‘กฎของยานเต้’ หลักการที่ส่งผลให้กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียมีค่าเฉลี่ยความสุขสูงสุด

นิยามของความสุขนั้นคืออะไร 

ผมมีความเห็นส่วนตัวว่าสมการของความสุขนั้นมีสองส่วนประกอบกัน ส่วนแรกคือความคาดหวัง กับส่วนที่สองคือสิ่งที่ได้รับ ถ้าเท่ากับหรือมากกว่าความคาดหวังก็น่าจะมีความสุข 

การแก้สมการแห่งความสุขวิธีหนึ่งก็คือการบริหารจัดการความคาดหวังให้ได้

เวลามีงานวิจัยเรื่องความสุขของโลก ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียมักจะเป็นประเทศอันดับต้นๆ ในการวัดว่ามีความสุขกับชีวิตเสมอ ผมเองเคยทำงานกับคนนอร์เวย์มาหลายปีระหว่างที่อยู่ดีแทคและได้พบเจอคนสวีเดนก็บ่อยเพราะเทเลนอร์ที่เป็นบริษัทแม่ดีแทคก็มีบริษัทในสวีเดน ก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ  

แล้วหัวใจในเรื่องความสุขของคนสแกนดิเนเวียนั้นอยู่ตรงไหน อยู่ที่ความคาดหวังหรือยู่ที่สิ่งที่ได้รับกันแน่…

มีครั้งหนึ่ง เราคุยเรื่องรถประจำตำแหน่งซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้บริหารไทย ผู้บริหารชาวนอร์เวย์บอกผมว่ารถแบบนี้จะเป็นเรื่องใหญ่โตมากที่นอร์เวย์ ถ้าเขาขับรถคันใหญ่แบบนี้จะมีปัญหากับเพื่อนบ้านแน่ๆ ผมฟังแล้วก็งงๆ ถามว่าทำไม เขาบอกว่าที่นอร์เวย์การที่มีรถดีกว่าเพื่อนบ้านใกล้เคียงกันนั้นเป็นเรื่องที่สังคมยอมรับไม่ได้ ถ้าจะมีรถต้องด้อยกว่าหรือเท่ากับรถเพื่อนบ้านเท่านั้น ตอนฟังเรื่องนี้ผมก็ไม่ได้เข้าใจอะไรนัก จนมารู้ทีหลังเพราะคุณซิคเว่เจ้านายเก่าผมเล่าให้ฟังถึงกฎของยานเต้ (Law of Jante)

กฎของยานเต้เป็นหลักการทางสังคมที่ไม่ใช่เป็นกฎหมาย แต่เป็นความเชื่อร่วมกันมาตั้งแต่โบราณ เป็นกฎจากโลกในวรรณคดีของแอคเซล ซานดีมอส นักเขียนชาวเดนมาร์ก-นอร์เวย์ และกฎเหล่านี้ได้หยั่งรากลึกลงไปยังประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชาวสแกนดิเนเวีย ซานดีมอสประพันธ์ถึงหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งชื่อ Jante ซึ่งชาวบ้านที่อาศัยอยู่เป็นพวกที่ยึดถือขนบธรรมเนียมมาก พวกเขาต่อต้านการเปลี่ยนแปลงถึงขั้นที่ขัดขวางใครก็ตามที่เด่นกว่าคนอื่น

แก่นของกฎของยานเต้จะประมาณว่า “คุณจะต้องไม่มีความเชื่อว่าคุณเด่นหรือล้ำเลิศกว่าคนอื่น” (Scandinavians love being equal in everything from what we do in our work to how we like to live in our homes. Nobody is to have too much more – or less – than everyone else.  Definition of jante law from scandikitchen.co.uk) 

กฎของยานเต้มีสิบข้อ คือ

1. You’re not to think you are anything special.

2. You’re not to think you are as good as we are.

3. You’re not to think you are smarter than we are.

4. You’re not to convince yourself that you are better than we are.

5. You’re not to think you know more than we do.

6. You’re not to think you are more important than we are.

7. You’re not to think you are good at anything.

8. You’re not to laugh at us.

9. You’re not to think anyone cares about you.

10. You’re not to think you can teach us anything.

ที่ปรึกษาระดับโลกอย่าง McKinsey เคยวิเคราะห์เรื่องนี้ไว้ว่าอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ประเทศทางสแกนดิเนเวียมีความสุขในใจมากกว่าประเทศอื่น เพราะถ้าเชื่อในกฎของยานเต้ ความคาดหวังที่เรามีก็จะประมาณแค่ขอให้เท่าๆ กับคนอื่นก็พอก็มีความสุขแล้ว และถ้ามีอะไรที่มากกว่าค่าเฉลี่ยแค่นิดหน่อยก็จะเป็นความสุขที่ไม่ได้คาดคิดอย่างมาก

happiness study ที่ University of London ศึกษาไว้บอกชัดเจนว่า “Lower expectations make it more likely that an outcome will exceed those expectations and have a positive impact on happiness” กฎของยานเต้ที่มีอิทธิพลต่อสังคมสแกนดิเนเวียนั้นมีส่วนในเรื่องนี้จริงๆ

แต่ทุกเรื่องมักจะมีข้อดีและข้อเสีย คุณซิคเว่เคยวิจารณ์กฎของยานเต้ว่า ที่นอร์เวย์นั้นหลายคนก็มีความรู้สึกว่าความเชื่อในกฎนี้ทำลายความคิดสร้างสรรค์ และถ้าใครมีฝันใหญ่ๆ อยากประสบความสำเร็จมากๆ บ้างทำไมจะทำไม่ได้ คนแบบ Elon Musk หรือ Steve Jobs ก็จะมีได้ยากถ้าทุกคนใช้กฎของยานเต้กันหมด เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องถกเถียงกันมากในหมู่ปัญญาชนของนอร์เวย์มาตลอด

อย่างไรก็ตาม คุณซิคเว่ก็บอกเช่นกันว่ากฎของยานเต้ก็มีข้อดีถ้าเรารู้จักเอามาใช้กับวัฒนธรรมองค์กรในบางมุม กฎนี้กล่าวถึงธรรมชาติแห่งการยึดหลักความเสมอภาคของมนุษย์ในวัฒนธรรมสแกนดิเนเวีย จึงนับเป็นสิ่งเตือนใจได้ว่า ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จในเรื่องใดในชีวิตก็ตาม เรายังคงต้องรักษาความอ่อนน้อมถ่อมตนและเคารพผู้อื่นเอาไว้ ดังนั้น ในฐานะผู้นำ เราจึงไม่ได้สำคัญไปกว่าคนอื่นๆ เราทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของทีม เพียงแค่รับบทบาทที่แตกต่างกันเท่านั้น สิ่งนี้เป็นหลักข้อหนึ่งใน ‘กฎของยานเต้’ ซึ่งเราสามารถนำมาปรับใช้เพื่อประโยชน์สูงสุดได้ ซึ่งคุณซิคเว่ก็ปฏิบัติอย่างนั้นให้เราได้เห็น ไม่ว่าพนักงานจะตัวเล็กแค่ไหน คุณซิคเว่ก็จะยกมือไหว้ก่อนเสมอ เขาเข้าหาพนักงานทุกคนและเปิดโอกาสในการรับฟังปัญหาอย่างเท่าเทียมกัน และเป็นตัวอย่างที่ดีในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรของดีแทคในตอนนั้นอย่างมาก

ที่ผมเอากฎของยานเต้มาเล่าในวันนี้ ไม่ได้ต้องการจะเปรียบเทียบวัฒนธรรมในระดับประเทศแต่อย่างใด แค่คิดถึงตอนที่คุณซิคเว่ใช้หลักการกับกฎข้อนี้ในดีแทคเมื่อหลายปีก่อน แล้วทำให้พนักงานทุกระดับชั้นหลอมรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ องค์กรยุคใหม่ที่กำลังจะต้องปรับเปลี่ยนอะไรหลายอย่าง การเข้าใจกฎของยานเต้ก็อาจจะเป็นไอเดียหนึ่งในการใช้สร้างวัฒนธรรมองค์กรก็ได้

หลังจากที่คุณซิคเว่ย้ายจากดีแทคไปทำงานที่อินเดีย ซีอีโอดีแทคที่มาแทนชื่อคุณทอเร่ จอห์นสัน เป็นคุณลุงใจดีชาวนอร์เวย์ที่ทุกคนรัก เวลาคุณทอเร่อยากกินกาแฟสตาร์บัคส์ก็จะลงมาจากตึกสูงมาซื้อกาแฟเองทุกครั้ง ผมก็เคยถามว่าทำไมถึงไม่ให้เลขาฯ ซื้อให้ล่ะ ขาแข้งก็ไม่ค่อยดีแล้ว มีเลขาฯ ซื้อให้ก็สะดวกดี บอกกี่ครั้งยังไงก็เดินลงมาเองตลอด

จนวันหนึ่งคุณทอเร่คงเบื่อที่ทั้งผม ทั้งเลขาฯ พยายามคะยั้นคะยอ ก็เลยบอกว่า ขอเดินไปซื้อกาแฟเองเถอะ เพราะที่นอร์เวย์ถ้าให้เลขาฯ ซื้อให้แบบนี้มันเด่นเกินคนอื่น อีกอย่างถ้าไอเกษียณไปก็ต้องซื้อกาแฟเอง ต้องฝึกตั้งแต่ตอนนี้จะได้ไม่เคยตัว… คำตอบกับการกระทำอย่างสม่ำเสมอของคุณทอเร่ได้ใจเลขาฯ และพนักงานในชั้นนั้นอย่างมาก

และนี่คือความน่ารักของกฎของยานเต้ที่ไว้สู้กับแรงโน้มถ่วงที่มักจะชวนให้เราอยากได้ใคร่มี ขี้อวด และพยายามไขว่คว้าทุกอย่างให้มากที่สุด ลองพินิจพิเคราะห์ดีๆ ก็อาจจะนำมาซึ่งความสงบสุขที่แท้จริงก็ได้

ผมเคยถามพี่จิก–ประภาส ชลศรานนท์ ในวัยห้าสิบปลาย ว่าพี่จิกมีเป้าหมายอะไรในชีวิตในตอนนี้บ้างครับ พี่จิกตอบว่า

“เป้าหมายของพี่ตอนนี้คือการลดเป้าหมาย”

เหมือนกับพี่จิกแอบเฉลยความลับของฟ้าอีกข้อนึงอย่างไรอย่างนั้นเลยนะครับ

ภาษากายใน CODA ที่สร้างที่ทางให้คนหูหนวกในฮอลลีวูดและโลกธุรกิจ

1.

ฉันเป็นคนร้องไห้ให้กับหนังได้ง่าย บางทีอาจจะง่ายกว่าร้องไห้ในชีวิตประจำวันด้วยซ้ำ สำหรับฉัน การร้องไห้ให้หนังนับเป็นการร้องไห้ที่ดี หนังบางเรื่องเรียกความทรงจำที่ฉันเคยหลงลืมไปกลับคืนมา บางตัวละครทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่ได้ผ่านสถานการณ์ยากลำบากเพียงลำพัง และซีนบางซีนก็ช่วยเตือนความจำฉันว่า ใช่ ที่ฉันร้องไห้เพราะฉันยังเป็นมนุษย์ มีหัวใจ ไม่ได้ตายด้านทางความรู้สึก

ซีนล่าสุดที่ทำให้ฉันเสียน้ำตาคือซีนสุดท้ายของ CODA เจ้าของรางวัลหนังยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ปี 2022

ขอสปอยล์ตรงนี้เลยแล้วกัน ในฉากนี้ Ruby ตัวเอกของเรื่องจะไปเรียนต่อในเมืองใหญ่ เธอจึงจำเป็นต้องโบกมือลาพ่อ แม่ กับพี่ชายผู้หูหนวก–กลุ่มคนที่รูบี้ต้องช่วยเหลือมาตลอด 17 ปีในฐานะคนเดียวในครอบครัวที่หูดี

ตอนจะไป รูบี้ทำท่าเหมือนการจากลานั้นเป็นเรื่องง่าย ไม่ค่อยได้แสดงความรู้สึกอ่อนไหวมาก แต่พอออกรถไปได้ไม่ทันไร เธอก็บอกให้เพื่อนจอด กระโดดลงจากรถแล้วทุ่มตัวกอดครอบครัวแรงๆ อีกที คือกอดที่แทนคำว่าห่วงใย เป็นห่วง และรักจนไม่อยากไปจากพวกเขา

ในฐานะเด็กเชียงใหม่ที่ต้องย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ฉันเข้าใจความรู้สึกของรูบี้เป็นอย่างดี แถมยังเคยมีซีนคล้ายๆ กันนี้กับครอบครัวของตัวเอง

วินาทีที่ Frank พ่อของเธอพูด–ซึ่งเป็นคำพูดเดียวที่เราได้ยินจากปากเขาว่า “ไปเถอะ” รูบี้น้ำตาไหล ฉันเองก็ไม่ต่าง

2.

CODA กลายเป็นหนึ่งในหนังที่อยู่ ‘ใกล้ใจ’ ฉันมากที่สุด ความหมายคือมันทั้งรู้สึกใกล้ตัวและจับใจ สำหรับฉันมันไม่ได้เป็นหนังที่ยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบไปทุกด้าน แต่ก็ทำให้ฉันเพลิดเพลินได้อย่างหนังสนุกๆ เรื่องหนึ่งพึงจะทำ

สรุปเรื่องราวอย่างย่นย่อ CODA เล่าเรื่องเด็กสาวหูดีที่เติบโตมาในครอบครัวคนหูหนวก ผู้ต้องรับบทบาทคนแปลภาษามือให้ครอบครัวมาตั้งแต่เกิด เธอฝันอยากเรียนต่อด้านการร้องเพลง แต่ไม่เคยบอกใครเพราะคิดว่าฝันคงไม่มีวันเป็นจริง จนปีสุดท้ายของไฮสคูล รูบี้จับพลัดจับผลูเข้าไปอยู่ในชมรมประสานเสียง Mister V อาจารย์ประจำชมรมมองเห็นความเป็นดาวในตัวเธอเลยเสนอตัวจะฝึกให้ไปสอบชิงทุน ในเวลาเดียวกัน ที่บ้านก็อยากขยายธุรกิจประมงของตัวเองให้ใหญ่โตขึ้น รูบี้จึงต้องเลือกระหว่างการตามความฝันที่จะเป็นนักร้อง หรือจะเป็นล่ามประจำครอบครัวไปตลอดกาล 

ขณะที่ต้อนคนดูให้เปิดใจกับหนังทีละนิดจากเสียงเพลง บรรยากาศการออกทะเลหาปลา การได้มองดูความฝันและความรักของรูบี้ผลิบานในชมรมร้องประสานเสียง หนังก็ฉายภาพให้เห็นสิ่งที่เธอต้องรับมือจากการเป็นคนหูดีคนเดียวของบ้าน รวมถึงสิ่งที่คนอื่นๆ ในครอบครัวต้องปรับจูนเข้าหาเธอ บ้างก็ตลกขบขัน บ้างก็ทำให้เข้าใจหัวอกของทั้งสองฝ่าย

อย่างซีนที่แม่สารภาพกับเธอว่าตอนที่หมอทำคลอดมาแจ้งว่ารูบี้ไม่ได้หูหนวก แม่เสียใจมาก กลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นแม่ที่แย่ เพราะการได้ยินปกติอาจกลายเป็นกำแพงที่ทำให้แม่กับเธอสื่อสารกันได้ไม่เต็มที่จนไม่สนิทกันเหมือนแม่กับยาย (ซึ่งเป็นคนหูดี) อาจฟังดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่มันก็เป็นมนุษย์มากๆ เช่นกัน

3.

มากกว่าการเป็นหนังแนวอบอุ่นเข้าถึงง่าย ฉันคิดว่าสิ่งที่ทำให้ CODA ชนะใจคนดูหลายคนจนได้รางวัลจากทั้งซันแดนซ์และออสการ์ คือการเป็นหนังที่โอบรับและให้ที่ทางกับกลุ่มคนที่มักถูกมองข้ามอย่างคนหูหนวก

เริ่มตั้งแต่ให้ที่ทางกับคนหูหนวกที่เป็นนักแสดง อันที่จริง CODA รีเมคมาจาก La Famille Bélier หนังฝรั่งเศสปี 2014 ที่โดนคอมมิวนิตี้ของคนหูหนวกสับเละ เพราะเล่าเรื่องของคนหูหนวกแต่นักแสดงนำเป็นคนหูดีทั้งสิ้น พอได้มายกเครื่องทำใหม่ CODA ก็ไม่เดินทางซ้ำรอยเดิม เพราะบทบาทของคนหูหนวกในครอบครัวทั้งสามคนคือพ่อ แม่ และพี่ชายล้วนแสดงโดยนักแสดงหูหนวกทั้งหมด 

ซึ่งหลายคนมองว่านี่แหละคือสิ่งที่ควรจะเป็น การมีภาพแทนที่แสดงโดยคนในคอมมิวนิตี้จริงๆ ช่วยเปิดโอกาสให้นักแสดงหูหนวกที่มีความสามารถอีกหลายคนได้ถูกมองเห็น พอได้ออกฉายในโรงใหญ่ CODA ก็เลือกฝังซับไตเติลไปกับหนัง เพื่อให้คนดูที่หูหนวกได้เพลิดเพลินกับหนังได้ไม่ต่างจากคนหูดี

4.

สิ่งที่ฉันสนใจเป็นพิเศษแต่หนังไม่ได้เล่ามาก คือการทำธุรกิจของคนหูหนวก 

ตอนที่รูบี้ยังอยู่กับครอบครัว เธอเป็นทั้งปากและหูของที่บ้าน ไม่เกินจริงถ้าจะบอกว่าที่บ้านพึ่งพาเธอมากเกินไปด้วยซ้ำ ถึงขนาดว่าจุดหนึ่งของเรื่องที่รูบี้ (เกือบ) ตัดสินใจว่าจะไม่ไปร้องเพลงเพราะอยากเป็นล่ามให้ที่บ้านต่อ พี่ชายของเธอหัวเสียอย่างรุนแรง แสดงให้เห็นว่าเขาไม่เห็นด้วยชัดเจน 

พี่ชายมองว่าการตัดสินใจของรูบี้เป็นสิ่งที่งี่เง่า สิ่งหนึ่งที่สะกิดใจฉันคือคำพูดที่ว่า “ก่อนจะมีเธอ พวกเรา (พ่อ แม่ และพี่ชาย) ก็อยู่กันได้” เมื่อรูบี้ถามว่าถ้าไม่มีเธอแล้วพวกเขาจะอยู่กันยังไง จะปรับตัวเข้าหาสังคมรอบข้างยังไง พี่ชายก็บอกว่า “ช่างสิ ให้พวกคนหูดีปรับตัวเข้ามาหาพวกเราสิ”

ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกความจริง ปัจจุบันในสังคมที่เจริญแล้ว มีกฎหมายห้ามแบ่งแยกและเลือกปฏิบัติต่อคนพิการ อาทิ Americans with Disabilities Act (ADA) ปี 1990 ที่กลายเป็นหลักไมล์สำคัญให้คนอเมริกันได้เข้าใจและโอบรับคนหูหนวกและคนพิการแขนงอื่นๆ ด้วยการให้การศึกษา ตลอดจนถึงให้โอกาสในการทำงาน 

อย่างที่รูบี้ถามพี่ชายว่า “ถ้าไม่มีเธอ ครอบครัวจะอยู่ได้ยังไง?” นอกเหนือจากธุรกิจล่ามภาษามือทั่วไป คำตอบสำคัญคือ ‘เทคโนโลยี’ ที่มีส่วนอย่างมากในการสนับสนุนให้ธุรกิจของคนหูหนวกประสบความสำเร็จ เพราะความท้าทายที่คนหูหนวกจะต้องก้าวผ่านให้ได้คือกำแพงของการสื่อสาร

ก่อนหน้านี้คนหูหนวกใช้เครื่องแฟกซ์และ teletypewriter (เครื่องพิมพ์ดีดสำหรับคนหูหนวกไว้ติดต่อกันผ่านสายโทรศัพท์) พบว่าปัญหาคือทำให้สื่อสารช้าและไม่ค่อยจะถูกต้องสักเท่าไหร่ ทว่าในปัจจุบัน มีเทคโนโลยีที่มาซัพพอร์ตคนหูหนวกมากมายอย่าง

VRS (Video Relay Service) เทคโนโลยีที่มีตัวกลางช่วยแปลภาษามือของคนหูหนวกมาอธิบายเป็นคำพูดให้คนหูดีเข้าใจ เช่น บริการของ SignVideo ในอังกฤษที่อ่านภาษามือของคนหูหนวกระหว่างที่พวกเขาประชุมติดต่อกับคู่ค้า

VRI (Video Remote Interpreting) เทคโนโลยีที่ช่วยให้คนหูหนวกและคนหูดีสามารถสื่อสารกันได้ผ่านตัวกลางเหมือน VRS แต่อาจสะดวกกว่าเพราะสามารถคุยกันได้แม้จะอยู่คนละสถานที่กัน

Ava แอพพลิเคชั่นที่ช่วยสร้างแคปชั่นให้คนหูหนวกอ่านขณะที่พูดคุยกับผู้อื่น ทั้งยังสามารถจำแนกได้ว่าใครพูด ผ่านแท็กและสีของแคปชั่น 

ยังไม่นับรวมองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนคนหูหนวกทำธุรกิจโดยตรง เช่น Deaf Business Academy ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการหูหนวกได้เรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจด้วยคอร์สคุณภาพและเฉพาะเจาะจง

จากผลสำรวจปี 2017 มีคนหูหนวกในอเมริกาได้ทำงานมากกว่าครึ่ง เกิดธุรกิจที่คนหูหนวกเป็นเจ้าของมากกว่า 1,000 ธุรกิจในอเมริกา แน่นอนว่ามีธุรกิจของคนหูหนวกที่ประสบความสำเร็จมากมายในทุกวงการ เช่น Mozzeria ร้านอาหารดังในซานฟรานซิสโก, By Mara แบรนด์เสื้อผ้าในนิวยอร์ก รวมถึงวงการไลฟ์โค้ช คราฟต์เบียร์ ไปจนถึงวงการดนตรี

หันกลับมาที่ประเทศไทยเรา มีหลายธุรกิจที่เกิดขึ้นเพื่อซัพพอร์ตคนหูหนวกเช่นกัน อาทิ Mute Mute Café คาเฟ่บอร์ดเกมและ co-working space ที่ให้บริการโดยผู้พิการทางการได้ยิน และหวังว่าในอนาคตเราจะได้เห็นคนหูหนวกมากขึ้นในอีกหลายแวดวง

5.

หากอ้อมกอดในตอนจบคือกอดที่แทนคำว่าห่วงใย เป็นห่วง และรักจนไม่อยากแยกจากของรูบี้

ฉันคิดเองว่าบางทีนะ บางที คำพูดของพ่อที่บอกว่า “ไปเถอะ” ในอีกความหมายหนึ่ง มันแปลว่า พวกเขาจะอยู่ได้

พวกเขาจะอยู่ด้วยตัวเองได้ในที่สุด ในฐานะมนุษย์ที่มีคุณค่าเท่ากับมนุษย์คนอื่น

อ้างอิง
entrepreneur.com
hearinglikeme.com
121captions.com
vox.com
today.com

ฮาวทูสร้างคอนเทนต์โปรโมตหนังให้อินดี้แต่เวรี่แมสแบบเต๋อ นวพล

เต๋อ นวพล กับคำว่า อินดี้, ติสท์, อาร์ต อาจเป็นของคู่กัน

แต่ถ้าเป็นเรื่องวิธีการโปรโมตหนังของเต๋อ เราขอให้คำจำกัดความว่า เวรี่แมส

ไม่ว่าจะออกหนังมากี่เรื่อง เราจะได้เห็นการสรรหาวิธีสร้างคอนเทนต์เพื่อโปรโมตจากผู้กำกับคนนี้ให้กลายเป็นกระแสจนคนเอาไปปั่นต่อกันอย่างสนุกสนาน ส่งผลให้หนังทุกเรื่องของเต๋อแมสขึ้น และแมสขึ้นอย่างไม่อาจหยุดยั้ง

ไม่ใช่แค่การสร้างกระแส เต๋อยังเป็นคนขยันฟีดคอนเทนต์ชนิดนาทีต่อนาทีให้คนได้รับรู้ความเป็นไปของหนังของเขาอย่างใกล้ชิด หรือถ้าไม่รู้ เขาก็จะทำให้จนคุณต้องรู้จนได้ อย่างเช่นผู้เขียนที่หลังๆ อาจจะห่างหายจากหนังของเต๋อไปบ้าง แต่ก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังจะมีหนังเรื่องใหม่ “Fast & Feel Love เร็วโหด..เหมือนโกรธเธอ” จากเพจเฟซบุ๊กของเขานี่แหละ

ว่ากันมาขนาดนี้ เราเลยขอรวบรวมบวกวิเคราะห์วิธีการสร้างคอนเทนต์โปรโมตหนังที่ผ่านมาของผู้กำกับคนนี้ ว่าเขาทำยังไง ให้ความอินดี้กลายเป็นของเวรี่แมสขึ้นมาได้

เต๋อ

36
ห นั ง เ ต๋ อ ถื อ กำ เ นิ ด แ ล้ ว

หนังเรื่องแรกที่พาเราไปรู้จักเต๋อ นวพล อย่างเป็นทางการ นอกเหนือจากบรรยากาศเหงาๆ อันแสนร่วมสมัยในตอนนั้นและประโยคอย่าง “บางอย่างพอไม่มีรูปแล้ว ก็เหมือนมันไม่เคยมีอยู่จริงเลย” ที่เวรี่แซด เวรี่ฟุ้ง เวรี่เหงา รวมถึงการพิมพ์เทกซ์แบบ เ ค า ะ ส เ ป ซ ที่มีคนจดจำมาน้อมนำทำตามกันอีกตรึมจนเป็นองค์ประกอบของความเป็น ‘หนังเต๋อ’ ในเวลาต่อมา

นอกจากการฉายอย่างจำกัดโรงทำให้เราเกิดความรู้สึก เฮ้ย! นี่มันหนังอินดี้ หาดูยากนี่นา แล้วเราจะพลาดได้เหรอ แล้วนั้น เต๋อยังใช้ช่องทางโซเชียลฯ ของตัวเองในการเล่าเรื่องนอกหนังให้เราฟัง ทั้งดีเทลเล็กๆ ในหนัง หนังของเขาได้เดินทางไปฉายที่ประเทศไหนบ้างแล้ว ได้รับรางวัลอะไรมาบ้างแล้ว

เต๋อ

และยังมีออริจินอลซาวนด์แทร็กสุดเหงาที่ได้มีการผลิตเป็น CD ออกมาให้สะสมกัน และแน่นอนว่าเราก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่พลาด

/แนบหลักฐานจากไอจีผู้เขียน แม้ตอนนี้จะหาแผ่นไม่เจอแล้ว เวรี่แซด

ยังไม่พอ พอ 36 ออกเป็น DVD คุณผู้กำกับก็ลงมือขายเอง เร้าลูกค้าเอง ชนิดไม่ต้องถึงมือฝ่ายการตลาดกันเลย


เต๋อ

MARY IS HAPPY, MARY IS HAPPY.
แมรี่ อิส เอฟรี่แวร์

หลังจาก 36 เต๋อกลับมาด้วย MARY IS HAPPY, MARRY IS HAPPY

หนังคอนเซปต์แปลกที่สร้างจากทวีตจริงของยูสเซอร์ ‘แมรี่ มาโลนี่’ 410 ทวิต 

(อ่านทวีตทั้ง 410 ทวีตได้ที่ minimore.com/mini/mary)

นอกจากแง่หนังที่ถือว่าเต๋อฉีกแนวตัวเองออกไปจากหนังเรื่องแรกแล้ว ยังมีการโปรโมตที่เหมือนเต๋อปลดปล่อยพลังออกมาอย่างไม่ยั้ง 

ทั้งประโยคทอง “พรุ่งนี้ต้องเร็วนะ” ที่พาให้ทุกคนต้องรีบ เพราะตั๋ว Sold Out เร็วมาก!


เต๋อ

หรือการตามหา ตาม F เสื้อแมรี่ที่กลายเป็นสมบัติระดับลิมิเต็ดเอดิชั่น ใส่แบบแทบจะเดินชนกันที่ House RCA

และยังมี OST. CD, Poster, Sticker ดาหน้ากันมาชนิดที่ว่าเก็บทุกเม็ด ขายมันให้หมด!

เต๋อ
เต๋อ

ยัง ยังไม่หยุดแค่นี้ เต๋อยังเป็นผู้กำกับที่ social listening และหยิบทวีตหรือคอมเมนต์จากชาวเน็ตมาแชร์กันให้เห็นเรื่อยๆ อยู่เสมอ

เต๋อ

ยังมีอีก นอกจากนั้นเต๋อยังจัดกิจกรรมสร้างเอนเกจเมนต์ให้คนส่งภาพแฟนอาร์ตที่ได้แรงบันดาลใจจากทั้ง 410 ทวีตกันเข้ามา (ดูได้ที่อัลบั้ม MARY, RETWEETED ในเฟซบุ๊กของเต๋อได้เลย facebook.com/media/set/?set=a.626308880741123&type=3)

ทั้งหมดทั้งมวลรวมพลังกลายเป็นแมรี่ฟีเวอร์ ที่ส่งให้เต๋อขึ้นมาเป็นผู้กำกับที่มีผู้ติดตามทั้งตัวตนและผลงานเหนียวแน่นจำนวนมาก แต่เต๋อก็ยังไม่หยุดแค่นี้


เต๋อ

The Master
เก่า แบบใหม่

ถึงแม้ The Master จะมาในรูปแบบสารคดี และพูดถึงเรื่อง ‘พี่คนนั้น’ หรือ ‘ร้านแว่นวิดีโอ’ ร้านเช่าวิดีโอลับแลย่านจตุจักรที่เป็นเหมือนยูโทเปียของคนรักหนังอินดี้ ฟังดู niche และอินดี้จ๋าใช่ไหม แต่เต๋อก็ยังมีวิธีโปรโมตหนังเรื่องนี้ให้น่าสนใจได้

หนึ่งคือการทำสิ่งที่เต๋อทำได้ดีมาตลอด นั่นคือการมอนิเตอร์ความเห็นจากชาวเน็ต โดยเฉพาะทวิตเตอร์และนำมาโพสต์ต่อในช่องทางของตัวเอง เรียกเอนเกจเมนต์และทำให้คนรู้ว่าเต๋อคอยฟังความเห็นของคนดูจริงๆ

เต๋อ
เต๋อ

และความพิเศษอีกหนึ่งอย่างก็คือ ในเมื่อหนังเรื่องนี้เป็นสารคดีเกี่ยวกับร้านเช่าวิดีโอ เต๋อเลยจัดฉาย ‘The Master รอบ VHS’ ด้วยวิดีโอเทปจริงๆ ซะเลย นอกจากจะได้กระแสแล้ว ยังทำให้คนดูเข้าถึงบรรยากาศความนอสทัลเจียของหนังได้อย่างเต็มอิ่มขึ้นอีกด้วย เรียกได้ว่าไม่ได้แค่ทำเอาคอนเทนต์ แต่ยังนำเอาประสบการณ์แบบเก่าๆ มาแพ็กหีบห่อใหม่ให้น่าดึงดูดยิ่งขึ้น

เต๋อ

เต๋อ

ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ
ไปค่ะ พี่นวพล

“ไปค่ะ พี่สุชาติ” เจ๋พูดแล้วสะบัดบ๊อบไป ซึ่งไม่มีใครเคยรู้ว่าเจ๋ไปไหน แต่พี่สุชาติก็ได้แต่วิ่งตามต้อยๆ

“วัดแก้วกิ่ง กุฏิ 1 ไวไฟ”

นี่คือประโยคเด็ดที่ทุกคนจำได้จาก ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ ที่คนพูดจนติดปากอยู่พักใหญ่ 

แต่จริงๆ เรื่องราวน่าจำและน่าสนใจของหนังเรื่องนี้ก็มีเยอะมาก

เริ่มตั้งแต่เต๋อโพสต์รูป behind the scene รูปแรก

ใหม่ ดาวิกา ซันนี่ เล่นหนังเต๋อ! วี วิโอเลต! พี่บอล สครับบ์!!! แค่นี้คนดูก็ตื่นเต้นและตั้งตารอแบบไม่ต้องทำอะไรมากแล้ว

แต่ ขึ้นชื่อว่าเต๋อ น้อยๆ เขาไม่ทำ คราวนี้จึงกลับมาพร้อมแคมเปญสร้างเอนเกจเมนต์กันอีกรอบ

กับเกมเปลี่ยนป้าย ห้าม.. ห้าม.. ห้าม..

เป็นอะไร ห้ามอะไร เชิญผู้ชมทางบ้านจินตนาการกันเอาเอง

เต๋อ

ผลปรากฏคือมีผู้ส่งชื่อใหม่เข้ามาท้าชิงกันเป็นจำนวนมาก บางชื่อก็ขำเบาๆ บางชื่อก็ขำก๊าก บางชื่อก็ต้องออกเสียงตามโดยไม่รู้ตัว

เต๋อ
ไปไกลถึงลาว พันธมิตร AEC ที่แท้
ใครบอกว่าอ่านแล้วไม่ออกเสียงตาม คุณเป็นคนโกหกครับ /จบ.
เต๋อ
แมสจนได้เป็นธีมงานแต่ง
ความ crossover นี้

ยังไม่นับว่าโปสเตอร์และชื่อหนังถูกนำไปทำพาโรดี้กันสนุกสนาน (ที่ออฟฟิศเก่าของผู้เขียนก็เคยมีโปสเตอร์ปาร์ตี้ออฟฟิศที่พาโรดี้หนังเรื่องนี้) 

ทั้งตัวละครทั้งหลาย โดยเฉพาะเจ๋และพี่สุชาติ ก็มีคาแร็กเตอร์ที่น่าจดจำจนคนนำไปวาดแฟนอาร์ตกันมากมาย

เต๋อ

(ดูที่เหลือได้ที่ Album ป่วย พัก รักหมอ https://www.facebook.com/media/set/?vanity=440402912665055&set=a.926797964025545)

ตอกย้ำความแมสแบบ ได้อีก ไปอีก ไปค่ะ พี่นวพล


เต๋อ

Die Tomorrow

มีคอนเทนต์ Everyday

หนังเรื่องนี้ เต๋อเล่นกันถึงตาย 

ในความหมายตรงตัวอักษร ก็คือหนังเรื่องนี้พูดเรื่องความตาย

เรื่องที่ใกล้ตัวทุกคนที่สุด แต่ทุกคนเลือกที่จะมองข้ามไปมากที่สุด

เริ่มกันก่อนด้วยโปสเตอร์บอกปีเกิดจนถึงปัจจุบันของเหล่านักแสดงที่กลายเป็นรูปแบบให้คนเอาไปครีเอตในรูปแบบของตัวเอง

เต๋อ

ถึงจะไม่ได้มีแคมเปญยิ่งใหญ่เยอะแยะเหมือนหนังเรื่องก่อนหน้า แต่เหมือนเต๋อรู้ว่า ถ้าเป็นเรื่องแบบนี้ และเล่าในแบบของตัวเอง น่าจะทำปฏิกิริยากับคนดูได้มาก

ในเรื่อง Die Tomorrow เต๋อจึงโฟกัสไปที่กระแสตอบรับจากคนดู ซึ่งก็ต้องบอกว่าเป็นไปตามที่เต๋อคิดไว้ เราจะได้เห็นทวีตที่เต๋อแคปมาแปะในเพจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความเห็นเกี่ยวกับหนัง หรือการแชร์ประสบการณ์ของตัวเองที่มีต่อ ‘ความตาย’  

สิ่งสำคัญก็คือ เมื่อไปไล่ดู จะเห็นว่าเต๋อโพสต์เหล่าคอมเมนต์นี้ถี่มาก เรียกได้ว่าทุกวัน หรือวันละหลายๆ รอบ จากเฉยๆ ความสนใจแบบ “เฮ้ย ขนาดนั้นเลยเหรอ หืม โห ต้องไปลองดูบ้างแล้วล่ะ” ก็จะยิ่งทับถมเพิ่มพูนทุกวัน อย่างเช่นเราที่ต้องยอมรับเลยว่า หลังอ่านคอมเมนต์ทั้งหลายแล้ว อยากย้อนกลับไปดูอีกรอบมากๆ ถึงแม้ตอนที่ได้ดูครั้งแรกความรู้สึกจะเฉยๆ ค่อนไปทางไม่ชอบเล็กน้อยก็ตาม

เต๋อ
Sold Out ชนิดหนังฮอลลีวูดต้องมามอง
มีชื่อนวพลแล้วทรงพลัง
เต๋อ
แค่อ่านทวีตก็อึนแทน
เต๋อ

และอีกมากมาย เหมือนเต๋อรวมทุกทวีตเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้บนโลกทวิตเตอร์มาให้แล้ว ไปตามอ่านต่อได้ที่ Album DIE TOMORROW facebook.com/media/set/?vanity=440402912665055&set=a.1434864256552244


เต๋อ

Girls Don’t Cry
Everybody cries, Nawapol smiles

เต๋อ นวพล เป็นคนจับกระแสเก่ง

และในช่วงปี 2018 จะมีอะไรที่โด่งดังเป็นกระแสไปมากกว่า ‘BNK48’ ?

เมื่อจับส่วนผสมทั้ง 2 มาผสานกัน จึงกลายเป็น Girls Don’t Cry สารคดีสัมภาษณ์เหล่าเด็กๆ BNK48 ที่ปอกเปลือกความสดใส ดำดิ่งลงไปในความจริง ความเหนื่อยยาก และความดาร์กแบบถึงแก่น

ด้วยหนังที่มี BNK48 เป็นตัวเอกอยู่แล้ว การทำให้เกิดกระแสจึงไม่ได้เป็นเรื่องยากเกินไปนัก แต่เต๋อก็ทำให้ภาพการทำงานต่างๆ นั้นมีเรื่องราวที่ชวนให้เราติดตามจนเกิดความอยากที่จะชมสารคดีตัวจริงขึ้นมาได้

เต๋อ
เต๋อ

แต่ไม่ใช่แค่เนื้อหาที่เอามาปั่นได้ ไม่น่าเชื่อว่าชื่อหนังที่ดูไม่น่าจะเล่นอะไรได้ เต๋อก็เอามาปั่นจนได้

กับชื่อ Girls Don’t Cry ที่ถูกเปลี่ยนไปจนบางอันถึงกับจำต้นฉบับเดิมไม่ได้ (ส่วนตัวชอบ TLADNAM DON’T WHY มาก แบบ พี่เอางี้เลยเหรอครับ)

เต๋อ

ด้วยความพีคนี้ แบรนด์ต่างๆ จนอดขอเกาะกระแสไม่ได้

เต๋อ

ตบท้ายด้วย Press Kit สุดปัง กับทิชชู่เสี่ยงทาย ทายไว้เลยว่าคนดูจะต้องเสียน้ำตาแน่นอน

ซึ่งก็ได้ผล คนถูกสัมภาษณ์ก็ร้อง คนดูก็ร้อง แต่นวพลยิ้ม เพราะหนังปัง จนได้ไปปรากฏตัวที่เพจ AKB48 ซะเลย


เต๋อ

ฮาวทูทิ้ง
ฮาวทู (โก) แมส

เทรนด์ มาริเอะ คนโดะ กำลังมาเหรอ!

เทรนด์คนไม่มูฟออนกำลังมาเหรอ!

ได้! 

มาถึง ฮาวทูทิ้ง..ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ ที่เล่นกับประเด็นคนที่ไม่ยอมมูฟออน ซึ่งเป็นลักษณะร่วมของคนรุ่นใหม่ จึงเดาได้ไม่ยากว่ามันจะต้องโดนใจใครต่อใครหลายคน

ในส่วนของการโปรโมตนั้น เนื่องจากเข้าบ้าน GDH เต็มตัว ครั้งนี้การทำคอนเทนต์จึงจัดเต็มกว่าที่เคย จากที่ผ่านมาทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นบนเฟซบุ๊กส่วนตัวของเต๋อซะส่วนใหญ่ แต่ครั้งนี้ ฮาวทูทิ้ง มีเพจเฟซบุ๊กเป็นของตัวเอง

มีเพจแล้วจะรออะไร ก็ปล่อยคอนเทนต์สิครับ

เต๋อ
เต๋อ

ประโยคเด็ด แคปให้ด้วย (ใส่กราฟิกทำเทมเพลตด้วยนะ)

เต๋อ

และหลังจาก Girls Don’t Cry เป็นต้นมา แบรนด์ต่างๆ ก็เริ่มเข้ามาคอลแล็บคอนเทนต์กับหนังเต๋อกันอย่างสนุกสนาน

เต๋อ
เต๋อ

ปิดท้ายด้วยเพลง ทิ้งแต่เก็บ โดย The Toys เป็นเครื่องการันตีความแมส แต่ยังคงกลิ่นอายของความเป็นหนังอินดี้ติดเหงาอย่างที่เต๋อถนัด

facebook.com/happyoldyearmovie


เต๋อ

Fast & Feel Love
ปั่น (กระแส) โหด เหมือนโกรธคนดู

มาที่หนังเรื่องล่า FAST & FEEL LOVE เร็วโหด..เหมือนโกรธเธอ

ที่เรารู้ได้ว่าจะมีหนังเรื่องนี้เพราะเห็นจากคอนเทนต์ในเพจของเต๋อนี่แหละ

ซึ่งนอกจากเนื้อหนังจะน่าสนใจ เพราะเต๋อบอกว่าหนังคราวนี้จะฉีกจากหนังแนวเดิมๆ และมีญาญ่า อุรัสยา ที่เชื่อมือได้เลยว่าเต๋อผู้ถนัดในการเอานักแสดงมาทำอะไรแปลกตาจะทำให้ญาญ่าดูแปลกใหม่กว่าที่เคย

แต่ที่โหดกว่าเทรลเลอร์ ทีมนักแสดง ก็เห็นจะเป็นคอนเทนต์ที่ปั่นกันอยู่ตอนนี้นี่แหละ ที่เยอะชนิดที่ว่า อัพไซส์จาก ฮาวทูทิ้ง อีกเท่าตัว

เราได้เห็นแบรนด์เข้ามามีส่วนร่วมกับหนังที่กำลังจะออกฉายเรื่องนี้ของเต๋อเยอะมาก ชนิดที่ว่าอีกนิดเพจของเต๋อคือพื้นที่โฆษณา แต่ก็ถือว่าเป็นสถานการณ์วิน-วิน ที่เต๋อก็ได้ แบรนด์ก็ได้ แถมยังมีผู้ชมทั่วไปมาร่วมแจมอีก

ไม่รับรู้กันทั้งประเทศก็ให้มันรู้ไป

เต๋อ
ไปรับปริญญากันจ้า

เต๋อ
ไม่มีอะไรที่เราขายไม่ได้

จากทั้งหมดนี้ น่าจะชี้ให้เห็นว่า ความแมสที่ได้มาของเต๋อไม่ใช่โชคช่วย แต่มาจากความเข้าใจในความชอบและสนใจของคน ความกล้าที่จะทำ บวกด้วยความขยัน ตั้งใจ และเหนือสิ่งอื่นใด คือความภาคภูมิใจในผลงานของตัวเอง

Copenn. แบรนด์เครื่องหอมสุดนิชที่อยากโตทีละนิดและทัชใจลูกค้าด้วยงานดีไซน์และประสบการณ์

กลิ่นควันไฟและไม้หอมลอยเตะจมูกทันทีที่ก้าวพ้นขอบประตูเข้าไปในร้านสีดำสนิท เป็นสัญญาณบอกว่าเรากำลังก้าวเข้าสู่โลกอีกใบ

ตรงหน้าคือเคาน์เตอร์ที่มีเทียนหอมในถ้วยเหล็กสีเทาเข้มวางเรียงราย ซ้ายมือคือเครื่องพิมพ์ดีดและจดหมายจัดวางคล้ายเป็น installation art และลึกเข้าไปอีกคือมิติของงานออกแบบและการปรุงกลิ่นที่รอให้เราเข้าไปค้นพบ 

co

นี่คือประสบการณ์เบื้องต้นที่คุณจะได้รับจาก Copenn. แฟล็กชิปสโตร์ขนาด 1 คูหาย่านเจริญกรุงที่หลายคนนิยามแบบง่ายๆ ว่าเป็น ‘ร้านเครื่องหอม’ ตามสินค้าที่วางขายในร้าน เป็นต้นว่า เทียนหอม เตาอโรม่า กำยาน แฮนด์ครีม และอื่นๆ อีกมากมาย

แต่แท้จริงแล้วสินค้าเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประสบการณ์ปลายทาง ต้นทางที่แท้จริงของ Copenn. คืองานดีไซน์ ตามที่ผู้ก่อตั้งทั้ง 4 คนซึ่งประกอบด้วยอินทีเรียร์ดีไซเนอร์, กราฟิกดีไซเนอร์, โปรดักต์ดีไซเนอร์ และแฟชั่นดีไซเนอร์ตั้งใจเอาไว้ 

ดังนั้นหากจะเรียกขานให้ถูกต้อง Copenn. คือ design concept store หรือร้านค้าที่จะขายสินค้าใดก็ได้ ตราบใดที่ใช้งานดีไซน์เป็นตัวชูโรงเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า   

วันนี้ชายหนุ่มคนหนึ่งรอเราอยู่ที่นี่ และเขาพร้อมแล้วที่จะเล่าเรื่องการทำงานแบบ ‘นิชๆ’ (niche) ของ Copenn. ให้เราฟัง

‘นิช’ ตั้งแต่ตัวตนตั้งต้น

ย้อนกลับไปเมื่อกลางปี 2021 จู่ๆ ร้าน Copenn. ก็โด่งดังเป็นพลุแตกในโลกออนไลน์ แทบทุกเพจสายไลฟ์สไตล์ต่างกล่าวถึง จนกลายเป็นจุดเช็กอินแห่งใหม่ในย่านเจริญกรุงที่ฮิปขึ้นทุกวันๆ

คำว่า ‘จู่ๆ’ ในที่นี้คือมุมมองของคนนอกอย่างเราๆ ที่มองเข้าไป

เพราะสำหรับทั้งสี่ผู้ก่อตั้ง ไม่มีอะไรเกี่ยวกับ Copenn. ที่เป็นเรื่องบังเอิญหรือปุบปับ

ทุกรายละเอียดผ่านการคิดมาแล้วทั้งสิ้น โดยคิดบนพื้นฐานของการเป็น ‘แบรนด์นิช’ 

ความนิชอย่างแรกคือแบรนดิ้ง 

co

พวกเขาตั้งใจคราฟต์คาแร็กเตอร์ของแบรนด์ให้ชัดที่สุด ทุกจุดสัมผัสของแบรนด์ต้องบอกเล่าตัวตนของ Copenn. ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งร้านด้วยวัสดุที่ให้ความรู้สึกดิบเท่ หรือกระทั่งวิดีโอแนะนำสินค้าที่สไตล์จัดราวกับเป็นวิดีโออาร์ตชิ้นหนึ่ง ซึ่งทั้งหมดนี้พวกเขาพัฒนาขึ้นตามความชอบส่วนตัว ไม่ได้มีการศึกษาเทรนด์หรือทดลองตลาดเพื่อหาคาแร็กเตอร์แบรนด์ที่คนส่วนใหญ่จะชื่นชอบแบบที่แบรนด์ใหญ่ๆ มักจะทำ

ความนิชอย่างที่สองคือการพัฒนาสินค้า 

พวกเขาตั้งใจคราฟต์สินค้าทุกตัวแบบลงลึกถึงรายละเอียดเล็กๆ ไล่เรียงตั้งแต่กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ทั้ง 7 กลิ่นที่หาไม่ได้จากที่อื่น เทียนสูตรพิเศษที่ผ่านการลองผิดลองถูกมามากถึง 300 สูตร กล่องสินค้าที่ขอขึ้นแพตเทิร์นใหม่ด้วยตัวเอง ฝาแฮนด์ครีมทรงกลมซึ่งสั่งทำแม่พิมพ์ขึ้นมาใหม่ เตาอโรม่าสเตนเลสที่ต้องใช้ทักษะขั้นสูงในการประกอบ ไปจนถึงถ้วยเทียนหอมที่ตัดเป็นท่อนๆ มาจากท่อเหล็กที่ใช้ในการก่อสร้าง 

co

ชายหนุ่มนักออกแบบตกแต่งภายในผู้เป็นตัวแทนเพื่อนๆ ออกตัวว่า แม้จะตั้งใจคิดเป็นแบรนด์นิชตั้งแต่แรกเพราะทุกคนในทีมล้วนชอบและใช้แบรนด์นิชกันอยู่แล้ว แต่ส่วนหนึ่งพวกเขาก็มีข้อจำกัดให้ต้องนิช โดยข้อจำกัดนั้นจะเป็นอะไรไม่ได้นอกจากต้นทุนการผลิต

“ถ้าเราคิดจะทำตลาดแมส การผลิตมันต้องง่ายขึ้นเพื่อให้ต้นทุนทั้งหมดถูกลง แต่พอเราตั้งใจทำดีไซน์ให้ไม่เหมือนใคร เช่น การทำแม่พิมพ์สำหรับฝาแฮนด์ครีม หรือการเลือกใช้หลอดสเตนเลสอลูมิเนียมแทนพลาสติกธรรมดา เราก็เลยไม่สามารถควบคุมต้นทุนการผลิตให้เหมาะสมกับตลาดแมสได้ เราจึงต้องเซตตัวตนที่นิชขึ้นมา” เขาอธิบาย ก่อนยกตัวอย่างเรื่องต้นทุนการผลิตเพิ่มเติมผ่านการตัดสินใจใช้สเตนเลสผลิตเตาอโรม่า อีกหนึ่งสินค้าซิกเนเจอร์ของแบรนด์

“ในแง่การผลิตเราจะไม่ได้ให้เขาทำเนี้ยบมาก มีการโชว์รอยเชื่อม รอยขัด การเจียร เพราะเรามองว่าแบรนด์เราผสมความเป็นแฮนด์คราฟต์อยู่แล้ว ส่วนในแง่ต้นทุน เราคำนวณดูแล้วเราอาจไม่ได้กำไรเยอะมาก แต่เราได้สร้างคาแร็กเตอร์ของเราขึ้นมา กำไรอาจจะลดลง แต่คุณค่าของแบรนด์เพิ่มขึ้น เราก็ต้องยอมลงทุน ยอมสู้กับมัน 

“จริงๆ การเป็นแบรนด์เล็กก็มีข้อดี เราไม่จำเป็นต้องสต็อกของให้ครบทุกสาขาเป็นหมื่นชิ้น เรามีสาขาเดียว ถ้าของหมดก็จะมีเข้ามาในอีก 15-20 วัน ให้ลูกค้าจองไว้ก่อนได้ แล้วถ้าลูกค้าเห็นว่าราคามันไปได้กับสิ่งที่เขาได้มันก็โอเค ลูกค้าแฮปปี้ เราก็แฮปปี้”

‘นิช’ แต่เปิดกว้างและเข้าถึงง่าย

แม้จะนิช แต่ใช่ว่า Copenn. จะเย่อหยิ่งหรือเข้าถึงยาก พวกเขามีวิธีหลากหลายในการเชื้อเชิญให้ลูกค้าเข้ามาสัมผัสกับประสบการณ์เฉพาะตัว

วิธีแรกคือการเปิดตัวสินค้าเป็น chapter โดยธีมของ Chapter 1 คือ Term of Cultivation หรือ ‘ช่วงเวลาแห่งการเพาะปลูก’ ซึ่งบอกเล่าเรื่องกลิ่นที่เน้นไปทางดิน หญ้า และพืชผล

วิธีที่สองที่เกี่ยวเนื่องกันคือ พวกเขาตั้งใจว่า แม้ Copenn. จะมีสไตล์การเบลนด์กลิ่นเฉพาะตัวและจะไม่วางขายกลิ่นเดี่ยวๆ ที่ไม่ผ่านการเบลนด์ (เช่นว่า กลิ่นพีช กลิ่นกุหลาบ) แต่ใน chapter หนึ่งๆ ต้องมีทั้งกลิ่นที่ ‘เข้าใจยาก’ และกลิ่นที่ ‘เข้าใจง่าย’ 

“ตอนแรกเราคิดว่าความนิชจะเป็นเพนพอยต์ของเรา แต่จริงๆ แล้วเราสามารถแก้ไขมันได้ด้วยการปรุงกลิ่นที่เบาลง เข้าใจง่ายขึ้น เพื่อให้มีกลิ่นที่ทัชกับคนได้ง่ายอยู่ด้วย สมมติใน 7 กลิ่น มีสัก 3 กลิ่นก็ยังดี” ชายหนุ่มในเสื้อสีดำแจกแจง

ยกตัวอย่างกลิ่นขายดีอันดับหนึ่งของร้านอย่าง The Fog House ก็โดดเด่นด้วยหมู่มวลดอกไม้ที่เรารู้จักกันดีอย่าง Lily, Camomile, California Rose ก่อนลงท้ายอย่างหนักแน่นด้วย Patchouli หรือกลิ่น False Awakenings ก็เรียกความสดชื่นด้วย Menthol หรือมินต์ที่ซ่อนความหวานปนเขียวจาก Juniper Berry, Basil และ Geranium Bourbon ไว้อย่างลงตัว 

“เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วแบรนด์นิชอาจไม่ได้ต้องเข้าใจยากก็ได้ ความนิชคือมันผ่านการดีไซน์มาแล้ว มีความน่าสนใจ และมีรายละเอียดมากกว่า

“อีกอย่างคือเบสเราไม่ใช่ perfumer ด้วย เพราะศาสตร์มันค่อนข้างลึก เราเป็นแค่คนที่ปรุงกลิ่นตามความรู้สึกหรือสร้างสตอรีแล้วคนอื่นสัมผัสได้จริง แค่นั้นพอ” เขาสรุป

นอกจากนี้ ด้วยความที่ Copenn. ให้ความสำคัญกับงานดีไซน์และการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ จึงกลายเป็นว่ากลุ่มลูกค้าของพวกเขาไม่จำกัดอยู่แค่ในแวดวงคนรักเครื่องหอม แต่ยังเปิดกว้างสำหรับคนที่รักในการแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ และคนที่ชอบเสพงานดีไซน์ดีๆ อีกด้วย 

‘นิช’ ยันช่องทางการขาย

แม้จะเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เปิดตัวในช่วงวิกฤตโควิด-19 แต่ต้องบอกว่า Copenn. ฉกฉวยโอกาสจากวิกฤตนี้ได้เป็นอย่างดี

โอกาสข้อแรกคือการล็อกดาวน์และการเวิร์กฟรอมโฮม ทำให้ความนิยมใช้เครื่องหอมสำหรับบ้านพุ่งสูงขึ้นมาก ในช่วงเวลาเกือบสามปีที่ผ่านมา นอกจาก Copenn. แล้วก็มีเครื่องหอมแบรนด์ไทยถือกำเนิดขึ้นหลายสิบแบรนด์เลยทีเดียว

โอกาสข้อสองคือค่าเช่าที่ที่ถูกลง พอเหมาะพอเจาะกับความตั้งใจของผู้ร่วมก่อตั้งทุกคนว่าจะไม่เปิดตัวจนกว่าจะเก็บเงินพอเปิดหน้าร้านได้ เพราะพวกเขาอยากให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ครบทุกประสาทสัมผัส ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง และที่สำคัญคือ พวกเขาอยากวางตำแหน่งแห่งที่ของแบรนด์นิชอย่าง Copenn. ให้แตกต่างจากแบรนด์เครื่องหอมอื่นๆ ที่เปิดตัวในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งมักเป็นแบรนด์ออนไลน์เสียมากกว่า

นอกจากนี้ ชาว Copenn. ยังละเอียดลออในขั้นตอนการแนะนำกลิ่นให้กับลูกค้าหน้าร้านอย่างมาก ถามว่าละเอียดแค่ไหน ก็ต้องบอกว่าเหล่าผู้ก่อตั้งทั้งสี่นั้นแวะเวียนเข้ามาเฝ้าหน้าร้านด้วยตนเอง และทุกวันนี้ที่ยังชะลอการเปิดหน้าร้านสาขาที่สองออกไปก็เพราะยังหาสตาฟฟ์ที่ทำได้แบบพวกเขาและพร้อมเติบโตไปกับแบรนด์ไม่เจอนั่นเอง

ชายหนุ่มนักออกแบบบอกด้วยว่า เขาสนุกกับการเฝ้าร้านและพูดคุยกับลูกค้ามาก “มันเหมือนเราเป็นบาริสต้า เวลาคนมากินกาแฟก็จะถามว่ารสชาติเป็นยังไง หรือถามหารสชาติที่ชอบ ซิตรัส เปรี้ยว หวาน นัตตี้ การคุยกับลูกค้าเวลาดมกลิ่นก็เป็นแบบนี้เลย เราจะอธิบายความเป็นมาและบรรยากาศโดยรวม พยายามดึงกลิ่นนั้นให้ทัชกับลูกค้ามากที่สุด”

ในช่วงแรกที่เปิดตัว Copenn. ไม่วางขายออนไลน์เลย เพราะขัดกับความนิชของช่องทางการจัดจำหน่ายที่ตั้งใจเอาไว้ แต่เมื่อได้รับคำถามมากๆ เข้า พวกเขาก็คิดจะเปิดเว็บไซต์ของตัวเอง เพราะมองว่าสามารถยกประสบการณ์แบบ Copenn. ไปไว้บนเว็บไซต์ได้ผ่านการควบคุมอาร์ตไดเรกชั่นและแบรนดิ้ง แต่ด้วยเว็บไซต์ต้องใช้เวลาในการพัฒนาค่อนข้างนาน ระหว่างนี้พวกเขาจึงตัดสินใจเปิดร้านใน LINE SHOPPING ไปพลางๆ เพราะมองว่าแพลตฟอร์มนี้ยังตอบโจทย์เรื่องการคุมอาร์ตไดเรกชั่นและแบรนด์ดิ้งได้มากกว่ามาร์เก็ตเพลสอื่นๆ 

“ใน LINE คือคนกดเข้ามาในร้านเพื่อจะซื้อของร้านเราจริงๆ แต่ในมาร์เกตเพลสอื่นๆ มันเป็นการหยิบแบรนด์อื่นๆ มาเปรียบเทียบกัน แข่งกันที่ราคาบาทสองบาท แต่ไม่ได้ดูที่รายละเอียดความเป็นแบรนด์นั้นๆ เลย มาร์เก็ตเพลสแบบนั้นเลยไม่ใช่ที่ที่เราอยากจะเข้าไป” เขาว่า

co

‘นิช’ แต่เติบโตได้อีกมาก

นับตั้งแต่เข้าช่วงปี 2000 เป็นต้นมา แบรนด์นิชก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็นหมวดอาหารเครื่องดื่ม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย หรือเครื่องหอมเองก็ตาม อีกทั้งผู้บริโภคยังมีแนวโน้มที่จะเลือกซื้อแบรนด์ที่แตกต่าง แปลกใหม่ และเป็นภาพแทนคาแร็กเตอร์ของตัวเองหรือภาพแทนกลุ่มก้อนคอมมิวนิตี้ของตัวเองมากขึ้น 

อย่างในประเทศไทยเองก็มีกลุ่มคนรักน้ำหอมแบรนด์นิชมากขึ้นเรื่อยๆ แบรนด์อย่าง Le Labo, Diptyque, Byredo เริ่มกลายเป็นชื่อที่ใครๆ ต้องเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้าง ต่อให้จะเคยใช้หรือไม่ก็ตาม

แบรนด์ที่เรายกตัวอย่างมาล้วนเป็นแบรนด์นิชที่เติบโตได้ไกลในระดับโลกโดยไม่สูญเสียตัวตนไป ยกตัวอย่าง Le Labo แบรนด์น้ำหอมนิชที่เจาะตลาดด้วยการเปิดหน้าร้านของตัวเองเช่นกัน เพราะเน้นขายประสบการณ์การปรุงน้ำหอมสดๆ แบบขวดต่อขวดและการ personalize ฉลากบนขวดน้ำหอมให้เป็นของลูกค้าคนนั้นๆ โดยเฉพาะ ทุกวันนี้แม้ Le Labo จะถูกซื้อไปโดยเครือยักษ์ใหญ่อย่าง Estee Lauder แต่กลยุทธ์การขยายฐานลูกค้าก็ยังคงเดิม นั่นคือการเปิดแฟล็กชิปสโตร์ของแบรนด์ตามเมืองใหญ่ และการวางขายกลิ่นพิเศษเฉพาะบางสาขาเท่านั้น

ในทำนองเดียวกัน Copenn. ก็ตั้งใจแล้วว่าจะขยายสาขาโดยการเปิดแฟล็กชิปสโตร์แห่งใหม่ ซึ่งจะมีการออกแบบตกแต่งภายในใหม่ทั้งหมด ไม่ซ้ำเดิมกับสาขาแรกอย่างแน่นอน “เราตั้งใจว่าแต่ละสาขาจะไปสุดในแนวทางของมัน อาจจะเป็นเรื่องสเปซ สตอรีไลน์ หรือฟีเจอร์ในสาขานั้นๆ ก็ได้ แต่คาแร็กเตอร์ยังต้องเป็น Copenn. อยู่ มันเป็นความท้าทายที่เราอยากทำ” 

co

หลังจากเปิดร้านและได้รับผลตอบรับที่ดีมาเกือบหนึ่งปี ผู้ก่อตั้งทั้งสี่เคยปฏิเสธข้อเสนอจากฝ่ายจัดซื้อของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่มาแล้ว เพราะพวกเขามองว่าอยากเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า

“มองในแง่หนึ่ง (การเข้าห้าง) คงได้เรื่องภาพลักษณ์ แต่เราไม่อยากเป็นแบรนด์หนึ่งที่ถูกเลือกเข้าไปวางบนเชลฟ์ของสินค้าหมวดเดียวกัน ถ้าจะเข้าห้าง เราอยากเข้าไปเป็นร้านหนึ่งในห้างมากกว่า เรารอวันเป็นแบบนั้นมากกว่า 

“ส่วน selected shop ถ้าในหมวดเดียวกันมีแค่แบรนด์เรา เราก็จะอยากวางในพื้นที่แบบนั้นมากกว่า แต่จริงๆ ตอนนี้ก็มีคุยกับ selected shop ที่ไต้หวันอยู่ เราอยากเติบโตไปต่างประเทศเหมือนกัน เพราะที่นั่นเขาให้ความสำคัญกับงานดีไซน์กันอยู่แล้ว”

แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าระหว่างนี้พวกเขาจะไม่ทดลองวางขายในที่อื่นๆ เลย ยกตัวอย่างการเลือกวางขายกับ SELF ร้านกาแฟพิเศษในเชียงใหม่ซึ่งมีเมนูที่รังสรรค์มาจากผลไม้ที่หมักเองและไซรัปที่ปรุงเอง จึงลงตัวเข้ากันทั้งในแง่ของรสนิยมและความนิช

“มันเหมือนเรามีโพซิชั่นและคาแร็กเตอร์ที่เหมือนกัน” หนุ่มนักออกแบบให้เหตุผล 

ที่เล่ามานี้เป็นการเติบโตในแง่การขยายตลาดและการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า เราเลยลองถามถึงการเติบโตในแง่ตัวตนของแบรนด์ดูบ้าง

“เราอยากเป็นแบรนด์ที่ลื่นไหนไปกับคนและเทรนด์ แต่ยังคงคาแร็กเตอร์ของแบรนด์อยู่ ที่ชัดๆ เลยคือต้องไม่เหมือนใคร ต้องเป็นแบรนด์ที่ทำในสิ่งที่แบรนด์อื่นทำไม่ได้ ต่อให้เป็นรายละเอียดเล็กๆ ในแพ็กเกจจิ้งก็ตาม

“แล้วก็เราอยากทำงานร่วมกับแบรนด์อื่นๆ ในแง่ของศิลปะมากขึ้น จริงๆ ช่วงสิ้นปีที่แล้วเรามีแพลนจะคอลแล็บทำนิทรรศการกับสตูดิโอหนึ่ง แต่ติดโควิดก็เลยไม่ได้ทำ เรายังรอจังหวะที่จะทำอยู่

“และอีกพาร์ตที่เราอยากลองทำคือการออกแบบ amenity kit และเครื่องหอมต่างๆ ให้กับโรงแรม เพราะพวกเราเบสเป็นดีไซเนอร์กันอยู่แล้ว สามารถออกแบบให้ได้ทั้งหมด ทั้งกลิ่นและแพ็กเกจจิ้งต่างๆ ให้ตรงตาม coperate identity” 

co

ได้ยินแบบนี้แล้วก็อยากรอดู ดม ใช้สินค้าที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใครของ Copenn. ในนิทรรศการหรือโรงแรมสักแห่งเลยเนอะ 

แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ขอแอบกระซิบต่อว่าพวกเราจะได้พบกับ Chapter 2 ของ Copenn. เร็วๆ นี้ด้วยล่ะ!

20 หนังสือเล่มสำคัญในชีวิต 20 ผู้บริหารและคนในแวดวงธุรกิจ

หนึ่งในทุนสำคัญของชีวิตไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ ผู้บริหาร หรือแม้กระทั่งคนทำงาน คือความรู้ ความคิด ที่ตกผลึกจากการอ่าน

หนังสือบางเล่มอาจส่งต่อวิธีคิดในการบริหารธุรกิจ ในขณะที่หนังสือบางเล่มอาจเปลี่ยนมุมมองต่อการใช้ชีวิตมหาศาล

ในวาระงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติเวียนมาจัดอีกหน เราจึงถือโอกาสนี้สอบถาม 20 ผู้บริหารและผู้นำในธุรกิจ ว่าหนังสือเล่มใดมีอิทธิพลสำคัญในชีวิต และหนังสือเล่มนั้นส่งผลต่อวิธีคิดอย่างไร

แม้ผู้บริหารหรือผู้นำองค์กรแต่ละคนจะเวียนวนอยู่ในแวดวงธุรกิจ แต่รายชื่อหนังสือที่แต่ละคนเลือกไม่ได้มีแค่หนังสือในหมวดหมู่ธุรกิจเท่านั้น หากแต่ยังครอบคลุมไปยังหมวดอื่นๆ ด้วย 

อย่างที่บอก เราเชื่อว่าหนังสือคือเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งที่นำมาซึ่งทุนทางด้านความรู้ ความคิด และหนังสือเหล่านี้คือที่มาสำคัญของทุนเหล่านั้น

หนังสือ

กฤษณ์ สกุลพานิช 
บริษัท ดรีม เอกซ์เพรส (เดกซ์) จำกัด
หนังสือ : คู่มือมนุษย์
ผู้เขียน : พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)

“เราอ่านหนังสือธรรมมะเล่มนี้ซ้ำมากกว่า 5 รอบ ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา มีอิทธิพล ส่งผลต่อแนวทางการทำงานที่สุด

“หลังจากเรียนจบตอนอายุ 21 ปี ก่อนเริ่มทำงานเรามีโอกาสไปบวชที่วัดชลประทานฯ ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ครั้งแรก ไม่เข้าใจอะไรเลย เมื่อผ่านประสบการณ์ทำงาน ตามอายุที่เพิ่มขึ้น แต่ละรอบที่อ่านก็ได้สาระ ความเข้าใจมากขึ้นตามกาลเวลา จนถึงบัดนี้ ก็ยังมีความเชื่อว่า การอ่านในรอบถัดไป จะได้ข้อคิดอะไรเพิ่มเติม แปรผันตรงกับเวลาที่ผ่าน อายุงานที่เพิ่มขึ้น

“หนังสือเล่มนี้ทำให้เข้าใจตนเองมากขึ้น เข้าใจลูกค้า เพื่อนร่วมงาน และพนักงานของเรามากขึ้น ช่วยให้การบริหารงาน การติดต่อกับต่างประเทศราบรื่น ในยามที่ธุรกิจไปได้ดี เราก็ได้รับคำเตือนจากหนังสือไม่ให้หลงระเริงจนเกินไป  ในยามที่ธุรกิจประสบอุปสรรค คู่มือเล่มนี้ก็อธิบายสาเหตุแห่งอุปสรรคและทางแก้ไขได้เป็นอย่างดี”

หนังสือ

ณพกมล อัครพงศ์ไพศาล
ผู้ประกอบการ นักออกแบบ และเจ้าของ ละมุนละไม. คราฟท์สตูดิโอ
หนังสือ : The Little Book of Ikigai : อิคิไก ความหมายของการมีชีวิตอยู่ 
ผู้เขียน : Ken Mogi
ผู้แปล : วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ

“หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับปรัชญาของชาวญี่ปุ่นและการเดินทางแสวงหาคำตอบที่อยู่ไกลแสนไกลผ่านการตั้งคำถามว่าคนเราจะต้องมี ‘อิคิไก’ หรือ ‘เหตุผลของการมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่า’ ไหม และอิคิไกในชีวิตของเราหรือสิ่งที่ทำให้เราแค่อยากตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปทำมันคืออะไร

“เราพยายามหาคำตอบด้วยการทำงานอย่างต่อเนื่อง ทุกๆ วันที่ผ่านไปเรายังคงตั้งคำถามกับการงาน กับอาชีพของเรา เราตื่นเช้ามาทำงานที่มีคุณค่าอะไร มีประโยชน์ต่อโลกและต่อคนรอบข้างไหม แต่ในความจริงแล้วสิ่งที่เราชอบที่สุดในหนังสือเล่มนี้คือการได้รู้ว่างานที่สมบูรณ์แบบเหมือนแผนภาพในหนังสือมันไม่มีอยู่จริง ต่อให้เราได้ทำงานที่รักก็ต้องมีสักวันแหละที่เราเหนื่อย เครียด ท้อ ไม่มีความสุขกับงานขนาดนั้น หนังสือเล่มนี้ช่วยตอบคำถามบางอย่างในใจเรา ทำให้ได้พบความธรรมดาที่สุขสงบในชีวิตมากขึ้น และไม่สับสนเปรียบเทียบกับโลกภายนอกเหมือนก่อน

“ในหนังสือยังพูดถึงแนวคิดโคดาวาริซึ่งอธิบายเป็นภาษาอังกฤษได้ด้วยคำว่า commitment (คำมั่น) และ insistence (คำยืนยัน) โคดาวาริ หมายถึงมาตรฐานส่วนตัวที่ปัจเจกทุ่มเทอุทิศตนให้ มักจะใช้ในความหมายว่าเป็นระดับมืออาชีพที่คนคนหนึ่งยึดถือและมันแสดงออกถึงความภาคภูมิใจในสิ่งที่เขาทำ เราคิดว่าเป็นหนึ่งในทัศนคติที่นำไปสู่ความใส่ใจเป็นพิเศษกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเกี่ยวโยงและสำคัญต่อการทำธุรกิจของเรามากเพราะมันคือการเริ่มต้นเล็กๆ และลงมือทำไปทีละขั้นๆ สู่ก้าวที่เติบโตขึ้น และบางทีก็ต้องไม่ยอมประนีประนอมกับความฝันด้วยเหมือนกัน

“มุมที่สำคัญที่สุดของโคดาวาริคือผู้คนจะแสวงหาเป้าหมายของตัวเองที่อยู่เหนือกว่าและไกลกว่าความคาดหวังอย่างสมเหตุสมผลและความต้องการพื้นฐานของตลาด การผลิตสินค้าที่ ‘ก็ดีนะ’ ‘ก็พอได้แหละ’ มันทำให้เราประสบความสำเร็จได้ตามสมควรแต่เราไปถึงจุดนั้นแล้วเราก็จะยิ่งผลักดันคุณภาพให้สูงขึ้น ทะลุเพดานข้อจำกัดไปสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

“เราเชื่อว่าสิ่งนี้แหละคือเหตุผล คือจุดหมาย คือคุณค่าของเราที่ลูกค้าแต่ละคนพร้อมจะจ่ายเงินให้กับระดับคุณภาพหรือคุณค่าที่ไม่เคยคิดจินตนาการถึงมาก่อน”

หนังสือ

ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์
CEO & Co-Founder, Ookbee Company Limited
หนังสือ : Principles
นักเขียน : Ray Dalio

“ผู้เขียน Principles เป็นผู้ก่อตั้งกองทุน Bridgewater Associates หนึ่งในกองทุน hedge fund ที่ใหญ่ที่สุดในโลก  เนื้อหาเล่าประวัติส่วนตัวของผู้เขียนทำให้รู้ว่าเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง รวมไปถึงหลักการชีวิตและหลักการทำงาน

“เช่น การตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน ไม่ยึดติดกับดักความสำเร็จเดิมแล้วเริ่มลงมือปฏิบัติ หากล้มเหลวให้ระบุปัญหาและไม่ทนกับปัญหา อย่าสับสนระหว่างสาเหตุปัญหากับปัญหาที่แท้จริง จากนั้นวางแผนแก้ไข แล้วจึงลงมือแก้ไขปัญหา ขั้นตอนเหล่านี้ต้องดำเนินไปบนพื้นฐานของความจริง ความโปร่งใส และอ่อนน้อมถ่อมตน

“ส่วนตัวผมจดโน้ต ทำเป้าหมายด้านต่างๆ ของชีวิตอยู่แล้ว หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ก็ได้หลักคิดใหม่ๆ มาใช้มากมาย การมี Principles ในชีวิต (คล้ายๆ กับการมีอัลกอริทึมที่ดีในการเขียนโปรแกรม) จะช่วยให้คุณตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในการใช้ชีวิตและการทำงานได้ดีในทุกช่วงเวลา ผู้เขียนได้ย้ำว่าทุกคนมีหลักการชีวิตเป็นของตน ให้เริ่มสร้างหลักการชีวิตของตัวเองขึ้นมาและปรับปรุงเรื่อยๆ ตลอดไป”

หนังสือ

ดิฐ แจ้งศิริเจริญ
เจ้าของร้าน Walden Home Cafe
หนังสือ : The Story of the Modern Rebel
ผู้เขียน : วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์

The Story of the Modern Rebel เป็นหนังสือที่พูดถึงประวัติความเป็นมาของนิตยสาร a day เป็นเหมือนกึ่งๆ ชีวประวัติ เรื่องเล่า ปนบทความ บทสัมภาษณ์ของพี่โหน่ง วงศ์ทนง สำหรับเราเรื่องจุดกำเนิดหรือความเป็น a day นั้นน่าสนใจอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นสิ่งที่กินใจเราคือถ้อยคำจากพี่โหน่ง มันได้สร้างแรงบันดาลใจให้เราในฐานะวัยรุ่นคนหนึ่งให้ออกไปใช้ชีวิต ตามหาความฝัน ทำสิ่งที่รัก ซึ่งมาพูดทุกวันนี้เราอาจได้ยินกันจนเลี่ยนแล้วแหละ แต่ ณ ตอนนั้นเราอินกับมันสุดๆ เพราะเราเคยเป็นวัยรุ่นที่คล้ายเป็ดมาก ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองอยากทำอะไร ประกอบอาชีพอะไร และมันก็มีช่วงนึงที่ไม่มีความสุขเอาเสียเลย จนได้มาอ่านหนังสือเล่มนี้”

“นิตยสาร a day ในยุคนั้นมีอิทธิพลต่อความคิดเราประมาณหนึ่งอยู่แล้ว แต่หนังสือเล่มนี้มันเหมือนสรุปความให้เราเลยว่า ชีวิตเราควรจะต้องเอาไงต่อไป  ข้อคิด คำคมต่างๆ ที่มีอยู่ในเล่ม ทุกวันนี้ยังจำมันได้เกือบหมดเลยนะ ช่วงนั้นใช้มันเป็นเหมือนไบเบิลชีวิตเลย ฟังดูติ่งมั้ย แต่ยอมรับเลยว่าตอนนั้นติ่งมาก (หัวเราะ) และจริงๆ ก็ยังมีหนังสือหลายเล่มที่มีอิทธิพลต่อเราในแต่ละช่วงชีวิต แต่เล่มนี้เข้ามาในจังหวะที่ชีวิตเราต้องการความช่วยเหลือพอดี”

“หนังสือเล่มนี้มันไม่ใช่หนังสือฮาวทูหรือไลฟ์โค้ชนะ แต่สำหรับเรามันทำหน้าที่คล้ายๆ แบบนั้นเลย นอกจากคำพูดต่างๆ ที่สร้างแรงบันดาลใจให้เรามากๆ แล้วมันยังมีวิธีการ หลักคิด บทเรียน อะไรบางอย่างให้เราไปใช้ในชีวิต ซึ่งหลักๆ ก็เกี่ยวกับเรื่องของการค้นหาตัวเอง ทำตามความฝันประมาณนั้นนั่นเหละ หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบ เราเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีการมองโลกนี้ไปเลย มันจุดไฟให้เราในหลายๆ ด้าน จนเราค่อยๆ หาตัวเอง ลองผิดลองถูกจนได้มาทำงานในสายงานที่เราชอบต่อไปจนถึงปัจจุบันก็เพราะหนังสือเล่มนี้เลย”

หนังสือ

ธนพงษ์ จิราพาณิชกุล
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ TANACHIRA
หนังสือ : The Ride of a Lifetime 
ผู้เขียน : Robert Iger

The Ride of a Lifetime เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับชีวิตการทำงานตลอด 15 ปี ของ Robert Iger กับการเป็น CEO ที่ Walt Disney Company 

“หนังสือเล่มนี้ทำให้ผมเห็นถึงความชัดเจนในแผนกลยุทธ์ระยะยาวที่ Iger เชื่อ และเป็น 15 ปีแห่งการวางแผนการเจริญเติบโตของ Disney ที่ส่งผลสำคัญให้องค์กรมีความต่อเนื่องและยั่งยืน ยังไม่รวมไปถึงการขยายอาณาจักรของ Disney ผ่านการควบรวมต่างๆ อย่างน่าอัศจรรย์ อีกทั้งยังเห็นการผ่านช่วงที่ยากลำบากมาอย่างมีระบบ ทั้งหมดเป็นแรงบันดาลใจให้ผมสร้างกลุ่มบริษัท ธนจิรา ให้ก้าวหน้าและยั่งยืนต่อไป”

หนังสือ

ธนา เธียรอัจฉริยะ
ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันพัฒนาความคิดสร้างสรรค์เชิงธุรกิจ (ABC)
หนังสือ : หลายชีวิต
ผู้เขียน : ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช

“หนังสือเรื่อง หลายชีวิต เป็นหนังสือที่มีอิทธิพลต่อวิธีคิดและวิธีเขียนของผมมาก เป็นเรื่องสั้นของแต่ละชีวิตที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แต่งไว้ หลายชีวิตเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับคนหลากหลายเพศ วัย อาชีพ มาลงเรือลำเดียวกัน มีปลายทางเดียวกัน มีกรรมที่ต่างกันแต่ต้องมาจบชีวิตพร้อมกัน เดิมเป็นการท้าดวลระหว่างกลุ่มนักเขียนที่ได้แรงบันดาลใจจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่มีคนเสียชีวิตจำนวนมากว่าต่างคนต่างมีกรรมไม่เหมือนกัน แต่ทำไมถึงมาจบชีวิตเหมือนกัน แต่พออาจารย์คึกฤทธิ์เขียน ‘เจ้าลอย’ เป็นตอนแรก ทุกคนก็ยอมแพ้หมดจนอาจารย์ต้องเขียนต่อจนจบ

 “เจ้าลอย หลวงพ่อเสม พรรณี ละม่อม ท่านชายเล็ก ผล โนรี ลินจง จั่น ทองโปรย หมอแสง เป็นตัวละครที่โลดแล่นอยู่ในหนังสือ แต่ละบทแต่ละตอนมีความสนุก เหมือนตัวละครมีชีวิตจริงๆ รวมถึงข้อคิดที่ชวนให้เด็กๆ อย่างผมในตอนนั้นคิดถึงเรื่องกรรม เรื่องที่มาที่ไปของชีวิตในรูปแบบที่ต่างๆ กัน อย่างที่ไม่เคยมองในมุมต่างๆ แบบนั้นมาก่อน 

“ตอนที่อ่านสมัยเด็กๆ ก็อ่านด้วยความสนุกเพลิดเพลิน พอโตหน่อยก็ได้ตระหนักถึงชีวิตและชะตาของมนุษย์ ระยะหลังที่เริ่มเขียนหนังสือ พอมาอ่านอีกก็ได้ทั้งความลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ บวกกับอัจฉริยภาพของอาจารย์หม่อมด้านการเขียนที่เหมือนกับเข้าไป ‘นั่งอยู่ในใจคน’ เขียนคนไหนก็เหมือนเป็นคนนั้น และก็ได้แอบครูพักลักจำเอาวิธีการเล่าเรื่องและการเขียนในระดับสูงสุดคืนสู่สามัญมาแอบปรับใช้กับงานเขียนของตัวเองได้นิดๆ หน่อยๆ อีกด้วย 

“เวลาใครถามว่าอยากแนะนำหนังสือเล่มไหนผมจะนึกถึง หลายชีวิต เป็นเล่มแรกเสมอ”

หนังสือ

บุญคลี ปลั่งศิริ
ที่ปรึกษาอิสระ
หนังสือ : The Centerless Corporation : A New Model for Transforming Your Organization for Growth and Prosperity
ผู้เขียน : Bruce A. Pasternack และ Albert J. Viscio

The Centerless Corporation เป็นหนังสือที่พิมพ์ในปี 1998 พูดถึงเรื่องการปรับโครงสร้างองค์กร จากข้อมูลในหนังสือ บริษัทในอเมริกาช่วงปี 1980 โดยเฉพาะบริษัทที่เป็น global company มักจะมี headquarter หรือศูนย์กลางขององค์กรที่อุ้ยอ้ายและบริหารในเชิงของการควบคุม สั่งการ ทำให้ต้นทุนขององค์กรส่วนกลางสูงมากและขาดความคล่องตัวในการบริหารจัดการบริษัทลูกๆ หนังสือเล่มนี้จึงเสนอแนวคิดการปรับองค์กรให้ไร้ศูนย์กลาง ทำให้บทบาทของ headquater มีขนาดเล็ก และเปลี่ยนบทบาทจากการบริหารจัดการมาเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทในเครือ

“หนังสือเล่มนี้พูดถึงบทบาทสำคัญของศูนย์กลาง 2-3 เรื่อง เรื่องแรกคือเรื่องของคน เรื่องที่สองเป็นเรื่องความรู้ ซึ่งพัฒนาจากบิ๊กดาต้าเป็นข้อมูล และถูกนำมาวิเคราะห์เป็น knowledge ผมนำมาออกแบบรายงานเรียกว่า performance report ของบริษัทลูกๆ ให้บริษัทแม่นำ knowledge จากรีพอร์ตนี้ไปใช้ในการทำงานได้ และส่วนที่สามคือเรื่อง coherent หรือความสอดคล้องของวิธีทำงาน ของสไตล์ ของวัฒนธรรมองค์กรที่ไปด้วยกัน

“ผมได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็เลยเอามาใช้ปรับโครงสร้างบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นในช่วงปี 1999-2000 ทำให้บริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นเป็น holding company ที่มีขนาดเล็กลง

“ผมเชื่อว่าเมื่อเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ แนวคิดของหนังสือเล่มนี้จะยังปรับใช้กับปัจจุบันได้ เทียบกับวันนี้ผมว่าแนวคิดมันคล้าย blockchain technology มาก นั่นคือการกระจายอำนาจ การ distribute แบบไม่มีศูนย์ 

“เรื่องนี้ฝังลึกในใจของผมอยู่เสมอ ผมเชื่อในการกระจายศูนย์มากกว่ารวมศูนย์อยู่แล้ว พอผมเจอหนังสือเล่มนี้มันตอบโจทย์ว่าเราทำมากกว่าการกระจายศูนย์ได้นะ คือ centerless ทุกอย่างให้อยู่ในระนาบเดียวกันทั้งหมด ทุกคนต้องสร้างคุณค่าให้แก่กันและกัน บริษัทแม่เองต้องตอบคำถามให้ได้ว่าเราสามารถเพิ่มคุณค่าให้บริษัทลูกยังไงมากกว่าจะไปควบคุมบริษัทลูกยังไง”

หนังสือ

บุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านการสร้างโอกาสทางการตลาด กลุ่มธุรกิจอาหาร บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด
หนังสือ : The Infinite Game 
ผู้เขียน : Simon Sinek 

“หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยแนวคิดของการทำธุรกิจ  เป็นเหมือนการเล่นเกมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ต้องเล่นเพื่อชนะ แต่เล่นเพื่อให้อยู่ในเกมได้นานที่สุด เพื่อรับมือกับโลกปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา 

“เมื่อก่อนเราเป็นคนที่สู้เต็มที่ สู้หมดหน้าตัก ตายเป็นตายอะไรแบบนี้เลย แต่พอมาเจอ The Infinite Game มันพูดถึงการต่อสู้อีกแบบ ว่าด้วยมายด์เซตของการสู้แบบโลกใหม่ ไม่ได้สู้เพื่อชนะแต่สู้เพื่อยืนคนสุดท้ายในเกมนี้

“เรารู้สึกดีใจมากที่ได้รู้จักหนังสือเล่มนี้ก่อนโควิด ได้ถอดบทเรียนจากหนังสือเล่มนี้ไปเล่าให้ลูกน้องฟัง เรารู้สึกว่ามันน่าจะเป็นอาวุธอันนึงเลยนะที่ทำให้เรายังยืนอยู่ได้ท่ามกลางโควิดที่เต็มไปด้วยปัญหาแบบนี้”

หนังสือ

ปิยพัทธ์ ปฏิโภคสุทธิ์ 
Experience Designer & Partner, Glow Story
หนังสือ : Predictably Irrational 
ผู้เขียน : Dan Ariely
ผู้แปล : พูนลาภ อุทัยเลิศอรุณ

Predictably Irrational เล่าเรื่องพฤติกรรมของมนุษย์ที่ไม่มีเหตุผลแต่คาดเดาได้ผ่านการทดลองและเคสสนุกๆ แตะกลิ่นอายความรู้ของศาสตร์จิตวิทยาการรู้คิด (Cognitive Psychology) เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม (Behavioral Economics) และการตัดสินใจ (Decision-Making) และเมื่อเราเข้าใจว่าพฤติกรรมที่ไม่มีเหตุผลของมนุษย์มีความเป็นมายังไง เราก็สามารถใช้ความเข้าใจนั้นมาออกแบบพฤติกรรมมนุษย์ที่เราอยากให้เป็นได้

“คนเขียนคือ Dan Ariely เขาไม่ได้มาจากสายเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมโดยตรงแต่สอนด้านธุรกิจ เช่น เรื่อง bias decision-making หรือการตัดสินใจในการจัดการที่ส่วนใหญ่แล้วจะผิดพลาด ไม่ได้ตัดสินใจตามความเป็นจริงหรือ best interest ของภาพรวมแต่ถูก bias ด้วยอะไรบางอย่าง

“เคสที่เขายกตัวอย่างเยอะและสนุกมาก เช่น สมมติเราจะแจกของ ทำยังไงให้ของถูกแจกไวขึ้น หนังสือบอกว่าปกติเวลาแจกของเราจะบอกว่าหยิบไปได้เลย แต่สิ่งที่ทำให้แจกได้ไวขึ้นคือการใส่ราคาถูกๆ เช่น 1 บาท เพราะพอเป็นของฟรีจะมีคนที่รู้สึกเกรงใจที่จะได้ไป แต่ถ้าใส่ราคาที่ต่ำมากๆ เขาจะรู้สึกว่ามันถูกมากๆ เลย คุ้มค่าที่จะจ่ายและได้สิ่งนี้กลับมา มันไปอยู่ในกล่องความคิดอีกกล่อง

“หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มแรกที่เราอ่านเกี่ยวกับศาสตร์แบบนี้เลยทำให้ว้าวมากๆ เรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนแนวคิดเรื่องการออกแบบของตัวเองเลย เราโตมาจากสายงานออกแบบประสบการณ์ ออกแบบละครเวที ออกแบบคอนเสิร์ต และต่อยอดมาสู่สาย UX พอได้เจอสิ่งนี้เหมือนเรายิ่งอินเข้าไปใหญ่ ได้เปิดกะโหลก เอาความรู้มารวมกับสิ่งที่ทำอยู่ คือใช้ bias เทคนิคต่างๆ มาสร้างงานออกแบบ เริ่มต้นจากการคิดว่าอยากให้เขามีพฤติกรรมหรือมายด์เซตแบบไหนแล้วใช้งานออกแบบสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา

“นิยาม ‘งานออกแบบที่ดี’ ของเราจากสมัยก่อนที่หมายถึงงานสวย เท่ สื่อสารได้ ก็เปลี่ยนเป็นงานออกแบบที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมหรือวิธีคิดของคน นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในภาพใหญ่กลายเป็นแก่นของงานแคมเปญที่ Glow Story ทำทุกวันนี้”

หนังสือ

พิมสิริ ทองร่มโพธิ์ 
Marketing Director บริษัท เอส เอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
หนังสือ : ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ
ผู้เขียน : หนุ่มเมืองจันท์  

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ เป็นหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจรวมถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เล่าเรื่องยากให้เราเข้าใจ ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตเรา อย่างแรกเปลี่ยนให้เราได้อ่านหนังสือของหนุ่มเมืองจันท์ผู้ที่เราขอเรียกว่าพ่อตุ้ม เพราะให้แรงบันดาลใจ ให้โอกาส กับชีวิตเราเยอะมาก

“อย่างที่สองเปลี่ยนให้เราได้เริ่มฝึกเขียน และวิธีการเขียนของหนุ่มเมืองจันท์ ที่เขียนเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย คือแรงบันดาลใจของเรา ที่สำคัญมีพลังบวกอยู่ในตัวอักษรเสมอ

“อย่างที่สามเปลี่ยนให้เราได้มีโอกาสเป็นพิธีกรรายการฟาสต์ฟู้ดธุรกิจทางช่อง Workpoint กับหนุ่มเมืองจันท์ และได้มีโอกาสสัมภาษณ์ พูดคุย กับคนมากมาย ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ในชีวิต

“อย่างสุดท้ายเปลี่ยนให้เรามีมุมมองในการใช้ชีวิตและการทำงาน ที่กว้างขึ้น เพราะแต่ก่อนเราอาจรู้สึกว่าเคสเรายากแล้ว หนักแล้ว แต่จริงๆ มีเคสของคนอีกมากมายให้เราเรียนรู้ตลอด 

“สำหรับเรา ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ คือโอกาสที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องราวของคนหรือเคสธุรกิจ ผ่านตัวอักษรในเวอร์ชั่นที่อ่านง่าย สไตล์หนุ่มเมืองจันท์ ทุกวันนี้ ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ ก็ทำให้เราต้องเปลี่ยนการจัดชั้นวางหนังสือตลอด เพราะมีฟาสต์ฟู้ดธุรกิจเล่มใหม่มาให้อ่านตลอด”

เฟื่องลดา (สรานี สงวนเรือง)
CEO บริษัท ฟลอริช ดิจิทัล จำกัด
หนังสือ : Leadership and Self-Deception : วิธีพาตัวเองออกจากกล่องใบเล็ก 
ผู้เขียน : The Arbinger Institute
ผู้แปล : ตวงทอง สรประเสริฐ

เราเริ่มอ่านหนังสือเล่มนี้ตอนประมาณช่วงปี 2017 ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มทำบริษัท วิธีพาตัวเองออกจากกล่องใบเล็ก เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับการดูแลคน เพราะหลายครั้งมนุษย์ที่ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้น มีอำนาจมากขึ้น อยู่กับตัวเองมากไป ก็เลยอาจทำมองคนคนนึงตามตำแหน่ง และก็อาจลืมไปว่าทุกๆ คนก็มีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน มีความฝัน มีความหวัง มีความกลัวเหมือนกัน แต่จริงๆ ไม่ว่าตำแหน่งไหนก็มีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน”

บุษบา ดาวเรือง
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) 
หนังสือ : หนังสือเกมปริศนา

“เราไม่ค่อยได้เรียนรู้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันจากการอ่านหนังสือแต่ชอบเรียนรู้จากสิ่งรอบตัว จากการได้พูดคุยหรือทำงาน learning by doing สมัยวัยรุ่นเรามีโอกาสได้ทำงานกับ ดร.เทียม โชควัฒนา ซึ่งเป็นนายห้างสหพัฒน์ เราก็จดจำคำที่นายห้างสอนผ่านคุณไพบูลย์ (ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม) จนถึงทุกวันนี้ก็ไม่ลืม เช่น 4 คำง่ายๆ ‘เร็ว ช้า หนัก เบา’ ที่ยังใช้ได้ไม่มีที่สิ้นสุด ทุกวันนี้กับทุกปัญหาที่เจอเราจะคิดว่าเราจะจัดการมันด้วยสเตปไหน ควรเร็วหรือควรช้า ควรหนักหรือควรเบา 

“แม้กระทั่งเวลาทำงานคอนเสิร์ต คนดูก็เป็นตำราเรียนเล่มใหญ่ให้เราอ่าน อ่านว่าคนดูงานของเราแล้วรู้สึกยังไง ดูคอนเสิร์ตของเราแล้วรู้สึกยังไง ฟังเพลงของเราแล้วรู้สึกยังไง ฉะนั้นสิ่งที่เราได้เรียนรู้มันมาจากการทำงาน จากเพื่อนร่วมงาน หรือกระทั่งคนที่เป็นลูกน้องเรา

“หนังสือในดวงใจของเราจริงๆ คือปริศนาอักษรไขว้ เกมลับสมอง ซูโดกุ ที่มันอยู่กับตัวเราตลอดเวลา ไม่ว่าจะไปไหนถ้ามีเวลาว่างเราต้องเล่น ตั้งแต่ตอนเรียนที่ธรรมศาสตร์เขาจะมีหนังสือพิมพ์หลายๆ ฉบับวางไว้ให้นักศึกษาอ่าน เราจะมุ่งไปเอา Bangkok Post แล้วก็เปิดหน้าที่มี crossword ก่อน ถึงขั้นที่เราไปทำงานต่างจังหวัด เล่นจนหมดเล่มแล้วก็ต้องลบให้มันไม่มีรอยดินสอจะได้เล่นใหม่ หนักกว่านั้นเราต้องออกแบบเกมเอง แต่พอออกแบบเสร็จก็เพิ่งรู้ว่าไม่เวิร์กเพราะเรารู้คำตอบอยู่แล้ว เป็นเอามาก (หัวเราะ)

“แต่ก่อนที่บ้านของเราจะเต็มไปด้วยหนังสือแบบนี้วางเป็นตั้งๆ กระทั่งวันหนึ่งมันเริ่มเต็มบ้านลูกก็เลยโหลดแอพพลิเคชั่นเกมลับสมองไว้ให้ในไอแพด เรารู้สึกว่าข้อดีคือมันเป็นที่พักของเราเวลาที่ทำงานมาเหนื่อยๆ ส่วนที่น่าจะมีผลต่อการทำงานคือมันทำให้เราเป็นคนที่สนุกกับการคิดอยู่ตลอดเวลาเพราะงานของเราคือการคิด เกมเหล่านี้มันทำให้เราเอ็นจอยกับการได้คิดนู่นคิดนี่ คิดไม่หยุด ถ้ามันจะเพาะนิสัยสักอย่างขึ้นมาได้เราว่ามันคือการสนุกกับการคิดนี่แหละ”

มณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแห่ง Sea (ประเทศไทย)
หนังสือ : Only the Paranoid Survive
ผู้เขียน : Andrew Grove

Only the Paranoid Survive เป็นหนังสือเกี่ยวกับการเห็นความสำคัญของการปรับตัวให้ทันกับจังหวะการเปลี่ยนแปลงที่กะทันหันหรือจุดวิกฤตต่างๆ ที่เรียกว่าจุดหักเห (inflection point)

“หนังสือเล่มนี้ฝึกนิสัยให้เราเป็นคนตื่นตัวและช่างสังเกตกับเรื่องต่างๆ ทำให้เป็นคนสนใจรายละเอียด และคาดการณ์สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น พร้อมเตรียมตัวให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เสมอ”

ศุภจี สุธรรมพันธุ์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม ดุสิตธานี 
หนังสือ : Who Moved My Cheese? 
ผู้เขียน : Spencer Johnson

Who Moved My Cheese? ว่าด้วยเรื่องราวของสนิฟฟ์ สเคอร์รี่ หนูสองตัว กับเฮม และฮอว์ กับการตามหาชีส ซึ่งทั้ง 4 เปรียบเสมือนคาแร็กเตอร์ของคน 4 แบบด้วยกัน เป็นหนังสือที่ทำให้เราเข้าใจคาแร็กเตอร์ของคนแต่ละคน และทำให้เราเข้าใจว่ามันไม่มีอะไรที่หยุดนิ่ง เราต้องปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เอามาปรับใช้กับเรื่องการทำงานได้”

สโรจ เลาหศิริ
Head of Marketing Transformation and Marketing Strategy, Bluebik Group
หนังสือ : The 22 Immutable Laws of Marketing : 22 กฎเหล็กที่นักการตลาดปฏิเสธไม่ได้
ผู้เขียน : Al Ries, Jack Trout
ผู้แปล : วิษณุเทพ เทวัญ

“กฎของการตลาด 22 ข้อที่เป็นการตกผลึกมาแล้วของนักการตลาดชั้นครูสมัยก่อน อย่าง Al Ries และ Jack Trout ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฎของการเป็นผู้นำ กฎของการรับรู้ กฎของคำเฉพาะตัว กฎของการเผชิญหน้า เป็นต้น ทั้งหมดล้วนเป็นผลึกความคิดการตลาดที่อมตะ และกลับสู่แก่นของการตลาดจริงๆ ที่เป็นฐานที่แข็งแรงในการต่อยอดไปเรื่องอื่นๆ ที่ร่วมสมัยขึ้น

“หนังสือเล่มนี้พิมพ์มาตั้งแต่ปี 1993 และผมได้อ่านครั้งแรกตอนปี 2006 จนถึงปัจจุบันนี้ ทุกอย่างในเล่มนี้ยังใช้ได้อยู่และเป็นครูการตลาดคนแรกที่เชปวิธีคิดของผมให้มีพื้นฐานการตลาดที่แน่นมาจนถึงทุกวันนี้

“ถึงแม้ว่าหลายๆ เคสอาจจะต้องอัพเดตเพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนไปเยอะ แต่แก่นของกฎยังประยุกต์ได้ ถ้าจะซื้อแนะนำให้ซื้อฉบับล่าสุดจะทันยุคที่สุด”

สิทธิศักดิ์ เหลืองอมรเลิศ 
กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจสวนน้ำสวนสนุก บริษัทสยามพาร์คบางกอก จำกัด
หนังสือ : โคตรโกง
ผู้เขียน : หลิวยง 
ผู้แปล : ใบไผ่เขียว

โคตรโกง เป็นหนังสือแนวปรัชญาของจีน เล่าเรื่องและแสดงให้เห็นทั้งด้านบวกและลบจากมุมมองที่หลากหลายของแต่ละบุคคลในแต่ละสถานการณ์ที่เกิดขึ้น”

“ช่วงที่ผมเรียนมหาวิทยาลัยปี 1-2 และทำงานที่สวนสยามไปด้วย ได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วทำให้เกิดแนวคิดว่าจะทำอะไรต้องคิดให้รอบด้านทั้งด้านบวกและลบ  และต้องใช้มุมมองของบุคคลที่สามในการเข้ามาพิจารณาด้วย ผมนำมาใช้ทั้งกับตัวเองและทีมงาน ว่าก่อนที่จะสรุปและลงมือทำในเรื่องอะไรจะพยายามคิดในหลายๆ ด้าน และคิดเผื่อในหลายๆ สถานการณ์ และเมื่อทำงานกับทีม เวลาประชุมกัน หลายๆ ครั้งจะพบว่าเรายังคิดกันไม่รอบคอบ หรือ ติดอยู่กับแนวคิดที่เราตั้งธงไว้ บางครั้งผมถามจี้ไปในประเด็นที่พวกเขาหลงลืมหรือคิดไม่ถึง บางคนก็ไม่เข้าใจคิดว่าผมไม่ซื้อไอเดียเขา แต่จริงๆ แล้วผมต้องการให้เกิดความคิดที่รอบคอบมากขึ้น ผมนำสิ่งนี้มาย้ำเตือนตัวเองตลอดเวลาจนทุกวันนี้ โดยนำประสบการณ์ที่เพิ่มมากขึ้นมาช่วยกลั่นกรองด้วยอีกชั้นหนึ่ง”

สุนาถ ธนสารอักษร
CEO, Rabbit’s Tale
หนังสือ : คนพลิกแบรนด์ แบรนด์พลิกคน 
ผู้เขียน : ธนา เธียรอัจฉริยะ 

“เรื่องของ พี่โจ้–ธนา เธียรอัจฉริยะ ได้เล่าบทเรียนการสร้างสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ กับการปั้นแบรนด์ Happy ให้เกิดขึ้นและกลายเป็นแบรนด์โทรศัพท์มือถือแบบเติมเงินที่แข่งขันกับคนที่ตัวใหญ่กว่าได้อย่างฉลาด มีพลัง และมีหัวใจ

“สองสิ่งที่ได้จากหนังสือเล่มนี้คือ หนึ่ง–องค์กรเปลี่ยนแปลงได้ด้วยผู้นำ จากการเข้ามาของ ซิกเว่ เบรคเก้ และ วิชัย เบญจรงคกุล ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายใน dtac และพลิกฟื้นธุรกิจให้มีชีวิตอย่างมีกลยุทธ์ พร้อมเสริมกำลังใจในการต่อสู้ให้กับทีมงานทุกคนด้วยความเป็นมนุษย์

“สอง–การเป็นมวยรองก็สามารถเขย่าสังเวียนได้ ถ้ามีใจสู้และใช้ความคิดสร้างสรรค์ ในเวลานั้นบริษัทผมก็เป็นมวยรองเช่นกัน ทรัพยากรมีน้อยกว่าทุกด้าน แต่ถ้าเราสู้อย่างฉลาดและมีสปิริต ก็จะสามารถชกกับรุ่นใหญ่ได้ และหลายครั้งก็ชนะได้เสียด้วย ทุกครั้งที่ท้อถอย ผมจะกลับมาอ่านหนังสือเล่มนี้และได้รับพลังงานดีๆ ให้สู้ต่อได้เสมอ”

สุวภา เจริญยิ่ง
อุปนายกสมาคมนักวางแผนทางการเงินไทย
หนังสือ : เจ้าชายน้อย
ผู้เขียน : Antoine de Saint-Exupéry
ผู้แปล : อำพรรณ โอตระกูล

“หนังสือเล่มนี้มีวลีหนึ่งที่สั่นสะเทือนคือ ‘เราจะมองเห็นแจ่มชัดด้วยหัวใจเท่านั้น สิ่งสำคัญนั้นไม่อาจเห็นได้ด้วยดวงตา’ เป็นหนังสือที่อ่านในแต่ละช่วงชีวิตมันเหมือนเราได้เรียนรู้คนละเรื่อง เราอ่านเรื่องนี้ตั้งแต่สิบขวบ ตอนเด็กๆ อ่านก็เหมือนเป็นหนังสือมีรูปวาดน่ารักอยู่ในหนังสือ จำได้อย่างเดียวคือ รูปหมวกที่เป็นรูปงูเหลือมกินช้าง

เจ้าชายน้อย เป็นเรื่องราวของนักบินคนนึงซึ่งเครื่องบินไปตกในทะเลทราย ระหว่างแก้เครื่องบินก็ไปเจอเด็กผู้ชายคนนึงคือเจ้าชายน้อย เมื่อเติบโตขึ้นทุกเรื่องที่เราพบในชีวิตจริงมันถูกแฝงอยู่ในเรื่องที่เจ้าชายน้อยเดินทางไปตามดวงดาวต่างๆ

“นอกจากรูปจะสวยแล้ว มีสิ่งหนึ่งที่เราค้นพบคือ เรื่องนี้มันไร้กาลเวลา ไม่มีล้าสมัย และเป็นเรื่องที่กลับมาอ่านแต่ละช่วงอายุก็จับประเด็นที่แตกต่างอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่นเรื่องความสัมพันธ์ของคนสองคน ที่ทั้งต่างวัย ต่างกันทุกๆ อย่าง แต่กลับมีความรักและผูกพันผ่านการเล่าเรื่อง เป็นเรื่องที่ซาบซึ้งมาก 

“เราอ่านแล้วสะท้อนทุกเรื่องกับตัวเอง อย่างคนบางคนที่ทำแต่งานไม่ดูแลตัวเองเลย คนที่มุ่งแต่จุดไฟตลอดเวลาโดยไม่เคยถามว่าสิ่งที่เขาทำคนอื่นต้องการไหม เรื่องที่บอกว่า สิ่งสำคัญนั้นไม่อาจเห็นได้ด้วยดวงตา เรื่องมิตรภาพ เรื่องของความที่เราไม่ด่วนไปตัดสินคนอื่น ในเมื่อเราไม่ชอบให้คนตัดสินเรา เราก็ไม่ควรตัดสินคนอื่น แล้วก็มองสิ่งรอบตัวอย่างเข้าใจ

“เรื่องนึงที่ลึกซึ้งมากกับโลกและชีวิต คือบางทีมันไม่มีผิดไม่มีถูกนะ มันเป็นเรื่องของช่วงเวลาและเหตุผลของแต่ละคน ถ้าเรามองเรื่องนี้แบบเข้าใจเราก็จะเรียนรู้ที่จะเข้าใจคนอื่นได้ดียิ่งขึ้น”

อัจฉรา บุรารักษ์
ผู้ก่อตั้งบริษัท ไอเบอร์รี่ โฮมเมด จำกัด
หนังสือ : ความจริงไม่ได้มีหนึ่งเดียว
ผู้เขียน : นิ้วกลม

“หนังสือเล่มนี้ช่วยเปิดมุมมองให้เราเห็นหลายๆ perspective​ ทำให้เกิดความเข้าใจ​โลกในมุมที่หลากหลาย​ ไม่ด่วนตัดสิน​อะไรจากมุมมอง​เดิมๆ ที่เคยชิน มี empathy ต่อกันมากขึ้น

“การมองชีวิตได้หลากหลายมุมช่วยเรื่องความคิดสร้างสรรค์ การเห็นอกเห็นใจ และทำให้เข้าใจผู้อื่นมากขึ้น สื่อสารกับผู้คนได้ดีขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ช่วยเรื่องการทำงานของปลาได้ เรื่องธรรมดาๆ แต่เรากลับเห็นอะไรที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม”

อัจฉรา พัฒนาไพศาล
General manager, Shoes Republic  
หนังสือ : 生き方 (Ikikata) 
ผู้เขียน :  ​​อินาโมริ คาซุโอะ (Inamori kazuo)

“ถ้าใครติดตามการบริหารสไตล์ญี่ปุ่นมาบ้าง คงเคยได้ยินชื่อเสียงของท่าน Inamori kazuo หลายคนตั้งสมญาว่าท่านเป็น ‘เทพแห่งการบริหารที่ยังมีชีวิตอยู่’ ท่านคือผู้ก่อตั้งบริษัท Kyocera, KDDI และผู้พลิกฟื้นชีวิตให้กับสายการบิน JAL ในเวลาอันสั้น ปัจจุบันท่านอายุ 90 ปี ภายใต้แนวคิดหลักในการบริหารของท่านที่เล่าผ่านหนังสือ ทุกเล่มควรค่าแก่การอ่านมาก แต่ละเล่มจะลงรายละเอียดในแต่ละเรื่องต่างกันไป ที่อยากพูดถึงนั้นมี 2 เล่มค่ะ”

“เล่มแรกมีชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า 生き方 (Ikikata) หมายถึง วิถีแห่งการดำรงชีวิต เป็นหนังสือเล่มเริ่มต้นที่จะพาไปทำความเข้าใจกับแนวคิดของท่าน ชื่ออังกฤษก็คือ A Compass to Fulfillment ซึ่งก็เป็นเหมือนเข็มทิศสำหรับการทำงานและการใช้ชีวิตจริงๆ (ชื่อไทยคือ ‘ช้าให้ชนะ’ โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น) ส่วนอีกเล่มชื่อ 燃える闘魂 (Moeru Toukon) แปลตรงๆ ว่า วิญญาณนักสู้ที่ลุกโชน ชื่อไทยโดยสำนักพิมพ์สุขภาพใจชื่อว่า ‘ถอยก็ตาย วิกฤติยังไงก็ต้องสู้’ จริงๆ เล่มนี้ออกมาตั้งแต่ 2013 แต่คิดว่าก็ยังเหมาะกับสถานการณ์ยากลำบากในช่วงนี้ที่ผู้ประกอบการทุกคนต้องเจอ”

“อ่านชื่อหนังสือแล้วอาจจะนึกไปถึงการบริหารแบบเอาตัวรอดในยามวิกฤต แต่จริงๆ ทั้งสองเล่มนี้ เนื้อหาเกี่ยวเนื่องและคลาสสิกกว่านั้นมาก  และไม่ว่าจะเป็นช่วงวิกฤตหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่น่าจะประทับไว้ในใจ เพราะจุดใหญ่ใจความไม่ใช่แค่เรื่องการเอาตัวรอดสั้นๆ แต่อยู่ที่การบริหารอย่างไรที่ทำให้มันยั่งยืนยาวๆ มากกว่า นอกจากจะพูดถึงวิญญาณนักสู้แล้ว จิตวิญญาณแบบญี่ปุ่นก็มาเต็ม 

“นอกจากนี้เราประทับใจหลักการบริหารที่เหมือนจะซับซ้อน แต่ท่านกลับนำทางอย่างลึกซึ้งทว่าเรียบง่าย โดยเฉพาะปรัชญาการทำงานที่ท่านเน้นย้ำหลายรอบมากๆ ว่าเกณฑ์การตัดสินใจในการบริหารใดๆ ให้กลับมาตอบคำถามที่ว่า 人間として、正しく生きること ได้เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องในฐานะมนุษย์แล้วหรือยัง?”

“ในบางทีที่เราสับสนว่าจะตัดสินใจแบบไหนดี หรือความอยากได้อยากมีเอ่อล้น ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว และโหยหาความสำเร็จแบบชั่วพริบตา หนังสือของท่าน​​อินาโมริ คือตัวช่วยที่มากระตุกเตือนให้เราระลึกเสมอว่าความสำเร็จมีได้หลากหลายวิธี และมีหลากหลายนิยาม โดยเฉพาะความสำเร็จที่อาจจะไม่รวดเร็ว แต่ยั่งยืนและมีประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วย

“นอกจากจะใช้เป็นแนวทางการบริหารแล้วทั้ง 2 เล่มนี้ ยังหยิบมาอ่านเวลาเหนื่อย หมดไฟ ไฟตก เพราะอ่านแล้วไฟจะลุกโชนอีกเหมือนชื่อหนังสือเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้ผู้ประกอบการทุกๆ ท่าน ถ้ามีเวลาลองหยิบมาอ่านดู คิดว่าน่าจะได้อะไร ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งค่ะ”