมมือกับเราเป็นฝ่ายผลิต”  

“นอกจากนี้ในอนาคตผมยังอยากพัฒนาคอลเลกชั่นใหม่ๆ เราจะยังคงใช้ลวดลายเพื่อสะท้อนวัฒนธรรมของไต้หวันและผลิตสินค้าใหม่ที่ตอบโจทย์ลูกค้าเพราะยังต้องมีส่วนที่หารายได้จากตรงนั้น มองว่าน่าจะมีการท่องเที่ยวไปประเทศต่างๆ ในแต่ละปีเพื่อแบ่งปันผลงานออกแบบของผมและเล่าเรื่องราวของกิมกวนเฮงต่อไปด้วย”

สิ่งหนึ่งที่หยางจื่อชิงยึดเป็นหัวใจสำคัญคือการคงบริษัทขนาดเล็กไว้ ทุกวันนี้กิมกวนเฮงมีพนักงานแค่ 5 คน เพื่อให้สามารถทำสิ่งที่อยากทำตามใจรักได้โดยไม่ต้องกังวลกับการหารายได้จนเกินไป 

“ผมพบว่าสำหรับหลายแบรนด์สร้างสรรค์ในไต้หวัน ถ้ามีทีมที่ใหญ่เกินไป วันหนึ่งพวกเขามักจะต้องทำสิ่งที่แตกต่างออกไปจากจุดเริ่มต้นที่ตั้งใจไว้เพราะต้องหาเงิน ผมเข้าใจตรงนี้ดี ผมเลยพยายามรักษาบริษัทให้เล็กเข้าไว้ เพื่อที่จะสามารถทำสิ่งที่แตกต่างออกไปได้สำหรับลูกค้าของผมและเป้าหมายของผม

“ผู้คนมักจะประหลาดใจเสมอว่า ‘คุณทำแบบนั้นได้ยังไง’ หรือ ‘คุณหาเงินจากสิ่งนี้ได้ยังไง’ ความจริงแล้วเราไม่ได้เน้นหาเงินจากการจัดงานนิทรรศการนะ มันเหมือนเป็นการแบ่งปันและสร้างมิตรภาพมากกว่า สำหรับผมในฐานะนักออกแบบ นี่คือสิ่งที่ผมอยากทำในชีวิต ผมจึงพยายามและอยากทำสิ่งนี้ สุดท้ายพวกเขาก็จะพบว่า ‘โอ้ เขาไม่ได้ตั้งใจจะหาเงินอย่างจริงจังจากสิ่งนี้ เขาแค่รักและอยากทำมัน’ ”

และนี่คือความเด็ดเดี่ยวที่ยืดอายุธุรกิจหลักร้อยปีในไต้หวันให้เดินหน้าต่อไปในแบบของทายาทรุ่นสี่แห่งกิมกวนเฮง 

วิกฤตประกันภัยสหรัฐฯ เมื่อไฟป่า LA อาจทำให้บริษัทประกันภัย เสียหายสูงสุดในประวัติศาสตร์ 

ช่วงเวลานี้ คงไม่มีข่าวคราวใดน่าสนใจไปกว่าข่าวไฟป่า ทั้งในประเทศไทยเองที่เกิดไฟป่าที่เขาลอยในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเสียดอ้า ห่างจากเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ 10 กิโลเมตร ปัจจุบันเสียหายไปแล้วกว่า 1,700 ไร่ และอีกข่าวไฟป่าที่ถูกพูดถึงระดับโลกอย่างลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งจากรายงานของ Euro News นอกจากพบผู้เสียชีวิตแล้วยังมีสิ่งปลูกสร้างกว่า 1,000 หลัง ที่ถูกไฟไหม้ราบเป็นหน้ากลอง ส่งผลให้ประชาชนราว 130,000 คน ยังคงอยู่ภายใต้คำสั่งอพยพ 

สำหรับกรณีสหรัฐอเมริกาที่ไฟป่าลุกลามมายังพื้นที่อยู่อาศัย หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจคือประเด็นประกันภัยบ้านเรือน เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่การประกันภัยเฟื่องฟูไม่น้อย ชนิดที่ประชาชนคนใดไร้ซึ่งประกันภัยก็อาจหมดตัวไปกับค่ารักษาพยาบาล และสารพันปัญหาจากเรื่องพื้นฐานต่างๆ ในชีวิต การทำประกันสุขภาพ ไปจนถึงประกันให้ทรัพย์สินของตนเองอย่างบ้านจึงเป็นสิ่งสำคัญจำเป็น

แม้ไฟป่ารอบนี้จะไม่ได้ส่งผลต่อพื้นที่ขนาดใหญ่เท่าไฟป่า Camp Fire ปี 2018 แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ที่ได้รับความเสียหายคือเขตชุมชนที่มีประชากรหนาแน่น ทั้งความเสียหายยังกระจุกอยู่ที่โซนคนมีสตางค์อย่าง Pacific Palisades ความน่าขนลุกคือ AccuWeather ระบุว่าประกันอาจไม่คุ้มครองโซนดังกล่าวซึ่งเคยเกิดไฟไหม้ใหญ่ไปแล้ว ทั้งยังติด Top 5 พื้นที่ในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ที่เสี่ยงไฟป่าที่สุด รวมถึงยังมีทรัพย์สินราคาสูงมาก 

การเกิดเหตุการณ์ซ้ำๆ ซากๆ เหล่านี้ส่งผลให้บริษัทประกันภัยวิกฤต อย่างในฤดูไฟป่าเมื่อปี 2017-2018 อุตสาหกรรมประกันภัยในแคลิฟอร์เนียยังสูญเสียผลกำไรสะสมนานถึง 20 ปี นั่นทำให้ในปี 2023 บริษัทประกันภัยรายใหญ่ 7 ใน 12 แห่ง ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดในแคลิฟอร์เนีย หยุดหรือจำกัดการออกกรมธรรม์ใหม่ หนึ่งในนั้นคือบริษัทใหญ่อย่าง State Farm ที่เมื่อหยุดให้บริการประกันภัยสำหรับบ้านและอพาร์ตเมนต์กว่า 72,000 แห่ง ตามรายงานของ San Francisco Chronicle กล่าวว่าบริษัทเสียส่วนแบ่งการตลาดใน Pacific Palisades ไปเกือบ 70% 

ไม่เพียงเรื่องไฟป่า แต่ในรัฐอื่นๆ อย่างฟลอริดา และลุยเซียนา ที่เกิดเฮอริเคนบ่อยก็ประสบปัญหาตลาดประกันภัยไม่มั่นคง ชนิดที่รัฐลุยเซียนาต้องใช้เงินสนับสนุนจากรัฐหลายล้านดอลลาร์เพื่อดึงดูดบริษัทประกันภัยกลับมา

สำหรับไฟป่าครั้งนี้ JPMorgan คาดว่าความเสียหายที่ครอบคลุมโดยประกันภัยอาจเกิน 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่านั้นหากยังไม่สามารถควบคุมไฟได้ มากกว่าไฟป่า Camp Fire ที่อยู่ที่ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึงอย่างนั้นประชาชนก็ควรได้รับความคุ้มครองในชีวิตและทรัพย์สิน นั่นทำให้รัฐบาลและบริษัทประกันภัยต้องปรับปรุง ต้องออกกฎเฉพาะกิจในระยะสั้น ส่วนในระยะยาวคือต้องรื้อโครงสร้างราคาประกันให้สอดคล้องกับความเสี่ยง  

ที่จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกรณีไฟป่าที่ไทยหรือลอสแอนเจลิส คาดว่าน่าจะเกิดจากฝีมือมนุษย์มากกว่าการระอุขึ้นมาเอง นอกจากการจริงจังกับการควบคุมอุณหภูมิโลกให้ไม่สูงไปมากกว่านี้เพื่อลดอัตราการเกิดไฟป่า การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานก็เป็นสิ่งจำเป็น

อย่างในแคลิฟอร์เนียได้มีการออกกฎระเบียบ เช่น การห้ามสร้างบ้านในพื้นที่เสี่ยงไฟป่า การใช้หลังคาที่ทนไฟ หรืออย่างในยุคที่ AI พัฒนารวดเร็ว ภาครัฐและเอกชนสามารถติดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้า พร้อมทั้งใช้เทคโนโลยี AI เพื่อช่วยคาดการณ์ไฟป่า 

ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นไฟป่าที่ใด ทุกคนต่างก็ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งเรื่องสภาพอากาศและระบบนิเวศ ไปจนถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจ สำหรับผู้ประกอบการและภาคธุรกิจ เหตุการณ์ไฟป่าเหล่านี้ ยิ่งตอกย้ำถึงความสำคัญจำเป็นในการเร่งเปลี่ยนผ่านธุรกิจให้กรีนมากขึ้น ทั้งเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอัคคีภัย และเพื่อให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบการค้าเมื่อโลกกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงวิกฤต

8 เวทมนต์ที่ทำให้ดิสนีย์กุมหัวใจเด็กและผู้ใหญ่ทั่วโลกกว่า 100 ปี

ต่อให้คุณไม่ได้เรียกตัวเองว่าเป็นแฟนคลับดิสนีย์ เชื่อว่าอย่างน้อยคุณก็ต้องเคยดูคอนเทนต์ของดิสนีย์ผ่านตา-หรือเคยเห็นสินค้าของดิสนีย์สักอย่าง

เฮดแบนด์ลายมิกกี้เมาส์ที่เคยเห็นตอนเด็กๆ เพลงฮิตของเอลซ่าที่ร้องกันทั่วบ้านทั่วเมือง ไปจนถึงหนังใหม่ของมาร์เวลที่เข้าโรงเมื่อไหร่คนก็เต็มโรง คือตัวอย่างสิ่งละอันพันละน้อยของดิสนีย์ที่แทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา

ถ้าวัดจากสถานะหนึ่งในแบรนด์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอุตสาหกรรมบันเทิงโลก คงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่อีกหนึ่งปัจจัยนอกจากนั้นคือดิสนีย์เป็นแบรนด์ที่อยู่มานานเป็นร้อยปีแล้ว

ไม่ได้พูดเว่อร์วังอลังการ เพราะเมื่อเดือนตุลาคม 2023 ดิสนีย์มีอายุ 100 ปีจริงๆ และปี 2025 นี้ก็กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 102 เราชวนมาถอดรหัสว่าอะไรทำให้ดิสนีย์เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่แข็งแรงยืนยง และทำยังไงให้ชื่อของแบรนด์ไม่เคยเสื่อมคลายไปจากใจของคนดู ไม่ว่าจะเจเนอเรชั่นไหนๆ

ดิสนีย์ Disney

1. ความบันเทิง แรงบันดาลใจ และให้ความรู้ผ่านเรื่องราวคือมิชชั่นหลัก 

ถ้าเราจะเรียนรู้สิ่งใดจากการทำธุรกิจของวอลต์ ดิสนีย์ หนึ่งในนั้นอาจเป็นฮาวทูการสร้างแบรนดิ้งให้แข็งแรง

เหมือนกับนักธุรกิจคนอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จ วอลต์ ดิสนีย์ มุ่งมั่นกับการทำสิ่งที่ชอบและเชื่อว่าคนอื่นก็มีความชอบคล้ายเรา 

ดิสนีย์อายุเพียง 22 ปีเท่านั้นตอนก่อตั้งบริษัท เขาคือชายผู้รักหนังสือ หลงใหลกับการสร้างโลกจินตนาการ และมีฝันใหญ่ เดินมาจากแคนซัสซิตี้เพื่อสร้างชื่อให้ตัวเองในฮอลลีวูด และทำสำเร็จเกินกว่าที่คิดไว้หลายเท่า

การ์ตูนตัวแรกที่ดิสนีย์วาดขึ้นคือเด็กหญิงอลิซในเรื่อง Alice’s Wonderland ซึ่งนับเป็นตอนนำร่องของ Alice Comedies ซีรีส์ชุดแรกของเขา ในวันที่ 16 ตุลาคม 1923 ดิสนีย์เซ็นสัญญากับ M.J. Winkler ผู้จัดจำหน่ายสื่อบันเทิงเจ้าใหญ่ในการเผยแพร่ซีรีส์ชุดนี้ และวันนั้นเองถือเป็นวันก่อตั้งแบรนด์ดิสนีย์อย่างเป็นทางการ

หลังจาก Alice Comedies โด่งดังดิสนีย์ก็เข็นตัวการ์ตูนอื่นๆ อย่างมิกกี้เมาส์ เหล่าเจ้าหญิงดิสนีย์ และตัวละครอีกมากมายให้เด็กๆ ทั่วโลกได้รู้จัก ปังบ้าง แป้กบ้าง แต่ดิสนีย์ไม่เคยหยุดพยายาม

และขึ้นชื่อว่าเป็นสื่อบันเทิง มิชชั่นที่ดิสนีย์ตั้งไว้ในใจ คือทุกๆ เรื่อง ทุกๆ ตัวละครต้องให้ความบันเทิงก่อน มากกว่านั้นยังให้ความรู้และแรงบันดาลใจกับคนดูทั่วโลก ผ่านพลังการเล่าเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์ มีความคิดสร้างสรรค์ และใช้นวัตกรรมใหม่ในการพัฒนาอยู่เสมอ

“เป็นหนึ่งในผู้สร้างความบันเทิงชั้นนำของโลก และผู้นำเสนอสิ่งบันเทิงและสาระความรู้” คือวิสัยทัศน์ของดิสนีย์ที่ยังขับเคลื่อนแบรนด์มาจนถึงปัจจุบัน

2. ต่อยอดคาแร็กเตอร์ที่แฟนๆ หลงใหลออกมาเป็นสินค้า

แต่ลำพังจะทำการ์ตูนอย่างเดียวคงไม่ทำให้แบรนด์ดิสนีย์เป็นแบรนด์ที่ไอคอนิกขนาดนี้ แล้วดิสนีย์ทำได้ยังไง คำตอบอาจเรียบง่ายแค่ ‘ต่อยอด’

ในปี 1929 ดิสนีย์เซ็นสัญญาขายลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนเพื่อนำไปทำสินค้าเป็นครั้งแรก โดยตัวละครตัวที่ขายคือมิกกี้เมาส์ ซึ่งเอาไปทำเป็นหนังสือหัดเขียนสำหรับเด็ก (children’s writing tablet)

ในเดือนธันวาคมของปีเดียวกัน ดิสนีย์ก่อตั้ง Walt Disney Enterprises หรือ WDE เพื่อโฟกัสกับการขายสินค้า merchandise โดยเฉพาะ ก่อนจะผลิตสินค้าอื่นๆ ตามมาอย่างตุ๊กตา เสื้อผ้า และของกระจุกกระจิกสารพัดอย่าง

ในปี 2021 ดิสนีย์ทำรายได้จากสินค้า merchandise มากถึง 56.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของโลกที่ทำรายได้จากสินค้า merchandise โดยตัวการ์ตูนที่เป็นตัวท็อป ขายดีที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากมิกกี้เมาส์

เคล็ดลับอีกข้อคือดิสนีย์ไม่ได้ผลิตสินค้าเองทั้งหมด แต่ยังขายลิขสิทธิ์และขยันไปคอลแล็บกับแบรนด์มากมาย หนึ่งในนั้นคือ Mattel แบรนด์ที่โด่งดังเรื่องของเล่นและตุ๊กตาเด็กอย่างบาร์บี้นั่นเอง

3. เสกโลกจินตนาการของคนดูให้กลายเป็น Disney Land (&More!)

ได้ยินประโยค ‘The Happiest Place on Earth (สถานที่ที่มีความสุขในโลก)’ เมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าคุณจะคิดถึงที่ไหน แต่เราคิดถึงดิสนีย์แลนด์

หลายคนอาจรู้ว่า ดิสนีย์แลนด์คือส่วนหนึ่งของ Disney’s Parks, Experiences and Product หรือ DPEP หน่วยธุรกิจย่อยที่ดิสนีย์แตกไลน์ออกมาเพื่อทำธีมพาร์กและรีสอร์ตโดยเฉพาะ ซึ่งถ้าเทียบกับธุรกิจขาอื่นแล้วอาจไม่ได้ทำรายได้เยอะที่สุด (โดยเฉพาะในช่วงโควิดที่ทุกธุรกิจซบเซา) อย่างไรก็ดี DPEP ก็ยังถือเป็นหน่วยที่ทำกำไรเยอะที่สุดอยู่ดี

อาจเพราะดิสนีย์ตั้งธีมพาร์กกับรีสอร์ตไว้ใน 6 หมุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยว ทั้งในฟลอริดา, แคลิฟอร์เนีย, ฮาวาย, ปารีส, ฮ่องกง และเซี่ยงไฮ้ ซึ่งนอกจากเครื่องเล่นสุดหฤหรรษ์ที่เล่นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ในดิสนีย์แลนด์ยังอุดมไปด้วยสิ่งละอันพันละน้อยที่ทำให้เรารู้สึกเหมือน ‘มีความสุขที่สุดในโลก’ จริงๆ ทั้งอาหารและสินค้าของที่ระลึกมากมายที่ต่อยอดจากตัวละครของดิสนีย์ เห็นแล้วยากจะอดใจไม่ซื้อไหว 

ไม่ใช่แค่ธีมพาร์กและรีสอร์ตเท่านั้น ดิสนีย์ยังทำ Disney Cruise เรือสำราญธีมดิสนีย์ขึ้นมาเอาใจแฟนๆ ที่ยอมจ่ายแม้จะแพงหูฉี่ อาจเพราะภายในเรือมีทั้งห้องพัก ร้านอาหาร การแสดงสด โรงหนัง ฯลฯ ที่ร่ำลือกันในหมู่นักท่องเที่ยวว่าเข้าไปแล้วคลายกังวล อยู่จนลืมเวลา เป็นประสบการณ์ที่ติ่งดิสนีย์ต้องลองสักครั้งในชีวิต

4. ลงทุนซื้อค่ายหนังที่มีศักยภาพจะทำเงิน เช่น Lucasfilm, FOX, Marvel Studios

สำหรับเรา ดิสนีย์ถือเป็นแบรนด์ที่ขึ้นชื่อเรื่องเล่นเกมไว มากกว่านั้นคืออ่านเกมขาดมากที่สุดแบรนด์หนึ่งในอุตสาหกรรมบันเทิง

หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดคือการซื้อและควบรวมค่ายหนังหลายๆ ค่าย อย่าง Pixar ที่เคยมาแรงในแง่ของการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ในการสร้างแอนิเมชั่น ดิสนีย์ก็ควบรวมกิจการเพราะอยากเข้าถึงเทคโนโลยี มากกว่านั้นคือเห็นโอกาสเล่นสนุกกับตัวละครหลายๆ ตัวจากฝั่ง Pixar ได้ด้วย

เช่นเดียวกับ Lucasfilm ผู้ให้กำเนิดแฟรนไชส์ Star Wars อันโด่งดัง, Marvel หนึ่งในค่ายหนังที่ทำเงินมากที่สุดในโลก ซึ่งดิสนีย์เห็นโอกาสและเข้าไปซื้อไว้ในตอนที่มาร์เวลกำลังประสบปัญหาการเงินอยู่พอดี ไหนจะ FOX ที่ถือลิขสิทธิ์ตัวละครดังของ Marvel ไว้ เช่น X-Men, Fantastic Four, Deadpool ดิสนีย์เห็นโอกาสที่จะเล่นสนุก (และแน่นอนว่าทำเงิน) กับตัวละครเหล่านี้ จึงซื้อค่าย FOX ด้วยตัวเลขสูงลิ่ว ว่ากันว่ากว่า 70 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว

5. สร้างภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่นที่ปรับตามยุคสมัย จับกลุ่มคนดูรุ่นใหม่แต่ไม่ทิ้งกลุ่มเดิม

หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ดิสนีย์อยู่ยงคงกระพันคือการ์ตูนเก่า ที่กลับไปดูเมื่อไหร่ก็รู้สึกไทม์เลส ซึ่งแทนที่จะกินบุญเก่าไปเรื่อยๆ ดิสนีย์ยังโกยเงินเพิ่มอีกด้วยการทำเวอร์ชั่นไลฟ์แอ็กชั่นขึ้นมา

จริงๆ ก็ไม่ได้กะจะทำมาเพื่อให้ได้เงินจากแฟนคลับเก่าๆ เท่านั้นหรอก แต่การทำภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่นจากการ์ตูนฮิตก็เป็นการแนะนำเรื่องราวสุดคลาสสิกให้กับเด็กเจนฯ ใหม่ที่ไม่เคยดูมาก่อน

ถือว่าคิดถูกมาก เพราะหนังไลฟ์แอ็กชั่นของดิสนีย์หลายเรื่องที่สร้างมาจากการ์ตูนคลาสสิกนั้นทำเงินถล่มทลาย อย่าง The Lion King และ Aladdin ก็กลายเป็นหนังพันล้าน มีหนังที่ชาวฮอลลีวูดนับว่าขาดทุนบ้างอย่าง Alice Through the Looking Glass หรือ Dumbo ของ Tim Burton ก็ถือเป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจบันเทิง

หรืออีกแบบหนึ่งคือ หนังที่ตัวเลขไม่ได้น่าประทับใจมากอย่าง The Little Mermaid ที่ทำเงินได้ราว 569 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก (จากทุนสร้าง 250 ล้านดอลลาร์) หนังก็ยังประสบความสำเร็จมากๆ ในช่องสตรีมมิงอย่าง Disney+ เพราะเป็นหนังที่มียอดดูเยอะมากที่สุดถึง 16 ล้านครั้งในวันแรกที่ลงสตรีม

6. ผลิตสื่อบันเทิงเรื่องใหม่ที่โอบรับความหลากหลาย

นอกจากหารายได้กับของเก่า ดิสนีย์ยังขยันสร้างคอนเทนต์ใหม่ๆ มาเสิร์ฟคนดู

บางคนที่เคยดูดิสนีย์มานาน อาจครหาว่าดิสนีย์ยุคนี้ อะไรๆ ก็ชูเรื่อง diversity หรือดิสนีย์ยุคนี้ woke มาก แต่แท้จริงแล้ว ดิสนีย์ก็แค่ทำคอนเทนต์ที่ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย เอาใจคนดูเจนฯ ใหม่ซึ่งมองความแตกต่างหลากหลายเป็นเรื่องสำคัญ

Encanto, Shang-Chi และ Turning Red คือตัวอย่างของงานที่ว่า ซึ่งแต่ละคนก็ต่างชูให้คนผิวสี (POC) เป็นตัวละครหลัก ดิสนีย์มองว่าการมีหนังและตัวละครแบบนี้จะช่วยสร้างภาพแทนที่ดี และทำให้คนดูที่มีสีผิว เชื้อชาติ ไปจนถึงอัตลักษณ์ทางเพศเหมือนกับตัวละครนั้นได้ ‘เห็น’ ตัวเองในมุมมองด้านบวก มากกว่านั้น ดิสนีย์ยังเมคชัวร์ว่าทีมงานผู้สร้างเบื้องหลังก็ต้องมีความหลากหลายในทีมเช่นกัน เรียกได้ว่าหากจะสร้างหนังที่สะท้อนความหลากหลาย คนทำก็ต้องมีความหลากหลายด้วย

“คนดูของเรานั้นมีทั่วโลกและมีความหลากหลาย ความสำเร็จของเราจึงถูกสร้างขึ้นจากการเคารพความแตกต่าง และสรรเสริญคนทุกแบบที่อยู่ในโลกผ่านเรื่องราวที่เราเล่าและผู้คนเบื้องหลัง และเราจะทำต่อไปในสเกลที่ใหญ่กว่านี้อีก” Victoria Alonso ผู้คุมงานสร้างด้านโพสต์โปรดักชั่นย้ำ

7. ทำการตลาดแบบ nostalgia marketing ด้วย Disney+

ในยุคที่สตรีมมิงมาแรงและกำลังแย่งลูกค้าของโรงหนังไปอย่างดุเดือด ดิสนีย์ก็กระโดดลงมาเล่นตลาดนี้ด้วย Disney+

Disney+ อยู่ในหน่วยธุรกิจย่อยชื่อ Direct-to-Consumer (DTC) ที่คุมเรื่องบริการสตรีมมิงโดยเฉพาะ ซึ่งนอกจาก Disney+ แล้วยังมีช่อง ESPN+, Hulu และ Star+ 

นอกจากจะเป็นช่องทางสตรีมมิงที่ให้ดิสนีย์ได้เผยแพร่คอนเทนต์ใหม่ของตัวเอง Disney+ ยังใช้กลยุทธ์แบบ nostolgia marketing หรือการทำการตลาดจากการถวิลหาอดีต กล่าวคือ เมื่อดิสนีย์อยู่มานาน มีฐานแฟนที่รักแบรนด์เยอะ พวกเขารู้ว่าหนึ่งในวิธีที่จะฮีลจิตใจของผู้คนที่เติบโตมาด้วยกันได้คือการกลับไปดูคอนเทนต์เก่าที่เคยดูยามเด็ก ได้หัวเราะและร้องไห้กับมันอีกครั้ง

พ้นไปจากคอนเทนต์ใหม่ ใน Disney+ จึงเต็มไปด้วยการ์ตูนคลาสสิกแบบครบชุด รวมถึงซีรีส์ ละคร และรายการที่เราอาจเคยดูทางดิสนีย์คลับ ที่เปิดดูก็รู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

8. เฉลิมฉลอง 100 ปีด้วยอีเวนต์สุดยิ่งใหญ่และการคอลแล็บกับแบรนด์ทั่วโลก

16 ตุลาคม 2023 ดิสนีย์พุ่งทะยานสู่ปีที่ 100  เพื่อเฉลิมฉลองการก้าวสู่ศตวรรษใหม่อันยิ่งใหญ่ ในเวลานั้น ดิสนีย์จึงจัดเตรียมงานใหญ่ไว้เอาใจแฟนๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นงาน D100 Celebration งานแสดงแสงสีเสียงประกอบเพลงจากหนังดิสนีย์ที่ทุกคนรัก ซึ่งจะจัดที่ Epcot ในวันที่ 5 ธันวาคมปีเดียวกัน รวมถึงดิสนีย์แลนด์ 6 แห่งทั่วโลก

มองกลับมาในบ้านเรา ดิสนีย์ก็ได้จัดงานอีเวนต์เอาใจสาวกชาวไทยอย่าง Disney100 Village ที่ Asiatique The Riverfront มากกว่านั้น ดิสนีย์ยังชวนแบรนด์สินค้าไทยและเทศหลายแบรนด์มาคอลแล็บ ทั้ง Uniqlo, Karl Lagerfeld, RAVIPA ไปจนถึงแพลตฟอร์มอย่าง TikTok เพื่อให้ทั้งแบรนด์และลูกค้ามาฉลองด้วยกัน

คงไม่ผิดนักที่จะพูดว่า ที่ดิสนีย์ทำธุรกิจมาได้ยั่งยืนยาวนานขนาดนี้ เพราะแบรนด์พยายามดันเพดานในการสร้างความบันเทิงให้แฟนๆ รวมถึงดันเพดานเรื่องการทำธุรกิจให้ไปไกลกว่าที่ใครเคยคิดไว้

ไม่ว่าฝันใหญ่แค่นั้น มันเป็นไปได้เสมอ เรื่องราวของวอลต์ ดิสนีย์ สอนเราแบบนั้น

อ้างอิง

‘ต้นหอม ผักชี และทรายแมว’ ขึ้นแท่นสินค้าขายดีบน LINE MAN MART ตอกย้ำเทรนด์ทำอาหารกินเองและ Pet Parent

ทุกวันนี้คุณใช้ food delivery บ่อยแค่ไหน ทุกมื้อ ทุกวัน หรือทุกสัปดาห์ แม้ตอนนี้ทุกคนจะออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านกันเป็นปกติ และไม่จำเป็นต้องพึ่งการสั่งอาหารบ่อยเท่าช่วงโควิด แต่ตลาด food delivery ก็ยังคงเบ่งบานขึ้นเรื่อยๆ 

สะท้อนให้เห็นว่าตลาด food delivery ไม่ใช่แค่ ‘ทางรอด’ ในยุคที่เกิดโรคระบาด แต่เป็น ‘ทางหลัก’ ที่คนยังเลือกใช้แม้จะเข้าสู่วิถีชีวิตใหม่ ธุรกิจส่งอาหารในไทยที่ยังเหลือเจ้าใหญ่เพียงไม่กี่เจ้าจึงต่างขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาด และในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 LINE MAN ได้ขึ้นมาครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 44%

ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai ได้เล่าให้ Capital ฟังว่านับตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 – ตุลาคม 2567 LINE MAN มีมูลค่าธุรกรรมเติบโตมากถึง 35% ซึ่งถือว่าเติบโตกว่าตลาดค่อนข้างมาก

และได้เก็บสถิติการสั่งอาหารของคนไทยครอบคลุม 77 จังหวัด จากฐานข้อมูลผู้ใช้งานกว่า 10 ล้านคน และร้านอาหารกว่า 5 แสนร้าน สรุปออกมาเป็นเทรนด์การกินของคนไทยที่สุดแห่งปี 2567 และเทรนด์อาหารที่น่าจับตามองในปี 2568 ที่เราจะมา Recap ให้ได้ติดตามกัน

#2567 ปีแห่ง Eat-fluencer หรือการกินตามกระแส

ในปี 2567 จะเห็นว่ากระแสในโลกโซเชียลและอินฟลูเอนเซอร์ต่างมีบทบาทสำคัญที่แจ้งเกิดเมนูอาหารและร้านเด็ด ร้านดังเป็นอย่างมาก จนเรียกว่าเป็นปีแห่ง Eat-fluencer หรือปีแห่งการกินตามกระแสก็ว่าได้ หลายเมนูต่างเป็นอาหารที่คุ้นเคย แต่ถูกต่อยอดให้ดูแปลกใหม่และน่าสนใจเหมือนดั่ง 6 เมนูที่มียอดออร์เดอร์เติบโตสูงที่สุดใน LINE MAN ได้แก่

ชาชีส

อันดับ 1 ‘ชาชีส’ ที่ไม่ว่าจะปัดฟีดในช่องทางโซเชียลไหนก็เห็นเมนูนี้ขึ้นฟีดมาทุกครั้ง ทำให้มีร้านชาชีสบน LINE MAN เพิ่มขึ้นกว่า 4,000 ร้านทั่วประเทศ และมียอดออร์เดอร์ชาชีสเติบโตขึ้นถึง 7 เท่า โดยร้านติดท็อปขายดีที่สุดทั่วประเทศ ได้แก่ ร้าน OWL CHA, BEARHOUSE และ Nose Tea ที่สั่งได้เฉพาะบน LINE MAN เท่านั้น

อันดับ 2 ‘เค้กกล้วยหอม’ ปลุกกระแสโดยร้าน Bonnana หนึ่งในร้าน LINE MAN Only ที่เจ้าของคืออินฟลูเอนเซอร์สายกินชื่อดังอย่าง บิว วราภรณ์ จากกระแสนี้ทำให้มีร้านอาหารที่เพิ่มเมนูเค้กกล้วยหอมกว่า 2,000 ร้าน ส่งผลให้ยอดออร์เดอร์เค้กกล้วยหอมทั่วประเทศเติบโต 115%

อันดับ 3 ‘ขนมไข่’ ขนมในดวงใจของใครหลายคนในวัยเด็ก ที่ถูกปลุกประแสโดยขนมไข่ไส้เนย ต้นตำรับจังหวัดสงขลา จากร้านรุนขนมไข่ ทำให้ยอดสั่งขนมไข่เติบโตถึง 50%

ข้าวขาหมู

อันดับ 4 ‘ข้าวขาหมู’ เมนูที่ฮอตฮิตขึ้นมาจากกระแสของหมูเด้ง ที่หลายคนให้เหตุผลว่าเห็นน้องแล้วทำให้นึกถึงข้าวขาหมู จนทำให้มียอดค้นหาบน LINE MAN เพิ่มขึ้น 50% แซงเมนูฮิตอย่างชาบูและซูชิอีกด้วย

อันดับ 5 ‘ข้าวมันไก่’ ที่ขึ้นมาอยู่ในลิสต์เมนูมาแรงได้อีกครั้ง หลังจากเจ้าแม่แห่งวงการร้านอาหาร ปลา–อัจฉรา บุรารักษ์ แห่ง iberry Group เปิดร้านอาหารแห่งใหม่ ‘ข้าวมันไก่โต๊ะคิม’ มายกระดับข้าวมันไก่จานธรรมดาให้อร่อยแบบไม่ธรรมดา และมีร้านข้าวมันไก่พรีเมียมเกิดขึ้นมากมาย จนทำให้ยอดสั่งข้าวมันไก่ภาพรวมทั่วประเทศเติบโตกว่า 23%

อันดับ 6 ‘ไข่พะโล้’ ที่ถูกชุบชีวิตโดยเอ–ศุภชัย ช่วยดันยอดขายร้านข้าวแกงเติบโตแรงทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ยอดออร์เดอร์เมนูไข่พะโล้บน LINE MAN โตขึ้นกว่า 2 เท่า ในระยะเวลาเพียงแค่ 1 เดือนนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม-กันยายน 2567

#2568 ปีแห่งอาหารซอฟต์พาวเวอร์ที่คนไทยว่าใช่ ต่างชาติก็ชอบ

ในปี 2566 ส้มตำครองแชมป์เมนูอาหารที่มียอดสั่งสูงที่สุดบน LINE MAN แต่ในปี 2567 ไก่ทอดล้มแชมป์เก่าขึ้นแท่นเป็นเมนูอาหารที่มียอดสั่งสูงที่สุดแทน โดยเสิร์ฟไปแล้วกว่า 21 ล้านชิ้น เทียบเท่าการเสิร์ฟให้กับคน 1 ใน 3 ของทั้งประเทศ ตามมาด้วยตำปูปลาร้า, ข้าวกะเพราหมูสับ/หมูกรอบ, ข้าวมันไก่ และตำป่า ซึ่งไก่ทอดที่คนสั่งเยอะที่สุดจะเป็น ไก่ทอดสไตล์อเมริกัน อย่าง KFC และ McDonald’s ที่เติบโตสูงสุดถึง 90% ตามมาติดๆ ด้วย ไก่ทอดญี่ปุ่น เช่น ปีกไก่ทอดยามะจังจากร้าน Sekai no Yamachan และไก่ทอดเกาหลี

ด้านเมนูเครื่องดื่มที่มียอดสั่งสูงสุดในปี 2024 อันดับ 1 ได้แก่ Black Coffee หรือกาแฟดำ ตามมาด้วยชาเขียวนม, เอสเปรสโซ, ชานม และชาไทย ถึงแม้ในปี 2567 ชาไทยจะมียอดสั่งเป็นอันดับที่ 5 จากทั่วประเทศ แต่สำหรับใน ‘เชียงใหม่’ เมืองศักยภาพที่เติบโตสูงสุดอันดับ 1 ในช่วงที่ผ่านมา และติด TOP 3 จังหวัดที่มีออร์เดอร์มากที่สุดของ LINE MAN เช่นเดียวกับกรุงเทพฯ และชลบุรี กลับมียอดสั่งชาไทยสูงที่สุด

นอกจากนี้ชาไทยยังเป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีการเติบโตมากที่สุด สังเกตจากร้านเครื่องดื่มและคาเฟ่ต่างๆ มีการพัฒนาเมนูชาไทยให้มีความหลากหลาย เช่น ชาไทยไข่มุก, ชาไทยลาเต้, ชาไทยปั่น หรือแม้กระทั่งชาไทยน้ำช่อดอกมะพร้าวที่สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว พร้อมทั้งเลือกใช้ใบชาที่ปลูกในไทยมากขึ้น โดยกระแสความนิยมของชาไทยถูกใจจากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติในปีนี้ อาจกำลังส่งสัญญาณว่าปีหน้าชาไทยจะกลายเป็นเมนูซอฟต์พาวเวอร์ของไทยที่ขึ้นแท่นเครื่องดื่มแห่งปีในลำดับต่อไปก็เป็นได้

#เทรนด์ทำอาหารกินเองที่บ้าน และ Pet Parent ยังมาแรงอย่างต่อเนื่อง

ไม่เพียงแต่อาหารพร้อมทานที่มียอดสั่งซื้อสูงบน LINE MAN ถ้าดูจากใน LINE MAN MART จะเห็นว่ากระแสการทำอาหารไทยที่บ้านก็ยังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท็อปสินค้าที่คนสั่งเยอะที่สุดได้แก่ ต้นหอม, ผักชี, พริก และชุดเครื่องต้มยำ ในขณะเดียวกันสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงก็ไม่น้อยหน้า มียอดสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะทรายแมว เป็นสินค้าสัตว์เลี้ยงที่มียอดออร์เดอร์สูงสุด ตามมาด้วยอาหารแมว, อาหารสุนัข, อาหารหนู และอาหารเม่นแคระ แสดงให้เห็นว่าเทรนด์ Pet Parent หรือการเลี้ยงสัตว์เป็นสมาชิกในครอบครัวมีการเติบโตอย่างชัดเจน

#คนวางแผนสั่งอาหารมากขึ้น และสั่งหลายร้านใน 1 ออร์เดอร์ 

หนึ่งในปัญหาคลาสสิกของคนที่สั่ง food delivery คือเวลาที่จะได้รับอาหาร บางคนอยากสั่งปุ๊บ ได้กินปั๊บแบบรอไม่นาน หรือบางคนสั่งล่วงหน้าแล้วค่อยรับอาหารตอนที่ว่าง LINE MAN จึงพัฒนาฟีเจอร์เพื่อตอบรับกับความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย มีทั้งการจัดส่งแบบ Direct to you, การจัดส่งแบบปกติ และการจัดส่งแบบรอได้ Low Cost ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้นและมีการวางแผนในการสั่งอาหารมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ผู้บริโภคบางคนยังอยากกินอาหารหลายอย่าง จากหลายร้าน บางคนก็อยากกินของคาวเสร็จ ตบท้ายด้วยของหวาน หรือเกิดเหตุการณ์ที่ลูกค้าชอบฝากไรเดอร์ให้ซื้อของจากร้านอื่นอยู่บ่อยครั้ง LINE MAN จึงมีฟีเจอร์ Multiple Pick-up หรือสั่งอาหารได้หลายร้านใน 1 ออร์เดอร์ โดยปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 50% เคยใช้ฟีเจอร์นี้แล้ว และคาดว่าในปี 2568 จะพัฒนาให้ผู้บริโภคสั่งอาหารและของใช้ในออร์เดอร์เดียวกันได้

ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าตลาด food delivery ยังหอมหวานเหมือนดั่งรสชาติอาหาร และไม่เพียงแต่เป็นช่องทางกระตุ้นยอดขายให้แก่ธุรกิจอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสทองของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับวัตถุดิบและเครื่องปรุงอาหาร รวมถึงธุรกิจสัตว์เลี้ยง ในวันที่คนหันมาทำอาหารกินเองที่บ้านและสั่งวัตถุดิบจากแอพพลิเคชั่น delivery ไปจนถึงการมาของเทรนด์ Pet Parent ที่ร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง

สีแห่งปี 2025 จาก Pantone กับคำถามที่ว่าใครเลือกและจำเป็นแค่ไหนกับธุรกิจเรา?

เมื่อปลายปี 2024 ที่ผ่านมา Pantone บริษัทผู้สร้างระบบสีระดับสากลได้ประกาศว่าสีแห่งปี 2025 นี้คือสี PANTONE 17-1230 หรือ Mocha Mousse 

ณ จุดๆ นี้เชื่อว่าหลายคนน่าจะมีคำถามสงสัยว่าแต่ละสีที่ปล่อยออกมานั้นกำหนดจากอะไร และยุคสมัยปัจจุบันที่ทุกคนบนโลกต่างสร้างความรับรู้และสร้างอิทธิพลของตัวเองได้อย่างอิสระไร้พรมแดนมากขึ้น Pantone ยังจำเป็นอยู่ไหม ผู้ประกอบการควรจะโอบรับสีใหม่ๆ จาก Pantone หรือเปล่า

1. รู้จัก Pantone

ก่อนอื่น ขอชวนทุกคนทำความรู้จัก Pantone สักหน่อย Pantone ถือกำเนิดในช่วงทศวรรษ 1950 ภายใต้บริษัทการพิมพ์อย่าง M&J Levine Advertising จาก pain point งานพิมพ์ที่นักออกแบบก็ออกแบบมาอย่างหนึ่ง แต่เครื่องพิมพ์ก็แปรการออกแบบมาอีกสีหนึ่ง ด้วยไม่มีมาตรฐานเรื่องสีที่เป็นระบบชัดเจน ทำให้ต้องพิมพ์ซ้ำหลายครั้ง จึงเริ่มมีการจัดระบบและทำให้เม็ดสีของบริษัทและการผลิตหมึกสีของบริษัทตรงกันมากขึ้น 

จากความสำเร็จนั้นนำมาสู่การจัดตั้งบริษัทในปี 1962 มีการก่อตั้ง Pantone Color Matching System® (PMS) หรือมาตรฐานที่ช่วยให้นักออกแบบระบุสีที่ต้องการได้ ส่วนเจ้าเครื่องพิมพ์ก็สร้างสีที่ตรงตามความต้องการของนักออกแบบได้ 

Pantone ยังพัฒนาระบบการตั้งชื่อสีที่มากกว่าแค่ตัวเลข แต่เป็นชื่อสวยเก๋ที่ได้ยินครั้งแรกต้องร้องเอ๊ะ เช่น Mocha Mouse ของปีนี้ ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับสี จนหลายๆ อุตสาหกรรมเลือกใช้สีของ Pantone เพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้ผลิตภัณฑ์ของตัวเอง นอกจากนั้นยังมี Pantone Color Institute™ หรือกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำปรึกษาด้านสีและการพยากรณ์เทรนด์สี เพื่อช่วยแบรนด์สร้างมาตรฐานสีที่เหมาะสม

เมื่อเทียบกับระบบสีอื่นๆ Pantone เหมือนเป็นระบบสีที่เชื่อมโยงโลกดิจิทัลและการพิมพ์เข้าด้วยกัน ขณะที่ CMYK เป็นระบบที่ใช้ในงานพิมพ์ มีช่วงสีที่จำกัดเมื่อเทียบกับ Pantone ส่วน RGB ใช้ในจอดิจิทัล เหมาะสำหรับการออกแบบบนหน้าจอ แต่ไม่เหมาะกับการพิมพ์

2. Pantone เลือกสีแห่งปียังไง

ที่จริงแล้ว นอกจาก Pantone ยังมีผู้นำด้านการพยากรณ์สีเจ้าอื่นอีก แต่หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของ Pantone คือการประกาศสีแห่งปีที่ช่วยเรียกความสนใจจากสื่อและผู้คนได้ ทั้งยังเป็นการสะท้อนถึงภาพลักษณ์ผู้นำระบบสี 

คำถามสำคัญที่หลายคนคงสงสัยคือ Pantone เลือกสีแห่งปียังไง คำตอบคือคณะกรรมการจากสถาบันสี Pantone จะเดินทางไปทั่วโลกเพื่อสำรวจสีในสถานที่และเหตุการณ์ต่างๆ คล้ายกับว่าเป็นการถ่ายภาพสีจากทั่วโลกว่าในแต่ละปีมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ก่อนนำมาประมวลว่าสีไหนน่าจะสื่อสารถึงปีนั้นๆ ได้ 

ไม่ว่าจะ New York Fashion Week ไปจนถึง London Fashion Week เดินตามนิทรรศการต่างๆ เสื้อผ้าที่ผู้คนใส่ในชีวิตประจำวันไปจนถึงเฉดสีของภาพยนตร์ในแต่ละปี การคิดค้นสีใหม่ๆ ของแบรนด์รถยนต์ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีการผลิตสีใหม่ๆ ที่ก้าวหน้ามาก ที่สำคัญ Pantone ยังเน้นพิจารณาสีจาก ‘สิ่งที่จำเป็นในโลกของเราทุกวันนี้’

เช่น Cerulean Blue สีแห่งปีสีแรกที่ปล่อยออกมาในปี 2000 เป็นสีที่ Pantone บอกว่าสื่อถึงท้องฟ้าที่แจ่มใสและเงียบสงบ ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สอดคล้องกับปี 2000 ซึ่งเป็นปีแห่งการเปลี่ยนสหัสวรรษ ในปี 2016 Pantone เลือกสีชมพู Rose Quartz และสีน้ำเงิน Serenity เป็นสีแห่งปี เพื่อสื่อถึงความลื่นไหลทางเพศ ในปี 2023 Pantone กำหนดให้ Viva Magenta เป็นสีแห่งปี เพื่อเป็นภาพสะท้อนของเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์  

3. สีแห่งปีและความสำคัญของ Pantone ในโลกดิจิทัล

เจ้าสีแห่งปีของ Pantone ยังมีอิทธิพลต่อเทรนด์ปัจจุบัน เพราะหลายครั้งที่ประกาศสีแห่งปี หลายบริษัทยังคงใช้สีนั้นๆ ไปกำหนดภาพลักษณ์แบรนด์ การสื่อสาร การตลาด ไปจนถึงการพัฒนาสินค้าและบริการ บางแบรนด์ยังเลือกคอลแล็บกับ Pantone เพื่อสร้างความรับรู้ในกลุ่มลูกค้า เช่น ในปี 2018 MINISO ได้ร่วมมือกับ Pantone สร้างสินค้าในคอลเลกชั่น ‘MINISO Color’ หรืออย่าง Apple ที่ปล่อยสินค้าสี Rose Gold ออกมา 

สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย การกระโดดเข้าไปเล่นกับสีแห่งปีอาจนำไปใช้กับแคมเปญทางการตลาด หรือการออกผลิตภัณฑ์ให้ดูเท่าทันกับยุคสมัย สีแห่งปียังอาจช่วยสะท้อนความต้องการของลูกค้าได้ ขณะเดียวกันก็กำหนดทิศทางผู้บริโภคได้ การวิเคราะห์สินค้าและบริการจากสีที่ Pantone เลือกให้เป็นสีแห่งปี อาจจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เดาใจลูกค้าได้ตรงขึ้น

ส่วน Pantone ในฐานะบริษัทผู้นำเรื่องสี ปฏิเสธไม่ได้ว่าสีสันของ Pantone ยังคงสำคัญ เพราะระบบสีของ Pantone ช่วยสร้างมาตรฐานและความสม่ำเสมอ เหมือนเป็นภาษาสากลของนักออกแบบ แบรนด์ และทุกคนในห่วงโซ่การทำงาน Pantone จึงสำคัญกับแบรนด์ที่จริงจังกับการสร้างแบรนดิ้ง เพื่อให้แน่ใจว่าในทุกชิ้นงานที่ผลิตออกมาจะแม่นยำ นอกจากช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ ยังช่วยสร้างการจดจำให้แบรนด์ได้ดี 

เช่นแบรนด์ใหญ่ๆ อย่าง Tiffany & Co. กับสี Tiffany Blue ที่พัฒนาโดยเฉพาะร่วมกับ Pantone ซึ่งสื่อถึงความหรูหราและความสง่างาม หรือ Starbucks ที่มีสีเขียวเป็นเอกลักษณ์ซึ่งถูกกำหนดด้วยระบบจับคู่สีของ Pantone ไปจนถึงสีของ Pepsi ที่สำคัญต่อการสร้างแคมเปญการตลาดทั่วโลก

แต่ด้วยข้อจำกัดที่ ‘Pantone Guide’ ซึ่งเป็นสินค้าหลักของ Pantone นั้นราคาค่อนข้างสูงและต้องเปลี่ยนทุก 2-3 ปี จึงอาจไม่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการรายย่อยได้ นอกจากนั้นความขัดแย้งระหว่าง Pantone และ Adobe ในปี 2022 ที่ Adobe ได้ถอด Pantone ออกไปในซอฟต์แวร์ ยิ่งทำให้การเข้าถึง Pantone ในซอฟต์แวร์ออกแบบเข้าถึงได้ยากขึ้น ถึงอย่างนั้น Pantone ยังปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัลด้วยการออกแอพฯ Pantone Connect และซอฟต์แวร์ Pantone Color Manager ที่ช่วยให้เข้าถึงคลังสี Pantone ได้สะดวก

กล่าวได้ว่าสำหรับวงการออกแบบ การพิมพ์ แฟชั่น Pantone ยังคงมีบทบาทสำคัญทั้งในเชิงการสร้างผลงานที่สม่ำเสมอ และเป็นมาตรฐาน ยิ่งกับแบรนด์ใหญ่ๆ ที่ภาพลักษณ์นั้นสำคัญยิ่ง การใช้ Pantone ในการคุมแบรนดิ้งยังเป็นสิ่งที่ละทิ้งไม่ได้ 

สำหรับผู้ประกอบการตัวเล็กๆ การเลือกใช้หรือไม่ใช้ Pantone อาจต้องพิจารณาถึงคุณค่าที่แบรนด์หรือบริษัทให้ความสำคัญ เริ่มต้นจากคำถามง่ายๆ เช่น ซีเรียสเรื่องแบรนดิ้งแค่ไหน ไปจนถึงอุตสาหกรรมหลักที่ตนเองทำอยู่คืออะไร

ฉลองเทศกาลแห่งความอบอุ่น KTC จับมือ โรงเบียร์เยอรมันตะวันแดงจัด ‘มื้อนี้ มีโปร’

ช่วงเทศกาลแห่งความอบอุ่นที่หลายคนน่าจะนัดพบปะกับผองเพื่อน ครอบครัวกัน ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จึงร่วมกับ โรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง สาขาแจ้งวัฒนะ เพื่อจัดกิจกรรม ‘มื้อนี้ มีโปร กับบัตรเคทีซี’ เพื่อมอบประสบการณ์ และความคุ้มค่าให้กับเหล่าอินฟลูเอนเซอร์สายกินดื่ม

ภายในงานที่ผ่านมา เหล่าอินฟลูฯ ได้ร่วมเวิร์กช็อปเจาะลึกต้นกำเนิดคราฟต์เบียร์ เรียนรู้กระบวนการผลิตแบบดั้งเดิมตำรับเยอรมันแท้ พร้อมเข้าชมโรงต้ม หมัก บ่ม แบบเอกซ์คลูซีฟ งานนี้ สุพจน์ ธีระวัฒนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง จำกัด เป็นวิทยากรและนำชม 

ส่วนมื้อนี้ ‘เคทีซีมีโปร’ เปิดประสบการณ์ด้วยการเสิร์ฟขาหมูทอดตะวันแดง สูตรลับความอร่อยคู่ร้านกว่า 25 ปี ที่คัดสรรขาหมูชั้นดี ด้วยน้ำหนักและขนาดที่เท่ากันทุกจาน การปรุงด้วยสูตรลับเฉพาะ ใช้น้ำมันใหม่ทุกครั้งในการทอด บวกกับเตารุ่นพิเศษ ที่ควบคุมอุณหภูมิและเวลาให้พอเหมาะ นอกจากนั้นยังมีไส้กรอกรวมหลากรส สัญชาติเยอรมันแท้ๆ และซาซิมิสดใหม่ รังสรรค์โดยเชฟชาวญี่ปุ่นมากประสบการณ์ 

ส่วนใครอยากมีประสบการณ์ความร่อยแบบพิเศษอย่างนี้ เพียงเป็นสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี รับส่วนลดสูงสุด 20% เฉพาะค่าอาหาร เพียงใช้คะแนนสะสม KTC FOREVER เท่ายอดใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568