4P+1 ของ ben mizu ร้านขายวุ้นญี่ปุ่นสุดจิ๋วโดยนักออกแบบที่เริ่มจากความอยากเล่นและอยากลอง 

ลองทายกันดูหน่อยว่าภาพต่อไปนี้เป็นภาพอะไร

ขอเฉลยว่าศิลปะกินได้ที่เห็นอยู่นี้คือวุ้นญี่ปุ่นหน้าตาดี รสชาติได้ โดยฝีมือของกราฟิกดีไซเนอร์อย่าง เบน–เบญจรัตน์ เอี่ยมรัตน์ ที่ก่อนหน้านี้เรารู้จักเธอ​ในฐานะผู้สร้างสรรค์งานกระดาษสุดเก๋

แต่เพราะเชื้อเพลิงในการทำงานของเธอมาจากความสนุกในการ ‘เล่น’ สิ่งที่เธอสนใจเพื่อหา ‘ความเป็นไปได้’ ใหม่ๆ วันดีคืนดีเราจึงได้เห็นเบนสนุกกับการเล่นเจ้าวุ้นญี่ปุ่นนี้ให้ออกมาเป็นรูปร่างต่างๆ 

“เรามองว่ามันคือเครื่องมือหนึ่งที่ทำให้เราสามารถเล่นกับเรื่องของ ‘น้ำ’ ซึ่งเป็นองค์ประกอบทางธรรมชาติที่เราสนใจได้ เพราะวุ้นมีลักษณะใส ฟอร์มตัวได้ และบอกเล่าสเตจของน้ำตั้งแต่ยังเป็นของเหลวจนกลายเป็นของแข็งได้ นั่นหมายความว่าวันหนึ่งเราอาจจะเล่นจนเข้าใกล้สเตจของน้ำที่เป็นอากาศก็ได้” เบนอธิบายอย่างนั้น และนั่นจึงเป็นที่มาของชื่อ ben mizu เพราะ mizu นั้นแปลว่าน้ำ

จากความสนใจนั้น ผสมผสานกับมุมมองการมองโลกแบบนักออกแบบ วุ้นแต่ละชิ้นของเธอจึงมีรูปทรงที่อาจแตกต่างจากวุ้นญี่ปุ่นทั่วไป แต่เป็นศิลปะกินได้ ที่ไม่เพียงดึงดูดนักชิม แต่ยังทำให้โปรเจกต์นี้กลายเป็นที่ต้องการของเจ้าของธุรกิจที่อยากสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ลูกค้า

“เราเริ่มต้นด้วยความอยากทดลองเฉยๆ มันเลยออกมาในลักษณะของการขายเป็นโปรเจกต์มากกว่าขายวุ้นเป็นชิ้นๆ ถ้าเราเริ่มโปรเจกต์นี้ด้วยความอยากจะทำธุรกิจ หรืออยากจะขายขนมให้ได้หลายๆ ชิ้นต่อวัน มันคงออกมาอีกรูปแบบหนึ่ง” 

Capital จึงอยากชวนทุกคนไปส่องวัฏจักรของศิลปะกินได้ของเบน ว่าเธอคิดเห็นกับมันยังไง และจากโปรเจกต์เล็กๆ ที่เกิดขึ้นจากแพสชั่น มันดำเนินมาเป็น tiny business ได้ยังไง

Product
Start with Curiosity

“เรื่องมันเริ่มจากเราสนใจองค์ประกอบธรรมชาติ ซึ่งมีทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ” เบนเกริ่นให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นโปรเจกต์ที่ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะกลายเป็นธุรกิจขนาดจิ๋ว

“แต่หนึ่งในองค์ประกอบทั้งสี่ เราสนใจน้ำมากที่สุด เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบของทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติ ช่วงนั้นเราอ่านหนังสือเกี่ยวกับน้ำและธรรมชาติเยอะมาก แล้วเราก็มีข้อมูล มีรูปภาพเกี่ยวกับธรรมชาติจากการทำงานให้ที่พัก PRY1 ที่เขาใหญ่ ข้อมูลมันเยอะจนรู้สึกอยากเอาไปเล่นเป็นอะไรบางอย่าง”

ช่วงที่กำลังคิดหาทางทำโปรเจกต์เกี่ยวกับน้ำอยู่นั้นเอง สายตาของเบนก็บังเอิญไปเห็นวุ้นญี่ปุ่นที่วางขายอยู่ในเวิ้งอาหารญี่ปุ่นในห้าง และเหมือนฟ้าจะจัดสรรให้เธอต้องทำโปรเจกต์เกี่ยวกับวุ้น ถัดออกไปจากร้านขายขนม สายตาของเธอก็หันไปเห็นป้ายคอร์สสอนทำขนมญี่ปุ่นซึ่งมีรายวิชาวุ้นญี่ปุ่นอยู่ด้วย

“มันอาจจะเกมพลิกก็ได้ ถ้าวันนั้นเราดันไปอยู่ในดงของเล่นพลาสติก เราอาจจะไปหล่อเรซินเพื่อดูความเป็นไปได้ของน้ำ เพราะเรซินก็มีลักษณะคล้ายน้ำเหมือนๆ กับวุ้น” เธอเล่าพลางหัวเราะ

จากการลงมือทำในคลาส เบนเริ่มศึกษาเรื่องวุ้นและขนมญี่ปุ่นประจำฤดูกาลอย่างจริงจัง เช่น ฤดูหนาว คนญี่ปุ่นมักทำขนมจากแป้งเพื่อให้ความอบอุ่น ฤดูใบไม้ผลิ ชาวอาทิตย์อุทัยมักทำขนมเป็นรูปดอกไม้ และฤดูร้อน พวกเขาก็มักจะทำวุ้นใสๆ ที่เธอสนใจเพราะให้ความรู้สึกสดชื่น ยิ่งทำให้เธอเห็นความเป็นไปได้ในการหยิบธรรมชาติมาสร้างสรรค์เป็นวุ้นรูปแบบต่างๆ 

“พอดีช่วงนั้นเป็นช่วงที่งานซีนที่จาการ์ตาชวนนักออกแบบส่งซีนไปร่วมแสดงด้วยธีมว่า ในช่วงโควิด-19 ที่คนออกไปไหนไม่ได้ ก็ยังท่องเที่ยวผ่านซีนของศิลปินได้นะ เราเลยเอาวุ้นที่ตีความจากภาพธรรมชาติที่ถ่ายไว้มาทำเป็นซีน 

“กลายเป็นว่าทั้งคนทำขนม ช่างภาพ คนทั่วไป และคนทำงานดีไซน์สนใจงานของเรามาก ตอนนั้นแหละที่เริ่มคิดว่าหรือมันจะพัฒนาไปเป็น tiny business ได้”

Story-Based Design 

ร้านวุ้นของเบนเป็นร้านเล็กๆ ที่ประกอบด้วยวุ้นรูปร่างหลายแบบ แต่ถ้าสรุปเมนูให้เข้าใจโดยง่าย หลักๆ แล้วร้านวุ้นญี่ปุ่นของกราฟิกดีไซเนอร์เบน ทำขึ้นจากสาหร่ายแดงหรือ agar แบ่งออกเป็น 3 แบบ ทั้งวุ้นใส (Warabi Raindrop), วุ้นเนื้อถั่วบด (Yōkan) และวุ้นกรอบ (Kohakutou) วุ้นแต่ละชนิดมีรสชาติที่แตกต่างกันตามวัตถุดิบที่เบนเลือกสรรและหาได้ไม่ยากในไทย เช่น น้ำผึ้ง แอปเปิล มินต์ ยูซุ และชาอัญชัน ฯลฯ

แต่นอกจากรสชาติที่ต้องใส่ใจ อีกสิ่งที่ยากไม่น้อยคือการฟอร์มวุ้นให้ออกมาตามที่เบนคิดฝัน เพราะวุ้นของเบนไม่ใช่วุ้นธรรมดา แต่เป็นวุ้นที่เธอต้องการเล่าเรื่องของธรรมชาติ คล้ายเวลานักเรียนประถมได้โจทย์จากคุณครูให้ ‘เล่าเรื่องจากภาพ’

อย่างวุ้นใสในภาพด้านล่างนี้ เบนตั้งใจเล่าสเตจของน้ำ ทั้งน้ำที่เป็นของเหลว น้ำที่เป็นฟองคลื่น ไปจนถึงวุ้นสีเหลืองทองที่ชวนให้นึกถึงภาพของใบไม้แก่ที่ร่วงโรยลงสระ 

วุ้นถั่วที่นำเสนอภาพของภูเขาในฤดูร้อน วุ้นทรงกลมสีเขียวคล้ายสาหร่ายมาริโมะที่ทำจากยูซุ ช็อกโกแลตขาว ถั่วขาว และมัตฉะ

วุ้นกรอบที่สีแดงตัดสลับสีใสสื่อถึงจิตวิญญาณ หรือกระทั่งวุ้นกรอบสีเหลืองกลมๆ รสน้ำผึ้ง จะสื่อถึงดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ก็แล้วแต่จะตีความ

เรื่องราวจากภาพเหล่านี้ยังซ่อนไอเดียการออกแบบของเบนไว้อีกขั้น คือการออกแบบทั้งรสชาติและรูปทรงให้มีความกลางๆ ซึ่งมาจาก kiki คำที่สื่อถึงความแหลมคมและ bouba คำที่สื่อถึงความนุ่มมน ถือเป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนความสัมพันธ์ทางจิตใจระหว่างเสียงพูดและรูปร่างที่มองเห็น ซึ่งมักถูกนำมาใช้ในวงการกราฟิกและการออกแบบ 

“เหมือนมันเป็นความสมดุลบางอย่างที่ทำให้เรากินข้าวหมด อย่างชิ้นนี้เกิดจากภาพจริงของภูเขาหน้าร้อนแล้วแปลงมาเป็นวุ้น เราคิดว่าภูเขาหน้าร้อนต้องเป็นสีเขียว เราก็ใช้มัตฉะที่ขมๆ หน่อย แต่เราคิดว่ามันต้องมีความเฟรชของหน้าร้อนด้วย เลยใช้ไซรัปมะพร้าวมาทำเป็นฐานสีเหลืองเข้ามาตัด” เบนอธิบายอย่างนั้น 

Price

จากที่ไม่คิดว่าจะมีใครเข้าใจโปรเจกต์เล็กๆ ที่ทำขึ้นจากความอยากเล่นกับข้อมูล กลายเป็นว่าเมื่อเบนเริ่มโพสต์ภาพศิลปะกินได้ของเธอ สลับไปกับภาพถ่ายธรรมชาติที่เลือกสรรมาลงในอินสตาแกรม ผู้ติดตามของเธอก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น กล่องข้อความของเธอก็เริ่มแจ้งเตือนว่ามีคนอยากให้เธอทำกิจกรรมสนุกๆ มากมาย

“ส่วนใหญ่คนที่เข้ามาจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีธุรกิจเดิมอยู่แล้ว แต่เขาอยากหาประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ลูกค้าของเขา อย่างลูกค้าคนนึง เขามีบาร์อยู่แล้วก็อยากจะเอาขนมของเราไปจับคู่กับเครื่องดื่ม เราก็ให้บาร์เทนเดอร์ของเขาลองคิดคอนเซปต์แล้วบอกเรามาว่าเครื่องดื่มที่ว่าจะเข้ากับรสชาติแบบไหน

“หรืออย่างงานแรกที่เราคอลแล็บกับ FabCafe เราก็ได้ทำวุ้นที่นำเสนอรสชาติของบางรัก รวมถึงทำซีน และ AR ขึ้นมา และเร็วๆ นี้เราก็จะจัดเวิร์กช็อปร่วมกับ Haptic Editions สตูดิโอภาพพิมพ์ริโซ่ที่จะชวนคนมาเปลี่ยนภาพริโซ่เป็นแพ็กเกจจิ้งวุ้นที่เราทำ เพื่อให้คนเห็นว่างานพิมพ์มันไม่จำเป็นต้องเป็นการ์ดอวยพรอย่างเดียวเท่านั้น แถมยังได้วุ้นไปทาน และได้ออกแบบรสชาติน้ำแข็งไสที่มีวุ้นอยู่ในนั้นด้วย”

ลูกค้าส่วนใหญ่ของเบนจึงไม่ใช่ ‘คน’ ที่อยากจะกินวุ้นญี่ปุ่นคู่กับชาในยามบ่ายวันอาทิตย์ แต่เป็น ‘ธุรกิจ’ ที่ต้องการสร้างประสบการณ์และความเป็นไปได้ให้สินค้าของตัวเอง price และ promotion ของเบนจึงคือราคาแบบการทำโปรเจกต์นั่นเอง

“แต่ลูกค้าทั่วๆ ไปที่อยากได้วุ้นไปเป็นของขวัญก็มีนะ แต่เขาก็ไม่ได้ต้องการวุ้นอะไรก็ได้ เขาต้องการวุ้นที่แตกต่างและมีเรื่องราว อย่างลูกค้าคนนึงก็ออกแบบคอนเซปต์มาให้เลยว่าอยากจะได้วุ้นแบบไหนบ้าง สรุปก็ออกมาเป็นวุ้น 3 แบบที่สื่อถึง soul, body และ mind รวมๆ แล้วก็คือเรื่องราวของ life หรือชีวิต” 

รูปแบบการขายนี้ เบนบอกว่าเริ่มต้นที่ราคา 550 บาท แต่ถ้าลูกค้าต้องการรูปทรงหรือรสชาติอื่นๆ ที่เธอไม่เคยลองและไม่มีแม่พิมพ์ จำเป็นต้องบวกเพิ่มไปอีก และการขายวุ้นในลักษณะนี้นี่แหละที่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เธอหัดทำวุ้นกรอบขึ้นมาเพราะเป็นวุ้นที่ง่ายต่อการขนส่งมากที่สุด  

“ที่จริงยังมีลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาเพราะชอบการคิวเรตและการจัดเรียงภาพของเรา จนเราได้มีโอกาสไปออกแบบภาพรวมเว็บไซต์และภาพรวมแบรนด์หลายครั้ง เราเลยคิดว่า ben mizu เป็นเหมือนเครื่องมือที่ทำให้ผลงานของเราที่แต่เดิมไม่ใช่สายแมสสามารถเข้าถึงผู้คนและกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น” เธอเล่า

Place and Promotion

“เราชอบอินสตาแกรมมากเลย” เบนตอบทันทีเมื่อเราถามถึงช่องทางการลงผลงาน

“มันมีอะไรให้เราเล่นเยอะมากและมันเหมือนแกลเลอรีที่เราสามารถเล่าเรื่องผ่านภาพแบบไหนก็ได้ ยิ่งมีฟีเจอร์ไกด์ เราก็สามารถเขียนกลอนประกอบภาพและผลงานของเราได้และเขียนอธิบายวิธีสั่งได้” เธอหมายถึงฟังก์ชั่นที่มีไอคอนคล้ายหนังสือในอินสตาแกรม ben_mizu.confectionery

และเพราะ place ของเธอคืออินสตาแกรม โปรโมชั่นหรือการส่งเสริมการขายของเธอจึงไม่ได้ออกมาในรูปแบบของการลดแลกแจกแถม แต่คือการส่งเสริมการขายด้วยการนำเสนอคอนเทนต์หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความเป็นไปได้ในการสร้างสรรค์วุ้นญี่ปุ่น วิธีการสั่งวุ้นที่ต้องพรีออร์เดอร์ วิธีการเก็บรักษา และวิธีการจับคู่วุ้นรสหวานกับวัตถุดิบอาหารในเมนูต่างๆ เช่น ทานกับกาแฟ ไอศครีม น้ำแข็งไส แม้กระทั่งสลัดผลไม้! 

“มันไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นธุรกิจตั้งแต่แรก เราเลยไม่ได้มองว่าเราต้องไปออกบูทเพื่อขายขนม ต้องขายขนมได้กี่ชิ้นต่อวัน เราคิดว่าคุณค่าของวุ้นที่เราทำมันคือการสร้างประสบการณ์มากกว่า 

“แต่เมื่อเริ่มมีลูกค้า เราก็ต้องปรับและเพิ่มวิธีการนำเสนอเพื่อให้คนเข้าใจว่าเราขายอะไรเหมือนกัน ”

Play and Posibility

“ดีไซเนอร์มีหลายแบบนะ”​ เบนเกริ่นเมื่อเราถามว่าทำไมเธอพูดคำว่า ‘play’ หรือการเล่นบ่อยขนาดนี้ 

“เราเป็นดีไซเนอร์ประเภทที่อยากจะเริ่มต้นโปรเจกต์จากความรู้สึกว่าฉันอยากเล่นสนุกกับสิ่งนี้ เพราะการเล่นมันทำให้เกิด possibility หรือความเป็นไปได้ทางการออกแบบที่หลากหลาย” 

เบนยกตัวอย่างสินค้าของ Apple โดยเฉพาะตัว Vision Pro สินค้า AR ที่ออกมาล่าสุด เธอมองว่า Apple กำลังเล่นและทำสิ่งที่ทุกคนบนโลกอาจจะไม่ถูกใจ แต่สินค้าชิ้นนั้นกลับทำให้คนเห็นว่าเทคโนโลยีนี้สามารถทำอะไรได้บ้าง และทำให้บางคนเห็นความเป็นไปได้และความสามารถของ Apple ในการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ

“ในฐานะดีไซเนอร์ เราว่าคำว่า play กับ possibility มันทำให้คนเห็นว่าเราสามารถทำงานได้หลากหลาย และนั่นอาจเป็นการเปิดประตูงานใหม่ๆ ให้เราก็ได้

“กลับมาที่การทำธุรกิจเล็กๆ ของเราตรงนี้ การเล่นเพื่อหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ ของเราอาจไม่ได้มีลูกค้ากลุ่มใหญ่มารองรับหรอก แต่พอเราสร้างความเป็นไปได้ที่หลากหลายมันก็จะสามารถจับคนบางกลุ่มที่อาจจะ niche ก็จริง แต่เขามีอยู่ และเมื่อเราเจอเขาแล้วเราก็ต้องจับความต้องการของเขาและตอบโจทย์เขาให้ได้”

แม้เบนจะเน้นย้ำว่านี่คือโปรเจกต์ที่เกิดจากแพสชั่นและความสนใจส่วนตัว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้ ben mizu กำลังกลายเป็น tiny business ที่สร้างรายได้และสร้างภาพลักษณ์ของนักออกแบบให้เธอไม่น้อย 

“ถ้ามันเวิร์ก เราก็หวังว่ามันจะสามารถต่อยอดให้เป็นมากกว่าอาหารหรือขนม แต่เป็นช่องทางหนึ่งให้คนรู้จักเรา และเป็นอีกประตูหนึ่งที่ทำให้เราได้สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ” กราฟิกดีไซเนอร์ที่ใช้เวลาว่างมาทำขนมกล่าวทิ้งท้าย

What I’ve Learned
1. เริ่มจากสิ่งที่ชอบ เริ่มจากสิ่งที่สนใจ เพราะถ้าฝืนทำมันอาจไม่เวิร์ก
2. ไม่จำเป็นต้องฝันใหญ่หรือมองที่ผลลัพธ์อย่างเดียว ให้เริ่มทำจากสิ่งเล็กๆ และลองทำไปเรื่อยๆ สุดท้ายกระบวนการตรงนี้อาจทำให้เห็นความเป็นไปได้ในธุรกิจหรือชีวิตก็ได้ 
3. ถ้าเราเป็นคนแบบไหน ลูกค้าหรือคนที่เข้ามาหาเราก็จะเป็นคนแบบนั้น เช่น เราเป็นคนละเอียด ลูกค้าที่เข้ามาหาเราก็เป็นคนละเอียดเหมือนกัน เมื่อเราเห็นว่ามีลูกค้าแล้ว เราก็ต้องเอาความเหมือนหรือความเข้าใจตรงนั้นออกแบบบางอย่างเพื่อตอบโจทย์สิ่งที่ลูกค้าต้องการ 
ข้อมูลติดต่อ
Instagram : @ben_mizu.confectionery
Email : 𝗺𝘆𝗻𝗮𝗺𝗲𝗶𝘀𝗯𝗲𝗻𝗷𝗮𝗿𝗮𝘁@𝗴𝗺𝗮𝗶𝗹.𝗰𝗼𝗺

MR. D.I.Y. ร้านจิปาถะสัญชาติมาเลเซีย กับการขายแบบ Always Low Prices ที่ทั้งถูกและมีคุณภาพ 

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เชนค้าปลีกจากต่างประเทศจะเข้ามาทำตลาดในไทยและเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

และ MR.D.I.Y. แบรนด์ค้าปลีกสินค้าตกแต่งและซ่อมแซมบ้านรายใหญ่จากมาเลเซีย คือหนึ่งในแบรนด์ที่เข้าข่าย

ส่วนพวกเขาโตเร็วขนาดไหนน่ะเหรอ–ก็ขยายปีละเกือบ 100 สาขา หรือเกินร้อยสาขา

MR.D.I.Y. เข้ามาทำการตลาดในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี 2016 มีสาขาแรกอยู่ที่ซีคอน บางแค ก่อนที่จะขยายสาขาอย่างรวดเร็วจนตอนนี้มีเกือบ 640 สาขา

อะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จของ MR.D.I.Y. กับการปลุกปั้นแบรนด์ร้านค้าปลีกสินค้าตกแต่งและซ่อมแซมบ้านในไทย และเป้าหมายของขวบปีที่ 7 ของ MR.D.I.Y. ที่ต้องการขยายสาขาในปีนี้ถึง 170 สาขา และจะทำให้ปลายปีนี้ MR.D.I.Y. มีสาขามากถึง 700 สาขา

อานุภาพ คงมาลัย รองประธานบริหารฝ่ายการตลาด มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ประเทศไทย คนที่จะให้คำตอบกับเรามาอยู่ตรงหน้าแล้ว

เริ่มต้นจาก pain point

แม้โลโก้ของร้าน MR.D.I.Y. จะเป็นรูปค้อน ที่สื่อสารอย่างตรงไปตรงมาว่าคือร้านขายอุปกรณ์ตกแต่งและซ่อมแซม แต่จริงๆ แล้ว MR.D.I.Y. ขายของมากกว่านั้น ในร้านสีเหลืองๆ แห่งนี้มีสินค้าให้เลือกมากกว่า 15,000 รายการ 

ก่อนที่จะมีสินค้าและสาขามากมายขนาดนี้ และทำไมถึงมีโลโก้เป็นรูปค้อน เราเล่าให้ฟังแบบฉบับเข้าใจง่ายๆ คงต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น Day 1 ของ MR.D.I.Y. ที่ Tan Yu Yeh  ที่เป็นผู้ก่อตั้งได้ไอเดียมาจาก pain point ในการซื้อของตกแต่งซ่อมแซมบ้านของคนมาเลเซีย ที่ต้องตระเวนซื้อของจากหลายร้าน หลายแห่ง กว่าจะซื้อของครบ กว่าจะได้ซ่อมแซมก็ใช้เวลานานพอดู และน่าจะดีกว่าที่ในมาเลเซียจะมีร้านขายของอุปกรณ์ตกแต่ง ซ่อมแซมบ้านที่รวมของไว้อย่างครบครัน 

ปี 2005 เขาจึงเปิดร้านเล็กๆ ขึ้นสาขาแรกที่กัวลาลัมเปอร์ ช่วงแรกเขาขายแต่สินค้ากลุ่มฮาร์ดแวร์ เมื่อผลตอบรับออกมาดีเขาก็ค่อยๆ ขยายไลน์สินค้าในร้านให้มีมากขึ้น พร้อมทั้งขยายกิจการอย่างรวดเร็ว จนปัจจุบันเป็นร้านค้าขายอุปกรณ์แต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดในประเทศมาเลเซีย

ไทยบ้านเราคือประเทศแรกที่ MR.D.I.Y. เลือกมาขยายสาขานอกประเทศ หลายคนคงเกิดคำถามว่าอะไรคือเหตุผล  

อานุภาพค่อยๆ คลายข้อสงสัยให้เราฟังว่า “ใน 10 ประเทศที่ MR.D.I.Y. ไปทำตลาดนั้น ไทยเป็นประเทศที่ทำรายได้เป็นอันดับ 2 รองจากมาเลเซียที่เป็นประเทศบ้านเกิดเลยนะ มองลึกลงไปในความเป็นไปได้แรกๆ คือเรื่องของจำนวนประชากรที่ไทยมีมากกว่า รวมถึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพ ประกอบกับร้านที่มีสินค้าตอบโจทย์ที่หลากหลาย โดยหลักการแล้วโอกาสและการขยายสาขาย่อมมีมากกว่า

“คาแร็กเตอร์ของคนมาเลเซียและคนไทยค่อนข้างเหมือนกัน จะต่างกันแค่ช่วง seasonality ที่เวลาคิดแคมเปญ หรือจัดดิสเพลย์หน้าร้านความต้องการสินค้าก็จะต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่นช่วงเดือนมีนาฯ เมษาฯ ที่ผ่านมาไทยเป็นช่วงซัมเมอร์ หน้าร้านก็จะมีสินค้าเกี่ยวกับซัมเมอร์มาวางให้เห็นให้เลือกซื้อ ขณะที่มาเลเซียอยู่ในช่วงรอมฎอน ความต้องการสินค้าก็จะเริ่มต่างกันแล้ว หลังหกโมงคนมาเลเซียถึงจะมานั่งทำอาหาร กินข้าวกัน สินค้าที่หน้าสาขาที่มาเลเซียก็จะเน้นไปที่พวก cooking ware เสียส่วนใหญ่”

คุ้ม ถูก และช้อปได้ทุกวัน 

‘Always Low prices’ คือมอตโต้ แท็กไลน์ ที่ MR.D.I.Y. ใช้ เราว่าคำนี้ไม่เกินจริง เพราะถ้าใครเคยไปเดินในร้านนอกจากจะมีสินค้าจัดเรียงรายอยู่บนเชลฟ์แล้ว ราคาสินค้าของที่ร้านค่อนข้างจับต้องได้ชนิดที่ว่าแม้จะลิสต์รายการที่อยากจะมาซื้อแล้ว แต่พอมาถึงหน้าเคาน์เตอร์เตรียมที่จะจ่ายเงิน ของอย่างอื่นที่นอกเหนือจากที่ลิสต์ไว้ก็เต็มตะกร้าเสียแล้ว  

ร้าน MR.D.I.Y. มีสินค้าให้เลือกมากกว่า 15,000 รายการ แบ่งออกเป็น 10 กลุ่ม ประกอบด้วย ฮาร์ดแวร์, ของใช้ในครัวเรือน, อุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า, อุปกรณ์เสริมในรถยนต์, อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน, เครื่องเขียนและอุปกรณ์กีฬา, ของเล่น, ของขวัญ, คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์มือถือ ไปจนถึงเครื่องประดับและเครื่องสำอาง

“ถ้าเดินเข้าร้านไป สิ่งแรกที่จะเจอคือสินค้าตามเทศกาล สินค้าราคาพิเศษจะอยู่ด้านหน้าสุด ถัดจากนั้นเมื่อเดินเข้ามาในร้าน ทุกๆ หัวเชลฟ์จะเจอสินค้าที่เป็นแบรนด์  MR.D.I.Y. ซึ่งเป็นสินค้าเฮาส์แบรนด์วางอยู่เป็นชอยส์ก่อนสินค้าแบรนด์อื่นๆ เราชูเรื่องราคาและคุณภาพให้ได้เห็นก่อน”

5 กลุ่มสินค้าที่ขายดีของร้านคือ ของใช้ในครัวเรือน, ฮาร์ดแวร์,  อุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า, เครื่องเขียน และอุปกรณ์กีฬา          

เพราะสินค้าราคาถูกและมีคุณภาพ ราคาเริ่มต้นหลักหน่วยไปจนถึงหลักพันบาท ด้วยราคาและของที่หลากหลายนี้เองเป็นตัวกระตุ้นให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

“MR.D.I.Y. เปิดมา 7 ปี พฤติกรรมและความต้องการผู้บริโภคเปลี่ยนไปตามกระแสสังคม และสภาพเศรษฐกิจ อย่างตอนนี้ทุกคนกำลังมองหา value of money  เงิน 500 บาท หากซื้อที่อื่นอาจจะได้ไม่กี่ชิ้น แต่มาซื้อที่ร้านเราได้สินค้าหลายชิ้น”

ท้าทายและยังต้องสื่อสารแบรนดิ้ง

ในมุมของอานุภาพความท้าทายในธุรกิจค้าปลีกขายสินค้าจิปาถะจากปัจจัยภายนอกนั้นแทบไม่มี เขาบอกกับเราในช่วงสนทนาว่าสิ่งที่ท้าทายเขาและ MR.D.I.Y. คือเป้าที่จะขยายสาขาจำนวน 170 สาขาในปีนี้ต่างหาก  ซึ่งถ้าเฉลี่ยเท่ากับว่าทุกๆ 2 วันจะมีร้านเกิดขึ้นใหม่ 1 สาขาเลยทีเดียว

และอีกเรื่องคือการสื่อสารเรื่องแบรนดิ้ง เพราะเอาเข้าจริงหลายคนก็อาจจะติดภาพจำว่าร้านจากต่างประเทศสินค้าต้องราคาแพง และหลายคนก็อาจยังไม่รู้และไม่เคยลองเข้าร้านเลยสักครั้ง

“perception ของลูกค้ามีแน่นอน บางคนอาจจะยังไม่รู้จัก หรือบางคนอาจจะรู้จักแล้ว ว่าเออร้านสีเหลืองมีโลโก้เป็นค้อน สิ่งที่เราทำจึงต้องสื่อสารออกไป เราทำ communication campaign ดึงตั๊ก บริบูรณ์ มาเป็นพรีเซนเตอร์ ทำแคมเปญผ่าน 5 สถานการณ์ต่างๆ จำลองเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน เพื่อสื่อให้เห็นความหลากหลาย และเพื่อ remind ลูกค้าเก่าที่รู้อยู่แล้วว่า MR.D.I.Y. มีสินค้าหลากหลาย แต่อาจยังไม่รู้ว่ามีสินค้าชนิดนี้ด้วย

“ถ้าเปรียบเทียบ category สินค้าของ MR.D.I.Y. เป็นไอซ์เบิร์ก คนที่ไม่รู้จักเรา อาจมองเห็นเราแค่ด้านบน คิดว่าเราขายแค่ฮาร์ดแวร์เท่านั้น แต่จริงๆ เรามีสินค้าเยอะแยะไปหมด”

Go online 

ขวบปีที่ 7 ของ MR.D.I.Y. ในประเทศไทยเราเห็นการขยายตัวจากออฟไลน์ไปเป็นออนไลน์ ทำธุรกิจแบบ omnichannel ของ MR.D.I.Y. นั่นคือการขยายช่องทางการขายบน e-Commerce อย่าง Shopee และเปิดเว็บไซต์ของตัวเองที่ชื่อ www.mrdiy.co.th  โดยประเทศไทยนับเป็นประเทศที่ 2 ในการขยายไปสู่ธุรกิจออนไลน์ ต่อจากมาเลเซียที่ทำมาก่อนหน้าได้ 3 ปีแล้ว

“เราเห็นโอกาสเติบโตของช่องทางออนไลน์โดยเฉพาะตลาดค้าปลีกสินค้าสำหรับตกแต่งและซ่อมแซมบ้านที่มีความต้องการเพิ่มมากขึ้น

“แท็กติกในการรุกออนไลน์ในครั้งนี้ MR.D.I.Y. ไม่ได้นำเอาสินค้าทั้งหมดกว่า 15,000 รายการขายบนออนไลน์ทั้งหมด แต่จะคัดเลือกสินค้าขายดีรวมๆ แล้วตอนนี้กว่า 600 รายการ มาขายบนออนไลน์ แม้จะมีจำนวนน้อยแต่ในออนไลน์จะมีสินค้าแบบขายส่งที่เป็นเอกซ์คลูซีฟด้วย ที่ยิ่งซื้อมากก็จะยิ่งราคาถูกลง แต่ละทาร์เก็ตก็จะมีแท็กติกในการขายต่างกัน”

3 key success สูตรสำเร็จของ MR.D.I.Y.

ขวบปีแรกของการมาทำสาขาของ MR.D.I.Y. ในไทยความท้าทายคือการเซตอัพธุรกิจ ส่วนขวบปีถัดๆ ไปคือการเร่งขยายสาขาเพื่อการเติบโต และทำธุรกิจแบบบริหารเองไม่ขายแฟรนไชส์

ปี 2019 MR.D.I.Y.  มีจำนวน 205 สาขา

ปี 2020 MR.D.I.Y.  มีจำนวน 278 สาขา

ปี 2021 MR.D.I.Y.  มีจำนวน 399 สาขา

ปี 2022 MR.D.I.Y.  มีจำนวน 557 สาขา

ส่วนปี 2023 ณ ตอนนี้ MR.D.I.Y. มีเกือบ 640 สาขาเข้าไปแล้ว

“จะเห็นว่าเราขยายสาขาค่อนข้างรวดเร็ว เพราะเราเห็นโพเทนเชียล เราเป็นร้านขายสินค้าที่ใช้ได้กับทุกคนในครอบครัว ด้วย business model แล้ว การจะทำให้ธุรกิจเติบโตนั่นคือ การเน้นการกระจายสาขาให้ไปทั่วถึง ทุกจังหวัด ทุกเขตเมือง ให้สาขาของ MR.D.I.Y. เข้าไปถึงลูกค้าได้มากที่สุด” 

เมื่อเราถามว่าแล้วอะไรคือ key success ที่ทำให้ MR.D.I.Y. แบรนด์ต่างชาติยืนระยะอยู่ได้นานและเป็นเบอร์ต้นๆ ได้ขนาดนี้ 

อานุภาพนิ่งคิดก่อนบอกกับเราว่าเคล็ดลับความสำเร็จของ MR.D.I.Y. มีด้วยกัน 3 เรื่องหลัก

Product–ความหลากหลายของสินค้าที่มีมากเป็นหมื่นๆ รายการ มีสินค้าตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงกลุ่มสูงวัยที่ลูกค้าสามารถมาช้อปได้ทุกวัน ตามแคมเปญที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

Price–เรื่องราคาเป็นสิ่งที่ MR.D.I.Y. ได้เปรียบกว่าคนอื่น ที่เป็นไปตามกลไกของ economies of scale ที่ยิ่งสั่งสินค้ามากก็จะได้ราคาถูก ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมสินค้าของ MR.D.I.Y. มีราคาถูกกว่าแบรนด์อื่นๆ

“MR.D.I.Y. ทำสินค้าสำหรับ 10 ประเทศ มีร้านค้ากว่า 2,700 สาขา พอทำทั้งหมดนี้ทำให้ได้ราคาถูกลง พอเราเอามาขาย เราก็สามารถขายสินค้าในราคาที่ถูกได้ รวมถึงการ sourcing โลจิสติกส์ต่างๆ MR.D.I.Y. ทำเองทั้งหมด เลยสามารถควบคุมต้นทุนได้ดี เป็นราคาที่แบบ Always Low Prices และยังมีเฮาส์แบรนด์ที่ราคาถูกมากๆ”

Convenience–ความสะดวกสบายในที่นี้คือเรื่องของโลเคชั่นที่  MR.D.I.Y. ต้องการเข้าถึงลูกค้าและใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น โมเดลทิศทางการขยายสาขาของร้านจึงไปตามห้างสรรพสินค้า คอมมิวนิตี้มอลล์และร้านสแตนด์อโลน

“นอกจากร้านแบบสแตนด์อโลนแล้ว MR.D.I.Y. ยังมีโมเดลที่เรียกว่า MR.D.I.Y. Express ที่เป็นร้านไซส์ขนาดเล็กไปตามชุมชน พื้นที่ต่ำกว่า 300 ตร.ม.ในร้านจะเน้นขายสินค้าเป็น Best Seller ซึ่งการเลือกโลเคชั่นพิจารณาจากจำนวนประชากรในพื้นที่ และการลงไปดูพื้นที่จริงว่าทราฟฟิกของแต่ละพื้นที่ที่จะไปเป็นแบบไหน

“ที่สำคัญคือ business model ของร้านคือไม่ทำแฟรนไชส์ เพราะอยากให้การบริหารจัดการง่ายที่สุด เลยทำเองขยายเองลงทุนเอง โครงสร้างในการทำร้าน เมื่อตัด operating cost ตรงกลางออกมันทำให้เรามีต้นทุนที่ไม่สูงมาก ตามความเชื่อในการทำธุรกิจของเรา คือทำต้นทุนที่ถูกที่สุด เพื่อให้ลูกค้าได้สินค้าที่ถูกที่สุด”

ทุกช่วงของบนสนทนาอานุภาพมักจะเน้นย้ำเสมอถึงเรื่องของความหลากหลาย ราคาถูก และมีคุณภาพ ที่อธิบายดีเอ็นเอของ MR.D.I.Y. ได้อย่างชัดเจน

สินเชื่อเคหะ ‘บ้านหลังแรก’ สานฝันผู้อยากมีบ้านหลังแรกเป็นตัวเองด้วยเงื่อนไขพิเศษจากธนาคารออมสิน

หนึ่งในความฝันของคนทุกยุคทุกสมัยคือการมีบ้านเป็นของตัวเอง

แต่ในยุคนี้การจะซื้อบ้านสักหลังไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่สูงขึ้นจนมีผลสำรวจมากมายที่ออกมายืนยันว่าโอกาสในการมีบ้านของคนยุคนี้นั้นยากกว่าคนยุคก่อน

แต่ยากก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ เมื่อในโลกปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อมากมายที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความฝันของคนหลากหลายกลุ่ม และธนาคารออมสินที่คอยสนับสนุนและออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของทุกคนก็มีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์คนอยากมีบ้านโดยเฉพาะ 

นั่นคือ สินเชื่อเคหะ บ้านหลังแรก

สินเชื่อเคหะนี้ป็นสินเชื่อที่ออกแบบสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยเริ่มทำงานหรือครอบครัวที่เริ่มต้นอยากมีบ้านหลังแรกเป็นตัวเอง ด้วยเงื่อนไขพิเศษ ที่ให้ผ่อนต่ำ และฟรีค่าจัดทำนิติกรรมสัญญา ค่าบริการสินเชื่อ และสนับสนุนค่าจดจำนอง*

โดยจุดเด่นอันเป็นไฮไลต์ของสินเชื่อนี้คือ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.990% ต่อปี ในช่วง 3 ปีแรก และผ่อนต่ำล้านละ 4,000 บาท/เดือน ในช่วง 3 ปีแรกเช่นกัน รวมถึงฟรีค่าจัดทำนิติกรรมสัญญาและค่าบริการสินเชื่อ

โดยคุณสมบัติของผู้กู้คือขอเพียงเป็นบุคคลที่มีอาชีพและรายได้แน่นอน หากเป็นผู้มีรายได้ประจำ อายุผู้กู้กับระยะเวลาชำระคืนเงินกู้รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 70 ปี 

กรณีกู้ร่วมกับบุคคลอื่น ถ้ากู้ร่วมกับบุคคลอื่นที่มีความสัมพันธ์เป็นคู่สมรส บุตร บิดา มารดา หรือพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องถือกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกันทุกคนก็ได้ แต่ถ้ากู้ร่วมกับบุคคลอื่นที่นอกเหนือจากนั้นต้องถือกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกันทุกคน

สำหรับใครที่สนใจสามารถสมัครใช้บริการสินเชื่อและอ่านรายละเอียดได้ที่ bit.ly/45sdL0g หรือที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม 2566 

หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อที่ธนาคารออมสินทุกสาขา หรือ GSB Contact Center 1115 และติดตามข้อมูลข่าวสารอื่นๆ ได้ที่ www.gsb.or.th หรือเพจเฟซบุ๊ก GSBSociety

คุยกับ ‘โอ้กะจู๋’ จากแปลงผักในเชียงใหม่ขนาด 180 ตร.ม. สู่ 380 ไร่ และขยายสาขาสู่กรุงเทพฯ

เป็นเพื่อนกันอย่าทำธุรกิจด้วยกัน

เรามักได้ยินประโยคนี้ที่ใครต่อใครชอบพร่ำบอกกันเสมอ

ฟังดูเหมือนย้อนแย้ง เป็นเพื่อนกัน รักใคร่ชอบพอสนิทสนมกัน แล้วทำไมจึงไม่ควรทำธุรกิจด้วยกัน แต่หากคุณเคยมีประสบการณ์การมองเห็นเพื่อนคู่หูหลายคู่หลายคนที่ทำธุรกิจแล้วเกิดแตกคอกันไปคนละทิศคนละทาง บางคนถึงขั้นไม่มองหน้า บางคนถึงขั้นเลิกคบหา หลังร่วมตัดสินใจลงขันเปิดกิจการบางอย่าง คุณคงจะเข้าใจประโยคดังว่าเป็นอย่างดี

จึงดูเหมือนจะเป็นไบเบิลของเพื่อนรักส่วนใหญ่ว่า หากรักใครอย่าชวนกันทำธุรกิจ 

แต่ประโยคดังว่าดูเหมือนจะใช้ไม่ได้กับสองหนุ่ม อู๋–ชลากร เอกชัยพัฒนกุล และโจ้–จิรายุทธ ภูวพูนผล เจ้าของร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ‘โอ้กะจู๋’ ที่นอกจากมาทำธุรกิจด้วยกันแล้วไม่แตกคอกัน ยิ่งไปกว่านั้นธุรกิจของทั้งคู่ยังไปได้ดีจนน่าชื่นใจ

ภาพคิวแถวต่อยาวเรียงรายจากหน้าร้าน โอ้กะจู๋ เป็นภาพที่ทุกคนน่าจะได้เห็นกันจนชินตา จากการปลูกผักเพราะรักแม่ในโรงเรือนขนาด 180 ตารางเมตรขยายสู่แปลงปลูกผัก 380 ไร่ เพื่อใช้เสิร์ฟผักออร์แกนิกให้ลูกค้าในร้านโอ้กะจู๋ทุกสาขา

หลายคราวเรายังแอบปลื้มใจแทนสองหนุ่มที่เห็นกิจการไปได้ดี แถมยังคิดดีใจที่ได้เห็นภาพคนไทยมารอต่อแถวเพื่อกินร้านอาหารของพวกเขา ร้านอาหารที่ทราบกันดีในกิตติศัพท์ว่า ผักสลัดเป็นผักออร์แกนิกที่ปลูกเองและอาหารน่าจะเกือบทุกเมนูของร้านนี้จะต้องมีสลัดเป็นเครื่องเคียงและส่วนประกอบมาในจาน

ทั้งการตั้งชื่อร้านที่น่าสนใจในอารมณ์ขันด้วยการผวนคำจากชื่อเล่นของทั้งสอง เรื่องราวการทำธุรกิจอาหารจากสาขาแรกที่เชียงใหม่สู่การขยายสาขามายังกรุงเทพฯ ชีวิตของการเป็นเกษตรกรที่เรียนการเกษตรมาและพัฒนาสวนผักของตนเอง ไปจนถึงมิตรภาพที่เขาทั้งสองต่างพูดกันเป็นทำนองเดียวกันว่า ชาติหน้าก็อยากเกิดมาเป็นเพื่อนกันอีก

บทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างเรากับ ‘อู๋กะโจ้’ ต่อจากนี้ นอกจากเรื่องความความสดใหม่ในการทำธุรกิจปลูกผัก เรื่องความจริงใจและมิตรภาพของทั้งคู่ ดูไปก็ออร์แกนิกเหมือนผักที่เขาปลูกจริงๆ

ถ้าชวนย้อนมองกลับไปในวันแรก อะไรเป็นต้นทุนที่สำคัญที่นำพาคุณมาถึงตรงนี้ได้

อู๋ : ถ้าถามผม ผมว่ามันประกอบไปด้วยหลายๆ อย่าง ด้วยจังหวะชีวิตที่ทำให้เราได้มาเจอกัน ทำให้เราได้เป็นเพื่อนกัน แล้วเราก็ได้เริ่มทำอะไรเล็กๆ ด้วยกัน อันนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่เข้มแข็งและทำให้เรามาถึงทุกวันนี้

โจ้ : นอกจากที่อู๋บอกไป ผมคิดว่าอาจจะมีเพิ่มเติมนิดนึง คือครอบครัวของเราทั้งสองคน คือเราทั้งสองได้โอกาสจากครอบครัวของพวกเรา เพราะต้องยอมรับว่างานที่เราทำอยู่มันอาจจะเป็นงานที่ครอบครัวเขาก็อาจจะเป็นห่วง มาทำงานด้านการเกษตร มาปลูกผักขายอย่างนี้ มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่พ่อแม่หลายๆ คนเขาอยากจะให้ลูกเป็น แต่เขาก็ให้โอกาสเราได้ทดลองทำในสิ่งที่เราฝันไว้

รู้มาว่าคุณโตมากับครอบครัวเกษตรกร

อู๋ : โดยพื้นฐานแล้วก็ใช่ อย่างที่บ้านผม ตั้งแต่สมัยอากง อาม่า ก็จะดองผัก ดองอะไรขายที่ตลาด

โจ้ : ผมนี่เด็กบ้านนอกเลย โตมาจากที่ชานเมืองของจังหวัดลำพูน เพราะฉะนั้นแน่นอน คนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ของที่นั่นก็เป็นเกษตรกรอยู่แล้ว แต่ก็เป็นเกษตรเคมีรูปแบบเก่า ผมเองก็เคยเห็นพ่อแม่ไปทำสวนลำไย ปลูกหอม ปลูกกระเทียมมาตั้งแต่เด็กแล้ว เราก็ไม่รู้จะไปไหน ก็ติดตามเขาไป ไปเล่นดิน เล่นโคลน เล่นทราย มันก็เลยติดตามาตั้งแต่เด็ก

มาจากครอบครัวเกษตรทั้งคู่ คุณมองอาชีพเกษตรกรในไทยยังไงบ้าง

อู๋ : ตั้งแต่เด็กๆ เราก็จะเห็นตามข่าวทุกปีว่า เกษตรกรได้รับผลกระทบจากราคาผลผลิตที่ตกต่ำ โน่นนี่นั่น เราก็รู้สึกว่ามันน่าจะมีวิธีสิ ที่พอจะช่วยให้หลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้ได้บ้าง พอเราได้มาทำจริงๆ เราก็รู้ว่าบางอย่างมันก็พอหลีกเลี่ยงได้ บางอย่างมันใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยได้

โจ้ : ถ้าเอาตรงๆ สำหรับผม ผมมองว่าเกษตรกรเป็นอาชีพที่น่าสงสาร เป็นอาชีพท้ายๆ เลยที่สมมติคนไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรแล้วถึงอยากเป็น โชคดีที่ประเทศไทยเรามีผืนดินที่อุดมอยู่ พอไม่รู้จะไปทำอะไร มองไปรอบๆ ตัวมีที่ดินอยู่ มันก็จำเป็นต้องไปทำอาชีพนี้ 

คนส่วนใหญ่อาจจะคิดว่าเกษตรกรในประเทศไทยเป็นอาชีพที่ไม่น่าจะร่ำรวย ไม่น่าจะลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้ขนาดนั้น

แล้วไปมายังไงถึงเริ่มทำกิจการ ‘โอ้กะจู๋’ ด้วยกันได้

อู๋ : ต้องเล่าย้อนไปตั้งแต่ช่วง ม.ต้น คือผมกับโจ้อยู่ห้องเดียวกันตั้งแต่ ม.3 พอขึ้น ม.ปลายเราก็อยู่สายวิทย์ด้วยกัน ทีนี้ตอน ม.5 มันจะมีวิชาแนะแนว โรงเรียนก็พาไปที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็พาไปดูว่าถ้าเข้าคณะไหนต้องเรียนยังไง พาไปดูคณะบริหาร เกษตร นิติศาสตร์ วิศวฯ ไปดูคณะที่คนสมัยนั้นเขาเข้ากันเยอะๆ  แล้วเราสองคนก็ไปดูที่คณะเกษตร แล้วก็คุยกันว่า เออ ถ้าในอนาคตมันจะมีอะไรที่เราทำแล้วทำให้เราอยู่ด้วยกันได้ มันก็น่าจะดี

คือโรงเรียนที่พวกผมอยู่ เมื่อก่อนมันเป็นโรงเรียนหญิงล้วน แล้วพวกผมเป็นผู้ชายรุ่นที่ 4 ที่เข้ามาเรียน เพราะฉะนั้นผู้ชายมันก็จะมีน้อย เราก็เลยจะสนิทกัน ตอนนั้นเราก็เลยคุยกันเล่นๆ ประมาณนี้ จนสุดท้ายโจ้เขาก็ตัดสินใจไปเรียนเกษตร ส่วนผมไปเรียนการตลาด แล้วพอจบมาก็ทำอย่างที่เห็นทุกวันนี้

เขาสอนอะไรบ้างที่คณะเกษตร

โจ้ : ก็เรียนตั้งแต่พื้นฐานเลย เรียนว่าถ้าพืชแต่ละชนิดจะเจริญเติบโตมันจะมีปัจจัยใดที่เกี่ยวข้องบ้าง บางวิชาก็อาจจะลงลึกไปถึง Physiology สรีรวิทยาของพืช แต่ส่วนตัวผม ผมมุ่งไปทางพืชสวน แต่จริงๆ แล้วคณะเกษตรเขาหลากหลายนะ มีพืชไร่ พืชสวน มีปศุสัตว์ แต่ผมตั้งใจว่าอยากปลูกผักขาย ผมเลยมุ่งมาทางด้านพืชสวน

คือคุณตั้งใจจะมาทางเกษตร เพราะเรื่องที่คุยกันไว้ตั้งแต่ ม.5 ใช่ไหม

อู๋ : (ยิ้ม) คือตอนนั้นมันเป็นการคุยกันเล่นๆ แต่พอเราเรียนจบโจ้เขาก็มาถามว่า ที่เราคุยกันในตอนนั้นยังสนใจอยู่ไหม

โจ้ : ผมมีพาเขาไปดูงานก่อนด้วยนะ เพราะเขาไม่ได้เรียนเกษตรมา คือตอนที่ผมเรียน ผมตั้งใจไว้อยู่แล้วว่า ไหนๆ ก็เรียนคณะนี้มาแล้ว เดี๋ยวผมจะไปปลูกผักขาย แต่ผมก็เห็นภาพของผมคนเดียว คิดของผมคนเดียว ผมเลยพาเขาไปที่โครงการหลวงหนองหอย ที่แม่ริม ให้เขาดูพวกการปลูกผัก การเพาะเมล็ด ก็คือพาเขาไปอินกับเรานิดนึงนั่นแหละ

แล้วคุณอินไหม

อู๋ : ก็โอเคนะครับ อย่างที่บอกนั่นแหละ เราอยากหาอะไรทำด้วยกัน ที่จะยึดเหนี่ยวกลุ่มเพื่อนๆ เอาไว้ด้วยกัน คือต้องบอกก่อนว่าในระหว่างเรียนมหาวิทยาลัยเราก็ยังสนิทกัน ไปเที่ยวด้วยกัน ไปทำอะไรด้วยกันตลอด ความเป็นกลุ่มเป็นก้อนมันก็ยังมีอยู่ แล้วด้วยความที่เขาจบด้านนี้มา เราก็เชื่อมือเขาในระดับหนึ่ง เราก็เลยไปปรึกษาคุณพ่อผม บอกท่านว่าเราอยากจะปลูกผักขาย คุณพ่อผมก็บอกว่า ก็ได้ งั้นพ่อมีที่อยู่แปลงนึง ก็ให้เราลองไปทำตรงนั้นแล้วกัน เราก็ไปเริ่มจากโรงเรือนหลังเล็กๆ ตรงนั้น โรงเรือนหลังแรกก็ขนาด 6×30 เมตร

เริ่มจากทำกันแค่สองคน

โจ้ : ทำกันแค่สองคน แต่ก็มีคนงานมีอะไรด้วย

ตอนนั้นคิดโมเดลธุรกิจปลูกผักแล้วขายไว้ยังไงบ้าง

อู๋ : ตอนนั้นไม่ได้คิดเลย คือตอนนั้นเราแค่อยากจะทดลองก่อนว่าปลูกได้จริงไหม เราทำได้จริงไหม เพราะต้องยอมรับว่าในแต่ละที่อย่างที่โจ้บอก พืชแต่ละตัว ผักแต่ละตัวมันก็แตกต่างกันไป ตอนนั้นเราก็เริ่มปลูกผักสวนครัวกันเป็นหลัก พวกถั่วพู แตงกวาญี่ปุ่น ถั่วฝักยาว แล้วก็มีผักสลัดนิดหน่อย ช่วงนั้นจะเป็นแบบผักที่ใช้ทานในชีวิตประจำวัน เราก็ทดลองไปเรื่อยๆ

ทดลองอยู่นานไหม

อู๋ : ก็เกือบ 3 ปีนะกว่าจะเปิดร้าน

พวกคุณปลูกผักในโรงครัวอยู่ 3 ปี

โจ้ : ครับ (ยิ้ม)

อู๋ : ในช่วงครึ่งปีแรก เราก็ปลูกเพื่อดูว่าปลูกได้ไหม หลังจากนั้นเราก็เริ่มปลูกมากขึ้นๆ แล้วก็เริ่มขายส่งแล้วครับ จากเดิมที่ปลูกแค่ในโรงเรือนขนาด 6×30 เมตร ต่อมาโจ้เขาก็เริ่มไปปลูกข้างนอกโรงเรือน เริ่มขึ้นแปลงผักแล้ว ลองปลูกมากขึ้นสิ ปลูกแบบไม่มีหลังคา ลองไปเรื่อยๆ หลากหลายรูปแบบ

โจ้ : แล้วก็มีผักที่ปลูกได้ไปขาย ไปขายให้ร้านอาหารในเชียงใหม่ ลองไปติดต่อเขาดู มีวอล์กอินเอาผักสลัดไปเสนอเขาบ้าง มีคนรู้จักแนะนำกันต่อๆ บ้าง ก็ขายได้ แต่ก็โดนปฏิเสธมาเยอะเหมือนกัน

ก็คือช่วง 3 ปีนี้คุณเริ่มเอาผักที่ปลูกได้มาขายแล้ว

อู๋ : ส่วนหนึ่งเราเอาไปขาย ส่วนหนึ่งเราเอาไปแจกจ่ายให้ชุมชน บางทีก็มีเอากลับไปที่บ้านของพวกเราเอง เอากลับไปกินกันเอง คือด้วยความที่เรายังกะไม่ถูกว่ามันจะได้ผลผลิตมากน้อยแค่ไหน อะไรยังไง เราก็ขายบ้าง แต่นับว่าเราเทสต์ระบบดีกว่า ช่วงนั้นเจออุปสรรคบ้างนะ แต่เราก็แก้กันไป

อุปสรรคที่เจอช่วงนั้นคืออะไร

โจ้ : คือปีแรกที่ทำ เนื่องจากผมก็ยังใหม่อยู่กับพื้นที่ตรงนั้น ยังไม่รู้จักธรรมชาติของพื้นที่โดยทั่วไป ครั้งแรกที่โดนที่ผมจำได้คือ พายุฝนลง พอมันลงคืนนึงผมก็ยังไม่ได้ทำระบบระบายน้ำอะไร ปรากฏว่าน้ำท่วม โอ้โห แปลงผักที่เราปลูกไปนี่กลายเป็นบ่อปลาเลย (ยิ้ม) แต่ยังโชคดีที่พวกที่ผมปลูกในโรงเรือนผมปลูกบนโต๊ะ ใช้รางพีวีซีที่ผมผ่าเองไปผสมกับวัสดุอินทรีย์แล้วก็ปลูกผักขึ้นมา อันนั้นยังรอด แต่ผ่านมาอีกสักเดือนสองเดือนก็เจอพายุเข้าอีกรอบ เพราะปีนั้นพายุฤดูร้อนเข้าเชียงใหม่ โรงเรือนก็ไม่ไหว พังล้มระเนระนาดไปหมดเลย

อู๋ : ฝนตกทีนี่ลุ้นมากเลยตอนนั้น

โจ้ : คือตอนนั้นเรายังไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลยไง ไม่รู้เลยว่าตรงนี้น้ำมันจะท่วมนะ

แล้วตอนไหนที่ตัดสินใจโดยแน่แล้วว่าเราจะปลูกผักเพื่อขาย

อู๋ : สักประมาณต้นปี ’56 ซึ่งตอนนั้นเราก็เปลี่ยนไปปลูกผักสลัดสักประมาณ 80% แล้วนะ ช่วงนั้นโจ้เขาก็มาคุยว่า เออ เราน่าจะเปิดคาเฟ่กันนะ ขายพวกกาแฟและสลัด เพราะเราก็ปลูกผักเอง แล้วก็เหมือนเดิม ไปปรึกษาคุณพ่อ คุณพ่อก็โอเค อยากทำก็ทำ ซึ่งอย่างที่บอกว่าเป็นความโชคดีของพวกเราด้วยที่คุณพ่อคุณแม่พวกเราเขาให้โอกาสพวกเรา จริงๆ ตอนหลังเขาก็มีบอกว่าเขาคิดยังไง เขาบอกว่าเขารู้สึกเหมือนส่งเราเรียนปริญญาโท แต่ผ่านการลงมือทำจริงๆ ให้เจอปัญหาจริงๆ ให้ได้ลองแก้ปัญหากันเองดูจริงๆ

ก็เลยเริ่มสร้างร้านเล็กๆ ขึ้นมา ตอนนั้นน่าจะมีอยู่สักประมาณ 10 ที่นั่ง ก็เริ่มจากมีกาแฟขาย แล้วก็มีสลัดเลย ร้านก็อยู่ในบริเวณเดียวกันกับที่เราปลูกผักนี่แหละ ที่สันทราย ห่างจากที่เราปลูกผักกันสักประมาณ 50 เมตร คือยังมองเห็นสวนผักเราได้

เริ่มจากขายกาแฟและสลัด?

อู๋ : ใช่ ขายกาแฟและสลัดแบบ 4 steps คืออยากทานสลัดผักอะไร น้ำสลัดอะไรก็ติ๊กเอาเลย

โจ้ : ตอนนั้นรู้สึกว่าเมนูจะมีแค่หน้าเดียว คือหน้านึงเป็นเมนูอาหาร อีกหน้าเป็นเมนูเครื่องดื่ม แค่นี้เอง

อู๋ : ต้องไปประมาณกลางปี ’57 โน่น ถึงจะเริ่มมีสเต๊กเข้ามา

จากปลูกผักเฉยๆ ข้ามไปเปิดร้านขายสลัดและคาเฟ่เลย คุณต้องปรับตัวยังไง

อู๋ : ช่วงเริ่มต้นตรงนั้นเราก็มีทีมงานคอยช่วยเรา มาช่วยกันคิด แต่เมนหลักมาจากพวกเรานี่แหละ มาระดมความคิดกัน ทำเทสต์กันเองว่าชอบไหม ถ้าไม่ชอบก็ปรับ แล้วตอนนี้นี่แหละที่เป็นช่วงที่ชื่อร้านมา ชื่อโอ้กะจู๋ มาแถวๆ ช่วงๆ นี้นี่แหละ

โจ้ : เฮ่ย จริงๆ ชื่อนี้มาตั้งแต่ตอนปลูกผักขายแล้ว

อู๋ : เออๆ ใช่ๆ (หัวเราะ) ชื่อมาตั้งแต่ตอนปลูกผักแล้ว เรามีสติ๊กเกอร์ร้านว่าโอ้กะจู๋แล้ว

ใครเป็นคนคิดชื่อโอ้กะจู๋

โจ้ : ตอนนั้นก็แค่นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ ก็แค่คิดว่าต้องมีชื่อแบรนด์ให้ลูกค้าเขารับรู้และรู้จักแบรนด์เราได้ง่ายขึ้นเนาะ ก็คิดว่า เออ ถ้าผวนคำมันก็น่าจะสะดุดหูคนนิดนึง เลยคิดว่าใช้คำอะไรที่มันแปลกๆ ดีกว่า

แล้ว tagline ปลูกผักเพราะรักแม่มาตอนไหน

อู๋ : ปลูกผักเพราะรักแม่มาตั้งแต่ตอนเริ่มต้นเลย คือครอบครัวพวกเราจะมีคุณแม่เป็นจุดศูนย์กลางของครอบครัว

ถามว่าถ้าเราไปเดินตลาดแล้วเราจะกล้าไปซื้อคะน้าที่มันมีสารเคมีกลับมาให้แม่หรือให้คนที่บ้านเรากินไหม เราก็เลยคิดว่า เฮ่ย ถ้างั้นเราปลูกเองดีกว่า เราเลยปลูกโดยไม่ใส่สารเคมี ไม่ใส่ปุ๋ยเคมี ไม่ใส่ยาฆ่าแมลง เราปลูกผักแบบนี้ให้คนที่เรารัก ให้คนที่บ้านเรา ให้แม่เรากินผักแบบนี้แล้วอยู่กับเราไปนานๆ อันนั้นเป็นที่มาตั้งแต่เริ่มแรกเลย ก็เลยเป็นกิมมิกของเราที่เป็นที่มาของคำว่า ‘ปลูกผักเพราะรักแม่’ แล้วคำนี้ก็เป็นชื่อบริษัทของเราด้วย

เราปลูกผักไม่ใส่สารเคมีและยาฆ่าแมลง แล้วเรามีปัญหากับแมลงไหม

โจ้ : มีอยู่แล้วครับ แต่เราใช้เรื่องชีวภัณฑ์ในการป้องกันและกำจัดโรค เช่น พวกโรคแมลงทั่วๆ ไป ปกติเขาก็จะใช้ยาฆ่าแมลงกันใช่ไหม ใช้แล้วจบ แต่ที่เราใช้คือชีวภัณฑ์ ซึ่งมันคือเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรียที่มาจากธรรมชาติ ซึ่งมันจะมีหัวเชื้ออยู่ พวก BT หรือ BS อะไรพวกนี้ เราก็เลี้ยงหัวเชื้อพวกนั้นแหละ แล้วก็เอามาละลายน้ำแล้วก็ฉีดพ่นไปที่ผักของเรา ชีวภัณฑ์พวกนี้มันจะไปช่วยกำจัดโรคแมลงต่างๆ คือใช้สิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติไปป้องกันนั่นแหละ แต่แน่นอนครับมันไม่สามารถป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนเคมีอยู่แล้ว

เคมีนี่ถ้าฉีดไปวันนี้ พรุ่งนี้ก็อาจจะเห็นผลทันที ทันตาเลย แต่อันนี้ที่เราใช้ก็คือ ทั้งแสดงผลช้าด้วยและต้องฉีดอย่างต่อเนื่องด้วย แต่ก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ดีอย่างที่บอก เพราะฉะนั้นเราก็ทำใจไว้ตั้งแต่แรกเลยว่าคนแรกที่จะได้อุดหนุนผักที่เราปลูกคือแมลงต่างๆ นั่นแหละ ด้วง หนอนทั้งหลาย คุณก็เอาไปกินกันก่อนเลยครับ (ยิ้ม) แล้วถ้าเหลือเท่าไหร่ค่อยแบ่งมาให้พวกเราแล้วกัน

ตอนนั้นตั้งใจอยากให้คอนเซปต์ร้านเป็นยังไง

อู๋ : มีอะไรก็ขายอันนั้นแหละครับ (หัวเราะ) ล้อเล่นครับ

โจ้ : หลักๆ เอาที่ผมจำได้นะ คือ Farm to Table นั่นแหละ เราอยากเสิร์ฟสิ่งที่เราปลูก ก็คือสลัดออร์แกนิกแบบหลากหลายชนิดที่ปลูกแบบสดใหม่จากฟาร์ม ที่ปลูกแบบจากข้างหลังร้านเลย เอามาเสิร์ฟให้กับคุณนี่แหละ

ตอนเปิดร้านโอ้กะจู๋ที่เป็นแบบคาเฟ่ วันแรกบรรยากาศเป็นยังไง

อู๋ : เงียบเหงานะ (หัวเราะ)

โจ้ : เฮ่ย วันแรกยังโอเคอยู่ เพราะว่าเพื่อนๆ มาอุดหนุน แต่หลังจากนั้นสิ (มองหน้ากัน) ของจริง 

อู๋ : ของจริง คือทำกินกันเองครับส่วนใหญ่ คือมันก็เงียบอยู่อย่างนั้นสัก 3-4 เดือน สักพักใหญ่ๆ คือเราไม่มีความรู้เรื่องร้านอาหารเลย แล้วเรามาเริ่มเปิดร้าน มันก็เหมือนกับว่าเรานับหนึ่ง ตรงนี้เราเลยมองว่ามันคือการเรียนรู้ คือเราไม่ได้ไปเครียดว่าถ้าขายไม่ได้อีกเดือนจะปิดแล้วนะ เราสองคนก็มาคิดกันว่า เออ ทำยังไงดี ในระหว่างนั้นเราก็คิดว่าจะหารายได้เพิ่มทางไหนดี หรือเราจะเพิ่มลูกค้า ทำให้ลูกค้ารู้จักยังไง ก็คุยกัน มันก็ถือเป็นโชคดีของเราอีกในช่วงนั้น เพราะเราเปิดร้านพฤษภาฯ เนาะ พอเข้าช่วงปลายฝนนักท่องเที่ยวก็จะไปเชียงใหม่เยอะ เพราะหลังฝนส่วนใหญ่คนจะไปทำบุญออกพรรษากัน ทีนี้พอมีคนมาก็จะมีกลุ่มลูกค้าเขาแวะถ่ายรูป แล้วตอนนั้นสักช่วงปลายปี ’56 อินสตาแกรมกำลังดังเลยตอนนั้น ก็มีคนเช็กอินถ่ายรูปเยอะ

พอช่วงปลายปีที่เป็นช่วงไฮซีซั่นนักท่องเที่ยวก็มาอีก ก็ถ่ายรูปเช็กอินกัน ลูกค้าเขาก็มากันเยอะอยู่ ทีนี้พอช่วงปลายปีเราขายดีปุ๊บ พอข้ามปีเราก็เริ่มมีลูกค้าที่เริ่มรู้จักเรามากขึ้น และส่วนหนึ่งก็เป็นลูกค้าที่มากินแล้วติดใจ เขาก็กลับมา ก็คือเริ่มมีลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากช่วงนั้น

ซึ่งระหว่างนี้คุณยังปลูกผักส่งร้านอื่นๆ อยู่

โจ้ : ใช่ครับ

แล้วตอนไหนถึงตัดสินใจว่าไม่ส่งคนอื่นแล้ว

โจ้ : ก็ปีถัดมาจากที่เราเปิดคาเฟ่นี่แหละครับ ประมาณปี ’57 เพราะเราส่งคนอื่นไม่ไหวแล้ว (ยิ้ม)

อู๋ : คือตอนนั้นเรายังไม่ได้ปลูกเยอะด้วย ทั้งจำนวนแปลงและพื้นที่ปลูกก็ไม่ได้เยอะมาก

แล้วมันขายดีขั้นไหน จนตัดสินใจว่าจะไปเปิดสาขา 2

อู๋ : สาขา 2 นี่เราไปเปิดแถวๆ สนามบิน อยู่ที่เชียงใหม่เหมือนกัน ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดสาขา 2 เราเปิดตอนปี ’58 คือตอนนั้นเราอยากลองขยายสาขาไปที่อื่นดูบ้าง เพราะเราคิดว่า เออ น่าจะลองดูนะว่าถ้าเกิดว่ามีคนมาขอซื้อแฟรนไชส์ เราจะจัดการยังไง เราก็เลยมองสาขา 2 เสมือนหนึ่งว่าเป็นแฟรนไชส์ของสาขาหนึ่ง แล้วก็มามองดูการจัดการภายในของเราว่ามันได้ไหม อะไรไหม ก็เลยเป็นที่มาของการเปิดสาขา 2 ณ ตอนนั้นนะ

แต่เนื่องจากเราก็ลูกทุ่งๆ เราไม่เคยทำร้านอาหารมาก่อน เราก็ไม่รู้ว่าถ้าเป็นแฟรนไชส์มันจะต้องเป็นยังไง ต้องมีเงื่อนไขอะไรบ้าง หนึ่ง สอง สาม สี่ มันก็เลยอาจจะยังไม่ได้กลายไปเป็นรูปแบบแฟรนไชส์ในตอนนั้น

แล้วตอนนี้คุณยังคิดจะขายแฟรนไชส์อยู่ไหม

โจ้: ตอนนี้ยังไม่มีนะครับ (ยิ้ม)

คุณตัดสินใจเอาโอ้กะจู๋เข้ากรุงเทพฯ ตอนไหน

อู๋ : หลังจากที่เปิดสาขา 2 ที่เชียงใหม่แล้ว สาขา 3 คือ กรุงเทพฯ คือด้วยความที่เราเปิดทั้งสองสาขาแรกที่เชียงใหม่แล้ว แบบทั้งสองร้านอยู่คนละมุมของเชียงใหม่เลย เราเลยคิดว่า เออ เชียงใหม่น่าจะพอแล้ว ในตอนนั้นนะ บวกกับตอนที่เราเปิดร้านที่สาขาหนึ่ง ประมาณช่วงปลายปี ’57 ก็มีลูกค้ามาถามว่า เออ ทำไมไม่เปิดที่กรุงเทพฯ จะมากรุงเทพฯ เมื่อไหร่ เราก็ดื้อไม่ไปอยู่หลายปี จนตัดสินใจไปเปิดสาขาที่กรุงเทพฯ ปี ’59

ตอนนั้นเราลองคุยกันว่า ลองมาหาพื้นที่กันดูไหม ก็เลยมาหาที่กันในกรุงเทพฯ กว่าจะได้ที่ก็มีสตอรีเยอะ คือพวกผมก็เด็กบ้านนอกเนาะ เป็นคนเชียงใหม่ เราก็คิดว่าตอนเด็กๆ ที่เรามากรุงเทพฯ เขาก็จะพาเราไปสยามเนาะ เราเลยไปเดินหาที่กันแถวสยาม ปรากฏว่ามันว่างอยู่แค่โซนเดียวที่เดียวเลยตอนนั้น

เราไปกัน 2 คน ขึ้นลิฟต์ไปถามที่ตึกออฟฟิศของจุฬาฯ ที่ชั้น 13 ถามเขาว่า พี่ๆ ถ้าจะเปิดร้านในสยามตรงที่ตรงนั้นที่ว่าง ค่าเช่าเท่าไหร่ พอเขาปรินต์ราคาออกมาให้ดูเท่านั้นแหละ (สูดหายใจ)

โจ้ : นึกว่าเขาปรินต์เลข 0 เกินมา (หัวเราะ)

อู๋ : ก็เลยกลับไปตั้งหลักกันสักพักใหญ่ๆ เพราะเราก็ไม่มีความรู้ว่าถ้าเราอยู่เชียงใหม่แล้วถ้าเราจะมาเปิดกรุงเทพฯ มันจะมีค่าใช้จ่ายอะไรอีกหลายๆ อย่างที่เราต้องดู ไม่ว่าจะเรื่องผัก เรื่องโลจิสติกส์ เรื่องคุณภาพอาหารด้วย สุดท้ายเราก็เลยกลับไปตั้งหลัก แล้วก็คุยกันว่าเอาไงดีอะ โจ้เขาบอกว่า “ลอง” ผมก็ โอเค ลองก็ลอง

แล้วมันขยายต่อเป็นสาขาอื่นๆ ได้ยังไง

อู๋ : หลังจากนั้นก็ไหลแล้ว มีคนเอาโลเคชั่นต่างๆ มาเสนอ เราก็พยายามเลือกโลเคชั่นที่มันมี traffic นะ แต่ถ้าเป็นตอนนี้คือเรามีพาร์ตเนอร์เข้ามาร่วมแล้วเนอะ และเขาเป็นบริษัทที่อยู่ในมหาชน เราก็จะไม่ได้ดูแค่โลเคชั่นและใช้แค่ฟีลลิ่งอย่างเดียวแล้ว

เมื่อก่อนเหมือนพวกเราใช้แค่ฟีลลิ่งอย่างเดียว เดี๋ยวนี้เราเริ่มดูจุดคุ้มทุน เวลาคืนทุนด้วย เพราะมันเริ่มเป็นระบบมากขึ้น เริ่มมีระบบมาจับแล้ว

คุณคิดว่าการเป็นทั้งเจ้าของร้านอาหารและเจ้าของซัพพลายเออร์ (แปลงผัก) เองด้วยเป็นเรื่องยากไหม

อู๋ : ถ้าถามว่ายากไหม มันก็ยาก คือถ้าเทียบกับคนอื่นที่เขาทำร้านอาหารอย่างเดียว ถ้าเขาอยากได้ผัก 10 กิโลฯ เขาก็แค่เดินไปซื้อผัก 10 กิโลฯ ปุ๊บเขาก็กลับมาทำได้เลย แต่เราเนี่ยเราดูตั้งแต่ต้นกระบวนการมาเลย คือตั้งแต่เพาะปลูกจนได้ผลผลิต แล้วก็ค่อยไปเสิร์ฟบนจาน

โจ้ : คือมันเป็นสิ่งที่เราอยากจะทำ และเราก็อยากจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว

ตอนนี้โอ้กะจู๋มี 23 สาขา คุณใช้ผักของคุณเองทั้งหมดเลยไหม

โจ้ : ก็ 90% ตอนนี้เรามีแปลงปลูกผักอยู่ประมาณ 380 ไร่

คุณเป็นเจ้าของแปลงผัก 380 ไร่เลยเหรอ

อู๋ : เช่าเขาเอาสิครับ (หัวเราะ) อยากจะปลูกสักพันไร่ยังได้เลย เช่าเอาเลย

แปลงผักทั้ง 380 ไร่ อยู่ที่เชียงใหม่ทั้งหมดเลยไหม

โจ้ : ใช่ครับ 

อู๋ : ตอนนี้เราเน้นปลูกผักสลัดเนาะ

โจ้ : ก็มี 5 กลุ่มที่ปลูก รวมๆ แล้วก็น่าจะมีผักสัก 30 ชนิด ก็จะมีผักสลัด, กลุ่มสมุนไพร, กลุ่มผักกรีนต้นเล็กๆ, กลุ่มดอกไม้ทานได้, แล้วก็เป็นพวกผักผล อย่างเช่น พวกมะเขือเทศ พริกหวาน ฟักทองญี่ปุ่น เมลอน ซึ่งทั้งหมดก็จะเป็นอินทรีย์ทั้งหมดเลย

คุณตัดสินใจยังไงว่าจะปลูกผักชนิดไหนมากน้อยเท่าไหร่

โจ้ : ผมคิดว่าคนไทยชอบกินผัก ผมเองก็ชอบกินผัก แต่ส่วนใหญ่ผมคิดว่าพวกผักผลไม้หาทานแบบอินทรีย์ยากมากๆ เราก็เลยตั้งใจมากๆ ว่าจะทดลองค้นคว้าปลูกโดยวิถีอินทรีย์ เพื่อที่จะได้เป็นผลผลิตอินทรีย์ออกมา ก็คือดูว่าเราชอบอะไรและลูกค้าเราชอบอะไร 

คุณจัดการยังไงให้มีผักเพียงพอในร้านทุกๆ สาขา

โจ้ : อันนี้เป็นอะไรที่เราเก็บข้อมูลละเอียดมากๆ เลย แน่นอนว่าปีแรกเราเจอปัญหาอยู่แล้ว แต่พอทุกอย่างมันเริ่มทำจนต่อเนื่องมาเรื่อยๆ พอเราเริ่มเก็บตัวเลขอย่างสม่ำเสมอ แต่ละสาขาใช้ผักเท่าไหร่ เปิดสาขาใหม่ใช้ผักเท่าไหร่ ฐานข้อมูลต่างๆ เหล่านี้เราก็เก็บไว้ค่อนข้างละเอียดพอควรเลย และใดๆ ก็ตามเราเก็บสถิติหมด แม้กระทั่งว่าแต่ละฤดูกาลแต่ละร้านใช้ผักเท่าไหร่ แล้วเราปลูกผักได้เท่าไหร่เราก็เก็บตัวเลขตรงนี้ เพื่อที่จะได้คำนวณให้ปริมาณมันเพียงพอที่จะเสิร์ฟหน้าร้าน

ฟาร์มผักอยู่เชียงใหม่แล้วคุณจัดการยังไงเรื่องขนส่งผักมายังกรุงเทพฯ

อู๋ : เราขนผักมาทุกวันจากเชียงใหม่มากรุงเทพฯ คือจริงๆ ต้องบอกว่านโยบายเรา นับเวลาตั้งแต่ตัดผักจนถึงจานลูกค้า รวมเวลาแล้วต้องไม่เกิน 28 ชั่วโมง สมมติเราตัดทุ่มนึง จากนั้นเราส่งไปที่ห้องล้าง ห้องล้างก็ล้างคืนนั้นเลย ทำงานคืนนั้นเลย จากนั้นตอนสายๆ รถห้องเย็นก็มารับ แล้วรถก็วิ่งจนมาถึงตี 5 ของอีกวันนึง แล้วก็กระจายผักไปยังหน้าสาขา แล้วผักพวกนี้เราก็ให้ใช้ให้หมดภายใน 1 วัน เพราะเราส่งทุกวันอยู่แล้ว

ได้ข่าวว่าคุณไปให้ความรู้ชาวบ้านด้วยเรื่องการปลูกผัก

โจ้ : เป็นเรื่องที่ภูมิใจมากๆ คือเมื่อก่อนนี้เนี่ยเราไม่เคยถ่ายทอด know-how อะไรให้ใครเลย มีอะไรก็อยากทำกันเองแค่ภายในของเรา แต่ตอนนี้เราถ่ายทอด know-how ถ่ายทอดวิธีการทำเกษตรแบบอินทรีย์ต่างๆ ให้กลุ่มเกษตรกรที่เขามีอุดมการณ์อยากจะเป็นเกษตรอินทรีย์เหมือนเราอะไรยังงี้ครับ

อะไรทำให้คุณมีความคิดที่อยากจะแบ่งปันความรู้ให้คนอื่น

โจ้ : เรื่องนี้ย้อนไปยาวเลย เรื่องมาตั้งแต่ตอนที่ผมรู้จักกับอู๋ คือที่บ้านอู๋เขาเป็นครอบครัวที่ป๊าอู๋เขาเคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนเขาก็ทำงานหนัก ก็ไม่ได้สบาย แต่พอทำธุรกิจมาเรื่อยๆ จนมาอีกเจนฯ นึงที่ป๊ามีลูก และลูกเริ่มโต ป๊าเขาก็คงรู้สึกว่าเขาเริ่มมีความมั่นคงในชีวิต ตรงนี้แหละมั้งที่ป๊าเขาคงรู้สึกว่าเขาพอแล้ว เขาอยากแบ่งปันให้คนอื่นบ้าง คือป๊าของอู๋เป็นคนที่ทำโรงทานบ่อยมากๆ เลย ตั้งแต่สมัยที่ผมเรียนมหาวิทยาลัยแล้วอู๋ก็ลากผมไปผัดหมี่ซั่วอยู่นั่นทุกเทศกาลเจ เป็นอาทิตย์เลย ไปอยู่ทุกปี

ตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไรเยอะ ก็คือไปอยู่กับเพื่อน ไม่ได้คิดจะไปแบ่งปันอะไร อันนี้ตอบตามตรงนะผมว่าตั้งแต่ตอนนั้นมันเลยเป็นอะไรที่ติดตัวเรามา คือเราได้เห็นภาพคนที่เขาประสบความสำเร็จ แล้วเขาก็มาแบ่งปัน ทีนี้พอเราเคยเริ่มทำจากจุดเล็กๆ พอมาตอนนี้เราเติบโตมากขึ้นแล้วเราก็คิดว่าเราก็อยากจะแบ่งปันบ้าง อยากให้คนอื่นเขาได้มีโอกาสแบบที่เราเคยได้โอกาสในช่วงแรกๆ ที่เราเพิ่งเริ่มต้นบ้าง

เราใช้อะไร เราทำยังไง เราก็ถ่ายทอดทั้งหมดเลย อะไรที่เราเคยทำแล้วล้มเหลวมา เคยเจอปัญหามา เราก็เอามาถ่ายทอดให้เกษตรกรที่เขามีความมุ่งมั่นตั้งใจจะทำเกษตรอินทรีย์

เราถ่ายทอดทั้งหมดแล้วเราไม่กลัวเขามาเป็นคู่แข่งเราเหรอ

อู๋ : สิ่งที่เราทำที่เราไปส่งเสริมเกษตรกรที่อยากทำอินทรีย์จริงๆ เราทำมาหลายปีแล้ว แต่มันอาจจะเพิ่งเป็นรูปเป็นร่างเมื่อปีสองปีที่ผ่านมา ถามว่าเรากลัวไหมเราก็ไม่กลัวนะ เพราะว่าเกษตรกรพวกนี้เขาน่าสงสารนะครับ เราเคยมีโอกาสขึ้นไปที่แม่แจ่ม ซึ่งเป็นแหล่งที่ปลูกกะหล่ำปลีอันดับหนึ่งในประเทศไทย เราก็ถามเขาว่าทำไมคุณต้องใช้ยาใช้สารเคมีด้วย ทำไมไม่ปลูกแบบอินทรีย์

เขาพูดกลับมาประโยคนึงแล้วผมก็สะอึกไป เขาบอกว่าทำไมคนในเมืองโง่จัง รู้ทั้งรู้ว่าผักมันมียาก็ยังกิน มันก็เลยทำให้เรารู้ว่าจริงๆ โดยพื้นฐานแล้วเขาไม่ได้อยากจะใช้พวกนี้นะ เพียงแต่ว่าถ้าเขาปลูกเป็นอินทรีย์มามันอาจจะไม่มีคนมารับซื้อจากเขาเพื่อไปขายต่อ อันนี้จึงเป็นที่มาว่าถ้าเรามีโอกาส เรามี know-how แล้ว เราก็ไปแบ่งให้เขาบ้าง บอกเขาว่าถ้าปลูกเป็นแบบอินทรีย์เป็นแบบทานผลได้ ปลูกแล้วส่งมาให้เราได้นะ เผื่อว่าเราจะช่วยยังไงได้บ้าง

เรื่องที่ยากของการทำโอ้กะจู๋คืออะไร

อู๋ : ไม่รู้จะตอบยังไงเลย เพราะมันมีมาเรื่อยๆ เลย (หัวเราะ) ผมว่ามันคือการแก้ปัญหานะ พอมีเรื่องอะไรยากๆ เข้ามา เราก็มาคิดว่าเราจะแก้ปัญหานั้นยังไงดี แต่ถ้าถามมาเรื่องความยาก ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นเรื่องการสื่อสารระหว่างเจนฯ อย่างน้องๆ ที่เขาอาจจะเด็กกว่าเราก็ต้องดูให้ดีเรื่องของการสื่อสารกันเองภายใน

โจ้ : ผมคิดเหมือนเขานะครับ คิดเหมือนกันเลย

คุณสองคนดูสนิทกันมาก

อู๋ : รู้จักกันมาตั้งแต่ ม.3 นะ

โจ้ : รู้จักกันมาเกินครึ่งชีวิตแล้วครับ

แล้วตอนทำงานแบ่งหน้าที่กันยังไง

อู๋ : เราแบ่งกันชัดเจนอยู่นะ คือทีม C-level ของเราที่เป็นระดับ management จะมีอยู่ประมาณ 5 คน เราก็แบ่งกันชัดเลยว่าคนไหนดูโอเปอเรชั่น คนไหนดูบัญชีการเงิน คนไหนดูโลจิสติกส์ อย่างโจ้เขาจะดูเรื่องฟาร์มกับการขยายสาขา อย่างผมก็ดูภาพรวม

ทำงานกับเพื่อนมีปัญหาไหม

อู๋ : ถามว่ามีไหมมันก็มีแหละ แต่ด้วยความที่เราสนิทกันมากและเรารู้พื้นฐานอยู่แล้วว่าเขาเป็นยังไง แล้วต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้คิดร้ายต่อกัน แล้วเราก็มองผลประโยชน์ของร้านเป็นสำคัญด้วยว่ามันจะไปทิศทางไหน คือเรามี goal ที่ชัดเจนและเราเห็น goal เดียวกัน เพราะฉะนั้นระหว่างทางจะมีความเห็นไม่ตรงกันบ้างก็เป็นเรื่องปกติ แต่เราก็ให้เกียรติและเคารพกัน ถ้าอะไรที่มันอยู่ในอำนาจการตัดสินใจของเขาเราก็จะไม่เข้าไปก้าวก่าย

คุณเรียนรู้อะไรจากการทำโอ้กะจู๋

โจ้ : หลักๆ เลยคือเรื่องมิตรภาพ คือการมีเพื่อนแท้ เพื่อนแท้นี่มันเอาเงินซื้อไม่ได้นะ มันเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลากว่าที่จะพิสูจน์มาได้ว่า ใช่ เพื่อนแท้หรือเปล่า

คุณว่าคุณเป็นคนโชคดีไหม

โจ้ : ก็โชคดีนะครับ

อู๋ : ผมก็ว่าผมก็โชคดีนะ

โจ้ : คนไทยเราก็เชื่อเรื่องบุญวาสนาเนาะ ผมก็คิดว่า เออ ชาติที่แล้วเราอาจจะเคยทำบุญอะไรร่วมกันมา เราก็เลยต้องทำมันต่อไปเนาะ ชาติหน้าจะได้เจอกันอีก เป็นเพื่อนกันอีก ส่วนถ้าเป็นเรื่องการทำงาน ผมว่าเราได้เรียนรู้เรื่องการมีวินัย ความอดทน การที่เราต้องสู้กับปัญหาต่างๆ แน่นอนว่าในทุกช่วงชีวิต 10 กว่าปีที่ผ่านมาปัญหามันก็อาจจะคนละรูปแบบกัน ตอนทำร้านใหม่ๆ ก็ปัญหาแบบนึง ตอนนี้ก็เป็นปัญหาอีกรูปแบบนึง เพียงแต่ว่าเราก็ต้องสู้กับมัน อย่าไปย่อท้อ ถ้าเราเจอปัญหาอะไรก็ตามแล้วเราไม่ท้อนะ ผมว่ารอด คือไม่มีใครสามารถเติมกำลังใจให้เราได้ดีเท่าตัวเราเองหรอก

มองภาพอนาคตของโอ้กะจู๋ไว้ยังไงบ้าง

อู๋ : ก็มองไว้หลายส่วน ทั้งเรื่องการขยายสาขา เรื่องไปประเทศเพื่อนบ้านแถบ CLMV เรื่องการเข้าระดมทุนก็คิดไว้ และที่สำคัญคือเราอยากให้องค์กรเราอยู่ได้แบบยั่งยืนด้วย คือเราเริ่มมาจากการที่มีกันแค่ 6-7 คน จากสาขาแรกจนมาตอนนี้มันก็ทวีคูณ จำนวนพนักงานก็ทวีคูณมาเป็นร้อยเท่า เราก็รู้สึกว่า เออ เรามีคนที่อยู่ข้างหลังที่ต้องดูแลอีกเยอะเลย เราก็เลยพยายามคิดว่าจะทำยังไงให้มันเป็นบ้านที่เขาอยู่แล้วเขารู้สึกมั่นคง