Day 1 ของ Mo แบรนด์กระเป๋าที่เปลี่ยนมาใช้วัสดุดีต่อสิ่งแวดล้อมและเหมาะแก่การใช้งานจริง

Mo

Mo Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Mo

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

รายได้ 1 บาทต่อ 1,000 วิว คุ้มไหมกับการเข้าวงการ TikTok Creator

ในปี 2020 TikTok เริ่มโครงการที่เรียกว่า ‘Creator Fund’ ด้วยเงินราว ๆ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีสำหรับคนสร้างคอนเทนต์ในอเมริกา นี่เป็นก้าวแรกของ TikTok ที่พยายามดึงคนให้เข้ามาสร้างบัญชี ทำวิดีโอ และหารายได้บน TikTok เหมือนอย่างแฟลตฟอร์มรุ่นพี่อย่างยูทูบทำมาก่อน ปัญหาคือว่าทั้งสองแพลตฟอร์มแม้จะให้เงินกับผู้สร้างคอนเทนต์โดยตรง แต่วิธีการคำนวณและสัดส่วนการจ่ายนั้นถือว่าต่างกันมาก ผู้สร้างคอนเทนต์บนยูทูบหลายคนสร้างเนื้อสร้างตัวได้ เปิดบริษัทมากมาย แต่รายได้บน TikTok นั้นดูคล้ายกับเงินทอนซะมากกว่า

ในเดือนเมษายน 2021 หนึ่งในผู้ใช้งาน TikTok ชื่อ เควิน ยัตซูชิโร (Kavin Yatsushiro) สร้างวิดีโอขึ้นมาอันหนึ่ง มันไวรัลอย่างรวดเร็ว ได้ 3 ล้านวิวจากวิดีโอที่เขาเปลี่ยนคีย์บอร์ด เควินคาดว่าคงจะได้เงินจาก TikTok ในระดับที่น่าพอใจ แต่ปรากฏว่ามียอดโอนเข้ามามีเพียง $12.5 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 450 บาท เมื่อหารออกมาแล้ว 1 ล้านวิวได้ประมาณ 150 บาท

1000 วิว = 0.15 บาท

เควินให้สัมภาษณ์กับสื่อ Business Insider ว่า

“ตอนที่ผมเห็นยอดเงินที่ต่ำขนาดนั้น มันทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าเลย กระทบกับสภาพจิตใจอย่างมาก ทำให้รู้สึกว่าไม่อยากสร้างคอนเทนต์อีกต่อไปเลย”

เควินไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ แฮงก์ กรีน (Hank Green) ที่ทำงานเป็นผู้สร้างคอนเทนต์บนยูทูบมานานกว่า 15 ปีก็ออกมาพูดถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกัน (แนะนำให้ดูวิดีโอนี้ youtu.be/jAZapFzpP64) เพราะจากประสบการณ์ที่สร้างคอนเทนต์และทำงานสายนี้มาตลอดตั้งแต่ปี 2007 ก่อตั้งบริษัทมีเดียหลายแห่งมีผู้ติดตามช่องเขาเกือบ 9 แสนคน และเขาก็เริ่มทำคอนเทนต์บน TikTok มาตั้งแต่ปี 2019 โดยมีคนติดตามราวๆ 6.3 ล้านคน เขาสรุปสั้น ๆ ว่า “เมื่อ TikTok ประสบความสำเร็จมากขึ้น คนสร้างคอนเทนต์บน TikTok (เรียกว่า TikToker) กลับประสบความสำเร็จน้อยลง”

เขาอธิบายถึงเหตุผลว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น แต่ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจบริบทของมันสักเล็กน้อย

ย้อนกลับไปในปี 2007 ยูทูบสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘YouTube Partner Program’ ที่จ่ายให้กับยูทูบเบอร์ให้ผลิตคอนเทนต์บนแพลตฟอร์ม จากรายได้โฆษณาที่แพลตฟอร์มได้รับจากคอนเทนต์นั้นๆ พูดง่ายๆ คือถ้าวิดีโอของคุณบนยูทูบมีคนเข้ามาดูเยอะ มีโฆษณาแปะหน้า แปะหลัง คอนเทนต์นั้นก็ได้เงินเยอะไปด้วย ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของออนไลน์มีเดียเลย แฮงก์อธิบายว่า

“แพลตฟอร์มตัดสินใจว่าโฆษณาทุกอันที่มีบนวิดีโอบนหน้าของคนสร้าง รายได้ครึ่งหนึ่งจะไปอยู่ที่ยูทูบ และอีกครึ่งหนึ่งจะไปอยู่ที่ครีเอเตอร์”

การเกิดขึ้นของโปรแกรมนี้สร้างความเป็นไปได้มากมายให้กับเหล่าครีเอเตอร์ หลายคนกลายมาเป็นยูทูบเบอร์แบบเต็มเวลา มีรายได้จากโฆษณาเพียงอย่างเดียว (แฮงก์บอกว่าที่ครีเอเตอร์ได้ 55% และยูทูบได้ 45%) ตั้งแต่ตอนนั้นมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน แม้รายได้ของยูทูบเติบโตจาก 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาเป็น 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โครงสร้างการแบ่งสัดส่วนนี้ก็ยังคงเหมือนเดิมตลอดมา การทำแบบนี้ช่วยส่งเสริมให้ครีเอเตอร์สร้างผลงานที่ดีเพื่อป้อนแพลตฟอร์ม ยิ่งยูทูบโตเท่าไหร่ ยิ่งมีเงินโฆษณาเข้ามามากขึ้นเท่านั้น ยิ่งทำให้ครีเอเตอร์มีรายได้มากขึ้นไปด้วย 

มาถึง TikTok บ้าง โครงสร้างรายได้ที่แพลตฟอร์มจ่ายให้กับครีเอเตอร์นั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง สำหรับคนที่ใช้ TikTok อยู่จะทราบว่าคอนเทนต์ที่มาจากครีเอเตอร์ไม่มีโฆษณาแปะหัวท้ายหรือคั่นกลาง แต่เลื่อนๆ ไปสักประมาณ 8-9 คลิป ก็จะเห็นโฆษณาอันหนึ่ง ด้วยโครงสร้างแบบนี้คอนเทนต์แต่ละอันก็จะไม่สามารถสร้างรายได้จากโฆษณาของคลิปได้เหมือนกับยูทูบ รายได้จึงไม่เหมือนกับ YouTube Partner Program นั่นเอง

เพื่อสร้างความดึงดูดให้คนมาสร้างคอนเทนต์บนแพลตฟอร์ม TikTok แก้เกมนี้โดยการสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘Creator Fund’ ขึ้นมา โดยเป็นการแบ่งเงินก้อนหนึ่งออกมาในแต่ละปีประมาณ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อจะแบ่งให้กับ ‘ครีเอเตอร์ทุกคน’

ใช่ครับ เงินก้อนเดียว แบ่งให้ครีเอเตอร์ทุกคน…พอจะเห็นอะไรทะแม่งๆ แล้วใช่ไหมครับ

แพลตฟอร์มไม่ได้ชี้แจงว่าใช้อะไรเป็นตัววัดว่าวิดีโอไหนได้เงินเท่าไหร่ แต่แฮงก์ได้ลองเก็บสถิติมาตลอดสองปีกว่าที่เขาอยู่ในแพลตฟอร์ม เขาเชื่อว่าระบบคำนวณรายได้ตามความยาวของเวลาที่คนใช้ดูวิดีโอนั้น โดยโปรแกรมนี้มีเกณฑ์ว่าต้องอายุ 18 ปี มีคนติดตามมากกว่า 10,000 คน มี 100,000 วิวขึ้นไปในรอบเดือนที่ผ่านมา และแน่นอนว่าบัญชีต้องผ่านกฎที่ TikTok ตั้งเอาไว้ด้วย

200 ล้านดอลลาร์สหรัฐดูเป็นเงินก้อนใหญ่ แต่พอมันหารด้วยครีเอเตอร์เยอะๆ มันก็เหลือน้อยลงเรื่อยๆ และปัญหามันอยู่ที่ตัวเลขนี้ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามรายได้ของ ByteDance ที่สร้างรายได้กว่า 58,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2021 จึงไม่แปลกใจที่เขาบอกว่า “เมื่อ TikTok ประสบความสำเร็จมากขึ้น TikToker กลับประสบความสำเร็จน้อยลง”

แฮงก์เอาบันทึกที่เขาจดไว้ตั้งแต่ช่วง 2020 ที่ได้เงินราวๆ 0.05 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1,000 วิว คิดเป็นเงินไทยประมาณ 1.75 บาท แต่มาตอนนี้มันลดเหลือราว ๆ 0.025 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1,000 วิว คิดเป็นเงินไทยแค่ 90 สตางค์เท่านั้น จำนวนคนติดตามเขาเพิ่มขึ้นก็จริง แต่มันก็มีครีเอเตอร์เพิ่มขึ้น มีการกระจายเวลาของคนที่ดูวิดีโอไปยังที่อื่นๆ มากขึ้นด้วย แต่เงินสนับสนุนก็ยังเท่าเดิม เพราะฉะนั้นหมายความว่ายิ่งมีคนเยอะ รายได้เขากลับลดลงไปนั่นเอง

แต่คุณอาจถามว่าแล้ว TikTok ได้เท่าไหร่ล่ะ? พวกเขาคงได้ไม่เยอะเลยแบ่งมาให้ได้ไม่เยอะรึเปล่า?

แฮงก์ลองหาคำตอบตรงนี้เช่นกัน โดยลองยิงโฆษณาบน TikTok เพื่อคำนวณแบบกลับด้าน เพื่อให้รู้ว่าตัวเองจ่ายเงินโฆษณาเท่าไหร่ต่อ 1,000 วิว สิ่งที่พบคือเขาจ่ายประมาณ 3-6 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1,000 วิว แล้วเอาตัวเลขนั้นมาหารด้วย 10 (เพราะคนส่วนใหญ่เห็นโฆษณาทุกๆ 10 คลิป) ก็หมายความว่า TikTok ทำรายได้ได้ประมาณ 0.30-0.60 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าที่ครีเอเตอร์ได้อย่างน้อย 6 เท่าตัวเลย

ถ้าสมมติว่า TikTok จ่ายเหมือนกับยูทูบ ครีเอเตอร์จะได้รับประมาณ 0.16 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 1,000 วิว แม้ว่าจะน้อยกว่ายูทูบ แต่มันก็เยอะกว่าตอนนี้หลายเท่าตัวเลย และตราบใดที่โครงสร้างนี้ยังไม่เปลี่ยน ครีเอเตอร์ยิ่งเข้ามาในแพลตฟอร์มเยอะขึ้น ต่อไปรายได้ของเขาจะน้อยกว่า 0.025 ลงไปเรื่อยๆ

ครีเอเตอร์ TikTok ในบ้านเรายังไม่สามารถเข้าร่วม TikTok Creator Fund ได้ ตอนนี้มีอยู่แค่ 6 ประเทศ (อเมริกา, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, สเปน และ อิตาลี) แต่ว่าแพลตฟอร์มกำลังขยายออกไปสู่ตลาดอื่น ๆ แต่แฮงก์ก็ออกมาเสนอว่าครีเอเตอร์ควรรวมตัวกันเพื่อยกประเด็นนี้ขึ้นมา เพราะแพลตฟอร์มที่เติบโตก็ต้องพึ่งพาครีเอเตอร์เหล่านี้ให้ผลิตคอนเทนต์ที่ดี TikTok เติบโต ครีเอเตอร์ก็ควรจะเติบโตไปด้วย แต่ตอนนี้มันยังไม่ใช่

แน่นอนว่ามันมีวิธีสร้างรายได้จาก TikTok อีกหลายทาง ทั้งขายของ ทั้งการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งนั่นเป็นแหล่งรายได้หลักของเหล่าครีเอเตอร์บ้านเรา เป็นเหตุผลว่าทำไมคนยังเข้าไปหาโอกาสที่ TikTok แม้จะยังไม่สร้างรายได้อะไรเลยในตอนนี้ แต่กว่าจะไปถึงจุดที่สามารถสร้างรายได้แบบนั้นได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ปัญหาคือจะทำได้นานแค่ไหนถ้าไม่ได้เงิน สุดท้ายระบบแบบนี้อาจไม่ยั่งยืนเหมือนกับโครงสร้างที่แบ่งกำไรให้ครีเอเตอร์แบบยูทูบก็ได้

นี่คือปัญหาใหญ่ที่ TikTok ควรหันมาให้ความสนใจ เพราะแพลตฟอร์มเติบโตได้ก็ต้องพึ่งพาครีเอเตอร์เก่งๆ และวิธีที่ทำให้คนเหล่านั้นอยู่ในระบบก็คือการมอบรายได้ที่เพียงพอและแฟร์สำหรับพวกเขา TikTok อาจปรับโครงสร้างรายได้ใหม่ ลองเพิ่มเงินก้อนให้โตขึ้นตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นของบริษัทหรือตามจำนวนครีเอเตอร์ ขยายตามการเติบโตเพื่อจูงใจให้คนเข้ามาเรื่อยๆ ก็ได้

เพราะถ้าให้ดูตอนนี้ จากรายได้ที่เหมือนเงินทอน มันไม่ค่อยคุ้มกับความพยายามสักเท่าไหร่เลย

อ้างอิง

บุกตลาดค้าส่งจีนกับ China Market Trip บริษัททัวร์ที่พาไปตะลุยถึงแหล่งและช่วยเป็นที่ปรึกษาการตลาด

ในยุคสมัยที่การสั่งซื้อของออนไลน์เป็นเรื่องง่ายเพียงปลายนิ้วจิ้ม ไม่ใช่แค่กับสินค้าในประเทศ แต่ของจากต่างทวีป ต่างแดนก็ข้ามน้ำ ข้ามทะเลมาถึงอย่างง่ายดาย

แม้จะเป็นแบบนั้น แต่สิ่งที่เรียกว่า ‘ทัวร์แม่ค้า’ ก็ยังฮอตฮิต

ในยุคก่อนโควิดที่จีนจะปิดประเทศ ‘โน้ต–สุธาสินี มาวิโรจน์’ เจ้าของ China Market Trip บริษัททัวร์ผู้รับหน้าที่พาพ่อค้าแม่ขายจากไทยไปบุกตลาดค้าส่งของจีนมาแล้วกว่า 10 ปี บอกว่าอย่างต่ำๆ เดือนนึงต้องบินแล้วเกือบ 3 ทริป พาผู้ประกอบการไปเยือนสองเมืองใหญ่ของจีนเพื่อกวาดสินค้ากลับมาขายรวมๆ แล้วไม่ต่ำกว่า 70 คนต่อเดือน!

China Market Trip

Day 1 : เริ่มต้นที่ประตูน้ำ / กรุงเทพฯ

ก่อนหน้าจะทำทัวร์แม่ค้า โน้ตเองก็เคยเป็นแม่ค้ามาก่อน เธอย้อนเล่าให้ฟังว่าก่อนนี้ครอบครัวทำธุรกิจเสื้อผ้าอยู่ที่ประตูน้ำ ส่วนเธอเองก็เคยนำเข้าเสื้อผ้าจากจีนมาขายตั้งแต่ยุคที่การสั่งสินค้าจากต่างประเทศยังไม่แพร่หลายและได้รับความนิยมเหมือนสมัยนี้ 

แต่เพราะคาดการณ์ล่วงหน้าแล้วว่าในอนาคตตลาดเสื้อผ้าคงจะบูมจนขยายไปไม่ได้มากไปกว่านี้ แม่ค้าเสื้อผ้าอย่างเธอจึงขอเบนสาย เปลี่ยนมาทำงานด้านขนส่งที่เก็บประสบการณ์จนพอมีความรู้อยู่บ้างอย่างเต็มตัว

“เราคิดว่าถ้าขายแค่ผลิตภัณฑ์เดียวเราก็อาจจะทำตลาดได้แค่กลุ่มเดียว พอดีกับที่บ้านสามีเองก็ค้าขายกับจีน ทำธุรกิจนำเข้าและขนส่งกันอยู่แล้วด้วย เราเลยเปลี่ยนสายมาทำด้านนี้”

ตอนนั้นเองที่ทำให้โน้ตมีโอกาสจัดได้จัดทัวร์เล็กๆ พาลูกค้าที่ใช้บริการขนส่งไปซื้อของเองอยู่บ่อยๆ เธอจึงเริ่มเห็นโอกาส คิดว่าคนทั่วไปก็น่าจะสนใจทัวร์แม่ค้าแบบนี้ เลยเริ่มทำจริงจังขึ้นตั้งแต่นั้น

ภาพจาก China Market Trip

เพราะมองว่าลูกค้าที่มาใช้บริการไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่พ่อค้าแม่ขายที่มีธุรกิจเป็นของตัวเองอยู่แล้ว แต่เธอมองว่ากลุ่มตลาดของคนที่จะมาใช้บริการนั้นกว้างขวาง จะเป็นใครก็ได้ ที่มีความฝัน มีความคิดอยากจะนำสินค้าจากจีนมาขาย เป็นผู้ประกอบการที่ต้องการจะสำรวจโรงงานใหม่ๆ หรือกระทั่งเป็นพนักงานประจำที่ต้องการอาชีพเสริมก็สามารถเดินทางไปด้วยกันได้ 

“ลูกค้าของเราก็คนทั้งตลาดน่ะแหละ” โน้ตว่า หน้าที่ของเธอมีเพียงแค่ต้องบริการลูกค้าให้สมกับที่เขาไว้วางใจ พร้อมดูว่าบริการที่บริษัทมีจะอำนวยความสะดวกให้เขาได้มากน้อยขนาดไหน

วิธีการทำงานของ China Market Trip ไม่ว่าจะเป็นทริปไหนๆ จึงเริ่มต้นที่การคุยกันถึงความต้องการ สอบถามสิ่งที่ลูกค้าสนใจ และจุดประสงค์ของการเดินทางนั้นๆ เพื่อที่ทีมงานจะได้กลับไปทำการบ้านให้ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าคาดหวัง

China Market Trip

“เราจะคุยก่อน ถามความต้องการก่อน ต้องการไปเพื่ออะไร ไปเพื่อเดินดู สำรวจตลาดเฉยๆ หรือไปเพราะต้องการซัพพลายเออร์เลยหรือเปล่า สินค้าแบบนี้มีอยู่ในเมืองที่จะไปใช่ไหม ต้องคุยกันให้ชัด เราถึงจะบอกได้ว่าไปทัวร์ด้วยกันแล้วลูกค้าจะได้อะไรมากน้อยแค่ไหน”

ถ้าคุยแล้วพบว่าไปแล้วก็ไม่น่าจะได้อะไรกลับมา สิ่งที่ลูกค้ากำลังตามหามันยังไม่ใช่ เงินยังไม่มี งบยังไม่พร้อม เธอก็เลือกที่จะแนะนำตรงๆ ว่าอย่าเพิ่งไปดีกว่า เพราะถึงไปก็ไม่คุ้ม ไปก็ซื้อของกลับมาได้ไม่เยอะ 

“เราเอาคุณภาพและความคุ้มค่าของลูกค้าเป็นหลัก จะไม่ปล่อยให้ลูกค้าไปเล่นๆ แล้วกลับมาแบบไม่ได้อะไร เลยเป็นเรื่องจำเป็นมากที่เราต้องบอกความจริงกับลูกค้าว่าไม่มีทางที่ไปครั้งเดียวแล้วจะประสบความสำเร็จ”

China Market Trip

Day 2 : เดินทางสู่ท่าอากาศยานนานาชาติ Guangzhou Baiyun / ตะลุยตลาดค้าส่ง / รับประทานอาหารค่ำ / เข้าพักโรงแรม 4-6 ดาว

โน้ตบอกว่าสินค้าในไทยส่วนใหญ่นั้นมาจากจีนอยู่แล้ว เพราะตลาดที่จีนมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ยิ่งกับกวางโจวที่เป็นเมืองท่า เป็นแหล่งค้าส่งสำคัญ ยังไงก็มีสินค้าครบทุกสิ่งที่ต้องการ และที่สำคัญคือราคาถูกกว่าที่ไทยมาก 

แต่แม้จะมีตลาดให้เลือกซื้อของมากมาย การจะได้ของมาขายในราคาถูกขนาดไหน หรือได้ของเกรดดีจริงหรือไม่ ก็ต้องมาแข่งกันในขั้นตอนการหาของ 

ภาพจาก China Market Trip
ภาพจาก China Market Trip

เธออธิบายว่าทัวร์แม่ค้านั้นมีลักษณะที่แตกต่างไปจากทัวร์ท่องเที่ยวโดยสิ้นเชิง เพราะหากพูดให้เข้าใจง่ายอาจเรียกได้ว่านี่คือทริปธุรกิจซะมากกว่า 

ลูกทัวร์ที่บินมาด้วยกันส่วนใหญ่ล้วนแต่มีเป้าหมายชัดเจน นั่นคือการบุกตะลุยแหล่งค้าส่ง ก้มหน้าก้มตาตามหาของที่ตัวเองต้องการ เดินวันละหลายกิโลฯ วนอยู่ในห้างค้าส่ง เพื่อใช้เวลาไปกับการสำรวจตลาด

บริการของเธอจึงเน้นไปที่การช่วยอำนวยความสะดวกให้การติดต่อซื้อ-ขายของลูกค้าเป็นไปอย่างราบรื่นมากที่สุด มีไกด์ที่มีความรู้ในสินค้าที่ลูกค้าสนใจคอยประกบคู่กับลูกค้าทุกกลุ่มเพื่อที่หากเวลาต้องการสั่งซื้ออะไรไกด์ก็จะช่วยคอยแปลภาษา หรือให้คำปรึกษาได้

“จุดเด่นของเราอาจจะอยู่ตรงนี้ ลูกค้าเขาคงต้องการคนที่เคยทำตรงนั้นจริงๆ มาก่อน ต้องการคนที่สามารถให้คำปรึกษาหรือแนะนำในส่วนที่ลูกค้ายังไม่เข้าใจ

“ทัวร์ของเราพอไปถึงประเทศจีน เราจะมีไกด์คอยประกบออกไปเดินหาของ ไปตลาดกับลูกค้าทุกวัน ต้องการสั่งซื้ออะไรไกด์ก็จะช่วยแปลภาษาให้ แล้วตอนเย็นก็กลับมาส่งที่โรงแรม หรือถ้าเดินตลาดเหนื่อยแล้วอยากจะไปเที่ยวไหนในละแวกนั้นก็บอกไกด์ได้ เหมือนลูกค้ามีไกด์ส่วนตัวดูแลอยู่ทั้งวัน

China Market Trip

“สมมติเจอของถูกใจลูกค้าก็สามารถซื้อของแล้วให้ร้านค้าส่งไปที่โกดังเพื่อเตรียมตัวชิปปิ้งกลับไทย หรือถ้าอยากนำขึ้นเครื่องกลับพร้อมกันก็สามารถทำได้ เราจะให้คำปรึกษาทั้งหมดว่าควรส่งยังไง ของขนาดเท่านี้มีค่าขนส่งประมาณเท่าไหร่ นำกลับมาแล้วรวมค่าซื้อของ ค่าเดินทาง ค่าขนส่งมันคุ้มทุนไหม ลูกค้าเช็กราคาในตลาดที่ไทยหรือยัง สำรวจแล้วใช่ไหมว่าคู่แข่งคือใคร อยากขายปลีกหรือขายส่ง ลูกค้าต้องรู้ตัวเองก่อน เราถึงจะช่วยเสริมในเรื่องของซัพพลายเออร์ได้ ช่วยตอบได้ว่าต้นทุนต่อชิ้นคือเงินเท่านี้ แล้วเขาจะสู้กับคนอื่นๆ ที่ไทยได้หรือเปล่า” 

อย่างที่โน้ตบอกไว้ว่าบริษัทให้คำแนะนำได้แค่ว่าต้องทำยังไง แต่จะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็อยู่ที่ตัวเองด้วย 

“เราเป็นเหมือน 30% ที่จะเข้ามาช่วยย่อยข้อมูล ช่วยซัพพอร์ตว่าจะไปถึงจุดหมายได้ยังไง แต่ท้ายที่สุดส่วนใหญ่อีก 70% ที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ ก็ขึ้นอยู่ที่ตัวผู้ประกอบการเอง”

China Market Trip

Day 3 : เดินทางสู่ท่าอากาศยานอี้อู / ชมงานจัดแสดงสินค้า Yiwu Fair / เข้าคุยธุรกิจ business matching / เยี่ยมชมโรงงาน

นอกจากรูตที่กวางโจว China Market Trip ยังมีอีกหนึ่งเมืองคอยให้บริการนั่นคืออี้อู ซึ่งเน้นไปในเรื่องของการทำ business matching เดินงานแฟร์ และเยี่ยมชมโรงงาน

บรรยากาศของทริปนี้จึงค่อนข้างแตกต่างไปจากทริปกวางโจว คือแทนที่จะปล่อยให้เดินลุยบุกตลาด ที่นี่จะมีการจัดเป็นห้องประชุมไว้ให้ผู้ประกอบการของทั้งสองประเทศได้พบหน้า พร้อมพูดคุยหาคู่ค้าที่เหมาะกับสิ่งที่ตัวเองตามหา และหากตกลงปลงใจอยากทำธุรกิจด้วยก็สามารถนัดเข้าไปดูตัวโรงงานที่สนใจได้เลย

ภาพจาก China Market Trip

“ทริป business matching ก็เป็นหนึ่งในจุดแข็งของเรา” โน้ตบอกอย่างภูมิใจ 

“เราเป็นคนไปติดต่อกับรัฐบาลอี้อูเอง เพราะฉะนั้นจึงรับประกันได้ว่ายังไม่มีใครทำ”

ด้วยเหตุนี้แม้จะบอกว่าเดี๋ยวนี้ใครๆ ต่างก็สามารถไปต่างประเทศเองได้ แต่เธอก็ยังมั่นใจว่าหากจีนเปิดประเทศเมื่อไหร่ ยังไงทัวร์ของเธอก็จะยังมีคนจองเต็ม  

“การทำงานกับจีนเป็นเรื่องลำบากมาก หนึ่งถ้าไม่ได้ภาษาจีน ไม่รู้เนเจอร์เขา ไม่ลุยไม่เฝ้าจริงๆ ไม่มีทางจะไปดีลกับรัฐบาลหรือดีลกับธุรกิจได้

“การไปเองทำได้ไหม ทำได้ แต่ถ้าเขาจะนอนโรงแรม 4-6 ดาว เหมือนที่เรานอน บินสายการบินเหมือนที่เราบิน ยังไงต้นทุนเขาก็แพงกว่าแน่นอน หรือแม้แต่การไปตลาดตามรีวิวจากพันทิป จะให้เขาเชี่ยวชาญเท่าเราก็คงเป็นไปไม่ได้ ไปโรงงานเองเทียบกับมีเรา มีคนจากคาร์โก้ไปด้วย ยังไงโรงงานเขาก็อยากคุยกับเรามากกว่า เพราะเขาไม่รู้ว่าลูกค้าที่ไปมีกำลังซื้อมากน้อยแค่ไหน”

China Market Trip

หากเทียบราคา เทียบคุณภาพ และเทียบความสะดวกสบาย โน้ตยืนยันว่ายังไงการไปกับทัวร์ก็คุ้มค่ากว่ามาก 

“แค่จุดพวกนี้โน้ตว่าเราก็ชนะแล้ว การซื้อ-ขายกับจีนจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก โดนของยัดก็เยอะ ของใช้ไม่ได้ก็เยอะ บางทีไม่ส่งของก็มี ฉะนั้นทางที่ดีมือใหม่จึงควรต้องไปกับคนที่มีความรู้เบื้องต้นก่อน ถ้าต่อไปคุณเก่งแล้วจะไปเองมันก็โอเค หรือถ้าอยากจะลองไปเองดูก่อนก็ได้ ลูกค้าบางคนลองไปเอง กลับมารู้แล้วว่าแบบนั้นไม่ได้อะไรเลยตัดสินใจมากับเราใหม่ก็มี

“การไปแล้วจ่ายราคาถูกกว่า 4-5 พันแต่ไม่ได้อะไรกลับมา ถ้าไม่ไปเลยอาจจะดีกว่า”

Day 4 : พักผ่อนตามอัธยาศัย / เตรียมตัวเดินทางกลับประเทศไทย

เพราะจุดขายของ China Market Trip มีมากกว่าการจัดทริป แต่เปรียบเป็นเสมือนที่ปรึกษาทางด้านธุรกิจ เธอจึงมองว่าต่อให้ไปเอง ยังไงก็ได้ประสบการณ์ไม่เหมือนไปกับเธออย่างแน่นอน 

นั่นเองทำให้แม้ทุกวันนี้การทำธุรกิจทัวร์จะมีหลายๆ ปัจจัยเข้ามาดิสรัปต์ แต่เธอก็เชื่อว่า China Market Trip จะดำเนินต่อไปได้ 

China Market Trip

“หลายคนชอบพูดว่าสมัยนี้มีอินเทอร์เน็ตแล้ว ทำไมคนยังต้องไปเดินตลาดเองอยู่อีก แต่อย่าลืมว่าบนอินเทอร์เน็ตเราไม่รู้คุณภาพของนะ การจะได้ของที่ดีอย่างน้อยเราต้องได้คุยกับเจ้าของร้าน ได้สัมผัสสินค้า และต้องบอกว่าลูกค้าของเราจริงๆ คือแม่ค้า คือคนที่ซื้อจำนวน ไม่ได้ซื้อชิ้น ฉะนั้นมันจึงยังมีช่องว่างของตลาดตรงนี้ให้เราทำธุรกิจอยู่

“การที่ china market trip อยู่ได้ เป็นเพราะลูกค้าเชื่อมั่นว่าเราชำนาญ เราซื่อสัตย์ รับผิดชอบ ต่อให้จะเกิดปัญหาอะไรขึ้น แต่อะไรที่เราขาย เราบอกลูกค้าไปแล้วเราก็ต้องรับผิดชอบ ไปกับโน้ตไม่ต้องกลัวเลยว่าจะถูกทิ้งหรือจะได้อะไรที่ไม่เป็นอย่างที่เราโฆษณาไว้”

China Market Trip

เธอบอกว่าของแบบนี้มันอยู่ที่ว่าลูกค้าอยู่กับใครแล้วสบายใจมากกว่า เธออาจจะไม่ใช่บริษัททัวร์เจ้าที่ราคาถูกที่สุด แต่มั่นใจได้เลยว่าเธอคือทัวร์ที่ยึดมั่นในคุณภาพ เต็มที่ในการบริการ และพยายามจะรู้จักลูกค้าที่ไว้วางใจไปด้วยกันให้ได้ดีที่สุด 

“เราทำธุรกิจแบบบริษัทก็จริง มีขั้นมีตอนในการทำงาน แต่เราให้ความใกล้ชิดกับลูกค้าเหมือนคนรู้จักกัน โน้ตเชื่อว่าการทำงานแบบนี้มันดี เพราะเวลาลูกค้ารู้จักเราเขาจะรู้สึกอุ่นใจ และการที่เรารู้จักเขามันก็คือการเชื่อมสัมพันธ์ มันคือความไว้ใจ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เราต้องการเพราะมันทำให้ธุรกิจอยู่ได้ยั่งยืนและยืดยาว”

China Market Trip

คำแนะนำที่พ่อค้าแม่ค้ามือใหม่ต้องรู้ก่อนร่วมทัวร์แม่ค้า

  1. รู้ตัวเอง รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร ชอบอะไร อยากไปดูหรือตามหาสินค้าตัวไหน
  2. รู้ตลาด รู้ว่าตลาดสินค้าที่ตัวเองอยากเข้าไปลงทุนทำกำไรได้มากน้อยแค่ไหน ราคาสินค้าในตลาดขายอยู่ที่เท่าไหร่ คำนวณต้นทุนแล้วสู้ได้ใช่ไหม
  3. รู้กระเป๋า รู้ว่าตอนนี้ตัวเองมีเงินอยู่เท่าไหร่

ทำไมแบรด พิตต์ ชอบกินอาหารในฉากภาพยนตร์

Brad Pitt

Brad Pitt Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

‘TSMC’ บริษัทผลิตชิปในไต้หวันเป็นใคร ใหญ่แค่ไหน ทำไมทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างให้ความสำคัญ

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาคงไม่มีข่าวไหนที่คนทั้งโลกจับตามองและให้ความสนใจไปมากกว่าการที่ ‘แนนซี เพโลซี’ ประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ไปเยือนไต้หวัน และนี่ถือเป็นการไปไต้หวันของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐในรอบ 25 ปี จนกลายเป็นเหมือนการกระตุกหนวดมังกรครั้งใหญ่

เพราะจีนนั้นมีจุดยืนเรื่อง ‘จีนเดียว’ มาโดยตลอดที่มองว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศตัวเอง ซึ่งการที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ เดินทางไปเยือนไต้หวัน เป็นการขัดต่อจุดยืนดังกล่าว แม้ว่าก่อนหน้านี้ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เคยบอกว่าไม่สนับสนุนการแยกตัวเป็นเอกราชของไต้หวันก็ตาม

เรื่องนี้นำมาสู่แถลงการณ์อันเผ็ดร้อนของสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยที่ระบุว่า “สหรัฐฯ พูดอย่างทำอย่าง ไม่มีความน่าเชื่อถือและสัจธรรม ถูกคนทั่วไปดูถูกกัน และทำให้เครดิตรัฐของสหรัฐฯ สูญหายไปหมด

ความขัดแย้งของทั้งสองสร้างแรงสะเทือนและความกังวลใจให้กับหลายประเทศทั่วโลกว่าจะเป็นชนวนที่ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทวีคูณขึ้นอีกหรือไม่ และอาจจะเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจโลกทั้งเรื่องเงินเฟ้อ หรือภาวะเศรษฐกิจถดถอยให้แย่ลงไปอีก

อย่างไรก็ดีอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญในการเดินทางไปไต้หวันของ ‘แนนซี เพโลซี’ ครั้งนี้ คือการไปพบกับมาร์ก หลิว (Mark Liu) ประธานของ Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. หรือ TSMC ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลกเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือในการผลิตชิป หลังสหรัฐฯ เพิ่งผ่านกฎหมาย Chips and Science Act ที่จะให้เงินอุดหนุนกว่า 52,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1.8 ล้านล้านบาท) แก่โรงงานที่ผลิตชิปภายในประเทศสหรัฐฯ

แล้ว TSMC เป็นใคร ใหญ่แค่ไหนจนทำให้แนนซี เพโลซี ถึงกับต้องเดินทางไปพบ?

เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1973 ที่รัฐบาลของไต้หวันมุ่งมั่นที่จะยกระดับอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมของประเทศ จากที่เน้นการรับจ้างผลิตและใช้แรงงานจำนวนมาก ให้เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง หนึ่งในนั้นก็คือการผลักดันในการจัดตั้งสถาบันวิจัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (ITRI) เพื่อศึกษา วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์และแผงวงจรโดยเฉพาะ

ต่อมาในปี 1987 หรือเมื่อ 35 ปีก่อน ITRI จึงได้ร่วมกับบริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศเนเธอร์แลนด์ ก่อตั้ง TSMC โดยมีโมเดลธุรกิจคือ ดำเนินการรับจ้างผลิตแผงวงจร และชิปเซมิคอนดักเตอร์ ที่เรียกว่าเป็น ‘สมอง’ ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ให้กับบริษัทต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทในสหรัฐฯ และยุโรป

ข้อมูลไตรมาส 1 ปี 2022 จาก TrendForce รายงานส่วนแบ่งทางการตลาดชิปเซมิคอนดักเตอร์ของทั่วโลก พบว่า TSMC ครองส่วนแบ่งมากที่สุดคิดเป็น 54%, รองลงมา อันดับ 2 Samsung คิดเป็น 16% และอันดับ 3 UMC คิดเป็น 7%

ซึ่งจากสัดส่วนนี้อธิบายได้ว่า ชิปครึ่งหนึ่งที่คนทั่วโลกใช้ เป็นชิปที่ TSMC เป็นผู้ผลิตนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นชิปที่ใช้ในสมาร์ตโฟน, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, ซูเปอร์คอมพิวเตอร์, อุตสาหกรรมรถยนต์ หรือแม้แต่เครื่องบิน F-35 ของสหรัฐฯ และถ้าให้ยกตัวอย่างแบรนด์ที่ใช้ชิปของ TSMC เช่น Apple, AMD, Nvidia, Sony และ Intel

TSMC ยังนับว่าเป็นบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของไต้หวัน และอันดับ 10 ของโลกด้วย โดยเมื่อปี 2021 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 1.9 ล้านล้านบาท และมีกำไรอยู่ที่ 7.1 แสนล้านบาทเลยทีเดียว

ไม่ใช่แค่ TSMC ที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมชิปเซมิคอนดักเตอร์ แต่เรียกได้ว่า ‘ไต้หวัน’ ทั้งประเทศก็มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมนี้เช่นกัน เพราะไต้หวันครองสัดส่วนการผลิตชิปถึง 64% จากทั่วโลก โดยมีบริษัทที่ผลิตชิปรายอื่นๆ อย่าง UMC, PSMC และ VIS ด้วย รองจากไต้หวันก็คือประเทศเกาหลีใต้ซึ่งครองสัดส่วนอยู่ที่ 18% จีนครองสัดส่วนอยู่ที่ 9% และสหรัฐฯ ที่แม้จะเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยีแต่สามารถผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ได้เพียง 6% ของการผลิตทั้งโลก

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า TSMC รวมถึงประเทศไต้หวัน มีความสำคัญต่อการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์มากเพียงใด ซึ่งหากขาดชิปจากไต้หวันเพียงประเทศเดียว ก็จะส่งผลให้การผลิตเทคโนโลยีค่อนโลกหยุดชะงักตามไปด้วย

แล้วประเทศอื่นๆ รวมถึงสหรัฐฯ จะสามารถผลิตชิปเอง เพื่อทดแทนชิปจากไต้หวันได้หรือไม่?

คำตอบของเรื่องนี้ก็คือ “อาจจะได้” แต่อาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายปี กว่าที่จะมีความชำนาญเทียบเท่ากับ TSMC หรืออาจต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ทั้งเพื่อการวิจัยและพัฒนา การตั้งโรงงานผลิต รวมถึงจ้างบุคคลากรและผู้เชี่ยวชาญด้วย

เมื่อดูจากประเทศจีนที่มีจุดยืนคือ จีนเดียว จึงอาจคาดเดาได้ว่า ไม่ช้าก็เร็วจีนจะเข้ายึดครองไต้หวัน เหมือนดั่งที่เกิดขึ้นกับฮ่องกง เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่า TSMC ที่มีฐานการผลิตอยู่ที่ไต้หวันและจีน รวมถึงบริษัทผลิตชิปอื่นๆ ของไต้หวัน จะตกอยู่ในการควบคุมของรัฐบาลจีนทั้งหมด

ดังนั้น การที่แนนซี เพโลซี เดินเข้าพบกับประธาน TSMC ก็เพื่อเจรจาให้เข้ามาตั้งโรงงานที่สหรัฐฯ เพื่อเพิ่มฐานการผลิต นอกเหนือจากโรงงานเดิมที่ตั้งอยู่ในเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา และเพื่อลดความเสี่ยงเกี่ยวกับปัญหาด้านการผลิต หากความขัดแย้งระหว่างจีนและไต้หวันตึงเครียดมากขึ้น

ตัดภาพมาที่ประเทศจีน รู้หรือไม่ว่า จีนก็มีบริษัทผลิตชิปเป็นของตัวเองเช่นกัน บริษัทนี้มีชื่อว่า Semiconductor Manufacturing International Corporation หรือ SMIC เป็นบริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของประเทศจีน

อย่างไรก็ดี SMIC ยังไม่มีความชำนาญ หรือเทคโนโลยีขั้นสูงเทียบเท่ากับ TSMC โดยครองส่วนแบ่งทางการตลาดทั่วโลกเพียง 6% เท่านั้น จึงทำให้ที่ผ่านมา จีนยังต้องพึ่งพาชิปจากไต้หวันอยู่นั่นเอง

เรียกได้ว่าชิปจากไต้หวันเป็นชิ้นส่วนสำคัญของจีน สังเกตได้จากมาตรการล่าสุดที่จีนสั่งแบนหลังแนนซี เพโลซี เยือนไต้หวัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสินค้าทางการเกษตร และอาหารทะเล แต่จีนไม่เคยแบนการนำเข้าสินค้าอย่างชิปเซมิคอนดักเตอร์เลย

นอกจากมาตรการแบนการนำเข้าแล้ว จีนยังได้ทำการซ้อมรบครั้งใหญ่ที่สุดในบริเวณน่านฟ้าและทะเลรอบๆ ไต้หวัน รวมถึงยังมีความเป็นไปได้ว่าจีนจะบุกเข้าไต้หวัน

เรื่องนี้เป็นเหตุทำให้มาร์ก หลิว ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “หากจีนทำการบุกไต้หวัน โรงงานผลิตชิปที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก จะไม่สามารถดำเนินการได้” รวมถึงบอกด้วยว่า “ไม่มีใครสามารถควบคุม TSMC ได้ด้วยการใช้กำลัง” และ “สงครามไม่มีผู้ชนะ มีแต่ทุกคนที่เป็นผู้แพ้”

สุดท้ายนี้ สถานการณ์ระหว่างจีน สหรัฐ และไต้หวัน เป็นเรื่องที่ทั่วโลกยังต้องติดตามกันว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะอย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ไต้หวัน เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความสำคัญต่อการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์เป็นอย่างยิ่ง

เอาแค่ว่าการขาดแคลนชิปในช่วงการระบาดของโควิด-19 ยังทำให้หลายอุตสาหกรรมปั่นป่วน ทั้งการผลิตรถยนต์ และการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ หลายคนก็คงไม่อยากจะนึกว่าถ้าหาก TSMC รวมถึงบริษัทอื่น ๆ ไม่สามารถผลิตชิปได้ตามที่ประธาน TSMC กล่าว เรื่องนี้จะทำให้โลกปั่นป่วนมากขึ้นกว่าเดิมขนาดไหน

อ้างอิง

facebook.com/ChineseEmbassyinBangkok/posts/pfbid0fJDWGzH1HM2bv5ChvribjvMWgombs7xzTV3o8F2gV7wi3oXXzFgxyVRKnfwhwFBdl
http://bangkokbank.com/…/2020/taiwanecondevelopment.pdf
http://aljazeera.com/…/why-china-is-not-sanctioning…
http://investor.tsmc.com/…/2021/english/pdf/e_all.pdf
http://cnbc.com/…/apple-chipmaker-tsmc-warns-taiwan…

วรัตต์ วิจิตรวาทการ กับการบริหารความเสี่ยงในธุรกิจกาแฟของ Roots และเบื้องหลัง ‘Roots Bakeshop’

ก่อนเจอกันไม่กี่ชั่วโมง เต้–วรัตต์ วิจิตรวาทการ บอกเราว่าเขายังอยู่เชียงใหม่

“เพิ่งลงมาจากไร่ที่หมู่บ้านขุนแม่รวม” ชายหนุ่มว่า “เดินทางประมาณห้าชั่วโมงจากสนามบิน หลังจากนั้นก็ไปดอยช้าง ขุนลาว เชียงราย”

ไม่ใช่จุดหมายในการท่องเที่ยวแต่อย่างใด แต่สถานที่ที่ว่ามาคือแหล่งปลูกกาแฟที่เขาทำงานกับเกษตรกรในโครงการ Cup to Farm โปรแกรมที่วรัตต์กับพาร์ตเนอร์ผู้ก่อตั้งของ Roots พาตัวเองไปเจอคนต้นน้ำ เพื่อซัพพอร์ตพวกเขาเรื่องความรู้และเครื่องไม้เครื่องมือที่ต้องการ แล้วรับผลผลิตมาใช้ในร้านของพวกเขาเอง

ถึงอย่างนั้นวรัตต์ก็ยืนยันกับเราว่าการทำงานกับเกษตรกรเป็นสิ่งที่ Roots สนใจ แต่ไม่ใช่จุดยืนหลักตั้งแต่ก่อตั้ง เพราะสิ่งนั้นคือการแนะนำวัฒนธรรมกาแฟพิเศษให้ผู้คน

ROOTS

ย้อนกลับไปก่อน Roots จะเปิดร้าน วรัตต์ไม่ได้มีความหลงใหลในกาแฟพิเศษเลย ตั้งแต่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยจนถึงทำงานสื่อ เขาเป็นคนกินกาแฟที่หาได้ง่าย เข้าร้านสะดวกซื้อ ดื่มกาแฟร้านที่หาได้ทั่วไป เลือกเมนูง่ายๆ อย่างคาราเมลมัคคิอาโต้ จนกระทั่งช่วงปี 2006 ที่เผลอไผลเข้าไปในวงการกาแฟพิเศษอย่างไม่รู้ตัว “แก้วที่ทำให้ชอบคือกาแฟเอธิโอเปีย กินแล้วโห มันมีความหวานฉ่ำของบลูเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี และไม่ขม กาแฟมันเป็นอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ ทำไมไม่เคยกิน”

จากความสงสัยนั้น เขาเริ่มศึกษาอย่างลงลึกเรื่องกาแฟพิเศษจากประเทศต่างๆ เริ่มเดินทางฮอปปิ้งต่างประเทศ วันหยุดก็ไปเรียนชงกาแฟ รู้ตัวอีกที ในปี 2007 วรัตต์ก็เปิดร้านกาแฟเล็กๆ ของตัวเองชื่อ ‘โอฮาน่า’ ในซอยสุขุมวิท 24 เพราะอยากนำเสนอกาแฟพิเศษให้ลูกค้า

“แต่ตอนนั้นเรามีกาแฟอย่างเดียว ลูกค้ายังไม่รู้จักกาแฟพิเศษ เขาก็ถามเราว่าคุณไม่มีอาหารไม่มีเครื่องดื่มเหรอ กาแฟอร่อยแต่อยากมีอะไรทานคู่กันด้วย แต่ผมไม่รู้เรื่องอาหารหรือขนมเลย ก็เริ่มศึกษาจากยูทูบ ทำบราวนี่ เลม่อนทาร์ต คุกกี้ จากความไม่รู้ผมก็ไปฝึก มันทำให้เรารู้เลยว่าหลายๆ คนเวลาเขากินกาแฟแก้วหนึ่ง เขาอยากมีอะไรทำให้ประสบการณ์มันสมบูรณ์”

ROOTS

หลังจากร้านโอฮาน่า วรัตต์และเพื่อนก็เปิดคาเฟ่ที่ฟูลออพชั่นขึ้นในปี 2011 ชื่อ Roast คราวนี้เสิร์ฟทั้งอาหาร ขนม และกาแฟพิเศษแบบจัดเต็ม “ตอนนั้นเรารู้สึกว่าร้านอาหารที่อร่อย กาแฟก็ไม่ได้อร่อย ร้านกาแฟที่อร่อย อาหารก็ไม่อร่อย ทำไมมันไม่มีที่ที่รวมสองอย่างนี้เข้าด้วยกัน” Roast จึงตั้งใจเป็นร้านแบบนั้น แต่ปรากฏว่าทำไปทำมา จากคาเฟ่ที่มีอาหารเพียงไม่กี่เมนูก็มีเยอะขึ้น ลูกค้าชอบอาหารมาก กินกันจริงจัง จน Roast มีความเป็นร้านอาหารมากกว่าคาเฟ่ไปในที่สุด

แต่วรัตต์ยังไม่ลืมความตั้งใจที่ตัวเองตั้งไว้ในตอนแรก ในปี 2013  เขากับพาร์ตเนอร์อย่าง กรณ์ สงวนแก้ว, ผกาวัลย์ ติรไพโรจน์ และสมเดช เหลืองทวีบุญ จึงแบ่งทีมออกมาเปิดร้านกาแฟเล็กๆ อีกร้านชื่อ Roots “มีคุณกรณ์ช่วยหากาแฟ คั่วกาแฟ มีน้องๆ อีกหลายคนลงลึกเรื่องกาแฟจริงๆ Roots จึงเป็นแบรนด์ใหม่ที่โฟกัสเรื่องกาแฟพิเศษโดยเฉพาะ”

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราต้องให้กาแฟเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และทุกอย่างจะต้องหมุนรอบสิ่งนี้–คือปณิธานของ Roots ในวันแรก

ระหว่างที่วรัตต์กับเพื่อนอยากพรีเซนต์กาแฟพิเศษให้คนทั่วไปได้รู้จัก ขณะเดียวกันเขาก็สร้างชื่อด้วยตัวเองด้วยการใช้เมล็ดกาแฟไทยไปเข้าร่วมแข่งขันบาริสต้าครั้งแรก ซึ่งผลปรากฏว่าชนะเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันบาริสต้าระดับโลก World Barista Championship 2014 ที่ประเทศอิตาลี

ROOTS

“สิ่งที่ได้รู้ตอนนั้นคือคนทั่วโลกไม่รู้ว่าบ้านเราปลูกกาแฟด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เรามีกาแฟดีระดับหนึ่ง แต่ไทยไม่เคยอยู่ใน coffee map เลย” มิชชั่นของ Roots จึงถูกต่อเติมขึ้นมาอีกนิดหน่อย “เราคิดต่อว่าเราจะเป็นส่วนเล็กๆ ในการพัฒนาวงการยังไงบ้าง เราไม่ได้อยากแค่เป็นคนที่แนะนำกาแฟพิเศษนะ แต่เป็นคนที่อยากผลักดันและโชว์เคสกาแฟพิเศษให้เมืองไทย”

นอกจากการทำงานเพื่อสนับสนุนเกษตรกรในโครงการ Cup to Farm ชาว Roots ยัง ตั้งชื่อเมล็ดกาแฟของร้านด้วยชื่อของเกษตรกรและแหล่งปลูกเพื่อผลักดันให้เป็นที่รู้จัก เวลาผ่านไป จากเมล็ดพันธุ์เล็กๆ นั้น Roots เติบโตแตกกิ่งก้านสาขาจนขยายเป็นสาขาที่ 9 ภายใน 9 ปี

ความพิเศษคือสาขาใหม่ที่ 111 Praditmanutham ไม่ใช่ Roots ธรรมดา แต่เป็น Roots Bakeshop สาขาแรกที่พวกเขาจะได้ทดลอง โชว์เคส และพรีเซนต์ประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ลูกค้า นั่นคือกาแฟ ขนมอบ และของหวาน

เช้าวันธรรมดาหลังจากที่วรัตต์ไปเชียงใหม่มา เราจึงนั่งลงคุยเรื่องความพิเศษของสาขานี้ รวมถึงความท้าทาย และการบริหารความเสี่ยงในฐานะผู้ก่อตั้งแบรนด์กาแฟพิเศษแบรนด์แรกๆ ของไทย

ROOTS

DRIP

อะไรคือสิ่งที่ทำให้ Roots เติบโตจนเปิดมาได้ 9 สาขา

ในมุมมองของผม อาจเป็นความจริงใจ ความซื่อสัตย์ ซื่อตรงกับสิ่งที่เราทำ ผมว่าร้านของเราไม่ได้เป็นร้านที่สวย ใช่ บางสาขาอาจเป็นร้านที่ดูน่านั่ง นั่งแล้วรู้สึกดีแหละ แต่ผมว่าคนที่เข้ามาเขารู้สึกได้ว่าเราอยากให้เขาได้กินกาแฟที่ดีจริงๆ

กาแฟที่ดีก็คือดีแบบกำลังพอดี ในราคาที่กำลังพอดี และมีความสม่ำเสมอในเรื่องรสชาติ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะผมนะ แต่มันมาจากเกษตรกร นักแปรรูป จนถึงคนคั่ว คนชง เขาตั้งใจจริงๆ มันเลย consistent มาก นี่น่าจะเป็นสิ่งหลักที่ทำให้ลูกค้าแฮปปี้กับเรา 

ความตั้งใจในการทำ Roots ของคุณในวันแรกกับวันนี้เปลี่ยนไปยังไง

ไม่ได้เปลี่ยนไป มัน evolve จากจุดเล็กๆ ค่อยๆ กว้างขึ้น โตขึ้นมากกว่า แต่แก่นของมันยังเหมือนเดิมคือเราอยากเป็นร้านกาแฟที่ดี และอยากให้ความสำคัญกับกาแฟที่สุด 

พอทำมาได้สักพัก เราได้เรียนรู้ว่าถ้าคนทำไม่มีความสุข ไม่ตั้งใจ หรือถ้าเราไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคน กาแฟของเรามันก็จะดีไม่ได้เลย คำว่าคนนี่หมายถึงคนทั้ง supply chain ตั้งแต่คนปลูกไปจนถึงคนดื่ม เราต้องมองไปข้างหน้าตลอดเวลาเลยว่าจะทำยังไงดีให้พรุ่งนี้คนทำยังมีความสุข และเรายังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขาได้

ไม่อยากให้มันฟังดูหดหู่หรืออะไรนะ แต่มันมีสิ่งที่ท้าทายเยอะมากที่จะทำให้ร้านกาแฟไปต่อได้ในหลากหลายมิติ ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องคน ไม่เริ่ม invest ในวันพรุ่งนี้ มันก็จะหายไป สโลแกนของ Roots ก็เลยเป็น Coffee – People – For Tomorrow เพราะฉะนั้นความตั้งใจของเราอาจจะเหมือนเดิม แต่เราเข้าใจมิติของการทำร้านกาแฟมากขึ้น เราก็เลยต้องเริ่มเทคแคร์อะไรหลายๆ อย่างให้มันกว้างขึ้น

ROOTS

อะไรบ้าง

รับมือกับชาเลนจ์ในแหล่งปลูก เอาง่ายๆ เรื่อง climate change ปีนี้กาแฟไทยจะน้อยลงประมาณครึ่งหนึ่งเพราะฝนตกไม่ปกติ ซึ่งโดยปกติแล้ว ช่วงเมษาฯ พฤษภาฯ ฝนอาจจะตกนิดนึง พอตกเสร็จปุ๊บดอกก็จะออก เม็ดก็จะขึ้นตามมา แต่ปีนี้มันตกแล้ว ดอกออกแล้ว ฝนตกลงมาอีก ดอกพยายามขึ้นมาอีก ฝนตกอีก เม็ดมันก็เลยร่วง ไม่ติดต้น 

climate change ทำให้ต้องคิดว่าจะไปซัพพอร์ตเกษตรกรได้ยังไง และเราจะเมคชัวร์ว่ากาแฟมันจะยังมีพอที่จะเสิร์ฟให้ลูกค้าเราได้ยังไง นั่นคือเหตุผลว่าเราต้องเข้าใจแหล่งปลูก ไปเวิร์กกับเขา ซัพพอร์ตเขา 

นอกจากเรื่อง climate change ความท้าทายอื่นๆ ของการทำร้านกาแฟในยามนี้เป็นอะไรได้อีก

อันที่เห็นง่ายที่สุดคือร้านกาแฟเปิดทุกหัวมุมของทุก neighborhood ในเมืองไทย ตอนนี้ใครจะชงกาแฟพิเศษ เอาง่ายๆ ว่ามีสถานที่ มีตังค์ มีอุปกรณ์ มันก็ทำได้ คนที่จะทำร้านกาแฟก็ต้องรู้ว่าสถานการณ์เป็นแบบนี้ แล้วเราจะทำยังไงล่ะที่จะเข้ามาในวงการนี้แล้วไม่ถูกกลืน มีลูกค้าประจำ นั่นก็เป็นชาเลนจ์ ก็ต้องเข้าใจจุดแข็งของตัวเอง

เรื่องคนก็เป็นชาเลนจ์ที่ยากมาก ตั้งแต่มีโควิด ผมว่าทุกคนก็ถามตัวเองว่าชีวิตของเราต้องการอะไร เราอยากทำอะไร อยากใช้ชีวิตยังไง อยากทำงานรูปแบบไหน มี work-life balance ยังไงบ้าง ธุรกิจอาหารและงานบริการเป็นธุรกิจที่ผมว่าเหนื่อย ยาก และมีความเสี่ยงต่อชีวิตมากที่สุดอันหนึ่งนะ เราทำงานกันวันหนึ่งเป็น 10 ชั่วโมง บางที 5-6 วันต่อสัปดาห์ ลูกค้าเองก็ยังไม่ได้ให้คุณค่าสิ่งที่เราทำมากที่สุด ถ้าพูดตรงๆ ก็คือยังไม่ยอมจ่ายในราคาที่มันควรจะเป็น ทุกคนยังอยากวิ่งเข้าหาโปรโมชั่นกัน การเป็นคนทำธุรกิจร้านกาแฟมันมีความเหนื่อยและความเสี่ยงตรงนี้อยู่ 

เรื่องการหาคนก็ถือเป็นความท้าทาย แม้ว่า Roots เองจะจ่ายดีระดับหนึ่ง ความสุขในการทำงานก็พอมีบ้าง แต่สเปกในการหาคนเข้ามาจอยของเราก็สูง ไม่ใช่ในเรื่องประสบการณ์การทำงานหรือความรู้นะ แต่เราอยากให้เขาอินในมิชชั่นของแบรนด์ด้วย มันก็จะกรองคนออกไปอีก 

rising cost อันนี้ไม่ต้องพูดถึงเลย ทุกอย่างแพงขึ้นหมด วัตถุดิบ ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ทุกอย่าง ความท้าทายมันมีมาจากทุกด้าน

ROOTS

อย่างที่บอกว่าร้านกาแฟพิเศษมีเยอะขึ้น คู่แข่งเยอะขึ้น คุณเคยรู้สึกหวั่นๆ บ้างไหม

ไม่หวั่นนะ พอเรารู้ว่าเรามีจุดยืนตรงไหน อยากทำอะไรให้สำเร็จ เราแค่ต้องถามตัวเองว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นหรือยัง คือตอนที่เราเปลี่ยนมาใช้กาแฟไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ เราก็กลับมาคุยกันในทีมว่าเป้าหมายแรกที่เราบอกว่าเราอยากแนะนำกาแฟพิเศษให้กับคนกรุงเทพฯ ให้เขารู้ว่ามันคืออะไร ให้กินได้ง่ายขึ้น อยู่ใกล้คนมากขึ้น ตอนนั้นรู้สึกว่ามันเริ่มมีเยอะแล้ว มันเหมือนกับมิชชั่นตอนแรกที่ตั้งมามันกึ่งๆ สำเร็จไปแล้ว ไม่ได้เป็นเพราะเรานะ แต่เป็นเพราะตลาดมันโตขึ้น

จากที่ทำธุรกิจมา มีความเสี่ยงไหนที่เปลี่ยนวิธีคิดหรือวิธีดำเนินธุรกิจของคุณไปเลย

ผมว่า risk คือการที่ทุกคนที่อยู่ใน chain นี้ไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่ามันกำลังจะมีอะไรเกิดขึ้น ไม่อยากให้มันฟังดูดาร์กขนาดนี้ แต่ถ้าทุกคนไม่ได้เข้าใจซึ่งกันและกันว่าปัญหาคืออะไร ให้คุณค่าในสิ่งที่ถูกต้อง และเริ่มเทคแอ็กชั่นแล้วว่าเราต้องปรับเปลี่ยนอะไรบ้าง มันอาจจะไม่มีสิ่งนี้อีกในอนาคต ถ้าผู้บริโภคจะบริโภคโดยไม่เข้าใจว่าจริงๆ แล้ว climate change เป็นเรื่องจริงนะ แล้วตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาหรือ solution ที่จะทำให้สิ่งนี้ดีขึ้นหรือแย่ลงได้ มันก็จะทำให้ปัญหาขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ หรือถ้าผู้บริโภคไม่ได้รู้ว่าอาชีพนี้เหนื่อยขนาดไหน ไม่ได้ให้คุณค่ากับมัน ไม่ได้ซัพพอร์ตคน หลายๆ แบรนด์ที่มีความตั้งใจดีๆ ก็อาจจะอยู่ไม่ได้

ท้ายที่สุด ผมว่าตอนนี้มันคือความเสี่ยงที่ว่าผู้บริโภคเองเขายังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนที่สำคัญมากๆ ในการที่จะทำให้ chain นี้มันอยู่ต่อ ให้กาแฟพิเศษมันอยู่ต่อไปได้ และจริงๆ แล้วมันก็เป็นหน้าที่ของพวกผมเองแหละที่จะต้องสร้าง awareness ให้เขารู้ ผมเชื่อว่าผู้บริโภคหลายๆ คนอยากเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไข แต่จะให้เขาเข้ามามีส่วนร่วมยังไง อันนี้เป็นหน้าที่ในฐานะคนกลางถึงปลายน้ำที่จะต้องหาวิธี

ROOTS

วิธีบริหารความเสี่ยงนี้ของ Roots คืออะไร

สิ่งที่ Roots พยายามทำมาตลอดคือพยายามส่งเสริมกาแฟไทย พยายามทำให้คนเห็นว่ากาแฟมาจาก 9 แหล่งปลูก นั่นเป็นเรื่องหลักของเรา อยากให้คนไทยได้เห็นความหลากหลายและความพิเศษของกาแฟไทย มันคือการสร้างคุณค่าและอยากให้คนรู้สึกว่า เฮ่ย บ้านเราก็มีของดีนี่หว่า เราไม่ต้องไปกินของเมืองนอกก็ได้นี่ ถ้าเราจะมีเงินหนึ่งร้อยบาทอยู่ เราอยากเอาเงินหนึ่งร้อยบาทนี้ไปสนับสนุนใคร อันนี้ก็เป็นจุดที่ผมว่าเราก็พยายามทำ ให้เขารู้สึกว่าคำว่าสิ่งที่ดี เขาอยากมาสนับสนุนแบรนด์ประเภทนี้ดีกว่า แต่ผมว่าจริงๆ มันมีมิติมากกว่านี้อีกเยอะที่ผมคิดว่าเรายังทำได้  

ความเสี่ยงของการทำธุรกิจนี้ที่ยังมีตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้คืออะไร

มันมี และมีมากขึ้น แต่ไม่ใช่ในเชิงคู่แข่ง คู่แข่งผมมองว่ามันทำอะไรไม่ได้ มันจะมีของมันไปเรื่อยๆ แต่นั่นเป็นสิ่งที่ดี มันแปลว่ามีคนกินกาแฟ มีความรู้เรื่องกาแฟมากขึ้น จริงๆ นี่น่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยเราด้วยซ้ำ แต่เราจะเป็น top-of-mind ของเขายังไงดี เราจะทำให้เขามารักกาแฟของเราได้ยังไง พวกนี้มันเป็น risk และชาเลนจ์ของเรา 

ผมว่า risk จริงๆ ตอนนี้มันคือเรื่องที่เราคอนโทรลไม่ได้ เช่นเรื่องโลกร้อน ธรรมชาติของคนทำงานที่กำลังเปลี่ยนไป พวกนี้เป็นเรื่องที่มันถูกเพิ่มขึ้นมาจากโควิด หรือมันอาจเป็นเรื่องที่เราทำไม่ดีสะสมกันมาเป็นสิบๆ ปี แล้วสิ่งนี้ทำให้ risk มันใหญ่และอันตรายกว่าการที่เรามาคิดว่ามันมีร้านกาแฟเล็กๆ น้อยๆ เปิดเยอะมาก 

ROOTS

ฟังดูเป็นความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ คุณบริหารมันยังไง

ผมว่าเรารับมือกับมันเท่าที่เราทำได้ ตลกดีนะ เมื่อเช้าผมเพิ่งมาจากที่ไร่ ก็พยายามจดบันทึกลงใน journal ของตัวเองว่าได้อะไรจากการเดินทางครั้งนี้ ผมว่าทุกๆ ปีปัญหาที่เข้ามามันจะเป็นเซอร์ไพรส์ให้เรา เป็นเรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่หลายๆ ครั้งเราคอนโทรลไม่ได้ แต่สิ่งที่สำคัญ–ไม่ใช่แค่ในธุรกิจนะ ผมว่ามันคือในชีวิตด้วยซ้ำ–มันคือการที่เราต้องลงทุนกับความสัมพันธ์กับคน

ยิ่ง chain นี้มันยาวและมีความซับซ้อนมาก ถ้าเรามีความสัมพันธ์ มีความเชื่อใจ และมีความอยากช่วยเหลือคนใน chain ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และหวังว่าปลายน้ำเขาจะรู้สึกเหมือนเรา ไม่ว่าปัญหาอะไรจะเกิดขึ้น เราจะรู้ว่าเราจะมาช่วยกันหาวิธีแก้ไขกันได้ ถ้าเกิดเราไม่มีตรงนี้ เราก็เหนื่อยทำคนเดียว ถ้าเกิดเราไม่มีความสัมพันธ์ที่ดี ผมว่ามันจะทั้งเหนื่อย ทั้งยาก และเป็นไปไม่ได้มากกว่า 

เพราะฉะนั้น กลับมาเรื่องเบสิกที่สุดของชีวิตเลย คือคุณมีคนที่คุณเชื่อใจ มีคนที่พร้อมเหนื่อยและแก้ไขปัญหาที่คุณไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นกับคุณแล้วหรือยัง ถ้ามีตรงนี้ เวลาเกิดเรื่องบ้าบอขึ้นมันจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จนี่อีกเรื่องหนึ่ง แต่เรารู้ว่าเราจะสบายใจขึ้นในการผ่านตรงนี้ไปกับเขา มันน่าจะผ่านไปได้ง่ายกว่าการที่เราทำคนเดียว

คุณจัดการความสัมพันธ์ของคนที่ทำงานด้วยยังไง

ผมว่าเราต้องจริงใจ มีอะไรต้องพูด และพร้อมที่จะให้ก่อนเสมอ ซึ่งอันนี้อาจจะเป็นจุดอ่อนของผมในบางครั้งด้วยนะ แต่ผมว่าเราต้องเป็นคนใจกว้าง พร้อมที่จะให้โดยที่ไม่คาดหวังอะไรเยอะเกินไป เพราะความสัมพันธ์ที่แข็งแรงและมีความเชื่อถือซึ่งกันและกันมันเริ่มต้นจากการให้ และมันต้องใช้เวลาสร้างความสัมพันธ์นานในระดับหนึ่ง

อย่างเมื่อวาน ผมไปเจอเกษตรกรที่ทำงานด้วยกัน คุยกันมาประมาณสองปีแต่ไม่เคยเจอเลย มันก็จะมีความเขินๆ กันอยู่ มีความไม่แน่ใจว่าคนนี้ต้องการอะไรวะ ต่างจากเกษตรกรอีกคนที่ไปเจอที่ขุนลาว ทำงานกันมาแปดปีแล้ว พอไปบ้านเขามันเหมือนไปอยู่บ้านเพื่อนแล้ว เขาก็ดีใจที่เราไป ทำอาหารให้กินเยอะแยะ คุยกันง่าย ซึ่งเกษตรกรสองที่นี้เจอปัญหาเดียวกันเลยนะ แต่กับคนที่ขุนลาว ผมรู้สึกว่าไม่เป็นไร ผ่านไปได้แน่นอน แต่กับคนที่ทำงานกันมาประมาณสองปี ผมรู้สึกว่าต้องใช้เวลา เพราะฉะนั้น ผมเชื่อว่าถ้าเราพร้อมที่จะให้ พร้อมที่จะเข้าใจปัญหาและพยายามคิด เดี๋ยวสักวันหนึ่งตรงนี้มันก็จะแข็งแรง

ROOTS

แล้วกับพนักงานใน Roots ล่ะ คุณเป็นเจ้านายแบบไหน

ผมว่าลองถามเขาดีกว่า แต่ก็คงมีคนพูดแหละว่าผมน่าจะเป็นคนที่เข้าใจลูกน้อง เพราะผมก็ทำตั้งแต่ล้างจานขึ้นมาเหมือนกันตั้งแต่ตอนอยู่เมืองนอก เรารู้ว่าอาชีพนี้มันเหนื่อยขนาดไหน และก็รู้ด้วยแหละว่าเราเป็นได้มากกว่าแค่คนให้บริการได้ และจริงๆ value ในอาชีพของเรามันมากกว่านั้น แต่เราจะอันล็อกมันยังไงให้น้องๆ ทุกคน

ในฐานะผู้บริหารแบรนด์ สิ่งที่คุณบอกพนักงานบ่อยๆ คืออะไร

(นิ่งคิด) ผมว่ามันคือแนวคิดที่บอกว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับเราเสมอ การทำอะไรทุกอย่างเราต้อง be kind (มีเมตตา) ผมว่านี่เป็นคัลเจอร์ ไม่ใช่แค่ของ Roots แต่เป็นของในคนในแวดวงกาแฟอยู่แล้ว เราต้อง be kind และ be considered (เห็นอกเห็นใจ) เพราะการจะทำให้ทุกอย่างมันเวิร์กได้ เราต้องคิดถึงมากกว่าตัวเองเสมอ ผมคิดว่าการมีเมตตากับเพื่อนร่วมงาน ใครทำงานไม่ดี อารมณ์เสียมา เราไม่รีบหงุดหงิด ไม่รีบตัดสินเขาและมี empathy ให้ นั่นเป็นสิ่งสำคัญ 

อีกอย่างคือมุมมองว่าอาชีพตรงนี้ เราขายกาแฟก็จริง แต่จริงๆ แล้วจุดประสงค์ของเราคือการดูแลลูกค้าและดูแลต้นน้ำ มันมีความน่าภูมิใจในหลายมิติมากนะ อยากให้เขาอินไปด้วย งานเรามันมีความหมายและมันมีอะไรมากกว่าตัวเองเยอะ

ROOTS
ROOTS

คุณมีวิธีการรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กรยังไง

ผมว่าส่วนแรก เราต้องเข้าใจว่าคนเราต้องการการเติบโต ถ้าถามตัวผมเองว่าช่วงไหนมีความสุขมากที่สุดในการทำงาน คำตอบคือตอนเปิดร้านแรกที่มีพนักงานแค่สองคน ผมชงกาแฟทุกแก้วแล้วไปเสิร์ฟกับลูกค้า นั่นคือช่วงที่มีความสุข ได้เติมพลังให้ตัวเอง แต่ว่าจริงๆ พอมีทีมมากขึ้น แบรนด์ก็ต้องเติบโต เช่นเดียวกันกับน้องๆ ทุกคนที่อยากจะเติบโต อยากก้าวหน้าในอาชีพ ในการงาน ในรายได้ ในความรู้ ในความมีเกียรติในการทำงาน ถึงจุดหนึ่งถ้าสิ่งที่เราให้มันแมตช์กับความอยากโตของเขาไม่ได้ เขาก็ไป ถึงจุดหนึ่งแล้วมันไม่ได้เกี่ยวกับเราอย่างเดียว แต่อยู่ที่เราว่าเราจะทำยังไงให้ทุกคนไปด้วยกันได้

ส่วนที่สองคือเราต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราเสมอ คือเราต้องรับฟัง ต้องชวนให้เขาแชร์ มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ในการสร้างแบรนด์ด้วยกัน ทำยังไงดีให้น้องๆ ไม่ว่าจะเข้ามาวันแรกหรืออยู่มาสิบปีรู้สึกว่าถ้าเกิดเขามีไอเดียที่ดี เขาก็จะถูกมองเห็น Barista’s choice ก็เป็นส่วนหนึ่ง ถึงฉันเพิ่งมาได้สองเดือนแต่ฉันไอเดียดี ฉันเก่ง ฉันก็เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ของแบรนด์นี้ได้ 

ROOTS

BAKE

วิทยา ศรีวังคำ และ สุชาดา คงวุฒิติ คือตัวอย่างของบุคคลที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ของร้าน คนแรกคือคนทำขนมปังผู้ทำงานกับ Roots มาตั้งแต่สาขาแรก ส่วนคนหลังคือคนที่เข้ามาเสริมทัพในการพัฒนาของหวานให้ Roots วางจำหน่ายในทุกสาขา 

ปัจจุบันวิทยากับสุชาดาคือ Head of Baker และ Head of Pastry ผู้เป็นหัวเรือหลักของ Roots สาขาใหม่ที่เรานั่งอยู่นี้ เราจึงไม่พลาดที่จะชวนทั้งสองคนมาร่วมวงสนทนาด้วยกัน

ทำไมสาขานี้ถึงเป็น Roots Bakeshop ไม่ใช่ Roots อีกสาขาหนึ่ง

วิทยา : ความจริงแล้วตั้งแต่ Roots สาขาแรก มันก็เป็น Roots Bakeshop เหมือนกัน แต่ตอนนั้นไม่ได้จริงจังเรื่องการชูเรื่องการอบขนมเท่าไหร่ แต่เรามีอบสดๆ เลย

วรัตต์ : ผมว่าความพิเศษในสมัยนู้นคือการที่คนเดินเข้ามาแล้วสงสัยว่าร้านอะไร คือใช่ มันเป็นร้านที่โฟกัสเรื่องกาแฟมาก แต่มองเข้าไปมันเหมือนเป็นห้องเบเกอรีที่เห็นพี่บอมกับทีมทำขนมออกมาสดๆ เสร็จปุ๊บก็ยกออกมาวางเลย ผมว่าประสบการณ์นั้นมันเป็นจุดที่สร้างความแตกต่าง แต่เราแค่ไม่มีโอกาสเอามันกลับมาอีกรอบหนึ่งจนถึงทุกวันนี้

ยังไงก็ตาม Roots Bakeshop ก็ไม่ใช่ร้านกาแฟร้อยเปอร์เซ็นต์ และมันก็ไม่ใช่เบเกอรีร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะถ้าใช้คำว่าเบเกอรีผมรู้สึกว่าเราก็ให้ความสำคัญกับกาแฟน้อยไป พอเป็นคาเฟ่ก็ดูไม่ให้ความสำคัญกับตัวขนมเพียงพอ แต่ของเราจะเป็นร้านที่ไม่ได้ทำแค่ขนมอย่างเดียว มันมีทั้งขนมอบ มี pastry มีเครื่องดื่ม มีนู่นมีนี่ มันเป็นหน้าร้านของการขายสิ่งเหล่านี้มากกว่า

ROOTS

คาแร็กเตอร์สินค้าของ Roots Bakeshop ต่างจากร้านอื่นๆ ยังไง

วิทยา: เป็น comfort bake ที่เข้าถึงรสชาติได้ง่ายมาก และมีความเป็นฝรั่ง ดูธรรมดานะ แต่ของเรามันก็ถึงเครื่อง เนยก็เนยฝรั่งเศสจริงๆ 

สุชาดา: จะมีการขายขนมบางอย่างที่สาขาอื่นไม่มี เช่นเค้กแบบปอนด์ที่ทำสดใหม่ สำหรับลูกค้าที่ชอบช็อกโกแลต เราก็จะมีเค้กช็อกโกแลตเน้นๆ ที่มีช็อกโกแลตประมาณ 7 ชนิดในเค้กตัวนี้ ซึ่งรสสัมผัสจะต่างกันไปในแต่ละชั้นของเค้ก หรือคนที่ชอบชาเขียว เราก็จะมีชาเขียวพรีเมี่ยมจากญี่ปุ่นอย่างชิซุโอะกะกรีนที

สิ่งสำคัญคือเราใส่ใจในรายละเอียดและทุกขั้นตอนที่เราทำ อย่างที่บอกว่า bake หมายถึงการทำสดทุกวัน เพราะฉะนั้นขนม pastry เราคือขนมปังที่อบทุกวัน วันต่อวัน นี่คือคุณภาพของเราที่เราสามารถพูดได้เต็มปาก 

วรัตต์: คำว่าอบสดทุกวันดูเป็นสิ่งที่คนพูดบ่อย แต่ผมว่ามันก็สำคัญจริงๆ แล้วร้านที่อร่อยส่วนใหญ่มันก็เป็นอย่างนี้แหละ 

ROOTS

ความเสี่ยงในการกระโดดลงมาเล่นในตลาดขนมอบคืออะไร

วรัตต์: ไม่ได้เป็นความเสี่ยงขนาดนั้น เพราะเราบิวด์เรื่องกาแฟมาสักพักหนึ่งแล้ว พอทำ Roots Bakeshop เราก็ไม่ได้จะใส่ใจกาแฟน้อยลง 

ผมคิดว่าเบเกอรี่กับกาแฟเป็นอะไรที่อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว แต่มันเป็นเรื่องที่เราอาจไม่ได้ให้ความสำคัญมันมากเท่าที่ควร ตอนนี้เราให้ความสำคัญมันมากขึ้นเพราะเรารู้ว่ามีคนอีกกลุ่มใหญ่ๆ ที่มองว่าสองอย่างนี้ต้องอยู่ด้วยกัน แล้วประสบการณ์ที่ดีที่สุดคือการมีกาแฟที่ดี และขนมที่ดีคละกัน ไม่ใช่ว่ากาแฟดีมากเลย ขนมเฉยๆ หรือขนมดีมากๆ เลย แต่กาแฟเฉยๆ ทำไมของดีมันอยู่ด้วยกันไม่ได้ 

ROOTS

คุณมองอนาคตของ Roots Bakeshop ไว้ยังไง

สุชาดา: ก่อนหน้านี้ Roots อยากมีพื้นที่ในการผลิตขนมอยู่แล้ว Roots Bakeshop จึงเหมือนเป็นการต่อยอดสิ่งที่เราคิดไว้ตั้งแต่แรกให้สำเร็จ เรามีครัวกลาง มีขนมขาย และอยากทำให้มั่นใจว่าขนมของเราสามารถดีเทียบเท่าได้กับกาแฟ นอกจากนี้จริงๆ เราพยายามผลักดันการจับคู่กาแฟกับขนมเข้าด้วยกัน 

วรัตต์ : จริงๆ มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากนะ ถ้าเราต้องมาคิดว่าขนม Crezel (Croissant + Pretzel) ตัวนี้มันจะกินกับกาแฟประเภทไหนที่จะทำให้ขนมอร่อยขึ้น รสชาติมันส่งเสริมกัน ถ้าเราเริ่มคิดในมายด์เซตนั้นมากขึ้น มันจะเริ่มสนุกแล้ว มันเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ผมว่ามันยังไม่มีคนเล่น ทำไมมีคนทำ wine paring กับอาหารได้ แล้วคนจับคู่ขนมกับกาแฟ จริงๆ มันยังเป็นดินแดนที่ยังไม่มีใครไปสำรวจ

ไอเดียเรื่องการจับคู่มาได้ยังไง

วรัตต์ : ผมว่ามันก็มาจากการชอบกินขนมและชอบกินกาแฟด้วยของเรา พอกินแล้วมันก็ตั้งคำถามต่อไปได้ อย่างตอนกิน Crezel ผมยังไม่รู้จักเลยว่ามันคืออะไร แต่รู้สึกว่าขนมตัวนี้มันพิเศษจริงๆ เลยนะ พอพี่บอมมาเล่าให้ฟังว่ามันมีน้ำตาลที่รสชาติเหมือนคาราเมล มีความเป็นถั่วๆ อัลมอนด์ที่มัน toast มา แต่มันมีความกรอบและแห้งนิดหนึ่ง เราก็คิดต่อว่าจะกินคู่กับอะไรดี อาจเป็นกาแฟมันมีรสแบบถั่วๆ หน่อย เป็นลาเต้ดีไหม แต่ใช้ลาเต้ที่ทำจากโอ๊ตมิลค์สิ มันจะได้ส่งเสริมความเป็นถั่ว ถ้ารู้สึกคอแห้งก็กินอันนี้ด้วยกัน ก็ทำให้มันฉ่ำขึ้น แต่รสชาติของขนมไม่หายไป 

สำหรับผมตอนนี้ Roots Bakeshop ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ช่วงค้นหาอยู่ หลายๆ ครั้งคนจะคิดว่าพอเปิดแล้วมันต้องเพอร์เฟกต์ และมันต้องชัดเจนแล้ว ซึ่งผมว่ามันไม่ใช่ความคิดที่จำเป็นขนาดนั้น มันน่าสนใจกว่าอีกว่าร้านร้านหนึ่งทำขึ้นมาแล้ว และพัฒนาไปยังไง มี discovery process 

ถ้าเราไม่ได้เริ่ม เราก็ไม่มีวันไปถึงจุดที่เราอยากไปถึง ถึงแม้ว่าไอ้จุดที่เราอยากไปถึงมันอาจจะไม่สามารถทำเสร็จได้ตั้งแต่วันนี้เลย แต่ยังไงมันก็ต้องเริ่มน่ะ


PLAYBOOK

บันทึกการผ่านด่านสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิต หรือส่งผลต่อชีวิตจนปัจจุบัน

ROOTS

MISSION : การเอาตัวรอดในช่วงโรคระบาด

YEAR : 2020

EVENT :

พอโควิดระบาด เป็นอะไรที่ชาเลนจ์มาก The Commons ปิด Roast ต้องปิด สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าโชคดีคือเรายังมี Roots เพราะไม่ว่าสถานการณ์ไหน คนก็ต้องกินกาแฟอยู่ดี 

PLAN : 

Roots เป็นแบรนด์เดียวที่พลิกแพลงเร็วมาก ร้านถูกสั่งให้ปิดปุ๊บเราทำเดลิเวอรี คนเดินทางมากินไม่ได้ เราเปิดออนไลน์ช็อป เรามีโปรดักต์ใหม่ๆ ออกมา ทำให้เติบโตขึ้น 3-4 เท่าในช่วงนั้น

การที่ลูกค้ามาหาเราไม่ได้ มันทำให้เราเรียนรู้ว่าการเซอร์วิสลูกค้าสำคัญขนาดไหน เพราะเขาเป็นคนสำคัญที่จะทำให้เราอยู่ต่อได้ และเราจะต้องหาวิธีอะไรใหม่ๆ เพื่อจะทำให้เขารู้สึกว่าเรายังอยู่ในชีวิตเขา อย่าง cold brew ซึ่งเป็นสินค้าตัวสำคัญที่ลูกค้ามากินหน้าร้านตลอด พอโควิดเกิดขึ้น คนก็มากินไม่ได้ ลูกค้าก็เสียใจ เราถึงต้องวิ่งหาบรรจุภัณฑ์ที่เก็บกาแฟ cold brew ที่คุณภาพดีเทียบเท่ากับหน้าร้าน จนสุดท้ายเราก็หาเจอ ถึงจะใช้เวลานาน R&D กันเยอะ แต่พอมันเกิดขึ้น ลูกค้าก็แฮปปี้

เหตุการณ์นี้ทำให้เราเห็นว่าลูกค้าสำคัญขนาดไหน ลูกค้าต้องการอะไร และจริงๆ เรายังมีความยืดหยุ่น มีโอกาสทางธุรกิจอีกเยอะมาก

SCORE : 

ถ้าให้คะแนนความพยายามกับน้องๆ ในทีมก็เต็ม 10 แต่ถ้าคะแนนของผลลัพธ์มันพูดยาก ธุรกิจทุกธุรกิจก็กระทบอาจจะได้ 7-8 ซึ่งก็ถือว่าน่าจะดีแล้วในสถานการณ์นั้น แต่ถึงที่สุดแล้ว ผมว่าการให้คุณค่ากับความพยายามและความตั้งใจนั้นสำคัญกว่า ถ้าเราดูแค่ผลลัพธ์อย่างเดียว ผมว่าบางทีเราลืมไปว่ามันมีหลายอย่างที่เราคอนโทรลไม่ได้ มีหลายอย่างที่ถ้าเราไป judge ความสามารถหรือคุณภาพของคนแค่ที่ผลลัพธ์ เราอาจจะเสียคนดีๆ ไป

QUIT or RESTART : 

ผมว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพื่อให้เรามีวันนี้ ย้อนเวลากลับไปได้ก็จะทำแบบเดิม

ชวนแบรนด์ Côte d’Soleil มาเลือกหยิบ 12 สิ่งที่เป็นที่สุดมาใส่ตระกร้า 

Côte d’Soleil

Côte d’Soleil add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

Côte d’Soleil

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

Heinz แบรนด์ซอสมะเขือเทศที่อยากเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์โดยการใช้แคมเปญสุดครีเอทีฟ

การขอซอสมะเขือเทศเพิ่มในร้านอาหารดูจะเป็นปกติวิสัยของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารฝรั่งเศส ร้านอิตาเลียน ร้านญี่ปุ่น หรือแม้แต่ร้านอาหารไทย เพราะคนไทยชอบกินซอสมะเขือเทศมาก ไม่ว่าอะไรก็หยิบจับมาใส่ซอสมะเขือเทศได้ทั้งนั้น ซอสมะเขือเทศจึงเป็นเสมือนหนึ่งเครื่องปรุงประจำโต๊ะที่ขาดไม่ได้

ต่างจากชาวอิตาเลียนที่การขอซอสมะเขือเทศเพิ่มในร้านสปาเกตตีหรือร้านพิซซาเรีย คงจะเป็นเรื่องไม่ปกติ เพราะวัฒนธรรมเขานิยมที่จะกินอาหารแบบที่เชฟปรุงแต่งออกมาจากครัวให้อย่างเข้าที่แล้วเสียมากกว่า เชฟอิตาเลียนบางคนอาจถึงขั้นเดินตามออกมาที่โต๊ะแล้วถามคุณว่า “เขาพร่องตรงไหนหรือไม่ ทำไมคุณจึงคิดจะเติมซอสมะเขือเทศลงไปในจานอาหาร?”

แต่ลางเนื้อชอบลางยา ความชอบของคนเราย่อมไม่เหมือนกันและไม่มีใครควรได้รับการตัดสินจากใครว่าแบบไหนผิดหรือถูก ความชื่นชอบกินซอสมะเขือเทศของคนไทยหรือคนชาติไหนๆ ที่นิยมใช้มันกินคู่กับพิซซ่า ราดมันเพิ่มในพาสต้า หรือจิ้มเป็นซอสเคียงของสเต๊กริบอายก็ไม่น่าโดนตัดสินว่าผิดอะไร 

แต่หากเราจะลองคิดแบบเร็วๆ ว่าอาหารชนิดไหนบนโลกใบนี้ที่คนส่วนใหญ่น่าจะเห็นพ้องต้องกันไปในทางเดียวว่า ควรคู่ที่จะกินกับซอสมะเขือเทศที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้น…

เฟรนช์ฟรายส์

เฟรนช์ฟรายส์กับซอสมะเขือเทศ

รสชาติเปรี้ยว อมหวาน และเค็มนิดๆ ของซอสมะเขือเทศที่เข้ากันได้อย่างพอดิบพอดีกับความเค็มจากเกลือที่อยู่บนผิวของเฟรนช์ฟรายส์และรสชาติของมันฝรั่งทอดร้อนๆ เป็นคำอธิบายที่ชัดเจนว่าสองสิ่งนี้ ทั้งเฟรนช์ฟรายส์และซอสมะเขือเทศ เกิดมาเพื่อเป็นของ(กิน)คู่กัน

13 กรกฎาคม 2022 (วันเฟรนช์ฟรายส์แห่งชาติ–National Fench Fries Day) ซอสมะเขือเทศไฮนซ์ (Heinz) ออกแคมเปญ ‘Heinz Spoon Friez’ โดยแคมเปญนี้เริ่มต้นจากการคราฟต์ไอเดียของเอเจนซีสัญชาติบราซิล ‘Africa’ และบริษัทพัฒนาอาหาร Tastehead ของอังกฤษ โดยเอเจนซีดังกล่าวทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่องการกินเฟรนช์ฟรายส์ ผลปรากฏว่า 95% ของกลุ่มตัวอย่าง ปฏิเสธที่จะกินเฟรนช์ฟรายส์แบบเปล่าๆ พูดง่ายๆ คือหากจะให้เขากินเฟรนช์ฟรายส์ คุณต้องมีซอสให้จิ้มด้วยสิ!

ภาพจาก Heinz

ผลการสำรวจดังกล่าวจึงถูกเอามาพัฒนาต่อเป็นไอเดียการทำแคมเปญ ‘Heinz Spoon Friez’ นั่นคือการทำเฟรนช์ฟรายส์ให้เป็นรูปช้อนซะเลย เพราะไหนๆ เหล่าเฟรนช์ฟรายส์เลิฟเวอร์ก็หวังจะกินมันกับซอสอะไรสักอย่างอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นเราขออำนวยความสะดวกในการกินเฟรนช์ฟรายส์ให้กับคุณ แถมชี้นำคุณด้วยว่านี่คือเฟรนช์ฟรายส์รูปช้อนจากแบรนด์ซอสมะเขือเทศของเรานะ ไม่สนใจจะใช้ช้อนเฟรนช์ฟรายส์นี้ตักซอสของเราหน่อยหรอ? 

ถึงแม้ว่าแคมเปญดังกล่าวจะได้รับการกล่าวขานบนหน้าสื่อหลายสำนักทั่วโลก แต่ก็ใช่ว่าไฮนซ์จะเริ่มไลน์การผลิตเฟรนช์ฟรายส์มาขายแข่งกับแบรนด์ฟาสต์ฟู้ด เพราะถ้าจะเปิดศึกท้าดวลตลาดเฟรนช์ฟรายส์กันแบบนั้น ทั้งไฮนซ์และแบรนด์ฟาสต์ฟู้ดอาจจะเหนื่อยกันอีกยกใหญ่กับการช่วงชิงการเป็นเจ้าแห่งตลาดเฟรนช์ฟรายส์ 

ภาพจาก Heinz

แคมเปญ Heinz Spoon Friez หรือผลิตภัณฑ์เฟรนช์ฟรายส์รูปช้อนนี้ออกมาเพื่อเป็นของแจกให้แก่ผู้ร่วมเล่นเกมส์กับไฮนซ์ในประเทศอังกฤษภายในวันที่ 20 กรกฎาคม 2022 เท่านั้น ยังไม่มีการรายงานเพิ่มเติมว่าในอนาคตไฮนซ์อยากจะกระโดดลงมาเล่นกิจการฟาสต์ฟู้ดด้วยหรือไม่

คิดถึงซอสมะเขือเทศ คิดถึงไฮนซ์

ไฮนซ์ (Heinz) แบรนด์ซอสมะเขือเทศสัญชาติอเมริกันที่มีประวัติยาวนานนับศตวรรษตั้งแต่ยุค 1860s ถือเป็นแบรนด์ที่มีอายุร้อยปีแต่ยังคงไว้ลายความเก๋า ยืนหนึ่งในใจผู้บริโภคและได้รับความนิยมจากการสำรวจความนิยมในการบริโภคซอสมะเขือเทศทั่วโลกจาก Statista ว่าเป็นแบรนด์ซอสมะเขือเทศที่คนทั้งโลกเลือกที่จะบริโภคมากที่สุด

ภาพจาก Heinz

หากเปรียบเป็นอายุคน ไฮนซ์อาจจะเป็นแบรนด์รุ่นคุณปู่เพราะอายุปาเข้าไปเหยียบร้อยกว่าปีแล้ว แต่ความทันสมัยและเท่าทันหัวใจคนรุ่นใหม่ของคุณปู่ยังคงเข้ากับยุคสมัยอยู่เสมอ พิสูจน์ได้จากแคมเปญและนวัตกรรมต่างๆ ของไฮนซ์ที่ทยอยออกมาอยู่เนืองๆ เพื่อให้ไฮนซ์ไม่ได้เป็นเพียงแค่แบรนด์ซอสมะเขือเทศ แต่เพื่อให้ไฮนซ์เป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ในชีวิตคนต่างหาก

การเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ของแบรนด์ไฮนซ์ไม่ได้เพิ่งเริ่มต้นจากแคมเปญการทำเฟรนช์ฟรายส์เป็นรูปช้อน (เพื่อจะได้ตักซอสเข้าปากได้ง่ายๆ) ปีแล้วปีเล่าที่ไฮนซ์พัฒนาและปรับตัวให้เท่าทันกับวิถีชีวิตของผู้คนอยู่เสมอ

ตัวอย่างเช่น ไฮนซ์เคยสังเกตเห็นว่าการเทซอสมะเขือเทศออกจากขวดเป็นจุดที่เพิ่มความลำบากในการบริโภคซอสมะเขือเทศของลูกค้าหลายคนทั่วโลก บางคนเขย่าขวดก่อนเท (ทำเหมือนเป็นยาแก้ไอที่ต้องเขย่าขวดก่อนเปิด) บางคนมีเทคนิคเฉพาะตัวตบที่ก้นขวดระหว่างเทซอส ถ้าการกินซอสมะเขือเทศมันยากต่อชีวิตคุณขาดนั้น ไฮนซ์จึงขอเสนอแคมเปญที่มีชื่อว่า…

‘Pour Perfectly’

เทคนิคการเทซอสมะเขือเทศให้ออกจากขวดแบบไม่ต้องใช้กำลัง

เดือนกันยายน 2019 ไฮนซ์ออกแคมเปญ ‘Pour Perfectly’ โดยการออกแบบสติ๊กเกอร์และ องศาในการแปะสติ๊กเกอร์บนหน้าขวดซอสมะเขือเทศให้มีองศาเอียงไปจากเดิมประมาณ 45 องศา ดังนั้นการจะอ่านคำว่า Heinz และข้อความต่างๆ บนสติ๊กเกอร์นั้นได้ คุณต้องเอียงขวดประมาณ 45 องศา ซึ่งนั่นคือมุมที่ดีที่สุดในการเทซอสมะเขือเทศให้ออกจากขวดแบบไม่ต้องเขย่า หรือออกแรงทุบก้นขวดก่อนเท เสี่ยงต่อภาวะซอสมะเขือเทศเลอะโต๊ะหรือเปรอะเสื้อ เข้ากับสโลแกนของแคมเปญนี้…Pour Perfectly

ภาพจาก Heinz

ถึงแม้ขวดและสติ๊กเกอร์แคมเปญ Pour Perfectly จะทำออกมาจำนวนจำกัดและวางขายจำนวนจำกัดเท่านั้น แต่ก็เป็นอีกครั้งที่แคมเปญนี้ได้รับเสียง “ว้าว” จากสาวกของไฮนซ์ถึงการพยายามหาทางออกให้แก่ปัญหาของคนรักซอสมะเขือเทศ

นอกจากการแก้ปัญหาให้กับคนชอบกินซอสมะเขือเทศแล้ว บอกแล้วว่าปู่ไฮนซ์ก็เท่าทันยุคอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้แต่งานแฟนซี หรืองานเทศกาล ปู่ไฮนซ์อายุหลักร้อยก็ยังคงขอมีส่วนร่วมด้วย

Trick or Treat?

สิ้นเดือนตุลาคมของทุกปีคือวันฮัลโลวีน ตามธรรมเนียมฝรั่งแล้วก็จะมีการแต่งกายเป็นผีสาง แม้แต่เด็กๆ ก็มักจะแต่งชุดแฟนตาซีเป็นผี เป็นแม่มด หรือเป็นอะไรก็ได้สุดแต่จินตนาการของน้องหนู ไฮนซ์เองตระหนักดีว่า การแต่งกายชุดผีแฟนซีในเทศกาลฮัลโลวีน มักจะต้องมีการใช้ซอสมะเขือเทศเป็นเครื่องมือช่วยในการแสร้งทำเป็นเลือดปลอม

ไฮนซ์จึงกระโดดเข้าไปในโอกาสนี้ ที่ใครๆ ต่างต้องพากันใช้ซอสมะเขือเทศทำเป็นเลือดปลอมอยู่แล้ว ทำเป็นแพ็กเกจซอสมะเขือเทศและอุปกรณ์ฮัลโลวีนขายด้วยกันไปเลยก็แล้วกัน!

ภาพจาก Heinz
ภาพจาก Heinz

ชุดแพ็กเกจที่ว่ามีชื่อว่า ‘HEINZ Tomato Blood Costume Kit’ ประกอบไปด้วย ขวดซอสมะเขือเทศไฮนซ์เพื่อตกแต่งเป็นเลือดปลอมบนเสื้อผ้า เขี้ยวแวมไพร์ เครื่องสำอางสำหรับเพนต์หน้า สติ๊กเกอร์แทตทูสำหรับติดบนร่างกาย เป็นต้น โดยแพ็กเกจนี้จะเริ่มขายในเว็บไซต์ Heinz Halloween วันที่ 12 ตุลาคม 2022 เป็นต้นไปที่ราคาชุดละ 20 ดอลลาร์สหรัฐ

เมื่อคุณปู่ไฮนซ์ทำตัวกลมกลืนกับไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบันอย่างแนบเนียน ทั้งขยันออกผลิตภัณฑ์ให้ทันยุคทันสมัยทันเทศกาล ทีนี้มาที่แคมเปญทีเด็ดที่ปล่อยออกมาเมื่อปี 2021 ที่พิสูจน์ว่าแบรนด์ไฮนซ์ คือแบรนด์ซอสมะเขือเทศที่เก๋าเกมและยืนอยู่ในใจคนข้ามศตวรรษ

แคมเปญนี้คือ การทดลองทางสังคมโดยมีโจทย์ง่ายๆ ให้กับผู้เข้าร่วมทดลองทุกคนเพียงข้อเดียวคือ ให้พวกเขาทุกคน…

วาดรูปซอสมะเขือเทศ

“วาดรูปซอสมะเขือเทศ?” นี่คือรีแอ็กชั่นของคนส่วนใหญ่ที่จะทวนคำถามหลังได้ยินคำสั่งดังกล่าว

วาดซอสมะเขือเทศ

ปรากฏว่าคนทั่วโลกที่เข้าร่วมการทดลองทางสังคมนี้ ทั้งที่มานั่งร่วมทดลองในสตูดิโอ หรือที่เข้าร่วมการทดลองผ่านทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ จากหลากหลายประเทศทั่วโลก ทั้งแคนาดา สหรัฐอเมริกา สโลเวเนีย อิตาลี อินเดีย นอร์เวย์ ออสเตรเลีย เมื่อครบเวลาที่กำหนดให้วาดรูปซอสมะเขือเทศ พวกเขาต่างหันหน้ากระดาษสีขาวที่มีรูปขวดซอสมะเขือเทศพร้อมเขียนคำว่า 

‘Heinz’ อยู่บนขวดซอส

ไฮนซ์จึงได้ทีเอามาทำเป็นแคมเปญพร้อมขึ้นเป็นป้ายบิลบอร์ดว่า “WE ASKED PEOPLE TO DRAW KETCHUP. THEY DREW HEINZ” 

แปลเป็นไทยได้ว่า “เราขอให้ผู้คนวาดรูปซอสมะเขือเทศ พวกเขาวาดรูปไฮนซ์”

ภาพจาก CNW Group/Kraft Heinz Canada

นี่อาจจะเป็นการสรุปความสำเร็จได้น่ารักและชวนยิ้มตามได้มากที่สุดของแบรนด์ซอสมะเขือเทศที่สามารถทำให้ผู้คนเขียนเครื่องหมายเท่ากับ ระหว่าง ‘ชื่อแบรนด์’ กับ ‘ชื่อสินค้า’ พูดโดยสรุปคือ ไม่ต้องแปลกใจที่ไฮนซ์ครองสถิติแบรนด์ซอสมะเขือเทศที่ผู้คนนิยมมากที่สุดในโลก เพราะในสายตาคนส่วนใหญ่

ซอสมะเขือเทศ = ไฮนซ์

อ้างอิง

FeelFin แบรนด์ที่เปลี่ยนยาหม่องให้ทันสมัยด้วยแพ็กเกจจิ้งแบบสไลด์และกลิ่นเหมือนไปสปา

สำหรับเมืองร้อน(มาก)อย่างประเทศไทย ถ้าจะมีโปรดักต์สักอย่างที่ใช้ได้ทุกเพศทุกวัย สิ่งนั้นน่าจะเป็นยาหม่อง ยาดม

แต่ทั้งๆ ที่ลูกค้ามีมากมายหลายกลุ่ม ทำไมยาหม่องในท้องตลาดถึงมักจะตอบโจทย์คนกลุ่มเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อผลิตภัณฑ์กลิ่นสมุนไพรสุดคลาสสิกหรือแพ็กเกจจิ้งขวดแก้วหนาหนักที่เราใช้กันจนชิน

ยาหม่องเลิฟเวอร์อย่าง มะปราง–ศศธร กาญจนมงคล ถามตัวเองด้วยคำถามในย่อหน้าด้านบน ก่อนจะได้คำตอบว่าถ้ายาหม่องที่มีในตลาดยังไม่ถูกใจเธอก็จะลองทำเอง กลายเป็นที่มาของ FeelFin แบรนด์แรกในไทยที่บรรจุยาหม่องลงในตลับแบบสไลด์ และมีกลิ่นอโรม่าหลากหลายตั้งแต่กลิ่นไทยๆ อย่างไพลไปจนถึงกลิ่นดอกไม้เมืองหนาวแบบกุหลาบและลาเวนเดอร์

จากคำถามเล็กๆ ตอนตั้งต้น วันนี้ยาหม่องแบบสไลด์ของ FeelFin วางขายทั้งทางออนไลน์และร้านค้าทั่วประเทศ มีลูกค้าประจำเหนียวแน่นถึงขั้นขอเป็นตัวแทนจำหน่าย และขายดิบขายดีทั้งในหมู่ลูกค้าคนไทยและชาวต่างชาติแม้ว่าจะมียาหม่องครองตลาดอยู่แล้วหลายแบรนด์

การปรับวิธีคิดโดยเฉพาะเรื่องแพ็กเกจจิ้งทำให้แบรนด์ยาหม่องเจ้าใหม่มีพื้นที่ในตลาดที่มีผู้เล่นมาก่อนเป็นร้อยปีได้ยังไง

สไลด์หน้าจอลงด้านล่างเพื่ออันล็อกคำตอบจากมะปรางได้เลย

Product (& Packaging)
สินค้าแปลกใหม่และแพ็กเกจจิ้งใหม่ยิ่งกว่า

“เราชอบใช้ยาหม่อง ยาดม หรือบาล์มต่างๆ อยู่แล้ว แต่แบรนด์ที่มีขายในท้องตลาดก็ยังไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่ พอดีแม่ของแฟนเขามีสูตรยาหม่องอยู่ เราลองใช้แล้วก็ชอบมากเพราะกลิ่นมันอโรม่า เป็นกลิ่นดอกไม้ ไม่ใส่น้ำมันระกำหรือน้ำมันมวยที่บางคนไม่ชอบ เราเองใช้ยาหม่องมาก็ยังไม่เคยได้กลิ่นแบบนี้เลยคิดว่ามันไปต่อได้ แต่เรารู้สึกว่ากลิ่นมันขัดกับกระปุกมาก (หัวเราะ) คือกลิ่นมันอโรม่า ดูเรียบหรู แต่กระปุกเป็นกระปุกหมุนๆ ทั่วไปเราก็คิดว่าถ้าเปลี่ยนมันจะโอเคมาก” มะปรางเล่า

เมื่อสูตรผลิตภัณฑ์ที่มีถูกใจจนแทบไม่ต้องปรับปรุงเพิ่ม เธอก็เริ่มตามหาแพ็กเกจจิ้งที่ใช่จนได้มาเจอกล่องแบบสไลด์ที่มักใช้บรรจุลูกอม น้ำหอมชนิดแห้ง หรือลิปบาล์ม

“แค่เห็นกล่องแบบสไลด์ก็คิดว่าใช่เลย เราเห็นภาพว่าถ้าออกแบบแพ็กเกจจิ้งให้ดีมันต้องไปได้ดีแน่ๆ เพราะทาร์เก็ตของเราคือคนรุ่นใหม่ จะใช้อะไรก็ต้องขอให้ดีไซน์ดีนิดนึง วางแล้วมันต้องสวย ต้องให้คนทักหน่อย (หัวเราะ) ตอนเอาไปให้เพื่อนๆ ลองใช้ฟีดแบ็กคือ ‘อะไรอะ สวยมาก’ ถ้ายังไม่ได้บอกว่าเป็นยาหม่องเขาจะคิดว่าเป็นลิปมัน ลูกค้าหลายคนก็บอกว่าวางไว้ที่โต๊ะแล้วเพื่อนเอาไปทาปาก แต่ว่ามันไม่ได้อันตรายอะไรนะแค่จะรู้สึกเย็นๆ (หัวเราะ)

“อีกเรื่องคือมันสร้างความแตกต่าง ตลาดยาหม่องมีหลายแบรนด์ที่ครองตลาดไปแล้วจะทำยังไงให้แบรนด์ของเราสู้ได้ก็ต้องเป็นเรื่องของแพ็กเกจจิ้ง ยิ่งตอนแรกเราขายแค่ออนไลน์ก็ยิ่งสำคัญเพราะลูกค้าลองดมกลิ่นไม่ได้ สิ่งที่จะทำให้เขาตัดสินใจซื้อคือหน้าตา ยาหม่องทั่วไปมีเยอะแยะมาก แพ็กเกจแบบกระปุกที่ดีไซน์สวยๆ ก็มีเยอะมากเหมือนกัน เราต้องฉีกไปเลย หาจุดที่สะดุดตาคน พอเขาซื้อไปลองแล้วชอบ คนอื่นเห็นเขาใช้แล้วอยากใช้บ้าง คราวนี้เราก็เริ่มขายได้เรื่อยๆ”

นอกจากเห็นแล้วรู้ว่าสวยแตกต่าง ประสบการณ์ตอนใช้งานก็ถูกดีไซน์อย่างตั้งใจ อย่างแถบสีที่อยู่บนฝานั้นเป็นตำแหน่งวางนิ้วสำหรับสไลด์ ถ้าไม่วางนิ้วในตำแหน่งนี้จะเปิดค่อนข้างยากเพื่อป้องกันฝาเลื่อนหลุดแบบไม่ได้ตั้งใจ หรือแทนที่จะใช้ label สติ๊กเกอร์มะปรางก็เลือกใช้เทคนิคสกรีนเพื่อความทนทาน

แต่แล้วระหว่างทดลองบรรจุยาหม่องในกล่องสไลด์ปัญหาก็เกิดขึ้น

“ยาหม่องละลาย” มะปรางเล่าขำๆ

“ยาหม่องดั้งเดิมของเราเป็นสูตรร้อนพอเอามาใส่ตลับมันจึงละลายง่ายมาก เราเลยปรึกษาเภสัชกรที่เขาให้สูตรแม่แฟนมาและพัฒนาเป็นสูตรเย็นซึ่งละลายยากกว่า กลายเป็นว่าเวิร์กมากเพราะพอทาที่ผิวแล้วมันเย็นๆ ผ่อนคลาย ตอบโจทย์เมืองร้อน”

ถ้าจะทำให้แตกต่างก็ต้องทำให้สุด เริ่มแรก FeelFin จึงมี 3 แค่กลิ่นเท่านั้นคือกุหลาบ ลาเวนเดอร์ และเสลดพังพอนซึ่งไม่ใช่กลิ่นที่พบได้ในยาหม่องทั่วไป แต่ยังเก็บคุณสมบัติของยาหม่องเอาไว้ครบถ้วน ทั้งใช้ทาแผลแมลงสัตว์กัดต่อยได้ และใช้ดม ใช้ทาคลายเครียดได้เหมือนกัน

“3 กลิ่นนี้แตกต่างจากกลิ่นยาหม่องทั่วไปแล้วก็แตกต่างกันเองด้วย กุหลาบออกแนวสดชื่น เสลดพังพอนออกแนวอโรม่าแบบไทยๆ ส่วนลาเวนเดอร์หอมหวาน เรารู้สึกว่า 3 กลิ่นนี้มันตอบโจทย์ทุกคนแน่นอน ทั้งผู้หญิงและผู้ชายใช้ได้หมด

“ตอนแรกเรามีแค่ 3 กลิ่นแล้วค่อยทำเพิ่มอีก 3 คือลิลลี่ ไพล และเปปเปอร์มินต์เพราะลูกค้าเรียกร้อง จริงๆ ตอนแรกไม่ได้สนใจอยากทำกลิ่นไพลกับเปปเปอร์มินต์เลยเพราะในท้องตลาดมีเยอะมาก แต่ว่าลูกค้าเรียกร้องกลิ่นเปปเปอร์มินต์หนักมาก ส่วนไพลคือกลิ่นแบบยาหม่องกระปุกแต่เราทำให้มันอโรม่ามากขึ้น คิดว่าจะได้ตอบโจทย์ผู้ใหญ่ด้วยแล้วมันก็ตอบโจทย์จริงๆ

“ตอนแรกเราตั้งทาร์เก็ตไว้เป็นวัยรุ่น วัยทำงานอายุประมาณ 25 ปีแต่พอทำจริงมันตอบโจทย์มากกว่านั้นอีก อย่างเราไปวางขายที่ร้านมัลติแบรนด์ใกล้ๆ โรงเรียน เด็กๆ ซื้อกันเยอะมาก แล้วก็ตอบโจทย์กลุ่มผู้ใหญ่ด้วยเพราะลูกหลานซื้อแบบบอกซ์เซตไปให้เป็นของขวัญ พอใช้แล้วผู้ใหญ่หลายคนก็ชอบเพราะแพ็กเกจมันเปิดง่าย บางทีผู้สูงอายุเขาไม่มีแรงหมุนแต่กับของเราเขาสไลด์ด้วยมือเดียวได้เลย”

Price
แพ็กเกจเรียบหรูที่เข้าถึงได้

ความตั้งใจของมะปรางคือการทำยาหม่องที่ดูมินิมอล เรียบหรู หยิบขึ้นมาใช้ในสถานการณ์ไหนก็ไม่เขิน แต่ในความเรียบหรู เธอตั้งมั่นว่ามันจะต้องเข้าถึงได้ง่ายด้วย หนึ่งตลับจึงมีราคาอยู่ที่ 89 บาท

“ยาหม่องของเราตลับละ 89 บาท มันเริ่มจากเราอยากตั้งราคาไม่เกินร้อยเพื่อให้ซื้อได้ง่ายๆ 89 บาทมันกำลังดีและดึงดูดลูกค้าที่อยากซื้อจำนวนเยอะๆ ได้ด้วย เขาจะลองทักมาถามว่ามีราคาส่งไหมแต่ถ้าของราคาเกินร้อย เช่น 120 บาทคนจะไม่ทักมาถามแล้วเพราะถึงได้ราคาส่งมันก็ยังแพง เราเลยได้กลุ่มลูกค้าใหม่เป็นกลุ่มของชำร่วยงานแต่งงาน ออร์เดอร์ทีนึง 300 ชิ้น 600 ชิ้น

“จริงๆ กลุ่มของชำร่วยเป็นกลุ่มที่เราอยากขายตั้งแต่แรกแต่เราไม่มั่นใจขนาดนั้นเพราะรู้สึกว่าของราคา 89 บาท ต่อให้ขายราคาส่งก็ยังแพงเพราะต้นทุนเราสูง เทียบกับของชำร่วยบางอย่างที่ชิ้นละ 30-40 บาท แต่เราพบว่าลูกค้ากลุ่มที่มาซื้อของเราคือกลุ่มที่เขาค่อนข้างลงทุนกับงานแต่งงานซึ่งฟีดแบ็กจากลูกค้ากลุ่มนี้ก็ดีมาก มีหลายคนที่มาสั่งเพิ่มเพราะเขาสั่งไปรอบแรกแล้วไม่พอจำนวนแขก คนนี้ก็อยากได้ คนนั้นก็อยากได้ หรือแขกในงานหลายๆ คนก็กลับมาซื้อเพิ่ม”

แต่นอกจากลูกค้า (หรือคนที่ได้รับของชำร่วย) จะกลับมาซื้อเพิ่มแล้ว หลายคนยังกลับมาในฐานะที่เจ้าของแบรนด์ก็คาดไม่ถึง

“ลูกค้าของเรามาถามว่ารับตัวแทนไหมคะ” มะปรางเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ

“บางคนเห็นแบรนด์ของเราจากใน TikTok ก็สนใจ มาถามก็มี พอมาถามเยอะๆ เข้า เป็นร้อยคนเลย ก็คงต้องรับแล้วล่ะ เราเลยทำระบบตัวแทนขึ้นมา ขายราคาส่งที่ 79 บาทมีขั้นต่ำ 20 ชิ้น มันดูได้กำไรน้อยนะแค่ 10 บาทเอง แต่มันเป็นของที่ขายง่าย บางคนบอกว่าเขาลงสตอรีอินสตาแกรมของตัวเองก็มีคนทักมาถาม มาซื้อ และส่วนใหญ่ลูกค้าไม่ได้ซื้อแค่กลิ่นเดียว แต่ซื้อทีละ 3-6 กลิ่น อีกอย่างพอกำไรไม่มากนักก็กลายเป็นข้อดีคือตัวแทนไม่มีการตัดราคากันเลย”

Place
ตัวตนคือร้านค้าที่ไม่มีวันปิด

หน้าร้านที่ FeelFin วางขายตอนนี้มีอยู่ 3 แบบ หนึ่ง–ร้านค้าออนไลน์ สอง–ร้านค้าออนกราวนด์ และสาม–ร้านค้าของตัวแทน

เช่นเดียวกับแบรนด์เปิดใหม่อีกหลายเจ้า FeelFin เริ่มจากการขายออนไลน์เป็นที่แรก แต่กลับขายไม่ดีเอาซะเลยจนมะปรางต้องหาทางแก้เกม

ไม่ใช่การยิงโฆษณาหาลูกค้าใหม่ ไม่ใช่การใช้อินฟลูเอนเซอร์ แต่เป็นการสร้างความประทับใจให้ลูกค้าที่สั่งซื้อของไปแล้วนี่แหละ

“เรามั่นใจมากว่าสินค้าของเราดี ทั้งแพ็กเกจทั้งคุณภาพของสินค้า แต่มันก็ขายไม่ดีเท่าไหร่ อันดับแรกเราเลยคิดถึงลูกค้าที่มีอยู่ในมือ คนที่เขาสั่งของกับเรา ใช้ของเราจริงๆ เราเลยแพ็กของใส่กล่องสวยๆ ใส่การ์ดขอบคุณลูกค้าและการ์ดสอนวิธีใช้โปรดักต์ ลูกค้าเปิดมาเขาก็แฮปปี้เหมือนได้ของขวัญ แล้วเขาก็จะช่วยบอกต่อเอง เอาแค่เขาถ่ายลงสตอรีว่ามันสวยก็เหมือนได้ทำการตลาดไปในตัว

“ส่วนร้านค้าออนกราวนด์ก็มีผลทำให้ขายดีขึ้นเยอะมากๆ ลูกค้าหลายๆ คนเห็นเราทางออนไลน์ยังถามเลยว่ามีวางที่ไหนบ้างคะเพราะอยากจะไปลองดม ช่วงที่เรายังขายออนไลน์ไม่ดีเราเลยเน้นร้านค้าเหล่านี้เป็นหลัก ยอดขายพุ่งเลย

“แต่ว่าพอเจอโควิดปุ๊บ หลายร้านต้องปิด ห้างก็ปิด บางร้านปิดกิจการ โอ้โห ยอดขายเราหายหมด”

ในช่วงล็อกดาวน์ที่หลายคนฮิตเต้น TikTok แก้เบื่อ มะปรางใช้ช่วงเวลาเดียวกันปั้นแบรนด์ FeelFin ให้เป็นดาว TikTok จนขายดีที่สุดตั้งแต่เปิดแบรนด์มา

“ช่วงนั้นไม่มีอะไรทำ เราก็ทำคลิป TikTok ไปเรื่อยๆ เน้นเป็นแนว valued content หรือคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ ไม่ได้เน้นขายของเลย เช่น เป็นคอนเทนต์เกี่ยวกับเคล็ดลับในการถ่ายรูปด้วยตัวเองหรือเคล็ดลับทำภาพดุ๊กดิ๊กแต่ว่าใช้สินค้าของเราเป็นตัวอย่างในการถ่าย คนเห็นแล้วก็ เอ๊ะ มันคืออะไร แรกๆ ก็ยังไม่ปังจนมีคลิปนึงที่เราพับกล่องบอกซ์เซตแล้วถูกดันให้เป็นคลิปแนะนำคนเลยรู้จักแบรนด์เยอะขึ้นมากๆ พอเขาเข้ามาดูในช่อง เห็นว่าเราทำคอนเทนต์มีประโยชน์เขาก็กดติดตามเอาไว้

“สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือคนใน TikTok จะชอบคอนเทนต์แนวที่ไม่ได้เครียดมาก ไม่ขายของจนเกินไป หรือชอบความรู้ใหม่ๆ ง่ายๆ หลังๆ เราก็เริ่มทำคอนเทนต์เกี่ยวกับการสร้างแบรนด์ ทำร้านค้าออนไลน์เพราะเราเชื่อว่าทุกวันนี้หลายคนอยากเป็นเจ้านายตัวเอง ไม่อยากทำงานประจำ เราก็เอาประสบการณ์ของเรานี่แหละมาเล่าว่าเราเคยทำงานประจำมาก่อนแล้วเราสร้างแบรนด์ยังไง เน้นสร้างตัวตนของเราและแบรนด์ ลูกค้าก็เริ่มรู้จักแบรนด์ รู้จักมะปราง มันเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เรามีระบบตัวแทนและยอดขายพุ่งมาถึงตอนนี้

“เราไม่ใช่แบรนด์ใหญ่ มีงบมาร์เก็ตติ้งเยอะๆ เราเลยคิดว่าการสร้างตัวตนคือสิ่งที่สำคัญมาก พอเขารู้จักเราไม่ว่าเราจะมีช่องทางอะไรบ้างเขาก็จะติดตามไป เขารู้จักมะปราง เราเป็นเพื่อนเขาไม่ใช่แค่คนที่ขายของ”

Promotion
ทางเลือกคือสินค้าที่ขายดีที่สุด

ว่ากันว่าซื้อของออนไลน์ จ่ายค่าสินค้าได้แต่เสียดายค่าส่ง ยิ่งกับสินค้าราคาน่ารักไม่ถึง 100 บาท คนยิ่งเสียดายค่าส่งเข้าไปใหญ่

“ลูกค้าจะกังวลเรื่องค่าส่งกันมาก เราเลยมีโปรโมชั่น 6 กลิ่นส่งฟรี ลูกค้าก็วินเรื่องค่าส่ง ส่วนเราก็วินเพราะได้ขาย 6 กลิ่นในทีเดียว หรือทุกเดือนก็จะมี sale ตามอีเวนต์ของแพลตฟอร์มต่างๆ เอาเข้าจริงต้นทุนเราสูงก็เลยลดราคามากไม่ได้ แต่ถ้าเราไม่มีโปรโมชั่นเลยลูกค้าก็จะผิดหวังแล้วก็เสียลูกค้าด้วยเพราะเขารอวันนั้นกันเยอะ อย่างน้อยโปร 3 ชิ้นส่งฟรีก็ยังดี ลูกค้าแฮปปี้แล้ว”

เพราะต้นทุนสินค้าสูงเวลาจัดโปรโมชั่นอย่างมากก็ทำได้เพียงลดค่าส่ง แถมยังมีตัวแทนที่แบรนด์ไม่อยากตัดราคา การชวนให้ลูกค้าซื้อจึงต้องอาศัยกลยุทธ์อื่นๆ มากกว่าการหั่นราคาโดยเฉพาะการสร้างทางเลือกที่หลากหลายให้ลูกค้าได้สนุกกับการซื้อ

“เรามีบอกซ์เซตหลายแบบ ทั้งบอกซ์เซต 3 กลิ่น edition แรก, บอกซ์เซต 3 กลิ่นใหม่, บอกซ์เซตครบ 6 กลิ่น และแบบที่ลูกค้าสามารถเลือกกลิ่นด้านในได้เองซึ่งขายดีมากๆ เหมือนลูกค้าเขาชอบที่จะได้เลือก เราเองก็ขายง่ายขึ้นเพราะพอขายออนไลน์ลูกค้าเขาก็อยากซื้อไปลองหลายๆ กลิ่นในทีเดียว ยิ่งมีบอกซ์เซตเขายิ่งตัดสินใจง่าย”

นอกจากเลือกกลิ่นใส่บอกซ์เซต ตัวกล่องก็มีให้เลือก 2 ลาย แถมไปๆ มาๆ ยังมียาหม่องแพ็กเกจจิ้งสีดำเพิ่มเข้ามาอีก มะปรางบอกว่าตอนแรกแพ็กเกจจิ้ง edition นี้เกิดขึ้นเพื่อรองรับลูกค้าผู้ชายหรือคนที่ชอบของที่ดูเรียบเท่ แต่พอขายจริงเธอก็พบว่ามันมีฟังก์ชั่นมากกว่านั้น

“แรกสุดเราทำแพ็กเกจจิ้งสีเงิน มีสามกลิ่นคือกุหลาบ ลาเวนเดอร์ และเสลดพังพอนซึ่งลูกค้าชอบมาก อยากซื้อกลิ่นอื่นเพิ่ม แต่กว่าเราจะทำกลิ่นใหม่ได้แต่ละกลิ่นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะน้ำมันหอมระเหยที่เราดมแล้วหอม พอเอาไปทำเป็นยาหม่องก็ต้องปรับกลิ่นอีกหลายครั้ง เราเลยได้ไอเดียว่าถ้ายังออกกลิ่นใหม่ไม่ได้ทำตลับสีดำเพิ่มดีไหม จะได้ตอบโจทย์ลูกค้าผู้ชายซึ่งก็ขายดีจริงๆ แต่ที่ไม่ได้คิดคือขนาดลูกค้าที่มีตลับสีเงินแล้วเขาก็มาซื้อตลับสีดำไปอีก 

“ตลับมันดูเล็กก็จริง แต่ลูกค้าจะใช้กันนานมากเพราะเขาไม่ค่อยควักใช้กัน ชอบเอาไปดมมากกว่า พอมันใช้ได้นานกว่าจะได้ซื้อใหม่ก็ต้องรอของเก่าหายก่อน (หัวเราะ) พอมีแพ็กเกจสีดำมันก็เพิ่มทางเลือกให้คน ทำให้เขาสามารถซื้อของของเราได้อีกโดยที่มันยังเป็นกลิ่นเดิม”

และทางเลือกล่าสุดก็ยิ่งฉีกแนวออกไปจากเดิม คือพวกเขาออกโปรดักต์ essential oil ที่เบลนด์กลิ่นในคอนเซปต์ใหม่ ไม่ยึดโยงกับตัวยาหม่องแม้ว่าทั้ง 6 กลิ่นจะมีแฟนๆ เหนียวแน่นก็ตาม

“โปรดักต์นี้มันเริ่มมาจากเรามี potential customer กลุ่มใหม่ๆ จาก TikTok แต่หลายๆ คนเขาก็ไม่กล้าลองใช้ยาหม่องเพราะไม่ชอบกลิ่นยาหม่องที่เคยดม พอเราทำ essential oil ที่กลิ่นต่างออกไปเขาก็กล้าซื้อมากขึ้น บางคนก็ลองเปิดใจ กลับมาซื้อยาหม่องเพราะเขาเชื่อว่าสิ่งที่เราทำมันจะหอม ลูกค้าเก่าของเราเองก็มีตัวเลือกสินค้ามากขึ้น ต่อไปนี้เราเลยคิดว่าจะทำโปรดักต์เกี่ยวกับพวกกลิ่นหอมต่อยอดไปอีกเรื่อยๆ”

(Stay) Positive
คิดบวกกับทุกปัญหา

ในการทำธุรกิจ แค่คิดจะทำก็เจอปัญหาแล้ว แต่ยิ่งทำจริงก็ยิ่งมีโจทย์ที่ต้องแก้อยู่เรื่อยๆ

“กับการทำแบรนด์เราต้องคิดบวกเข้าไว้ เชื่อว่าเราทำได้” มะปรางเล่าถึง P สุดท้ายของ FeelFin

“เวลาเราเจอปัญหาหนักมากๆ ถ้าเรามองว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้ ทำให้เราแก้ปัญหาเป็น เราก็จะเก่งขึ้น เราคิดว่าที่แบรนด์ของเราสำเร็จได้ก็เพราะเราพยายามคิดบวกเข้าไว้เวลาเจอปัญหา อย่างล็อตแรกที่ทำ เราสกรีนตลับไปแล้วมันลอกหมดเลย เรามาคิดว่าถ้าเราต้องมาคอยระวังไม่ให้มันลอกเราคงเซ็งมากๆ สุดท้ายก็เลยเปลี่ยนโรงงานสกรีนทั้งๆ ที่เราลงทุนไปเยอะ มันเป็นบทเรียนให้เราเลยว่าเวลาจะทำอะไรต้องเช็กดีๆ ไม่ใช่ให้เขาสกรีน 3,000 ชิ้นแล้วเจ๊งหมดเลย แต่เราก็เชื่อว่าเราทำได้ ถ้าแก้สิ่งนี้แล้วจะดี แล้วมันก็ดีจริงๆ

“หรือเวลาทำคอนเทนต์เราเองก็จะ stay positive เหมือนกัน เราอยากสร้างกำลังใจให้หลายๆ คนที่กำลังอยากทำธุรกิจ เราเองก็เป็นคนที่ออกจากงานมาทำแบรนด์ เราไม่ได้วิเศษไปกว่าใคร คนที่ติดตามเราเขาก็เห็นว่าตอนแรกขายไม่ได้ดีเลย แพ็กของไม่กี่กล่องเอง แล้วเราก็ขายดี มีออฟฟิศ ซึ่งเราอยากแชร์ให้เขาฟังว่าเราต่อยอดสิ่งที่เรามียังไง

“สำหรับคนที่อยากทำธุรกิจของตัวเอง เราอยากให้ลองมองที่ตัวเองก่อนว่าเราชอบอะไร เพราะว่าถ้าเราทำสิ่งที่เราชอบจริงๆ เราจะมีแพสชั่น แล้วพอถึงจุดจุดนึงที่เกิดปัญหาเยอะมากๆ แพสชั่นมันจะทำให้เรา positive และไปต่อได้ เราทำ FeelFin เพราะเราชอบอะไรที่น่ารักๆ ชอบแพ็กเกจจิ้ง และชอบใช้ยาหม่อง เราแฮปปี้ทุกครั้งเวลาเห็นคนพกโปรดักต์เราหรือว่าเวลาเราดูคลิปยูทูบแค่แอบเห็นว่าบนโต๊ะของเขามียาหม่องของเราเราก็แฮปปี้มากแล้ว

“เรามีแพสชั่นกับมัน อยากให้มันส่งออกได้ อยากให้ทุกคนใช้ ทุกคนรู้จัก FeelFin”

จากไอเดียเล็กๆ เรื่องการปรับแพ็กเกจจิ้งมะปรางลงมือทำให้มันกลายเป็นธุรกิจจริงๆ มาได้จนถึงทุกวันนี้ ส่วนนับจากนี้ FeelFin จะสไลด์ไปอันล็อกโจทย์อะไรอีก พักดมยาดมยาหม่องก่อนติดตามตอนต่อไป

Day 1 ของทายาทรุ่นที่สามแห่ง ‘ขายหัวเราะ’ กับการต่อยอดคอนเทนต์ laughstyle

ขายหัวเราะ

ขายหัวเราะ Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

ขายหัวเราะ

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม