ชุดทำงานของเศรษฐกร ผู้อำนวยการฝ่ายฯ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เจ้าของร้าน The Decorum และ Club Luminaries

ในเวลางาน กาย–ศิรพล ฤทธิประศาสน์ คือผู้อำนวยการส่วนความร่วมมืออาเซียนและอนุภูมิภาค ของสำนักนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ประจำสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ที่ทำงานเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจกับประเทศกลุ่มอาเซียน รวมถึงงานพวกเศรษฐศาสตร์เพื่อการพัฒนา

กายรักการใส่ชุดสูทมาก เขามักจะปรากฏกายในชุดสูททำงานสุดเนี้ยบ ที่เพิ่มความสนุกด้วยดีเทลบางอย่างที่เขาหลงใหล

นอกเวลางาน กายเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและ Creative Director ของ The Decorum ร้านมัลติแบรนด์ที่เน้นเสื้อผ้าแนวคลาสสิก และ Club Luminaries ร้านเสื้อผ้าและสินค้าไลฟ์สไตล์แนว street-prep ที่แต่งได้ทุกวันเพราะอยากให้ผู้ชายสนุกกับการแต่งตัว และล่าสุด The Decorum เพิ่งเปิดสาขาใหม่ในสิงคโปร์ 

เดิมคอลัมน์ Youniform ตั้งใจจะคุยกับเขาเรื่องความหลงใหลและชำนาญการในสูท ถึงขั้นใส่ทำงานได้ทุกวัน ทั้งยังลุกมาทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายนี้ได้ แต่ยิ่งคุย ยิ่งสนใจวิธีคิดทำธุรกิจของเขา

ในการทำร้าน ไม่เพียงคัดสรร รวบรวมสิ่งที่ชอบและอยากนำเสนอให้ลูกค้า เขายังเป็นพาร์ตเนอร์ที่ได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และรองเท้าแบรนด์ดังระดับโลกให้เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า ซึ่งบางแบรนด์ไม่เคยทำตลาดในภูมิภาคนี้ หรือไม่เคยยอมให้มีตัวแทนจำหน่ายมาก่อน แต่กายทำได้ โดยเริ่มต้นจากการนำเข้าแบรนด์เสื้อเชิ้ตสุดคราฟต์จากญี่ปุ่นอย่าง Kamakura Shirts แม้ไม่เคยมีประสบการณ์ในธุรกิจเสื้อผ้ามาก่อน กายใช้ความเป็นแฟนตัวยงเอาชนะใจเจ้าของแบรนด์ และเอาชนะบริษัทเสื้อผ้ายักษ์ใหญ่หลายเจ้าที่อยากได้สิทธิจัดจำหน่ายนี้เหมือนกัน

ไปจนถึงการดูแลคนซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ ไม่ใช่แค่ให้ความรู้เรื่องเสื้อผ้าและสไตล์การแต่งตัว แต่ยังให้ความสำคัญกับความก้าวหน้าในสายงาน กายอยากให้สตาฟของเขาสนุกและภูมิใจในงานที่ทำ เพราะถ้าคนขายเองมั่นใจในเสื้อผ้าและสไตล์ที่หยิบยื่นให้ ลูกค้าก็มั่นใจและรู้สึกเชื่อถือ เป็นบรรยากาศที่คนชอบแวะร้านเสื้อผ้าในญี่ปุ่นอย่างเราฝันถึงมาตลอด อยากให้มีร้านแบบนี้ในประเทศไทยบ้าง

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ส่งผลต่อการการสร้างคอมมิวนิตี้ผู้ชายที่รักการแต่งตัวที่แข็งแรงมากๆ แม้ประเทศเราจะเป็นเมืองร้อน แต่เมื่อชายหนุ่มอยากมีสูทดีๆ สักตัวไว้ใส่ทำงาน หรือใช้ในโอกาสพิเศษพวกเขาจะนึกถึง The Decorum หรือในวันพักผ่อนจะนึกถึงเสื้อผ้าของ Club Luminaries 

ความเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่หลงใหลในชุดสูทและรักการแต่งตัว มีส่วนช่วยกายในธุรกิจนี้ยังไง และวันที่ธุรกิจนี้ไปได้ดี ส่งผลต่องานและชีวิตประจำวันแค่ไหน เชิญพับแขนเสื้อขึ้น และฟังเรื่องราวทั้งหมดนี้พร้อมกัน

การเป็นผู้อำนวยการฝ่ายฯ ในสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เรียกร้องให้คุณต้องแต่งตัวเรียบร้อยแค่ไหน

โดยทั่วไปแค่ใส่เสื้อเชิ้ต กางเกงขายาวที่ดูเหมาะสม และรองเท้าหนังก็เพียงพอแล้ว แต่ด้วยเราชอบใส่สูท เราก็จะใส่ของเราแบบนี้เป็นประจำ ออกจะเนี้ยบไปด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรตอนทำงาน ตอนแรกคนก็จะแซว แต่ผมเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ มันเป็นเรื่องธรรมดา ผมเองก็แซวคนอื่น ซึ่งอยู่ที่ตัวเราด้วยที่แฮปปี้ที่จะใส่สิ่งที่ตัวเองอยากใส่

ผมว่ายุคนี้คนเข้าใจและกล้าที่จะแต่งตัวมากขึ้นนะ ผู้ชายหลายคนโอเคกับกางเกงเอวสูงมากขึ้น สมัยก่อนอาจจะมีคนทักว่าทำไมใส่กางเกงเอวสูงจัง บางครั้งก็ต้องทำใจให้อย่าไปสนใจใครมาก เป็นตัวของตัวเองไป

ในฐานะคนที่รักการแต่งตัว คุณคิดว่าการค้นหาสไตล์ของตัวเองสำคัญกับงานและชีวิตยังไง ทำไมเราควรจะลุกขึ้นมาแต่งตัว

ผมว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องถามว่าทำไมต้องลุกมาแต่งตัว 

สิ่งที่ผมคิดอยู่ตลอดคือ ทำไมเราต้องกลัวที่จะแต่งตัว บางคนไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากแต่งตัวนะ แต่เขากลัวจะโดนแซวว่าเยอะไป การที่ใครสักคนจะมีสไตล์ได้ เขาต้องกล้าใส่ ลองใส่ไปเลยให้เยอะๆ แรกๆ มันก็เยอะๆ เกินๆ กันทั้งนั้น แต่ต้องเริ่มก่อน ค่อยๆ เก็บเสื้อผ้าที่ใส่แล้วสบายใจ ไม่จำเป็นต้องซื้อเสื้อผ้าทั้งหมดเพื่อให้ทันกระแสและทำตามใคร การแต่งตัวคือการผสมผสานเสื้อผ้าที่มีเข้าด้วยกัน แล้วหาสไตล์ของตัวเองให้เจอ 

ผมว่าการแต่งตัวเป็นเรื่องของการเดินทาง เป็น journey จะเห็นว่า style icon บางคน ยิ่งอายุมากเขายิ่งแต่งตัวดีกว่าคนอื่น เพราะเขามีรสนิยมที่ดีขึ้น มีเสื้อผ้าที่ทำให้เขาแต่งตัวได้มากขึ้น ดังนั้นจงเริ่มแต่งตัว แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะเข้ามาแซวอะไร เพราะในยุคนี้ ทุกคนมีโอกาสที่จะ express หรือแสดงความเป็นตัวเองออกมา แล้วก็เป็นเรื่องที่ดีที่ได้เห็นทุกคน express ตัวเองได้อีกเยอะมาก

คุณได้แรงบันดาลใจในการแต่งตัวมาจากไหน

หลายๆ อย่างมาจากครอบครัว คือคุณปู่ของผมท่านเป็นคนที่ค่อนข้างเนี้ยบ นอกจากเรื่องการแต่งตัว ผมก็ได้ซึมซับรสนิยมการฟังเพลงเก่ามาจากท่านซึ่งความชอบนี้ก็ส่งผลต่องานคอลเลกชั่นต่างๆ ที่ทำด้วย ผมรู้สึกว่าเวลาซึมซับอะไร เราก็แค่เลือกสิ่งที่ชอบ ไม่จำเป็นว่าสิ่งนั้นจะมีชื่อเรียกว่าเป็นสไตล์ไหนเพราะก็แค่เป็นแนวทางให้เรา อาจจะดูเยอะไป แต่ว่าด้วยความชอบผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากเท่าไหร่ ยิ่งพอทำธุรกิจของตัวเอง ทีนี้เป็นอิสระเลยเพราะทำธุรกิจเราก็ต้องกล้าๆ ใส่ให้เต็มที่ทั้งเสื้อผ้าและแรงที่มี ไม่ต้องสนใจใคร ก็เป็นความสนุกอีกแบบ เพราะทุกคนในทีมที่มาทำร้านเราก็เป็นคนชอบเสื้อผ้า ชอบแต่งตัว

ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คุณรู้ตัวว่าชอบเสื้อผ้าชุดสูท

ตอนเด็กๆ มีโอกาสได้เรียนโรงเรียนประจำที่ต่างประเทศ เขาก็จะมีเครื่องแบบพวกเบลเซอร์ กับเสื้อตัวนอกหรือแจ็กเก็ตตัวใหญ่ๆ ตอนนั้นไม่ชอบเพราะรู้สึกว่าเสื้อตัวใหญ่เกินไป จนได้ดูหนังเรื่อง The Thomas Crown Affair (1999) ซึ่งเป็นหนังแอ็กชั่นที่มีพระเอกแต่งตัวใส่ชุดสูทแต่ดูบู๊ๆ ดี เราก็เริ่มชอบ ยิ่งเวลาเห็นคนใส่เสื้อสูท เห็นภาพเก่าๆ หรือภาพแฟชั่นในนิตยสารก็อยากลองใส่บ้าง แต่ไม่ได้ใส่ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกรองเท้าหนังกับเสื้อเชิ้ตที่มีกระดุมบนปก (button down) พออายุ 18 ตัดสินใจซื้อสูทอาร์มานี่ใส่ไปงานเลี้ยงวันจบไฮสคูล ตอนนั้นเราเป็นเด็กที่ติดยี่ห้อ ไม่รู้หรอกว่ามันดีหรือเปล่า แต่จำได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ซื้อเสื้อผ้าแพงขนาดนี้ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป สไตล์การแต่งตัวของผมก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหน ผมก็มักจะซื้อเสื้อสูทหรือแจ็กเก็ตสูทกลับมาด้วยเสมอ

คุณใส่เสื้อสูทด้วยความรู้สึกแบบไหน

ผมแค่รู้สึกว่าชอบ ใส่แล้วรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง มันก็ทำให้มั่นใจและค่อนข้างที่จะออกมาดูดี จากนั้นเราก็ศึกษาและเริ่มเกิดเป็นแพสชั่นมากขึ้น ยิ่งได้รู้มากขึ้นก็ทำให้อยากลองใส่เสื้อสูทหลากหลายแบบมากขึ้น ค่อยๆ ค้นหาตัวเองไป ไม่ได้ถึงขั้นเป็นคนที่คลั่งไคล้สูท 

จนมาถึงช่วงหนึ่ง คือผมชอบกินไอศครีมมากเลยไปลงเรียนทำเจลาโต้ที่อิตาลี ระหว่างเดินผ่านร้านสูทเห็นเขาเซลก็เลยแวะเข้าไปลองใส่ ก็พบว่าเสื้อสูทตัวนั้นเป็นสไตล์แบบที่เราตามหามาตลอด เป็นสูทที่มีสรีระค่อนข้างโค้งมน ให้ความ casual ทำให้รู้ว่าสไตล์ที่เราชอบคือสไตล์อิตาเลียน ก่อนหน้านี้เราก็พยายามหาร้านตัดสูทในประเทศแต่ก็ไม่เคยเจอแบบที่ต้องการเลย จากนั้นก็เริ่มศึกษาเยอะขึ้น ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนก็จะคอยหาร้านตัดสูท หรือเวลาไปร้านหนังสือ Kinokuniya ผมจะชอบซื้อ ‘MEN’S EX’ เป็นนิตยสารเกี่ยวกับสูท และก็มี ‘FINEBOYS’ ซึ่งในเล่มจะสอนการแต่งตัว แนะนำร้านต่างๆ หรือตามไปดูบล็อกเกี่ยวกับสูทของคนญี่ปุ่น เมื่อมีโอกาสเราก็ค่อยๆ เก็บหอมรอมริบไป ค่อยๆ หาสิ่งที่เราสามารถเอื้อมถึง มีราคาบ้าง ไม่มีราคาบ้าง พอมาถึงจุดที่ไปญี่ปุ่นบ่อยๆ เราก็เริ่มคิดอยากลองทำร้านสไตล์ของเราดูบ้าง

สไตล์ร้านแบบไหนที่อยากทำหรือตั้งใจจะเป็นให้ได้

สิ่งที่ผมชอบเวลาไปร้านเสื้อผ้าในญี่ปุ่นคือ ความน่าเชื่อถือของพนักงานในร้าน (สตาฟ) และไม่ใช่แค่สตาฟที่มีความรู้เรื่องเสื้อผ้าและสไตล์ แต่ยังมีเรื่องโอกาสที่สตาฟจะเติบโตไปพร้อมๆ กับร้าน ต่างจากพนักงานขายทั่วไปที่อาจจะรู้สึกไม่มี career path หรือมองเห็นความก้าวหน้าในสายงานที่ทำ เป็นจุดเริ่มต้นให้ผมลองทำ business model ที่แตกต่างจากร้านเสื้อผ้าที่ประเทศไทยเคยมี ด้วยการเซตอัพสร้างพนักงานขายให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ ถ้าสตาฟชอบเสื้อผ้าและมีความรู้เรื่องเสื้อผ้า คนซื้อก็จะไว้วางใจ แถมสตาฟยังดูเท่ ดูน่าเชื่อถือ บรรยากาศของร้านมีความสนุก แค่นี้ก็แตกต่างจากร้านในห้างสรรพสินค้าแล้ว

ผมมองว่าสิ่งนี้สำคัญนะ จึงพยายามเปลี่ยนและสร้างบรรยากาศที่อยากให้เป็นก่อนคิดถึงเรื่องตัวเงิน  ซึ่งเงินก็สำคัญนะ เพียงแต่บางทีการคิดถึงเรื่องอื่นมากกว่าก็ทำให้มีโอกาสทำสิ่งต่างๆ ได้มากกว่า แล้วเรื่องเงินจะค่อยๆ ตามมา เช่น การดูแลคุณภาพชีวิตของคนที่ทำงานให้เรา คนทำงานเขาก็ต้องการวันหยุดเหมือนกัน นอกจากความเป็นอยู่ก็มีเรื่องดูแลไลฟ์สไตล์ของเขา พยายามให้ทุกคนกลมกลืนกับร้าน เปิดโอกาสให้เรียนรู้งานหลายๆ ทักษะ ไม่ใช่แค่รู้ในส่วนที่ทำแต่เพื่อให้เขาเห็นโอกาสการเติบโตในสายงานนี้จริงๆ อย่างการเปิดร้านสาขาที่สิงคโปร์ก็เป็นอีก career path หนึ่งที่สำคัญ เพื่อรักษาคนเก่งให้อยู่กับเราไปได้นานๆ

การเป็นนักเศรษฐศาสตร์ช่วยทำให้คุณทำธุรกิจง่ายขึ้นยังไง

ผมอาจจะไม่ได้มีประสบการณ์ในธุรกิจค้าปลีก แต่ด้วยงานที่ทำในสายเศรษฐศาสตร์มหภาค ผมจะเห็นภาพรวมเศรษฐกิจว่าเป็นยังไงในแต่ละช่วงเวลา ตอนไหนควรลุย และตอนไหนควรรอ และการที่มองเห็นทิศทางข้างหน้าจะช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร ไม่ว่าการตัดสินใจนั้นจะถูกหรือผิด แต่อย่างน้อยก็มีทิศทางให้พอประมาณการตัวเลขต่างๆ ได้ ประกอบกับการติดตามอ่านนิตยสาร The Economist ก็ทำให้ได้รู้ทันติดตามข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญ ไปจนถึงเรียนรู้จากเคสธุรกิจต่างๆ ทำให้เรารู้ว่าเราอยู่นิ่งไม่ได้ มีอะไรที่ต้องเตรียมตัวบ้างเมื่อคิดจะขยายธุรกิจ เพราะทุกอย่างมันเปลี่ยนไปและส่งผลต่อธุรกิจได้ทั้งหมด ทำให้เราคิดถึง vision ที่เราต้องการจะไป

การที่ผู้ชายไทยไม่ค่อยสนใจแต่งตัวเป็นอุปสรรคต่อธุรกิจเสื้อผ้าผู้ชายแค่ไหน

นอกจากการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย ทำคอนเทนต์เล่าเรื่องสไตล์และที่มาของเสื้อผ้าต่างๆ ทำรูปสวยๆ ไม่ให้ดูพยายามขายของมากเกินไป เราพยายามจัดงานอีเวนต์สร้างคอมมิวนิตี้ตลอดเวลา โดยช่วงก่อนโควิดเรามีช่างตัดสูทและช่างตัดรองเท้าจากต่างประเทศแวะเวียนมาที่ร้านทุกเดือน แม้ในช่วงโควิดที่ยอดขายลดลง ก็ยังมีอะไรให้คิดทำสนุกๆ สร้างบรรยากาศในกลุ่ม เช่น ผมชอบทำอาหารก็เลยจัดโปรโมชั่น ซื้อสินค้าอะไรก็ได้จากร้าน รับฟรีพิซซ่า 1 ถาด 

ซึ่งผมกลับคิดว่าธุรกิจเสื้อผ้าผู้หญิงนั้นยากกว่า เพราะตลาดกว้างและลูกค้ามีตัวเลือกมากมาย แต่ผู้ชายถ้าชอบแล้วก็คือชอบเลย จะมี loyalty ต่อแบรนด์และสไตล์นั้นมากๆ สิ่งที่เราทำคือให้ข้อมูลและตัวอย่างของการสไตล์ลิ่งที่ดี

อะไรคือที่มาของการเปิดร้าน The Decorum สาขาสิงคโปร์

The Decorum มีฐานแฟนที่เป็นลูกค้าชาวสิงคโปร์และประเทศในอาเซียนเยอะพอสมควรเพราะเราสื่อสารทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษตั้งแต่เริ่มต้นทำร้านในวันแรกๆ  พาร์ตเนอร์ชาวสิงคโปร์เดิมเป็นลูกค้าที่มาร้านบ่อยจนกลายเป็นเพื่อนกัน มาวันหนึ่งเขาก็ถามว่าสนใจไปเปิดร้านที่สิงคโปร์มั้ย ซึ่งปีนี้เขากลับไปอยู่สิงคโปร์ถาวรพอดี เราก็เลยได้ฤกษ์เดินหน้าลุยกัน แม้ว่าแบรนด์ที่ร้านเรามีอาจจะ niche ในหมู่คนทั่วไป แต่กลุ่มเป้าหมายเราที่เป็นคนทำงานในวงการไฟแนนซ์จะรู้จักแบรนด์เหล่านี้อยู่แล้ว เช่น รองเท้าแบรนด์ Crockett & Jones เป็นแบรนด์รองเท้าจากอังกฤษที่ไม่ได้มีตัวแทนจำหน่ายใน Southeast Asia มานานมากแล้ว เคยมีตัวแทนจำหน่ายแต่เขาได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีเลยหยุดไป แฟนรองเท้าแบรนด์นี้ทั่วโลกจะรู้ว่า Crockett & Jones เป็นแบรนด์ที่ติดต่อขอสินค้ามาขายยากมาก แต่เราก็เป็นคนแรกๆ ที่ได้ หรืออย่างเสื้อเชิ้ตแบรนด์ Kamakura Shirts ของญี่ปุ่น ก็ไม่เคยมีตัวแทนจำหน่ายมาก่อนในโลก เราเป็นเจ้าแรกที่ได้

คุณทำยังไงให้แบรนด์ดังระดับนั้นไว้ใจยอมให้คุณเป็นตัวแทนจำหน่าย

เป็นเรื่องแพสชั่นล้วนๆ เลย ผมชอบเสื้อเชิ้ตแบรนด์ Kamakura Shirts มาก อยากให้มีขายในประเทศไทยก็เลยติดต่อไป ไม่เคยมีใครได้สิทธิจำหน่าย Kamakura Shirts มาก่อนเลย เขาไม่ยอมให้ใครง่ายๆ แต่ว่าผมใช้แล้วชอบเสื้อเชิ้ตเขามากๆ อีเมลไปหาเขาทั้งๆ ที่ไม่มีประสบการณ์ในธุรกิจเสื้อผ้ามาก่อน เขาปฏิเสธแต่ยอมให้ผมเข้ามีตติ้งด้วย ผมก็แนะนำตัวว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ชอบเสื้อผ้าของเขามากๆ รู้จักทุกอย่างของแบรนด์เขา ก่อตั้งปีไหน ทำอะไรมาบ้าง สร้างความประทับใจแก่เขา ทำให้เอาชนะบริษัทเจ้าอื่นที่ติดต่อขอเป็นตัวแทนเหมือนกัน ผมว่าสิ่งพวกนี้สำคัญ คนญี่ปุ่นเขาไม่ได้สนใจว่าคุณเป็นบริษัทใหญ่แล้วคุณจะมีโอกาสมากกว่า และเมื่อได้รับความไว้วางใจ ผมก็ตั้งใจว่าจะไม่ขายเสื้อเชิ้ตแบรนด์อื่นเลย ปัจจุบันก็นำไปขายในร้านที่สิงคโปร์ด้วย

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าควรต่อยอดจากร้าน The Decorum มาสู่ Club Luminaries

ด้วยคาแร็กเตอร์ของ The Decorum ที่คลาสสิกและไม่ตามเทรนด์ ไม่สามารถทำอะไรที่ฉีกออกไปได้มากนัก ขณะที่ผมอยากนำเสนออีกไลฟ์สไตล์หนึ่ง อยากทำอะไรที่สนุกขึ้น เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะใส่ชุดสูทได้ทุกวัน ถือเป็นการสานฝันที่อยากมีร้านอย่าง BEAMS และ United Arrows ซึ่งเป็นงานที่ยากกว่าและเหนื่อยกว่า เพราะมีเรื่องเทรนด์เข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกอย่างมีซีซั่นของการขาย แต่ก็เป็นความสนุก และผมมองว่ามันส่งเสริมกันและกัน mix and match กันได้ ถือเป็นการขยายต่อยอดธุรกิจในวันที่ resource ของเราพร้อม

การที่ธุรกิจร้านเสื้อผ้าไปได้ดี ส่งผลต่องานประจำในสำนักงานเศรษฐกิจการคลังยังไง

ตอนทำงานเป็นข้าราชการเราก็เป็นตัวของตัวเองอยู่แล้ว แต่การทำ The Decorum ทำให้เราเป็นตัวเองได้มากกว่าที่เคยก็เลยสนุกมากๆ บางทีก็คิดอยากจะโฟกัสกับธุรกิจมากกว่านี้เพราะตอนนี้เรามีทีม มีคนที่เราอยากดูแล จริงๆ ถ้าเราอยู่เฉยๆ ร้านก็คงไม่เป็นอะไรหรอก แต่ถ้าร้านเราไม่เติบโต คนของเราก็จะไม่เติบโต และถ้าเราได้เด็กที่ดีมาแล้วเขาไม่เห็นโอกาสเติบโต เขาก็ไม่อยู่กับเรา แต่เราอยากให้เขาอยู่กับเรานานๆ มีรายได้ที่สูงขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


Working on set behind the scenes

บันทึกเบื้องหลังแฟชั่นชุดทำงาน classic menswear สุดเนี้ยบ และชุดไปรเวตที่ใส่ไปทำงานได้

ชื่อ :  ศิรพล ฤทธิประศาสน์
ตำแหน่ง : ผู้อำนวยการส่วนความร่วมมืออาเซียนและอนุภูมิภาค สำนักนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
ที่ทำงาน : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง

วันที่พบกัน The Decorum กำลังมีงาน Trunk Show จาก Assisi Bespoke ห้องเสื้อสูทจากประเทศเกาหลีใต้ เบื้องหลังการถ่ายแฟชั่นชุดทำงานของเราในตอนนี้จึงกระชับฉับไวมากๆ

เริ่มต้นที่ลุคสุดคลาสสิก ชุดทำงานที่ดูเนี้ยบสุดๆ แต่ก็เป็นตัวของตัวเองมากๆ ในเวลาเดียวกัน

“ชุดสูทตัดโดยคุณคิมมินซู จาก Assisi Bespoke เป็น double-breasted หรือสูทกระดุม 6 เม็ด ลายทางขนาดใหญ่หน่อย ให้ความวินเทจคลาสสิก ดูมีอายุแต่ก็สง่างามในคราวเดียว เสื้อเชิ้ตเป็นของแบรนด์ Kamakura Shirts เท่ากับวันนี้ใส่แพตเทิร์น striped on striped ทั้งหมดเลย ต่างกันที่ขนาดของ striped รองเท้าทรง loafer ของแบรนด์ Crockett & Jones ทำจากหนังม้า (cordovan) เป็นสีที่ใส่ไม่ยากเกินไป” ศิรพลเล่าว่าเขามักจะแต่งตัวแบบนี้ไปทำงานเสมอ ทั้งที่ร้านและที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง แต่ถ้าพบเจอเขาข้างนอก ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะจำเขาไม่ได้ เพราะแม้จะเปลี่ยนจากเสื้อเชิ้ตเป็นเสื้อยืดข้างใน ภายนอกก็ยังสวมสูทหรือแจ็กเก็ตตัวโปรดอยู่ดี

ลุคที่สอง ศิรพลเลือกจับคู่สูทแจ็กเก็ตกับเสื้อผ้าถักสีครีมที่ออกแบบพิเศษ ได้แรงบันดาลใจจากสไตล์ของศิลปินแจ๊สที่ชื่อว่า Chet Baker 

ขณะที่ลุคสุดท้ายเป็นเสื้อสูทแจ็กเก็ตกับกางเกงยีนส์ที่ The Decorum ทำ collaboration กับ Fullcount เป็นบริษัทยีนส์ที่ดังเป็นลำดับต้นๆ ของญี่ปุ่น ศิรพลเลือกแมชต์กับรองเท้าผ้าใบให้ความรู้สึก casual ขึ้นแต่ก็ยังเป็นตัวเองได้อยู่

ชวนนันยางและช้างดาวหยิบรองเท้า 9 คู่ จาก 9 แคมเปญการตลาดที่เป็นที่สุดมาใส่ตระกร้า

นันยาง

นันยาง add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

นันยาง

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

‘แมรีลู เจโซ’ เชฟขนมหนึ่งเดียวใน Pixar ที่บอกว่างานของเธอคืองานที่ดีที่สุดในโลก

แมรีลู เจโซ

แมรีลู เจโซ Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว คือรายการธุรกิจอาหารโดย Capital และ Salmon Podcast ที่จะพาเข้าหลังร้านไปสำรวจแนวคิดทางการตลาดของจักรวาลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร แฟรนไชส์ ขนม เครื่องดื่ม เครื่องปรุง ไล่ลามไปถึงเครื่องครัวและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาหารทั้งสเกลเล็ก กลาง ใหญ่

รายการนี้ดำเนินรายการโดย เชอร์รี่ มณีเนตร วรชนะนันท์ อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย และหญิงสาวผู้หลงรักอาหาร ที่จะทำให้ผู้ฟังอร่อยที่ฟังแล้วท้องหิวแต่อิ่มไปกับเคล็ดและเคสการตลาด

ซีรีส์ Dopesick กับประเด็นเรื่องยา ความโลภ ช่องโหว่กฎหมาย จนยาแก้ปวดโอปิออยด์ OxyContin ระบาดครั้งใหญ่

ภาพลักษณ์ของวงการแพทย์เป็นอะไรที่ซับซ้อนและเข้าถึงได้ยากสำหรับคนทั่วไป ศีลธรรมและจรรยาบรรณของแพทย์ถูกยกไว้บนหิ้งเชิดชูเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การจ่ายยารักษาอาการเจ็บป่วยถือเป็นเป้าหมายอันสูงส่งเพื่อปกป้องชีวิตมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกันแพทย์คือด่านหน้าของอุตสาหกรรมธุรกิจการแพทย์มูลค่าหลายแสนล้านทั้งโรงพยาบาล อุปกรณ์การแพทย์ ประกันสุขภาพและยารักษาโรค สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับองค์กรเหล่านี้ควรเป็นการรักษาและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดีขึ้น แต่ความจริงบางทีก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น บางครั้งที่เป้ากลับกลายเป็นผลกำไรและรายได้จำนวนมหาศาล สร้างผลประโยชน์ให้คนเพียงหยิบมือโดยไม่สนเลยว่าจะแลกมาด้วยหายนะของสังคม ครอบครัว และชีวิตของคนอีกหลายแสนคน

ซีรีส์ Dopesick ที่กำลังฉายอยู่ใน Disney+ ได้หยิบเอาเบื้องหลังอันน่าตกใจของอุตสาหกรรมการแพทย์ที่พึ่งพาภาพลักษณ์ของแพทย์อันน่าเชื่อถือเพื่อแนะนำการรักษา จ่ายยา และดูแลให้กับผู้ป่วยที่เต็มไปด้วยความกังวล พร้อมจะเชื่อฟังและทำตามทุกอย่างที่แพทย์บอกด้วยความไว้ใจ เรื่องราวในซีรีส์อ้างอิงถึงเหตุการณ์การระบาดของยาแก้ปวดโอปิออยด์ OxyContin ตั้งแต่ยุค 90s จนถึงปัจจุบันในอเมริกาที่ขับเคลื่อนด้วยทุนนิยม ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างผู้ช่วยให้รอดกับนักขายในการสร้างรายได้จำนวนมหาศาล ตลาดที่ผู้เคราะห์ร้ายคือผู้ป่วยที่เพียงแค่อยากกลับมาแข็งแรงเป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง สำหรับบางคนโอกาสนั้นไม่เกิดขึ้นอีกเลย

หนึ่งในคนที่เห็นช่องว่างตรงนี้คือ อาเทอร์ แซกเลอร์ (Arthur Sackler) ชายผู้เป็นจุดเริ่มต้นของอาณาจักรผลิตยาหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐบนการทุจริตและบิดเบือนข้อมูลเพื่อหาผลประโยชน์

อาเทอร์เป็นลูกชายคนโตของผู้อพยพชาวยิวจากทวีปยุโรปที่มักมองหาโอกาสทางธุรกิจเสมอ เป็นจิตแพทย์ที่มีความสามารถ แต่สิ่งที่นำความร่ำรวยมาสู่ตัวเขากลับเป็นความสามารถทางการตลาดเสียมากกว่า ในปี 1980 บริษัท Purdue Pharma ที่สามพี่น้องจากตระกูลแซกเลอร์ได้ผลิตยาแก้ปวด MS Contin สำหรับคนไข้มะเร็งขั้นสุดท้ายที่กำลังทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวด เป็นมอร์ฟีนแบบเม็ดที่ออกฤทธิ์นานช่วยทำให้ผู้ป่วยสามารถใช้เวลาช่วงสุดท้ายของชีวิตที่บ้านอย่างไม่โหดร้าย แทนที่จะต้องนอนหยอดมอร์ฟีนแบบเหลวที่โรงพยาบาล

ยาตัวนี้สร้างรายได้และความสำเร็จอย่างมากต่อ Purdue Pharma และตระกูลแซกเลอร์ก็ร่ำรวยขึ้นมาจากตรงนั้น (ซึ่งมีรายงานว่านำออกมาขายโดยยังไม่ได้รับการรับรองทางกฎหมายก่อนด้วย) หลังจากที่อาเทอร์เสียชีวิตในปี 1987 ทายาทของเขาก็ขายหุ้นให้กับพี่ชายของอาเทอร์ทั้งสองคนให้ดูแลต่อไป ซึ่งยุคต่อมาคำว่าจริยธรรมและกฎหมายแทบไม่มีความหมายสำหรับพวกเขาอีกต่อไป เมื่อริชาร์ด แซกเลอร์ (Richard Sackler) เข้ามารับช่วงต่อพยายามผลักดัน OxyContin สู่ท้องตลาดอย่างไร้ความรับผิดชอบในช่วงปี 90s ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าโฆษณาเกี่ยวกับยานั้นเป็นเรื่องโกหก แต่เขาไม่สนใจเลยสักนิดว่ามันจะทำร้ายหรือสร้างผลกระทบกับสังคมแค่ไหน

OxyContin เป็นยาแก้ปวดโอปิออยด์ที่กลายเป็นต้นตอการระบาดของการใช้ยาเสพติดทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา อย่างน้อยที่สุดมีคนเสียชีวิตจากการใช้ยาแก้ปวดโอปิออยด์อย่าง OxyContin ไปแล้วกว่า 500,000 ราย โดยจำนวนมากมาจากภูมิภาคแอปพาเลเชียที่มีอุตสาหกรรมหนักอย่างการขุดเหมืองเป็นแหล่งรายได้หลักของชาวเมือง สาเหตุที่เป็นแบบนั้นเพราะว่าคนงานขุดเหมืองเหล่านี้มักประสบอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เผชิญปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บอยู่บ่อยๆ จนกลายเป็นเป้าหมายแรกของ Purdue Pharma ในการเข้าไปเจาะกลุ่มแรงงานที่ต้องการยาระงับการเจ็บปวดเหล่านั้น

ยาแก้ปวดโอปิออยด์สร้างขึ้นมาโดยมีส่วนประกอบสำคัญคือสารโอปิออยด์เป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อตัวรับโอปิออยด์ (opioid receptor) ในสมองโดยตรง เมื่อสมองรับโอปิออยด์จะทำให้เคลิบเคลิ้ม และมีฤทธิ์ลดอาการปวด โอปิออยด์ที่ถูกนำมาใช้ทางการแพทย์ด้วยอย่างเช่นมอร์ฟีน (morphine) สามารถนำเข้าสู่ร่างกายได้ ทั้งแบบสูบ สูดทางจมูก ฉีดเข้าเส้นเลือดหรือกินทางปาก OxyContin ก็อยู่ในยาแก้ปวดกลุ่มนี้ ปัญหาอยู่ที่ Purdue Pharma บริษัทยาของครอบครัวแซกเลอร์บิดเบือนความจริง นำเสนอ OxyContin ว่าเป็นยาแก้ปวดโอปิออยด์ที่มีโอกาสเสพติดน้อยกว่า 1% สามารถใช้เป็นระยะเวลานานได้โดยมีผลข้างเคียงเพียงเล็กน้อย นั่นก็เป็นคำโกหกที่เซลส์ขายยาบอกแก่แพทย์และเภสัชกรจน OxyContin เริ่มถูกจ่ายให้กับคนไข้ที่มีอาการปวดนิดหน่อย (อย่างปวดหัวหรือปวดฟัน) กลายเป็นจุดเริ่มต้นการระบาดของวิกฤตเสพติดยาแก้ปวดโอปิออยด์ตั้งแต่ช่วงกลางของยุค 90s ที่สำคัญยาแก้ปวดโอปิออยด์เหล่านี้ยังเป็นการเบิกทางให้คนที่เสพติดหันไปหาเฮโรอีนมากขึ้นด้วย

ตระกูลแซกเลอร์ได้สร้าง OxyContin ให้กลายเครื่องผลิตรายได้หลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ แพทริก แรดเดน คีฟ (Patrick Radden Keefe) นักข่าวเชิงสืบสวนชาวอเมริกันได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้บนเว็บไซต์ The New Yorker เมื่อประมาณ 5 ปีก่อน ตอนนั้นชาวอเมริกันเริ่มแสดงความโกรธเคืองต่อครอบครัวแซกเลอร์ผู้อยู่เบื้องหลังการผลิตและจำหน่ายยาแก้ปวดโอปิออยด์ OxyContin และใช้เงินที่เปื้อนเลือดเหล่านั้นไปบริจาคเงินให้กับองค์กรการกุศลและพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ทั่วโลก (Louvre, The Metropolitan Museum of Art, Serpentine Sackler Gallery และมหาวิทยาลัยชั้นนำอื่นๆ อย่าง Harvard และ Oxford)

แพทริกเล่าถึงเบื้องหลังของครอบครัวนี้อย่างละเอียด โดยใช้หลักฐานประกอบอย่างแน่นหนาบ่งบอกว่าครอบครัวแซกเลอร์ ทราบดีว่ายา OxyContin ที่พวกเขาขายนั้นเป็นส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อนการแพร่ระบาดของการใช้ยาแก้ปวดโอปิออยด์ที่มีสารฝิ่นในทางที่ผิดยังไงบ้าง และในความเป็นจริงพวกเขาทำการตลาดอย่างหนักเพื่อหาประโยชน์จากมันจนร่ำรวยมหาศาล จนมีเงินไปบริจาคเพื่อสร้างภาพลักษณ์ครอบครัวแซกเลอร์ผู้ใจบุญ (ใครสนใจเรื่องนี้สามารถหาอ่านได้ในหนังสือ Empire of Pain โดย แพทริก แรดเดน คีฟ เขียนไว้ดีมาก หรือถ้าดูซีรีส์ Dopesick แล้วอยากอ่านหนังสือก็ไปตามหนังสือ Dopesick ของ Beth Macy ได้ ดีไม่แพ้กัน)

ที่น่าตกใจก็คือว่าตระกูลแซกเลอร์นั้นปฏิเสธความผิดทุกอย่าง โดยเฉพาะริชาร์ดผู้นำที่อยู่เบื้องหลังบริษัท Purdue Pharma ที่ไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากหน่วยงานกำกับดูแลที่หละหลวม ระบบสุขภาพและรักษาพยาบาลที่บกพร่อง และความโลภของกลุ่มคนจนทำให้ยาตัวนี้ถูกแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว นอกจากจะเคลมว่ามันคนไข้จะมีโอกาสเสพติดน้อยกว่าโอปิออยด์อื่นแล้ว (ซึ่งไม่จริง) พวกเขายังบอกว่าโครงสร้างของยาเป็นแบบออกฤทธิ์ช้า ซึ่งทำให้คนที่ทานไม่รู้สึกเคลิ้มทันที (high) จึงมีโอกาสน้อยที่จะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด (ซึ่งก็ไม่จริงอีก) ผู้เสพติดบางรายใช้วิธีการบดยาเพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์เร็วขึ้นแล้วสูดทางจมูกเหมือนเฮโรอีน ช่วงแรกที่ทานจะแก้ปวดได้ดี แต่พอนานไปจะออกฤทธิ์สั้นลง ทำให้ต้องทานยาเพิ่มขึ้น บริษัทให้ข้อมูลกับแพทย์ว่ามันเป็นเรื่องปกติและสามารถเพิ่มโดสยาเพื่อระงับความปวดได้เพราะไม่ติดยาก (ซึ่งไม่จริง) แพทย์บางคนทั้งๆ ที่เริ่มรู้สึกถึงความรุนแรงของ OxyContin แต่ก็ยังไม่หยุดจ่าย (มีทั้งส่วนที่เชื่อคำโกหกและมีทั้งส่วนที่ได้ผลประโยชน์) บริษัทถึงขั้นมีมีลิสต์ของแพทย์ที่จ่าย OxyContin เกินความพอดีไว้ในมือ แต่ไม่เคยมีคนไปแจ้งหรือควบคุมการจ่ายยาของแพทย์เหล่านี้เลย ส่วนแพทย์เองก็จะได้รับการประคบประหงมอย่างดี พาไปงานเลี้ยง ทานข้าว พักผ่อน เพื่อให้เซลส์สามารถเข้าถึงตัวแพทย์และขาย OxyContin ได้มากขึ้น ส่วนเซลส์ขายยานอกจากจะได้คอมมิชชั่นสูงจากยอดขายแล้ว บริษัทยังจัดการแข่งขันภายในเพื่อหาเซลล์ที่ทำยอดขายได้มากที่สุดเพื่อชิงรางวัลใหญ่อย่างทริปเดินทางไปพักผ่อนต่างประเทศอีกด้วย

แม้จะมีรายงานเกี่ยวกับการเสพติดยา OxyContin มากมายแค่ไหน ริชาร์ดก็โต้กลับไปเหมือนเดิม

“ยาไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือเพราะคนที่ใช้ยาผิดวิธีต่างหาก”

Purdue Pharma สร้างรายได้จาก OxyContin ราวๆ 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ระหว่างที่บริจาคเงินให้กับองค์กรการกุศลเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับครอบครัวเล็กๆ น้อยๆ พวกเขาก็ไปซื้อคฤหาสน์ทั่วยุโรปและสหรัฐอเมริกา มันเป็นความบกพร่องของระบบสาธารณะสุข อาจจะมาจากความละเลยในหน้าที่หรือผลประโยชน์บางอย่างส่วนตัว ในหนังสือของแพทริกรายงานเอาไว้ด้วยว่าเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ที่ดูแลเรื่องการอนุมัติ OxyContin ใช้เวลาสั้นมากเพียงแค่ 11 เดือนเท่านั้น พอยาถูกปล่อยสู่ตลาด ก็ลาออกจาก FDA แล้วหนึ่งปีต่อมาก็มาทำงานที่ Purdue Pharma โดยมีรายได้ 400,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ราวๆ 14 ล้านบาท) หรืออย่างอีกเหตุการณ์หนึ่งที่อัยการของรัฐบาลกลางเรียกผู้บริหารของ Purdue Pharma มาเข้าพบเพราะตอนนี้จำนวนคนที่เสพติดยาแก้ปวดเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นประเด็นระดับประเทศ ผู้บริหารของ Purdue Pharma ยอมรับว่า OxyContin แบบเม็ดขนาด 160 มก. รุนแรงมากพอที่จะทำให้เด็กเสียชีวิตได้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน อัยการดังกล่าวตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งมารับงานเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัท Purdue Pharma แทน

แม้ว่าจะพยายามปกปิดและหลบเลี่ยงความผิดมาโดยตลอด แต่สุดท้ายกฎหมายที่ถูกขับเคลื่อนโดยสังคมและครอบครัวผู้เสียหายก็เริ่มมีหลักฐานมากพอเพื่อจะฟ้องร้องบริษัทได้ ในปี 2007 ที่ศาลรัฐเวอร์จิเนีย Purdue Pharma ยอมรับว่าโกหกเกี่ยวกับศักยภาพในการเสพติดของ OxyContin โดนปรับ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่มันก็เป็นเพียงรอยข่วนเล็กๆ ไม่ได้สะทกสะท้าน หลังจากนั้นก็ขายยาเหมือนปกติต่อไป แต่ก็เจอการต่อต้านและถูกฟ้องอยู่เรื่อยๆ มาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อปี 2019 ที่เริ่มเจอข้อหาและหลักฐานที่มัดแน่นเอาผิดมากขึ้น ครอบครัวแซกเลอร์ตัดสินใจโยกเงินของครอบครัวออกจากบริษัทไปไว้ในธนาคารต่างชาติและยื่นล้มละลาย Purdue Pharma ทันที ซึ่งถ้าทำสำเร็จได้ก็หมายความว่าจะไม่มีใครสามารถเอาผิดและปรับสมาชิกในครอบครัวของพวกเขาได้เลย 

ในรายงานล่าสุดจากหนังสือพิมพ์ The New York Times เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2022 บอกว่าได้มีการตกลงจ่ายค่าปรับจากตระกูลแซกเลอร์เป็นเงินราวๆ 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อนำไปช่วยเป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนให้กับองค์กรและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ OxyContin ส่วนตัวของสมาชิกครอบครัวแซกเลอร์จะไม่มีใครถูกเอาผิดทั้งที่ผ่านมาและในอนาคตเกี่ยวกับเรื่องการระบาดของยาแก้ปวดโอปิออยด์อีก (แต่ไม่ได้ครอบคลุมถึงการดำเนินคดีอาญา)

จริงอยู่ว่าการเมินเฉยต่อกฎหมายและความโลภของครอบครัวแซกเลอร์ทำให้ความเสียหายบานปลายมาจนถึงตอนนี้ แต่เรื่องราวของ OxyContin เป็นเพียงมุมหนึ่งของปัญหาระบบสาธารณะสุขของประเทศทุนนิยมทั่วโลกที่ใช้ผลประโยชน์เป็นตัวขับเคลื่อนกลไกการทำงาน (มองไปรอบๆ ตัวจะรู้ว่าไม่ใช่แค่อเมริกา) ใช้ช่องว่างระหว่างการเป็นผู้ช่วยให้รอดกับนักขายของแพทย์เพื่อโอกาสสร้างรายได้อันแปดเปื้อน เพราะฉะนั้นตราบใดที่กฎหมายยังมีช่องโหว่ อุตสาหกรรมการแพทย์ยังคงสร้างรายได้มหาศาล มนุษย์ยังมีความโลภ เรื่องราวของ OxyContin ตัวต่อไปก็ยังมีโอกาสที่จะเกิดขึ้น เปลี่ยนก็เพียงแต่ตัวยา ตัวละคร และความเสียหายที่รุนแรงมากแค่ไหนเพียงเท่านั้น

อ้างอิง

www.theguardian.com/books/2021/may/13/empire-of-pain-review-by-patrick-radden-keefe-the-dynasty-behind-an-opioid-crisis?CMP=Share_iOSApp_Other

www.youtube.com/watch?v=3ezLg1fL_jQ

www.ft.com/content/1db7800f-78d5-474e-9b1e-744b1c1a837c?fbclid=IwAR3LHcZ5NvbWoEUvE0CkHJMYGvhNZVuria9Bk12tpSyjyarkHl3Pm3kydFc

www.theguardian.com/us-news/2021/mar/16/purdue-pharma-10bn-opioid-settlement-plan-bankruptcy-sackler-family

www.nytimes.com/2022/03/03/health/sacklers-purdue-oxycontin-settlement.html

www.nytimes.com/2019/09/19/health/purdue-sackler-opioid-settlement.html

I’m Fine, Tax Planning, And You? การวางแผนภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา

ภาษีเงินได้ นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

ภาษีเงินได้ WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

WEALTH DONE คือ คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราชาว Capital ได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital ระหว่างนี้ ตามไปทำความรู้จักคอลัมนิสต์คนใหม่ของเราได้ที่ บทสัมภาษณ์ตอนล่าสุดของคอลัมน์ ณ บัตรนั้น

นอกจากจะทำให้เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องใกล้ตัว Capital อยากทำให้เรื่องวางแผนทางเงินและการลงทุนเป็นเรื่องง่าย เป็นมิตร ไปจนถึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หล่อเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อ

คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน ผ่านตอบคำถามเรื่องการเงินและการลงทุน โดย สุวภา เจริญยิ่ง นักการเงินมากประสบการณ์ ผู้เป็นทั้งกรรมการอิสระในบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นอุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย เป็นคุณครู เป็นนักเขียน และล่าสุดเป็นคอลัมนิสต์ของ Capital ที่จะมาพบผู้อ่าน ทุกวันพฤหัสบดี เว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co เริ่มตอนแรกวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม

‘ชีวิตแค่โดนปัดซ้าย’ เบื้องหลังงาน Salmon House x Tinder ที่วิชัยเริ่มต้นจากความไม่เชื่อ

โลกอินเตอร์เน็ตทุกวันนี้เถื่อนนะครับ ไม่รอบคอบอยู่ไม่ได้หรอก

ขั้นตอนหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นกับหนังของแซลมอนเฮาส์ คือการทำตัวใจร้ายกับบทตัวเองแล้วไล่ยิง ไล่ฟันอย่างดุร้าย ตรงไหนที่ไม่ใช่ ไม่โอเคจะโดนตัดทิ้ง ตรงไหนที่ไม่แน่ใจ จะต้องหาเหตุผลให้ได้ว่าทำไมถึงไม่แน่ใจ แล้วในความไม่แน่ใจนั้นเราจะกล้าเสี่ยงกับมันมั้ย แล้วผลลัพธ์ที่แย่ที่สุด จะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง

เพราะไม่ว่าคุณทำอะไรลงไปในโซเชียล คุณจะโดนด่าเสมอ สิ่งเดียวที่ทำได้คือ ทำงานให้คนชอบ ให้มากกว่าคนเกลียดเยอะๆ แล้วทุกอย่างจะดีเอง 

ต้องยอมรับว่า ในการคิดงาน บางชิ้นมันก็ง่าย เพราะเราเจอสารตั้งต้นที่ดี บางชิ้นก็ยาก 

เพราะเราไม่รู้เลยว่าจะจับอะไรมาเจอกับอะไร แล้วมันก็มีหลายงานมากๆ ที่สารตั้งต้นดีมาก แต่จบไม่ลง เราก็ต้องยอมทิ้งมันไป 

แต่สถานการณ์ที่แย่ที่สุดคือ สารตั้งต้นดี มีทางจบแล้ว แต่ระหว่างทางมันไม่ได้เลย 

อันนี้ยากสุด มันมีบั๊กที่ต้องแก้เยอะไปหมด หนึ่งในงานที่ฟัคอัพในลักษณะนี้คืองาน Tinder

Tinder เป็นแอพหาคู่ มีชื่อเสียงส่วนใหญ่มาจากการที่หลายคนใช้มันเป็นแอพที่ใช้หาคู่นอน ทางเอเจนซี่ (Wunderman Thompson TH) อยากแก้ปัญหาจุดนี้ จึงคิดเป็นแคมเปญชื่อว่า ‘เพื่อนสัมพันธ์’ ประมาณว่า Tinder เป็นแอพหาเพื่อนได้นะ 

แนวคิดของทางเอเจนซี่คือ ความสัมพันธ์คนมันควรเริ่มจากการเป็นเพื่อนกันก่อน ค่อยๆ คุยกัน รู้จักกัน จากนั้นคุณจะไปทำอะไรต่อ ก็แล้วแต่ดุลยพินิจของคุณแล้ว

ซึ่งพวกผมฟังครั้งแรกก็…อะไรวะ หาเพื่อนอะไรวะ หาที่จะหาคู่ ก็หาคู่ไปเลย แมนๆ จะมาหาเพื่อนทำไม (นั่นแหละ…อะไรดีๆ พอมาอยู่ในห้วงความคิดคนชั่วมันก็เป็นแบบนี้แหละ) บอกตรงๆ ว่าตอนแรกไม่เชื่อโจทย์เลย คิดว่าแบรนด์ฝืนธรรมชาติของผู้บริโภคอยู่ เรียกว่าคิดงานอย่างไม่มีความสุข เพราะใจไม่เชื่อแบบนั้น

แต่ระหว่างที่คิดงาน ไปคุยกับน้องๆ ในออฟฟิศ แล้วก็เจอข้อเท็จจริงที่เซอร์ไพร์สมากๆ ว่า น้องๆ ในออฟฟิศก็ใช้บริการ Tinder เยอะมากเหมือนกันว่ะ แล้วแต่ละคนก็ใช้เพื่อไปหาเพื่อนจริงจังด้วย กลายเป็นว่า Tinder ที่ดังจากการเป็นแอพหาคู่นอน อีกด้านนึงที่มันดังมาก (แต่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง) คือการหาเพื่อนที่มีความสนใจเหมือนกัน (ซึ่งเอาจริงๆ การหาคู่นอนก็คือการหาเพื่อนที่มีความสนใจเหมือนกัน แค่ความสนใจนั้นคือเรื่องบนเตียงนั่นเอง) และที่สำคัญน้องๆ ที่ใช้งาน ต่างบอกว่ามันก็ได้ผลดีมากกว่า facebook เสียด้วยซ้ำ แน่นอนไปกว่า มันมีคนกระทั่งไปหางานใน Tinder แล้วได้ มีคนไปหาร้านอาหารใน Tinder

หรือพูดให้เข้าใจมากกว่านั้น Tinder ไม่ได้เป็นแค่แอพหาคู่ แต่มันคือแอพ ‘หาคน’ ที่สามารถพลิกแพลงการใช้ได้อีกเยอะ

อ่ะ อ่ะ ยอมละ ผมมันคนชั่วเอง 555555

โอเค ถึงจะเคลียร์ใจตัวเองได้ ก็ไม่ได้ลดความยากของโจทย์ลง เพราะหนังที่เราต้องคิด จะเป็นหนังส่วนขยายคอนเซปต์ ‘เพื่อนสัมพันธ์’ โดยที่ทางเอเจนซี่จะมีหนังโฆษณาขายของหรือที่เราเรียกว่า ‘หนัง Themetic’ ปล่อยล่วงหน้าเราหนึ่งตัว

ดังนั้นโจทย์ของเราจะกว้างๆ แต่มีสิ่งที่อยากให้เล่าเช่น วิธีตั้งรูปโปรไฟล์ให้เหมาะสม วิธีตั้ง Bio ให้เหมาะ หรือวิธีการแชทกับเพื่อน ไม่ให้ดูหื่นเกินไป โดยที่ทั้งหมดฟังๆ ดูแล้ว ก็เหมือนจะเป็น how to use Tinder properly กลายๆ เหมือนกัน

ดูผิวเผินไม่มีอะไร แต่เมื่อมาพิจารณาด้วยแว่นของชาวเนตแล้ว คอนเทนต์ลักษณะแบบนี้โคตรอันตราย

เพราะลักษณะการทำงานของแอพคือการเลือก และถูกเลือก

ถ้างั้นถ้าเรากำลังจะทำคอนเทนต์สอนการใช้แอพเพื่อให้ถูกเลือก มันค่อนข้างสุ่มเสี่ยงอยู่เหมือนกันนะ เช่นการตั้งรูปโปรไฟล์ที่มีเนื้อหาทำนองว่า ถ้าไม่อยากให้คนมาเลือกเพื่อหาคู่นอน ก็อย่าใช้รูปเซ็กส์ซี่ หรือชุดว่ายน้ำที่ให้คนอื่นชวนคิดไปแบบนั้น ฟังดูก็มีเหตุผล ถ้าไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าเราเป็นคนเซ็กส์ซี่ก็ไม่ต้องลงรูปเซ็กส์ซี่ แต่น้องๆ ผู้หญิงในออฟฟิศก็มีความคิดเห็นว่า เขาจะตั้งรูปโปรไฟล์แบบไหนยังไงก็ได้ รูปโปรไฟล์มันก็ไม่ได้บ่งบอกนิสัยเขา

หรือพูดให้เข้าใจง่ายกว่านั้น กูจะใช้รูปโปรไฟล์ยังไง มันเรื่องของกูนี่ คนที่ควรจะไปบอกให้ปรับปรุงตัวคือผู้ชายที่ไปคิดไม่ดีกับคนอื่นมากกว่า

โอเค เริ่มต้นมาก็ยากละ

อีกอย่างที่น่ากลัวสำหรับงานนี้คือ เมื่อไหร่ที่เราอยู่กับแนวคิด เลือก กับถูกเลือก มันจะมีกระแสลบจากคนที่ไม่ถูกเลือกเสมอ

และมันก็มีความเป็นไปได้ที่สร้างกระแส beauty standard ด้วย เช่น คนสวยก็ต้องถูกเลือกก่อนมั้ย อะไรประมาณนั้น

เพราะงั้นในการคิดเรื่อง เราต้องคิดอย่างถี่ถ้วนจริงๆ และไม่สามารถเขียนกันแค่ผมกับเบนซ์ได้ ต้องมีน้องผู้หญิงเป็น indicator หลักๆ ของการทำงาน

เบื้องต้นไอเดียที่เข้ารอบสุดท้ายคือ เราจะทำหนังอยู่บนเวทีสัมนาอบรมการใช้ทินเดอร์ ลองคิดถึงเวทีสัมมนาเชยๆ ที่มีแผ่นโฟมตัดๆ แปะไว้บนผ้าม่านแก่ๆ อะไรแบบนั้นเลย และให้ป้าใส่ชุดไหมเชยๆ ทำผมทรงกระบัง แต่เป็น ‘นักเลงทินเดอร์’ มาเป็นคนสอน โดยให้วัยรุ่นกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้เข้ารับการสัมมนา

ที่คิดให้เป็นเวทีสัมนา เพื่ออนุญาตตัวเองให้พูดเนื้อหาแนว how to ได้อย่างไม่เคอะเขิน และทำให้การสอนนี้ไม่ได้มาจาก ปากของสินค้า แต่เป็นปากของป้า และปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก็มาจากตัวละครที่เป็นตัวแทนของกลุ่มเป้าหมายจริงๆ ทุกอย่างดูดีมาก มีมุกนั่นนี่อย่างเพียบ

เอเจนซี่ซื้อ ฮาแน่นอน

ทินเดอร์ประเทศไทยก็ซื้อ ฮาชัวร์ๆ

ไปขายทินเดอร์ที่อเมริกา…มีขอปรับนิดเดียว คือ ไม่เอาป้าใส่ชุดไหม เพราะป้า ไม่ relate กับ Tinder

ฮากริบมั้ยล่ะมึง

พี่จะเปลี่ยนนิดเดียวแบบนี้ไม่ได้โว้ยยยยยยยยยย

สาเหตุที่ตัวละครตัวนี้ต้องเป็นป้าเท่านั้นคือ คนวัยป้าไม่น่าจะรู้จัก Tinder (หรือรู้จักแต่มีความเป็นไปได้ที่จะแอนตี้แอพหาคู่) มาสอนวัยรุ่นใช้แอพจีบกัน มันดูน่าสนใจกว่าเยอะ

แต่ถ้าเราเปลี่ยนคนวัยป้า เป็นวัยรุ่น มันจะกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายสอนกันเอง มันจะไม่มีอะไรใหม่

แต่บั๊กที่ใหญ่ที่สุดคือ หนังแนวสัมนา มันไม่ได้ขับเคลื่อนคอนเซปต์เพื่อนสัมพันธ์ที่เป็นธีมหลักของโฆษณาตัวนี้

เราก็เลยยอมรับแบบแมนๆ หล่อๆ ว่า เอ้ย ไม่เป็นไรพี่ คอมเมนต์เมคเซนส์ครับ เดี๋ยวเราคิดใหม่

Leave meeting ใน zoom, พับจอคอม

ไอสัดดดดดดดดดดดดดดดดดด ชิบหายยยตัวเท่าบ้าน

BREAKING NEWS

เราต้องคิดหนังใหม่ ให้เสร็จภายในเวลาไม่ถึง 18 ชั่วโมง ก็คือคืนนั้น และเช้าวันพรุ่งนี้

เพื่อขายเอเจนซี่ตอนเย็นพรุ่งนี้ แล้วขายลูกค้าตอนมืดวันเดียว

และต้องผ่านในครั้งเดียว เพราะทีมอื่นๆ รอบทเพื่อไปทำงานต่อในวันรุ่งขึ้น (ทีมแคสติ้ง, สไตลิสต์, โลเกชั่น ฯลฯ)

งาน Tinder น่าจะเป็นไม่กี่งาน ที่ต้อนเราจน ‘หลังพิงฝา’ เพราะทุกทีเราจะขายหนังผ่านในครั้งแรกแบบพริ้วๆ (อาจจะมีแก้นิดหน่อย) แต่เจ้างานนี้เราปรับไปหลายแบบมาก ทั้งที่เราไม่ให้ผ่านเอง และโดนตีตกจากเอเจนซี่

ไม่เป็นไร เหลือเวลาอีกตั้งเยอะแยะ

กูไปเติม M-150 เข้าเลือดก่อน

โอเค ยังไงนะ?

เรามาเริ่มต้นวิเคราะห์ก่อนว่า ทำไมไอเดียสัมนา ถึงไม่ผ่าน Tinder อเมริกา?

นอกจากคาเร็คเตอร์หญิงกลางคนที่ไม่ relate แล้ว ธรรมเนียมสัมมนา ป้ายโฟมใดๆ คนเมืองนอกอาจจะไม่อินด้วยมั้ง

ทำให้การคิดงานรอบใหม่ ที่ต้องผ่านในทีเดียวจะต้องมีสมการดังต่อนี้

ไม่มีป้า + ตัวเดินเรื่องเป็นวัยรุ่น + คนเมกาดูแล้วเก็ท

พอไฟลนตูดมากๆ เข้า พลังแฝงมักจะมาครับ

เราก็มักจะคิดอะไรที่แอบนอกกรอบนิดหน่อย ไอเดียรอบนี้เรามาคิดกันว่า กลุ่มเป้าหมายของ Tinder คือคนที่จะเข้าไปหาคู่ แต่โจทย์ที่เอเจนซี่ให้มา ที่เป็นลักษณะ How to ใช้ทินเดอร์ ถ้าเรามาเบรคดาวน์จริงๆ มันคือการสอนใช้ทินเดอร์เพื่อให้คุณถูกเลือกใช่มะ ดังนั้นคนที่ต้องการดูเนื้อหาประเภทนี้คือคนที่เล่นทินเดอร์แล้วยังไม่ถูกเลือกมากกว่าป่ะ?

งั้นสมมุติว่า คนที่ไม่ถูกเลือกมาอยู่ด้วยกันเยอะๆ เขาจะคุยอะไรกันนะ เขาน่าจะมาปรับทุกข์กัน คุยกัน บ่นกัน

ทำให้นึกถึงการ์ตูน Wreck-It Ralph ที่มีซีนที่ตัวโกงจากในเกมหลายๆ ตัวมานั่งล้อมวงบำบัดกัน ซึ่งเป็นซีนที่โดดเด่นมากในหนัง

ทีนี้ลองมาคิดๆ ต่อไปอีกนิด ก็พบว่า หนังหลายๆ เรื่องที่มีซีนนั่งล้อมวงบำบัด มักจะเป็นซีนที่น่าจดจำเสมอ เพราะทุกคนจะเอาปัญหาตัวเองมาเล่าให้ฟัง แล้วก็จะมีคนอื่นมาปลอบประโลม

อ่ะแล้วถ้า…มันจะมี ‘กลุ่มบำบัดของคนที่ไม่ถูกเลือกจากทินเดอร์’ มันจะเป็นยังไงกันนะ

จากเดิมที่เป็นงานสัมนา ที่มีป้ามาสอน แล้วให้วัยรุ่นมาถามคำถาม พอมันกลายเป็นกลุ่มบำบัด ปัญหาต่างๆ จะถูกเล่าอย่างสนุกขึ้น เพราะพออยู่กลุ่มบำบัดแต่ละเคสมันจะประหลาดขึ้นได้ (แปลว่ามันจะสนุกขึ้น) และที่สำคัญ เราไม่จำเป็นต้องพึ่งคาแร็กเตอร์ป้าเป็นคนเดินเรื่องแล้ว เราให้ moderator เป็นคนวัยทำงานได้ เพราะความน่าสนใจทั้งหมดไปอยู่กับพิธีกรรมการบำบัด (จำพวกล้อมวงกันจับมือแล้วพูดคำขวัญของกลุ่ม) และความสนุกโดนย้ายไปอยู่กับเคสของแต่ละคน

และเพื่อลดความเป็นไปได้ของการเกิดดราม่าเราเลยให้ตัวละครที่มีปัญหาทั้งหมดในหนังเป็นผู้ชาย และเจือประเด็นที่อาจจะดราม่าด้วยการถือโอกาสใช้เรื่องนี้เล่าประเด็น toxic masculinity ที่เหล่าเพศชายชอบพูดจาลามกกับผู้หญิง เพื่อเรียกร้องความสนใจ ผ่านมุก low self-esteem, self-doubt และ mental breakdown

พอไปขายเอเจนซี่ ก็ได้อีกประเด็นจากทีมเอเจนซี่ที่ดีมากคือ ประเด็น Sexual harrasment ที่ผู้หญิงกระทำต่อผู้ชาย

เคยเห็นใช่มั้ยครับ ในโซเชียลเวลามีรูปผู้ชายหล่อๆ กล้ามโตๆ มักจะมีคอมเมนต์จากสาวๆ ทำนองว่า “ถ้าได้เป็นแฟนนะ จะไม่ได้หลับได้นอนเลย” หรือที่เถื่อนกว่านั้น “จะเลียให้ล้มทั้งยืนเลย”

ดังนั้นตอนนี้ในหนังจะประกอบด้วย ผู้ชายที่มีกิจกรรมชีวิตที่น่าเบื่อ เพราะชอบส่องนก, ผู้ชายที่คนคุยด้วยค่อยๆ หายไปทีละคนสอง โดยที่เขาไม่รู้ตัวว่าจริงๆ แล้วตัวเองนั่นแหละที่ชอบพูดจาลามก และสุดท้าย ผู้ชายหล่อที่มักจะโดนผู้หญิงพูดจาแทะโลม

เอเจนซี่เข้ามาเหลาไอเดียอีกนิดหน่อย ปรับให้กลุ่มบำบัดนี้ชื่อว่า ‘Swipe Left Club’ กลุ่มบำบัดของคนถูกปัดซ้าย ก่อนที่กลายเป็นชื่อคลิปว่า ‘ชีวิตแค่โดนปัดซ้าย’ 

หนังถูกคิดอย่างหนีตายตอนกลางวัน ขายเอเจนซี่ตอนเย็น ปรับแก้เดี๋ยวนั้นแล้วขายลูกค้าตอนค่ำ ผ่าน ในทีเดียว

ตัวหนังยาว 7 นาทีกว่า แต่พอมันได้ big idea ว่า Swipe left club แล้ว ทุกอย่างก็ลงตัว เราจะหยอดมุกยังไงก็ได้หมดแล้ว

ทำให้ค้นพบสิ่งหนึ่งจากงานนี้ หนังโฆษณาออนไลน์ ควรจะกระชับ เข้าเรื่องขายของ อันนี้จริง เห็นด้วย แต่ก็ต้องยอมรับว่า บางเส้นเรื่องมันต้องการเวลาในการเล่าจริงๆ ดังนั้นเมื่อไหร่ที่เราจะทำหนังยาว 2-3 นาที จงทำให้กระชับ มุกและจังหวะต้องคม ถึงตอนจบก็ต้องจบ ห้ามย้วย

แต่เมื่อไหร่ที่หนังคุณตัดยังไงก็ไม่สามารถทำให้สั้นกว่า 4-5 นาทีแล้ว 

จงทำให้อิ่มไปเลย แต่ไม่ได้แปลว่าให้ลืมความกระชับนะ

กระชับน่ะยังไงก็ต้องมี แต่ตรงไหนต้องดึงอารมณ์ก็ปล่อยไหลเลย เอาให้สนุกสุดๆ แล้วทุกอย่างจะดีเอง

เอาจริงๆ ต้องยอมรับว่า ตอนเขียนบทเรื่องนี้ก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะจบได้อย่าง feel good แบบนี้ ทั้งหมดต้องยกความดีความชอบให้กับ เม้ง คนตัดต่อเรื่องนี้ ที่เลือกเอาเพลง score เพลงนั้นในองก์สุดท้ายของหนัง ที่มัน uplift อารมณ์ได้ feel good รู้สึกดีได้อย่างบอกไม่ถูก

นิดนึงสำหรับคนไม่รู้…ในการตัดต่อน่ะครับ ขั้นตอนที่ยากและใช้เวลานานที่สุดเสมอคือการหาเพลงที่ใช่

หนังโฆษณาเนี่ยครับ ภาพ การตัดต่อ และเสียงพูด คือการให้ข้อมูล แต่เพลงคือตัวกำหนดอารมณ์คนดู เพราะงั้นเพลงจึงสำคัญเสมอ เอาจริงๆ ในหลายครั้งเพลงที่เลือกใช้เป็นตัวกำหนดความเร็วของหนังเสียด้วยซ้ำ

ดังนั้นถ้าดูตัดต่องานไหน แล้วได้เพลงที่ถูกต้องตามอารมณ์ในตั้งแต่ครั้งแรก ถือว่าเป็นปาฏิหารย์

และ Tinder งานนี้ก็เป็นปาฏิหารย์เช่นกัน ทั้งในแง่เอาตัวรอดมาได้ และการพลิกให้หนังมัน feel good ตอนจบได้

YUPP! ค่ายเพลงที่ดันหลังมิลลิไประดับโลก และเชื่อมั่นว่าวัยรุ่นสมัยนี้มันสุดปัง เริ่ดสาว สับแตกๆ ไป

หากย้อนไปก่อนหน้าปี 2018 เชื่อว่าแม้แต่คนในวงการแรปเองก็อาจยังพูดได้ไม่เต็มปากนักว่าแรปเปอร์หรือศิลปินฮิปฮอปจะเป็นอาชีพที่ทำเงินได้จริงในประเทศไทย จนกระทั่งในปีนั้นมีรายการแรปอย่าง The Rapper จวบจนถึง Show Me the Money Thailand เข้ามาปลุกกระแสเพลงฮิปฮอปไทยให้ดังเป็นพลุแตกและก้าวขึ้นมาเป็นเพลงกระแสหลักในบ้านเราอย่างแท้จริง 

ท่ามกลางกระแสฮิปฮอปที่พุ่งแรงขึ้นทุกขณะ ค่ายเพลงที่ชื่อ YUPP! ค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาด้วยฝีมือทีมงาน Rap is Now และโปรดิวเซอร์ประจำรายการแรป ผู้มีส่วนช่วยจุดกระแสเหล่านั้น โดยความตั้งใจแรกของการตั้งค่ายคืออยากต่อยอดให้คำว่าแรปเปอร์ หรือฮิปฮอปอาร์ตทิสต์เป็นอาชีพที่อยู่รอดได้จริงในประเทศไทย

จากวันนั้นจนวันนี้ ทีมงานผู้มีส่วนร่วมจึงพยายามทำทุกทาง ทั้งการพัฒนาศิลปิน เพิ่มคุณภาพเพลงและโปรดักชั่น จนคงไม่ต้องบอกว่าความตั้งใจของ YUPP! ประสบความสำเร็จมากแค่ไหน เพราะมีทั้งยอดวิวที่คว้าร้อยล้านไปแล้วหลายเพลงเป็นตัวการันตี งานคอมเมอร์เชียลที่ทำให้เราเห็นหน้าศิลปินแทบทุกหัวมุมถนน ไหนจะการส่งออกศิลปินในค่ายไปสร้างตำนานในเวทีระดับโลกอย่าง Coachella 

ผลงานตลอด 4 ปีที่ YUPP! ก่อตั้งค่ายมาล้วนเต็มไปด้วยพลัง ที่ชวนทำเราสงสัยว่าพวกเขาใช้อะไรเป็นแรงขับเคลื่อนให้ไปสุดได้ขนาดนี้ และก้าวข้างหน้าพวกเขาจะระเบิดพลังออกมาในรูปแบบไหน ต้า–สักกพิช มากคุณ สมาชิกผู้ก่อตั้งค่าย จะเป็นตัวแทนเล่าถึงอนาคตที่ว่านั้น 

ตั้งแต่วันแรกที่คิดก่อตั้งค่าย คุณเห็นโอกาสทางธุรกิจอะไร 

มันเป็นเรื่องว่าหลัง Rap is Now ไปสุดของความเป็นอันเดอร์กราวนด์แล้ว เอเนอร์จี้หรือคอมมิวนิตี้ที่เราสร้างขึ้นนี้มันจะไปต่อยังไงมากกว่า เราคิดหาทางว่าจะทำยังไงให้วงการแรปไปต่อ เลยเลือกที่จะเสี่ยงกับสิ่งนี้ ไม่ใช่เพราะเห็นว่า เฮ่ย ทำค่ายสิได้กำไร ได้เงินแน่นอน ไม่ใช่แบบนั้น สำหรับเราสิ่งสำคัญที่ต้องมีในการก่อร่างเป็นค่ายนึง อย่างแรกคือความอยากสร้างสรรค์อะไรบางอย่างก่อน ตั้งแต่แรกคือเราอยากเห็นศิลปินเป็นอาชีพได้จริงๆ อยากให้เขาไปได้ไกลมากที่สุด เป็นศิลปินที่มีคุณภาพทั้งเพลงและภาพ พวกเราทีม Rap is Now, Freshment (แต๊บ–ธนพล มหธร), NINO (นีโน่-เกริก ชาญกว้าง) เลยคุยกันว่างั้นเราลองทำค่ายกันเลยดีกว่า ต่อยอดให้คำว่าแรปเปอร์ หรือฮิปฮอปอาร์ตติสท์เป็นได้จริงในประเทศไทย 

เราเลยตั้งชื่อค่ายว่า YUPP! มาจาก youth with double up มันเป็นแก่นมาแต่แรกว่าเราอยากสนับสนุนพลังวัยรุ่นไปให้สุดทาง ถึงวันนี้จะเหลือแค่ทีม Rap is Now บริหารค่าย แต่แก่นนี้ก็ยังเหมือนเดิม

สำคัญยังไงถึงกับต้องเอามาเป็นแกนหลักของค่าย

เราเชื่อว่าเขาคืออนาคตของพวกเรา อนาคตของประเทศอยู่ในมือวัยรุ่นเจเนอเรชั่นนี้ คนในเจเนอเรชั่นนี้โลกเขากว้างมากๆ เขาสามารถเลือกเสพอะไรก็ได้ที่เขาสนใจ เราอาจจะตามไม่ทันเลยด้วยซ้ำถ้าไม่ได้เข้าไปคลุกคลีกับเขา เขามีองค์ความรู้อื่นๆ ที่เราไม่รู้อีกเยอะมากๆ

ทุกวันนี้เวลาจะทำเพลงเราตามน้องด้วยซ้ำ เชื่อน้อง เชื่อศิลปินเป็นหลัก เพราะเขาคือศิลปินยุคปัจจุบันที่ทำเพลงให้คนปัจจุบันฟัง และพอเป็นแบบนี้งานที่ออกมามันเลยดีตรงที่สามารถครีเอทีฟได้เต็มที่ ไม่มีกรอบมากด จะพูดเรื่องการเมืองก็พูดได้ จะวิพากษ์อะไรบางอย่างก็ทำได้ หรือจะแสดงออกเรื่องความหลากหลายทางเพศก็ได้ สิ่งนี้ทำให้เราต่างจากค่ายเพลงอื่น เรามีตัวตนความฮิปฮอปอยู่ เลยกล้าพูดในหลายๆ เมสเซจที่คนอื่นไม่กล้าพูด แอตติจูดของ YUPP! คือคำว่ายับนี่แหละ มันจะไม่เพอร์เฟกต์ มีความสนุก ความมัน ความกล้าที่จะทำในสิ่งที่ไม่ปกติ ลองผิดลองถูกได้ เหมือนวัยรุ่นในปัจจุบันที่ก็ไม่ได้อยู่ในกรอบอีกต่อไป ซึ่งเราก็เป็นอย่างนั้นกันด้วยนะ ตัวพี่ๆ ที่ทำงานเอง ไม่ได้ซีเรียส กดดันน้อง 

คำว่า youth with double up เอง ก็แตกไปเป็นแนวทางการบริหาร การสื่อสารของค่ายด้วย เราพยายามพูดภาษา คุยปัญหา ความสนุกเดียวกันกับกลุ่มแฟนเพลงและศิลปิน เข้าไปเป็นเพื่อนของเขา ใช้ภาษาให้ทันกับคนในปัจจุบัน ทำให้เราเข้าไปอยู่เป็นพวกเดียวกันกับคนในเจเนอเรชั่นนี้ 

ตัวตนของ YUPP! ที่ว่าสะท้อนผ่านสิ่งใดบ้าง

เราสะท้อนตัวตนออกมาตั้งแต่ตอนเลือกศิลปิน เลือกเพลงแล้ว ศิลปินที่มาอยู่ในค่าย เขามีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองและแตกต่างกัน กับศิลปินรุ่นแรก เราอาจจะเลือกเพราะเคยทำงานด้วยกันมา รู้จักเห็นฝีมือกัน แต่กับรุ่นสอง หรือน้องๆ เทรนนีที่มาจากโปรเจกต์ YOUNG YUPP! นอกจากตัวตน ความสามารถแล้ว ในกระบวนการเลือกเรายังคุยกับพวกเขาเจาะลึกมากๆ เพราะการรู้จักตัวตนน้องจริงๆ จะทำให้เราทำงานต่อไปได้ด้วย เราให้ศิลปินแต่งเพลงเอง แปลว่างานมันเริ่มจากเขา เราต้องเข้าใจตัวตนเขาก่อนเป็นอันดับแรกว่าเข้ากับเราได้ไหม แล้วค่อยมาช่วยขัดเกลาให้เขาพร้อมมากขึ้น ผ่านการซัพพอร์ต การเติมเชื้อไฟ เราแทบไม่ปรุงแต่งอะไรเลย แค่เสริมให้ภาพลักษณ์เขาชัดขึ้นเท่านั้นเอง 

เวลาทำงานก็สามารถคุยกันได้ บางอย่างก็มานั่งดิสคัสกัน มีการแก้คำ หรือบางทีก็มีการแก้ชื่อเพลงเลยด้วยซ้ำ ถ้าเราปล่อยชื่อไปแล้วแล้วแฟนๆ บอกชื่อนี้ไม่โอเค เราเปลี่ยนให้ รับฟัง การทำงานของยัปคือ ศิลปิน ทีมงาน และแฟนเพลง เราทำงานร่วมกัน 

YUPP

เหมือนทุกอย่างกำลังจะลงตัว พอมาเจอสถานการณ์โควิดระบาดการทำค่ายเพลงได้รับผลกระทบไหม

มันยากขึ้น งานก็หายไปเลย แล้วก็เอฟเฟกต์กับศิลปินมากๆ พอเขาไม่ได้ใช้ชีวิต โควิดก็มาสอนแหละว่าอะไรก็ไม่แน่นอน ปัจจุบันเราเลยทำให้ดีที่สุดไปเลย หาทางใหม่ๆ ช่วงโควิดเราก็ทำรายการไลฟ์ขึ้นมาทุกอาทิตย์ มาพูดปัญหาสังคม ปัญหาต่างๆ ให้ศิลปินไม่ฟุ้งซ่าน 

แล้วก็มีการทำคอมเมอร์เชียลนี่แหละมาเป็นทางรอดของค่าย แต่ถึงอย่างงั้นเราก็สกรีนหนักเลย เลือกสินค้าที่ภาพลักษณ์แมตช์กับน้องเป็นหลัก ในขณะเดียวกันแบรนด์เขาก็ต้องได้อะไรกลับไปด้วย รับงานยาก แต่เพราะเราแคร์ ไม่อยากเอาเงินเขามาอย่างเดียว

ตอนนี้เห็นค่ายมีแนวเพลงใหม่ๆ เพิ่มมา แปลว่าตอนนี้ไม่ได้นิยามว่า YUPP! คือค่ายเพลงฮิปฮอปแล้วหรือเปล่า

เปลี่ยนไปแล้ว มันยังมีภาพความเป็นแรปอยู่ แต่มันเปลี่ยนไปแล้วตามเจเนอเรชั่นและศิลปินที่เราทำ สำหรับเราฮิปฮอปมันพลุแตกไปแล้ว ดังระเบิดระเบ้อในไทย กลายเป็นเมนสตรีมในโกลบอลด้วย แต่มันยังมีแนวเพลงอีกหลายๆ แนวที่น่าสนใจที่เราอยากนำเสนอให้คนฟัง และศิลปินที่เรามีก็สามารถพรีเซนต์สิ่งนี้ได้

วันที่เราเปิดออดิชั่นโปรเจกต์ YOUNG YUPP! เราเปิดเลยว่าฮิปฮอป ป๊อป R&B บอกเลยว่าไม่ใช่แค่ฮิปฮอปนะ ที่จะมาอยู่กับที่นี่ได้ ซึ่งน้องๆ เทรนนี 7 คนที่ได้จากโปรเจกต์นี้ก็ต่าง genre กันหมดเลย มันคือความหลากหลายที่เราอยากพรีเซนต์มากๆ ซึ่งมันเสี่ยงมากนะทั้งในด้านการลงทุนและเวลา แต่เราก็มีหวัง เพราะถ้ากลัวว่าอย่างนี้ขายไม่ได้หรอก มันก็จะไม่มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นเลย เราเชื่อในเจเนอเรชั่นนี้ และเชื่อด้วยว่ายังไงจะต้องมีฐานคนฟังใหม่ๆ เกิดขึ้น 

มันไม่ต้องทำผลงานเดิมออกมาตลอดแล้วจะ success แบบเดิม ถ้าฟังเพลง AINN หรือ Flower.far จะรู้สึกเลยว่ามันดูไม่ใช่เราเลยถ้าเทียบกับสามปีที่แล้ว แต่มันก็คือสิ่งที่คนเจเนอเรชั่นนี้สนใจ ถึงยอดวิวจะไม่ได้แรง แต่แค่มีคนคอมเมนต์ว่าไม่เคยมีเพลงแบบนี้ในไทยเลย ผมก็แฮปปี้แล้วนะ เพราะสิ่งที่เราตั้งไว้แล้วว่าอยากให้คนได้ฟังเพลงหลากหลาย ยิ่งทุกวันนี้คนเขาฟังเพลงทั่วโลกกันแล้ว ไม่ได้มานั่งโฟกัสแค่ศิลปินไทยอีกต่อไป เราก็อยากผลิตผลงานไปในระดับที่โกลบอลฟังได้ด้วย

YUPP

ในฐานะค่ายที่มีประสบการณ์พาศิลปินไปในระดับโกลบอล การที่เพลงๆ นึงมันไปถึงระดับนั้นได้ เกิดจากอะไร

ถ้าดูจาก case study ของ Mirror Mirror เราว่าถ้าไม่ได้ความทะเยอทะยานของพี่กอล์ฟ F.Hero ก็ไม่เกิดสิ่งนี้นะ มันเกิดจากความพยายามและความมั่นใจในคุณภาพของเรา ว่าเราสามารถฟีเจอริ่งกับศิลปินเกาหลีได้ การที่เขาเลือกมิลลิ เขาก็เชื่อมั่นจริงๆ ว่าน้องเราทำได้ 

และจริงๆ โกลบอลมอนิเตอร์เราอยู่ตลอดนะ เขาอยากได้อะไรใหม่ๆ อยู่แล้ว การที่ 88rising มาเจอมิลลิมันไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไปในโลกปัจจุบัน ไม่ได้ยากขนาดนั้นถ้าเขาอยากจะร่วมงาน เสิร์ช Thai Female Rapper ก็เจอแล้ว เราว่าเขาดูที่ผลงานและมันถูกที่ถูกเวลา ตรงกับจังหวะที่เขาสนใจพอดี มันไม่มีสูตรสำเร็จ เราต้องทำผลงานให้เขารู้สึกชัวร์ว่าศิลปินคนนี้ใช่ 

ศิลปินในโลกนี้มีเยอะมากๆ และมีคนเก่งๆ อีกเยอะที่ควรได้รับการซัพพอร์ตในไทย ถ้าถามว่ามิลลิไปได้ยังไง ผมว่ามิลลิมีความแตกต่าง ที่เป็นภาษาโกลบอล เป็นอะไรที่เขาเก็ต และเพอร์ฟอร์แมนซ์ ไอเดีย สกิล ของน้องมันมาพร้อมกันจน โห จะไม่ทำงานกับคนคนนี้ได้ยังไง ก็ต้องเอามาเทสต์หน่อย ซึ่งก่อนจะได้ขึ้นโคเชลลาเราก็ทำงานกับ 88rising มาสองปีแล้ว ร่วมโปรเจกต์กันมาตลอด จนเขายอมรับว่าศิลปินและค่ายพร้อมที่จะไปร่วมงานแบบตัวเป็นๆ กับเขาแล้ว

แต่ไม่ได้จำเป็นว่าอยู่กับเราแล้ว ทุกคนต้องไปโกลบอลนะ เราเอาศิลปินเป็นหลักว่าเขาอยากไปไหม ถ้าอยากก็ช่วยกัน กับน้องเทรนนีบางคนเราไม่ได้โฟกัสว่าเขาต้องไปต่างประเทศเลย ขอให้คนไทยรักให้ได้มากที่สุดก็โอเคแล้ว

YUPP

แทบทุกค่ายคงฝันอยากพาศิลปินไประดับโกลบอล นอกจากความตั้งใจของค่ายหรือศิลปิน อะไรมีส่วนทำให้ฝันนั้นเป็นจริงอีก

จุดหมายของค่ายเพลงทุกค่าย คืออยากให้ศิลปินเป็นที่รู้จักให้ได้มากที่สุด ฉะนั้นการจะทำให้ฝันนี้เป็นจริงที่ดีที่สุดคือทุกคนสนับสนุนศิลปินเรา และดีไปกว่านั้นคือถ้ารัฐซัพพอร์ตศิลปวัฒนธรรมในยุคปัจจุบัน 

เอาจริงๆ เวลาเราคิดงานเราไม่คิดไปพึ่งภาครัฐอยู่แล้ว แต่พอถึงระดับนึงอย่างที่มิลลิเจอ พอเราต้องไปสเกลโกลบอล เราต้องหาทุนมาเพิ่มเอง แทนที่ถ้าเทียบกับอุตสาหกรรมเพลงในประเทศอื่นๆ เขาสามารถยื่นพอร์ตได้ว่านี่เป็นโปรเจกต์ใหญ่ที่เราจะพาศิลปวัฒนธรรมของประเทศไปไกลได้อีก เราว่าภาครัฐควรต้องเข้าใจเจเนอเรชั่นนี้ให้มากๆ ว่าเขากำลังสื่ออะไร เขาไม่ได้ไม่รักประเทศหรือเปล่า เขาแค่กำลังบอกปัญหาที่มีอยู่ในประเทศเฉยๆ จริงๆ คุณน่าจะฟังแล้วเอาไปปรับปรุงมากกว่า และผมว่าความเป็นไทยมันถูกเดเวลอปไปแล้วในยุคปัจจุบัน สิ่งที่มิลลิทำในโคเชลลา ก็มีความไทยอยู่ การสื่อว่าคนไทยกินข้าวเหนียวกับผลไม้อะไรก็ได้ก็ถือเป็นวัฒนธรรม หรือการที่มิลลิเต้นแอโรบิก มันก็ไท้ไทย ผมว่าวัฒนธรรมมันปรับได้ และปรับมาเรื่อยๆ อยู่แล้ว ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ลายกระหนก หรือความทอง ความหรูหราแบบในโบรชัวร์

YUPP

ตลอด 4 ปีที่เปิดค่ายมามีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง และอนาคต YUPP! จะเป็นยังไง

สิ่งที่เปลี่ยนคือวิธีการเป็นระบบมากขึ้น พอมาทำผลงานเรื่อยๆ ทีมงานเองก็สั่งสมประสบการณ์ รู้ช่องทางมากขึ้น ต้องบอกว่าการจัดการของเราไม่ได้ดีตั้งแต่วันแรก ด้วยความที่เราก็เป็นมือใหม่กันหมด ขอบคุณศิลปินรุ่นแรกมากๆ ที่เชื่อมั่นในค่าย อยู่ร่วมกับเรา ทุลักทุเลมาด้วยกัน ไปทัวร์ ไปสู้ด้วยกันตั้งแต่ไม่มีงาน จนมีงาน จนโดนโควิด 

ความสำเร็จของ YUPP! เกิดจากการเลือกทำในจังหวะที่ดีแล้วก็ความทุ่มเท เราใส่เต็มกับทุกงาน งานไหนไม่มา ไม่เป็นกระแสก็ไม่เป็นไร เราทำเต็มที่แล้ว เริ่มใหม่ เราโฟกัสสิ่งที่เราอยากสื่อไปมากกว่า เราดูคอมเมนต์ การตอบรับของคนมากกว่ายอดวิวอย่างเพลง แย้มบาน ของ AUTTA มันเป็นเพลงที่ดีปมาก มีหลายคนที่บอกว่าฟังไม่ได้เลย ดาวน์ แต่ก็มีอีกหลายคนที่ชอบ ก็แปลว่าสิ่งที่เราอยากสื่อไปมันสื่อถึงพวกเขา มีคนคอมเมนต์เล่าเรื่องตัวเองยาวๆ เราก็ถือว่าทำสำเร็จแล้ว

สำหรับ 4 ปีที่ทำค่ายมา เราว่ามันหมดช่วงเห่อแล้ว คนไม่มาเห่อแบรนด์ดิ้งเราแล้ว ซึ่งก็โอเค เพราะสุดท้ายแล้วเราก็อยากให้คนโฟกัสที่ศิลปิน ให้ศิลปินเป็นตัวของตัวเองโดยไม่มีค่ายมาครอบ เอาจริงๆ เราไม่ค่อยได้ตั้งเป้าหมายหรอกว่าอยากให้ค่ายเป็นยังไง เป้าตอนนี้น่าจะเป็นการทำให้ศิลปินมีแฟนเพลงของเขาเอง ในไทยก็ได้ ทั่วโลกก็ได้ ส่วนโจทย์ของค่ายก็คือในวันที่ทุกคนสามารถฟังเพลงของศิลปินทั่วโลกได้หมดแล้ว แล้วทำไมเขาถึงยังต้องฟังเราอยู่ ถ้าเราอยากจะอยู่ต่อก็ต้องปรับตัว มองหาวิธีการต่อยอดไปเรื่อยๆ เพื่อให้เราไปได้ไกลมากขึ้น

YUPP

Häagen-Dazs จากฝันของคู่รักที่อยากทำไอศครีมที่ดีที่สุด สู่แบรนด์ขวัญใจฮิปปี้และขยายสาขาไปทั่วโลก

นม ครีม น้ำตาล ส่วนผสมตั้งต้นของไอศครีมทั่วไปที่ใครๆ ก็รู้ดี เพียงแค่คุณมีวัตถุดิบสามอย่างนี้ และบางทีอาจจะเติมส่วนผสมพิเศษบางอย่างเพิ่มเติมเพื่อแต่งกลิ่น รส ตามชอบใจ เช่น วานิลลา ช็อกโกแลต สตรอว์เบอร์รี

หรือคุณอาจจะมาแบบแหวกแนวเป็นผลไม้เมืองร้อนไปเลยก็ได้ เช่น ทุเรียน หรือมะม่วงสุก ปั่นให้เข้ากันแล้วนำไปแช่แข็ง พอได้ที่ก็เอาออกมาตักเสิร์ฟทีละสกู๊ป เพียงแค่ทำตามขั้นตอน (ที่ดูเหมือน) ง่ายๆ เหล่านี้ คุณเองก็ทำได้ที่บ้าน ใครๆ ก็เหมือนจะสามารถเป็นนักทำไอศครีมได้

ขั้นตอนทำไอศครีมสักควอตซ์หนึ่งอาจจะไม่ยากสักเท่าไหร่ แต่การทำแบรนด์ไอศครีมออกมาให้มีรสชาติเข้มข้น ถ้าเป็นไอศครีมรสวานิลลา กลิ่นหอมจากวานิลลาอ่อนๆ ก็ลอยติดจมูกทุกครั้งที่ตักไอศครีมเข้าปาก แล้ววันหนึ่งก็กลายเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าหลายสิบล้านดอลลาร์คงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ๆ 

แต่คู่รักพลัดถิ่น Rose และ Reuben Mattus ทำได้ และทำได้ดีด้วย

กำเนิดและเติบโตมากับไอศครีม

โรส และรูเบน แมตทัส คู่สามีภรรยา เริ่มต้นอยากจะเปิดกิจการไอศครีมที่แตกต่างจากไอศครีมอื่นทั่วไปในท้องตลาด

สารตั้งต้นความฝันนั้นมาจากการที่รูเบนมีความผูกพันกับไอศครีมมาตั้งแต่เกิดเลยก็ว่าได้ เขาเป็นลูกชาวยิวที่สูญเสียคุณพ่อไปในสงครามโลกครั้งที่ 1 รูเบนและแม่เลยจำต้องอพยพมาจากยุโรปตะวันออกมายังย่านบรองซ์ในนิวยอร์ก ตั้งแต่ปี 1921

สองแม่ลูกผู้อพยพแบบแทบไม่มีเงินติดตัวมาเลย ทั้งสองจึงต้องทำงานอะไรก็ได้เพื่อหาเงินมาประทังชีพ และทางออกที่ดูจะสวยงามที่สุดในตอนนั้นคือการทำงานในร้านขายไอศครีมซอร์เบต์มะนาวของคุณลุงของรูเบนเองในย่านบรองซ์

เด็กชายรูเบนอายุ 10 ขวบจึงคุ้นชินกับการบีบมะนาว และปั้นน้ำแข็งใสๆ ให้ก่อร่างกลายเป็นสกู๊ปเสิร์ฟให้กับลูกค้า ปีแล้วปีเล่าที่รูเบนอยู่กับรสเปรี้ยวของมะนาวและอากาศเหน็บหนาวของนิวยอร์ก กิจการไอศครีมของครอบครัวรูเบนเริ่มขยายจากเดิมแค่ขายซอร์เบท์มะนาว ไปขายไอศครีมแท่ง ไอศครีมเคลือบช็อกโกแลต และไอศครีมแซนด์วิช

รูเบนอยู่กับธุรกิจไอศครีมของครอบครัวถึง 30 ปีภายใต้ชื่อ ‘Senator Frozen Foods’ ในตอนนั้นถ้าจะนึกถึงชื่อใครสักคนที่คุ้นเคยกับวงการไอศครีมสักคนในนิวยอร์ก ชื่อของรูเบนต้องติดโผอยู่ในนั้นแน่ๆ

ส่วนโรส มาจากครอบครัวอพยพชาวยิวเช่นกัน เธอเกิดที่แมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษในปี 1916 แล้วจำต้องอพยพตามคุณพ่อคุณแม่ไปเรื่อยๆ ด้วยอาชีพทำเสื้อผ้าให้กับโรงละครที่นำพาท่านทั้งสองไปยังประเทศต่างๆ จนสุดท้ายมาปักหลักที่นิวยอร์กในปี 1921 

โรสและรูเบนพบกันที่นี่และตำนานของไอศครีมหรูหราราคาแพงแบรนด์แรกของอเมริกันจึงเริ่มต้นที่นิวยอร์ก

จุดเริ่มต้นจากความฟุ้งฝันที่อยากจะทำไอศครีมที่ดีที่สุดในโลก 

ช่วงปลายยุค 50s ไม่มีพ่อค้าขายไอศครีมคนไหนกล้าทำไอศครีมที่ราคาแพงๆ ออกมาขาย เพราะไอศครีมไม่ใช่ปัจจัยในการดำรงชีพ ราคาไอศครีมในท้องตลาดจึงมีแต่จะราคาถูกลงๆ ราคาที่ถูกลงจึงมาควบคู่กับคุณภาพของไอศครีมที่ลดลงตามราคาของไอศครีม 

แถมบริษัทผลิตไอศครีมยักษ์ใหญ่ช่วงนั้นเริ่มตีตลาดไอศครีมด้วยการเอาไอศครีมไปวางขายในร้านสะดวกซื้อ ฉะนั้นธุรกิจไอศครีมของรูเบนก็เหมือนจะสั่นคลอนไปด้วย เพราะไอศครีมกลายเป็นของที่หาง่าย ราคาถูก แค่เดินเข้าร้านสะดวกซื้อก็มีให้กินแล้ว เขาจึงจำต้องหาทางรอดประคับประคองกิจการไอศครีมของเขาให้ได้

ปีแล้วปีเล่า รูเบนครุ่นคิดว่าจะหาทางออกให้กิจการไอศครีมของครอบครัวเขาได้ยังไงดี หลังจากที่แต่งงานกับโรส ความคิดอันแรงกล้าที่จะหาทางออกให้กับกิจการไอศครีมยิ่งแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ เขารู้ว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นตัวเปลี่ยนเกมให้กับกิจการไอศครีมของครอบครัว 

เขามองไปรอบๆ ตัวที่ซึ่งมีแต่ไอศครีมราคาถูก หาซื้อได้ง่ายและรสชาติกับคุณภาพก็ผันแปรไปตามราคาของไอศครีม รูเบนจึงเกิดไอเดียขึ้นว่า

เขาอยากทำไอศครีมที่ดีที่สุด ไอศครีมที่แตกต่างจากไอศครีมอื่นทั่วไปตามท้องตลาด

รูเบนมีความเชื่อว่า เหล่าไอศครีมเลิฟเวอร์ทั้งหลายต้องยินยอมพร้อมจ่ายเงินซื้อไอศครีม ถ้าเขาใช้ของดีๆมาทำไอศครีม

เขาจึงเริ่มจากการใช้วัตถุดิบตั้งต้นของการทำไอศครีมที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะหาได้ ทั้งนมที่ดีที่สุด, ไข่เกรด A, น้ำตาลพรีเมียม และรูเบนใช้แต่ครีมสดในการทำไอศครีม ในยุคที่ใครต่อใครต่างก็ใช้ครีมเทียม รูเบนเชื่อว่าสารตั้งต้นที่ดีของไอศครีมเริ่มมาจากวัตถุดิบที่ดี

ทั้งสองเริ่มต้นกิจการไอศครีมที่นิวยอร์ก ในปี 1960 โดยผลิตออกมาเพียงแค่สามรสเท่านั้น คือ วานิลลา (ใช้วานิลลาจากมาดากาสการ์), ช็อกโกแลต (ใช้ช็อกโกแลตจากเบลเยียม) และกาแฟ (จากโคลัมเบีย) เรียกว่า เขาใช้ส่วนผสมที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ในทุกองค์ประกอบของการทำไอศครีม โดยไอเดียตั้งต้นของคุณรูเบนคือ อยากทำไอศครีมเกรดพรีเมียม คุณภาพดี

ไอศครีมของเขามีไขมันเนย (butterfat) มากกว่าไอศครีมเจ้าอื่น และมากกว่าจำนวนที่ทางการสหรัฐฯ กำหนดไว้ในตอนนั้นเสียอีก นั่นหมายความว่าไอศครีมของเขาเข้มข้นมากกว่าเจ้าอื่นๆ ในตลาด เขาเชื่อว่าถ้าเขาใช้ของดียังไงคนรักไอศครีมก็ยอมจ่ายเพื่อความรู้สึกอิ่มเอมจากการได้กินไอศครีมดีๆ สักถ้วย

แต่มีไอศครีมที่ดีอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องมีแผนการตลาดที่ดีด้วย ไม่อย่างนั้นใครจะไปรู้จักไอศครีมของเรากันล่ะ

ว่าแล้วมาเริ่มจากการตั้งชื่อแบรนด์กันก่อนเลยดีกว่า

ชื่อแบรนด์ที่ไม่มีความหมายในพจนานุกรม แต่มีความหมายในใจนักกินไอศครีม

รูเบนและโรสเริ่มระดมความคิดกันว่าจะตั้งชื่อแบรนด์ไอศครีมที่ดูพรีเมียมนี้ว่าอะไรดี ทั้งสองนั่งลงบนโซฟาตัวโปรดในห้องนั่งเล่นของบ้าน และเริ่มมีไอเดียว่า ถ้าใช้ชื่อภาษาที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ภาพลักษณ์ของแบรนด์น่าจะดูดีนะ ประหนึ่งว่าเป็นแบรนด์ที่ถูกนำเข้าจากต่างประเทศ

ทั้งสองจึงเริ่มคิดถึงชื่อประเทศต่างๆ ที่ฟังดูแล้วน่าจะเป็นประเทศที่ดูมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาชาวอเมริกัน แล้วทั้งสองก็ตกลงใจว่าเอาเป็นประเทศในแถบสแกนดิเนเวียนี่แหละ ข้อมูลจาก The Guardian เล่าไว้ว่าโรสตั้งใจเลือกตั้งชื่อให้เป็นภาษาเดนนิช เพื่อเป็นเกียรติแก่ประเทศเดนมาร์กเพราะพวกเขาช่วยเหลือชาวยิวในการอพยพหลบหนีจากนาซีในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม เอาเป็นว่าทั้งสองเลือกที่จะตั้งชื่อแบรนด์ให้ออกไปทางสำเนียงแถบสแกนดิเนเวีย

ด้วยความรู้สึกว่าอยากจะให้มันฟังดูเป็นภาษาเดนมาร์ก หรือเป็นคำที่มาจากแถบสแกนดิเนเวียนิดๆ พวกเขาจึงเริ่มผสมคำไปมากันเอง จนได้ชื่อ ‘Häagen-Dazs’ คำที่ไม่มีความหมายในภาษาใดเลย แต่ฟังดูแล้วออกไปทางยูโรเปี้ยน ซึ่งก็ดูเข้าท่าและเก๋ไก๋ดีสำหรับรูเบนและโรส

พอได้ชื่อแบรนด์แล้ว ไอศครีมสูตรพรีเมียมก็สำเร็จแล้ว ทีนี้ต้องมาหาทางขายของกัน

โรส แมตทัส สตรียอดนักขายที่ภาพลักษณ์ของเธอเท่ากับภาพลักษณ์ของแบรนด์

ตอนที่โรสและรูเบนเพิ่งเริ่มกิจการ Häagen-Dazs ทั้งคู่ไม่ได้มีเงินมากมายขนาดที่ว่าจะสามารถเปิดร้านไอศครีมของตัวเองได้เลยในทันใด ฉะนั้นพวกเขาจึงจำต้องเริ่มกิจการโดยการนำไอศครีมไปเสนอขายให้แก่ร้านขนมและร้านอาหาร

เนื่องจากรูเบนใช้วัตถุดิบคุณภาพดีในการทำไอศครีม มันจึงเสมือนหนึ่งเป็นสูตรการตั้งราคาแบบกลายๆ ให้ทั้งสองไม่สามารถขายไอศครีมตัวเองในราคาถูกได้เลย The New York Times บอกเอาไว้ว่า Häagen-Dazs ถือเป็นไอศครีมที่หรูหราเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นในขณะนั้น

ถึงแม้ว่าโรสจะเคยทำงานเป็นเสมียนบัญชีมาก่อนหน้านี้ แต่อันที่จริงแล้ว โรสมีจิตวิญญาณของการเป็นนักขายโดยธรรมชาติ ว่ากันว่า เธอเคยพูดโน้มน้าวคุณแม่คนหนึ่งที่กำลังจะจัดปาร์ตี้วันเกิดให้กับลูก ให้ซื้อไอศครีม 20 ไพนต์ (pint) กลับบ้านสำเร็จ

โรสเป็นนักขายชั้นยอด แถมเธอยังเข้าใจโพซิชั่นของผลิตภัณฑ์ตัวเองอย่างถ่องแท้และเธอเข้าใจดีว่าเธอต้องวางตัวอย่างไรในฐานะเป็นทั้งเจ้าของและเป็นทั้งคนขายไอศครีมยี่ห้อนี้

โรสแต่งตัวโก้หรูทุกครั้งที่นำตัวอย่างไอศครีมไปเสนอแก่เจ้าของร้านต่างๆ ถึงแม้สิ่งที่เธอนำไปขายมันจะเป็นเพียงแค่ของกินเล่น ที่ใครๆ อาจมองเป็นเพียงแค่ขนมหวาน แต่เธอเข้าใจดีว่า กลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์ในแบบฉบับโรส แมตทัสแห่ง Häagen-Dazs คือ การสร้างความประทับใจแต่แรกพบให้กับลูกค้า สิ่งที่เธอขายคือไอศครีมราคาแพง คุณภาพดี เธอคือแบรนด์แอมบาสเดอร์ของแบรนด์ 

ฉะนั้นภาพลักษณ์ของเธอ เท่ากับภาพลักษณ์ของแบรนด์

โรสที่รับผิดชอบเรื่องการขายไอศครีม และรูเบนผู้รับผิดชอบเรื่องการทำไอศครีม ทำให้ Häagen-Dazs ค่อยๆ แจ้งเกิดในใจชาวนิวยอร์กเกอร์ พวกเขาทำให้ไอศครีมสัญชาตินิวยอร์กที่ชื่อแบรนด์ออกไปทางสแกนดิเนเวียนี้ เริ่มแจ้งเกิดในมหานครที่ไม่เคยหลับใหล ในฐานะไอศครีมเจ้าแรกที่ให้ความรู้สึกหรูหรา และเข้มข้นด้วยวัตถุดิบชั้นดี

แล้วโรสก็ได้ค้นเจอตลาดใหม่สำหรับลูกค้าไอศครีม-ตลาดชาวฮิปปี้

การตลาดไอศครีมหวานเย็นกับเหล่าบุปผาชนยุค 60s

กระแสชาวฮิปปี้ที่ก่อกำเนิดขึ้นในอเมริกาช่วงยุค 1960-1970 ในหมู่เหล่านักศึกษาที่แสวงหาความสันติและความรื่นรมย์ในชีวิต เป็นตลาดสดใหม่ที่ไม่เคยมีไอศครีมเจ้าไหนเข้าไปทำการตลาด โรส แมตทัส ยอดนักขายไอครีมจึงไม่รอช้า เธอเริ่มวางแผนการตลาดเพื่อให้ได้เข้าถึงคนกลุ่มนี้ให้มากที่สุด

เริ่มจากการที่โรสตระเวนเอา Häagen-Dazs ไปวางขายร้านค้าบริเวณ Greenwich Village ซึ่งเป็นย่านที่ตั้งของมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เธอคิดเอาไว้ว่าจะต้องตีวงล้อมนักศึกษาฮิปปี้ในโซนนี้ให้ได้ เรียกว่า ถ้าเดินออกมาจากมหาวิทยาลัยแล้วอยากกินไอศครีม ยังไงคุณต้องเห็น Häagen-Dazs เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่คุณมีในร้านไอศครีมแน่นอน

ในสายตาโรส การเป็นเพียงแค่ตัวเลือกก็ดีมากพอแล้วสำหรับการเริ่มต้นในตลาดนี้

ปรากฏว่าโรสทำสำเร็จ เธอสามารถทำให้ Häagen-Dazs เข้าไปเป็นหนึ่งทางเลือกของการแสวงหาความสุขสมรื่นรมย์ในชีวิตของชาวฮิปปี้ได้ จากนั้นทั้งโรสและรูเบนจึงเริ่มทำการตลาดกับนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างเมืองบ้าง โดยการส่งไอศครีม Häagen-Dazs ไปขายผ่านการขนส่งทางรถบัสเกรย์ฮาวนด์ โดยมุ่งเน้นไปที่เมืองที่มีมหาวิทยาลัยตั้งอยู่

ผลตอบรับจากการทำการตลาดของโรสเป็นที่น่าประทับใจ ทั้งคู่สามารถทำการตลาดไอศครีมได้สำเร็จทั่วทั้งประเทศ ณ จุดนี้ Häagen-Dazs จึงกลายเป็นไอศครีมที่มีขายทั่วทั้งประเทศอเมริกา

จาก ‘นิวยอร์ก’ สู่ ‘โลก’ 

ปี 1976 ดอริส แมตทัส (Doris Mattus) ลูกสาวของโรสและรูเบน เปิดร้านไอศครีม Häagen-Dazs แห่งแรกใน Brooklyn Height ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากแฟนๆ ไอศครีมของแบรนด์ และปัจจุบันร้านนี้ยังคงเปิดให้ดำเนินการอยู่

ปี 1983 บริษัท Pillsbury เข้าซื้อกิจการ Häagen-Dazs จากโรสและรูเบนด้วยเงินมูลค่า 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,300 ล้านบาท) โดยที่โรสและรูเบนยังคงนั่งตำแหน่งที่ปรึกษา ต่อมาบริษัท General Mills ก็เข้าซื้อบริษัท Pillsbury ต่ออีกทีในปี 1989 และโรสกับรูเบนไม่ได้นั่งตำแหน่งใดๆ กับ Häagen-Dazs อีกต่อไป

ถ้าเปรียบกับการทำงานระบบบริษัท คงจะเปรียบได้ว่า รูเบนเสมือนกับเป็นหัวหน้าแผนกวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Research & Development) ในขณะที่โรสรับบทเป็นหัวหน้าแผนกการตลาด ทั้งสองแรงแข็งขันสร้างประสานให้ Häagen-Dazs ประสบความสำเร็จจนเข้าไปนั่งในใจคอไอศครีมทั่วโลก

ความสำเร็จของไอศครีม Häagen-Dazs คงเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้ารูเบนไม่บ้าบิ่นพอที่จะคิดทำไอศครีมสวนกระแสสังคม ณ ตอนที่ทุกคนทำแต่ไอศครีมราคาประหยัด หรือถ้าโรสไม่มีสายตาอันเฉียบแหลมที่สามารถมองเห็นตลาดฮิปปี้ ตลาดที่ใครเลยจะกล้าคิดเอาไอศครีมไปขาย หรือแม้แต่ความคิดและการตัดสินใจเลือกใช้ชื่อ Häagen-Dazs ทั้งๆ ที่เป็นคำที่ไม่มีความหมาย 

ส่วนผสมที่ลงตัวอย่างพอดิบพอดีอย่างไม่น่าเชื่อของทั้งสามองค์ประกอบนี้ ทำให้ Häagen-Dazs กลายเป็นแบรนด์ไอศครีมที่เดินทางจากการเป็นไอศครีมไปฝากขายในร้านขนมที่นิวยอร์กมาเป็นไอศครีมที่คุณสามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อใกล้บ้านคุณ 

คำว่า Häagen-Dazs อาจจะไม่มีความหมายในไวยากรณ์ภาษาใด แต่สำหรับคนรักไอศครีมทั่วโลก Häagen-Dazs หมายถึงไอศครีมที่เนื้อนวลเนียนละเอียดรสชาตินุ่มนวลในถ้วยสีแดงเลือดหมู ที่เปิดมากินเมื่อไหร่ก็ฟินเมื่อนั้น


ฟังในรูปแบบพอดแคสต์ได้ที่

Spotify : spoti.fi/3OG2Vvn
Apple Podcasts : apple.co/3Kipx1v
อ้างอิง 

www.nytimes.com/1994/01/29/obituaries/reuben-mattus-81-the-founder-of-haagen-dazs.html

www.culinarylore.com/food-history:what-does-haagen-dazs-mean/

www.marketingweek.com/haagen-dazs-trying-become-iconic-brand/

www.nytimes.com/1983/06/08/business/business-people-family-success-story-at-haagen-dazs-chain.html

www.theguardian.com/media/2007/jan/09/advertising.food

www.icecream.com/us/en/brands/haagen-dazs/about/our-history

www.independent.co.uk/news/obituaries/rose-mattus-427144.html

www.britannica.com/topic/hippie

www.freshinkforteens.com/haagen-dazs-a-jewish-story-of-immigration-entrepreneurship-and-ice-cream

https://www.smh.com.au/national/how-ice-cream-made-a-fortune-20070110-gdp7ig.html

ชวนร้าน Pridi หยิบ 13 สิ่งของเรื่องราวและเหตุการณ์ที่เป็นที่สุดมาใส่ตระกร้า

Pridi

Pridi add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

Pridi

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้

add to cart คือรายการที่ชวนผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ เลือกหยิบไอเทมที่เป็น ‘ที่สุด’ ของแบรนด์มาใส่ตระกร้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นแรกสุด ชิ้นขายดีที่สุด ชิ้นที่ภูมิใจที่สุด ชิ้นที่ราคาถูกและแพงสุดของแบรนด์ ไปจนถึงชิ้นที่ขายไม่ค่อยดีนะแต่ก็อยากป้ายยาสุดๆ

หากดูรายการนี้แล้วอยากรู้เรื่องราวของแบรนด์นั้นๆ เพิ่มสามารถฟังได้ในพ็อดแคสต์รายการ Day 1 ที่ ย้วย–นภษร ศรีวิลาส บรรณาธิการของ Capital ชวนเจ้าของแบรนด์ไทยมาคุยกันถึงวิธีทำธุรกิจของพวกเขาอย่างลงลึกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำกิจการจนกระทั่งทุกวันนี้