flo Wolffia แบรนด์ผำโดยอาจารย์นักวิจัย ที่อยากดันผำไทยเป็นโปรตีนของโลกให้ได้ในสักวัน

ในฐานะคนเหนือที่โตมากับอาหารจากครัวของคุณยายข้างบ้าน ไข่ผำหรือผำ (Wolffia) สำหรับเราคือวัตถุดิบพื้นบ้านภาคเหนือ-อีสานที่ค่อนข้างคุ้นเคย แต่เมื่อวันที่คุณยายข้างบ้านไม่อยู่แล้ว กลิ่นเขียวๆ รสนัวๆ ในแกงผำของคุณยายก็หลงเหลือแค่เพียงความทรงจำ 

กระทั่งไม่กี่เดือนก่อน เราสะดุดตากับผำสดของ flo Wolffia (โฟล วูล์ฟเฟีย) ที่วางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตในตัวเมืองกรุงเทพฯ ไม่ใช่แค่ทำให้นึกถึงคุณยายคนนั้นหรอกที่ทำให้รู้สึกสนใจ ทว่ากลับเป็นคาแร็กเตอร์โมเดิร์นๆ ของผำที่แบรนด์นำเสนอแก่สายตาเราต่างหาก

พูดให้เห็นภาพ คนที่เห็นผำในชามแกงร้อนๆ มาตลอด พอได้เห็นคนตักผำของ flo Wolffia กินแบบสดๆ เห็นมันอยู่ในสมูทตี้โบวล์ โยเกิร์ต พาสต้า พุดดิ้ง เค้ก ไอศครีม หรือเป็นเพสต์กินกับขนมปัง มีหรือที่จะไม่ตื่นเต้นไปกับเขาด้วย

หลายปีมานี้ เทรนด์การกินอาหารจากพืชและโปรตีนทางเลือก รวมไปถึงนักพัฒนาและวิจัยทางการเกษตรทั้งในไทยและทั่วโลก ต่างพร้อมใจกันฉายสปอตไลต์ให้กับผำในฐานะดาวรุ่งแห่งวงการซูเปอร์ฟู้ดเพราะภายใต้ผนังเซลล์จิ๋วๆ ของมันนั้นอุดมไปด้วยแร่ธาตุ วิตามิน และสารอาหารจำเป็นต่อร่างกาย มากไปกว่านั้น ผำยังถือเป็น future food หรืออาหารแห่งอนาคต ในช่วงที่ความต้องการด้านอาหารจะเพิ่มขึ้นมากกว่าหนึ่งเท่าตัว ด้วยมีแค่น้ำสะอาดกับแสงแดดก็เติบโตและขยายพันธุ์ได้แล้ว 

จากการสะดุดตาแบบเร็วๆ ในวันนั้น กลายเป็นว่าผู้เคยมีความหลังกับไข่ผำอย่างเราเลยได้เชคแฮนด์ ทำความรู้จักผำใหม่ และที่สนุกสุดคือได้ลองกินมันอย่างหลากหลายขึ้นด้วย 

ที่แน่ๆ บ่ายวันนี้พิเศษกว่าวันไหนๆ เพราะเรามีโอกาสนัดพูดคุยถึงเบื้องหลังของธุรกิจอาหารเพื่อความยั่งยืนกับ ผศ. ดร.วิษุวัต สงนวล หรือ อาจารย์ฟุ นักวิจัย อาจารย์ประจำภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท แอดวานซ์ กรีนฟาร์ม จำกัด ผู้พัฒนานวัตกรรมการเพาะเลี้ยงผำ และจัดจำหน่ายในชื่อแบรนด์ flo Wolffia นั่นเอง

สำหรับใครที่ยังสงสัยว่าผำคืออะไร ก่อนจะเปิดใจลองหม่ำผำไปด้วยกัน บทสัมภาษณ์ของอาจารย์ผู้ขายผำเป็น (อีกหนึ่ง) อาชีพตอนนี้ มีเรื่องราวมหัศจรรย์ของพืชน้ำขนาดจิ๋วชนิดนี้มาเล่าให้ฟัง

ย้อนกลับไปตอนแรกๆ นักวิจัยอย่างคุณมาสนใจผักพื้นบ้านอย่างผำได้ยังไง

เรารู้จักเพราะว่าเราทําวิจัยเรื่องพืช ก็มีกระแสเกี่ยวกับ plant-based protein แล้ว duckweed หรือแหนก็เป็นหนึ่งในโปรตีนทางเลือกที่อยู่ในกระแส ซึ่งผำเป็นแหนชนิดหนึ่งที่มีขนาดเล็กที่สุด เป็นน้องเล็กเลย แล้วเราก็มีจังหวะที่ต้องพา professor ท่านหนึ่งไปดูพืชน้ำของบ้านเรา เขาก็ให้ไอเดียว่าผำเนี่ยมันเป็นของคนไทยนะ เราควรจะเลี้ยงและกินมันให้มากกว่านี้ นักวิจัยจากต่างประเทศหลายคนก็พูดเหมือนกันว่าบ้านเราก็น่าจะเป็นผู้ผลิตได้ เพราะไทยเป็นบ้านเกิดของมัน

แล้วอะไรคือจุดเริ่มต้นที่อยากเอาวัตถุดิบพื้นบ้านเข้ามาให้คนเมืองกินกัน

ผำคือพืชที่มีโอกาสเป็นโปรตีนทดแทนหนึ่งใน 4-5 ชนิดที่ดีที่สุดของโลก ถ้าเราต้องผลิตอาหารให้มากขึ้นเป็น 2 เท่าในปี 2050 ซึ่งเป็นช่วงที่ความต้องการอาหารน่าจะเพิ่มขึ้นเท่าตัว เราต้องมีพืชที่ดีกว่านี้ คือมีประสิทธิภาพในการเป็นอาหารให้เรา ปลูกง่าย โตเร็ว สารอาหารสูง แล้วก็ไม่มีของเสีย ซึ่งผำมันตอบโจทย์ทุกข้อเลย แล้วมันก็เป็นของคนไทยด้วย ยังไงเราก็ควรที่จะสนับสนุนมัน

ก่อนหน้านี้ อาจารย์เมธา (ผศ. ดร.เมธา มีแต้ม ผู้ร่วมก่อตั้งและ Chief Technologist) เขาทำวิจัยสาหร่ายมาก่อน มีความรู้ในการเลี้ยงพืชน้ำก็เอามาปรับใช้ เราพยายามเลี้ยงมันจากในกะละมังให้ลูกกิน ต้องบอกว่ามันไม่ง่ายนะ เพราะว่าตอนแรกเราไม่เข้าใจมัน แล้วยิ่งเลี้ยงในจำนวนน้อยจะเลี้ยงให้เสถียรยากมาก แต่ที่เราสนใจจริงๆ คือผำเป็นผักชนิดแรกที่ลูกเรายอมกิน ก็โอเค พอมันเป็นของที่ตอบโจทย์ครอบครัวเรา เราว่าผำน่าจะตอบโจทย์พ่อแม่ประมาณ 70% ของประเทศนี้ด้วยเหมือนกัน

แล้วเรามองได้หลายมุมมากเลยว่าเรากินผำเป็นอาหารแบบไหน จะเป็นอาหารพื้นบ้าน เป็นซูเปอร์ฟู้ด กินเป็นโปรตีนออร์แกนิก กินเป็นอาหารเสริม (supplement) พอมันมีหลายแบบให้เราเลือก เราก็เห็นว่าตลาดมันยังกว้างมาก ในบ้านเราก็ยังไม่ค่อยมีใครทำ และผำก็เป็นสิ่งที่ตลาดต่างประเทศเขารู้จัก มีคนเอาไปทำที่ประเทศอื่นด้วย มันก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเราควรที่จะเอาสิ่งนี้กลับมา แล้วก็พัฒนาให้มันเห็นผลจริงๆ ด้วยความที่เราเป็นอาจารย์ แล้วเรื่องนี้เรามองว่ามันต้องใช้เทคโนโลยี ใช้นวัตกรรมพอสมควรเลยเพื่อที่จะทำให้มันมีคุณภาพขึ้นมาก็เลยเลือกทำมันด้วยตัวเอง

ผำธรรมชาติกับผำที่ flo Wolffia เลี้ยง มีความแตกต่างกันยังไง

ในธรรมชาติเราจะเจอผำตามบึงน้ำจืดหรือบ่อที่เป็นน้ํานิ่ง เขามักจะอยู่ปนกับแหนชนิดอื่นเลยทําให้คนเรียกเขาว่าไข่แหนหรือไข่ผำ เพราะคิดว่ามันเป็นลูกของแหน ชาวบ้านโดยทั่วไปเขาก็จะรู้ว่าบ่อไหนมีสภาพเหมาะสมที่ผำจะเติบโตได้มากกว่าแหนชนิดอื่น ก็จะเก็บมาล้าง มาทําอาหารได้ 

แต่ว่าการเก็บจากธรรมชาติแบบนี้มันก็มีความเสี่ยงการปนเปื้อน ไม่ว่าจะเป็นสารเคมีทางการเกษตร โลหะหนัก เชื้อจุลินทรีย์ที่ถ้าเราไม่ตรวจเราก็ไม่มีทางรู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง สิ่งสำคัญคือน้ําตรงนั้นมาจากไหน ซึ่งในปัจจุบันเราต้องยอมรับว่าน้ําที่อยู่ในบ่อหรือแหล่งธรรมชาติ มันไม่ได้สะอาดเหมือนกับสมัยก่อน

ทีนี้เราก็เอาผำตามธรรมชาติมาเลี้ยงเพื่อคัดเลือกสายพันธุ์ พันธุ์ไหนเลี้ยงง่าย โตเร็ว มีสารอาหารสูง ก็เอามาเลี้ยงในบ่อที่มีน้ําสะอาด กว่าจะเลี้ยงผำจากธรรมชาติในบ่อให้ไม่มีการปนเปื้อนของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ต้องใช้เวลาเป็นปีๆ เลยนะ 

ส่วนวิธีการเลี้ยง เราก็คิดวิธีการของเราขึ้นคือพยายามเลี้ยงให้เขาโตไว ถ้าเขาโตไวเขาจะไม่สะสมแป้งและไขมัน แม้ว่าตามธรรมชาติเขาจะสะสมน้อยอยู่แล้ว ผำเขาเหมือนยอดผักนะ ถ้าเราเก็บเรื่อยๆ ก็จะแบ่งตัวเร็ว เป็นเทคนิคที่ทำให้ผำมีเซลล์ที่แอ็กทีฟและมีสารอาหารสูง

เราใส่ใจเรื่องความสะอาดของน้ำมากๆ ตอนเลี้ยงก็จะใส่ปุ๋ยในขนาดที่พอเหมาะ ไม่ใส่เยอะเกินไป แล้วเวลาที่เก็บมาจากบ่อของเรา ก็จะเอามาล้างด้วยน้ำ RO ซึ่งเป็นเกรดสูงสุดของน้ำดื่ม เพื่อให้เรากินมันได้แบบมั่นใจ ทุกแบตช์มีการตรวจคุณภาพใต้กล้องจุลทรรศน์ วัดปริมาณจุลินทรีย์ เรามีการเก็บข้อมูลตลอดว่าผำโตได้ดีในสภาวะแบบไหน แล้วเราจะทำยังไงให้ใช้ทรัพยากรให้น้อยที่สุด เอากลับมาใช้ใหม่ได้มากที่สุด และต้องปลอดภัยที่สุดด้วย 

พอต้องสวมหมวกอีกใบเป็นนักธุรกิจขายผำ เจออุปสรรคแบบไหนบ้าง

เราเจอว่าคนไทยที่เคยทานผำก่อนหน้านั้น ณ วันนี้เขาไม่ทานแล้ว เพราะมันหาไม่ได้ หรือบางทีเจอในตลาดก็ไม่กล้าซื้อเพราะมันอาจจะมีการปนเปื้อนได้ ถึงเราจะเชื่อว่าผำมันโตในน้ำสะอาดเท่านั้น แต่สะอาดสำหรับพืชและสะอาดสำหรับคนมันไม่เหมือนกัน หลังจากที่เริ่มทำก็พบว่าคนที่เป็นแบบนี้มีเยอะมากเลย แล้วคนที่เคยทําอาหารจากเมนูนี้ก็น้อยลงไปทุกวัน ผำมันก็หายไปเพราะว่ามันไม่อยู่ในชีวิตประจําวันของเรา คนชอบกินก็ไม่ทําเองด้วยนะ แล้วเด็กเจนฯ ต่อไปยิ่งไปกันใหญ่เลย เพราะการรับรสเขาก็อีกแบบหนึ่ง เราทานข้าวน้อยลงแล้วไปทานอย่างอื่น การมีทางเลือกที่หลากหลายมันคือเรื่องที่ดี แต่เราก็ต้องหาวิธีการที่จะช่วยให้ของดีแบบนี้มันไม่หายไปด้วย

แล้ว flo Wolffia ใช้วิธีการแบบไหนเพื่อชวนคนกลับมากินผำ

เราก็เอาผำมาแปลงโฉมใหม่ จริงๆ พอเราได้ทานเองก็รู้สึกว่าผำเป็นพืชที่มีความโมเดิร์นมาก มันเข้าทุกอย่าง ของที่เราชอบทานทุกอย่างเนี่ยสามารถใส่ผำลงไปได้เลย ก็เลยพยายามสื่อสารตรงนี้เยอะ ตอนนี้ก็โชคดีที่มีคนหันมาสนใจตรงนี้เยอะขึ้น แล้วพอเขาชอบเขาก็ช่วยบอกต่อ ช่วยเราโปรโมตด้วย

หลายคนที่เคยทานก็บอกว่าไม่อยากลอง เพราะความทรงจําของเขาคือผำมีกลิ่นเหม็น ต้องอธิบายว่าผำจากธรรมชาติเนี่ย กลิ่นที่เราได้รับมันเป็นกลิ่นที่ติดมาจากโคลนและสาหร่าย ไม่ใช่กลิ่นของผำจริงๆ เพราะฉะนั้น ใครที่เคยกินแล้วรู้สึกว่าไม่ชอบกลิ่น ก็อยากให้มาลองของเราก่อน เพราะเราทำให้มันสะอาดจริงๆ

ทำไมถึงตั้งชื่อแบรนด์ว่า flo Wolffia 

ที่เรียกว่า flo เรานึกถึงเวลาที่เขาอยู่ในน้ำ ปกติเขาอยู่น้ํานิ่งๆ แต่ที่ฟาร์มเราตั้งใจทําให้น้ํามันเคลื่อนน้อยๆ เพื่อเป็นการกระจายสารอาหาร มีลมผ่านนิดหน่อย เวลาเขาไหลอยู่ในบ่อเขาจะมีความเซนมากเลย ไหลเอื่อยๆ ดูแล้วสบายใจ เป็นพืชที่มีความมินิมอลดีต่อใจ 

และคำว่า flow มันเป็นเรื่องของการที่เราอยู่ในโมเมนตัมที่ถ่ายไปข้างหน้าเรื่อยๆ ฝรั่งเขานิยามผำว่าเป็น Green Machine เครื่องจักรสีเขียวที่แปลงพลังงานแสงอาทิตย์มาเป็นอาหารให้เราในแบบที่คลีนที่สุด อาจารย์เมธาเขาก็บอกว่า flo มันคือการ flow ของพลังงานจากแสงอาทิตย์มาสู่เราในแบบที่ไม่ต้องมีอะไรเยอะแยะ ไม่วุ่นวาย 

การที่คนให้ความสนใจกับเทรนด์ซูเปอร์ฟู้ด สิ่งนี้มันเอื้อกับแบรนด์ยังไง

เดี๋ยวนี้คนให้ความสําคัญกับเรื่องสุขภาพเยอะขึ้น แล้วก็ให้ความสําคัญกับสิ่งที่เป็นธรรมชาติมากขึ้นด้วย ถามว่ามันดีกับผำของเราไหม แน่นอน มันดีมากๆ เลย

ยุคหนึ่งคนอาจจะคุยกันว่าต้องกินวิตามิน กินสารนี้เท่านี้ๆ นะ แต่ว่าถึงจุดหนึ่ง หรืออย่างตอนนี้เรามีกระแสการกินอาหารเป็นยา บวกกับการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุแบบสุดยอด เราอยากจะแก่แบบมีคุณภาพ เราเลยไม่อยากรู้สึกว่าเราต้องกินยา การกินวิตามินเป็นเม็ดๆ บางทีมันก็ให้ความรู้สึกเหมือนยา ไม่เพลิดเพลินและเป็นของที่ไม่ค่อยสมดุลเท่าไหร่ 

ตั้งแต่หลังโควิด-19 โลกก็มุ่งไปที่อาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น ซึ่งพอเทรนด์เหล่านี้มามันเลยตอบโจทย์ เพราะเวลาเราทานผำกับเมนูที่เราเอนจอยอยู่แล้ว ยังไงมันก็อร่อย แถมเรายังได้คุณค่าทางโภชนาการที่สูงด้วย 

เราเชื่อว่าทุกอย่างมีสองด้าน เทรนด์ซูเปอร์ฟู้ดมันยังชวนคุณฉุกคิดถึงข้อเสียอะไรบางอย่างไหม

ถ้าพูดถึงเทรนด์ของซูเปอร์ฟู้ดในบ้านเรา เรามองว่าไทยยังตามกระแสที่อื่นระดับหนึ่งเลย สำหรับเรามันเป็นความเศร้านิดหนึ่งตรงที่ซูเปอร์ฟู้ดในช่วงปีแรกๆ มันเป็นอาหารจากต่างชาติเสียเยอะเลย ถ้าว่ากันตามตรง เราจะได้ยินชื่อเมล็ดเจีย อาซาอิ เคล ซึ่งเป็นของต่างชาติ มันไม่ใช่เรื่องไม่ดีนะที่เราเสียเงินให้กับการใส่ใจสุขภาพ แต่จริงๆ แล้วบ้านเรามีซูเปอร์ฟู้ดเยอะมากที่คนทั่วไปยังไม่ค่อยเห็น ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่น่าเสียดาย

เราอาจจะไม่ค่อยเก่งเรื่องการตลาด อันนี้ต้องยอมรับว่าเราต้องช่วยกันจริงๆ จังๆ ว่าทำยังไงให้กระแสซูเปอร์ฟู้ดมันออกมาจากประเทศเราให้ได้ แต่ว่าอันนี้ก็มีข้อควรระวัง เช่น บางครั้งข้อมูลต่างๆ ที่มาจากงานวิจัยของไทยมันมีน้อยจริงๆ เราเลยเสียเปรียบต่างชาติ แล้วข้อมูลที่มีก็อาจจะยังไปไม่ทั่วถึง มันเลยค่อนข้างยากในการส่งต่อข้อมูลไปถึงประชาชน

สำหรับซูเปอร์ฟู้ด เราอยากให้คนไทยเข้าถึงซูเปอร์ฟู้ดได้เยอะๆ ซึ่งสิ่งที่คนเข้าถึงก็ควรเป็นของที่เป็นของเราเยอะขึ้นด้วย เพราะว่าผลประโยชน์มันก็จะวนมาที่พวกเราเองนั่นแหละ เราอาจจะไม่จำเป็นต้องซื้อของแพงๆ แล้วยังได้กินของที่สดใหม่ด้วย อย่างผำเอง ฝรั่งเขาก็ถามมาตลอดว่าเมื่อไหร่เราจะส่งไปที่ประเทศเขาบ้าง เขารู้สึกอิจฉาคนไทยเลยด้วยซ้ำ

ดูเหมือนว่าผำจะเป็นที่ต้องการในต่างประเทศ ถ้าโฟกัสไปที่ตลาดต่างประเทศแต่เริ่มเลยมันน่าจะง่ายกว่าหรือเปล่า ทำไมคุณถึงเลือกที่จะขายผำให้คนไทย

มีหลายคําตอบมากเลยที่ประกอบกัน อย่างแรก อาจารย์เมธาอยากให้คนไทยได้กินจริงๆ อย่างที่สอง บริษัทเรายังเล็กอยู่ มีผลผลิตน้อย เราก็ต้องขายในประเทศก่อนนี่แหละ แล้วเราก็มีความเชื่อว่าถ้าเราขายคนไทยได้ เราขายที่ไหนก็ได้ในโลกเพราะว่าคนไทยเนี่ยเทสต์ดีมากๆ เลยในเรื่องอาหาร

ถ้าคำตอบสวยๆ ก็จะประมาณนี้ แต่ว่าในความเป็นจริงคือ ถึงทั่วโลกจะมีคนต้องการเยอะ แต่บริษัทที่ประสบความสำเร็จในการทำผลิตภัณฑ์จากผำหรือแหนออกมาให้คนส่วนใหญ่ยอมรับ ก็ต้องบอกว่ามีน้อยมากๆ เรามีกันอยู่ไม่กี่บริษัท อีกอย่างคือต้นทุนในการส่งออกก็ค่อนข้างสูง ดังนั้น เราจำเป็นต้องสร้างตลาดในบ้านเราให้แข็งแรงก่อน 

ทุกคนยังบอกเราว่าถ้ามันจะเกิดมันก็ต้องเกิดด้วยบริษัทเรานี่แหละ (หัวเราะ) เพราะว่าเมืองไทยคือบ้านของมัน เวลาที่ต่างชาติจะไปบอกให้คนในประเทศเขากิน ถ้าเขาสามารถบอกได้ว่า ดูสิ คนไทยยังกินกันเลย สิ่งนี้มันจะมีน้ำหนักมากนะคะ เพราะไทยเรามีเครดิตที่ดีมากในเรื่องอาหาร 

แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเราไปขายต่างประเทศก่อนเราก็น่าจะเจอเรื่องท้าทายอีกแบบ เพราะว่าตอนนี้ตลาดซูเปอร์ฟู้ดทั่วโลกดูเหมือนว่ากระแสมันจะมาแรงมากๆ แต่ภาพรวมในเชิงเศรษฐกิจมันก็ไม่ได้รุ่งโรจน์มากขนาดนั้น แรงซื้อของคนทั่วไปไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก อย่างยุโรปตอนนี้ก็รัดเข็มขัดกัน คนจ่ายเงินกันน้อยลง แล้วเขาก็มีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่พร้อมขายกันอยู่แล้ว 

จริงๆ ถ้าอยากขายในตลาดต่างประเทศ เรามีโอกาสเยอะนะ แล้วของของเราสู้ได้สบายมาก อย่างฝรั่งเนี่ยขายสามคำเขาซื้อเลย

อยากรู้เลยว่าฝรั่งเขาอยากฟังอะไร หรือซื้อคำไหนบ้างจาก flo Wolffia

ต่างชาติคุณภาพมาก่อนเสมอ เพราะฉะนั้นตอนที่เราทำเราตั้งใจเลยว่าต้องมี 3 คำนี้คือ nutritious, safe และ sustainable

เราเรียกนวัตกรรมของเราว่า NSS Technology คือผำของเราต้องมีคุณค่าอาหารสูงที่สุด ปลอดภัย แล้วก็ยั่งยืนในเรื่องสิ่งแวดล้อม อย่าง nutrition คือสิ่งแรกๆ ที่เขาจะดูถ้าเห็นว่ามันคือซูเปอร์ฟู้ด กระบวนการเพาะเลี้ยงมีผลเยอะมากกับคุณค่าทางอาหาร ถ้าเทียบโปรตีน ผำจากบ่อธรรมชาติจะมีโปรตีนอยู่ที่ 17.8% แต่ผำของเราต้อง 40% ขึ้นไป หรือแคลเซียม สังกะสี ผำของเรามีสูงกว่าธรรมชาติถึง 5 เท่า ถ้าเราจะเคลมสถานะเป็นซูเปอร์ฟู้ดจริงๆ เราก็ต้องบอกได้ว่าสารอาหารมันสูงแล้วก็ต้องรักษามาตรฐานให้ดีด้วย เพราะเมื่อเข้าไปสู่อุตสาหกรรมอาหาร เราจะถูกกำกับโดยกฎหมายอีกที

การปนเปื้อนเป็นประเด็นสำคัญเช่นกัน เพราะผำเป็นพืชที่อยู่ในน้ำ เขาสามารถดึงสารอาหารจากน้ํามาสะสมในตัวเขาได้เยอะ ถ้ามีโลหะหนักปนเปื้อนเขาก็จะดึงมา แล้วแผ่นดินในบ้านเราปนเปื้อนค่อนข้างเยอะ เราเลยต้องลงทุนกับระบบในฟาร์ม การจัดการน้ำและระบบตรวจคุณภาพเยอะมากๆ

ในแง่ของ sustainability ทุกวันนี้ตราที่แสดงถึงความยั่งยืนในระบบการผลิต เช่น net-zero product มีมูลค่าสูงกว่าออร์แกนิกด้วยซ้ำนะ คือถ้าเราบอกได้ว่าผลผลิตของเราเป็น net-zero ได้ก็จะดี ตอนนี้เราก็พยายามทําข้อมูลเรื่องนี้ ตัวผำเองเป็นพืชที่ยั่งยืนมากๆ แต่ในฐานะผู้ผลิตเราก็ต้องคิดและคํานวณทุกสิ่งทุกอย่างที่เราใช้ไปในกระบวนการเพาะเลี้ยง แต่บอกเลยว่าเราใช้ทรัพยากรไปเยอะกับการอยากทําให้มันยั่งยืน ถามว่าที่สุดหรือยัง ก็ยังนะ ดังนั้นสิ่งที่เราจะมุ่งต่อไปจากนี้ คือทำให้ยั่งยืนมากกว่านี้ 

ตอนนี้กลุ่มแฟนๆ ผำของเราเป็นใครกันบ้าง

อันดับต้นๆ เลยก็คือมนุษย์แม่ที่หาผักให้ลูกกิน ตักใส่ในโจ๊กแล้วคนทานได้เลย มันตอบโจทย์ความสะดวกในชีวิตเขา แล้วสาเหตุที่เด็กไม่กินผักส่วนใหญ่ก็มาจากความขมหรือการเคี้ยวแล้วมันติดฟัน กลืนไม่ลง รู้สึกว่ากินยาก ซึ่งผำแก้ปัญหาตรงนี้ได้หมดเลย 

กลุ่มที่สองก็คือกลุ่มพ่อแม่ของคนวัยเรา เขาจะมีปัญหาตรงข้ามคือ กินผักได้น้อยลงเพราะว่าเคี้ยวไม่ได้แล้ว พอกินผักน้อยก็จะมีปัญหากับโรคต่างๆ อาการขับถ่ายไม่ดี หรือทานอาหารได้น้อย จริงๆ ถ้าถามว่าลูกค้าของเราคือใคร บอกได้ว่าเป็นกลุ่มเดอะแบกเยอะนะ ฉันซื้อให้ลูกแล้วฉันก็ซื้อให้พ่อแม่ด้วยประมาณนี้

กลุ่มที่สามคือกลุ่มคนที่รักตัวเอง เป็นกลุ่มที่มาด้วยความตั้งใจที่ดีมากจริงๆ คือเขาไม่ได้มองว่าเขาทานเพราะว่าต้องสวย หรือกินเป็นทางลัดของหุ่นฟิตแอนด์เฟิร์ม แต่เขาลงทุนกับการหาอะไรดีๆ ให้ตัวเองทาน แล้วกลุ่มนี้ก็มักจะเป็นกลุ่มที่ช่วยเราโปรโมต เนื่องจากเขาหาข้อมูลความรู้จากโซเชียลฯ พอได้ชิมแล้วชอบ เขาก็คืนกลับให้เราด้วย เป็นกลุ่มที่น่ารักกลุ่มหนึ่งเลย

กลุ่มที่สี่คือกลุ่มแฟนคลับผำที่อยู่ต่างจังหวัด ส่วนใหญ่ก็จะรุ่นพ่อแม่เราขึ้นไปที่เขาเคยทานผำ เป็นผำเลิฟเวอร์ และยังทำอาหารกันอยู่ แล้วรู้สึกว่าหาผำไม่ได้แล้ว พอได้ฟังเรื่องราวจากเราเขาก็จะอินมากๆ อยากจะกลับมากินของที่เคยกินอีก จริงๆ กลุ่มนี้ก็มีเยอะเหมือนกัน 

และสุดท้ายคือกลุ่มชาวต่างชาติที่อยู่ในไทย กลุ่มนี้จะสั่งกันทีหนึ่งเป็นลังๆ เพราะว่าเขาทานเยอะกว่าเรา บางคนเขาบอกเราว่าเขาอยู่ไม่ได้เลยถ้าไม่มีผำ เพราะเขากินเพื่อ health benefit ของตัวเองจริงๆ

มาถึงตรงนี้เชื่อว่า flo Wolffia บรรลุเป้าหมายในประเทศไปประมาณหนึ่งแล้ว เป้าหมายถัดไปของธุรกิจคืออะไร

เราคงอยากไปถึงในแง่ที่ว่า เราจะทํายังไงให้ผำตอบโจทย์โปรตีนของโลก รวมไปถึงตอบโจทย์ความยั่งยืนของโลกด้วย ก็อยากใส่นวัตกรรมเข้าไปอีก เพื่อให้มันไปได้ถึงจุดหมายที่เราวางไว้ เพราะว่าไม่ว่าจะยังไง สุดท้ายโลกเราหรือลูกๆ ก็อยากได้สิ่งนั้น แต่เราทําคนเดียวไม่ได้หรอก ถึงจุดหนึ่ง เราก็อยากให้ประเทศไทยทำไปกับเราด้วย เพราะว่าตลาดโลกยังมีที่ทางให้เราไปได้อีกไกลมาก

สมมติว่าเทียบกับสไปรูลินา เป็นซูเปอร์ฟู้ดที่มีมูลค่าสูงมากในตลาดโลก แต่ถามว่ามีใครที่กินสไปรูลินาแบบถ้วยได้บ้าง ต่อให้มีสารอาหารสูง แต่กินได้น้อยมากอยู่ดีเพราะว่ามันมีกลิ่นคาวตามธรรมชาติอยู่ แล้วต้องบอกว่าผำกินง่ายกว่ามากๆ และสารอาหารก็สูง ถ้าเกิดเราทำให้ผำมีมูลค่าในตลาดให้ได้สักครึ่งของสไปรูลินา มันจะเป็นรายได้ที่ไม่น้อยเลยนะสำหรับประเทศไทย

จากคุณแม่ที่เลี้ยงผำในกะละมังน้อย สู่คุณแม่ของผำนับล้านล้านตัวในบ่อขนาดสองร้อยตารางเมตร มาถึงวันนี้คุณได้เรียนรู้อะไรจากผำบ้าง

เยอะมากๆ ในมุมของนักวิจัย ผำเป็นพืชที่วิจัยสนุกมากนะคะ เนื่องจากเขาเป็นพืชที่โตเร็วมาก ถ้าใส่หมวกนักวิจัยแล้ว ก็จะอยากทําอะไรกับมันเยอะแยะไปหมด ทําไมมันโตเร็ว ทําไมมันสามารถเอาแร่ธาตุมาได้ดีกว่าพืชชนิดอื่น ทําไมมันอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วไม่ใช่แค่เรานะ นักวิจัยทั่วโลกก็รู้สึกแบบนี้ 

ในมุมของแม่ก็สนุกมากเช่นกัน เพราะว่ามันเป็นผักที่ลูกเราโอเคที่จะกิน แล้วก็เป็นพืชที่ลูกเราเลี้ยงได้ กินเองได้ แล้วก็ทําอาหารสนุกมาก ลูกเราเขาจะพูดบ่อยๆ ว่า “มามี้ๆ ทำไมเราไม่ทำป๊อกกี้ใส่ผำ” “ทำไมเราไม่ทำช็อกโกแลตเคลือบผำ” พอผำมันใส่กับทุกอย่างได้ เขาจะคิดวิธีการกินผำไปเรื่อยๆ ก็ทำให้ได้เห็นว่าผำมันเป็นอะไรได้หลายอย่างมากเลย 

การทำบริษัทนี้มันเป็นเหมือนประตูที่ทำให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องอุตสาหกรรมอาหารทั้งหมด การจะทำของให้คนกินเราจะต้องทำอะไรบ้าง ไปถึงเรื่องเทคโนโลยี เช่น เราจะทำให้ผำเป็นผง เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ต้องแปรรูปยังไง ต้องใช้อะไรบ้าง รวมถึงข้อกำหนดต่างๆ และพอเรามีเรื่องธุรกิจเข้ามาด้วย เราก็ได้เรียนรู้เยอะมากๆ รู้สึกเหมือนใช้ชีวิตคุ้มมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา 

แล้วสุดท้ายเลย ทั้งหมดที่ว่ามามันก็ย้อนกลับมาสู่เราที่เป็นครู มันทำให้เราเป็นครูที่ดีขึ้นมากเลย เรามีเรื่องเล่าให้นักศึกษาฟังมากขึ้น แล้วเขาก็สนุกกับการที่ได้เรียนอะไรที่มันมาจากประสบการณ์ ความผิดพลาดของเรา 

เรามองเห็นมากขึ้นว่าทํายังไงให้โลกอุตสาหกรรมอาหาร หรือว่าโลกข้างนอก กับสิ่งที่เราสอนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้น ทําให้มันจริงมากขึ้น เอาประสบการณ์ เอาคนที่เรารู้จักมาสอน มาแชร์กัน เราเชื่อในพลังคนรุ่นใหม่ ในฐานะครูเราก็ต้องพยายามทำให้เขารู้สึกว่าพลังของเขาสำคัญ และมันเป็นสิ่งที่ประเทศเราต้องการมากที่สุดเลย

ขอบคุณสถานที่ The Commons Thonglor

แคมเปญลดขยะอาหารของ PEAR is hungry ที่ไม่อยากให้คนหมดใจในการช่วยโลกผ่านการกินหมดจาน

‘วันนี้กินอะไรดี’ คำถามโลกแตกที่หลายคนมักพูดกันประจำเกือบทุกวัน แต่มีหญิงสาวคนหนึ่งที่เปลี่ยนคำถามนั้นให้เป็นคำถามที่ว่า ‘วันนี้จะช่วยโลกยังไงดี’ 

ในปี 2023 ที่ผ่านมาจึงเกิดแคมเปญที่ชื่อว่า ‘กินหมดจาน’ ที่เธอถ่ายวิดีโอชวนคนมาลดขยะอาหาร ผ่านการกินข้าวให้หมดจาน และส่งต่อแคมเปญนี้ให้คนรับรู้ในวงกว้างด้วยการสร้างเทมเพลตใน TikTok ให้คนถ่ายรูปภาพหรือวิดีโอที่กินอาหารหมดจาน แล้วติดแฮชแท็ก #กินหมดจาน

“พอเราทำแบบนี้มันก็เกิด awareness เกิดการบอกต่อ แม้แต่อินฟลูเอนเซอร์ก็มาเล่นกันเรา 3,000-4,000 คนเลย ส่วนยอดวิวคลิปต่างๆ ที่เราถ่ายเชิญชวนให้มาร่วมลดขยะอาหาร ตอนแรกคิดว่าได้ 10 ล้านวิวก็หรูแล้ว แต่กลายเป็นว่าพอจบแคมเปญ 15 วัน ยอดวิวขึ้นไปถึง 36 ล้านวิว สิ้นปีที่แล้วคลิปก็ยังฟีดเรื่อยๆ จนยอดวิวแตะถึง 97 ล้านวิว พอเราคิดว่าแคมเปญนี้ไปต่อได้ มีคนสนใจจริงๆ งั้นปีนี้เรามาขยายให้มันแข็งแรงขึ้นดีกว่า”

หญิงสาวที่เรากล่าวถึงนี้คือ แพร–พิมพ์ลดา ไชยปรีชาวิทย์ หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ PEAR is hungry ผู้ก่อตั้ง aRoundP พื้นที่รวบรวมโปรเจกต์ของคนที่อยากลุกขึ้นมาสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้โลกน่าอยู่ขึ้นในทุกมิติ โดยไม่จำกัดว่าจำต้องเป็นแค่เรื่องอาหารหรือสิ่งแวดล้อมเท่านั้น

และยังเป็นผู้ริเริ่มแคมเปญ ‘กินหมดจาน’ ที่ในซีซั่น 1 ประสบความสำเร็จจากยอดชมวิดีโอมหาศาลและมีผู้ร่วมแคมเปญมากมาย ซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมให้คนรู้ว่า ‘แค่กินอาหารให้หมดจานก็ช่วยโลกได้’ จนทำให้แคมเปญนี้ได้รับรางวัลจากงาน Thailand Influencer Award 2023 และในวันนี้เธอได้สร้างเส้นทางใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมกับ ‘กินหมดจาน ซีซั่น 2’

จิตนาการในวัยเด็ก นำพามาสู่ตัวตนที่อยากทำเรื่องเล็กๆ เพื่อเปลี่ยนโลก

“เราไม่ได้เริ่มต้นจากการเป็นครีเอเตอร์สายยั่งยืน PEAR is hungry มาจากว่าฉันหิว เพราะว่าเราเป็นคนชอบกิน จุดตั้งต้นการทำคอนเทนต์ครีเอเตอร์คืออยากเล่าเรื่องอาหาร ตั้งแต่รสชาติ และ behind the scene ของอาหารว่าที่มาที่ไปของแต่ละเมนูเป็นยังไงบ้าง

“พอเราทำไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าเราต้องมีการเติบโต ต้องเอาอะไรใหม่ๆ เข้ามา เราก็กลับไปที่รากของเราก่อนว่ามีตัวตนชิ้นส่วนไหนบ้างที่เป็นเรา แต่ไม่เคยหยิบมาเล่าเลย 

“นั่นก็คือเราเป็นคนกลัวเรื่องโลกร้อนมาก มาจากตอนเด็กๆ เราเคยได้ยินสารคดีในวิทยุที่พ่อเปิด แล้วไม่ได้เห็นภาพ เขาเล่าว่าเปิดแอร์จะทำให้เกิดสาร CFC ลอยไปในชั้นบรรยากาศทำให้เป็นรู ภาพในหัวเราตอนนั้นคือท้องฟ้าเป็นรูจริงๆ เราจินตนาการภาพไว้ใหญ่มาก”

จินตนาการวัยเด็กนั้นเองที่จุดประกายให้แพรเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันมาตั้งแต่เด็กๆ เช่น ตื่นนอนปุ๊บปิดแอร์ปั๊บ เป็นคนชอบอยู่ outdoor มากกว่า indoor ไม่ใช้ถุงพลาสติก แต่พกถุง พกปิ่นโตไปเอง และตัดสินใจนำพฤติกรรมเหล่านี้มาใส่ในคอนเทนต์ที่เธอทำมากยิ่งขึ้น

“วิธีการสื่อสารของเรา เราจะไม่บังคับให้ใครมาทำอย่างโน้นอย่างนี้ เพราะเรามีบทเรียนจากตอนเด็กที่บังคับให้คนในบ้านทำแล้วทะเลาะกัน เพราะแต่ละคนชุดความคิดไม่เหมือนกัน แล้วสมัยก่อนไม่ค่อยมีการพูดถึงเรื่องความยั่งยืนมากเท่าในสมัยนี้

“เรารู้สึกว่าพอโลกอนุญาตให้พูดแล้ว คนตื่นรู้เรื่องนี้มากขึ้น เราจึงค่อยๆ สื่อสารผ่านมุมมองการใช้ชีวิตของเรา เช่น ทำอาหารเมนูแปลงร่างจากของเหลือในตู้เย็น เข้าป่าไปใช้ชีวิตกับธรรมชาติแบบไม่มีไฟฟ้าใช้ไปเลย 5 วัน”

จากความกลัวสู่ความกล้า ที่อยากก้าวผ่านขยะอาหารกองโต

จุดเริ่มต้นของกินหมดจาน ซีซั่น 1 มาจากที่แพรได้รู้ว่าครึ่งนึงของภาพขยะกองโตที่เธอเห็นตามสื่อคือขยะอาหาร แพรจึงตั้งคำถามกับตัวเองว่าจะทำอะไรให้โลกดีขึ้นกว่านี้ได้บ้าง 

เธอตัดสินใจเริ่มจากสิ่งที่เธอทำอยู่แล้วคือการทำคอนเทนต์ โดยถ่ายวิดีโอเชิญชวนให้คนกินอาหารให้หมดจาน แล้วให้คนมาเล่นแคมเปญนี้ส่งต่อกันไปเรื่อยๆ จนคนเริ่มมี awareness กับเรื่องนี้มากขึ้น มากไปกว่าการรับรู้ แพรยังอยากให้คนตระหนักถึงปัญหา และเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้เป็นมิตรกับโลกเท่าที่ทำได้

“กินหมดจาน ซีซั่น 2 เราเลยชวน 50 KOLs ทั้งสายกินและสายกรีน มาแชร์ร้านอาหารที่พวกเขาคิดว่าอร่อย เพราะเรารู้สึกว่าปัญหาหนึ่งของการที่ไปร้านอาหารแล้วกินเหลือ คือไปกินร้านนั้นแล้วรู้สึกว่าไม่อร่อย และเราก็เอามาทำเป็นไกด์บุ๊กให้เขาไปตามรอย 50 ร้าน ที่แนะนำโดย 50 KOLs ซึ่งเป็นร้านที่ไม่ได้แค่อร่อยนะ แต่ยังจัดการขยะอาหารได้ดีด้วย

“ใน aRoundP ที่เราทำ มีโปรเจกต์ที่ชื่อว่า Restaurant Makeover เป็นการสร้างระบบการจัดการขยะอาหาร คือเราจะเข้าไปดูเลยว่าจุดกำเนิดขยะของร้านเขาเป็นยังไง มีกี่จุด มีอะไรบ้าง การจัดการขยะของเขาจะเป็นยังไง และแนะนำให้ร้านอาหารแยกขยะอย่างถูกวิธี ก่อนจะส่งต่อให้กทม.นำไปจัดการต่ออย่างถูกต้อง”

นอกจาก KOLs และร้านอาหารแล้ว ทุกคนสามารถเข้าร่วมแคมเปญ ‘กินหมดจาน Challenge’ ได้ง่ายๆ แค่ถ่ายรูปหรือคลิปก่อนกินอาหารและหลังกินหมดจาน ติดแฮชแท็ก #กินหมดจาน โพสต์ลงช่องทางใดก็ได้ แต่ถ้ามากินใน 50 ร้านที่อยู่ในไกด์บุ๊ก ซึ่งเป็นร้านที่เข้าร่วม Restaurant Makeover ก็จะได้โปรโมชั่นพิเศษจากทางร้านไป

ทุกการกินหมดจาน ช่วยโลกได้แบบไม่ลำบากใจ

บางคนอาจรู้สึกว่าแค่การกินหมดจานจะช่วยโลกได้ไหม หรือแค่แยกขยะจะเป็นการจัดการได้จริงหรือ และยังมีอีกหลายวิธีที่ต้องทำเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องขยะอาหารอย่างจริงจัง ซึ่งแพรก็ตระหนักถึงข้อนี้ดี เธอคิดว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ที่จะทำให้ทั้งผู้บริโภคและร้านอาหารค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อย่างน้อยก็ทุกๆ การกินหมดจานก็ช่วยลดขยะอาหารได้จริงๆ

“แคมเปญกินหมดจานและโปรเจกต์ Restaurant Makeover เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่เคยมีใครเอาหลายปาร์ตี้ที่มีทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน KOLs และผู้บริโภคมารวมกันขนาดนี้ เพราะฉะนั้นเราต้องตั้งต้นทำให้ง่ายที่สุดก่อน เพื่อให้คนรู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องยากและสนุกที่จะทำ หลังจากนั้นเราค่อยเพิ่มความเข้มข้นขึ้นในปีหน้า

“ดังนั้นจุดหมายปลายทางที่เราอยากเห็น คือการเปลี่ยนแปลงจากคนที่เข้ามาร่วมกับเรา ต้องได้อะไรบางอย่างกลับไป อย่างร้านอาหารบางร้านเขาอยากทำเรื่องจัดการขยะมานาน แต่ไม่เคยทำได้เลย เราก็มาเติมเต็มสิ่งที่เขาขาดหาย เราคาดหวังว่าเขาจะทำต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีโครงการนี้ก็ได้

“ถึงแม้วันนี้เราจะเล่นแคมเปญกับผู้บริโภคในเชิงการสื่อสารก็จริง แต่ท้ายสุดมันไม่ใช่ key success factors ข้อเดียวที่บอกว่ามันสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เรามองไปถึงการปรับเปลี่ยนในเชิงพฤติกรรมมากกว่า”

แพรยังเล่าให้เราฟังอีกว่าการทำเรื่องสิ่งแวดล้อมหรือเรื่องความยั่งยืน เป็นสิ่งที่ไม่ได้ยากจนเกินไปนัก เปรียบกับการมีความรัก ถ้าเราเชื่อและหลงใหลในสิ่งไหน เราก็พยายามที่จะทำมันให้ได้ เรื่องนี้ก็เช่นกันแต่ทุกคนต้องหาวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง และไม่เบียดเบียนตัวเองจนเกินไป 

เธอยกตัวอย่างว่าบางคนอาจจะมีความคิดดีที่อยากช่วยโลกแล้ว แต่ถ้าหักดิบไปเลย จากขับรถไปทำงานเป็นปั่นจักรยานไปทำงานทั้งที่อยู่ไกล ก็อาจจะเหนื่อยเกินไป ลองเปลี่ยนจากขับรถเป็นใช้ขนส่งสาธารณะ แต่ถ้ายังรู้สึกว่าไม่สะดวก ก็ลองเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น เช่น ดื่มน้ำไม่ใช้หลอด พกขวดน้ำไปเอง แล้วสุดท้ายจะเจอทางที่ช่วยโลกได้แบบไม่ลำบากตัวเองจนเกินไป

โลกธุรกิจต้องเติบโปไปพร้อมกับโลกที่ยั่งยืน

แพรบอกว่าการเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ถือเป็นธุรกิจหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะมีรายรับ-รายจ่าย และมีทีมงานที่ต้องดูแล ดังนั้นการคิดใน back office เธอจึงต้องคิดเชิงธุรกิจด้วย แต่การทำธุรกิจของแพรไม่ได้สร้างผลกำไรแค่ตัวเธอเอง แต่คิดถึงสิ่นอื่นด้วยว่า สิ่งที่ทำส่งผลกระทบอะไรต่อโลกบ้าง ส่งผลกระทบในมิติไหน และส่งผลในแง่บวกหรือแง่ลบ

“เราเชื่อว่าไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไร เรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนจะต้องถูกนำมาคิดถึงเสมอ ถ้าคิดถึงแต่ธุรกิจของตัวเองโลกก็ไปต่อไม่ได้  ในขณะเดียวกันคนที่ทำเรื่องความยั่งยืน ถ้าไม่คิดในเชิงธุรกิจเลย เขาก็ไปต่อไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้นเราต้องบาลานซ์ทั้งสองฝั่งให้ดี”

คุยกับ Yoshinori ซีอีโอ United Arrows แบรนด์เสื้อผ้า Top 10 ของญี่ปุ่น และธนพงษ์ผู้นำมาให้ชาวไทยสัมผัส

ญี่ปุ่นคือหนึ่งในดินแดนที่แฟชั่นเฟื่องฟู ผู้คนให้ค่ากับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ และใส่ใจกับการแต่งกาย

ไม่แปลกที่แวดวงธุรกิจแฟชั่นญี่ปุ่นจะเติบโตจนมีดีไซเนอร์ แบรนด์ และร้านเสื้อผ้าผลิดอกออกผลนับไม่ถ้วน นอกจากภายในประเทศยังขยับขยายจนประสบความสำเร็จในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับหรูหราหรือไล่ระดับลงมาจนถึงสตรีทแฟชั่น แบรนด์จากแดนปลาดิบก็ล้วนมีชื่อติด top-of-mind ในใจคนทั่วโลก

เมื่อมีแบรนด์จำนวนมากการแข่งขันก็ดุเดือดตาม คำว่า ‘red ocean’ อาจเบาบางเกินไปที่จะใช้นิยามวงการแฟชั่นญี่ปุ่นยามนี้ การที่แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งจะโดดเด่นขึ้นมาและยืนระยะได้จึงถือเป็นเรื่องแสนท้าทาย

ท่ามกลางแบรนด์เสื้อผ้านับไม่ถ้วน United Arrows คือร้านเสื้อผ้าที่มียอดขายติด Top 10 ในประเทศญี่ปุ่น

จากจุดเริ่มต้นในปี 1989 ที่เป็น multi-brand store เล็กๆ ในย่านชิบูย่า ที่ตั้งใจคัดเลือกเสื้อผ้าที่ใส่ใจในการออกแบบ คุณภาพ และรายละเอียด เพื่อยกระดับเครื่องแต่งกายของผู้คนในชีวิตประจำวัน ซึ่งถือเป็นแนวคิดที่ล้ำสมัยในช่วงเวลานั้น ตอนนี้ United Arrows เติบโตจนมี 300 กว่าสาขาทั่วญี่ปุ่นและในประเทศต่างๆ ในเอเชีย มีแบรนด์มากมายที่ต่อยอดขยับขยายจากแบรนด์หลักเพื่อจับกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็น BEAUTY&YOUTH, green label relaxing, UNITED ARROWS & SONS ฯลฯ และปัจจุบันรายได้ต่อปีทะลุ 3 หมื่นล้านบาทไปแล้วเรียบร้อย

เมื่อรู้ว่า United Arrows มาเปิดสาขาแรกที่ประเทศไทยจึงเป็นข่าวที่น่าสนใจไม่ว่าจะมองผ่านแว่นคนในแวดวงแฟชั่นหรือแว่นนักธุรกิจก็ตาม

ณ ปลายฤดูฝนอันเป็นช่วงเวลาที่ multi-brand store จากแดนอาทิตย์อุทัยมาแนะนำตัวกับชาวไทย เราจึงนัดสนทนากับ Yoshinori Matsuzaki ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO คนปัจจุบันของ United Arrows และธนพงษ์ จิราพาณิชกุล CEO แห่ง ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้นำเข้าและทำการตลาดจนหลายๆ แบรนด์กลายเป็นแบรนด์ที่ผู้คนหลงรัก อาทิ Marimekko, Pandora, Cath Kidston จนกระทั่งล่าสุดคือ United Arrows

เรานัดพบทั้งสองที่ร้าน United Arrows สาขาแรกในไทย ณ ศูนย์การค้า The Emsphere ชั้น M ก่อนที่บทสนทนาจะพาเราย้อนกลับไปยังสาขาอันเป็นถิ่นกำเนิด ลงลึกไปในปรัชญาและความเชื่อในการทำธุรกิจ

อะไรคือสิ่งสำคัญอันทำให้ United Arrows เปล่งประกายท่ามกลางแบรนด์แฟชั่นนับพันหมื่น คำตอบน่าจะฝังตัวอยู่ในบางถ้อยคำต่อจากนี้

ย้อนกลับไป United Arrows เกิดขึ้นด้วยความเชื่อใด

โยชิโนริ : วันนี้ที่เราคุยกันเป็นวันครบรอบปีที่ 35 ของ United Arrows พอดีเลยนะ (ยิ้ม) ต้องออกตัวก่อนว่าผมเป็น CEO คนที่ 4 ของแบรนด์แล้ว โดยสิ่งที่สืบทอดกันมาหลักๆ แล้วคือเราอยากที่จะยกมาตรฐานของซีนแฟชั่นในประเทศญี่ปุ่น ความเชื่อของ United Arrows ก็คือการทําให้สไตล์ของผู้คนในชีวิตประจําวันมีความหรูหราขึ้นมาในอีกหนึ่งระดับ ซึ่งนิยามของความหรูหราในที่นี้อาจจะไม่ได้หมายถึงในเชิงของลักชัวรี ไม่ใช่ว่าตัวผลิตภัณฑ์หรือแบรนด์นี้จะเป็นของที่มีมูลค่าสูง แต่ว่าเป็นความรู้สึกที่ feel good ของผู้ที่สวมใส่มากกว่า 

เสื้อผ้าไม่ใช่ตัวหลัก แต่สิ่งที่เป็นตัวหลักคือคนที่ใส่ ใส่แล้วให้ความรู้สึกที่ดี ใส่แล้วรู้สึกสบาย อันนี้คือความรู้สึกที่เราเรียกว่าลักชัวรี เราคิดเสมอว่าทํายังไงให้คนที่สวมใส่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างดีที่สุด

ธนพงษ์ : วัฒนธรรมของญี่ปุ่นเวลาทําอะไรแล้วเขาจะใส่ใจในเรื่องรายละเอียด จะไม่ยอมปล่อยงานหรือผลิตภัณฑ์ที่ออกมาแล้วทําให้เกิดความสงสัยต่อสิ่งนั้นว่ามีอะไรที่ไม่ดี อันนี้เรารู้อยู่แล้วในแง่ของผลิตภัณฑ์จากญี่ปุ่น คุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ Made In Japan

philosophy ของแบรนด์ในญี่ปุ่นหลายๆ แบรนด์ก็ไปตรงกับฝั่งสแกนดิเนเวีย คือเป็นพวก less is more นิ่ง น้อย แต่ว่าได้มาก ฉะนั้นตรงนี้มันเป็นอะไรที่พิเศษมากๆ เลย เขาจะไม่ได้ไปแข่งขันกับกลุ่มที่เป็น super luxury สินค้าที่ซื้อแล้วใช้ได้แค่ครั้งคราวหรือเป็นเพียงแค่มองในเรื่องของระดับฐานะ แต่เป็นสินค้าที่เราสามารถใช้ชีวิตประจําวันได้บ่อย แล้วมันตรงกับไลฟ์สไตล์ การทํางาน และการใช้ชีวิตของเรา ซึ่งวิธีคิดแบบนี้ในแบรนด์สแกนดิเนเวียก็เป็น ซึ่งปรัชญานี้เองที่บริษัทธนจิรายึดไว้และให้ความสําคัญ ฉะนั้นไม่มีความจําเป็นต้องเป็นแบรนด์ที่โด่งดังมาก่อน แต่เรามีหน้าที่ในการให้ความรู้กับผู้ใช้ว่าตรงนี้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เขาควรจะหันมามอง

คุณรู้จักแบรนด์ United Arrows ครั้งแรกตอนไหน

ธนพงษ์ : ผมไปญี่ปุ่นบ่อย เราก็จะเดินผ่านแบรนด์นี้ในห้างสรรพสินค้า เห็นบ่อยมากเลย เป็นร้านที่มีความหลากหลาย มีหลายแบรนด์อยู่ในร้านเดียวกัน ซึ่งลักษณะของ presentation ของ multi-brand store ในญี่ปุ่นมีหลายร้านที่ทําอย่างนี้ แต่ United Arrows เขามีความที่ชัดเจนในแง่ของแนวทางในการนําเสนอซึ่งตรงกับสิ่งที่เรามองหาอยู่ เราคิดว่าถ้านํามาทําในประเทศไทยน่าจะขยายได้ แล้วเรามีความถนัดในการเลือกสินค้าด้วย คอนเซปต์ของธนจิราคือเราไม่ได้แค่เป็นบริษัทที่จะมาหาแบรนด์เพิ่ม ซื้อของเข้ามาในราคาถูกแล้วขายในราคาสูงให้กับลูกค้า แต่ว่าเราต้องการส่งมอบประสบการณ์ที่ใช่ให้กับลูกค้า เราจะดูว่าสินค้านั้นเมื่อสวมใส่หรือได้ใช้งานแล้ว มันจะเสริมสร้างไลฟ์สไตล์ลูกค้ายังไง มันเหมาะกับลูกค้ายังไง เราเป็นคนที่คัดเลือก รังสรรค์สินค้าที่มีคุณภาพดีใช้งานได้จริงมาให้ โดยที่สุดท้ายลูกค้าเป็นผู้ตัดสินใจ

อะไรคือความต่างระหว่าง United Arrows กับ multi-brand store อื่นๆ ที่มีอยู่มากมายในญี่ปุ่น

โยชิโนริ : เราไม่ได้อยากไปเปรียบเทียบกับแบรนด์อื่นนะครับ แต่ผมขอพูดในสิ่งที่ United Arrows เป็น ก็คือเราไม่ได้ไปในทาง casual หรือว่า business wear เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง จริงๆ เราสามารถที่จะตอบโจทย์ได้อย่างมัลติ ก็คือไม่ว่าจะใส่ชุดของเราเพื่อจะไปทํางานหรือว่าไปเดตก็สามารถจะทําได้ เพราะว่าเรามีแบรนด์ที่มีเทสต์ที่ค่อนข้างจะตอบโจทย์ที่กว้างและหลากหลาย

ธนพงษ์ : เรื่องเทสต์นี่สําคัญ เพราะว่าทาง United Arrows เองไม่ได้มองแค่เรื่องของภาพรวม แต่มองไปถึงเรื่องของคุณภาพของ fabric ที่ใช้ในการผลิต เรื่องของการตัดเย็บทุกอย่าง เขาให้ความสําคัญมาก จะสังเกตว่า United Arrows จะไม่มีโลโก้อยู่ตรงเสื้อผ้าเลย เขาขายความเป็นสไตล์ที่มากับคุณภาพ และความเข้าใจของผู้ใช้ว่าจะเลือกของที่เหมาะกับตัวเองได้ยังไง เรื่องนี้ทําให้ลูกค้าเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันกับการพัฒนาสินค้าของเขาจนกลายเป็นแฟนคลับได้ ซึ่งปัจจุบันนี้ในประเทศไทยก็มีคนใช้ United Arrows อยู่แล้ว แต่อาจจะเป็นกลุ่มน้อย หน้าที่ของผมในฐานะตัวแทนจําหน่าย ผมจะทํายังไงให้คนรู้จักมันมากขึ้น เราเห็นจุดแข็งอันนี้ ไม่ใช่แค่มองเป็นแค่โลโก้

คุณได้มีการนําปรัชญาหรือวิธีคิดแบบญี่ปุ่นเข้ามาใช้ในการทำธุรกิจยังไงบ้าง

โยชิโนริ : หลักๆ เลยจะเป็นเรื่องของ hospitality คือเราใส่ใจในการดูแลลูกค้า และแต่ละผลิตภัณฑ์เรามีความใส่ใจในการที่จะทํามันออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดี ส่วนอีกเรื่องคือ aesthetic sense ซึ่งหมายถึงความงาม เราเชื่อในความงามที่แตกต่างเพียงเล็กน้อยแต่สร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ได้ ความสวยงามเพียงจุดเล็กๆ แต่เหมือนมันส่งผลกระจายออกมาเป็นความแตกต่างที่มากมาย เรียกว่าแตกต่างน้อยนิดแต่ว่าผลลัพธ์มันมหาศาล

ในความเป็นจริงทั้งเรื่อง hospitality และ aesthetic sense นั้นเชื่อมโยงกัน คือถึงผลิตภัณฑ์ที่เรามีอยู่จะดีแค่ไหนก็ตาม แต่ว่าสิ่งที่สําคัญอีกอย่างในการที่คุณจะนำเสนอให้ value มันเด่นชัดออกมาก็คือพนักงานของเราทุกคนที่อยู่ในร้าน ผู้ที่คุณจะส่ง value ของแบรนด์ให้กับผู้ที่สวมใส่ได้ แล้วก็ stylish มันขึ้นมาจริงๆ ก็คือคนที่อยู่ในร้านของเราเอง 

ผมอยากเล่าว่าทาง United Arrows ที่ญี่ปุ่นจะได้รับจดหมายเป็นคําชมสัปดาห์หนึ่งประมาณ 50 ฉบับ อันดับหนึ่งที่ได้รับคําชมมากที่สุดของแบรนด์ในเครือเราเลยก็คือการต้อนรับลูกค้า ส่วนอันดับสองจะเป็นการชื่นชมในเรื่องของคุณภาพ แต่อันดับหนึ่งที่ได้รับคําชมสูงสุดคือการต้อนรับลูกค้า คือเรื่องคน

แล้วผมลืมเรื่องสําคัญไปเรื่องหนึ่ง คือเดือนที่ผ่านมาที่ญี่ปุ่นมีจัดงานที่เหมือนเป็นการแข่งขันเกี่ยวกับการขาย เรียกว่าเป็น Sale Contest ซึ่งคนที่เข้าร่วมคือพนักงานจากแบรนด์ต่างๆ ราว 85,000 คน โดยคนที่ชนะเลิศอันดับที่หนึ่งก็คือเป็นสตาฟฟ์ของทาง United Arrows ซึ่งได้รางวัลนี้มา 2 ปีซ้อนแล้วด้วย

คุณบอกสอนพนักงานยังไงจนสามารถให้บริการในระดับนี้

โยชิโนริ : สิ่งที่พูดมันอาจจะเป็นเรื่องที่ดูเหมือน common ทั่วไปนะ แต่สิ่งที่ผมยึดมั่นก็คือจริงๆ แล้วถ้าเราถามว่าแบรนด์เป็นของใคร ร้านที่เราทํากันอยู่เป็นของใคร คําตอบจริงๆ เราคิดว่ามันเป็นของลูกค้า ที่เราทําแบรนด์นี้หรือสร้างร้านนี้ขึ้นมาเพราะการมีอยู่ของลูกค้า เราทำเพื่อที่จะตอบสนองกับความต้องการของลูกค้า 

ดังนั้นตั้งแต่เข้าบริษัทมาสิ่งที่ผมใส่ใจมากที่สุดเลยก็คือลูกค้า ผมก็เลยพยายามส่งผ่านความคิดนี้ให้กับพนักงานทุกคน นี่คือสิ่งที่เราให้ความสําคัญมากที่สุด ดังนั้นสิ่งนี้อาจจะเป็นจุดแข็งที่สุดจุดหนึ่งของ United Arrows เลยก็ว่าได้

จากวันแรกที่คุณเข้ามาทํางานที่ United Arrows บ้าง ในปี 1998 อยากรู้ว่าคุณเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง

โยชิโนริ : ในช่วงที่ก่อตั้ง United Arrows ผลิตภัณฑ์หลักๆ ถ้าเป็นสําหรับผู้หญิงก็คือ dress wear สําหรับผู้ชายก็จะเป็น jackets wear ช่วงแรกๆ จะมีอยู่แค่เท่านี้ แต่ว่าเราค่อยๆ เพิ่มในเรื่องของ casual wear เพิ่มมากขึ้น ในช่วง 35 ปีที่ผ่านมาเราขยายขอบข่ายของรสนิยมให้กว้างมากขึ้น

ถามว่าทําไมเราถึงจะต้องทําอะไรที่มันตอบโจทย์กับรสนิยมที่กว้างขึ้น คำตอบคือมันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในความต้องการของลูกค้า เราก็พยายามจะตอบโจทย์ตรงนั้น การเปลี่ยนแปลงของเราคือเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบโจทย์กับการเปลี่ยนแปลงของความต้องการของลูกค้าด้วย อันนี้ก็เลยเป็นจุดหลัก ที่ทําให้เรามีการเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ ในตลอด 35 ปี

แล้วการที่ United Arrows แตกยอดเป็นแบรนด์ต่างๆ ทั้ง BEAUTY&YOUTH, green label relaxing, UNITED ARROWS & SONS และอีกหลายๆ แบรนด์ สิ่งนี้สำคัญยังไง

โยชิโนริ : จริงๆ นี่เป็นภารกิจหลักของผมเลย นั่นคือการขยายลูกค้า ดังนั้นเราจะไม่ได้คิดแค่การทำให้ลูกค้ากลุ่มเดิมๆ เดินเข้ามาในร้านอย่างเดียว แต่สิ่งที่เราพยายามทําก็คือการขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น การที่เรามีร้านหรือแบรนด์อยู่เท่าเดิมมันมีข้อจำกัดในการขยายธุรกิจ เราจึงใช้วิธีดูการตอบรับของลูกค้า ดูว่าความชอบของลูกค้าเป็นยังไง ก่อนจะค่อยๆ ขยับขยายออกไปเป็นร้านต่างๆ

ธนพงษ์ : ผมขอเสริมว่า United Arrows เป็นบริษัทที่จดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ที่ญี่ปุ่น แล้วก็เป็นแบรนด์เสื้อผ้าในระดับ Top 10 ของประเทศญี่ปุ่นด้วย

โยชิโนริ : ตอนนี้ถ้ารวมทุกแบรนด์ของเราในประเทศญี่ปุ่นเรามีประมาณ 300 กว่าช็อป ที่ไต้หวันมีประมาณ 10 ช็อป แล้วก็ที่เป็นแฟรนไชส์ที่ฮ่องกงอีก 2 ช็อป นอกจากนั้นตอนนี้ที่กําลังอยู่ในแพลนก็คือที่เซี่ยงไฮ้ ผมตั้งเป้าเอาไว้ว่าภายใน 5 ปีนี้ก็อยากให้มียอดขายส่วนในต่างประเทศ 2,500 ล้านบาท โดยที่ ณ ปัจจุบันรายได้รวมทุกสาขาทั้งในและนอกประเทศอยู่ที่ 34,000 ล้านบาท

แล้วตอนที่ติดต่อเพื่อนำเข้า ธนจิรา กรุ๊ป ทำยังไงให้แบรนด์ระดับนี้เชื่อมั่น

ธนพงษ์ : อันนี้เป็นเรื่องที่พูดยาก เพราะเราไม่ได้เป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ ไม่ได้มีแบรนด์เยอะ ไม่ได้อยู่ใน international scene สําหรับบริษัทที่มีกิจการที่คนนอกประเทศรู้จัก อย่างไรก็ตาม ตอนที่ผมทํางานกับทาง consultant ที่เป็นคนกลางประสานระหว่างแบรนด์กับตัวธนจิรา ผมก็ให้ข้อมูลและให้ความเข้าใจถึงแนวทางการทํางานในแต่ละแบรนด์ภายใต้ ธนจิรา กรุ๊ป ซึ่งมีความหลากหลาย ตั้งแต่ Jewelry, Fashion, Body Cares, Skin Cares, Spa Products จนตอนนี้ไปถึง F&B

เรามองไปถึงหลักการในการสร้างแบรนด์เพื่อให้ลูกค้าได้สิ่งที่ดีที่สุด สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ผมพูดคุยกับคุณโยชิโนริ ทําให้เขาเห็นว่าความตั้งใจในการที่จะสร้างให้ลูกค้าได้สิ่งที่ดีที่สุดมันคืออะไร แล้วมันก็ไปสู่ขั้นของการพิสูจน์ตัวเอง ในเรื่องของการสร้างร้านออกแบบร้านก็มีทีมงานจากญี่ปุ่นมาประเมินสถานที่ก่อนจะออกแบบ หลังจากนั้นพอเริ่มก่อสร้างเขาก็แวะมาดูว่าภาพรวมว่าจะเปิดร้านเป็นยังไง หลังจากเปิดร้านแล้วเขาก็มาอีก เพื่อที่จะมาช่วยเสนอความคิด แนวทางการจัดร้าน หรือการนําเสนอ

นี่เป็นการออกนอกประเทศตัวเองคร้ังแรกในรอบ 10 ปีของ United Arrows แล้วเขาเลือกมาที่ประเทศไทย ดังนั้นเขาค่อนข้างพิถีพิถันและระมัดระวังว่าพาร์ตเนอร์ที่เขาเลือกจะต้องสามารถรักษาไว้ซึ่ง DNA ของแบรนด์เขาได้ ตอนที่ผมก็เจอคุณโยชิโนริที่โตเกียวผมก็ได้ให้คํามั่นและความเข้าใจเกี่ยวกับการทําแบรนด์ การสร้างกิจการของกลุ่มธนจิรา ซึ่งมันตรงกันตรงที่ว่าเราก็ไม่ทําอะไรแบบลวกๆ เร่งๆ รีบๆ แต่เราวางแผนเพื่อให้เกิดความยั่งยืน ซึ่งตรงกับความคิดของเขาและปรัชญาของ United Arrows วันนี้เขาก็ได้เห็นแล้วว่าภาพของร้านที่กรุงเทพฯ ไม่ได้แตกต่างจากที่ญี่ปุ่นเลย แล้วก็มีคุณภาพในการที่จะนําเสนอผ่านพนักงานที่มีความเข้าใจแบรนด์

ในมุมมองของคุณมองเห็นศักยภาพอะไรในตลาดประเทศไทย เพราะอย่างที่บอก United Arrows ก็ไม่ได้ขยายสาขานอกประเทศ 10 ปีแล้ว

โยชิโนริ : มันเป็นความประทับใจตั้งแต่ที่ผมมาเมืองไทยครั้งแรกเลยเมื่อประมาณสิบกว่าปีก่อน ผมรู้สึกว่าคนไทยมีความคล้ายกับคนญี่ปุ่นในเรื่องของความอบอุ่น ความใจดี ผู้คนยิ้มแย้ม ผมรู้สึกว่าเป็นประเทศที่ดีมากๆ ในมุมธุรกิจหลังจากที่ช่วงโควิด-19 ระบาดจบไปก็มีนักท่องเที่ยวจากไทยไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นเยอะมาก ไปช้อปปิ้งไปจับจ่ายที่ประเทศญี่ปุ่นค่อนข้างเยอะ ผมก็เลยรู้สึกว่าคนไทยให้ความสําคัญกับผลิตภัณฑ์ของญี่ปุ่น ผมจึงคิดว่าคนไทยก็น่าจะเข้าถึงแบรนด์ United Arrows ด้วย ผมเห็นความเป็นไปได้ ประจวบเหมาะกับช่วงที่ทางคุณธนพงษ์ติดต่อมาพอดี ผมก็เลยส่งทีมมาประเทศไทย พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน และในระหว่างการพูดคุยกันก็รู้สึกได้เลยถึงความจริงใจในการทำธุรกิจ ก็เลยทําให้เกิดการร่วมมือนี้

ธนพงษ์ : ผมขอเสริมในมุมของการแต่งตัว ในมุมของการเลือกสินค้า คนไทยมิกซ์แอนด์แมตช์เก่ง โดยเฉพาะสุภาพสตรี ดังนั้นจึงเหมาะมากกับความเป็น multi-brand store ที่มีสินค้าคุณภาพดี มีอัตลักษณ์ และมีความหลากหลาย กับการที่เราจะเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าที่เข้าใจในเรื่องเทสต์และแฟชั่นสามารถเข้าไปอยู่ในโลกของ United Arrows ซึ่งมันไม่ต้องเข็นเยอะ แต่ว่าเราต้องสร้าง persona ให้ชัดว่าแต่งตัวยังไง ใช้ยังไง มันจึงเป็นเรื่องของการสไตลิ่งซะเยอะ

การนํา United Arrows ที่อาจจะไม่ใช่แบรนด์ที่แมสในบ้านเราเข้ามาถือเป็นเรื่องท้าทายไหม

ธนพงษ์ : ผมคิดว่าทุกแบรนด์ที่ธนจิราหยิบจับตั้งแต่แรกท้าทายหมด ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วคนไทยแทบไม่มีใครรู้จัก Marimekko เลย มันก็เป็นเรื่องที่เราต้องทําในสิ่งที่เราคิด เหมือนกับการทำ United Arrows วันนี้ เราเห็นอะไรที่มันเป็นจุดพิเศษของแบรนด์นี้ หน้าที่ของผมคือการ decode หรือ unlock ข้อดีที่ว่าให้เกิดความเป็นรูปธรรม และนําเสนอให้เป็นภาพที่ชัดและจับต้องได้ให้กับกลุ่มลูกค้าที่ตอนนี้ยังไม่รู้จัก ให้เขาสามารถเข้ามาอยู่ในโลกของ United Arrows ได้มากขึ้น ก็ถือเป็นงานที่ท้าทาย

ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงานกับ United Arrows ในตำแหน่งเล็กๆ จนวันนี้ที่ก้าวขึ้นมาเป็น CEO คุณยังรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่ทําเหมือนวันแรกที่เข้ามาหรือเปล่า

โยชิโนริ : ถ้าพูดถึงแพสชั่นทั้งหมดของผมคงไม่ได้อยู่ที่เรื่องแฟชั่นแล้ว แน่นอนผมยังมีแพสชั่นอยู่ แต่ถ้าถามว่ามันจะเพิ่มขึ้นไหม มันก็อาจจะไม่ได้เป็นไปในทางนั้น เพราะว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่สําคัญอย่างหนึ่งเลยของแฟชั่นโดยพื้นฐานแล้วมันจะเกิดจากคนรุ่นใหม่หรือคนหนุ่มสาว ที่เขามีความชอบในเทรนด์ ในสิ่งที่กําลังเป็นที่นิยมกันอยู่ ดังนั้นผมอาจจะไม่ใช่คนที่เรียกว่าเป็น better run ที่จะมาคิดในเรื่องของตัวแฟชั่นแล้ว

ถ้าเรื่องแฟชั่นไม่ใช่แพสชั่นหลักแล้ว อะไรคือสิ่งที่คุณให้ความสำคัญในวันนี้

โยชิโนริ : ในอดีตเรื่องแฟชั่นอาจเคยเป็นหน้าที่ของผม แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าที่มาอยู่ในระดับ management แล้ว ดังนั้นสิ่งที่ผมให้ความใส่ใจคือการที่จะบริหารและการดูแลพนักงาน ผมใส่ใจในเรื่องของการสร้าง hospitality ให้กับทางพนักงาน

แน่นอนว่าสิ่งที่เหมาะสมที่สุดเลยสำหรับแฟชั่นก็คือฝากมันไว้ในมือของคนหนุ่มสาวนี่แหละ เพราะเขาเป็นคนสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ขึ้นมา

คุณทั้งสองอยู่กับธุรกิจแฟชั่นมายาวนาน รู้หรือยังว่าอะไรคือหัวใจสําคัญที่จะทําให้ธุรกิจประสบความสําเร็จและเติบโตอย่างยั่งยืน

โยชิโนริ : สิ่งที่สําคัญที่สุดไม่ใช่การยึดติดในความเป็นตัวของตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่ว่าทุกอย่างมันจะต้องปรับตัว เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับกาลเวลา เราต้องรองรับการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาให้ได้ เพราะว่าเวลามันเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ ดังนั้นตัวลูกค้าเอง เทรนด์ที่เขาชอบ ความคิดของเขา มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดังนั้นเราต้องพยายามที่จะปรับให้ทันกับเวลา

แต่แน่นอน ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงคุณก็ต้องมีสิ่งที่ยึดมั่น ที่เมื่อครู่ผมย้ำว่าสิ่งสําคัญที่เราใส่ใจ คือเรื่องของ quality, aesthetic sense หรือว่า hospitality เหล่านี้ยังเป็นสิ่งที่เรายังยึดมั่นอยู่ เพียงแต่ว่าเราไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น แต่เราจะต้องเปลี่ยนแปลงให้เท่าทันกับกาลเวลาด้วย

ธนพงษ์ : ผมขอตอบในมุมที่อาจจะไม่ใช่เป็นแบรนด์ แต่เป็นคนที่เป็นผู้ประกอบการในประเทศเรา ผมยังยึดมั่นกับ philosophy ที่ว่าเรา Bringing the best of the brand to the best of Thailand. เอาสิ่งที่ดีที่สุดของแบรนด์ มาสู่สิ่งที่ดีที่สุดของประเทศไทย เพราะฉะนั้นความเข้าใจในความต้องการ ความคิด แล้วก็การเปลี่ยนแปลงในรูปแบบพฤติกรรมของลูกค้าเป็นสิ่งสําคัญที่เราต้องตามให้ทัน

ถ้าเรามีแบรนด์ที่ดีแล้วเราเอามาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสไตล์ เทสต์ และการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคในประเทศไทย ยังไงเราก็ชนะ เราไม่ใช่เพียงแค่ copy เขาแล้วมา paste ใส่ในประเทศไทย แต่เราสามารถจะเอาสิ่งที่มันเป็นจุดแข็งของแบรนด์มาประยุกต์กับจุดแข็งของลูกค้าเราที่เป็นคนเลือกเก่ง มีความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ ถ้าเราสื่อสารให้เขาเห็นภาพนี้ได้ ยังไงเราก็ไปรอด

ส่องโอกาสธุรกิจ SME ในวันที่ไทยเป็นสังคมไร้เงินสด จากงานเปิดตัวฟีเจอร์ ttb smart shop ผู้ช่วยบริหารจัดการร้านค้าแบบครบวงจร

ถ้าย้อนไปสมัยก่อนการที่เราพกเงินสดออกไปซื้อของเป็นเรื่องปกติที่ทำกันจนชินตา แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ที่มีระบบพร้อมเพย์ให้โอนจ่ายง่ายยิ่งขึ้น รวมถึงเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่คนจะลดการสัมผัสจากการจ่ายด้วยเงินสด มาเป็นสแกนจ่ายแทน ยิ่งเป็นตัวเร่งเร้าให้ประเทศไทย ก้าวเข้าสู่ ‘cashless society’ หรือ ‘สังคมไร้เงินสด’ มากยิ่งขึ้น

ทำให้ทุกวันนี้ไม่ว่าจะไปร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านสะดวกซื้อ หรือแม้แต่ขนส่งสาธารณะอย่างแท็กซี่ ก็มักจะมี QR code ให้สแกนจ่ายเพิ่มมากขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคส่วนใหญ่ ที่เน้นโอนง่าย จ่ายไว ผ่านสมาร์ตโฟนแค่เครื่องเดียว

จึงไม่แปลกใจ ถ้าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา e-Payment เติบโตขึ้นถึง 18 เท่า โดยในปี 2023 การทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลเมื่อเทียบกับปี 2020 เพิ่มขึ้นกว่า 200% ซึ่งมีจำนวน QR Scan ทั้งประเทศกว่า 300 ล้านรายการต่อเดือน คิดเป็นมูลค่าถึง 200,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ศรัณย์ ภู่พัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบีธนชาต ยังเล่าในงานเปิดตัวฟีเจอร์บนแอพฯ ttb smart shop ถึงข้อมูลที่น่าสนใจอีกว่า 8 ใน 10 ของคนไทยใช้ชีวิตแบบไร้เงินสดโดยเฉลี่ยนานถึง 9 วัน และผู้บริโภคได้เลือกอุตสาหกรรมที่ตนเองสแกนใช้จ่ายผ่าน QR code แบ่งออกเป็น

  • 79% คือธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม
  • 67% คือร้านค้าปลีกและร้านสะดวกซื้อ
  • 64% คือซูเปอร์มาร์เก็ต
  • 60% คือบริการขนส่ง

จากสถิติเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าประเทศไทยมีแนวโน้มเข้าใกล้ cashless society อย่างเต็มรูปแบบมากขึ้นเรื่อยๆ ในมุมของภาคธุรกิจเองก็สามารถปรับตัวสู่สังคมไร้เงินสด และมองหาโอกาสเพื่อสร้างยอดขาย ขยายฐานลูกค้าได้

โดยเฉพาะธุรกิจ SME ที่ล่าสุด ทีทีบี ได้พัฒนาแอปจัดการร้านค้าที่ชื่อว่า ‘ttb smart shop’ โดย กนกพร จูฑา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าบริหารผลิตภัณฑ์ธุรกิจ ทีเอ็มบีธนชาต ได้เล่าว่าแอป ttb smart shop เกิดมาเพื่อแก้ pain point ของร้านค้าที่มีจุดรับเงินหลายจุด เช่น มีหลายสาขา เน้นไปออกบูธหลายที่ ทำให้ทุกวันหลังปิดร้านพนักงานต้องมาปวดหัวกับการเช็กยอดที่ส่วนใหญ่ร้านค้าจะนำภาพถ่ายสลิปโอนเงินจากลูกค้า มารีเช็กกับยอดที่ร้านได้รับ ซึ่งการสแกนจ่ายร้านจะไม่ได้รับเงินในทันทีแม้จะมีการแจ้งเตือนว่ามีคนโอนเงินมาก็ตาม กว่าเงินจะเข้าอาจจะใช้เวลาข้ามวัน ทำให้การรีเช็กยอดเป็นไปได้ยากขึ้นอีก รวมถึงธุรกิจ SME มักไม่ได้มีการเก็บดาต้าลูกค้า ด้วยข้อจำกัดเรื่องค่าใช้จ่ายในการซื้อระบบ CRM ที่ค่อนข้างสูง

ttb smart shop จึงมาพร้อมฟีเจอร์ที่จะช่วยให้การทำธุรกิจของผู้ประกอบการ SME เป็นไปอย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น พร้อมเปิดตัวมังกรสีน้ำเงินมงคลที่ชื่อว่า ‘ปังปัง’ มาเป็นผู้ช่วยแสนฉลาด ที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตแบบสุดปัง ตรงกับแท็กไลน์ของแอป ttb smart shop ที่ว่า ‘รับไว รู้ลึก ธุรกิจปังปัง’ โดยมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจ คือ

  • รับเงินไว เงินเข้าบัญชีทันที : เมื่อลูกค้าสแกนจ่าย ร้านค้าไม่ต้องรอข้ามวันอีกต่อไป แต่จะได้รับเงินเข้าบัญชีทันที พร้อมมีบริการแจ้งเตือนเงินเข้าแบบเรียลไทม์ ทำให้รีเช็กยอดได้ง่าย และสามารถนำเงินไปใช้ได้ทันที ช่วยให้ธุรกิจมีกระแสเงินสด หรือ cash flow ที่ดีมากขึ้น
  • รู้ลึก ต่อยอดได้ทันที : มีแดชบอร์ดแสดงข้อมูลเรียลไทม์ รายงานการขายครบทุกมิติ และรายงานวิเคราะห์เชิงลึก Analytic Report ให้ผู้ประกอบการนำไปเป็นข้อมูลประกอบการวางแผนและต่อยอดธุรกิจได้
  • ธุรกิจปังปัง จัดการง่ายทุกสาขา : ttb smart shop ช่วยบริหารจัดการได้ทุกสาขาครบจบในแอพเดียว โดยสามารถเห็นยอดรับเงินเข้าแยกแต่ละสาขาอย่างชัดเจน และแยกได้ว่ายอดขายนี้มาจากพนักงานคนไหน เพื่อให้สามารถวางแผนการเพิ่มหรือลดสาขาที่ไม่ทำกำไรได้

นอกจากการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่แล้ว ภายในงานยังได้เชิญตัวแทนผู้ประกอบการจาก 3 องค์กร มาบอกเล่าประสบการณ์และความประทับใจในการใช้บริการ แอปจัดการร้านค้า ttb smart shop  ได้แก่

  •  ณัฐธิดา เตชวรประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักบัญชี บริษัท ส. ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) ที่ประทับใจว่าสามารถรู้ข้อมูลการขายว่ามาจากทีมไหน และมาจากการไปออกบูธในสถานที่ใด รวมถึงการที่มี Sale Report ส่งมาให้ในอีเมลทุกวัน และมีรูปแบบที่นำไปใช้ต่อได้ง่าย สะดวกต่อการทำบัญชีอย่างมาก
  • สรรเสริญ เกียรติเวชสุนทร กรรมการผู้จัดการ คลินิกทันตกรรม COSDENT ในฐานะเจ้าของธุรกิจรู้สึกสบายใจที่พอลูกค้าสแกนจ่าย แล้วได้รับเงินทันที มีการแจ้งเตือนเงินเข้าแบบเรียลไทม์ รวมถึงมี Analytic Report มาช่วยประกอบการตัดสินใจในการขยายธุรกิจ
  •  ปุยฝ้าย เจ้าของแบรนด์น้ำพริก ‘ปุยแสบปาก’ ที่เน้นการขายออนไลน์และการขายออฟไลน์ ผ่านการออกบูธ จึงประทับใจว่าสามารถรีเช็กสต็อกสินค้าที่เหลือในแต่ละวันได้ และได้รู้ข้อมูลลูกค้าว่าส่วนใหญ่เป็นเพศอะไร อายุเท่าไหร่ นิยมซื้อสินค้าอะไร เผื่อนำมาวางแผนการตลอดได้ตรงจุด ตรงใจลูกค้ามากที่สุด

ฟีเจอร์ปังปังแบบนี้ให้บริการฟรี ตามความตั้งใจของ ทีทีบี ที่อยากสนับสนุนผู้ประกอบการโดยเฉพาะร้านค้า SME ทำให้ในปีนี้แอปจัดการร้านค้า ttb smart shop มีมูลค่าของธุรกรรมเติบโตขึ้น 89% โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ที่มีมูลค่าเติบโตถึง 100% และอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีมูลค่าเติบโตถึง 62% และคาดว่าภายในสิ้นปี 2024 จะมีมูลค่าของธุรกิจผ่าน ttb smart shop กว่า 5,700 ล้านบาท

นอกจากนี้ ทีทีบี ยังคงพัฒนาโซลูชั่นอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในเชิงลึกมากขึ้น ด้วยเป้าหมายที่อยากเป็นมากกว่าแอพพลิเคชั่นรับเงิน ที่พร้อมจะเข้ามาเป็นผู้ช่วยบริหารจัดการร้านค้าแบบครบวงจร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำธุรกิจของผู้ประกอบการ SME ให้เติบโตอย่างยั่งยืนในสังคมไร้เงินสด

สำหรับใครที่สนใจมาทำความรู้จัก ttb smart shop และมังกรปังปังกันได้ที่ youtube.com/watch?v=xdEP13G07Eg

KTC x เพ ลา เพลิน ชูกลยุทธ์ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่เพิ่มมูลค่าให้ลาเวนเดอร์และสนับสนุนชุมชน

รู้ไหมว่าพืชเมืองหนาวอย่างลาเวนเดอร์ก็ปลูกที่อีสานได้! จากการจัดอันดับล่าสุด จังหวัดบุรีรัมย์ขึ้นมาเป็นอันดับ 4 ของจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงสุดในภาคอีสาน และ ‘เพ ลา เพลิน บูติค รีสอร์ท’ ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและวัฒนธรรมที่เป็นต้นแบบที่ดีในการทำธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบยั่งยืน

ที่นี่ไม่ใช่แค่รีสอร์ตทั่วไปที่มีอุทยานไม้ดอกเมืองหนาวให้เข้าชม แต่เป็นธุรกิจที่ตั้งเป้าหมายระยะยาวว่าอยากเป็น ‘มหานครแห่งสมุนไพร’ หรือ Herbstopia ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ชุมชน เพิ่มมูลค่าลาเวนเดอร์และสมุนไพรต่างๆ สู่ผลิตภัณฑ์และบริการนับไม่ถ้วน โดยช่วงฤดูหนาวปลายปีนี้ถือเป็นช่วงพิเศษที่มีการจัด ‘เทศกาลลาเวนเดอร์ พืชเศรษฐกิจยั่งยืน Lavender’s Magic’ ครั้งแรกในประเทศไทย เปิดให้เข้าชมทุ่งลาเวนเดอร์ที่สวยงามในโรงเรือน, นำเสนอเวิร์กช็อปและผลิตภัณฑ์ลาเวนเดอร์, เมนูอาหารที่ผสมผสานกลิ่นและสรรพคุณจากลาเวนเดอร์ และบริการด้านสุขภาพในสปาอโรคยาศาลา

ชวนฟังเรื่องราวและกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เพ ลา เพลิน บูติค รีสอร์ท ร่วมมือกับ เคทีซีในการสนับสนุนพลังชุมชนท้องถิ่น พัฒนาเศรษฐกิจสมุนไพรและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ไปจนถึงเรื่องราวการสร้างแหล่งการเรียนรู้นอกห้องเรียนผ่านธุรกิจท่องเที่ยว

ปั้น ‘ลาเวนเด้อ’ แดนอีสานเป็นพืชเศรษฐกิจ

ก่อนจะเป็นเพ ลา เพลิน บูติค รีสอร์ท ที่มีทั้งที่พัก แคมป์ปิ้งสำหรับนักเรียนนักศึกษา อุทยานไม้ดอกเมืองหนาวและศูนย์สุขภาพแบบองค์รวมอย่างทุกวันนี้ ประณัย สายชมภู กรรมการผู้จัดการ บริษัท เพ ลา เพลิน บูติค รีสอร์ท จำกัด เล่าว่าความจริงแล้วเพ ลา เพลินเป็นธุรกิจครอบครัวที่ไม่ได้เริ่มจากการปลูกพันธ์ุพืชตั้งแต่แรก แต่เริ่มจากธุรกิจการศึกษาที่หว่านเมล็ดพันธ์ุความรู้ให้เยาวชนด้วยการนำครูต่างชาติเข้าไปสอนในโรงเรียนทั่วไทยเมื่อราว 30 ปีที่แล้ว

การทำธุรกิจการศึกษาทำให้สังเกตเห็นว่าบุรีรัมย์ไม่ค่อยมีแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียน จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจในการนำดอกไม้เมืองหนาวมาให้คนอีสานได้สัมผัสและแตกโมเดลธุรกิจสู่การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (wellness tourism) ในพื้นที่กว่า 400 ไร่ที่อำเภอคูเมือง ซึ่งห่างจากตัวเมืองบุรีรัมย์ 30 กิโลเมตร จนกลายเป็นอุทยานไม้ดอกเมืองหนาวแห่งแรกในอีสาน

แม้แดนอีสานจะถูกมองว่ามีอากาศร้อนแห้งแล้งและไม่มีใครเชื่อในตอนแรกว่าจะสามารถปลูกพืชเมืองหนาวที่บุรีรัมย์ได้ แต่เพ ลา เพลินก็นำทิวลิปจากเนเธอร์แลนด์มาทดลองปลูกในอุทยานเป็นพันธ์ุแรกและสำเร็จตั้งแต่ 17 ปีที่แล้ว เพราะมุ่งมั่นปรับนิสัยพืชเมืองหนาวให้สามารถปลูกในอีสานได้อย่างยั่งยืนในระยะยาวโดยพัฒนาการปลูกอย่างต่อเนื่องหลายปี จนเมื่อธุรกิจงอกงามมากขึ้นก็หันมาพัฒนาการปลูกดอกไม้เมืองหนาวสายพันธ์ุอื่นอย่างลาเวนเดอร์ โดยปลายปีนี้เลือกชูจุดเด่นการสร้างสรรค์ประสบการณ์เที่ยวที่ชูเอกลักษณ์ของลาเวนเดอร์ซึ่งนำไปต่อยอดทำผลิตภัณฑ์ได้

มากกว่าการปลูกลาเวนเดอร์เพื่อเชยชมความสวยงาม คุณค่าของลาเวนเดอร์ในทางสุขภาพคือการนำก้าน ใบ ดอกมาพัฒนาเป็นสินค้าได้ ซึ่งช่วยสนับสนุนให้เกษตรกรและชุมชนสามารถสร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคงด้วยแนวคิดการทำการเกษตรแบบยั่งยืนและการปลูกแบบผสมผสานเพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศ ลดการใช้สารเคมี ใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

เทศกาล Lavender’s Magic จึงเป็นแพ็กเกจการท่องเที่ยวจากความร่วมมือของ เพ ลา เพลิน กับบริษัทบัตรเครดิต KTC ที่มองว่าเทศกาลลาเวนเดอร์จะทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ นั่นคือผู้เยี่ยมชมสามารถเข้ามาสัมผัสได้ทุกกระบวนการตั้งแต่เรื่องราวการปลูกจนถึงการแปรรูป

ปริม ปัญญาเสรีพร ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่าวิสัยทัศน์ที่เคทีซีมีร่วมกันกับเพ ลา เพลินคือการอยากส่งเสริมโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (green hotel) และการมีส่วนร่วมกับชุมชนท้องถิ่นสำหรับทุกกลุ่มอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มสูงวัยที่เป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญของรีสอร์ทและยังเป็นกลุ่มลูกค้าสำคัญของเคทีซีที่สนใจสัมผัสเสน่ห์แห่งภูมิปัญญาของชุมชนท้องถิ่นในเชิงสร้างสรรค์อย่างเทศกาลลาเวนเดอร์ในปีนี้

รักษากายาที่ ‘อโรคยา เวลเนส ศาลา’

โซนเด่นของเพ ลา เพลินซึ่งมีเป้าหมายทางธุรกิจเป็นมหานครแห่งสมุนไพรคือ ‘อโรคยา เวลเนส ศาลา’ (Arokaya Wellness Sala) ศูนย์รวมศาสตร์การแพทย์ ซึ่งมีที่มาจากชื่อ ‘อโรคยาศาล’ จากตำนานอารยธรรมอีสานใต้ โดยในอดีตพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งอาณาจักรขอมได้มีพระราชดำริให้ก่อตั้งอโรคยาศาลขึ้นเพื่อใช้สมุนไพรมาปรุงยา บรรเทารักษาอาการเจ็บป่วย บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้ประชาชน

ที่นี่เป็นศูนย์การเรียนรู้และต่อยอดการรักษาโรคด้วยสมุนไพรจากองค์ความรู้โบราณกว่าพันปี โดยพัฒนาเป็นศูนย์สุขภาพแบบองค์รวมที่มีทั้งทีมแพทย์จากศาสตร์แผนไทย จีน ปัจจุบัน และคลินิกกัญชาทางการแพทย์

หัตถการของที่นี่จึงเป็นการผสานภูมิปัญญาอย่างการสุมยา การนวดประคบ นวดกษัย ฝังเข็ม พอกตา เผายา ฯลฯ แน่นอนว่าสมุนไพรที่ใช้ในหัตถการทั้งหมดจากวิสาหกิจชุมชนศูนย์กลางการพัฒนาสมุนไพรของเพ ลา เพลิน ซึ่งมีการนำสมุนไพรเหล่านี้ใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและเครื่องสำอางภายใต้แบรนด์ AKAYA (เอกายา) ด้วยทั้งเซรั่ม ครีมบำรุง น้ำมันนวด

สำหรับช่วงเทศกาลลาเวนเดอร์ นอกจากผลิตภัณฑ์และชาจากสมุนไพรอื่นๆ แล้ว ยังมีสินค้าสเปรย์ฉีดห้องและหมอนกลิ่นลาเวนเดอร์รวมถึงเวิร์กช็อปแบบง่ายๆ ที่เปิดโอกาสให้ฝึกทำบอดี้สครับจากลาเวนเดอร์และผงฟู่แช่เท้ากลิ่นลาเวนเดอร์ซึ่งช่วยดับกลิ่นเท้า ทำให้เท้าหอมและนุ่ม

ที่สำคัญคือการรักษากายาที่ ‘อโรคยา เวลเนส ศาลา’ นั้นอยู่ในราคาที่เข้าถึงได้ อีกทั้งศาสตร์การรักษายังมาจากรากวัฒนธรรมและสมุนไพรที่ปลูกเองในชุมชนอย่างยั่งยืน

สาโทจากนครชัยบุรินทร์
และ Local Chef’s Table จากวัตถุดิบพื้นบ้าน

นอกจากสมุนไพรของที่นี่จะต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ทางสุขภาพแล้วยังนำไปเพิ่มมูลค่าเป็นอาหารและเครื่องดื่มจากวัตถุดิบท้องถิ่นได้อีกด้วย จากข้าวหักเหลือทิ้งในบุรีรัมย์และจังหวัดใกล้เคียงที่ไม่มีใครสนใจไยดี เพ ลา เพลิน ได้สนับสนุนวิสาหกิจชุมชนในการต่อยอดข้าวเหล่านี้เป็น AKAYA RICE WINE สุราแช่จากภูมิปัญญาพื้นบ้านของอีสาน ตามกรรมวิธีการทำสาโทพื้นบ้าน

แต่เดิมวิถีชาวอีสานจะนำข้าวมาหมักด้วยราและยีสต์ กลายเป็นลูกแป้งซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของแต่ละบ้าน จากนั้นแป้งที่ผ่านการหมักจะกลายเป็นน้ำตาลและแอลกอฮอล์ กลายเป็นไวน์ข้าวในที่สุด โดยไวน์ของเอกายาจะมี 4 รสที่เป็นภูมิปัญญาจากนครชัยบุรินทร์ (ประกอบด้วย 4 จังหวัดได้แก่ บุรีรัมย์ ชัยภูมิ นครราชสีมา สุรินทร์) คือ ‘ทิวา’ ไวน์รสหวาน กลิ่นหอมจากข้าวเหนียวขาวพันธ์ุ กข. 6, ‘อุษา’ ไวน์จากข้าวกล้องทับทิมชุมแพ, ‘ศศิ’ ไวน์จากข้าวเหนียวดำที่นิยมมาทำขนม และ ‘นิสา’ ไวน์จากข้าวมะลินิลสุรินทร์

หากแวะมาที่เพ ลา เพลิน จะได้เห็นกิจกรรมตั้งแต่การดำนา เกี่ยวข้าวซึ่งเวียนทำตามฤดูกาล ไปจนถึงการแปรรูปข้าว โดยนอกจากการผลิตสาโท คนอีสานยังนิยมนำข้าวมาแปรรูปเป็นข้าวหมากซึ่งเป็นอาหารหมักสำหรับทานเล่นตามแบบฉบับภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีโพรไบโอติกสูง

นอกจากนี้ห้องอาหารของเพ ลา เพลินยังมีการนำเสนอเมนูจากวัตถุดิบพื้นบ้านอื่นๆ ของชุมชน เช่น ปลาส้ม น้ำพริกกุ้งจ่อม น้ำพริกกุเลา ฯลฯ ในโอกาสพิเศษมีการรังสรรค์เมนูฟิวชั่นของอาหารอีสานอย่าง ‘Buriram Food Series Local Chef’s Table’ อย่าง คอหมูย่าง ปอเปี๊ยะลาบกุ้ง ไก่หลงดง ต้มแซ่บคากิ ค็อกเทลต้มยำ ปลากะพงผัดพริกแห้ง ข้าวอบกุ้งจ่อม บัวลอยมันม่วงข้าวหมาก ซึ่งหลายเมนูคิดขึ้นพิเศษและหาทานได้เฉพาะที่นี่โดยเฉพาะ

ออกแบบเพลาที่เพลินใจ ณ บูติครีสอร์ท

ความพิเศษในการเป็นบูติค รีสอร์ทของ เพ ลา เพลินคือห้องพักทั้ง 73 ห้องมีเอกลักษณ์การตกแต่งด้วยการเพนต์ลายดอกไม้และสิงสาราสัตว์ที่ไม่เหมือนกันเลยสักห้อง สำหรับห้อง suite จะมี ‘ตู้ไทยเวลเนส’ (Thai Wellness shelf) ที่ได้แรงบันดาลใจจาก ‘ส่วยยา’ หรือที่คนปัจจุบันเรียกกันว่าตู้ยาสามัญประจำบ้านที่มีประจำทุกครัวเรือน

ลูกค้าของรีสอร์ทที่เข้าพักห้อง suite สามารถทดลองผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสุขภาพจากสมุนไพรของแบรนด์เอกายาได้จากตู้ยานี้ โดยการตั้งเป้าเป็น green hotel ที่สนับสนุนความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมทำให้ทางรีสอร์ทมีการสนับสนุนการลดใช้เคมีภันฑ์ในห้องพัก สนับสนุนชุมชนให้ทำน้ำยาอเนกประสงค์และปุ๋ยหมักใช้เองในครัวเรือน ไปจนถึงมีโปรโมชั่นเมื่อลูกค้าลดการใช้พลาสติกด้วยการนำภาชนะมาเอง

นอกจากกิจกรรมทางสุขภาพแล้ว เพ ลา เพลินยังมีทั้งกิจกรรมทำผ้ามัดย้อม, ดูหนังกลางนา, ช้อปปิ้งที่ศูนย์รวมสินค้าโอทอปจากชุมชน ‘Joy Market’, ชมของสะสมเก่าที่ ‘โรงเล่น…เรียนรู้ พิพิธภัณฑ์เล่นได้’ และ ‘กาลครั้งหนึ่งแกลลอรี่’, แวะทานขนมที่คาเฟ่แลดาว ในบรรยากาศร่มรื่น นับเป็นแหล่งการเรียนรู้เชิงสุขภาพที่ผสานความเป็นแหล่งท่องเที่ยวกับแหล่งเรียนรู้ไว้ด้วยกันอย่างลงตัวและมีการออกแบบประสบการณ์ (experience design) ที่มีการเล่าเรื่องภูมิปัญญาในองค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ ของรีสอร์ท

Play La Ploen Learning Park

หัวใจสำคัญของการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและวัฒนธรรมอย่างยั่งยืนคือการทำธุรกิจอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวเข้ามาสัมผัสได้ตั้งแต่การปลูกพืชและสมุนไพร ไปจนถึงการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ทั้งเชิงสุขภาพและอาหารซึ่งทำให้เห็นว่าเพิ่มมูลค่าและสนับสนุนชุมชนได้จริง

สิ่งที่เพ ลา เพลินตั้งใจทำมาตลอดคือการศึกษานอกห้องเรียนที่สนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก โดยทุกวันนี้โมเดลธุรกิจมีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นสถาบันการศึกษาที่พานักเรียนมาทัศนศึกษาและทำกิจกรรมที่บุรีรัมย์ ที่ผ่านมายังมีแคมเปญพิเศษเช่น เมื่อถึงฤดูดอกกระเจียวบาน เพ ลา เพลินได้ริเริ่มโครงการ ‘กระเจียวเพื่อน้องท้องอิ่มที่นำเมล็ดต้นกล้าให้นักเรียนจากโรงเรียนในชุมชนได้ฝึกปลูก จากนั้นทางรีสอร์ทจะซื้อผลผลิตที่นักเรียนเป็นผู้ปลูกกลับคืนมาเพื่อนำมาเพิ่มมูลค่า

ทั้งนี้เพ ลา เพลิน มองว่าพืชเมืองหนาวอย่างลาเวนเดอร์มีศักยภาพและเป็นความหวังในการสร้างโอกาสใหม่ในอนาคต การปลูกลาเวนเดอร์ไม่ใช่แค่การสร้างเอกลักษณ์ให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอุทยานไม้ดอกของที่นี่อย่างเพลิดเพลิน ไม่ใช่แค่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์กลิ่นลาเวนเดอร์ที่มีกลิ่นหอม แต่เป็นการสร้างความแข้มแข็งให้วิสาหกิจชุมชนและสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนมาร่วมกันพัฒนาชุมชนในอีสานอย่างยั่งยืนต่อไป

สำหรับเคทีซีแล้วการสนับสนุนธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความยั่งยืนไม่ใช่แค่การทำโปรโมชั่น แต่คือการเข้าใจวิสัยทัศน์ของธุรกิจและเข้าถึงจิตใจของผู้ประกอบการอย่างลึกซึ้ง โดยเคทีซีมีกลยุทธ์การตลาดที่ตั้งใจผลักดันการท่องเที่ยวยั่งยืนด้วยการสนับสนุนโรงแรมและรีสอร์ทที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีจะได้รับสิทธิ์ใน ‘เทศกาลลาเวนเดอร์ พืชเศรษฐกิจยั่งยืน Lavender’s Magic’ ได้แก่การจองแพ็กเกจห้องพักราคาพิเศษในราคาเริ่มต้นที่ 2,500 บาท รวมเซตอาหารเย็น การเข้าชมอุทยานลาเวนเดอร์ฟรีในช่วงเทศกาล เวิร์กช็อปผ่อนคลายด้วยผลิตภัณฑ์ลาเวนเดอร์ฟรี 1 ครั้ง รวมถึงส่วนลด 10% สำหรับค่าอาหารและเครื่องดื่มที่ห้องอาหารเพลาภิรมย์ ไปจนถึงสปาและทรีตเมนต์ที่อโรคยาศาลา (AROKAYA WELLNESS SALA) หรือเมื่อซื้อสินค้าที่ CANN & COOP ในส่วนของผลิตภัณฑ์ที่รังสรรค์จากลาเวนเดอร์
ลูกค้ายังสามารถซื้อสินค้าที่มีส่วนผสมของลาเวนเดอร์ภายใต้แบรนด์เอกายาได้ที่ KTC U SHOP ช่องทางขายออนไลน์บนเว็บไซต์เคทีซี ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.ktc.co.th และมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับเทศกาลลาเวนเดอร์ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568

วิธีทำธุรกิจให้โอบกอด ‘คน’ และ ‘โลก’ ไปพร้อมกันของ Hug แบรนด์ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 

ว่ากันว่าการกอดคือหนึ่งในวิธีแสดงความรักที่ดีที่สุด และหากกอดให้นานถึง 20 วินาที จะช่วยผ่อนคลายความเครียด ทั้งยังทำให้รู้สึกปลอดภัยได้ชั่วขณะ ถึงกระนั้น ไม่ว่าจะกอดเพียงชั่วอึดใจ หรือกอดเป็นนาที ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งดีงามที่มนุษย์คนหนึ่งจะสื่อสารออกไป

สรรพคุณของการกอดช่างคล้ายคลึงกับหลักการสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่าง ‘Hug Organic’ ของ ‘น้ำผึ้ง–ภมรรัตน์ พรรณรัตนพงศ์’ ที่เริ่มต้นจากความคิดเรียบง่าย นั่นคือการออกแบบครีมและสบู่เหลวที่อ่อนโยนต่อผิวผู้สูงอายุในครอบครัว ที่มักประสบปัญหาโรคผิวหนังจากการแพ้สารเคมีในผลิตภัณฑ์ต่างๆ

ด้วยความที่เรียนจบจากคณะวิทยาศาสตร์อาหารและโภชนาการ ภมรรัตน์จึงใช้วิชาความรู้ที่มีลองผิดลองถูก ก่อนพบว่าสารสกัดจาก ‘ข้าว’ ที่เรากินกันทุกมื้อ ไม่ว่าจะข้าวหอมนิลและข้าวหอมมะลิสุรินทร์ คือวัตถุดิบสำคัญในการสร้างผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ทั้งปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน และปราศจากสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ดั่งสโลแกนของแบรนด์ ‘Let The Nature Embrace You ให้ธรรมชาติโอบกอดคุณ’  

นับจากจุดเริ่มต้นดังกล่าว วันเวลาล่วงเลยนับได้ 10 ปีพอดีที่ Hug ถือกำเนิดขึ้น เราจึงถือโอกาสชวนภมรรัตน์ และ ‘โทน–กิตติพจน์ อรรถวิเชียร’ ที่ทำหน้าที่ซัพพอร์ตเธอทุกย่างก้าว มาร่วมย้อนเส้นทางการเติบโตของ Hug ถึงแนวคิดการทำผลิตภัณฑ์ที่ห่วงใยต่อผู้บริโภค และจุดยืนในการเป็นแบรนด์ที่พร้อมขับเคลื่อนเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ผ่านคอลัมน์ In Good Company ตอนนี้

กอดด้วยความเข้าใจผู้บริโภค

บ่ายคล้อยวันหนึ่ง เรานัดเจอภมรรัตน์และกิตติพจน์ที่บูท Hug ซึ่งตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า Icon Siam ชั้น 5 โซน ECOTOPIA ทั้งสองคนมาพร้อมรอยยิ้มที่มอบให้ใครต่อใครยามพบเจอเสมอ 

เราใช้เวลาไม่นานหาที่นั่งเหมาะสมเพื่อพูดคุย ภมรรัตน์เริ่มเล่าถึงช่วงตั้งไข่ของ Hug ว่าต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะโจทย์ไม่ได้มีแค่การคัดเลือกวัตถุดิบที่นำมาใช้ แต่เป็นการทำความเข้าใจต่อผู้บริโภคว่า ผลิตภัณฑ์ของเธอนั้นดีต่อสุขภาพยังไง และทำไมจึงมีราคาที่ต่างไปจากสินค้าแบบเดียวกัน

หากย้อนกลับไปตอนนั้นเรื่องของผลิตภัณฑ์จากส่วนผสมธรรมชาติยังเป็นเรื่องใหม่มาก ดังนั้นลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้ามาล้วนเป็นชาวต่างชาติเสียส่วนใหญ่ เนื่องจากเทรนด์ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกในประเทศอื่นเป็นที่นิยมมาก่อนหน้าสักพักแล้ว 

ช่วงแรกเราขายอยู่ที่ K Village สุขุมวิท ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้ามาก็จะเป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองไทย ซึ่งนิยมเรื่องการดูแลรักษาสุขภาพและมีกำลังซื้อมากพอ การตัดสินใจเลือกซื้อเขาไม่ใช่แค่ดมกลิ่นไหนหอมแล้วจบ แต่เขาจะอ่านฉลากอย่างละเอียดว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง ใช้แล้วต้องไม่แพ้  ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย 

“อย่างเวลาเราไปออกบูทจะอธิบายชัดเจนเลยว่าผลิตภัณฑ์ของเรามีส่วนผสมจากธรรมชาติ 98.5% นะ แล้วส่วนผสมที่เหลืออีก 1.5% มันคืออะไร ทำไมเราถึงจำเป็นต้องใส่ เช่น สาร Preservative ที่ทำหน้าที่ ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาคุณภาพสินค้า ซึ่งสารเคมีหลักๆ ที่เราจะหลีกเลี่ยงเลยคือสาร SLS (Sodium Lauryl Sulfate) ที่อาจทำให้เกิดการระคายเคือง หรือสารกันเสีย Paraben ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการก่อโรคมะเร็ง 

“เราพยายามใช้ส่วนผสมที่อ่อนโยนที่สุด และใช้ส่วนผสมน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะถ้าใช้ส่วนผสมธรรมชาติเลย 100% อายุการเก็บมันจะสั้น ซึ่งอาจไม่เหมาะกับการวางขายตามร้านค้า หรือใช้งานในระยะยาว”

จากความนิยมปากต่อปากในหมู่คนรักสุขภาพ ผ่านไประยะหนึ่งจึงมีการติดต่อเข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์จากบรรดาธุรกิจประเภท Green Hotel ภมรรัตน์ยกเคสโรงแรมหนึ่งที่อยู่ริมทะเลติดต่อเข้ามาซื้อครีมอาบน้ำด้วยสาเหตุที่ว่า ฟองสบู่ที่ไหลลงสู่ก้นท่อจะถูกระบายออกทางทะเลและพื้นดิน ดังนั้นการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด 

ที่น่าสนใจคือวัตถุดิบที่ทาง Hug นำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ยกตัวอย่างสมุนไพรไทยอย่าง ‘ประคำดีควาย’ ที่ก่อให้เกิดฟอง คือผลผลิตที่รับซื้อมาจากชุมชนบนดอยกัลยาณิวัฒนาโดยตรง จึงถือเป็นการสนับสนุนเกษตรกรรายย่อย และช่วยเพิ่มมูลค่าสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวัน เพราะเดิมทีชาวบ้านบนดอยมักใช้ประคำดีควายสระผมและซักผ้าอยู่แล้ว ขณะเดียวกันยังเป็นการกระตุ้นให้เกษตรกรช่วยรักษาธรรมชาติในฐานะแหล่งทำกินสำคัญ 

กลายเป็น circular green ขนาดย่อม ที่ต่างฝ่ายต่างเข้าใจซึ่งกันและกันตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ 

กอดโลกด้วยความห่วงใย

“พอเราทำได้สัก 2-3 ปี เทรนด์ออร์แกนิกก็เริ่มมา ลูกค้าเริ่มมีทางเลือกมากขึ้น เราเลยคิดหาวิธีสร้างความมั่นคงให้กับแบรนด์ในระยะยาว ก่อนพบว่าจุดยืนที่ชัดเจนของเรานี่แหละคือความมั่นคงที่สุด” ภมรรัตน์เล่าถึงก้าวต่อไปของ Hug ในวันที่ตลาดออร์แกนิกในไทยเริ่มเติบโตจนมีผู้เล่นเยอะขึ้น

ครอบครัวหมีขาวแวะเวียนมาบอกเล่าวิธีการรักษ์โลกในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะวิธีการคัดแยกขยะ วิธีการนำบรรจุภัณฑ์กลับมาใช้ซ้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด หรือเคล็ดลับการประหยัดพลังงาน เหล่านี้คือคอนเทนต์สุดน่ารักที่ปรากฏบนหน้าฟีดเฟซบุ๊กของ Hug เพื่อแสดงถึงจุดยืนของแบรนด์ที่อยากตอบแทนธรรมชาติ  และสื่อสารไปยังผู้บริโภคว่าเราทุกคนก็รักษ์โลกได้ด้วยวิธีง่ายๆ 

“เรามองว่า น่าจะใช้เรื่องของการทำคอนเทนต์ที่เราถนัดบอกไปถึงลูกค้า ว่า value ที่เรามอบให้มันมีคุณค่าอะไรบ้าง และทำให้คอนเทนต์ที่สื่อสารออกไปเป็นการช่วยเหลือโลกอีกทาง” กิตติพจน์คือผู้อยู่เบื้องหลังโดยนำไอเดียและประสบการณ์จากการทำงานสื่อเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม CreativeTone มาใช้ต่อยอด

“เราเลยทบทวนดูว่าแบรนด์เราเกิดจากความรักในครอบครัว เราเลยใช้ความคิดสร้างสรรค์สร้างคาแร็กเตอร์น่ารักๆ ที่เล่าสิ่งที่ต้องการสื่อสารออกไป อย่างเช่น คุณปู่หมีที่เป็นแผลผิวหนังจากการแพ้สารเคมี หรือคุณแม่หมีที่ใช้น้ำยา Home Care ซึ่งปลอดภัยในการทำความสะอาดบ้าน 

“เราพยายามทำให้ storytelling เข้าใจง่าย ไม่ใช่แค่กับกลุ่มผู้บริโภคหรือคนวัยผู้ใหญ่ แต่ยังรวมไปถึงคนรุ่นใหม่ ให้เห็นว่าการลุกขึ้นมาทำสิ่งเหล่านี้สามารสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อโลกได้ยังไง” กิตติพจน์อธิบายให้เราฟังด้วยน้ำเสียงจริงจัง

นอกจากเรื่องของคอนเทนต์แล้ว Hug ยังส่งต่อวิธีการดูแลโลกด้วย  ‘จุดเติม Refill’ ซึ่งลูกค้าสามารถนำขวดเก่ามาเติมผลิตภัณฑ์ได้ในราคาที่ถูกลง 15% จากราคาแบบขวดปกติ เนื่องจากไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเรื่องบรรจุภัณฑ์และเพื่อเป็นการช่วยกันลดขยะจากบรรจุภัณฑ์พลาสติกด้วย ขณะเดียวกันยังเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์ในปริมาณน้อยไปทดลองใช้ก่อนได้ โดยจุดเติมผลิตภัณฑ์หลักๆ ณ เวลานี้ มีอยู่ที่โซน ECOTOPIA ในห้าง Icon Siam ชั้น 5 และร้าน All Kinds ที่ The Commons ทองหล่อชั้น 1 

ทุกขวดของ Hug ยังระบุชนิดของบรรจุภัณฑ์เพื่อให้ผู้บริโภคนำไปใช้ซ้ำ หรือนำไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกวิธี เช่น ขวดที่ผลิตมาจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิลประเภท rPET (ขวดพลาสติกใส) หรือ PE (ขวดพลาสติกสีขุ่น) เช่นเดียวกับฉลากสติ๊กเกอร์หน้าขวดก็ผลิตมาจากวัสดุชั้นดีที่ลอกคราบกาวออกได้ง่าย จึงเหมาะกับการนำขวดเก่าไปใช้งานต่อได้ 

แม้กระทั่งบรรจุภัณฑ์ ทาง Hug ก็เลือกใช้กล่องกระดาษ หรือวัสดุกันกระแทกที่ยังสภาพดีอยู่กลับมาใช้ซ้ำ เพื่อเป็นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

กอดได้ เรียนรู้เป็น

ภมรรัตน์บอกกับเราว่า จาก Day 1 ที่ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติยังเป็นเรื่องของคนเฉพาะกลุ่ม ถึงตรงนี้ได้แปรเปลี่ยนสถานะเป็น ‘เทรนด์’ ที่เข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนจำนวนมาก 

เธอเปรียบเปรยผู้บริโภคเป็นเหมือนสีเขียวที่มีเฉดต่างกันไป สีเขียวอ่อนคือผู้บริโภคที่เพิ่งเริ่มทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ไปจนถึงเฉดสีเขียวเข้มที่เป็นผู้บริโภคที่ค่อนข้างมีความรู้ถึงขั้นที่ DIY ทำของใช้เองเป็น ดังนั้นการเรียนรู้ที่จะพัฒนาสินค้าให้เหมาะสมกับคนหลายกลุ่ม ตามเซกเมนต์ที่เติบโตขึ้นจึงเป็นโจทย์สำคัญ 

“เคยมีลูกค้าเข้ามาหาเรา บอกว่าเขามีปัญหาผิวหนังไปหาหมอมา แล้วส่งลิสต์มาให้เราดูเลยว่าแพ้สารเคมีอะไรบ้าง เขาจะใช้ผลิตภัณฑ์ของ Hug ได้ไหม กอปรกับวันหนึ่งที่เราออกบูทมีลูกค้าที่มีคนในครอบครัวเป็นมะเร็ง มาตามหาผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนเพียงพอที่จะให้ผู้ป่วยที่ให้คีโม หรือผิวบอบบางแพ้ง่ายใช้ได้  

“จริงๆ แล้ว สินค้าสูตรอ่อนโยนของเราก็น่าจะใช้ได้แล้ว แต่เรารู้สึกว่าเราอยากพัฒนาสูตรที่เหมาะสำหรับคนกลุ่มนี้จริงๆ ที่เขาสามารถใช้ได้อย่างสบายใจ เราเลยพยายามพัฒนาสูตรใหม่ที่ตอบโจทย์แก้ปัญหาผู้ที่มีปัญหาผิวโดยเฉพาะ โดยที่ส่วนผสมยังคงอ่อนโยนและใกล้เคียงส่วนผสมธรรมชาติ 100% ให้มากที่สุด”

 นั่นจึงเป็นที่มาของการแตกไลน์โปรดักต์ให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยแต่ละชิ้นได้ไอเดียมาจากการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับลูกค้าและจากการเก็บข้อมูลให้กลุ่มที่มีปัญหาผิวได้ทดลองใช้ ยกตัวอย่างสินค้าสูตร ‘Hug Baby’ ที่ใช้ได้ตั้งแต่เด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป เหมาะสำหรับผู้ที่ผิวแพ้ง่าย ผิวแห้ง เช่น ทารกน้อยที่ผิวบอบบาง ไปจนถึงผู้สูงอายุและผู้ป่วยมะเร็งที่รักษาด้วยวิธีคีโมที่อาจจะมีปัญหาผิวแห้งแตก  

หรือจะเป็นแชมพูข้าวที่ทำจากข้าวหอมมะลิสุรินทร์ออร์แกนิก สูตร 2in1 ที่สระแล้วผมนุ่มชุ่มชื้นโดยไม่ต้องใช้ครีมนวดผม รวมไปถึงสบู่เหลว โลชั่น และแชมพูที่มีส่วนผสมของเปปเปอร์มินต์ช่วยให้รู้สึกเย็นสดชื่น ซึ่งเป็นสูตรที่พัฒนาให้เหมาะกับสภาพอากาศร้อนอบอ้าวของประเทศไทย  

ที่เธอภูมิใจนำเสนอคือ ‘สเปรย์กันยุง’ จากส่วนผสมธรรมชาติ 100% ที่มีส่วนผสมจากสมุนไพรไทย 13 ชนิดที่หาได้ในประเทศไทย เช่น ตะไคร้บ้าน ตะไคร้ภูเขา น้ำมันเสม็ดขาว ฯลฯ เบสของสเปรย์คือน้ำมันจมูกข้าวที่มีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิว และยังช่วยกักเก็บกลิ่นทำให้กันยุงได้ในระยะยาว ต่างจากสเปรย์กันยุงทั่วไปที่มีเบสเป็นน้ำหรือแอลกอฮอล์ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการแพ้ระคายเคือง

เหล่านี้คือผลิตภัณฑ์ส่วนหนึ่งที่เกิดจากการ ‘เรียนรู้’ จนตกผลึก ซึ่งทำให้ Hug ยังยืนหยัดอยู่ได้ 

กอดให้อุ่นโดยไม่ต้องพยายาม

ถึงตรงนี้มีหนึ่งคำถามที่ผู้เขียนสงสัยคือ ทำยังไงให้แบรนด์สามารถคงอยู่ได้ตลอด 10 ปี ท่ามกลางการผันผวนของเทรนด์โลก และการครองตลาดขององค์กรขนาดใหญ่ โดยที่ยังไม่สูญเสียตัวตนและจุดยืนที่วางไว้ตั้งแต่ต้น

คำตอบที่ได้ช่างเรียบง่าย นั่นคือทำทุกอย่างให้เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องฝืนตัวเอง ผนวกเรื่องของการทำธุรกิจและจุดยืนให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน และแสดงออกให้คนอื่นเห็นว่าการดูแลโลกเป็นเรื่องที่ใครก็ทำได้ เช่นการทำคอนเทนต์ถ่ายทอดวิธีนำวัสดุรอบตัวกลับมาใช้ใหม่นั้นง่ายยังไง เหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันที่พวกเขาทำอยู่แล้วและอยากสื่อสารออกไป 

รวมไปถึง จุดเติมรีฟิล ที่ Hug ทำ ก็เป็นการทำอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา ค่อยๆ สื่อสารไปยังลูกค้าว่า การนำขวดกลับมาเติมเพื่อใช้ซ้ำนั้นช่วยลดการเกิดขยะพลาสติกที่กว่าจะย่อยสลายนานนับร้อยปี ถือเป็นการสร้างพฤติกรรมรักษ์โลกไปพร้อมๆ กันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย

“ถามว่าตลอด 10 ปีที่ทำมาเราเจอโจทย์ใหม่ทุกปี อย่างปีแรกที่เราออกบูทก็ได้รับฟีดแบ็กจากลูกค้าให้กลับมาแก้ไขพัฒนาสินค้า ปีที่ 2 ก็เริ่มวางขายตามร้านขายสินค้าสุขภาพ ปีต่อๆ ไปก็เริ่มออกบูทที่ต่างประเทศ เริ่มทำออนไลน์ เริ่มมีกลุ่มพาร์ตเนอร์ที่เป็นลูกค้าโรงแรม แต่สุดท้ายการสร้างแบรนด์ยังอยู่ภายใต้ความตั้งใจเดิม คือเรื่องของสุขภาพและสิ่งแวดล้อม” ภมรรัตน์ย้อนถึงเส้นทางที่ผ่านมาด้วยความภาคภูมิใจ และเน้นย้ำถึงความตั้งใจในการทำแบรนด์ Hug 

“เราตั้งใจว่าจะทำไปจนกว่าสังคมจะเปลี่ยน” กิตติพจน์กล่าวเสริมพลางหัวเราะ “ไม่ใช่ว่าสังคมไม่เปลี่ยนแปลงแล้วเราจะเลิกทำ เราเชื่อว่ามันเปลี่ยนแปลงได้ แค่ต้องใช้เวลาหรืออยู่ในจุดที่เขาเห็นว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมมันมีผลกระทบต่อสุขภาพเขาจริงๆ”  

แม้ภาพลักษณ์จะไม่เซ็กซี่หวือหวา แต่สิ่งที่แบรนด์ Hug ทำล้วนมาจากความตั้งใจที่อยากเห็นทุกคนมีสุขภาพดี ไปพร้อมๆ กับการดูแลสิ่งแวดล้อม และเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า แม้จะเป็นแบรนด์เล็กๆ แต่หากส่งต่อความเชื่อไปยังคนหมู่มากสำเร็จ ก็เป็นแรงกระเพื่อมในการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้เช่นกัน

ขอขอบคุณ The Commons Thonglor สำหรับสถานที่

สูตรการเพาะพันธุ์ธุรกิจแบบ AGA AGRO แบรนด์ที่จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ให้กับคนรักดอกไม้ทั่วโลก

ตามประสาคนรักดอกไม้ หากเราพบกลีบช่อที่แบ่งบานที่ไหนก็เป็นต้องหยุดดูเสมอ ในวันธรรมดา ดอกไม้เป็นเรื่องดีๆ ที่ช่วยเติมความสดใส ในวันที่ชีวิตหนักหนา ดอกไม้ก็ช่วยชุบชูใจให้รู้สึกว่าชีวิตไม่ได้แย่เกินไป คล้ายคำปลอบโยนว่าทุกอย่างมีฤดูกาลของมัน

คอลัมน์ Brand Belief วันนี้เราจึงตื่นเต้นเป็นพิเศษที่จะได้พูดคุยกับคนทำธุรกิจขายดอกไม้ แถมยังเป็นแบรนด์จากเชียงใหม่บ้านเกิด 

AGA AGRO อาจเป็นชื่อที่เกษตรกรที่ทำฟาร์มดอกไม้อาจคุ้นหูอยู่แล้ว แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก ขอแนะนำคร่าวๆ ว่าพวกเขาคือบริษัทนำเข้า ปรับปรุงเมล็ดพันธุ์และต้นกล้าให้กับคนทำธุรกิจ เกษตรกรเจ้าของฟาร์ม ไปจนถึงคนรักดอกไม้ที่อยากปลูกสักดอกไว้หลังบ้าน 

ความเจ๋งก็คือพวกเขาจัดจำหน่ายให้กับคนทั่วโลก แถมยังเป็นผู้ผลิตเจ้าแรกๆ ที่กล้าลงทุนลงแรง บุกเบิกการทำไม้ตัดดอกที่เกษตรกรไทยไม่เคยทำ ด้วยเป้าหมายว่าอยากยกระดับวงการดอกไม้ไปด้วยกัน

ชมรมคนรักดอกไม้

2555 คือปีที่เอกะ อะโกร ก่อตั้งขึ้น โดยสามเพื่อนรัก โศรยา จรัณยานนท์ ธีรพล บุญมี และบดินทร์ ธาระเขต ที่ใฝ่ฝันว่าอยากทำธุรกิจด้วยกัน ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น ทั้งสามคนอยู่ในแวดวงการทำธุรกิจเกี่ยวกับดอกไม้มากว่า 30 ปี 

“ธุรกิจดอกไม้ในสมัยก่อนยังไม่เฟื่องฟู ประเทศไทยยังใช้น้อยมาก ส่วนมากคนที่ใช้ดอกไม้คือกลุ่มราชการ หรือถ้าในเชียงใหม่จะเห็นมีรีสอร์ตใช้ดอกไม้ประดับอยู่ไม่กี่แห่ง ดอกไม้ยังเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยอยู่” บดินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายในประเทศเล่าเท้าความ 

เมื่อได้มารวมตัวกัน เอกะ อะโกร จึงอยากเป็นธุรกิจขายเมล็ดพันธ์ุดอกไม้ให้ลูกค้า B2B และ B2C ที่มีจุดมุ่งหมายคืออยากยกระดับธุรกิจดอกไม้ไทยให้เจริญรุ่งเรืองในระดับสากล 

ดอกไม้ไทยจากต่างแดน

ทีมเอกะ อะโกรเล่าให้เราฟังว่า สมัยก่อนการขายเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ในไทยนั้นมีราคาขายส่งแค่ 5-7 บาทต่อชุด กำไรน้อย แถมพันธุ์ดอกไม้ที่ขายก็เป็นพันธุ์ทั่วไป พวกเขาอยากเพิ่มมูลค่าจึงนำเข้าเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ใหม่ๆ จากต่างประเทศ เช่น ดอกเทียน ดอกบีโกเนีย มาปลูกในกระถาง จากที่เคยขาย 5 บาท พวกเขาก็ขายได้ราวกระถางละ 70 บาท

“เกณฑ์ของเราคือเป็นดอกที่สามารถปลูกในสภาพแวดล้อมและอากาศของเมืองไทยได้” ปิยพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศพูดถึงมาตรฐานในการคัดเลือก “ส่วนมากการคัดเลือกพันธุ์ของเรามี 2 แบบ คือพันธุ์ที่ปรับตัวได้ดีในประเทศไทยอยู่แล้ว กับอีกแบบคือพันธุ์แปลกๆ ใหม่ๆ ที่ลูกค้ายังไม่กล้าซื้อ เกษตรกรยังไม่กล้าปลูก เราต้องสร้างตลาดให้เขาก่อน”

เพราะฉะนั้น เอกะ อะโกร จึงต้องจัดงานแสดงพันธุ์พืชในช่วงปลายฤดูหนาวของทุกปี เพื่อพาลูกค้ามาทำความรู้สึกกับดอกไม้พันธุ์ใหม่ๆ ว่าสวยงามยังไง นอกจากเมล็ดและดอกไม้ในกระถาง เอกะ อะโกรยังอำนวยความสะดวกขึ้นอีกคือการขายต้นกล้าเล็กๆ ที่เติบโตได้ไม่นาน ให้ลูกค้าเอาไปปลูกต่อได้ง่ายๆ ที่บ้านได้เลย

เรียกได้ว่าอาจเป็นจังหวะเวลาที่ถูกต้อง เพราะราว 6 ปีก่อนเทรนด์ของการทำทุ่งดอกไม้ให้คนเข้าไปเยี่ยมชมและถ่ายรูปกำลังมาแรงพอดี ประกอบกับช่องทางซื้อขายออนไลน์ที่อำนวยความสะดวกสบาย ลูกค้าสามารถเอฟเมล็ดดอกไม้หรือต้นกล้าได้ง่ายๆ ที่บ้าน ชื่อของเอกะ อะโกรจึงป๊อปมากขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่คนรักดอกไม้เมืองไทย

ดอกไม้ไทยไปต่างแดน

สินค้าของเอกะ อะโกรแบ่งออกตามกลุ่มธุรกิจเป็น 2 กลุ่มหลัก คือเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ที่พวกเขานำเข้าจากต่างประเทศแล้วนำมาจำหน่ายต่อ 

กับอีกกลุ่มคือดอกไม้ที่ทีมปรับปรุงพันธุ์และผลิตเมล็ดเอง โดยเน้นไปที่ดอกดาวเรืองซึ่งเป็นที่นิยมสุดๆ ทั้งบ้านเราและประเทศเพื่อนบ้าน

“ดอกดาวเรืองสัมพันธ์กับชีวิตของคนไทย ไม่ว่าสถานการณ์ไหนเราก็ใช้ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหมือนกับที่ประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ อย่างอินเดียหรือเวียดนาม ดอกดาวเรืองก็เป็นดอกไม้ที่ราคาถูกที่สุดและคงทนมากที่สุด ดาวเรืองจึงตอบโจทย์กับการใช้งานทุกวัน ปริมาณการใช้จึงเยอะมาก” ปิยพันธุ์พูดถึงตลาด

ทนร้อน ทนแล้ง ออกดอกเร็ว คือมาตรฐานของการปรับปรุงพันธุ์ที่บริษัทเมล็ดพันธุ์หลายแห่งพยายามทำ แต่ในมุมของเอกะ อะโกร นอกจากปัจจัยเหล่านี้ พวกเขายังต้องคำนึงถึงการทนโรคและทนต่อการขนส่งทางไกล 

“การปรับปรุงพันธุ์เป็นเรื่องที่หยุดไม่ได้ เพราะแต่ละปีสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุณหภูมิของโลกที่ส่งผลกระทบต่อวงจรชีวิตของแมลง พันธุ์ที่ทนโรค ทนแมลงได้ในวันนี้อาจจะทนไม่ได้ในอีกสองปีข้างหน้า” ปิยะพันธุ์เล่าความท้าทาย  

ถ้าเรานึกถึงดอกไม้ เราอาจนึกถึงเกษตรกรที่ซื้อเมล็ดพันธุ์ไปเพาะในฟาร์มของตัวเอง ผู้ใช้ทั่วไปที่ซื้อไปปลูกต้นกล้าในห้อง หน่วยราชการหรือออร์แกไนเซอร์ที่ซื้อดอกไม้ต้นสำเร็จไปจัดงาน แต่ช่วงปีที่พ้นผ่านมา ลูกค้าของเอกะ อะโกรนั้นมีความต้องการที่หลากหลาย มีตั้งแต่ลูกค้าที่ขอซื้อดอกไม้กินได้ไปประกอบอาหาร หรือกลุ่มสถานศึกษาที่ขอซื้อไปทำสื่อการเรียนการสอน 

จากธุรกิจขายเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ในไทย เอกะ อะโกรขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศ โดยเน้นขายเมล็ดพันธุ์ที่ปรับปรุงพันธุ์เองให้กับประเทศในโซนเอเชีย แอฟริกาใต้ ยุโรป อเมริกากลาง และอเมริกาใต้

“ในขณะที่บ้านเราซื้อดอกไม้บ้านเขามา เช่น ซื้อดอกทิวลิปมาใส่แจกัน ดูเท่จังเลย ดูเป็นเมืองหนาว ต่างประเทศเองก็เหมือนกัน เขาซื้อดอกไม้ที่ดูเป็นดอกทรอปิคัลจากบ้านเราไปเพื่อให้รู้สึกว่า ฉันอยู่เมืองหนาว แต่ฉันมีดอกทรอปิคัลในบ้านนะ บ้านฉันอบอุ่น มีความสุข” ปิยะพันธุ์เล่าเกร็ดสนุกๆ ให้เราฟัง

ไม้ตัดดอกไทย โดยคนไทย

เอกะ อะโกรยังถือเป็นไม่กี่แบรนด์ที่ผลิตไม้ตัดดอกที่เพาะจากเมล็ดพันธุ์ ซึ่งผลิตโดยคนไทย 100% โดยมีคุณภาพเทียบเคียงกับไม้ตัดดอกนำเข้า หนึ่งในนั้นคือกุหลาบเวียดนามหรือลิเซียนทัสที่มาจากจีน

“เราเห็นโอกาสในฤดูหนาวที่บ้านเขาหิมะตก ผลิตไม่ได้ เราเลยลองผลิตกันดู” บดินทร์ย้อนความ ก่อนที่ปิยะพันธุ์จะเสริมต่อ

“เรารู้กันอยู่แล้วว่าลิเซียนทัสมีตลาดในต่างประเทศกว้างมาก ไม่ว่าจะเป็นจีน เวียดนาม หรือยุโรป เพราะฉะนั้นนี่คือตลาดของอนาคต เราจึงอยากทำดอกที่เกษตรกรไทยยังไม่กล้าผลิต ทำให้เขาเห็นก่อนว่าผลิตได้ 

“เป้าหมายของเราไม่ใช่การเป็นผู้ผลิตลิเซียนทัสรายใหญ่ที่สุดในไทย แต่เราอยากเป็นผู้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์และต้นกล้าคู่ค้าไปทำการค้าต่อ และจะทำยังไงให้เกษตรกรสามารถผลิตดอกที่มีคุณภาพที่สุด ในต้นทุนที่ต่ำที่สุด” 

เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงมีการทำงานร่วมกับเกษตรกรจากบ้านปงไคร้ในอำเภอแม่ริม เชียงใหม่ โดยผลิตต้นกล้าและออกต้นทุนในการผลิตให้ จากนั้นก็รับซื้อดอกไม้ที่โตเต็มวัยจากเกษตรกรต่อเพื่อขายต่อในตลาดทั่วประเทศ 

ล่าสุดเมื่อเข้าสู่ปีที่ 3 ของการทำไม้ตัดดอกไม้ เอกะ อะโกร และเกษตรกรสามารถผลิตลิเซียมทัสได้มากถึงหนึ่งล้านกิ่ง 

มองลูกค้าเป็นเพื่อน

อะไรทำให้ฟาร์มเอกะ อะโกร เป็นฟาร์มดอกไม้ที่ลูกค้าหลายคนรัก

อาจเพราะพวกเขาเป็นฟาร์มที่น่ารักมาก เพราะไม่ได้สักแต่จะขายเมล็ดพันธุ์หรือต้นกล้า แต่ทีมเอกะ อะโกรดูแลลูกค้าแบบ one-stop service แถมยังมีบริการหลังการขายอีกต่างหาก

“ที่ฟาร์มของเราสอนลูกค้าตั้งแต่ขั้นตอนการเพาะเมล็ด เลี้ยงดูต้นกล้า จนกระทั่งออกดอก นอกจากจะทำกันในฟาร์ม เรายังออกไปจัดกิจกรรมนี้นอกฟาร์มในทุกภาคของไทย เพื่อให้ลูกค้าสามารถปลูกดอกไม้ได้ดีจริงๆ” บดินทร์เล่า 

“เรามีสโลแกนว่า ลูกค้าคือเพื่อน เรามองลูกค้าเป็นเพื่อนที่เติบโตไปพร้อมกับบริษัทเรา ไม่ว่าเขาจะเป็นลูกค้าที่ทำอาชีพเกี่ยวกับดอกไม้หรือปลูกเล่นๆ เป็นงานอดิเรกก็ตาม เราอยากดูแลเขาไม่ต่างกัน เพราะถ้าเพื่อนประสบความสำเร็จในการปลูก เราก็ประสบความสำเร็จด้วย

“นอกจากลูกค้า การดูแลพนักงานในบริษัทก็ถือเป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจของเรา เพราะบุคลากรที่จะรู้เรื่องดอกไม้และคุยกับลูกค้าอย่างลึกซึ้งได้ไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ และเมื่อบุคลากรและลูกค้าของเรามีความสุขแล้ว ยอดขายก็จะตามมา” บดินทร์ปิดประโยคด้วยรอยยิ้ม

ชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ ในวัย 78 ทำไมทั่วโลกลุ้นผลเลือกตั้งสหรัฐฯ  และประเทศแถบอาเซียนจะได้รับผลกระทบอะไร

แค่รู้ว่านายกรัฐมนตรีของไทยก็พอแล้วไหม ทำไมต้องสนใจว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา?

เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยตั้งคำถามกับประเด็นการเลือกตั้งของดินแดนแห่งเสรีภาพอย่างอเมริกา เพราะทุก 4 ปีที่การเลือกตั้งเวียนมาบรรจบ ไม่เพียงข่าวไทยเท่านั้น แต่ข่าวต่างประเทศต่างก็พูดถึงและจับตามอง เช่นเดียวกับไม่กี่วันที่ผ่านมา ที่ผลการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาได้ฟันธงแล้วว่าอดีตประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ กลับมาเป็นแชมป์อีกครั้งในอายุ 78 ปี หลังจากที่เขาพลาดท่าให้โจ ไบเดน 

ส่งท้าย weekday นี้ Capital ขอพาไปทำความเข้าใจว่าทำไมการเลือกตั้งของประเทศเดียวประเทศนี้ถึงสำคัญ จนทั่วโลกร่วมลุ้นไปด้วยไม่แพ้คนในประเทศเองเลย

สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศมหาอำนาจที่มีส่วนเกี่ยวพันกับแทบทุกประเทศ

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศมหาอำนาจที่มีผลต่อทิศทางของโลกไม่น้อย ด้านเศรษฐกิจก็มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก นโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีแต่ละคนที่เข้ามาปกครองจึงส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลก อัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงการค้าระหว่างประเทศ สหรัฐยังมีความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ที่แตกต่างกัน และเรียกได้ว่าแทบจะมีความสัมพันธ์กับทุกประเทศ 

การเปลี่ยนแปลงหรือการกำหนดนโยบายต่างประเทศจึงมีผลต่อเสถียรภาพของโลก ยังไม่รวมไปถึงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยี ซึ่งหมายรวมถึงการกำหนดการใช้แรงงาน และผลกระทบทั้งเชิงบวกและลบต่ออุตสาหกรรมพลังงาน และนั่นหมายความว่า ไม่ว่าจะการเลือกตั้งสมัยไหน ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีย่อมเป็นที่จับตามองทุกครั้งไป โดยเฉพาะการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่ทรัมป์กลับมาครองตำแหน่ง

เช่นที่ มาร์ติน กริฟฟิทส์ ที่เพิ่งดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสหประชาชาติฝ่ายกิจการมนุษยธรรมและผู้ประสานงานบรรเทาทุกข์ฉุกเฉินได้บอกกับ BBC ไว้ว่า “ผลของการเลือกตั้งสหรัฐฯ สำคัญมาก เมื่อพิจารณาถึงอิทธิพลของสหรัฐฯ ที่ยากจะหาใครเปรียบ และหาใช่เพียงด้านกำลังทหารและเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงศักยภาพในการเป็นผู้นำด้วยอำนาจทางศีลธรรมบนเวทีโลก” 

ผลงานอันน่าขมวดคิ้วของทรัมป์ในสมัยที่ผ่านมา 

สมัยที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี (2017-2021) ทรัมป์ได้ทำหลายๆ สิ่งที่ดูน่าขมวดคิ้วในสายตาพันธมิตรของอเมริกา Vox สรุปไว้ว่าในช่วงสมัยแรกของเขา การดำเนินงานส่วนใหญ่เกิดขึ้นตามแนวคิด ‘American First’ หรือ ‘อเมริกาต้องมาก่อน’

ไม่ว่าจะเป็นการดึงสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผู้ลงนามทุกรายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทรัมป์เปิดสงครามการค้ากับจีน ทรัมป์ยังวิพากษ์วิจารณ์ NATO หรือองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือที่ก่อตั้งขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อสร้างพันธมิตรทางทหารระหว่างรัฐบาล 29 ประเทศในยุโรปและ 2 ประเทศในอเมริกาเหนือ ทรัมป์มองว่าประเทศอื่นๆ วางงบสำหรับการทหารน้อยเกินไป ฯลฯ

ความกลัวของทั่วโลกเมื่อทรัมป์ได้รับชัยชนะครั้งที่ 2 

จากบทความของ BBC ที่ลีส ดูเซต์ หัวหน้าผู้สื่อข่าวต่างประเทศได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ อธิบายเอาไว้ว่าภายใต้การนำของทรัมป์ครั้งที่ 2 อาจเกิดสงครามการค้าครั้งใหม่ จากการเก็บภาษีศุลกากรสูงขึ้นโดยเฉพาะจากจีนที่จะถูกเก็บภาษีมากที่สุดที่ 60% ทรัมป์ต้องการเนรเทศแรงงานจำนวนมากออกจากสหรัฐฯ ต้องการลดภาษีโดยเฉพาะจากธุรกิจคนรวยซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 

ในด้านความมั่นคง ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ ถือเป็นผู้บริจาคเงินรายใหญ่ที่สุดขององค์การสหประชาชาติ แต่สมัยแรกของทรัมป์ เขาตัดเงินทุนเพื่อหน่วยงานของสหประชาชาติหลายแห่ง เขายังถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ทรัมป์ยังสนับสนุนรัสเซียอย่างออกนอกหน้า ขณะที่คู่แข่งอย่างแฮร์ริสยืนกรานว่าสนับสนุนยูเครน

ส่วน Euromonitor International ยังได้วิเคราะห์ว่านโยบายการค้าของทรัมป์อาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางการค้าที่สูงขึ้น เป็นตัวเร่งให้เศรษฐกิจโลกกระจัดกระจาย ราคานำเข้าสินค้าจริงทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้น 10% การค้าโลกที่ลดลงก็อาจทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้นได้

ทำไมการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาถึงสัมพันธ์กับการเติบโตของประเทศแถบอาเซียน

ASEAN Briefing ได้คาดการณ์ไว้ว่าการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาครั้งนี้จะส่งผลต่ออาเซียนในหลายมิติ ก่อนหน้านี้อาเซียนได้รับประโยชน์จากการค้าเสรี โดยเฉพาะเวียดนาม มาเลเซีย และไทยที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ ถ้ามีการเก็บภาษีศุลกากรสูงขึ้น ก็อาจทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดน้อยลง  

อีกสิ่งที่ไม่ใช่แค่ทั่วโลกเท่านั้นที่กลัว แต่ประเทศอาเซียนอย่างไทยเองก็ต้องจับตามองคือความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่ทำให้ประเทศในอาเซียนต้องรักษาสมดุลการค้ากับทั้งสองประเทศ เพราะถ้าสหรัฐฯ ดำเนินนโยบายที่เข้มงวดกับจีน ประเทศในแถบเราๆ อาจเผชิญกับแรงกดดันมากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็อาจพยายามหาฐานการผลิตอื่นซึ่งอาเซียนก็อาจได้รับผลดี 

นอกจากนั้น การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของสหรัฐอเมริกายังเป็นส่วนสำคัญในการเติบโตของประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถ้าสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับการค้าเสรี แน่นอนว่าประเทศแถบเรานี้ย่อมได้ประโยชน์ แต่ถ้านโยบายการค้าเน้นไปที่ลัทธิชาตินิยม รัฐบาลอาจจูงใจบริษัทสหรัฐฯ ย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ นั่นแปลว่าแนวโน้มการเติบโตและการไหลเข้ามาของเงินทุนสหรัฐฯ ก็อาจชะลอตัวในไทยและประเทศเพื่อนบ้านได้ ในระดับบุคคล ก็อาจทำให้บริษัทข้ามชาติลดการจ้างงานของคนต่างชาติลงก็ได้  

ที่สำคัญ สมัยที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี ทรัมป์แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าเขาคิดว่าเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องไร้สาระ ทั้งที่การขับเคลื่อนเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นใหญ่ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการร่วมมือของประเทศมหาอำนาจ 

กลับมาที่ประเทศไทยและแถบอาเซียน ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ประเทศต่างๆ เช่น อินโดนีเซีย ไทย และเวียดนาม ได้ลงทุนกับพลังงานสะอาดจำนวนมาก หากสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนแน่นอนว่าเราย่อมได้ผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเรื่อง Green Financial เรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แต่เมื่อทรัมป์ได้รับชัยชนะไป ก็อาจต้องรอดูว่าอนาคตพลังงานสะอาดที่ไทยกำลังลงทุนนั้นจะไปในทิศทางไหน

โดยรวมแล้ว ASEAN Briefing สรุปว่าการที่ประเทศในแถบเราๆ พึ่งการการเติบโตจากการค้าและการลงทุนของสหรัฐอเมริกาและประเทศจีนสูงมาก นโยบายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะด้านการค้า ความสัมพันธ์กับจีน ข้อกำหนดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ฯลฯ จึงล้วนกระทบต่อการเติบโตของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างแน่นอน 

หากประเทศไหนปรับตัวให้เข้ากับนโยบายใหม่ของสหรัฐฯ ได้ก็จะช่วยให้เติบโตไปพร้อมกับโลกได้อย่างรวดเร็ว 

อ้างอิง