คุยกับผู้ก่อตั้ง Molto ไอศครีมที่เกิดจากชายผู้ทำอาหารไม่เป็นที่คิดสูตรไอศครีมร้อยกว่ารส

ไม่ว่าจะเป็นวันท้องฟ้าสดใสหรือตอนกลางคืนที่ลมพัดเฉื่อยเบา ไม่ว่าจะวันไหนหรือเดือนไหนของปีก็ดูเหมือนว่าเมืองไทยเป็นประเทศที่ถูกครอบคลุมด้วยมวลอากาศแห่งความอบอ้าวและร้อนชื้นเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่เครื่องดื่มหรืออะไรที่ให้ความเย็นฉ่ำจึงมักเป็นของขายดี 

และความชื่นชอบของกินเย็นๆ ของคนไทยเองก็ได้แผ่ขยายให้โอกาสทางธุรกิจไอศครีมพลอยมากขึ้นไปด้วย

เมืองไทยมีตั้งแต่รถเข็นไอศครีม ไอศครีมแช่เย็นขายในร้านสะดวกซื้อ ร้านขายไอศครีมแบบราคาย่อมเยาหน้าโรงเรียน ไปจนถึงไอศครีมนำเข้าแบบไฮเอนด์หลากหลายยี่ห้อ ให้คุณเลือกซื้อตามแต่จำนวนเงินในกระเป๋าสตางค์ 

ถ้าจะเรียกว่าเมืองไทยเป็นเมืองที่มีความวาไรตี้ของธุรกิจไอศครีมก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะนอกจากความหลากหลายทางยี่ห้อและราคาของธุรกิจไอศครีมที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้น ทุกวันนี้เราได้เห็นโมเดลธุรกิจไอศครีมแบบใหม่เกิดขึ้นเรื่อยๆ เช่น ตู้กดไอศครีมอัตโนมัติ หรือการขายไอศครีมแบบออนไลน์ที่แน่นอนว่า เมื่อขึ้นชื่อว่าออนไลน์แล้ว ย่อมไม่เปิดโอกาสให้คุณได้ใช้ลิ้นลองชิมรสก่อนตัดสินใจซื้อ แต่คุณต้องใช้สายตาในการตัดสินใจที่จะจ่ายเงินจากรูปภาพที่คุณเห็นแทน

หนึ่งในร้านไอศครีมธุรกิจที่มาแรงบนโลกออนไลน์ในช่วงปีที่ผ่านมาคือ Molto Premium Gelato

Molto เกิดจากการขายไอศครีมบนโลกออนไลน์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ในช่วงโควิด-19 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มองเผินๆ ไม่น่าจะเหมาะกับการเปิดกิจการใหม่โดยเฉพาะธุรกิจอย่างไอศครีม เพราะนอกจากพื้นที่ขายในห้างที่ต้องปิดลงเพื่อลดการชุมนุมของผู้คน สถานการณ์ตอนนั้นก็ยังไม่เอื้ออำนวยกับการชิมรสชาติต่างๆ ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญหนึ่งในการตัดสินใจซื้อ

ฉะนั้นลูกค้าในช่วง 2 ขวบปีแรก ที่ซื้อไอศครีมกับ Molto ล้วนไม่เคยได้มีโอกาสชิมไอศครีมก่อนสั่งซื้อครั้งแรก และ Molto ก็ไม่เคยมีโอกาสเปิดบูทแนะนำตัวกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของตัวเอง

ถึงอย่างนั้น Molto ยังคงแจ้งเกิดในช่วงโควิด-19 ได้อย่างสวยงาม แถมตอนนี้ยังขยับขยายกลายร่างมีป๊อปอัพบูทหลายสาขาที่หมุนเวียนไปเปิดตามห้างสรรพสินค้าทั่วกรุงเทพฯ

เราจึงนัดพบกับ ธฤษณุ คมโนภาส ชายหนุ่มผู้ร่วมก่อตั้งและบริหาร Molto ผู้ออกตัวกับเราว่าทำอาหารไม่เป็น ทำขนมไม่เป็น แต่กลับคิดค้นสูตรไอศครีมออกมากว่า 100 รส และวันนี้นำพา Molto ยืนเด่นอยู่บนแผนที่ธุรกิจไอศครีมของเมืองไทยได้ เพื่อหาคำตอบว่าเขาสามารถทำสิ่งที่เป็นไปได้ยากให้เป็นไปได้ด้วยวิธีคิดเช่นไร

อยากรู้ว่าชื่อแบรนด์ที่หลายคนน่าจะคุ้นหูตอนนี้มีที่มาจากไหน

คำว่า Molto แปลว่า มาก ในภาษาอิตาลี ซึ่งหมายถึงว่า เราจะให้คุณมากกว่าที่คุณจ่ายมาให้เรา เป็นไงครับ นั่นคือคอนเซปต์ของเรา เท่ไหม (หัวเราะ)

ถ้าย้อนไปในช่วงแรกที่เปิดร้าน นี่คือโจทย์ที่ยากที่สุดของเรา เพราะลูกค้าเขาไม่เคยชิมของเรา แล้วส่วนใหญ่ลูกค้ามักจะซื้อแบบที่ขายเป็นกล่อง กล่องละ 1,000 บาท เพราะนี่คือแพ็กเกจที่คุ้มที่สุด ซึ่งหมายความว่า ผมกำลังแบกความคาดหวังของการที่คนกำลังจะหยิบแบงก์พันมาให้ผม 1 ใบ แล้วคาดหวังว่าไอศครีมจะถูกปากเขา เพราะเขาไม่ได้ชิมก่อนจ่ายเงิน อย่างที่หลายคนรู้ว่าเราขายแบบออนไลน์ล้วนในตอนแรก ลูกค้าต้องจ่ายเงินก่อน โดยที่ไม่ได้ชิมด้วยซ้ำ

ย้อนกลับไปทำไมถึงมาทำแบรนด์ไอศครีม

ย้อนไปเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ก่อนหน้านี้เราเริ่มจากการทำไอศครีมแบบ B2B เราทำไอศครีมส่งให้ร้านอาหาร โรงแรม คาเฟ่ ร้านอาหารบุฟเฟต์ในไทย ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่ แต่ถึงวันหนึ่งมันมีความจำเป็น เลยต้องมาทำแบรนด์ของตัวเอง

อะไรคือความจำเป็นที่ว่า

Molto เริ่มเพราะโควิด-19 31 มีนาคม 2020 เป็นวันที่ผมเริ่มทำ Molto ตอนนั้นทุกคนปิดหมด แล้วผมส่งให้โรงแรม ร้านอาหาร ร้านไอศครีม ร้านบุฟเฟต์ ประมาณ 200-300 แบรนด์ ทุกแบรนด์ที่เราจะสามารถนึกได้ที่จะต้องใช้ไอศครีมผมส่งให้เกือบหมด ปรากฏว่ายอดขายผมจากร้อยเปอร์เซ็นต์ พอช่วงโควิดปุ๊บเหลือ 3%

ตอนนั้นผมทำอะไรไม่ได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา พอทุกอย่างปิด ร้านอาหารปิด ทุกคนไม่สั่งของเรา เราก็คิดกันต่อว่าเราเอาไงกันดี คือผมมีสิ่งที่ต้องแบกอยู่ ผมมี fixed cost หลังบ้าน เรามีโรงงาน เรามีลูกน้อง เรามีเอเวรี่ติงจิงกะเบล เราเลยตัดสินใจกันว่า ทำแบรนด์ไอศครีมสักแบรนด์นึงดีกว่า

พอคิดว่าจะทำแบรนด์ไอศครีมเองคุณทำยังไงต่อ

เราก็มาคิดว่า ทำไมไอศครีมถึงไม่มีขายออนไลน์เลย เราเลยคิดว่า เฮ่ย เราทำแบรนด์ไอศครีมที่ส่งแบบ door to door เลยดีกว่า ตัดปัญหาให้ลูกค้าด้วย ไอติมไม่ละลาย ลูกค้าไม่ต้องแบกไอติมเอง

หลังจากนั้นก็ซัดเลย ผมคิดสูตรเองได้ ผมผลิตเองได้ ในช่วงแรกผมทำอาร์ตเวิร์กเอง เลือกแพ็กเกจจิ้งเอง ทำกราฟิกเองหมด ก็นั่งทำเองอยู่ 7 วัน แล้วออกเลย พอออกปุ๊บ ถ้าจำไม่ผิดผมขายได้ประมาณ 30 ออร์เดอร์ หรือ 100 ออร์เดอร์ในวีคแรก ซึ่งก็ถือว่าซึมๆ นะ

ผิดหวังไหม

ต้องบอกว่าจริงๆ แล้วผมไม่ได้หวังอะไรมากกับการเริ่มต้น เพราะเราไม่เคยทำเลย เพราะเราทำ B2B มาตลอด กับสิ่งที่ตอนนั้นเรากำลังจะเปลี่ยนมาทำคือ B2C เรากำลังจะเริ่มสื่อสารกับลูกค้าเองโดยตรง ตอนนั้นมันอยู่ในช่วงที่เรากำลังเรียนรู้ว่าเราต้องทำอะไรบ้าง

คุณทำ customer research ก่อนไหม

จริงๆ ผมก็เหมือนได้ทำรีเสิร์ชมา 9 ปีแล้ว คือเราได้คุยได้รู้ว่าลูกค้าชอบอะไรไม่ชอบอะไรอยู่บ้างแล้ว คือเราคงบอกไม่ได้หรอกว่าเราเข้าใจทุกคนหรือเข้าใจทั้งหมด เพราะเรื่องอาหาร เรื่องขนม เรื่องของกิน มันค่อนข้างนานาจิตตัง คนนั้นชอบแบบนี้ คนนี้ชอบแบบนั้น เราไม่สามารถทำไอศครีมที่ตอบโจทย์ทุกคนได้อยู่แล้ว แต่เราพยายามมีหลากหลายรสให้ลูกค้าได้เลือกสรร คือต้องโดนเราสักรสนึงแหละ อันนี้คือสิ่งที่เราคิด

คือผมมีหน้ากระดานนึงให้คุณเลือก 20 รส มันต้องโดนใจคุณสักรส คือเราคิดแบบนี้ เราก็ทำดีที่สุดเท่าที่เราจะคิดออก ณ ตอนนั้น เพราะตอนนั้นก็ล่กมาก ทุกคนก็ล่กมาก 

ผมว่าไม่ใช่แค่ผมนะที่ล่ก โควิดน่ะ ทุกบริษัทก็ล่กหมด เพราะฉะนั้นเราก็ทำดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ แค่นั้นเลย แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยๆ ดีขึ้นๆ แล้วเราก็มีทีมเข้ามาช่วยเพิ่มขึ้น ผลลัพธ์ก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ 

ความยากของการเปลี่ยนจาก B2B มาเป็น B2C คืออะไร

ขายยังไง นี่คือคำถามแรกของผม เราไม่เคยทำไง เราทำไม่เป็น เราไม่เคยขายออนไลน์ ไม่เคยเลย เราก็ต้องเดินไป ล้มไป ทำไป ต้องลองดู แค่นั้นเอง

คุณเริ่มขายไอศครีมแบบออนไลน์โดยที่ไม่มีหน้าร้าน หนักใจไหม

นี่คือโจทย์ยากสุดของผมเลย และไม่มีใครคิดว่าผมจะทำได้ด้วย คือผมเอาไอเดียการขายไอศครีมแบบออนไลน์ที่ไม่มีหน้าร้านไปคุยกับเพื่อน ไปคุยกับคนทำธุรกิจ คือเขาก็ค่อนข้างมืดเหมือนกันกับการขายไอศครีมออนไลน์ ส่วนใหญ่เขาจะบอกว่าเขาไม่เก็ต แต่เราก็ดื้อต่อ เพราะเราอยู่ในวงการนี้ เราก็ต้องทำอะไรที่เราถนัดก่อนก็คือทำไอศครีมนี่แหละ ก็ทำไปปรับไป แล้วมันก็ดีขึ้น

แต่ถ้าถามว่าตอนแรกที่กระโดดเข้ามาทำตรงนี้ จริงๆ เรารู้ไหมว่าเราต้องทำอะไรบ้าง ผมบอกเลยว่า จริงๆ ตอนแรกเรารู้น้อยมากสำหรับการทำ B2C คือพาร์ตโรงงาน เรารู้ แต่ในการขายในการมาร์เก็ตติ้งเราไม่ค่อยรู้เลย

แล้วเวลาลูกค้าถามว่าไอศครีมแต่ละรสรสชาติเป็นยังไง คุณทำยังไง

ตอนแรกผมเริ่มจากการอธิบายก่อน พอตอนหลังเราเริ่มทำไปปรับไป แล้วเราก็เริ่มมี product card ซึ่งจะเป็นสิ่งอธิบายแทนตัวเราว่า รสนี้มีนม รสนี้ไม่มีนม รสชาติเป็นยังไง ประมาณนี้

คุณเริ่มช่องทางการขายแบบออนไลน์ทางไหนบ้าง

เมื่อก่อนเรามี 2 ช่องทาง คือไลน์กับเฟซบุ๊ก ซึ่งผมตอบเองหมดเลยทุกช่องทาง ทุกขั้นตอนผมออกแบบเอง ผมตอบไลน์เอง คิดแคปชั่นเอง คิดแคปชั่นแรกเองแล้วโพสต์ ผมเขียนประมาณว่า นี่เราสั่งสมประสบการณ์มานะ นี่คือการปล่อยพลังของเราในเวฟนี้ ประมาณนี้ แล้วลูกค้าเขาก็คงจะอิน ผลตอบรับดีมาก

ในช่วงแรกๆ ตอนที่พีคๆ ผมก็งงเหมือนกัน ลูกค้าแชตมาสั่งไอศครีมกันตอนตี 2, เที่ยงคืน, ห้าทุ่ม, ตี 4 ซึ่งถ้าผมไม่เข้าไปนอนผมก็เข้าไปตอบเหมือนกัน เข้าไปรับออร์เดอร์ เพราะทุกออร์เดอร์มีความหมาย 

ที่ว่าคิดรสชาติเอง ตอนนี้ Molto มีทั้งหมดกี่รสแล้ว

จริงๆ เลย on menu เราจะมี 30-40 รส ส่วนบางรสเราจะออกมาเป็น seasonal ตลอด 2 ปีกว่าที่ผ่านมาผมออกไปร้อยกว่ารสชาติแล้ว จะมีรสออกใหม่เดือนละ 2 ครั้ง ครั้งละ 4-5 รส ประมาณนี้ เท่ากับว่าแต่ละเดือนจะมีไอศครีมมาให้ชิมใหม่ 2-5 รส

และที่บอกว่า seasonal คือ ของบางอย่างมันต้องกินตอนนั้น เพราะเรื่องวัตถุดิบด้วย มันไม่ได้มีตลอด มันมีแค่ตอนนั้น อย่างพวกรส seasonal ที่ขายดีเช่นพวก รสองุ่นไชน์มัสแคต, องุ่นเคียวโฮ, มะยงชิด, มะม่วงอกร่อง พวกนี้เป็นรส seasonal หมด 

ทำไมคุณต้องทำรสชาติไอศครีมออกมามากมายเป็นร้อยรส

ความคาดหวังของลูกค้าที่มาที่เรามันมีมากขึ้นเรื่อยๆ พูดตามตรงคือลูกค้าคาดหวังสิ่งใหม่ๆ จากแบรนด์เสมอ ไม่ใช่เฉพาะแบรนด์ผมนะ แต่เขาคาดหวังจากทุกแบรนด์ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่แต่ละแบรนด์ต้องทำ ทีนี้เราก็ต้องมาคิดว่าเราทำอะไรได้บ้าง ซึ่งสิ่งที่ทำได้คือเราออกรสใหม่ๆ ได้ ช่วงไหนมีวัตถุดิบอะไรเราก็เอามาทำเป็นรส seasonal 

คือตอนนี้ Molto นี่เหมือนเป็นเจ้านายผมนะ บังคับผมทำงานอยู่เนี่ย (ยิ้ม) เราต้องออกรสใหม่ทุกเดือน ทำอะไรใหม่ๆ ตลอด

แรงบันดาลใจในการคิดไอศครีมแต่ละรสมาจากไหน

โดยหลักผมจะเริ่มต้นจากการเข้าใจก่อนว่า วัตถุดิบนั้นคืออะไร เช่น ผมต้องเข้าใจก่อนว่ามัสตาร์ดรสเป็นยังไง สื่อสารออกมาแล้วจะเป็นยังไง องุ่นเคียวโฮคืออะไร แล้วคุณจะทำไอศครีมจากมันออกมาได้อร่อยไหม คือผมจะมีจินตนาการของผมว่ารสนี้ทำออกมาแล้วน่าจะทัชคนได้ไหม

ก่อนหน้านี้สักประมาณ 7 ปีที่แล้ว ผมไม่ทานชาเขียวเลย คือไม่ดื่มชาเขียว ดื่มแต่ชาเขียวแบบใสๆ เวลาไปร้านอาหารญี่ปุ่น แต่ถ้าเป็นพวกมัตฉะลาเต้ผมไม่ทานเลย เพราะผมรู้สึกว่าไม่อร่อย จนวันนึงผมต้องทำไอศครีมรสชาเขียว ผมก็ต้องตามหาว่าจริงๆ แล้วชาเขียวที่อร่อยมันเป็นยังไง 

ผมก็กินไปทั่วเลย ในไทยผมซื้อทุกแบรนด์มาชิม ไปต่างประเทศก็ไปชิม ไปญี่ปุ่นก็ไปชิม จนสุดท้ายผมไปจบที่มัลดีฟ คือชิมชาเขียวที่นั่นแล้วรู้สึกว่า เฮ่ย ร้านนี้อร่อย ทีนี้เราก็รู้แล้วว่าชาเขียวที่อร่อยมันจะรสประมาณนี้นะ คือเราต้องตามหาก่อนว่ารสชาติที่อร่อยของ raw material นั้นๆ คืออะไร ไม่งั้นเราไม่มีทางทำโปรดักต์ให้ออกมาอร่อยได้เลย เพราะเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า raw material คืออะไร 

คำว่า ‘อร่อย’ ที่ว่าคุณใช้อะไรวัด

พูดยาก นานาจิตตังเลยเรื่องของคำว่าอร่อย แต่ผมจะมีสิ่งที่ผมชอบ รสชาติที่ผมชอบ ซึ่งโชคดีมากเวลาผมเอารสที่ผมชอบมาทำกับไอศครีม แล้วมันไปทัชชิ่งกับลูกค้าได้โอเค 

คือต้องบอกว่าผมพยายามทำให้มันดีที่สุดเท่าที่ผมจะรู้สึกว่าอร่อยแล้วในตอนนี้ แล้วผมก็คาดหวังให้ลูกค้ามาชิม แล้วคิดเหมือนกัน แค่นั้น อย่างตอนแรกที่เราออกรสมัตฉะมา ก็มีหลายคนที่บอกว่ายังไม่ถึง ซึ่งจะเป็นกลุ่มคนที่ชอบทานเข้มมากๆ ดาร์กมากๆ สุดท้ายเราก็ออกอีกรสชาติมา เป็น Extra Dark Matcha เพื่อให้ทัชชิ่งคนกลุ่มนี้

แต่พอมันเข้มมากคนบางคนก็ทานไม่ได้ มันเข้มเกิน ผมก็ต้องบอกเขาว่า อ๋อ เดี๋ยวเอานมโรยนะ เอาครีมโรยนะ ซึ่งมันก็จะเจือจางความเข้มลง

นากจากรสชาติที่คิดเอง เห็นว่ามีรสชาติที่ไปคอลแล็บกับแบรนด์อื่น คุณมีหลักคิดยังไงในการคอลแล็บ 

ก็จินตนาการครับว่าถ้าเราคอลแล็บกับเขาแล้วเราจะทำไอศครีมรสอะไรออกมา แล้วมันจะน่าสนใจไหม เท่านั้นเลย

ผมยกตัวอย่าง อย่างไอศครีม Molto รสมัสตาร์ด มัสตาร์ดนี่ยากมากเลยครับ แล้วจริงๆ ผมไม่ค่อยทำของคาวเท่าไหร่ แต่เราก็ไปคอลแล็บกับบริษัท French’s ที่ขายมัสตาร์ด เราก็คิดว่ามาพิสูจน์กันหน่อยซิว่าถ้าเราทำลูกค้าจะกินไหม แล้วเราทำรสชาติถึงไหม ก็เลยลองหยิบโปรเจกต์นี้มาเล่นกันดู สุดท้ายรสนี้มันก็มีฟีลลิ่งของวานิลลา มีความเป็นมัสตาร์ด แต่ไม่ได้รุนแรงแอตแท็กสูง คือใส่มัสตาร์ดจริงลงไป บีบมัสตาร์ดจากขวด French’s ลงไปด้วย แต่มันจะมีแค่รสอาฟเตอร์เทสต์ ไม่ได้รุนแรงโจมตีคนที่ไม่ได้กินมัสตาร์ด ฉะนั้นมันเลยจะออกมาแบบละมุนๆ แบบวานิลลามัสตาร์ด แล้วผมก็หยิบเบอร์รีใส่เข้าไปด้วย ให้เป็นสแน็กที่ทานง่ายขึ้น

ถึงวันนี้คุณคิดว่าลูกค้าคาดหวังกับไอศครีมของคุณไหมเวลาออกรสใหม่

อย่างที่บอกคือ แพ็กเกจที่ผมขายดีที่สุดใน 2 ปีแรกคือแพ็กเกจขายเป็นกล่อง กล่องละพันนึง ผมว่าการที่เขาจะหยิบแบงก์พันออกมาซื้อไอศครีมมันไม่ง่าย เขาคาดหวัง ผมก็เครียดและกดดัน เราไม่รู้เลยว่าเขาจะชอบไหม แต่อย่างที่ผมบอก สิ่งที่เราพยายามทำก็คือ เราทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ผมว่ามันอร่อยแล้วนะในสายตาผม ผมก็ปล่อยออกไป ผมเคยแม้กระทั่งว่าลองเทสต์รสชาติในวันสุดท้ายก่อนที่เราจะ launch แล้วผมรู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ ผมสั่งเคลียร์ทิ้งทั้งหมดเลย แล้วสั่งเด็กผลิตใหม่ 

อันนี้คือสิ่งที่เราแบกรับความคาดหวังของลูกค้าอยู่ คือลูกค้าให้โอกาสเราแค่ครั้งเดียว ฉันให้โอกาสคุณพันนึง เราต้องทำให้ดีที่สุด

การมีบูทป๊อปอัพช่วยลดความคาดหวังก่อนซื้อของลูกค้าไหม

ทุกวันนี้ยังเป็นเหมือนเดิมนะ แต่ก็ดีขึ้น เพราะเรามีป๊อปอัพสโตร์ เราเริ่มมีให้ลูกค้าชิมแล้ว เราผ่านโจทย์มหาโหดตอนนั้นมาแล้ว ตอนนี้ก็ถือว่าดีขึ้น

ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ลูกค้าของ Molto คือใคร

ในช่วงเวฟ 2 ปีแรก ลูกค้าของ Molto คือครอบครัว คือคนส่วนใหญ่นิยมซื้อเป็นกล่อง กล่องนึงมี 4 พินต์ ซึ่ง 1 พินต์เทียบเท่า 16 ออนซ์ แปลว่าทั้งหมดจะเท่ากับประมาณ 18 สกู๊ป ลูกค้าที่จะซื้อไป 18 สกู๊ปก็ต้องเป็นลูกค้าที่เป็นครอบครัว หรือเป็นแฟนกัน ณ ช่วงเวฟนั้น 

แต่ถ้าถามผมตอนนี้ว่าลูกค้า Molto เป็นใคร ผมว่าได้หมดทุกคน เพราะผมเชื่อว่าทุกคนกินไอศครีมอยู่แล้ว แล้วไอศครีม Molto ก็ราคาไม่ได้แตกต่างจากร้านทั่วไปแล้ว เพราะฉะนั้นทุกคนสามารถกินได้ ด้วย portion ที่เล็กที่สุดของผมคือ 89 บาท 

ถ้าราคาไม่ต่าง แล้ว Molto ต่างจากไอศครีมแบรนด์อื่นในท้องตลาดยังไง

Molto ไม่ได้มีคอนเซปต์ที่ซับซ้อน ถ้าย้อนไปเมื่อ 9 ปีที่แล้วที่ผมเริ่มทำไอศครีม ตอนนั้นผมมองว่าผมยังไม่ชอบโปรดักต์ไอศครีมในเมืองไทย แต่ผมก็ยังไม่ได้อยากผลิตเองในตอนนั้น ผมแค่รู้สึกว่าผมไม่ชอบ และผมคิดว่ามันอร่อยได้มากกว่านี้ นี่คือโอกาสที่ผมเห็น

ถ้าถามว่าเราแตกต่างจากแบรนด์อื่นยังไง ผมคงไม่บอกว่าเราต่างจากแบรนด์อื่นยังไงนะ แต่ทุกวันนี้เราอยู่ในลู่ของเราที่เราอยากจะสื่อสารในแบบของเรานี่แหละ คือเราทำดีที่สุดในแบบที่เราจะทำได้ และเราสื่อสารกับลูกค้าแบบตรงไปตรงมามากๆ

อย่างถ้าวันนี้ผมอยากทำไอศครีมรสชาไทย ผมก็จะพยายามทำไอศครีมรสชาไทยที่อร่อยที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ถ้าผมทำยูซุผมก็จะทำแบบนั้น ถ้าผมทำสตรอว์เบอร์รีชีสเค้กผมก็คิดแบบเดียวกัน ผมทำไอศครีมรสพิสตาชิโอ้ซึ่งผมคิดว่าผมไม่ค่อยเจอไอศครีมรสนี้แบบอร่อยๆ ในเมืองไทย ผมก็พยายามทำให้อร่อยแบบ Molto มันคือความตรงไปตรงมานี้เลยที่เราสื่อสารผ่าน Molto

ขายดีขนาดนี้อยากเปิดหน้าร้านจริงจังไหม

มีไอเดียอยู่ครับ ตอนนี้เรามีป๊อปอัพสโตร์อยู่ประมาณ 8-12 ที่ ในแต่ละเดือนพอยต์หลักของเราคือเราอยากให้ลูกค้าได้ชิม เพราะลูกค้าน่าจะเห็นเรามาบ้างแล้ว แต่ยังไม่เคยได้ชิม เราก็คาดหวังให้ลูกค้าได้เข้ามาสัมผัสเรามากขึ้น จนอนาคตอันใกล้เราก็มีแพลนเหมือนกันว่าเราจะเปิดร้านเป็นออฟฟิเชียลร้านแรก ก็กำลังดูทำเลอยู่ และต้องเป็นในกรุงเทพฯ ก่อนอยู่แล้ว

อย่างอนาคตอันใกล้ที่เรามองเห็น ผมคิดว่า Molto น่าจะมีหน้าร้านสัก 40-50 ที่ในไทย ส่วนเรื่องต่างประเทศเดี๋ยวค่อยมาว่ากัน อันนี้คือสิ่งที่ผมคาดหวังนะ แต่สุดท้ายเราต้องมาดูก่อนว่าเราพร้อมที่จะไปตอนไหน คือผมไม่ซีเรียสว่าเราต้องไปถึงเป้าของเราภายในระยะเวลาเท่าไหร่ เราต้องดูก่อนว่าเราพร้อมไหม คือที่สำคัญเลยคือเราต้องแข็งแรงก่อน

เขาว่ากันว่า Molto ยิงแอดฯ เก่งมากในโลกออนไลน์จริงไหม

คือผมก็ต้องทำยังไงก็ได้ให้คนเห็น เพราะเราไม่มีหน้าร้านนี่ครับในสองปีแรก เพราะฉะนั้น 2 ปีแรกหน้าร้านของเราคือสื่อ เราต้องทำยังไงก็ได้ให้คนเห็นเรา รูปเราน่ากินไหม รสชาติเราน่าสนใจไหม คือแม้เขายังไม่ได้ชิม แต่เขาก็สามารถเสพได้จากสื่อเหล่านี้แหละครับ คือเราต้องทำให้เขาเห็นจนอยากจะกิน เราพยายามบอกลูกค้าว่า เราตั้งใจทำรสนี้ออกมานะ เรามีรูปให้คุณดูนะ 

สุดท้ายคือเราพยายามทำไอศครีมที่ดีที่เราพึงจะทำได้ในต้นทุนที่เรามี สื่อสารไปหาลูกค้า นี่คือสิ่งที่เราทำ และเราทำมาตลอด 2 ปีกว่าๆ

แล้วผมก็เคยได้รับคอมเมนต์นึงของลูกค้าซึ่งผมชอบนะ เขาบอกว่าไอศครีมของเราเป็นไอศครีมที่ตรงปก 

ทำไมช่วงนี้ห้างสรรพสินค้าใหม่ผุดขึ้นมากมาย ธุรกิจค้าปลีกในไทยกำลังจะกลับมาดีจริงไหม

หากย้อนดูไทม์ๆไลน์ในช่วงปลายปี 2565 ที่ผ่านมา จะเห็นว่าในช่วงเวลานี้มีห้างสรรพสินค้าเกิดขึ้นใหม่มากมายจนแทบตามไปช้อปปิ้งไม่ทัน

เริ่มตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2565 กลุ่มเซ็นทรัล รีเทล หรือ CRC เปิดตัว ‘Tops Club’ ห้างค้าปลีกโมเดลระบบสมาชิก ที่เน้นสินค้านำเข้าแบรนด์ดังจากทั่วทุกมุมโลก และครอบคลุมสินค้าหลากหลายหมวดหมู่ เช่น ของเล่น, อุปกรณ์กีฬา, อุปกรณ์กลางแจ้ง, ของใช้ภายในบ้าน, เครื่องใช้ไฟฟ้า, อาหารสด, อาหารแช่แข็ง, อาหารแห้ง, ขนม-เบเกอรี และเครื่องดื่มต่าง ๆ รวมแล้วมีสินค้ากว่า 3,500 รายการ ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังศูนย์การค้าเซ็นทรัลพระราม 2 โดยมีพื้นที่กว่า 15,000 ตารางเมตร

3 ตุลาคม 2565 บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในบริษัทของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี เปิดตัว ‘Silom Edge’ โครงการมิกซ์ยูส โดยขณะนี้เปิดให้บริการเฟสแรก เฉพาะชั้น G และ B มีจุดเด่นคือ ให้บริการร้านอาหารตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมถนนสีลม ซึ่งพื้นที่ทั้งโครงการรวมแล้วมากกว่า 50,000 ตารางเมตร 

20 ตุลาคม 2565 เครือแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เปิดตัว ‘Terminal 21 พระราม 3’ ศูนย์การค้าติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเน้นการเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งมีพื้นที่กว่า 140,000 ตารางเมตร

นอกจากนี้ยังมีโครงการอื่นๆ ที่กำลังจะเปิดให้บริการตามมาอีกหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็น ‘ICS’ โครงการมิกซ์ยูส ที่ต่อยอดจาก ICONSIAM เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าแมส ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามไอคอนสยาม โดยพื้นที่ทั้งโครงการรวมแล้วมากกว่า 70,000 ตารางเมตร ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการภายในไตรมาส 4 ของปีนี้

‘THE EMSPHERE’ ที่คอนเซปต์คือศูนย์การค้าแห่งอนาคตที่ไม่เคยหลับไหล ที่รวบรวมทั้งโซนสินค้าแฟชั่น โซนสินค้าไลฟ์สไตล์ โซนอาหารศูนย์รวม และโซนแหล่งแฮงเอาต์กลางคืน ไว้ในที่เดียว ในพื้นที่กว่า 200,000 ตารางเมตร จาก The Mall Group โดยจะเปิดบริการในช่วงเดือนธันวาคมปีหน้า

‘นอร์ธ ราชพฤกษ์’ ศูนย์กลางสำหรับการช้อปปิ้ง กิน ดื่ม เที่ยว และการใช้ชีวิตในแบบ 24 ชั่วโมง โดยมีโลตัสเป็นเจ้าของ ตั้งอยู่บนถนนราชพฤกษ์ ซึ่งมีพื้นที่กว่า 30,000 ตารางเมตร เตรียมเปิดภายในปีนี้

จะเห็นได้ว่าแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่กลับมีห้างขนาดใหญ่เกิดขึ้นถึง 6 แห่งด้วยกัน สิ่งที่น่าสนใจ ทำไมหลายบริษัทถึงเลือกเปิดห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้ากันสูงในช่วงนี้

คำตอบคือ ‘ธุรกิจค้าปลีกกำลังฟื้นตัวดีขึ้น’ นั่นเอง ซึ่งคำว่าธุรกิจค้าปลีกกำลังฟื้นตัวดีขึ้นนี้ก็อธิบายได้ด้วยข้อมูลจาก Economic Intelligence Center โดยสัญญาณการฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีกนั้นมาจาก 2 เหตุผลหลักๆ ด้วยกัน

เหตุผลแรกคือคนไทยมีพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยที่สูงขึ้น โดยในปี 2564 รายได้ต่อหัวคนไทย อยู่ที่ 232,160 บาทต่อคนต่อปี ขณะที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติก็คาดการณ์ว่าในปี 2565 รายได้ต่อหัวคนไทย อยู่ที่ 252,464 บาทต่อคนต่อปี คิดเป็นการเติบโตจากปีก่อนหน้า 8.7%

อีกทั้งการผ่อนคลายมาตรการโควิดก็ทำให้ผู้คนสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้มากกว่าเดิม ทั้งยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่คอยส่งเสริมให้ผู้คนเริ่มใช้จ่ายมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ pent-up Demand หรือกลุ่มคนที่มีกำลังซื้ออัดอั้นการจับจ่ายใช้สอยมานานจากสถานการณ์โควิด-19 ดังนั้นเมื่อสถานการณ์เริ่มกลับมาปกติ คนเหล่านี้จึงกลับมาใช้จ่ายกันสูงอีกครั้ง

ส่วนเหตุผลที่สองก็มาจากการที่ภาคท่องเที่ยวฟื้นตัว จากการที่รัฐเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศ ซึ่งตั้งแต่เดือนมกราคมถึงสิงหาคมของปี 2565 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในไทยกว่า 4 ล้านคน การเข้ามาของนักท่องเที่ยวจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศได้เป็นอย่างดี

นอกเหนือจากเรื่อง timing หรือเวลาที่น่าสนใจแล้ว สาเหตุที่บริษัทในไทยนิยมเปิดห้างกันก็มาจากพฤติกรรมของคนไทยที่นิยมพักผ่อนหย่อนใจด้วยการเข้าห้าง เพราะตอบโจทย์ความสะดวกสบาย สามารถทำได้หลายกิจกรรมในที่เดียว ตั้งแต่การกิน การช้อปปิ้ง ความบันเทิง จนไปถึงการสังสรรค์ จึงไม่น่าแปลกใจ ที่บริษัทต่างๆ จะหันมาสนใจเปิดค้าปลีกที่ตอบโจทย์ความเป็น one- stop service กันมากขึ้น

นอกจากนี้นี่ยังถือเป็นปีสำคัญของเซ็นทรัลที่มีอายุครบ 75 ปี จึงทำให้เซ็นทรัลจัดแคมเปญฉลอง ทำโปรโมชั่นครั้งใหญ่ และเมื่อยักษ์ใหญ่ของวงการเคลื่อนตัว ก็ย่อมสร้างแรงสั่นสะเทือนให้มูลค่ารวมของตลาดค้าปลีกกระเตื้องตัวตามไปด้วย

โดยจากทั้งหมดทั้งมวลที่เล่ามานี้ก็ทำให้มีการคาดการณ์กันว่ามูลค่าตลาดค้าปลีกของไทยปี 2565 จะมีมูลค่า 3.45 ล้านล้านบาท ซึ่งเติบโตจากปีก่อนถึง 11% และมีมูลค่าเทียบเท่ากับปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะเกิดโควิด-19 นั่นเอง ส่วนสุดท้ายจะเป็นไปตามที่คาดการณ์ไหมเป็นสิ่งที่ต้องติดตาม

ทำไมขายแค่ 4 ชั่วโมง? คุยกับผู้อยู่เบื้องหลังและฟังเรื่องราวกว่าจะมาเป็น In-N-Out Burger

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องกินนั้นอยู่ในสายเลือดนักชิมชาวไทย โดยเฉพาะกับความพยายามในการลิ้มลองรสชาติของกินแบรนด์ใหม่ๆ ตัวอย่างที่ผ่านมาก็มีทั้งโดนัทแบรนด์ดังจากอเมริกาอย่าง Krispy Kreme หรือขนมปังอบสัญชาติมาเลเซียอย่าง Rotiboy ก็เคยสร้างความสั่นสะเทือนและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าคนไทยไม่ลดราวาศอกให้ใครทั้งสิ้นถ้าเป็นเรื่องการต่อคิวเพื่อซื้อของอร่อย

วันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 ที่ชั้น G ของห้าง Siam Discovery เราได้เห็นปรากฏการณ์การต่อคิวแบบนั้นอีกครั้ง กับการเปิดป๊อปอัพสโตร์ของ ‘In-N-Out Burger’ แบรนด์เบอร์เกอร์ชื่อดังจากฝั่งเวสต์โคสต์ของอเมริกา

การเปิดป๊อปอัพสโตร์คราวนี้ของ In-N-Out Burger นั้นไม่ธรรมดา เพราะพวกเขาเลือกเปิดในวันและเวลาที่ถือว่าปราบเซียน โดยเปิดในวันธรรมดาช่วงกลางสัปดาห์และเปิดเพียงแค่ 4 ชั่วโมง ตั้งแต่ 12:00-16:00 น. เท่านั้น

เราไปถึงที่หน้าร้านประมาณ 14:00 น. แต่ปรากฏว่าเบอร์เกอร์ทั้งหมดที่เตรียมมาขายหมดเสียแล้ว เป็นอีกครั้งที่พิสูจน์ข้อสันนิษฐานที่ว่า วงการการต่อคิวซื้อของกินของคนไทยไม่แพ้ชาติใดจริงๆ  

เท่ากับว่า In-N-Out Burger ขายหมดเกลี้ยงภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง แถมยังมีผู้เดินทางมายังหน้าร้านอย่างไม่ขาดสาย แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะนำเชือกกั้นมากั้นทางเข้าร้านแล้วก็ตาม

ถึงจะผิดหวังจากการได้ชิมเบอร์เกอร์ แต่อย่างน้อยวันนี้เราก็ได้พบกับชาวแคลิฟอร์เนียน ลูอิส เออร์นานเดซ (Luis Hernandez) ผู้จัดการฝ่ายอีเวนต์ต่างประเทศของ In-N-Out Burger อีกหนึ่งผู้อยู่เบื้องหลังป๊อปอัพสโตร์ที่เราเห็น

หลายคำถามที่ค้างคาใจจากปรากฏการณ์ตรงหน้าจึงคลี่คลายเมื่อเราได้สนทนากับเขา ซึ่งหลายคำถามเราเชื่อว่าน่าจะเป็นสิ่งที่หลายคนสงสัยเช่นกัน

ลูกค้าชาวไทยมากันมากมาย อยากรู้ว่าทำไมตัดสินใจเปิดขายแค่ 4 ชั่วโมง

คือเราคิดว่ามันน่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วนะ (ยิ้ม)

ความจริงก็คือว่า จำนวนคนที่เราพามาจากแคลิฟอร์เนียค่อนข้างจำกัด เราพามาได้เพียงแค่บางคนและบางส่วนเท่านั้น แถมวัตถุดิบบางอย่าง เช่น พวกขนมปัง ชีส พริกดอง และซอสต่างๆ เราก็ส่งตรงมาจากแคลิฟอร์เนีย ดังนั้นเราคำนวณแล้วว่าจากจำนวนคนที่เราพามาและจำนวนวัตถุดิบที่เรานำมา 4 ชั่วโมงน่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสม และคุณลองดูสิ มันเป็นป๊อปอัพที่สวยงามและประสบความสำเร็จมากเลยนะวันนี้ คนเป็นร้อยๆ คนมาต่อคิวเพื่อรอกินเบอร์เกอร์เรา มันเป็นภาพที่งดงามมากนะ

หมายความว่าคนที่อยู่ในครัวในร้านป๊อปอัพวันนี้ล้วนมาจากแคลิฟอร์เนีย

ใช่ พวกเขาถูกส่งตรงมาจากแคลิฟอร์เนีย เราเอาคนที่มีประสบการณ์สูงและสามารถทำเบอร์เกอร์ได้อย่างยอดเยี่ยมมาเพื่อวันนี้วันเดียวเลย

กำลังคนและวัตถุดิบที่เตรียมมาวันนี้ผลิตเบอร์เกอร์ได้มากแค่ไหน

เราเตรียมมาสำหรับผลิตเบอร์เกอร์ประมาณ 600 ชิ้น ทั้งเฟรนช์ฟรายส์ก็เช่นกัน ประมาณ 600 ชุด

แล้วทำไมเลือกเปิดวันธรรมดาซึ่งคนส่วนใหญ่ทำงาน

ผมว่าผลลัพธ์มันออกมาสวยงามนะ กับการมาเปิดวันธรรมดา ผมคิดว่าถ้ามาเปิดวันหยุดนี่สงสัยคนคงจะมากมายมหาศาลกว่านี้แน่เลย (ยิ้มกว้าง)

อะไรทำให้คุณตัดสินใจเลือกมาเปิดป๊อปอัพสโตร์ที่กรุงเทพ

แล้วทำไมเราจะไม่มาล่ะ (หัวเราะ) คือจริงๆ แล้วเราอยากออกไปท่องโลกกว้างอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ แล้วกรุงเทพก็เป็นเมืองที่ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมทั้งอาหาร ทั้งผู้คน ดังนั้นเราแฮปปี้ที่จะมาที่นี่อยู่แล้ว

จากภาพที่เห็น คุณคิดยังไงกับลูกค้าชาวไทย

จากจำนวนคนวันนี้ ผมว่าพวกเขาดูรักเบอร์เกอร์ของเรานะ พวกเขาดูแฮปปี้มาก ยิ้มกว้างกันทุกคนเลยหลังกินเสร็จ ผมคิดว่าพวกเขาคงจะรู้สึกยอดเยี่ยม และนั่นคือความสำเร็จของผมและทีมแล้ว ผมนี่ซึ้งใจเลยตอนเห็นคนเป็นร้อยๆ มาต่อแถวเพื่อรอกิน Double Double 

สุดท้าย In-N-Out Burger มีแผนจะมาเปิดร้านที่เมืองไทยบ้างไหม

ณ ตอนนี้เรายังไม่มีแผนแน่นอนว่าจะมาเปิดร้านที่ไทยเมื่อไหร่ แต่วันนี้ที่เรามานี่เราลองมาทดลองตลาดดูก่อน ถือเป็นการวิจัยตลาดไปด้วย ซึ่งก็อย่างที่เห็นเลย การตอบรับดีมากเลยในวันนี้

หลังจบบทสนทนาสั้นๆ ทำให้เรานึกถึงการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลเป็นหลักหลายพันไมล์จากอเมริกามาถึงประเทศไทยเพื่อมาเปิดป๊อปอัพสโตร์ 

การที่ร้านเบอร์เกอร์จากแคลิฟอร์เนียนี้ได้รับการต้อนรับอย่างล้นหลามหาใช่ความบังเอิญ หากแต่มันเกิดจากการใส่ความตั้งใจในรายละเอียดและพิถีพิถันทุกขั้นตอนในการทำเบอร์เกอร์แต่ละชิ้น ตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้งแบรนด์

California Burger

ปี 1948, บอลด์วินปาร์ก, แคลิฟอร์เนีย

จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดมาจาก แฮร์รี่ สไนเดอร์ (Harry Snyder) ชายหนุ่มเชื้อสายแคนาเดียนวัย 35 ที่ย้ายถิ่นที่อยู่จากซีแอตเทิลมาอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย หลังแต่งงานกับภรรยา เอสเทอร์ จอห์นสัน (Esther Johnson) เขาหวังว่าวิชาความรู้ที่เขาเคยมีติดตัวมาจากการทำงานร้านเบอร์เกอร์ที่ซีแอตเทิลจะช่วยให้เขาสามารถเปิดร้านเบอร์เกอร์และเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนรักของเขาได้ที่นี่–แคลิฟอร์เนีย

ทุกๆ เช้าแฮร์รี่จะเดินไปจ่ายตลาดเพื่อเลือกซื้อเนื้อและผักด้วยตัวเอง เขาหยิบจับผักกาดทุกต้น พลิกมันไปมาเพื่อดูว่ามันสวยพอหรือยัง ยังสดดีอยู่ใช่ไหม ก่อนจะจ่ายเงินให้เจ้าของร้าน แฮร์รี่ทำแบบเดียวกันนี้เมื่อเดินเข้าไปในร้านขายเนื้อเช่นกัน แฮร์รี่พลิกดูเนื้อทีละชิ้นๆ ว่าสดที่สุดหรือเปล่า คุณภาพของเนื้อมันดีพอที่เขาจะเอามาทำเบอร์เกอร์ในร้านแล้วใช่ไหม ก่อนเขาจะหยิบแบงก์ดอลลาร์จ่ายเงินซื้อเนื้อกับพ่อค้า 

เมื่อกลับมาถึงที่ร้านแฮร์รี่จะเตรียมวัตถุดิบเพื่อให้พร้อมที่จะขายเบอร์เกอร์เองทุกอย่าง เนื้อทุกชิ้นที่ถูกปั้นจนเป็นก้อนก่อนย่างลงบนเตาก็มาจากการปั้นมือของแฮร์รี่ทั้งสิ้น ในขณะที่เอสเทอร์ ผู้เป็นภรรยาก็ขะมักเขม้นในการดูแลบัญชีค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้กับสามี 

อาจเพราะเงินทุนของแฮร์รี่ที่ยังมีไม่มากในตอนนั้น ด้วยทุนที่มีอย่างจำกัดและเขาเพิ่งเริ่มต้นชีวิตครอบครัว แฮร์รี่จึงต้องเปิดร้านขายเบอร์เกอร์ในพื้นที่เพียงแค่ประมาณ 10 ตารางฟุตในบอลด์วินปาร์ก แคลิฟอร์เนีย พื้นที่เพียงแค่ประมาณ 10 ตารางฟุตเท่านั้น หากจินตนาการตามคงนึกไม่ออกว่าพื้นที่เพียงเท่านั้นจะสามารถเปิดร้านอาหารได้ยังไง

การขายเบอร์เกอร์ในร้านที่มีพื้นที่จำกัดขนาดนี้จึงไม่สามารถมีโต๊ะอาหารบริการลูกค้าให้ลูกค้านั่งกินในร้านได้ เพราะด้วยลำพังส่วนหลังบ้าน ส่วนครัว ส่วนเคาน์เตอร์ของร้านก็กินพื้นที่ไปมากแล้ว แฮร์รี่จึงทำได้เพียงแค่ขายเบอร์เกอร์แบบ take away ก็คือลูกค้าต้องขับรถมาที่ร้าน จอดรถ แล้วเดินมาที่ร้านเพื่อซื้อเบอร์เกอร์ 

in-n-out.com

10 ตารางฟุต แห่งความท้าทาย

ด้วยหัวใจความเป็นนักธุรกิจและความเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ หรือถ้าเป็นศัพท์สมัยนี้ เราคงเรียกว่าแฮร์รี่เป็นคนที่มี growth mindset คือเชื่อในการทำงานหนัก ใส่ใจรายละเอียดและไม่ยอมแพ้ต่อปัญหา ในเมื่อปัญหาที่เขาเผชิญอยู่คือพื้นที่อันจำกัด ทำให้ลูกค้าไม่มีที่นั่งกินในร้าน ไหนลูกค้าจะต้องจอดรถเพื่อเดินลงมาซื้อเบอร์เกอร์อีก มันดูเหมือนกับว่าลูกค้าต้องใช้ความพยายามหลายขยักเพื่อซื้อของของเขาเสียเหลือเกิน

ทีนี้ เขาจะทำยังไงเพื่อให้ลูกค้าสะดวกและสบายกว่านี้ ในพื้นที่ที่ยังมีจำกัดอยู่เพียงแค่ 10 ตารางฟุต

แฮร์รี่ใช้เวลาในตอนเช้าไปจ่ายตลาด ตอนกลางวันทำเบอร์เกอร์ และตอนกลางคืนในโรงรถ สิ่งที่แฮร์รี่ทำในทุกค่ำคืนคือ เขาพยายามที่จะพัฒนาลำโพงให้เป็นลำโพงที่สามารถสื่อสารได้สองทาง พูดง่ายๆ คือลำโพงจะต้องทำหน้าที่ส่งเสียงออกมาได้เมื่อเขาพูด และลำโพงตัวเดิมนั้นเองจะต้องทำหน้าที่เป็นไมโครโฟนส่งเสียงกลับไปหาคนอีกฝั่งได้ด้วย

และแฮร์รี่ก็ทำสำเร็จ!

ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มที่หลงรักการทำเบอร์เกอร์จนเปิดร้านของตัวเอง จะสามารถดัดแปลงอุปกรณ์ในโรงรถให้กลายเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ต่อมากลายเป็นสิ่งที่พลิกโฉมหน้าวงการอาหารฟาสต์ฟู้ดและวงการ drive-thru ได้ไปตลอดกาล

in-n-out.com

เปลี่ยนข้อจำกัดให้เป็น drive-thru

สิ่งที่แฮร์รี่คิดค้นในวันนั้นมันอนุญาตให้เขาสามารถติดตั้งเจ้าลำโพงตัวนี้ไว้ที่บริเวณร้าน และปลายสายอีกข้างติดตั้งอยู่ในครัว ลูกค้าไม่จำเป็นที่จะต้องลงจากรถแต่สามารถสั่งเบอร์เกอร์จากคนในครัวได้ทันที ทั้งๆ ที่ยังนั่งอยู่บนรถ ลูกค้าเพียงแค่ลดกระจกลงเพื่อสั่งเบอร์เกอร์ จ่ายเงินและรับเบอร์เกอร์ไปกินอย่างอร่อยได้ ทั้งหมดนี้ลูกค้าไม่แม้แต่กระทั่งต้องดับเครื่องและลงจากรถเลย การขายแบบ drive-thru อาจจะเป็นเรื่องธรรมดาในโลกยุคนี้แต่ย้อนกลับไปเมื่อ 74 ปีที่แล้ว นี่คือเทคโนโลยีที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของธุรกิจของแฮร์รี่เลยทีเดียว

เราอาจพูดได้ว่า แฮร์รี่กำลังหาช่องทางเปลี่ยนวิกฤตของร้านเขาที่มีพื้นที่น้อย ไม่มีโต๊ะนั่งกิน ให้กลายเป็นโอกาส คือ ลูกค้าไม่ต้องนั่งกินในร้านก็ได้แต่คุณจะสะดวกสบายเมื่อขับรถมาซื้อเบอร์เกอร์ที่ร้านเรา

ด้วยความพิถีพิถันในการทำเบอร์เกอร์ของแฮร์รี่ที่ใส่ใจในรายละเอียด ด้วยนวัตกรรมลำโพงสื่อสาร 2 ทางที่ทำให้แฮร์รี่สามารถขายแบบ drive-thru ได้ และด้วยยุคนั้นที่สหรัฐอเมริกาเริ่มมีทางหลวงเกิดขึ้นมากมายในประเทศ นั่นหมายความว่า เหล่าอเมริกันชนสามารถเดินทางท่องเที่ยวข้ามเมืองข้ามรัฐกันได้อย่างสะดวกสบาย

ด้วยทุกเหตุที่ว่า ทำให้ผลของมันเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ In-N-Out Burger 

ในยุคนั้นเองที่ธุรกิจ In-N-Out Burger กลายเป็นจุดพักผ่อนและพักรถของเหล่าบรรดาผู้ใช้ถนนและทางหลวง ด้วยเทคโนโลยีลำโพงสื่อสารสองทางและการสร้างช่องทางการซื้อ- ขายแบบ drive-thru ของแฮร์รี่

in-n-out.com

Double-Double ทุกอย่างต้องคิดแบบดับเบิล

แฮร์รี่และเอสเทอร์สามารถขยายธุรกิจ In-N-Out ได้เรื่อยๆ อย่างเนิบช้า อาจเป็นเพราะว่าสองสามีภรรยาพยายามทำให้ In-N-Out Burger เป็นธุรกิจที่บริหารกันเองและจัดการกันเองในครัวเรือนมากที่สุด ตั้งแต่วันแรกๆ หรือแม้ในวันที่สามารถขยายสาขาออกไปได้หลายต่อหลายสาขา ทั้งแฮร์รี่และเอสเทอร์ก็ยังคงตั้งใจและใส่ใจกับคุณภาพของเบอร์เกอร์อยู่เสมอ เพราะพวกเขาถือว่านี่คือหัวใจหลักของธุรกิจ In-N-Out Burger

และเบอร์เกอร์ที่เป็นซิกเนเจอร์ของร้านที่ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1963 และยังคงขายดีในปัจจุบันทั้งในอเมริกาและทั้งป๊อปอัพสโตร์ที่เปิดที่ไทย คือ Double-Double 

เจ้าเบอร์เกอร์ Double-Double มีลักษณะตามชื่อแบบตรงไปตรงมา คือประกอบไปด้วยเนื้อสองก้อน อเมริกันชีสสองแผ่น ผักกาดแก้ว มะเขือเทศ หอมใหญ่ และซอส ทุกวัตถุดิบถูกจัดหนักจัดเต็มดับเบิลแบบคูณสองสมชื่อ

ถ้าตอนที่แฮร์รี่สร้างลำโพงสื่อสารสองทางในปี 1948 ถือว่าเป็นนวัตกรรมที่เปิดทางให้ธุรกิจ In-N-Out Burger สามารถเปิดตลาดกับกลุ่มคนที่ขับรถมาซื้อเบอร์เกอร์และเป็นการอำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกค้าแล้ว อีก 23 ปี ต่อมา ในขณะที่ In-N-Out เริ่มมีฐานแฟนเบอร์เกอร์มากมาย In-N-Out Burger สามารถขยายสาขาไปได้นับสิบสาขา แถม In-N-Out ได้กลายเป็นแบรนด์เบอร์เกอร์ที่สามารถแย่งชิงพื้นที่ในใจคอเบอร์เกอร์ในฝั่งเวสต์โคสต์ แฮร์รี่เองยังคงไม่หยุดความคิดสร้างสรรค์ของเขา

in-n-out.com

เมื่อเขารู้ดีแก่ใจว่าธุรกิจของเขาเกิดมาจากการขายแบบ drive-thru นั่นหมายความว่าลูกค้าของเขาจำนวนไม่น้อยคือลูกค้าที่ขับรถ ไม่ว่าจะขับมาจากพื้นที่ใกล้ๆ ร้าน In-N-Out Burger หรือลูกค้าที่มาจากต่างเมืองแล้วขับรถมาเที่ยว จึงจอดแวะพักผ่อนที่ In-N-Out Burger เพื่อกินเบอร์เกอร์

แฮร์รี่จึงมีไอเดียว่า มันคงจะดีไม่น้อยถ้ากระดาษที่เสิร์ฟบนถาดรองจะเป็นมากกว่ากระดาษรองถาดเพียงเพื่อกันถาดเลอะ แฮร์รี่จึงตัดสินใจเปลี่ยนลายพิมพ์บนกระดาษรองถาดให้เป็นแผนที่ หมายความว่า หากลูกค้าคนไหนขับรถมาจากต่างเมืองแล้วมองหาแผนที่คุณสามารถหยิบกระดาษรองถาดไปเป็นแผนที่เที่ยวเมืองที่คุณไปอุดหนุน In-N-Out Burger ได้เลย

แฮร์รี่เสียชีวิตในปี 1976 ในขณะที่แฮร์รี่เสียชีวิต In-N-Out Burger สามารถขยายสาขาไปได้ถึง 18 สาขา หลังจากนั้น ริช สไนเดอร์ (Rich Snyder) ลูกชายคนเล็กของเขาก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้สืบทอดกิจการและสามารถขยาย In-N-Out Burger ออกไปได้จนถึง 93 สาขาในปี 1993 แต่ริชก็ต้องมาเสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุทางเครื่องบิน 

ต่อมาทั้งเอสเทอร์และกาย (Guy Snyder) พี่ชายของริช จึงเข้ามาบริหารกิจการแทนและนำพา In-N-Out Burger ขยายสาขาได้ถึง 140 สาขา และมีมูลค่ามากกว่า 200 ล้านดอลลาร์

ต่อมาเมื่อทั้ง 2 เสียชีวิต กิจการทั้งหมดจึงถูกส่งต่อไปยังมาร์ก เทย์เลอร์ (Mark Taylor) ผู้มีศักดิ์เป็นญาติของตระกูลสไนเดอร์ จนกระทั่งปี 2010 ลินซี สไนเดอร์ (Lynsi Snyder) หลานแท้ๆ ของแฮร์รี่จึงมารับหน้าที่ดูแลกิจการทั้งหมดของ In-N-Out Burger ด้วยวัย 27 ปี ในขณะนั้น In-N-Out Burger มีอยู่ทั้งหมด 251 สาขาและมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 550 ล้านดอลลาร์ และลินซียังคงดูแล In-N-Out Burger อยู่จนถึงปัจจุบัน

in-n-out.com

เบอร์เกอร์และเงินเฟ้อ

คำถามสำคัญที่ทุกคนสงสัยเกี่ยวกับ In-N-Out Burger คงหนีไม่พ้นเรื่องราคาขายของเบอร์เกอร์ที่ดูไม่สัมพันธ์กับค่าเงินเฟ้อเอาเสียเลย

ในขณะที่เงินเฟ้อมากขึ้นทุกปี และราคาเบอร์เกอร์จากแบรนด์อื่นปรับตัวสูงขึ้นตามค่าเงินเฟ้อ แต่ In-N-Out Burger กลับปรับราคาขึ้นเฉลี่ยต่ำกว่าค่าเงินเฟ้อในประเทศ

คำถามสำคัญคือ In-N-Out Burger ยังคงรักษามาร์จินกำไรไว้ได้ยังไง?

Forbes เคยวิเคราะห์คำตอบของคำถามนี้เอาไว้ว่า น่าจะเกิดจากการขายเมนูอันจำกัดของ In-N-Out Burger เมื่อ In-N-Out Burger มีเมนูไม่มาก นั่นหมายความว่าแบรนด์สามารถซื้อวัตถุดิบล็อตใหญ่มากๆ ในราคาต่ำได้ แถม In-N-Out Burger ยังทำการหาวัตถุดิบและดูแลการขนส่งวัตถุดิบไปยังสาขาต่างๆ ด้วยตนเอง ตรงนี้เองที่ค่าใช้จ่ายน่าจะลดลงประมาณ 3-5% ต่อปี ต่อมาคือเรื่องสถานที่ที่ In-N-Out Burger ไปตั้งร้านอยู่ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสถานที่ที่ In-N-Out Burger เป็นเจ้าของเอง ตรงนี้ก็สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายรายปีไปได้อีกประมาณ 6-10% ต่อปี

ทั้งหลายทั้งมวลที่เกิดจากการวิเคราะห์คงไม่สู้การได้ฟังปากคำจากปากของคนที่นั่งแท่นบริหารสูงสุดของ In-N-Out Burger ว่าเธอมีมุมมองยังไงในการนำพา In-N-Out Burger ให้เดินไปข้างหน้าในสมรภูมิธุรกิจฟาสต์ฟู้ด

“ฉันคิดว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับการคิดโปรดักต์ใหม่ๆ นะ…เราทำเบอร์เกอร์แบบเดิม สูตรเดิม เฟรนช์ฟรายส์ก็สูตรเดิม…แต่เราดูแลทุกอย่างแบบละเอียดยิบ และเรามีกลยุทธ์ เราไม่ประนีประนอมในเรื่องนี้”

ลินซี สไนเดอร์ หลานสาวแท้ๆ ของแฮร์รี่ผู้สืบทอดเจตนาของคุณปู่ให้สัมภาษณ์กับ Forbes ถึงการบริหารบริษัทมูลค่า 30,000 ล้านในยุคที่การแข่งขันธุรกิจอาหารช่างเข้มข้น

In-N-Out คือหนึ่งในชาวฮอลลีวูด

นอกจากการเป็นแบรนด์เบอร์เกอร์ขวัญใจชาวเวสต์โคสต์แล้ว In-N-Out Burger ยังอาจถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของแคลิฟอร์เนีย จนหลายต่อหลายปีที่ In-N-Out Burger ได้ถูกนำไปเสิร์ฟให้กับเหล่าคนดัง ดารา ทีมงานที่ได้เข้าขิงรางวัลออสการ์และเข้าร่วมงานประกาศผล

เช่นในปี 2014 Vanity Fair บันทึกสถิติไว้เลยว่ามีการเสิร์ฟ In-N-Out Burger ถึง 1,424 ชิ้นในงานปาร์ตี้หลังประกาศผลรางวัลออสการ์ หรือจะในปี 2022 ที่ In-N-Out Burger ยังคงได้รับเชิญให้ไปเสิร์ฟเบอร์เกอร์ในงานปาร์ตี้หลังประกาศรางวัลจนนักแสดงชื่อดังชาวออสเตรเลีย Rebel Wilson ถึงกับเอ่ยปากว่า

“ฉันว่างานปีนี้ที่น่าสนใจนี่เพราะว่ามี In-N-Out Burger มาเสิร์ฟในงานเลยนะ…ฉันรัก In-N-Out เพราะมันช่างแคลิฟอร์เนีย และมันช่างฮอลลีวูดเอาเสียเหลือเกิน”

นอกจากจะเป็นแบรนด์เบอร์เกอร์ขวัญใจชาวเวสต์โคสต์ของอเมริกา ดูเหมือนกับว่าวันนี้ In-N-Out Burger ได้กลายเป็นตัวแทนฝั่งอาหารจากรัฐแคลิฟอร์เนีย 

คิดถึงแคลิฟอร์เนีย คิดถึง In-N-Out Burger

ถือเป็นแบรนด์เบอร์เกอร์ที่สร้างทั้งรอยยิ้มและความอิ่มเอมในหัวใจและในกระเพาะของชาวฮอลลีวูด ชาวเวสต์โคสต์ รวมถึงวันนี้ที่ In-N-Out Burger เดินทางมาเสิร์ฟรอยยิ้มไกลถึงใจชาวกรุงเทพฯ 

แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงแค่ 4 ชั่วโมงเท่านั้นก็ตาม

อ้างอิง

A Katanyu Comedy Club ร้านขายขำที่สร้างกำไรด้วยการขยายเสียงหัวเราะ

เมื่อประมาณ 3 เดือนที่ผ่านมา การเกิดขึ้นของคลับแห่งหนึ่งทำให้เราได้ยินเสียงหัวเราะของผู้คนจากแถวสามย่านมากกว่าที่เคย

A Katanyu Comedy Club คือคลับเล็กๆ ขนาดเกือบ 50 ที่นั่ง ที่ตั้งอยู่บนชั้น 2 ของโครงการ Space & Co แถวสามย่าน ในร้านมีเครื่องดื่มและอาหารทานเล่นพร้อมเสิร์ฟตามแบบฉบับของคลับทั่วๆ ไป แต่ที่ไม่เหมือนใครคือโชว์สแตนด์อัพคอเมดี้จากเหล่าคอเมเดี้ยนชาวไทยที่จะผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมาสร้างความฮาในบางที (หรือความเงียบในบางครั้ง) ให้คุณได้ฟังกันในแต่ละวัน

เรามีนัดกับ ยู–กตัญญู สว่างศรี เพื่อพูดคุยถึงเบื้องหลังของคลับแห่งนี้ หากใครเคยติดตามวงการสแตนด์อัพคอเมดี้ในเมืองไทยอาจจะเคยคุ้นหูกับชื่อของเขามาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นในฐานะคอเมเดี้ยนที่หาญกล้าจัดโชว์สแตนด์อัพคอเมดี้ของตัวเองขึ้นมาเมื่อ 6 ปีก่อน, หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง ‘ยืนเดี่ยว’ คอมมิวนิตี้ของผู้รักสแตนด์อัพคอเมดี้ ที่คอยจัดอีเวนต์ให้ผู้เล่นและผู้ชมได้มาเจอกันอยู่เสมอ และล่าสุดคือในฐานะเจ้าของร้าน A Katanyu Comedy Club ที่เรากำลังยืนอยู่ตอนนี้

“พี่ยู ขอถ่ายมุมนี้นิดนึงสิ” ช่างภาพของเราชี้ไปที่เวทีของร้าน

“เอาสิ มา เดี๋ยวพี่ถ่ายให้” ยูตอบกลับน้องช่างภาพ ก่อนที่เราทั้งหมดจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

เราแอบคิดว่าการสัมภาษณ์วันนี้จะต้องเหนื่อยแน่ อาจไม่ใช่ด้านเนื้อหา แต่เป็นด้านความฮาที่เราน่าจะได้เจอตั้งแต่เริ่มจนจบ

ร้านที่เกิดขึ้นด้วยความตั้งใจและความบังเอิญ

“จุดไหนที่ทำให้อยากทำร้านนี้” เราเริ่มต้นคุยกันด้วยคำถามพื้นฐาน

“นี่ จุดนี้” ยูลุกออกจากเก้าอี้ที่เรากำลังนั่งสัมภาษณ์ เดินไปหน้าเวทีแล้วชี้ลงที่ปลายเท้าของตัวเองเพื่อบอกตำแหน่งของจุดเริ่มต้นที่เป็นรูปธรรมสุดๆ ให้เราดู

“เอาจริงๆ มันเป็นความฝันที่ลืมไปแล้ว” หลังจากกลับมานั่ง ยูก็เล่าถึงจุดเริ่มต้นในแบบที่เราหมายถึงในทีแรกให้ฟัง

“เมื่อเร็วๆ นี้มีน้องคนนึงมาบอกว่าเมื่อสัก 5 ปีก่อนเราเคยเล่าให้มันฟังว่าเราอยากทำคอเมดี้คลับ อยากทำร้านจริงจังที่มีการแสดงสแตนด์อัพคอเมดี้ทุกวัน แต่ด้วยหน้าที่การงานและจังหวะชีวิตหลายๆ อย่างทำให้เราลืมเรื่องนี้ไป จนกระทั่งวันนึงร้านกาแฟ Katanyu Coffee ที่เราเคยทำมันมีเหตุให้ต้องหาสถานที่ใหม่ในการเปิดร้าน เราเลยลองมาดูพื้นที่ตรงนี้เพราะเห็นว่าไม่ไกลจากโลเคชั่นเก่า ก็เดินเข้ามาหยุดตรงจุดเมื่อกี้แหละ พอหันหน้ามองมุมตรงนั้นอยู่ดีๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่า เชี่ย! ตรงนี้มันเป็นเวทีได้นี่หว่า”

เมื่อความฝันที่เคยมีเวียนกลับมาอีกครั้ง คราวนี้เขาลงมือทำมันให้กลายเป็นจริงทันที ด้วยการเปลี่ยนโปรเจกต์ย้ายร้านกาแฟให้กลายเป็นคอเมดี้คลับแบบที่เคยคิดไว้ แต่ก็ใช่ว่าสิ่งที่มาจากความฝันครั้งนี้จะเกิดขึ้นด้วยแพสชั่นอย่างเดียว ยังมีความเป็นไปได้อีกหลายอย่างที่ยูใช้ประกอบการตัดสินใจก่อนการเปิดร้านครั้งนี้ ซึ่งบางสิ่งในนั้นก็เกิดจากสิ่งที่ยูได้ลงมือเพาะปลูกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อ 6 ปีก่อน

“ถ้าย้อนมองเทียบกับเมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา เราว่าคนสนใจสแตนด์อัพคอเมดี้กันมากขึ้น ในรูปแบบที่หลากหลายขึ้น มันมีช่องทางสตรีมมิงต่างๆ ที่นำเสนอคอเมเดี้ยนที่มีคุณภาพ ทำให้คนสามารถจับต้องคอเมเดี้ยนที่หลากหลายเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่นบางคนก็จะชอบ Ronny Chieng (รอนนี เฉียง) มากๆ บางคนอาจจะเจอวิดีโอของ Uncle Roger (อังเคิล โรเจอร์) แล้วก็ไปดูสแตนด์อัพของเขาต่อ หรือว่าคนดังๆ อย่าง Dave Chappelle ก็มีให้ดูมากขึ้น เรียกว่าคนดูเก็ตขึ้นและมีจำนวนมากกว่าตอนแรกแน่นอน

“อีกส่วนคือมันมีความถึงพร้อมบางอย่างของคอเมเดี้ยนที่เกิดจากยืนเดี่ยว ถ้าลองไปดูในออนไลน์ คอเมเดี้ยนที่มีคุณภาพคนดูหลักแสนหลักล้านก็มีนะ ซึ่งถ้าเป็น 6 ปีก่อนไม่มีปรากฏการณ์แบบนี้แน่นอน ไม่มีโชว์ของคนที่ไม่เคยมีชื่อเสียงแล้วมาเล่นสแตนด์อัพคอเมดี้แน่นอน นี่คือสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนมากๆ

“และส่วนสุดท้ายคือความรู้สึกของเราเอง ด้วยโลกที่มันเริ่มเปิดหลังสถานการณ์โควิด-19 มันเป็นจุดที่เราต้องการอะไรบางอย่างมาชุบชูตัวเองหลังจากเหี่ยวเฉามานานในช่วงนั้น ก็เลยคิดว่าที่นี่อาจจะเป็นสิ่งชุบชีวิตเราได้ บวกกับความพร้อมด้านการเงินที่พอไหวด้วย คือมันก็เป็นความฟุ่มเฟือยของคนที่ไม่ได้มีตังค์เท่าไหร่แต่ก็อยากจะฟุ่มเฟือยอะนะ” พอพูดจบยูก็หัวเราะออกมา

อยู่กับความเป็นไปได้ ที่ไม่ใช่แค่สแตนด์อัพคอเมดี้

เมื่อมีร้านแล้ว กิจกรรมต่างๆ ก็ต้องเริ่มดำเนินเพื่อสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ โดยคอนเซปต์ของ A Katanyu Comedy Club ในตอนเริ่มต้นนั้นไม่มีอะไรที่ซับซ้อน คือเป็นสถานที่ที่มีคอเมเดี้ยนมาเล่นสแตนด์อัพคอเมดี้ เพื่อให้ลูกค้าเข้ามาดูและใช้จ่ายกับอาหารเครื่องดื่มในยามค่ำคืน ง่ายๆ แบบนี้

“ตอนก่อนจะเปิดผู้จัดการร้านมาถามว่า พี่ไดเรกชั่นของร้านเราคืออะไรพี่ คำถามแม่งโคตรเท่เลยนะ เราตอบไปว่า กูก็ไม่รู้ เล่นตลกก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน” ซึ่งแน่นอนว่าความจริงมันไม่ง่ายอย่างนั้น 

แม้คนไทยจะเข้าใจวัฒนธรรมของสแตนด์อัพคอเมดี้มากขึ้น แต่การดึงคนให้มาที่ร้านในช่วงที่เพิ่งเปิดก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งไม่ใช่แค่คนดู แต่รวมไปถึงคนเล่นด้วย “โอ้โห หาเหนื่อยเลย ช่วงนั้นเจอใครก็ชวนมาเล่นสแตนด์อัพกันหมด ตลกไม่ตลกก็ชวน ถามก่อนเลยว่ามีคิวว่างไหม บางทีลงบ้านมาเจอแม่ก็ชวน แม่ๆ อยากเล่นสแตนด์อัพฯ ปะ”

หลังจากเหนื่อยอยู่สักพัก สุดท้ายแล้วยูก็สามารถชวนเพื่อนพ้องในวงการทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่มาเล่นประจำที่ร้านได้ในทุกๆ วัน (แม้จะเสียดายนิดหน่อยที่แม่ไม่ยอมมาขึ้นเล่นด้วย) แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ยังต้องแก้คือการชวนคนดูมาที่ร้านให้ได้ เพราะนั่นหมายถึงความอยู่รอดของธุรกิจ

ยูจึงต้องคิดแผนการเพื่อความอยู่รอด แผนแรกคือการจัดอีเวนต์และโปรเจกต์ออนกราวนด์ต่างๆ ขึ้นในร้านแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นโปรเจกต์สนุกๆ ของตัวเอง หรืออีเวนต์ของเพื่อนฝูงที่มาติดต่อขอใช้สถานที่

“เรามีการจัดโชว์พิเศษยาวสัก 1-2 ชั่วโมงของคอเมเดี้ยนรุ่นใหม่ที่เด่นๆ ขึ้นมาแล้วก็ขายตั๋ว ซึ่งเกิดขึ้นแล้วคือโชว์ของลินิน หรือสัปดาห์ก่อนเราก็เพิ่งจัดงาน Speed Dating ที่พาคนโสดมานั่งจีบกันและดูสแตนด์อัพคอเมดี้ด้วยกัน ก่อนหน้านั้นก็มีจัดงานเสวนา เป็นงานเปิดตัวหนังสือ Hamlet ของเชคสเปียร์ ซึ่งคนทำก็เป็นเพื่อนกันนี่แหละ เราก็ดึงลูกค้ามาแล้วก็เล่นสแตนด์อัพเสริม ขายอาหารเครื่องดื่มกันไป หรือจะจัดงาน pre release การ์ด Magic The Gathering ก็มีคนมาเล่นการ์ดที่นี่กันสนุกสนาน แล้วเราก็เล่นสแตนด์อัพไปด้วย

“คือเรายังให้แกนของสถานที่นี้เป็นคอเมดี้อยู่เหมือนเดิมนะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันเพิ่มเติมขึ้นมาจากความสนใจของเราซึ่งมันไม่ได้มีแค่สแตนด์อัพคอเมดี้อย่างเดียว ถ้ามันไหลไปตรงจุดไหนได้เราก็พามันไปจุดนั้น แล้วเสริมด้วยเนื้อตัวของเราที่มันมีความตลกอยู่ ก็อาจจะไม่ได้เป็นแค่สแตนด์อัพคอเมดี้ เรามองเห็นความเป็นไปได้อื่นๆ มากขึ้น”

จากหน้าเวทีสู่หน้าจอ

อีกหนึ่งแผนที่น่าสนใจของยูคือการตั้งทีมเพื่อทำคอนเทนต์ออนไลน์ในอนาคต เพราะยูมองว่า A Katanyu Comedy Club นั้นไม่ใช่แค่สถานที่ แต่คือเรื่องเล่าและผู้คนที่รวมกันอยู่ที่นี่

“สุดท้ายแล้ว A Katanyu Comedy Club เองก็เป็นแบรนด์หนึ่งที่เราคิดว่ามันสามารถต่อยอดไปสู่งานคอนเทนต์ได้ด้วย เราสามารถเอาคอเมเดี้ยนไปทำอย่างอื่นได้อีก จริงๆ เราอยากทำรายการประเภท late-night talk show ซึ่งก็ทำได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ หรือคอนเทนต์ในแพลตฟอร์มใหม่ๆ ก็อยากทำ อยากมี TikTok อยากเล่นละครคุณธรรมแบบตลกๆ ติงต๊องๆ ซึ่งการทำคอนเทนต์ออนไลน์แบบนี้ก็จะนำไปสู่โมเดลของการหาสปอนเซอร์ได้ ก็ฝากลงประกาศขายตรงนี้ด้วยเลยแล้วกัน เผื่อใครอยากซื้อนะครับ

“แต่ว่าการทำคอนเทนต์แบบนี้ก็ต้องใช้ศักยภาพค่อนข้างเยอะเหมือนกัน มันอยู่ในจุดที่เรากำลังหาทางบาลานซ์ว่าจะทำยังไงให้งานมันได้เงินและมีเวลาพอและมีคุณภาพงานที่ดี ซึ่งอันนี้มันเป็นจุดยากมาตลอด ที่ผ่านมาเราทำบริษัทเอเจนซี เราก็พยายามเอาเอเจนซีมาทำคอนเทนต์ให้ A Katanyu Comedy Club แต่คนที่เอเจนซีเขาเป็นสายครีเอทีฟ เขาไม่ใช่คนที่จะมาทำสายขำได้ตลอดเวลา มันจึงยากที่เขาจะมาใช้เวลาหรือจะมาใช้แพสชั่นกับมัน 

“ส่วนทีมงานของร้านที่เรารับมาตอนนี้มันก็ไม่ใช่คนทำคอนเทนต์ แต่เป็นคอเมเดี้ยนบ้าง หรือเป็นคนที่ทำร้านอาหารมาบ้าง มันก็ไม่ได้มีพื้นฐานของการทำคอนเทนต์หรือโซเชียลมีเดีย ก็ต้องค่อยๆ สอน ค่อยๆ ทำกันไป ก็ฝึกจากทำคอนเทนต์ง่ายๆ ในเฟซบุ๊กร้านไปก่อน”

Comedian Center

ถึงวันนี้ A Katanyu Comedy Club เปิดทำการมาได้ประมาณ 3 เดือนแล้ว มีผู้คนที่แวะเวียนเข้ามาหาความสุขและเสียงหัวเราะมากมาย แต่หนึ่งในกลุ่มคนที่ยูต้องการให้มาที่นี่มากที่สุดนอกจากลูกค้า ก็คือเหล่าคอเมเดี้ยนด้วยกันเอง

“คือประเทศนี้มันไม่ได้มีพื้นที่มากนะ ถ้าพูดแบบเป็นจริงเป็นจังคือปกติแล้วคอเมเดี้ยนบ้านเราทุกคนก็จะรออีเวนต์ที่จะให้ขึ้นเล่นหรือได้ไปเจอกัน โมเมนต์นั้นเขาถึงจะได้เป็นคอเมเดี้ยนนะ แต่โมเมนต์อื่นเขาก็ต้องกลับไปเป็นพนักงานธรรมดาหรืออาชีพอื่นๆ เราเลยอยากคอเมเดี้ยนในประเทศไทยมีพื้นที่ของการใช้ชีวิตเป็นสแตนด์อัพคอเมเดี้ยนมากขึ้น ให้ที่นี่เป็นที่ของพวกเขา จะมาเล่น จะมาดู จะมาแลกเปลี่ยนคอมเมนต์เรื่องมุกตลกกันก็ทำได้ เป็นที่ที่ทุกคนสามารถมาเอาจริงเอาจังกับความเป็นสแตนด์อัพคอเมเดี้ยนของตัวเองได้ เราลงทุน เพราะอยากสร้างคัลเจอร์นี้ขึ้นมา ซึ่งเวลาพูดเรื่องนี้มันก็จำเป็นที่ต้องมีพื้นที่ที่เราเอาไว้ใช้เวลาและใช้ชีวิตกับมันจริงๆ

“แล้วพอมี A Katanyu Comedy Club มันก็ช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ มากมายให้เกิดขึ้นกับทั้งตัวเราและตัวคอเมเดี้ยนด้วย อย่างเราตอนนี้กลับมาเล่นสแตนด์อัพคอเมดี้มันก็มีคนพูดถึง มันก็ส่งผลดีกับตัวเราอยู่แล้วในเรื่องการงาน มีพี่คนนี้คนนั้นมาชวนทำนั่นทำนี่ ได้รับโอกาสใหม่ๆ เข้ามา หรือน้องๆ ที่มาเล่นสแตนด์อัพฯ เองอย่างน้อยก็ได้โอกาสฝึกซ้อมและแสดงออกถึงแพสชั่น ได้แสดงฝีมือ ได้ต่อสู้กับความเงียบบ้าง บางทีก็คนน้อยบ้าง แต่พอคนเยอะมันก็จะเริ่มเอาอยู่เพราะมันเชี่ยวชาญขึ้น มันได้มานั่งพูดคุยเรื่องมุกตลก มาชงมุกตลก มันพูดคุยกันนู่นนี่นั่น ไอ้มัดกล้ามของการเล่นมุกมันก็จะแข็งแรงขึ้น

“คือเราอยากให้มันเป็นพื้นที่ของเด็กหนุ่มสักคนนึงอาจจะมาเล่นสแตนด์อัพคอเมดี้ เล่นแล้วก็อาจจะไม่ค่อยตลกหรอกแต่ก็ห้าวมาอีก ก็เล่นไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งก็ได้ไปขึ้นยืนเดี่ยว แล้ววันหนึ่งก็ได้มีโชว์เป็นของตัวเอง ซึ่งเคสแบบนี้มันมีจริงๆ

“ตอนนี้คนที่มาร้านส่วนมากก็เลยจะเป็นคอเมเดี้ยนนี่แหละ ลูกค้ายังไม่ค่อยมีจนถึงวันนี้” ยูเล่าให้เราฟังพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกหนึ่งที

รอดได้ถ้าใจเชื่อ

แม้จะดูเป็นธุรกิจที่ยากในการสร้างกำไรเป็นเม็ดเงิน แต่ยูก็บอกเราว่าเมื่อเทียบกับโอกาสต่างๆ ที่สร้างขึ้นมาสำหรับวงการสแตนด์อัพคอเมดี้แล้ว นี่ก็เหมือนเป็นกำไรอย่างหนึ่ง และทั้งหมดที่เล่ามานี้มันยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น

“ปลายทางเราก็อยากให้มันเป็นธุรกิจที่มีกำไรแหละ เพียงแต่ว่าจุดเริ่มต้นมันคือการลงทุนเพื่อสร้างคัลเจอร์ ซึ่งระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือนที่ผ่านมานี้มันก็ยังเป็นจุดเริ่มต้นอยู่ เราประเมินไว้อยู่แล้วว่าเรื่องขาดทุนต่างๆ มันคือการลงทุน แล้วระหว่างนี้อะไรที่เราสามารถสร้างโอกาสได้เราก็ลุยไป

“คือตั้งแต่ทำมามันก็มีแต่คนพูดว่าที่นี่มันจะไม่รอดนะ ซึ่งเราไม่เคยกลัวเลย เพราะถ้ามันไม่รอดมันก็ไม่รอดไง (หัวเราะ) เราไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อที่จะประสบความสำเร็จเป็นนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว มันมีความเสี่ยงที่จะไม่รอดสูงอยู่แล้วที่นี่ แต่ว่าเราเคยดูสารคดี ไมเคิล จอร์แดน เขาบอกว่าเวลาเขาชู้ตบาส สิ่งที่เขาโฟกัสคือการเอาลูกบาสลงห่วง เขาไม่เคยโฟกัสว่ามันจะไม่ลงเลย ผมก็เลยไม่สนใจว่ามันจะไม่รอด ถ้าเราอยากทำ

“เราอยากลอง เราก็ต้องเอาใจไปผูกกับความคิดที่ว่าทำยังไงเราถึงจะสำเร็จสิ ก็หาวิธีเอาตัวรอดไปเรื่อยแหละ เชื่อไหมว่าทุกวันนี้ยังต้องไปรับงานพิธีกรเพื่อเอาเงินมาจ่ายเงินเดือนพนักงานอยู่เลย” ยูยอมรับกลั้วเสียงหัวเราะ

ไหนๆ ก็มาถึง A Katanyu Comedy Club แล้ว แม้ช่วงที่นั่งคุยกันจะยังไม่ใช่เวลาทำการของร้าน แต่เราก็ไม่อยากพลาดความฮา (แม้จะหลุดเสียงหัวเราะออกมาหลายครั้งแล้วระหว่างสัมภาษณ์ก็ตาม) เลยขอให้ยูลองเล่นสแตนด์อัพคอเมดี้เกี่ยวกับร้านนี้ให้เราฟังสักเรื่อง

หลังจากใช้เวลาคิดอยู่แวบนึง ยูก็เล่าเรื่องนี้ให้เราฟัง

“ตอนแรกที่จะทำร้าน Stand Up Comedy เราก็เปิดรับสมัครพนักงาน โดยคนแรกที่ได้มาชื่อเชฟแมน เป็นพนักงานที่ครบเครื่องมาก ทำได้หมดทั้งเก็บสต็อก ทำอาหารทุกอย่าง ขึ้นเล่นสแตนด์อัพคอเมดี้เองก็ได้นะ ล่าสุดถึงขั้นไปขึ้นเล่นยืนเดียวมาแล้วด้วย ซึ่งเจ๋งมาก มีแต่คนถามว่าพี่ยูไปได้คนนี้มาจากไหนวะ โคตรเจ๋ง เราก็บอกว่าตอนเรียกสัมภาษณ์พนักงานเราเรียกมา 3 คน แต่มีมันมาแค่คนเดียว ก็เลยได้มันมานี่แหละ เพราะกูไม่มีตัวเลือกไง

“ที่เหลือเล่าผ่านตรงนี้ก็ไม่ค่อยตลกหรอกต้องมาฟังที่ร้านเอา”

Alex Face กับ 20 ปี แห่งการทำงานที่ศรัทธาและบาลานซ์ชีวิตให้ยืนหยัดได้ในมุมธุรกิจ

ประทับใจ ชื่นชอบ เชื่อมั่น หลงรัก หมกมุ่น ลุ่มหลง คลั่งไคล้

เรามีคำไทยที่ใช้อธิบายความรู้สึกต่อสิ่งสิ่งหนึ่งในด้านบวกหลายคำ อยู่ที่จะหยิบคำใดมาใช้ให้สอดคล้องกับปริมาณความรู้สึกที่สั่งสมอยู่ข้างใน–ไม่มีใครเห็น

สำหรับความรู้สึกที่ พัชรพล แตงรื่น หรือ Alex Face มีต่อคำว่า ‘ศิลปะ’ เราจะหยิบฉวยคำใดในย่อหน้าข้างต้นมาใช้นิยามก็อาจไม่ผิดนัก ระยะเวลาที่เขาอยู่กับการทำงานสตรีทอาร์ตกว่า 20 ปี ยาวนานเกินพอที่จะพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้เข้ามาวงการนี้เพียงฉาบฉวย

แต่เมื่อได้สนทนากันในวันก่อนที่เขาจะมีนิทรรศการ 20TH YEAR ALEX FACE ผมกลับคิดถึงอีกคำหนึ่ง ซึ่งน่าจะตรงกับความรู้สึกของเขาที่มีต่อศิลปะระดับอุทิศชีวิต

ผมคิดถึงคำว่า ‘ศรัทธา’

มาถึงวันนี้ หากมองในมุมศิลปะ ชื่อของ Alex Face คือศิลปินที่ได้รับการยอมรับทั้งในระดับประเทศและสากล เป็นศิลปินเบอร์ต้นๆ ในวงการสตรีทอาร์ตบ้านเรา หากมองในมุมธุรกิจ ชื่อของเขาคือแบรนด์ที่แข็งแรง ขายได้ ขายดี เป็น top-of-mind ยามนึกถึงงานในแวดวงที่เขาสังกัด นอกจากงานศิลปะที่สร้าง สินค้าต่างๆ ที่ผลิตออกจำหน่ายก็ sold out และราคาพุ่งสูงในตลาดนักสะสม

เชื่อว่าหลายคนเห็นชีวิตเขาในวันนี้แล้วอาจใฝ่ฝันอยากเป็นเช่นนั้น อยากไปยืนอยู่ในจุดที่แสงไฟสาดส่อง มีรายได้เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงตัวเองและคนรอบตัว ได้รับการยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับสากล อย่างเช่นที่เขาได้รับในวันนี้ แต่สิ่งที่ต้องแลกมา–วันเวลาที่เคี่ยวกรำ ก่อนจะก้าวมายังจุดนี้ จะมีสักกี่คนที่ยินดีแลก ผมไม่แน่ใจ

“มันไม่มีอะไรง่าย แต่ว่าที่เราผ่านมาได้ อาจเป็นเพราะเรามีวิธีคิดที่ทำให้เราทำงานได้ต่อไปเรื่อยๆ” 

อเล็กซ์เอ่ยประโยคนี้ระหว่างเรานั่งคุยกันที่อาคาร 127 ณ ระนอง พื้นที่จัดนิทรรศการ 20TH YEAR ALEX FACE ที่จัดขึ้นในวาระครบรอบสองทศวรรษบนเส้นทางศิลปะ โดยมีผลงานศิลปะชิ้นสำคัญของเขาตั้งแต่วันแรกๆ และงานที่สร้างใหม่เพื่อบอกเล่าเส้นทางชีวิตที่ผ่านมาโอบล้อมอยู่

โดยปกติแล้วคำที่ใช้อธิบายความรู้สึกมักเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ แต่เป็นงานเหล่านี้และเรื่องราวของศิลปินตรงหน้านี่เอง ที่ทำให้เห็นว่าคำว่าศรัทธา หน้าตามันประมาณไหน

ตอนที่จัดนิทรรศการนี้แล้วเห็นงานที่ผ่านมา ภาพวันคืนเก่าๆ แฟลชแบ็กกลับมาบ้างไหม

มันก็มีเข้ามาในความคิดตลอดเวลา มันก็เป็นธรรมดาที่ภาพมันจะดึงความทรงจำเรากลับมาเต็มไปหมด มันก็เป็นภาพเดิมๆ ภาพที่เราพ่นสีอยู่ ทำอะไรอยู่ จริงๆ 20 ปีมันอาจดูนาน แต่ในขณะเดียวกันมันก็เหมือนเมื่อวานนี้เอง เรื่องบางเรื่อง ช็อตบางช็อต มันเหมือนเพิ่งผ่านไปไม่นาน เราได้คิดว่าตอนนั้นเราทำอะไรอยู่ ชีวิตเราเป็นอย่างไร ภาพที่มันถ่ายไว้ บันทึกไว้มันก็ดึงเรากลับไป

เห็นภาพเก่าๆ แล้วได้เห็นการเติบโตอะไรของตัวเองบ้างไหม

มันก็มาไกลในสเตปของมัน ตอนที่เราเป็นเด็กเราก็แค่อยากวาดรูป คิดว่าอาชีพของเราก็คงไปวาดรูปโรงหนัง แค่นั้นเราก็มีความสุขแล้ว แค่ขอให้กูได้นั่งวาดรูป วาดรูปโรงหนังก็ได้ แล้วก็เปิดร้านเขียนป้าย จะได้วาดรูป เราไม่รู้ว่าศิลปินเป็นยังไง เรารู้แค่เราอยากวาดรูป เราจะไปวาดรูปขายตามห้าง อย่างเปิดร้านของตัวเองแล้วก็วาดรูปคน

ไม่ได้เห็นภาพแบบนี้ ที่มีนิทรรศการส่วนตัว ได้รับการยอมรับ

ไม่ได้เห็นภาพนี้ คือตอนที่เราเป็นเด็กเราก็รู้แค่นั้นใช่ไหม ข้อมูลต่างๆ เราก็ไม่มี ไม่ได้เห็นตัวอย่างอะไร เราอยู่ต่างจังหวัด อยู่ฉะเชิงเทรา เราไม่เคยได้เห็นตัวอย่าง exhibition ไม่มีโอกาสได้ไปดูอะไรแบบนั้น จนเราเข้ามหาวิทยาลัยถึงได้เห็นว่า อ๋อ มันมีแบบนี้ โลกเราก็เปิด เราได้เห็นว่าศิลปินทำงานแบบนี้ ศิลปินต่างประเทศเขาทำงานกันหลากหลาย เริ่มรู้ว่าศิลปะไม่ได้มีแค่การวาดรูปอย่างเดียวแล้ว 

ตั้งแต่มหาวิทยาลัยมันก็เปิดโลกของเรา เราเริ่มอยากเป็นศิลปิน อยากทำงานศิลปะต่อเนื่อง พอเรามีโอกาสไปเจอคนที่เขาทำอะไรเจ๋งๆ เราก็อยากทำบ้าง เห็นเมืองนอกเขาพ่นงานบนกำแพงใหญ่ๆ เราก็อยากทำแบบนั้นบ้าง เราก็พยายามหาโอกาสที่จะทำ แล้วก็พัฒนาสิ่งที่เราทำให้มันดีขึ้นตามปกติที่มันควรจะเป็น พัฒนางานของเราอย่างต่อเนื่อง

ในวัยหนุ่มคิดว่าตัวเองเป็นคนทะเยอทะยานไหม

เราว่าเราเป็นคนทะเยอทะยาน

ความทะเยอทะยานที่ว่าแสดงออกผ่านอะไร

ผ่านงานศิลปะของเรานี่แหละ เราอยากทำให้มันดีขึ้น ทำให้มันเจ๋งขึ้น ทำให้มันเต็มที่ขึ้นเท่าที่เราจะทำได้ แต่ตอนหลังเริ่มเบาลงแล้วนะ เริ่มที่จะโอเค ได้แค่ไหนแค่นั้น แต่เมื่อก่อนไม่ได้เลย มีเวลาแค่ไหนก็ต้องเอาให้ได้ เวลาเราทำไม่ได้เราจะเซ็ง คิดแค่ว่าต้องทำให้ได้ แต่ตอนนี้ถ้าไม่ได้ มีเวลาจำกัด ก็โอเค ไม่เป็นไร เอาเท่าที่มี

ที่ว่าทะเยอทะยาน คุณทะเยอทะยานเพื่อไปสู่จุดไหน อยากมีชื่อเสียง อยากเป็นเบอร์หนึ่งในวงการ อยากรวย หรืออะไร

เราคิดว่าในเมื่อเรามีโอกาสได้ทำมันแล้วเราอยากทำให้มันเต็มที่ คือเราอยากเป็นศิลปิน อยากวาดรูป เราวาดรูปมาตั้งแต่เด็กๆ เราชอบสิ่งนี้ มันอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่เราทำได้ดีด้วยซ้ำ ในเมื่อเรามีโอกาสได้ทำงานนั้นแล้ว ทำไมเราไม่ทำให้มันเต็มที่ไปเลยล่ะ เราคิดแค่นี้ แค่ทำให้มันบันทึกไว้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยทำอะไรไว้

ความทะเยอทะยานของเราคือเราเกิดมาครั้งหนึ่ง เราเป็นศิลปิน เราทำงานศิลปะ เราสามารถทำมันได้ดีแค่ไหน ในความสามารถ ในศักยภาพที่เรามี มันก็คือเท่านั้น

พอคิดแบบนั้นเราก็ต้องหาต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ ตอนนี้เราทำมา 20 ปี เราก็ยังได้เจออะไรใหม่ๆ เจอความรู้สึกใหม่ๆ อยู่เลย ได้เจอเทคนิค เจอไอเดีย หรือสิ่งที่เราอยากจะทำต่อจากนี้ เหมือนที่เขาบอกว่าความรู้มันไม่มีวันหมด ถ้าเราไม่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้วเราก็สามารถเติมน้ำได้ตลอด โดยเฉพาะการทำงานศิลปะเรายิ่งต้องทำการบ้าน เรียนรู้ หาข้อมูล พัฒนาตัวเองตลอดเวลา เรายังต้องหาหนังสือเรื่องที่เราอยากรู้เพิ่มเติมมาอ่าน ความทะเยอทะยานของเรามันคือการที่เราอยากทำงานของเราให้ดีขึ้น ในช่วงเวลาที่เรายังทำไหว

คุณคิดว่าอะไรคือคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้คุณมาถึงจุดนี้

เราว่ามันคือวินัย สิ่งนี้สำคัญ ในทุกอาชีพ ทำงานศิลปะก็เหมือนกัน 

บางคนอาจจะมองว่าทำงานศิลปะมันคือแล้วแต่ความติสท์เลย ติสท์แม่งถูกเอามาเป็นคำจำกัดความของการทำอะไรที่ไม่มีวินัย (หัวเราะ) แต่ความจริงแล้วเราไม่มีวินัยไม่ได้ เราต้องฝึกฝน ความจริงเราวาดรูปแบบเป็นบ้าเป็นหลัง ย้อนกลับไปตอนเรียนเขาให้ส่งงานอาจารย์หนึ่งรูปเราวาดส่ง 20 รูป เพราะว่าเขาตั้งหุ่นนิ่งไว้กลางห้อง เราก็อยากวาดหลายๆ มุม พอเราวาดรูปหนึ่งเสร็จเราก็เขยิบไปอีกมุม ก็วนรอบเลย วาดตั้งแต่เช้ายันสองทุ่มแล้วก็ถือกระดาษไปส่งอาจารย์ แต่จริงๆ มันไม่ใช่แค่การทำงานส่งอาจารย์แล้ว

มันคือการเคี่ยวเข็ญ

มันไม่ใช่การเคี่ยวเข็ญ มันคือความสนุก 

อย่างตอนนั้นเรียนวาดแลนด์สเคป เราไปไหนเราก็พกเฟรม พกสี พกอุปกรณ์ติดตัวตลอดเวลา มีสมุดสเกตช์ มีกระดานสเกตช์ มีแปรงสีฟันอันหนึ่ง อาจารย์เรายังแซวเลยว่า เฮ้ย มึงนี่พร้อมนอนที่ไหนก็ได้ทุกที่เลยนะ เพราะเขาเห็นเราพกแปรงสีฟันด้วย คือเปิดกระเป๋ามาก็มีดินสอ ยางลบ อุปกรณ์ แล้วก็มีแปรงสีฟัน ตอนนั้นนอนป้ายรถเมล์ยังได้เลยมั้ง (หัวเราะ) 

เรามีอุปกรณ์วาดรูปอยู่ตลอดเวลา แล้วก็วาดพอร์เทรตคนที่เห็นว่าหน้าเขาน่าสนใจ ก็ไปบอกเขาว่าผมขอวาดได้ไหม บางทีก็ให้เขาไป บางทีก็เก็บไว้ เหมือนมันเกินสิ่งที่เป็นเรื่องเรียนไปแล้ว เราแค่อยากทำ มันก็กลายเป็นการทำงานแบบต่อเนื่องจริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันขัดความรู้สึกตัวเองด้วยนะ เรามองว่าการทำงานศิลปะหรือการจะบอกให้คนคนหนึ่งทำอะไร มันต้องเป็นจริตของคนคนนั้น มันเป็นเรื่องส่วนตัว อย่างลูกเราเราก็ไม่ได้บอกว่าต้องวาดรูป ต้องทำนู่นทำนี่ ทุกอย่างมันเกิดจากการเลี้ยงดูของเรา มันอยู่ภายใน แล้วมันจะผลักดันให้เขาทำของเขาเองโดยที่บางครั้งเราไม่ต้องไปบอกว่าเขาต้องทำแบบนี้นั้นบางนี้

อย่างเรามันไม่มีใครบอกเราว่าต้องทำ เราทำของเราเอง อยากทำเอง อยากวาดเอง มันก็เลยกลายเป็นว่าทุกอย่างมันผสมกัน พอได้วาดเยอะมันก็ได้ฝึกเยอะ ศิลปะมันไม่มีทางลัด คุณจะวาดเส้นให้ตรง วาดรูปให้สวย มันไม่ใช่อยู่ๆ ก็วาดเป็นเลย เราก็เคยวาดเละ เราก็เคยไม่เก่ง เราก็เรียนรู้ ตอนนั้นวันหยุดเสาร์อาทิตย์เราก็ไปห้าง ไปดูว่าร้านเขาวาดรูปยังไง คือมันเหมือนเราพยายามอยากรู้เอง ทุกอย่างทำให้เราเก่งขึ้น พอมีระเบียบวินัย ฝึกทักษะ มันก็ไปของมันเอง

เหมือนที่คุณเคยบอกว่าไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ จะมาพ่นสเปรย์แล้วควบคุมมันได้ดีเลย ต่อให้เป็นศิลปินมาก่อนก็ต้องใช้เวลาฝึกฝนเรียนรู้

ใช่ มันต้องใช้เวลา กับทุกอย่างแหละ อยู่กับมันเดี๋ยวก็ทำเป็นเอง อย่างเพื่อนที่พ่นสีบางคนเขาไม่ได้เรียนศิลปะ แต่เพราะเขาอยู่กับสิ่งเหล่านั้นทุกวัน เขาก็ทำได้ มนุษย์เรามีทักษะในการเรียนรู้ถ้าเรามีระเบียบวินัย ตั้งแต่เด็กมาเรามีระเบียบวินัยในการวาดรูปตลอด ฝึกซ้อมตลอด ตอนประถม มัธยม พักเที่ยงก็เข้าห้องศิลปะ ซ้อม ตอนเย็นเข้าห้องศิลปะ ซ้อม กลับบ้านรถเมล์รอบสุดท้ายพร้อมนักวอลเลย์บอล เขาซ้อมวอลเลย์บอล เราซ้อมวาดรูป

คุณทรีตศิลปะเหมือนกีฬา

อย่างนั้นเลย คือคุณจะเป็นนักกีฬาที่เก่งมันต้องทำขนาดไหนล่ะ จะเป็นนักอะไรก็แล้วแต่มันต้องฝึกขนาดไหน เราก็ทำเลเวลนั้นตั้งแต่เด็กน่ะ การจะทำให้ทักษะเข้าเส้นมันต้องทำแต่เด็ก อย่างสเกตบอร์ด พวกโปรเขาก็เล่นแต่เด็ก นักยิมนาสติกเขาก็ฝึกตั้งแต่เด็ก นักดนตรีเขาก็เล่นตั้งแต่เด็ก เราก็วาดรูปแต่เด็ก มีวินัยมาตั้งแต่เด็ก

ไม่ได้จับพลัดจับผลูหรือมีพรสวรรค์

คนที่มีพรสวรรค์มาก่อนก็มี แต่มันแค่บางคน ส่วนสำหรับเรา เราทำงานต่อเนื่องมาตั้งแต่เด็ก

ฟังดูเหมือนคุณเเห็นตัวเองชัดมากมาตั้งแต่แรก

ใช่ เราไปคุยกับครูว่าเราจะทำแบบนี้ เราจะเรียนแบบนี้

แล้วตั้งแต่เป็นศิลปินมีช่วงเวลาที่สั่นคลอนบ้างไหม

หมายถึงจะเลิกทำงานศิลปะอะไรแบบนี้เหรอ ไม่มีแบบนั้น ไม่เคยคิดว่ากูจะเลิกวาด เพราะว่าเราวาดโดยธรรมชาติ เหมือนกินกาแฟ เหมือนกินข้าว

รู้สึกไหมว่าคุณเป็นมนุษย์ที่โชคดี เพราะหลายคนก็มีคำถามกับสิ่งที่ทำอยู่

ใช่ เราก็บอกตัวเองมาตลอดว่าเราคือ lucky man เจอเพื่อนก็เจอเพื่อนที่ดี มีคนซัพพอร์ตที่ดี เพราะการทำสิ่งที่ทำอยู่มันไม่ใช่แค่ตัวเราคนเดียวนะ การทำงานของเราก็อย่างที่เห็น ถ้าเราทำคนเดียวเราทำไหวหรือเปล่าล่ะ แล้วเรามีภรรยา มีครอบครัว เขาก็เป็นคนที่คอยเตือนคอยบอกคอยอะไร บางทีเราก็มีเป๋มีอะไร เขาก็คอยเบิ๊ดกะโหลก (หัวเราะ) คือเรามีคนคอยช่วยตลอดด้วย ไม่ใช่ว่ามีเราคนเดียว

ฟังดูมีแต่เรื่องดี แล้วการยึดอาชีพศิลปินในบ้านเราต้องเผชิญแรงเสียดทานอะไรบ้าง

เอาจริงๆ ทั้งโลกการเป็นศิลปินมันยากหมดเลย บางคนอาจจะคิดว่าถ้าเราอยู่เมืองนอกเราอาจจะมีโอกาสที่ดีกว่านี้ใช่ไหม แต่เราเจอเพื่อนศิลปินต่างชาติเราก็ชวนคุยหมด ซึ่งทุกคนไม่ได้ง่าย ไม่มีอะไรง่ายเลย ต่างประเทศบางครั้งอาจจะยากกว่าเราด้วยซ้ำ เรามองว่ามันไม่มีอะไรง่าย แต่ว่าที่เราผ่านมาได้ อาจเป็นเพราะเรามีวิธีคิดที่ทำให้เราทำงานได้ต่อไปเรื่อยๆ คือเราชอบสิ่งที่เราทำอยู่แล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นเรารู้สึกว่าถึงแม้เราจะไม่ประสบความสำเร็จอะไร คนไม่ได้รู้จักเรามากมายอะไร แต่เราก็ยังแฮปปี้ที่จะทำสิ่งนี้อยู่ โดยที่เราก็ทำไปโดยธรรมชาติ

ถ้าย้อนกลับไปตอนแรกๆ ที่ชีวิตไม่ได้มีอะไร เราก็ต้องไปทำนู่นทำนี่ เมื่อก่อนเราก็ไปทำโฆษณา ทำหนังทำอะไร ซึ่งมันเหนื่อย ตังค์ไม่มี ไม่มีอะไรเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตโอเคก็คือการที่เรากลับมาบ้านแล้วได้นั่งวาดรูปของตัวเองนั่นแหละ มันคือการบำบัดตัวเองจากสิ่งที่เราไปทำแล้วรู้สึกว่ามันเหนื่อยเหลือเกิน

คือเรารู้ ถ้าประสบความสำเร็จได้มันก็ดี ถ้าเราสามารถเทคแคร์ดูแลคนอื่น มีรายได้เลี้ยงตัวเองด้วยการวาดรูปมันก็ดี แต่ถ้าไม่ใช่เราก็ต้องทำอย่างอื่น แต่ถึงยังไงเราก็จะยังทำสิ่งนี้เพื่อให้เรารู้สึกดี เหมือนเป็นการหล่อเลี้ยงตัวเองด้วยสิ่งที่เราชอบจริงๆ เพราะฉะนั้นเรารู้สึกว่าเราทำมันไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ทุกข์ร้อน เหมือนเราอยู่กับตรงนั้นก่อนอย่างมีความสุข แค่นั้นเอง

ช่วงเวลาที่ต้องพิสูจน์ตัวเอง คนยังไม่ค่อยรู้จัก กินเวลานานไหม

เป็นสิบปีเหมือนกัน ถ้านับจากระยะเวลาที่เราเริ่มพ่นมันคือช่วงสิบปีแรก แต่จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้อยากให้คนรู้จักตัวเราขนาดนั้น เพราะตอนนั้นเราพ่นกราฟิตี้ พ่นสี เราแค่อยากให้คนรู้ว่างานเราไปอยู่ตรงนั้น แต่เราก็ไม่ได้อยากให้รู้ว่าใครเป็นคนทำ ซึ่งมันก็ย้อนแย้งกันอีกแล้ว (หัวเราะ)

มันค่อยๆ สะสมมามากกว่า จากการที่เราทำต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ปี 2002 ที่เราเริ่มพ่นปีแรกคนที่รู้จักเราก็คือคนที่อยู่ในซอย คนที่อยู่แถวๆ ลาดกระบัง แถวบ้าน เขาก็พูดถึงอเล็กซ์แล้ว ตอนนั้นชื่อยังเป็นแค่อเล็กซ์ ยังไม่มีคำว่าเฟซ เราพ่นจิ้งจกเกาะอยู่ตามผนัง ทุกคนก็พูดถึงจิ้งจกกันทั้งซอยเลยว่า เฮ้ย มึงเห็นจิ้งจกเกาะผนังไหม แล้วพอเราทำต่อเนื่องมันก็ค่อยๆ ขยายวงเยอะขึ้น เราก็มีเพื่อนเยอะขึ้น มันก็ค่อยๆ ขยายวงออกไปเรื่อยๆ เราว่ามันเป็นเรื่องของความค่อยเป็นค่อยไป

แล้วจุดเปลี่ยนที่ทำให้คุณมีชื่อเสียงและเริ่มได้รับการยอมรับในวงกว้างอย่างทุกวันนี้คือจุดไหน

มันก็มีจุดเปลี่ยนตอนปี 2012 เป็นช่วง turning point คือตอนนั้นเราอยากให้คนรู้จักในฐานะที่เราจริงจังกับการทำงานศิลปะ พูดง่ายๆ คือตลาดศิลปะต้องรู้จักกู ถ้าเราเริ่มทำงานศิลปะ ตลาดขายงานศิลปะต้องรู้จักเรา เป็นเรื่องของการแนะนำตัวในวงการศิลปะ คือก่อนหน้านั้นเราขายงานไม่ได้ ขายไม่ออก ไม่มีใครซื้อ ต้องทำอย่างอื่นเพื่อให้ได้เงิน พอได้เงินก็มาวาดรูปของตัวเอง เราเลยอยากรู้ว่าถ้าเราเต็มที่แล้วมันจะเป็นยังไงบ้าง

เราเลยทำ exhibition ที่มีคาแร็กเตอร์เด็กที่มีหูเป็นกระต่าย ช่วงนั้นเรามีลูกแล้ว คาแร็กเตอร์นี้ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากลูกเรา จริงๆ คาแร็กเตอร์นี้มันไม่มีชื่อ แต่ลูกเราชื่อมาร์ดี คนเลยเข้าใจผิดว่ามันคือมาร์ดี ตอนนี้เราก็พยายามแก้ว่ามันไม่มีชื่อ

ตอนนั้นเราคิดกับตัวเองว่าเราจะเอาทักษะที่มีทั้งหมดที่เราสามารถทำได้ใส่ไปกับโชว์นี้ทั้งหมดเลย เพื่อลองดูว่าถ้าเราทำเต็มที่แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเราบ้าง เราตั้งใจกับโชว์นี้มาก ทำงานเต็มที่ แล้วก็บอกกับเพื่อนทุกคนว่าโชว์นี้จะต้องเปลี่ยนชีวิตเราให้ได้ เหมือนเป็นการให้กำลังใจตัวเอง คือเรามีลูกแล้ว มีครอบครัวแล้ว ไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว มันต้องจริงจังกับอะไรบางอย่าง

แล้วผลเป็นอย่างที่คิดไหม

ผลก็โอเค งานก็ขายได้ ตอนนั้นงานเราก็ sold out ซึ่งไอ้การขึ้นป้ายว่า sold out มันคือการการันตีอะไรบางอย่าง ตอนนั้นเราก็คิดว่านี่คือสเตปหนึ่งที่เราก้าวเดินเข้ามาในวงการศิลปะ

เหมือนหลังจากนั้นคุณก็เป็นที่รู้จักมากขึ้น งานเริ่มขายได้ แสดงว่าชื่อเสียงก็เป็นสิ่งสำคัญกับอาชีพศิลปิน

ชื่อเสียงมันก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่การันตีว่างานคนนี้น่าซื้อ แต่สำหรับเราถ้าพูดถึงคำนี้ มันดูเป็นเรื่องที่เราต้องเทคความรับผิดชอบมากกว่า มันกลายเป็นสิ่งที่ต้องรับผิดชอบว่าเราทำงานออกไปแล้วเนื้อหาที่เราทำมันไปกระทบใคร มันไปทำให้เกิดอะไรในสังคม แล้วเราต้องปฏิบัติตัวยังไง เพราะเรากลายเป็นตัวอย่างให้คนโน้นคนนี้ ถ้าเราจะทำอะไรแย่ๆ ก็ต้องควบคุมอารมณ์ แต่จริงๆ เราก็เป็นคนปกติน่ะ บางทีเจออะไรไม่ได้ดั่งใจเราก็พูดตรงๆ เราก็ใส่ มันก็มี แต่เราต้องเป็นผู้ใหญ่ขึ้นจากชื่อเสียงที่มันเข้ามา จากสิ่งที่เราต้องเทค ต้องให้ มันก็เหมือนภาระอย่างหนึ่ง

เรามีสิ่งไหนสิ่งนั้นคือภาระ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

ทุกวันนี้คนมองเข้ามาน่าจะเดาว่าเรื่องปากท้องคุณน่าจะสบายแล้ว มันเป็นอย่างนั้นไหม

ก็ลำบากอย่างอื่น

ลำบากอะไร

ยังต้องปีนบันไดอยู่ (หัวเราะ) ยังปีนนั่งร้านอยู่

ทำยังไงศิลปินคนนึงจึงจะสามารถหล่อเลี้ยงปากท้องไปพร้อมกับการทำงานที่ตัวเองรักได้

เราว่ามันก็ต้องเอาวิธีคิดที่เป็นเชิง business เข้ามาใช้ในการทำงานศิลปะด้วย ถ้าเราอยากจะขายงานได้ แล้วเอาเงินนั้นมาซื้อสีวาดรูปต่อไป อยากทำงานให้มันดีขึ้น มันก็ต้องใช้บัดเจ็ต

สมมติทำนิทรรศการหนึ่งเราจะมีอะไรที่มา cover ต้นทุนของเราได้บ้างล่ะ มันเป็นเรื่องของหลักคอมเมอร์เชียลที่จะทำให้เรามีรายได้กลับเข้ามา สมมติถ้าเกิดทำงานชิ้นใหญ่มากๆ ใครจะเอาไปติดบ้านล่ะ มันก็สร้างความยากในการซื้อ-ขาย เราอาจต้องมีชิ้นเล็กๆ ในโชว์ไหม เพื่อให้คนที่มาแล้วชอบชิ้นนี้เขาสามารถซื้อกลับไปได้ เราเองก็มีรายได้ด้วย

อะไรพวกนี้มันเป็นเรื่องของ business ซึ่งเราไม่ได้เป็นคนเก่ง business นะ เราอาจไม่ได้มีหัวเรื่องนี้แต่เราแค่มีวิธีคิดที่อยากจะให้มีรายได้กลับเข้ามา อย่างงานนิทรรศการนี้เราก็ต้องคิดว่าจะทำเสื้อยืดด้วยไหม หรือทำอะไรขาย แต่สิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้หมายความว่ามันจะมาทำลายความบริสุทธิ์ในการทำงานศิลปะของเราสักหน่อย ไอ้บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์นี่เป็นเรื่องของตอนทำแล้ว แต่พอมันเป็นชิ้นงานขึ้นมา ถ้าเราอยากอยู่ได้เราก็ต้องขาย

คุณไม่ได้แอนตี้กับการที่ศิลปินจะมุ่งหาเงิน

การทำงานหนึ่งอย่างเพื่อหาเงินมันก็ไม่ผิดนะ งานนี้กูจะเอาเงินมันก็ไม่ผิด นึกออกไหม เราไม่ได้ไปโกงใครนี่

แล้วถามว่าทั้งหมดนี้เราอยากขายไหม พูดตรงๆ เราก็ไม่อยากขายหรอก เราไม่อยากขายสักชิ้น ทุกอย่างมันมีความหมายกับเราทั้งนั้น แต่ว่าอาชีพเรา เราก็ต้องขายเพื่อให้มีเงินกลับมาเลี้ยงดูทุกคน เลี้ยงดูครอบครัวเรา บางครั้งมันก็เจ็บปวด งานชิ้นหนึ่งหายไปเราก็มีความรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ทุกครั้งที่เรากลับไปเจอมันเหมือนเจอคนรักที่ไม่ได้เจอนาน เดินกลับมาเจอรูปเก่าๆ ที่เคยวาดแล้วขายไปก็ขนลุก แต่อย่างที่บอก ถ้าอยากอยู่ได้มันก็ต้องมีความคิดที่เป็น business ขึ้นมานิดนึง

ศิลปินจำนวนไม่น้อยจะขัดๆ เขินๆ เวลาต้องพูดถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ หรือธุรกิจ แต่คุณไม่เป็นแบบนั้น

ไม่ เราอยู่ในโลกความจริง ก็อย่างที่บอก การทำงานเพื่ออยากได้เงินมันก็ไม่ผิด แต่ถามว่าเราคิดถึงเงินเป็นอันดับหนึ่งไหม เราก็ไม่ได้คิดถึงเงินเป็นอันดับหนึ่ง บางโปรเจกต์เราพิจารณาแล้วว่าเราได้เงินเยอะมากนะ แต่มันไม่ใช่จุดยืนของเรา มันไม่ใช่สิ่งที่เราอิน มันไม่ใช่สิ่งที่เราทำแล้วจะมีคำตอบให้เราทุกอย่าง หรือว่าเราไม่สามารถรับผิดชอบสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นได้ เราก็ไม่ทำ ก็ปฏิเสธ 

ถามว่าเงินจำเป็นไหม จำเป็นฉิบหายเลย แต่ถ้าเรารับโปรเจกต์หนึ่งแล้วทำให้เราเสียจุดยืนในการทำงานศิลปะของเราไปเลย เงินเท่าไหร่มันก็ไม่คุ้ม

จุดยืนสำคัญกว่า

สำคัญกว่า มันทำให้เราสามารถทำงานต่อยันแก่ ยันตาย เราทำมาขนาดนี้แล้ว ถ้าเราเอาเงินมาก้อนหนึ่งแล้วทำให้เราเสีย เงินก้อนนั้นเท่าไหร่มันก็ไม่คุ้ม

คุณปฏิเสธเงินบ่อยไหม

ก็เยอะเหมือนกันนะ (หัวเราะ) ทุกวันนี้ก็ปฏิเสธเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ 

เป็นคนเลือกงาน

มันถึงเวลาที่ต้องเลือกแล้ว เมื่อก่อนไม่เลือก ทำหมด ช่วงนั้นงานที่เป็นคอมเมอร์เชียล งานหนักงานเบาอะไรเราก็ทำหมด ทำงานจนเช้าอีกวันเราก็ลุยได้ ตอนนี้มันเหมือนเราต้องเลือก เพราะเวลาชีวิตมันก็เหลือน้อยลง โปรเจกต์ต่างๆ ก็มีอีกหลายอย่างที่เราอยากทำ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องแบ่งเวลา แล้วก็ทำในสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ

ตอนนี้เราไม่ได้รู้สึกเสียใจที่เราต้องปฏิเสธใครแล้ว แค่ just say no เรารู้สึกว่าการปฏิเสธมันโอเค ไม่เป็นไรครับ อันนี้ไม่ได้ ไม่ทำครับ ปฏิเสธไปเลย เขาก็ไม่ต้องเสียเวลาด้วย แค่เราปฏิเสธ ไม่เห็นโลกจะแตกเลยนี่หว่า ทำสิ่งที่เราอยากทำดีกว่า

ที่ว่าเลือกงานคุณเลือกยังไง มองหางานแบบไหน

ก็ดูว่าโปรเจกต์มันน่าสนใจไหม น่าสนใจขนาดไหน บางครั้งมันอาจจะเป็นโปรเจกต์ที่ไม่ได้เงินด้วยซ้ำก็มี แต่มันเป็นโปรเจกต์ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราได้ทำอะไรบางอย่างแล้วเรารู้สึกโอเค คือบางทีงานของเรามันก็เป็นเหมือนเครื่องมือที่สามารถพูดอะไรให้ดังขึ้นได้จากคนตัวเล็กๆ ซึ่งโปรเจกต์แบบนี้ ถ้าเราเห็นด้วยกับคนเหล่านั้น เราก็อยากทำ เพื่อให้ประเด็นนั้นมันพูดได้ดังขึ้น 

ตอนนี้มันมีหลายอย่างที่ประกอบการตัดสินใจเรา ไม่ใช่แค่ตัวเงิน แล้วเราก็อยากทำโปรเจกต์ของตัวเองมากกว่า แต่เรื่องแบบนี้เราก็ไม่ใช่คนตัดสินใจคนเดียวอีกแล้ว เราก็มีทีมที่ปรึกษากันว่าโปรเจกต์นี้เอาไงดี มันก็ต้องบาลานซ์ โปรเจกต์คอมเมอร์เชียลก็ควรทำบ้าง แต่ก็อย่างที่บอกว่ามันต้องดูว่าอันไหนที่เหมาะกับเรา

อย่างพวกงานคอมเมอร์เชียลมันก็ดีอย่างหนึ่งตรงที่สามารถเข้าถึงคนได้ง่าย เพราะบางครั้งการที่มันเป็น fine art อยู่ในสเปซอย่างแกลเลอรี มันก็อาจจะไม่ได้เข้าถึงคนในวงกว้างขนาดนั้น งานคอมเมอร์เชียลมันก็เป็นการ invite คนเข้ามาสู่โลกศิลปะ เขาอาจจะเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ แค่นี้ แล้วพอเขาสนใจ เขาอาจจะไปเสิร์ชว่ามีอะไรอีก อาจจะเริ่มจากเราแล้วไปสู่ศิลปินคนอื่นต่อ กลายเป็นว่าเขาได้ดูงานศิลปะ ได้ชอบศิลปะ ซึ่งเราว่ามันก็ดี เพราะมันก็คือสุทรียภาพ งานคอมเมอร์เชียลมันก็มีอะไรแบบนั้นอยู่

ถึงวันนี้สำหรับศิลปินคนนึง ตัวเลข 20 ปีมีความหมายพิเศษยังไงบ้างไหม

สำหรับเรา เราอาจจะพูดถึงตัวเรามากกว่า 20 ปี เพราะที่จริงมันยาวนานกว่านั้น ชื่อนิทรรศการเราอาจจะสโคปตั้งแต่เราเริ่มพ่นสีคือปี 2002 แต่จริงๆ ถ้านับจากช่วงเวลาที่เราชอบวาดรูปมามันยาวกว่านั้น

สาระของมันคือเหมือนเรากลับไปสู่ภาพของเราตอนเด็กที่นั่งวาดรูปลงบนกระดาษ แล้วลมปะทะหน้าเราเย็นๆ ซึ่งบางช่วงที่เรากำลังนั่งวาดรูปสำหรับโชว์นี้แล้วลมมันก็ปะทะหน้าเราแบบนั้น คือชีวิตเรามันก็แค่นี้ สาระของเราจริงๆ คือเราได้อยู่กับมัน ได้วาดรูป ได้จดจ่อ รู้สึกเอนจอย มีความสุขกับการทำงาน ซึ่งเหมือนกับตอนที่เราเป็นเด็กเลย ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ความรู้สึกเราก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ มันเหมือนสิ่งเดิม เพียงแค่ประสบการณ์ของเรามันเปลี่ยนไปตามวัย 

แล้วการจัดงานนิทรรศการครบรอบ 20 ปีสำคัญยังไง

เราว่ามันเป็นการทบทวนตัวเองอะไรบางอย่างสำหรับเรา เราไม่ได้รู้สึกว่าเราอยากจะป่าวประกาศว่า เฮ้ย กูพ่นมา 20 ปีแล้วนะเว้ย แต่มันเหมือนเราอยากจะทบทวนตัวเองว่าเราทำงานมา 20 ปีแล้วมันมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตเราบ้าง ที่เราเดินทางมาตลอดที่เราทำงานศิลปะมา มันมีอะไร เราพบเจออะไรบ้าง เราเจอเพื่อน เราเจอใครบ้าง เราร่วมงานกับใครบ้าง มันเหมือนเป็นการทบทวนตัวเองอย่างหนึ่งในอาชีพของเรา ในสิ่งที่เราชอบทำ ในสิ่งที่เรารัก ทบทวนว่าหลังจากนี้เราจะเดินทางไปยังไงต่อ

เหมือนการจัดงานนิทรรศการนี้ไม่ใช่การตะโกนบอกคนข้างนอก แต่เป็นการย้อนคุยกับข้างใน

ใช่ เราว่ามันเป็นอะไรแบบนั้นมากกว่า แล้วเราก็ได้เจออะไรหลายอย่างกับการทำงานชุดนี้ มันก็มีหลายอย่างทับซ้อนกัน

อย่างที่บอกว่า 20 ปีแล้ว เราก็อยากจะทบทวนตัวเอง แล้วจัดระเบียบชีวิตตัวเองใหม่ ไอ้การที่มานั่งหักโหมทำอะไรไม่หลับไม่นอน ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่านะ แต่จะพยายาม เราว่าถ้าเรารับงานน้อยลงแล้วใช้เวลากับมันเยอะขึ้น เราก็สามารถทำได้ เราอยากตื่นเช้าไปส่งลูกไปโรงเรียน อยากปรับชีวิตเป็นคนแก่ว่างั้น ใช้เวลาอยู่กับลูก ช่วงเวลาที่ผ่านมาเราทำงานเยอะมาก เราทำงาน ทำงาน ทำงาน

เห็นว่านิทรรศการครั้งนี้มีทั้งงานที่สร้างใหม่จากงานข้างถนนที่เคยทำ และงานเก่าที่มีความหมายในชีวิต อยากรู้ว่าคุณมีหลักในการเลือกงานยังไง

เราเลือกนานเหมือนกัน ก็เปิดรูปดูงานเก่าๆ มีหลายรูปมากที่อยากวาดแล้วยังไม่ได้วาด แต่ก็เลือกงานพวกนี้มาเพราะมันเป็นคีย์อะไรบางอย่างกับชีวิต เช่น ชิ้นที่ไปพม่า เราประทับใจการได้เดินทางออกนอกประเทศครั้งแรก หรือบางชิ้นมันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคมการเมือง อย่างวันที่รัฐประหารเราพ่นสีอยู่พอดี เราก็เลยพ่นในประเด็นเกี่ยวกับวันนั้น มันก็เป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่าพูดถึงตัวเราเองด้วยแล้วยังสื่อไปถึงประเด็นที่คนอื่นสามารถรับรู้เหตุการณ์วันนั้นได้ด้วย

เราก็พยายามคัดสิ่งที่เราชอบ แล้วเราก็ดู element มันด้วยว่าถ้าเอามาทำใหม่เป็นงานจิตรกรรมจะออกมาเป็นแบบไหน มันน่าสนุกกับการวาดรูปแบบนี้ไหม เราก็ดูหลายๆ อย่าง

งานเก่าๆ ที่เอามาจัดแสดงส่วนใหญ่เป็นงานที่คุณขายไปแล้วหรือเปล่า

มันก็มีบางชิ้นที่เรายืมจากคอลเลกเตอร์ที่ซื้อไป 2-3 คน แต่ก็ไม่ได้เยอะ พวกงานที่อยู่ในห้องที่เป็นเพนติ้งมันคือเราทำใหม่ทั้งหมด แล้วงานเก่าต่างๆ ก็คืองานที่ขายไม่ออก (หัวเราะ) เป็นงานที่มันยังอยู่แล้วเราเก็บไว้ บางชิ้นเป็นงานที่เราไปตามกลับมาจากเพื่อนที่เคยบอกว่าจะเอาไปขายให้แต่ยังไม่ได้ขาย เราไล่หาทุกคนที่เราจำได้ว่างานไปอยู่ที่ใครบ้างแล้วเอามันกลับมา แล้วงานเก่าๆ พวกนี้เราก็จะไม่ขายแล้ว เราจะเก็บมันไว้

ทำไมถึงไม่ขาย

มันไม่ใช่อารมณ์ที่เราจะขายมันแล้วน่ะ เวลามันผ่านมา เราไม่สามารถย้อนกลับไปทำรูปแบบนั้นได้อีกแล้ว เราไม่สามารถย้อนกลับไปช่วงเวลานั้น ใช้เทคนิคนั้น มันย้อนกลับไปไม่ได้จริงๆ ถึงแม้ว่าเราจะทำใหม่มันก็ไม่เหมือนเดิม

แม้วันนี้จะมีทักษะมากกว่าตอนนั้น

ใช่ เรากลับไปทำไม่ได้แล้ว บางชิ้นเราไม่ได้คิดว่ามันมีความสำคัญในตอนนั้น แต่พอย้อนกลับไปมองเราว่ามันมีคุณค่าขึ้นมา เวลามันทำงานของมัน หรือบางครั้งลูกเราเขียนอะไรลงไป วันนี้เขาโตมาเขาก็เขียนอะไรแบบนั้นไม่ได้แล้ว เราเลยอยากเก็บไว้เอง

ทุกวันนี้ชื่อเสียงก็มีแล้ว เงินทองก็มีแล้ว ในฐานะศิลปินยังเหลืออะไรให้ไขว่คว้าอีก

มีเยอะแยะ (หัวเราะ) จริงๆ นะ เช่น การได้มีโอกาสไปทำงานในมิวเซียมระดับโลก มันก็น่าจะเป็นอีกโกลหนึ่งที่เราสามารถเดินไป เพราะอย่าลืมว่าแม้คนจะมองว่าเราประสบความสำเร็จ แต่เราก็ยังเทียบไม่ติดกับอีกหลายๆ คนในโลกนี้ นึกออกไหม มันมีหลายคนที่เขาได้ทำงานในพื้นที่เจ๋งๆ เราก็ยังรู้สึกว่ามันมีโกลที่เราอยากเดินไปอีก

คุณเห็นภาพตัวเองในอนาคตไหมว่าจะเป็นยังไง ต่างจาก 20 ปีที่ผ่านมาไหม

ก็ไม่ได้เห็นภาพขนาดนั้น บางครั้งบางอย่างมันก็ปุบปับ บางอย่างมันก็เกิดขึ้นกับไอเดียเรา อย่างงานแลนด์สเคปที่อยากทำ มันอาจจะไม่มีคาแร็กเตอร์เด็กเลยก็ได้ในอนาคต ถามว่าเราจะต้องเพนต์คาแร็กเตอร์เด็กตลอดไปไหม เราก็คิดว่าทุกอย่างมันเกิดจากตัวต้นเรื่องมากกว่า แล้วงานหรือเทคนิคอะไรต่างๆ มันจะตามมาเอง เราคิดว่าเฟสถัดไปมันอาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้ เป็นอะไรก็ได้ 

ปีนี้เราอายุ 41 เราคิดว่าในช่วง 10 ปีนี้เราน่าจะยังแข็งแรง ก็อยากทำอะไรที่มันเอดเวนเจอร์อยู่ แล้วหลังจากอายุ 50 ปี ถ้าเราไม่ได้เป็นอะไรไปเสียก่อนค่อยว่ากัน มันเป็นแค่การวางแผนคร่าวๆ สำหรับเรา

แต่ยังคงทำงานศิลปะแน่นอน

เราคงทำไปเรื่อยๆ เรามองตัวเองว่าตอนที่เราแก่แล้ว เราจะยังนั่งทำงานอยู่เหมือนเดวิด ฮอกนีย์ 

เราชอบเดวิด ฮอกนีย์ มากที่แก่แล้ว อายุ 80 กว่ายังสร้างงาน ยังเอนจอยอยู่ เรามองภาพตัวเองเป็นแบบนั้น แก่แล้วเรายังนั่งทำงานอยู่ ยังเพนต์ติ้งอยู่ แต่เราก็ไม่รู้หรอก แค่วางแผนไว้ เห็นภาพตัวเองแบบนั้น

ไม่ได้มองว่าต้องลำบากทำงานตอนแก่

ก็ลำบากแหละ ต้องแบกเฟรมออกไปเพนต์ แต่ลำบากแบบนั้นเราโอเค