Wisesight บริษัทที่เปลี่ยนเสียงบนโซเชียลฯ ให้กลายเป็นดาต้า จนเป็นธุรกิจที่อยู่มาได้กว่า 14 ปี

ย้อนกลับไปในปี 2007 ก่อนที่โซเชียลมีเดียเพิ่งเข้ามาในไทยและเป็นเรื่องใหม่สำหรับหลายคน ยังไม่มีใครเห็นภาพว่าสิ่งนี้จะสร้างเงินได้ยังไง จะเปลี่ยนชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนไปได้มากน้อยขนาดไหน หรือจะทำให้เกิดอาชีพใหม่ๆ มากขึ้นเพียงใด 

แต่ด้วยสายตาของโปรแกรมเมอร์ทำให้ กล้า ตั้งสุวรรณ และกลุ่มเพื่อนมองเห็นข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ถูกส่งต่อกันไปมาบนโซเชียลมีเดีย แม้ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วข้อมูลเหล่านั้นจะสามารถเอาไปทำอะไรต่อได้ แต่นั่นก็เป็นสัญญาณที่ทำให้พวกเขารู้สึกถึงโอกาสบางอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

นั่นจึงกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นที่ทำให้กล้าและเพื่อนๆ ประมวลผลของโอกาสที่ว่าออกมาเป็นบริษัทที่ใช้ชื่อว่า โธธ โซเชียล จำกัด ทำธุรกิจที่จะคอยเก็บดาต้า ที่เผยแพร่สาธารณะอยู่ในโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นความคิดเห็นหรือเทรนด์ที่เกิดในแต่ละช่วงเวลามาวิเคราะห์และส่งต่อดาต้าเหล่านั้นไปขายให้กับแบรนด์ต่างๆ เพื่อที่แบรนด์จะนำดาต้าไปพัฒนาเป็นกลยุทธ์ธุรกิจต่อไป 

จากโธธ โซเชียล พวกเขารีแบรนด์ใหม่ในปี 2018 พร้อมเปลี่ยนชื่อมาเป็น Wisesight บริษัทเทคโนโลยีสัญชาติไทยที่เป็นผู้เล่นเบอร์ต้นๆ ในสนามธุรกิจผู้ให้บริการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ดาต้าในบ้านเรา 

โดยรายได้ของ Wisesight มาจากการให้บริการข้อมูลในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำรีเสิร์ช, การมอนิเตอร์แบรนด์บนโซเชียลมีเดีย เช่นหากเกิดดราม่ากับแบรนด์ในช่องทางไหนก็จะแจ้งเตือนให้แบรนด์รู้และแก้ไขวิกฤตได้อย่างทันท่วงที, ให้คำปรึกษาเรื่องดาต้าหรือกับอีเวนต์ที่หลายคนอาจคุ้นชื่อกันเป็นอย่างดีอย่าง Thailand Zocial Award ก็เป็นงานที่จัดโดย Wisesight เช่นกัน 

วันนี้ Capital ชวน กล้า ตั้งสุวรรณ มาพูดคุยและประมวลผลกันถึงการทำธุรกิจด้านดาต้าว่าคนที่ทำอาชีพนี้ทำงานกันยังไง จะเป็น Data Analysis หรือ Data Scientist ได้ต้องมีสายตาหรือทักษะแบบไหน และอะไรคือความสนุกในการทำงานกับสิ่งที่หลายๆ คนมองว่าเป็นเรื่องน่าเบื่ออย่างดาต้า 

ตอนเริ่มทำธุรกิจยากไหม เพราะย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อนคนยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องดาต้า

ยากมาก (เน้นเสียง) ถึงวันนี้แม่ก็ยังไม่รู้เลยว่าลูกทำงานอะไรอยู่ รู้แต่ว่าโอเคลูกทำงานสุจริต ตรุษจีนมีเงินมาให้ ผมเคยบอกนะว่างานของผมคือเอาข้อมูลบนโซเชียลมีเดียมาวิเคราะห์ แล้วให้ผลวิเคราะห์นั้นกลับไปหาลูกค้า สิ่งที่แม่ตอบผมมาก็คือ ‘อือ’ 

เขาพยามทำความเข้าใจแหละ แต่สุดท้ายก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

แล้วกับลูกค้าล่ะ อธิบายยากไหม

กับลูกค้าในตอนแรกมันไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็มาทำบริษัทที่ให้บริการข้อมูลแบบนี้เลย มันเริ่มมาจากการทำดิจิทัลเอเจนซีก่อน เพราะเมื่อก่อนดาต้าจะเริ่มนำมาใช้กันในวงการเอเจนซี เอาดาต้าที่ได้มาวิเคราะห์แล้วค่อยเอามาทำเป็นแคมเปญให้กับลูกค้า 

ด้วยความที่พื้นฐานพวกผมเป็น Software Engineer ก็เลยไม่ค่อยถนัดเรื่องครีเอทีฟไอเดียกัน แล้วมันก็เลยมาถึงโมเมนต์ที่ลูกค้ารายใหญ่เดินมาบอกผมด้วยความสุภาพอย่างยิ่งว่า “คุณกล้าคะ พอดีเราอยากจะแยกงานนี้เป็น 2 พาร์ต พาร์ตแรกคือดาต้า พาร์ตสองคือครีเอทีฟไอเดีย ถ้าอยากจะขอเอาพาร์ตสองให้อีกเจ้าทำจะได้ไหม” เขาพูดเพราะกลัวเราจะเสียใจ แต่พอเราฟังปุ๊บคือโอเคเลย เพราะที่ผมทำเอเจนซีก็เพื่อพิสูจน์ว่าดาต้าที่ผมทำมันเวิร์ก แต่ถ้ามีคนเชื่ออยู่แล้วว่าดาต้ามันเวิร์ก ทีนี้เขาจะเอาไปทำอะไรต่อก็แล้วแต่เขาเลย 

นาทีนั้นก็ทำให้รู้ว่าตลาดเริ่มเปิดรับในเรื่องนี้แล้ว เพราะลูกค้าที่พูดกับผมเขาเป็นหนึ่งในองค์กรระดับประเทศที่ใช้งบดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งเยอะมาก เขาเป็นเหมือนเทรนด์เซตเตอร์ในวงการ ดังนั้นถ้าเขาเปลี่ยน ผู้เล่นรายอื่นๆ ที่อยู่ในตลาดก็มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนตามด้วย  

ธุรกิจที่ Wisesight ทำอยู่เรียกว่าอะไร

เรียกว่า Data Processing เราจะทำหน้าที่ไปเก็บข้อมูลจากเหล่า Data Provider ซึ่งในที่นี้ก็หมายถึงข้อมูลที่อยู่บนเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ยูทูบ หรือโซเชียลมีเดียต่างๆ เพื่อนำเอามาประมวลผลให้กับลูกค้า

การแข่งขันธุรกิจนี้ในไทยเป็นยังไง 

ทุกตลาดมีการแข่งขันอยู่แล้ว แล้วผมก็มองว่ามันเป็นเรื่องที่ดีด้วย เพราะเมื่อมีคู่แข่งก็จะทำให้เราพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วพอการแข่งขันจากผู้เล่นในประเทศมันเยอะ จึงทำให้ผู้เล่นจากต่างชาติยังตีเข้ามาในตลาดนี้ไม่ค่อยได้ ดังนั้น Data Processing ก็เลยยังเป็นธุรกิจเทคโนโลยีไม่กี่อย่างในบ้านเราที่ยังขับเคลื่อนด้วยผู้เล่นที่เป็นคนไทย 

ส่วนตัวผมเองก็มีชนะบ้าง แพ้บ้าง แต่ก็ไม่ได้โฟกัสการแข่งขันกับคนอื่นไปมากกว่าการทำให้ตัวเองเติบโตขึ้น เพราะผมเชื่อว่าส่วนใหญ่แล้วธุรกิจที่เจ๊งหรือไปไม่รอด ไม่ใช่ว่าเขาแพ้คู่แข่ง แต่เป็นเพราะปัญหาภายในที่เกิดขึ้นจากตัวเองมากกว่า 

ลูกค้าส่วนใหญ่ของ Wisesight อยู่ในอุตสาหกรรมไหน 

คือถ้าเดินไปในห้างที่เต็มไปด้วยแบรนด์และโลโก้ จิ้มโลโก้ไหนก็ได้ 1 ใน 3 คือลูกค้าของเราหมดเลย ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เลือกใช้เราจะเป็นแบรนด์ที่มีความใกล้ชิดกับผู้บริโภค เขาต้องการฟังเสียงของผู้บริโภคว่ารู้สึกยังไง เพราะเสียงของผู้บริโภคมีผลต่อธุรกิจของเขา ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ร้านอาหาร เสื้อผ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ธนาคาร รถยนต์ อสังหาฯ หรืออย่างสื่อก็ใช้เราเหมือนกัน เช่นละครมี 13 ตอนก็จบ แล้วในแต่ละตอนเขาจะโปรโมตยังไงเพื่อให้ตอนต่อไปมีคนดูเยอะขึ้น ก็มาใช้ดาต้าของเราไปเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ

หลายคนมองว่าดาต้าเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่ทำไมคุณถึงชอบมันจนทำให้กลายเป็นธุรกิจได้ 

ส่วนตัวผมไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องน่าเบื่อนะ เคยไหมเวลาที่ได้เข้าใจหรือได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้จนร้องอ๋อ! ซึ่งผมชอบโมเมนต์นั้นมาก เป็นโมเมนต์ที่จากคนไม่รู้กลายเป็นรู้ เพราะเวลาเราอธิบายสิ่งต่างๆ เรื่องเหล่านั้นก็มาจากดาต้านี่แหละ เพราะดาต้าเป็นหลักฐานของเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น 

เมื่อก่อนผมเคยทำงานอยู่ Reuters หลายคนคิดว่าเขาคือสำนักข่าว แต่เขามองว่าตัวเองเป็น Information Company เป็นบริษัทขายข้อมูล เพราะข่าวก็ถือเป็นดาต้าแล้วพอเรารู้ข้อมูลก็จะทำให้เราเข้าใจในสิ่งต่างๆ ที่เกิดมากขึ้น 

อย่างเช่นเวลาหุ้นตกถ้ามีข่าวก็จะทำให้รู้ว่าทำไมหุ้นถึงตก การค้าข่าวมันเลยมีค่า เขาก็เลยซื้อ-ขายข้อมูลกัน นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมปิ๊งไอเดียเป็นโมเดลธุรกิจด้วยว่า ถ้าโซเชียลมีเดียมันเชื่อมต่อคนเอาไว้แบบนี้ ข้างในมันมีข้อมูลเต็มไปหมดเลยนะ แล้วถ้าเราเอาข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ไปให้นักการตลาดเห็นว่าตอนนี้เทรนด์มันเปลี่ยนไปแบบนี้นะ ตอนนี้ผู้บริโภคคิดแบบนี้นะ มันก็เป็นโอกาสทางธุรกิจได้ 

เมื่อชอบโมเมนต์เวลาได้รู้ในสิ่งที่ไม่รู้ แถมความชอบนั้นยังสามารถทำเงินได้ด้วย เป็นสิ่งที่ทำเงินได้ด้วย ผมก็เลยเริ่มทำธุรกิจนี้ขึ้นมาเลย

ขยายความคำว่า ‘ดาต้าเป็นหลักฐานของเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น’ ให้เราฟังหน่อยได้ไหม 

เช่นถ้าพูดว่า TikTok ดังขึ้นไหม คำตอบคือดังขึ้น มีคนใช้เยอะขึ้นเรื่อยๆ นี่คือเรื่องราว แต่ถ้าอยากพิสูจน์ว่าเรื่องราวที่พูดนั้นจริงไหม ก็ต้องใช้ดาต้ามาพิสูจน์ว่า อ๋อ กราฟมันเป็นแบบนี้นะ จำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นแบบนี้นะ เพียงแต่เวลาพูดว่า ‘TikTok ดังขึ้นคนใช้เยอะขึ้น’ ผู้คนจะจำได้มากกว่าพูดว่า ‘จำนวนผู้ใช้งานเติบโต 20%’ อะไรแบบนี้เป็นต้น

เพราะสมองของคนเรามักจะจำอะไรที่เป็นเรื่องราวได้ง่ายกว่าข้อมูล การสื่อสารส่วนใหญ่เลยเล่าเป็นเรื่องราว แต่ถ้าต้องการพิสูจน์ว่าเรื่องราวเหล่านั้นจริงไหม ก็ค่อยเอาสถิติมาอ้างอิง หรือในทางกลับกันถ้าอยากสื่อสารให้สถิติกลายเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายขึ้น เราก็จะใช้กระบวนการที่มันเรียกว่า interpretation หรือการตีความจากข้อมูลให้ออกไปเป็นเรื่องราว 

แต่ก่อนเราอาจใช้กึ๋น ใช้ประสบการณ์ในการจะคาดเดาว่าสิ่งต่างๆ มันเวิร์กหรือไม่เวิร์ก แต่พอมีดาต้าเข้ามามันก็ทำให้เราเข้าใจเหตุที่เกิดขึ้นได้ด้วยเหมือนกัน เช่นแบรนด์เห็นดาต้าจากลูกค้า ก็จะทำให้แบรนด์เข้าใจลูกค้ามากขึ้น ได้รู้ว่าอ๋อ ทำไมลูกค้าคิดแบบนี้ ทำไมปัญหาต่างๆ มันถึงเกิดขึ้น และก็สามารถเอาดาต้าที่ได้ไปเป็นส่วนในการแก้ปัญหาได้

เทียบให้เห็นภาพง่ายๆ เหมือนกับคนสองคนทะเลาะกันอยู่ แต่มีอีกคนรับฟังและเข้าใจปัญหา ปัญหาก็จบละ ซึ่ง Wisesight คือตัวกลางในการเก็บและวิเคราะห์ดาต้าต่างๆ ของผู้คนมาให้แบรนด์ เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจกัน 

ณ ตอนนี้ Wisesight มีพนักงานกี่คน 

ประมาณ 200 คน 

คุณเป็น CEO ที่เอาดาต้ามาใช้ในการบริหารองค์กรมากน้อยแค่ไหน 

ถ้ามองในฐานะ CEO ผมน่าจะเป็น CEO มือใหม่มากๆ เพราะไม่มีประสบการณ์เลย คือถ้าไปสมัครงานเป็น CEO ที่ไหนคงไม่มีคนรับ เพียงแต่นี่เป็นบริษัทของเราเอง เราก็เลยต้องทุ่มเททุกอย่างที่มีลงไปในงาน ดังนั้นผมคงบอกไม่ได้ว่าเอาดาต้ามาใช้บริหารกี่เปอร์เซ็นต์ เพราะผมใช้ทุกอย่างที่มีไม่ว่าจะเป็นความรู้ คอนเนกชั่นที่สั่งสมมาทั้งหมด เพื่อทำให้มันออกมาดีที่สุด

แล้วการที่จะเป็น Data Analyst หรือ Data Scientist ในบริษัทคุณได้ จะต้องมีทักษะอะไรบ้าง 

ผมว่ามันควรจะมี 4 ทักษะหลักๆ ด้วยกัน อย่างแรกเลยคือทักษะการคำนวณด้านคณิตศาสตร์ อย่างที่สองคือการเขียนโปรแกรมที่จะใช้ในการประมวลข้อมูลที่มหาศาลเหล่านี้ได้ อย่างที่สามคือ พอเก็บดาต้า คำนวณได้ ก็ต้องสื่อสารได้ด้วย ว่าดาต้าที่ได้มามันหมายถึงอะไร ส่วนอย่างสุดท้ายคือต้องมีความเข้าใจในสิ่งที่ทำ เช่นสมมติจะให้ผมไปวิเคราะห์เรื่องของสีลิปสติกผมก็คงทำไม่ได้ ต่อให้ผมมี 3 สกิลแรก แต่ถ้าผมไม่เข้าใจว่าสีแดงนี้กับอีกแดงมันต่างกันยังไง สีนู้ดกับสีแมตช์มันไม่เหมือนกันตรงไหน มันก็คงไม่ได้ 

อาชีพ Data Scientist กับ Data Analyst ณ วันนี้เป็นที่ต้องการของตลาดมากน้อยแค่ไหน

มาก (เน้นเสียง) เพราะหลายธุรกิจเริ่มมีความเข้าใจเกี่ยวกับการเอาดาต้ามาปรับใช้กันแล้ว ซึ่งเขาต้องการคนที่มีความสามารถในการประมวลดาต้าเพื่อให้เกิดความเข้าใจในข้อมูลที่มีเยอะ แล้วนำเอาไปทำประโยชน์ต่อได้

แล้วเราไม่ได้เป็นบริษัทเงินถุงเงินถังที่จะจ้างคนในราคาที่สูงกว่าตลาด 4-5 เท่าเพื่อเอา best of the best มาอยู่กับเราให้ได้ เราเลยมีโมเดลที่จะสอนน้องใหม่ขึ้นมา เพื่อหวังว่าจะมีน้องที่เก่งและมีแพสชั่นเกี่ยวกับเรื่องนี้อยากมาทำงานกับเรา แล้วเราก็จะเป็นคนกรูมให้เขาเป็น Data Analyst หรือเป็น Data Scientist ที่เก่งขึ้น 

เมื่อยังไม่ค่อยมีมหาวิทยาลัยในไทยสอนเรื่องนี้โดยตรง แล้วคนที่มาทำงานกับคุณส่วนใหญ่จบมาจากด้านไหน 

จริงๆ ก็หลากหลายเลยแต่หลักๆ ก็คือ Computer Science อันนี้คือชัดเจนอยู่แล้ว แล้วก็มีเศรษฐศาสตร์ที่น้องเขาจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถิติต่างๆ จากคณะอักษรฯ ก็มีเพราะเด็กกลุ่มนี้สามารถใช้ทักษะการอ่านมาจับใจความแล้วสื่อสารออกไปได้ นิเทศฯ ก็มี คือมีหลากหลายเลยแหละ 

เวลาเข้ามาเราก็จะมาสอนเขาอีกที เลยไม่แปลกว่าทำไมที่ Wisesight มีเด็กที่จบจากเศรษฐศาสตร์หรืออักษรฯ ที่สามารถเขียนโปรแกรมได้ 

มองอนาคตของ Wisesight ไว้ยังไง 

เราอยากเป็นเทคฯ สตาร์ทอัพรายแรกๆ ที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ ซึ่งผมว่ามันจะเป็นอะไรที่จบลูปสตาร์ทอัพในบ้านเราที่แท้จริง เพราะการจะเอาหุ้นไปเสนอขายในตลาดหลักทรัพย์ได้อย่างหนึ่งมันต้องผ่านการตรวจสอบที่เข้มข้นของ กลต. ว่าเราเป็นบริษัทที่มีธรรมาภิบาลที่ดี มีการทำบัญชีที่ดี มีทุกอย่างที่ดีทั้งหมด มีการเติบโตที่ดี และมีสตอรีที่ทำให้นักลงทุนมาลงได้ เหมือนอย่างสตาร์ทอัพทั้งหลายในซิลิคอนวัลเลย์ ไม่ว่าจะเป็นกูเกิลหรือเฟซบุ๊กที่เขาแข็งแรงจนสามารถเอาหุ้นเข้าไปเทรดในตลาดได้

นอกจากรายได้ การทำงานในสายดาต้าให้อะไรกับคุณ 

การทำงานสายดาต้ามันทำให้เราฟังอย่างมีสติมากขึ้น จากการที่เราเห็นข้อมูลมาเยอะมากๆ ทำให้รู้ว่าข้อมูลที่เห็นอยู่บนมือถือถึงแม้มันจะเยอะ แต่มันเป็นแค่เสี้ยวเดียวของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด

อย่างน้องๆ ทีมงานของผมเองที่ในวันนึงต้องอ่านดาต้าต่างๆ เพื่อเอามันมา analyze แต่จะเป็นการอ่านเพื่อทำงาน แต่ maximum ในการอ่านวันนึงก็ไม่เกิน 1,000 คอนเทนต์ 

ขณะที่ Wisesight เก็บข้อมูลที่คนไทยพูดกันในวันวันหนึ่งอยู่ที่ประมาณ 20 ล้านคอนเทนต์ต่อวัน แสดงว่าสิ่งที่เราได้อ่าน แม้จะเห็นว่ามันเยอะแล้ว แต่มันเป็นแค่เสี้ยวเดียวของสังคมที่กว้างใหญ่นี้นะ 

เพราะฉะนั้นผมก็เลยอ่านทุกอย่างในโซเชียลฯ ด้วยสติมากๆ เพราะอัลกอริทึมมันไม่ได้ถูกเขียนตามหลักนิเทศศาสตร์หรือสื่อสารมวลชนที่บอกว่า What, Where, When, Why, Who, How และไม่ได้ให้ข้อมูลที่แฟร์กับเราเสมอไป แต่มันจะโชว์สิ่งที่คิดว่าจะเกี่ยวข้องกับเรา เป็นเรื่องที่เราชอบ แล้วก็จะเกี่ยวโยงไปถึงเรื่องของโฆษณา

ในวันที่ดาต้าออกมาสวนทางกับความคิด คุณเลือกเชื่อตัวเองหรือดาต้า

เอาจริงๆ ผมเชื่อตัวเองมาตลอด เพราะดาต้าไม่สามารถตัดสินใจแทนเราได้ การตัดสินใจมันเป็นขั้นตอนที่ขึ้นอยู่กับเรา เราไม่สามารถไปโบ้ยได้ว่าก็เพราะดาต้ามันเป็นแบบนี้เลยทำให้เราตัดสินใจผิด ดาต้าเป็นแค่หนึ่งในองค์ประกอบที่ช่วยเราตัดสินใจ แต่สุดท้ายจะเลือกทางไหน นั่นขึ้นอยู่กับเราเอง 

เพราะถ้าให้ดาต้าเป็นตัวชี้นำ เราก็เหมือนเป็นอัลกอริทึม ซึ่งบางครั้งมารยาท จรรยาบรรณ และเรื่องอะไรต่างๆ อีกมากมายดาต้าก็ไม่สามารถบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ได้

ถ้าอยากทำสิ่งที่ชอบเป็นงานไปได้นานๆ เราจะมีวิธีอยู่กับมันยังไง

EP02 

let’s start making with your heart then your hand will do all the rest 

การค้นหาและเจอความสนุกในงานที่ทำ จะยึดเหนี่ยวเราไว้

เมื่อก่อนกาแฟสำหรับผมเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเพียงเเค่เครื่องดื่มที่ดับความง่วง ขณะที่ใครหลายๆ คนคงมีร้านกาแฟไว้เพื่อหาที่นั่ง หาที่เขียนหนังสือ หาที่พักผ่อนเงียบๆ ไม่ต้องคุยกับใคร ผมก็เป็นหนึ่งในคนประเภทนั้น และบางครั้งมันอาจจะเป็นหมุดหมายเป็นสถานที่ที่ปักหมุดไว้เวลาไปเที่ยวต่างประเทศ 

เมื่อ 8-9 ปีก่อน ร้านกาแฟที่นำเสนอกาแฟที่เรียกว่า specialty coffee ยังมีให้เลือกดื่มไม่มากร้านนักในประเทศ ซึ่งผมมักจะไปร้านกาแฟลักษณะนี้เพื่อนั่งเงียบๆ พักผ่อน ไม่ได้มีความคิดว่าชอบดื่มกาแฟจนอยากจะทำเป็นอาชีพ แต่แล้วความสนใจในกาแฟนั้นก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากการได้ดื่ม และการไปร้านต่างๆ มากจนกระทั่งเกิดเป็นความชอบ

เริ่มจากการชอบดื่ม จากนั้นก็เริ่มมาชง และอุปกรณ์ต่างๆ นานาก็เพิ่มเข้ามาทั้งกา เครื่องบด ตาชั่ง…ลองชงไปเรื่อยๆ จนมีความคิดว่าอยากเปิดร้าน อยากเอาสิ่งที่ชอบสิ่งใหม่นี้มาทำเป็นอาชีพ ทำให้ไม่ว่ามีคอร์สอะไรก็จะไปลงเรียนเมื่อมีโอกาส หมกหมุ่นกับมันในระยะเวลาหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเปิดร้าน เเละเมื่อเริ่มทำร้านไปได้สักระยะแล้ว หากมีเวลาก็จะพยายามไปงานกาแฟที่จัดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ 

หนึ่งในงานที่ได้ไปและรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษคืองานที่เรียกว่า Nordic Roaster Forum งานนี้ปกติจะจัดขึ้นที่เมืองออสโล ประเทศนอร์เวย์ เป็นงานที่รวมโรงคั่วแถบสแกนดิเนเวียมารวมตัวกัน และยังเปิดโอกาสให้โรงคั่วจากประเทศอื่นๆ เข้าร่วมด้วย 

งาน
งาน

ในงานก็จะมีการแข่งขัน ซึ่งแต่ละโรงคั่วก็จะส่งกาแฟที่ตัวเองคั่วตามโจทย์ที่ได้รับในแต่ละปีมาแข่งกัน โดยวิธีการตัดสินก็คือจะให้คนที่มาร่วมงานทุกคนมาคัปปิ้ง (การชิมและประเมินคุณภาพกาแฟ เป็นวิธีที่นิยมทำเมื่อต้องการประเมินคุณภาพของกาแฟหลายๆ ตัวพร้อมกันในคราวเดียว) และให้คะแนน ใครได้คะแนนสูงสุด โรงคั่วนั้นก็จะได้แชมป์ไปในแต่ละปี รวมถึงมีการพูดคุยในเชิงให้ความรู้ในด้านต่างๆ ในเรื่องของกาแฟ สนุกและมีประโยชน์มากทีเดียว ซึ่งโรงคั่วส่วนใหญ่ที่มาร่วมงานนั้นมีอายุกิจการโดยเฉลี่ยก็ประมาณ 10 ปีขึ้นไป 

การทำธุรกิจที่เริ่มต้นจากความชอบเกิน 10 ปี มันคงเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง…

หลายคนคงเคยได้ยินคำเตือนว่าอย่าเอาสิ่งที่ชอบหรือทำแล้วรู้สึกสนุกมาทำเป็นงานประจำ เพราะเมื่อเวลาผ่านไปคุณอาจจะชอบมันน้อยลง 

ผมก็ถามคำถามนี้กับตัวเองเหมือนกันว่า ถ้าเราเอาความชอบหรือความสนุกมาทำเป็นงาน จะทำให้ความชอบนั้นลดน้อยลงจริงไหม และเราจะเบื่อมันไหม ถ้าเราต้องยึดทำสิ่งนี้เป็นอาชีพไปเป็นเวลา 10-20 ปี 

จากคนที่เติบโตมากับการที่คุณเเม่ทำอาชีพอาชีพหนึ่ง เป็นระยะเวลาเกิน 20 ปี แม่ของผมเปิดร้านขายกระเป๋าหนัง มีลูกค้าค่อนข้างหลากหลายและลูกค้าหลักคือนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ตอนนั้นผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่กับการทำงานงานหนึ่งเป็นระยะเวลานานๆ แต่สิ่งที่ผมสังเกตได้จากการทำงานนั้นของแม่ คือความอดทนและความพยายามในการขับเคลื่อนการงาน และการแก้ไขปัญหา นอกจากนั้นยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นสิ่งสำคัญ นั่นคือ การพบสิ่งยึดเหนี่ยวในเนื้องานนั้น 

คุณแม่ของผมชอบพูดคุยกับลูกค้าและมักจะได้พบเพื่อนใหม่จากการทำงานนี้ ซึ่งการพูดคุยนั้นไม่ใช่เพียงเเค่การซื้อ-ขายกระเป๋าแล้วจากไป ผมพบว่าความสนุกที่เกิดขึ้นระหว่างงานงานนั้นของแม่มีคุณค่าและทำให้แม่ไม่ยอมเลิกทำมัน นอกเหนือไปจากเรื่องของผลประกอบการและกำไรที่ได้จากการขาย

นั่นทำให้ผมเรียนรู้ว่าการมีอาชีพหรือการทำธุรกิจในระยะเวลานานๆ การที่เราพบกับสิ่งยึดเหนี่ยวในเนื้องานนั้นมันมีความหมาย เป็นเหมือนจุดที่ทำให้เรายังมีความสนุกไปกับธุรกิจในทุกๆ วัน

แต่สำหรับผมดูเหมือนว่าสิ่งที่ยึดเหนี่ยวนั้นช่างมีความแตกต่างจากของแม่โดยสิ้นเชิง การได้เจอผู้คนและพูดคุยอาจจะไม่ใช่สิ่งยึดเหนี่ยวอันดับต้นๆ เพราะสำหรับผมการได้ชงกาแฟแล้วยังมีความรู้สึกสนุกกับมันอยู่ คือสิ่งสิ่งนั้น

การได้ชงกาแฟให้คนอื่นดื่มมันสนุกตรงที่เราจะได้สังเกตรีแอ็กชั่นของเขาตอนดื่ม อาจจะมีบ้างในเชิงลบ และจะดีมากๆ เวลาคนดื่มชื่นชมในสิ่งที่เราทำ ผมว่าเรื่องนี้ใครๆ ก็คงรู้สึกดีเวลามีคนชื่นชมในสิ่งที่เราทำ เหมือนผู้กำกับทำหนังแล้วคนดูชื่นชมติดตาม เหมือนเชฟที่ทำอาหารแล้วคนชมว่าอร่อย เหมือนนักเขียนที่ไม่ว่าจะเขียนหนังสือกี่เล่มคนก็ยังตามอ่าน เหมือนนักฟุตบอลที่เล่นดีแล้วมีแฟนบอลรัก

ฟีดแบ็กจากคนดื่มจะดีหรือไม่ดีก็ได้ แต่ถ้ามันมีผลต่อการพัฒนาและสร้างสรรค์ มันจะมีความสำคัญกับคนทำ ซึ่งต่างจากเวลาเราชงกินเองที่บ้าน ที่ถ้าไม่อร่อยเราก็แค่ปรับกาแฟตามปัจจัยต่างๆ แล้วเริ่มชงใหม่

หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าจะเปิดร้าน ผมก็ลองนั่งทำเช็กลิสต์สิ่งที่อยากทำให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการมีหน้าร้าน การพัฒนาตัวเองให้มีความรู้หรือทักษะที่ดีขึ้น ไล่เรียงไปถึงการทำโรงคั่ว เมื่อได้ลิสต์สิ่งที่อยากทำ เราก็จะได้เป้าหมายที่เราต้องการแล้วก็ลงมือทำมันไปเรื่อยๆ มันอาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จไปหมดในทุกเป้าหมาย แต่ความไม่สำเร็จเป็นรากฐานให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น เช่นเดียวกับตัวธุรกิจเอง

แน่นอนว่าไม่ว่าอาชีพไหนก็มักเจอบททดสอบให้ล้มเลิกความตั้งใจในการทำงานใดๆ อยู่เสมอ ไม่ต่างจากทีมฟุตบอลที่เคยประสบความสำเร็จ หรือนักฟุตบอลที่เคยได้เเชมป์มามากมาย แต่ก็ยังต้องเจอกับช่วงเวลาที่ไม่เป็นใจ เพราะทุกๆ คนคือมนุษย์ที่สร้างได้ทั้งความสำเร็จและความผิดพลาด

แต่สุดท้ายแล้วหากเราลองมองย้อนกลับที่เช็กลิสต์ที่เราเคยวาดหวังไว้ แล้วยังรู้สึกว่ามันจะเกิดขึ้นและมีคุณค่า สิ่งนั้นคงเป็นตัวขับเคลื่อนให้เราไม่หยุดและล้มเลิก

หากงานที่ผมกำลังทำอยู่นี้จะบอกอะไรกับคนอื่นๆ ได้บ้าง ผมก็คงจะบอกว่าสิ่งสิ่งนี้คือ ผลงานของการลงมือทำในสิ่งที่ชอบ

และหากในวันใดที่ผมไม่สนุกกับการชงกาแฟและคั่วกาแฟแล้ว ผมก็คงจะเลิกทำธุรกิจนี้หรือขายต่อให้คนอื่น ในวันที่สิ่งยึดเหนี่ยวนี้ไม่มีอะไรให้ชอบอีกต่อไป

คุยกับผู้บริหาร ‘เต่าบิน’ ตู้อัตโนมัติที่ชงเครื่องดื่มได้กว่า 170 เมนู จนเป็นตู้ที่หลายคนหลงรัก

เต่าบิน ‘เต่าบิน’ คือธุรกิจตู้ชงเครื่องดื่มอัตโนมัติชื่อดัง หรือถ้าจะเรียกว่าเต่าบินเป็นคาเฟ่ขนาด 1×1 ตารางเมตร ก็ไม่เกินความจริงเลย เพราะอัดแน่นไปด้วยกว่า 170 เมนู มีตั้งแต่ น้ำมะนาวโซดา ชา กาแฟ โปรตีนเชค และสารพัดเมนูร้อนเย็นปั่น

ลักษณะของเต่าบินที่พบเห็นทั่วไป ไม่ใช่ตู้เหล็กสีขาวหน้าตาเป็นมิตร แต่เป็นหาง

เพราะไปที่ไหนเราก็จะเห็นหางแถวต่อคิวตู้เต่าบินก่อนจะเห็นว่าตู้จริงๆ อยู่ตรงไหน

ความสำเร็จของเต่าบินไม่ได้เกิดขึ้นเพียงช่วงข้ามคืน แต่มาจากการคิดนอกกรอบ ผสมกับความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของคนมากมายที่อยู่เบื้องหลังตู้เต่าบินนี้

สิ่งที่น่าสนใจคือ เต่าบินไม่ได้บอกว่าตัวเองกำลังทำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม แต่กำลังทำธุรกิจเทคโนโลยี ซึ่งเมื่อรู้ว่าตู้เต่าบินนี้พัฒนาเทคโนโลยีด้วยคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็อดภูมิใจไปด้วยไม่ได้ และหลายคนก็อาจจะรู้ว่า เต่าบินนั้นมีบริษัทแม่เดียวกับ ‘บุญเติม’ ตู้เติมเงินออนไลน์อัตโนมัติ ซึ่งอยู่ในเครือบริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ล้ำสมัย และสิ่งประดิษฐ์ 

ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีกิจการที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปตามกลไกตลาด เต่าบินก็เช่นกัน 

ในช่วงที่สถานการณ์โควิดระบาด ร้านกาแฟปิดตัวชั่วคราว คนทำงานจากบ้านเป็นหลัก การเกิดขึ้นของตู้กดน้ำอัตโนมัติคงจะเป็นไปได้ยาก แต่เต่าบินทำได้ เพราะไม่ว่าจะเมนูไหน น้ำจากเครื่องเต่าบินนั้นอร่อยจนคนต้องเคาะตู้ชื่นชมบาริสต้าด้านใน 

ทำไมบริษัทเทคโนโลยีถึงทำเครื่องดื่มออกมาอร่อยขนาดนี้ได้ 

Capital ไม่เก็บความสงสัยนี้ไว้กับตัว เรานัดหมาย คุณวทันยา อมตานนท์ ผู้บริหารและเจ้าของแบรนด์เต่าบิน หนึ่งในทายาทรุ่นที่ 2 ของฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น พูดคุยถึงแนวคิดเบื้องหลังเต่าบินทั้งหมด

หลังเรียนจบด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์จากต่างประเทศ วทันยาเริ่มต้นทำงานเป็น UX Designer ที่บริษัท Microsoft ทำหน้าที่ออกแบบซอฟต์แวร์ให้วิศวกรและเหล่า Data scientist ใช้ ก่อนจะย้ายไปทำงานกับบริษัทสตาร์ทอัพ ออกแบบซอฟต์แวร์ให้นักบัญชีและผู้ตรวจสอบบัญชีใช้ในขั้นตอนตรวจสอบบริษัท ก่อนกลับมาเป็น Business Development Executive และ Chief Product Officer ที่บริษัท ฟอร์ท เวนดิ้ง จำกัด ดูแลโปรเจกต์เต่าบินตั้งแต่เริ่มต้น

แม้ว่าวันนี้เต่าบินจะกำลังไปได้สวย และเตรียมบินขึ้นสูงไปเปิดตู้ที่ต่างประเทศ วทันยามีหลักการบริหารเต่าบินและการเตรียมรับกับความเสี่ยงในธุรกิจยังไง 

เชิญเลือกเมนูที่ชอบบนหน้าจอ ปรับระดับความหวาน แล้วตามไปฟังแนวคิดเบื้องหลังการทำธุรกิจเต่าบิน ระหว่างรอรับเครื่องดื่มที่พร้อมเสิร์ฟได้เลย (ถ้าดื่มแล้วอร่อย จะเคาะตู้ให้กำลังใจบาริสต้าด้านในไปด้วยก็ได้ แต่กรุณาเคาะตู้เบาๆ)

 

อะไรคือที่มาของตู้เต่าบิน

เต่าบินเกิดจากการทดลองตลาดมาระยะหนึ่งจนแน่ใจ เราเริ่มจากการเป็นตู้ขายน้ำกระป๋องที่รับของมาขาย เมื่อหักลบกับต้นทุนและค่าแรงแล้วไม่คุ้มกัน และถ้าต้องลุกขึ้นมาผลิตน้ำกระป๋องเอง กว่าจะไปถึงจุดที่ธุรกิจประสบความสำเร็จ เราจะต้องมีตู้ขายน้ำกี่ตู้กันถึงจะคุ้มกับต้นทุนพัฒนาและผลิตน้ำสักกระป๋องหนึ่ง ก็เลยลองนำเข้าเครื่องทำกาแฟอัตโนมัติจากต่างประเทศเข้ามาทดลองขายดู ซึ่งทั้งที่มีเมนูไม่เยอะก็ยังพอขายได้ กำไรดีกว่า และเหนื่อยน้อยกว่า เมื่อเห็นว่าธุรกิจพอจะเป็นไปได้ บริษัทก็ตัดสินใจลงทุน R&D กับโปรเจกต์เต่าบินจริงจัง โดยเรากลับมาทำเต่าบินช่วงที่บริษัท ฟอร์ท เวนดิ้ง จำกัด เริ่มทำตู้น้ำกระป๋องได้ประมาณ 4 ปี 

จากบริษัทที่ผลิตและให้บริการตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ การตัดสินใจกระโดดลงมาทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่ม ถือเป็นการข้ามสายธุรกิจไหม

ก่อนที่จะเริ่มพัฒนาเต่าบิน เดิมเราผลิตตู้จำหน่ายสินค้าแบบเกลียวหมุน (Spiral Vending Machine) อยู่แล้ว เป็นสายเครื่องอัตโนมัติเหมือนกันเพียงแต่ไม่มีการสัมผัสกับอาหารโดยตรง การตัดสินใจทำเต่าบินไม่เชิงเป็นการต่อยอด ตอนแรกคิดว่าจะรื้อและพัฒนาระบบเครื่องที่มี แต่ทำจนไม่เหมือนเครื่องแรก เราและทีมวิศวกรก็คิดว่าถ้างั้นเราทำเครื่องของเราขึ้นมาเองดีกว่า 

อะไรคือที่มาของการเป็นตู้ทำน้ำอัตโนมัติที่มีเครื่องดื่มกว่าร้อยเมนูที่ทำและพร้อมเสิร์ฟในเวลาจำกัดแถมยังอร่อยจนคนติดใจ

แนวคิดนี้ค่อยๆ มาเพื่อตอบโจทย์การทำตู้ ซึ่งโจทย์แรกสุดคือเราจะทำยังไงให้เครื่องชงด้านในไม่เสียบ่อยๆ ซึ่งสาเหตุของเรื่องนี้คือ mixing bowl เพราะเครื่องชงกาแฟทั่วๆ ไปมักจะใช้ผง 3 in 1 เวลาชงผงจะถูกจ่ายลงถ้วยรองใต้ช่องจ่ายผงชนิดต่างๆ ก่อนที่เครื่องจะปล่อยน้ำร้อนมาทำละลาย สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ไอความร้อนในเครื่องทำให้ผงในกระบวยจ่ายผงแข็งตัว จนกระบวยนั้นตัน ยิ่งอากาศบ้านเราร้อนชื้นยิ่งไปกันใหญ่ วิธีแก้ก็คือ เปลี่ยนจากชงใน mixing bowl เป็นตั้งระบบให้เครื่องใส่ผงลงแก้วแล้วชงในแก้วได้เลย

เมื่อแก้ที่ปัญหาการชงได้ โจทย์ต่อมาคือการสร้างเมนูใหม่ๆ เมื่อเครื่องไม่จำเป็นต้องใช้ผงชงสำเร็จรูป 3 in 1 แล้วเพราะการเปลี่ยนวิธีมาชงเครื่องดื่มที่แก้วนั้น แก้วจะเคลื่อนที่เข้าหาส่วนผสมที่ใช้ พร้อมวัดตวงและน้ำหนักชัดเจนจากเครื่องชั่งที่ฐานแก้ว ทำให้ทุกอย่างเป็นมาตรฐาน

ตอนที่เริ่มทำเต่าบิน คุณเห็นโอกาสอะไรในตลาดเครื่องดื่มซึ่งเป็นตลาดที่มีคู่แข่งสูงมาก 

นอกจากความรู้เรื่องตู้อัตโนมัติ เรามีหลายๆ อย่างที่ได้เปรียบคนอื่น เรื่องแรกคือสถานที่ เพราะถ้าต้องลงทุนทำคาเฟ่ขึ้นมาสักแห่ง คุณก็จะต้องผูกติดอยู่กับที่นั่น แต่ตู้เต่าบินจะย้ายไปตรงไหนก็ได้ เรื่องที่สองคือคน มีทั้งเรื่องเทรนนิ่ง เรื่องความไม่ตรงเวลา และเรื่องฝีมือ ตู้เต่าบินตัดความเสี่ยงเรื่องคนออกไป เพราะถ้าต้องฝึกบาริสต้าให้ทำเครื่องดื่มกว่าร้อยเมนูได้นั้นต้องใช้เวลาฝึกฝนนานแค่ไหน ขณะที่เครื่องจักรบันทึกสูตรของทุกเมนูในระบบ แทนที่จะขายแค่ 20 เมนู เราก็ขาย 170 เมนู ไม่ว่าคุณจะชอบเครื่องดื่มแบบไหน เต่าบินก็มี

เต่าบิน

การเปลี่ยนจากบริษัทเทคโนโลยี มาเป็นผู้ให้บริการเครื่องดื่มผ่านตู้อัตโนมัติ เรียกร้องให้คุณและองค์กรต้องเปลี่ยนแปลงอะไรแค่ไหน

เมื่อก่อนไม่เคยต้องจับต้องอะไรที่เป็นของสดหรือของที่เสียได้ง่ายเลย ก่อนหน้านี้ลูกค้าของทั้งฟอร์ท เวนดิ้ง และฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จะเป็นรูปแบบองค์กรหรือบริษัทขนาดใหญ่ เช่น งานระบบที่ทำกับภาครัฐ เช่น มิเตอร์ไฟฟ้า ไฟจราจร ความจริงฟอร์ทฯ อยู่รอบตัวคนไทยมากกว่าที่คิด เรามั่นใจเลยว่าทุกวันนี้ อย่างน้อยต้องเคยใช้อะไรสักอย่างของฟอร์ทฯ เพียงแค่คนไม่รู้ บริการจากเราที่พอจะเข้าใกล้ผู้บริโภคมากที่สุดคือตู้บุญเติม ซึ่งซื้อ-ขายเติมเงินกันบนคลาวด์ ไม่ได้มีสินค้าที่จับต้องได้จริงๆ 

เต่าบินจึงเป็นสิ่งใหม่ในบริษัท ความรู้ใหม่ตอนที่ทำเต่าบินคือการเทรนทีมงานว่าความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในสิ่งที่เราเป็น และเราจำเป็นต้องแคร์ลูกค้า สนใจว่าสินค้าจะหน้าตาเป็นแบบไหน รสชาติโอเคไหม ภาพลักษณ์ของตู้เป็นยังไง UX/UI โอเคไหม มันรายละเอียดเยอะแยะมากมายหลายจุดที่เราต้องมานั่งดูให้ละเอียด

คนทั่วไปรู้ว่าเต่าบินพัฒนาธุรกิจจาก pain point ของคน เช่น ความต้องการคาเฟ่ 24 ชั่วโมง แถมยังต้องอร่อย มีคุณภาพดี อะไรคือสิ่งที่ทำให้ผู้เล่นคนอื่นๆ ในอุตสาหกรรมขยับตัวได้ช้ากว่าเต่าบินแม้ว่าเขาอาจจะคิดได้เหมือนกัน

ความจริงแล้วเรื่องเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังตู้นี้มันไม่ได้ง่ายนะ เราใช้เวลา 2-3 ปีในการคิดค้นและลองผิดลองถูกกว่าจะสำเร็จอย่างวันนี้ เป็นข้อจำกัดที่จะช่วยต่อเวลาการเข้ามาของคู่แข่งได้อีกสักระยะหนึ่งแน่ๆ 

เรื่องต่อมา เรามักจะพบว่า มีภาพจำอย่างหนึ่งของเครื่องดื่มจากตู้อัตโนมัติ ซึ่งคนคิดว่าจะต้องเป็นของที่ราคาถูกเสมอไป ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่จำเป็นต้องไปในแนวทางนั้น เราโชคดีที่มีโอกาสทดลองก่อน ได้ลองขายทั้งในบริษัทและบริษัทใกล้ๆ เก็บข้อมูลตลาดว่าอันไหนขายได้บ้าง ซึ่งสุดท้ายแล้ว มีแค่ครั้งแรกเท่านั้นแหละที่ลูกค้าจะลังเลว่าจะจ่าย 55 บาทกับกาแฟแก้วหนึ่งดีไหม หลังจากนั้นตราบใดที่เราให้ความคุ้มค่ากับลูกค้า เขาจะกลับมา สำคัญคือต้องอย่าลืมว่าเราไม่ได้ทำธุรกิจเพื่อตั้งใจจะเอาแต่กำไรนะ

อะไรคือแผนการรับมือกับความเสี่ยงที่เกิดจากคู่แข่งในอนาคต

อันดับแรก อะไรที่สำคัญที่สุดเราก็จดสิทธิบัตรไว้ ซึ่งก็คงต้องว่ากันด้วยเรื่องกฎหมาย จากนั้นพยายามสร้างแบรนด์ สร้างความมั่นใจให้ลูกค้ารับรู้ว่าอร่อยนะไม่ว่าจะเป็นเมนูอะไรก็มั่นใจได้

เต่าบิน

ในเรื่องการขาย ทราบมาว่าเต่าบินทำธุรกิจด้วยระบบตัวแทน การจะเป็นตัวแทนของเต่าบินได้ต้องมีคุณสมบัติอะไร

แม้เราจะเรียกว่าระบบตัวแทน แต่ความจริงแล้วคล้ายๆ แฟรนไชส์ แต่เป็นแฟรนไชส์ที่ไม่ขายขาด และรับแค่เจ้าใหญ่ เพราะว่าเราไม่ได้ต้องการคนที่เอาตู้ไปตั้งหน้าบ้านหรือข้างบ้านเพียงเพราะอยากทำเป็นอาชีพเสริม เรามองหาคนที่ชื่นชอบ เชื่อมั่นในตู้เต่าบิน และคนที่ตั้งใจจะทำสิ่งนี้เป็นอาชีพหลักจริงๆ เราอยากได้คนที่จะมาควบคุมคุณภาพสินค้าให้เราได้ โดยตัวแทนแต่ละคนสามารถดูแลตู้เต่าบินอย่างน้อย 50 ตู้ ถึงจะผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ คือเราไม่ได้ขายตู้ แต่เราแบ่งกำไร แม้ตัวแทนจะไม่ได้ลงทุนซื้อตู้จริง เขาก็ต้องลงทุนค่ารถ ซื้อวัตถุดิบ รวมถึงมีเงื่อนไขอื่นๆ วิธีการนี้ทำให้เราควบคุมคุณภาพตู้ได้ง่ายกว่าเพราะไม่ต้องเสียเวลาไปสอดส่องดูแลตู้รายย่อยซึ่งมีจำนวนเยอะ

คุณสมบัติหลักของคนที่มาเป็นตัวแทนคือ มีความรู้เรื่องเทคนิค มีทีมช่างของตัวเองที่จะซ่อมบำรุงตู้เต่าบินได้โดยไม่ต้องรอคนจากทางเรา นอกจากนี้อาจจะมีทีมขายของตัวเองด้วย โดยสรุปเราต้องการความรู้และความเชี่ยวชาญในพื้นที่ตรงนั้นจากเขา เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงใช้ระบบตัวแทน

ทุกวันนี้ยังมีเรื่องยากๆ ที่เต่าบินต้องเจอและยังไม่ยอมแพ้กับมันบ้างหรือเปล่า

เรื่องแรกคือเรื่องวัตถุดิบ ยิ่งขายก็ยิ่งต้องระวัง เพราะสุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับธรรมชาติเนอะ ว่าปีนี้จะได้กาแฟขนาดไหน เรื่องต่อมาคือสถานที่ติดตั้งที่ตั้งใจอยากให้มีประมาณ 20,000 ตู้ทั่วประเทศ หรืออย่างน้อยก็ขอให้มีตู้เต่าบินอยู่ในตึกทุกตึกของกรุงเทพฯ

ในอนาคตเต่าบินจะมีโรงคั่วกาแฟของตัวเองหรือเปล่า

เรื่องโรงคั่วยังไม่แน่ค่ะ แต่เรามีการสนับสนุนโรงคั่วรายเล็กๆ ด้วย อาจจะผลิตแก้วของตัวเอง แต่เราคงไม่ทำทุกอย่างเอง เพราะเราไม่ต้องการแบกรับความเสี่ยงไว้ทั้งหมด อันไหนใช้ outsource ได้ ใช้รายย่อยได้ เราก็พยายามจะทำ เพราะว่าเราไม่ต้องรวยคนเดียวก็ได้

อะไรคือสิ่งที่คุณปล่อยวางและยอมรับให้เกิดได้และไม่ได้

ยอมให้เกิดได้บ้างบางทีคือเรื่องที่ตู้เสีย แต่เรื่องที่ยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เลยคือเรื่องความอร่อย ถ้ามีฟีดแบ็กว่าไม่อร่อยต้องเรียกประชุมทีมแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งถ้าเป็นเรื่องสุดวิสัยจริงๆ เช่น ตู้นี้หัวชงตั้งไม่ตรงหรือแก้วแตก แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องปล่อยไปเพื่อให้เกิดการพัฒนา ไม่งั้นเราจะไม่มีทางขยายมาได้ขนาดนี้

นับจนถึงวันนี้ การตัดสินใจลุกขึ้นมาทำเต่าบิน สร้างเทคโนโลยี สร้างทีม สร้างระบบเองในทุกขั้นตอนคุ้มค่าแค่ไหน ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คุณยังคงเลือกที่จะทำสิ่งนี้และเลือกหนทางที่ยากขนาดนี้หรือเปล่า

แน่นอนค่ะ แค่ได้บอกว่าเต่าบินเป็นเทคโนโลยีที่คนไทยคิดค้นขึ้นมาร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ภูมิใจมากแล้ว เรามักจะบอกใครต่อใครเสมอว่าวิศวกรไทยฝีมือดีกว่าที่คนอื่นคิดเยอะมากๆ แต่เรามักจะพบว่าน้องที่เก่งๆ ออกไปเติบโตที่นอกประเทศหมดเลย ซึ่งเสียดายมาก คนไทยเก่ง EQ ก็ดี แต่ไม่ได้รับการสนับสนุน จะด้วยการศึกษาหรืออะไรหลายๆ อย่าง ขณะที่ในต่างประเทศเขาจะมี intern หรือสิ่งที่เรียกว่า Hackathon หลอมรวมกันพัฒนาผลักดันให้คนคิดตลอดเวลา คิดไอเดียใหม่ขึ้นมาเองโดยไม่ต้องตามหลักสูตร อันนี้เสียดาย

คุณมีวิธีรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร หรือมีวิธีสร้างบรรยากาศการทำงานให้เต่าบินเป็นองค์กรที่คนเก่งอยากมาร่วมงานด้วยยังไง

จริงๆ เราจะไม่ได้เข้าไปแตะเรื่อง R&D ทั้งหมดตลอดเวลา แต่เราสัมผัสได้ว่า การทำเต่าบินทำให้ทีมรู้สึกถึงความเป็น ownership มากขึ้น แต่ละคนมีความรับผิดชอบเป็นของตัวเอง เช่น มีคนทำหน้าที่ดูเรื่องน้ำแข็ง ก็ดูเรื่องน้ำแข็งไปเลย แล้วการจดสิทธิบัตรก็มีชื่อเขาอยู่ด้วย 

พูดถึงเรื่องการนำเสนอไอเดียใหม่ๆ ก็มีการสร้างแรงจูงใจ ยกตัวอย่างไอเดียที่ว่าเครื่องดื่มทำช้า เราก็ท้าว่าใครคิดวิธีลดเวลาลงได้แม้เพียงวินาที แค่ลดได้หนึ่งวินาทีก็เอารางวัลไปเลย แต่ละคน แต่ละพาร์ท ก็ไปคิดกันเอาเองว่าจะทำยังไงให้เครื่องดื่มเสร็จเร็วขึ้นได้ หรือถ้าใครเกิดคิดอะไรที่ใหม่ๆ ให้องค์กรได้ ก็ให้รางวัลเหมือนกัน

นอกจากคนที่ทำหน้าที่ดูแลน้ำแข็งโดยเฉพาะ ยังมีตำแหน่งหน้าที่สนุกๆ ในเต่าบินอีกไหม และถ้าตู้เต่าบินเป็นคน ในตู้นั้นจะมีคนทั้งหมดกี่คน

น่าจะประมาณ 100 คน มีคนที่ทำหน้าที่ดูแลชุดผง ชุดไซรัป คนทำปั๊ม คนดูแลหัวชง โซดา ไหนจะแขนชั่ง แก้ว เมล็ดกาแฟ ปั๊มล้าง ถ้วยล้าง น้ำทิ้ง เต็มไปหมดเลยค่ะ 

ถ้าสังเกตดูดีๆ ข้างใต้ขาจะมีถาดกันมดอยู่ มีส่วนที่ทำหน้าที่เหมือนเอาดาบไปไล่ฟันมด อันนี้จดสิทธิบัตรไว้ด้วยจริงจัง ปกติตู้น้ำอื่นๆ ใช้วิธีวางน้ำดักหมดซึ่งมันทำให้ตู้ย้ายไปไหนไม่ได้ แต่เราต้องการให้เคลื่อนย้ายตู้ได้ขณะที่ขากันมดก็ยังอยู่ ซึ่งก็จะมีวิธีการซีล ทำยังไงให้สามารถเลื่อนตู้ได้ คิดแม้แต่เรื่องสายไฟด้านหลังตู้ คือมันมีรายละเอียดยิบย่อยเยอะมาก

เต่าบิน

กลัวไหมว่าวันหนึ่งคนจะเลิกฮิตเต่าบิน

กลัวค่ะ ซึ่งเพื่อให้ลูกค้าไม่เบื่อ วันหนึ่งเราตั้งใจจะเปลี่ยนสินค้าและคิดสร้างบรรยากาศใหม่ๆ พยายามเปลี่ยนให้ได้ทุกซีซั่น เหมือนห้างสรรพสินค้าที่เราไปได้ไม่เคยเบื่อ

เป็นเพราะเต่าบินไม่ยึดติดกับความสำเร็จ?

ถูกต้องค่ะ ข้อได้เปรียบของเราคือยืดหยุ่นและไหวตัวทันกับการเปลี่ยนแปลง แม้กระทั่งเรื่องโลเคชั่น ที่ไหนไม่ดีเราก็ย้าย

สุดท้ายนี้เราพบว่าคนชอบตู้เต่าบินกันมาก แต่ก็มีหลายคนเป็นห่วงเรื่องการใช้พลาสติก คุณมีแผนรับมือกับเรื่องนี้ยังไงบ้าง

เราพยายามที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ เริ่มจากสร้างตัวเลือกอัตโนมัติ ไม่รับหลอดและไม่รับฝาเลย ซึ่งก็จะลดการใช้พลาสติกไปแล้วสองชิ้น ส่วนแก้วเราเลือกพลาสติกที่รีไซเคิลได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ รวมถึงเลือกสีด้วย พยายามเลือกสีที่พอไปบดเป็นเม็ดพลาสติกก็ยังได้พลาสติกในเกรดคุณภาพสูงอยู่ เรียกว่าค่อยๆ ทำกันไป แต่ยังไม่สามารถใช้แก้วที่ทำจากพลาสติกย่อยสลายได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ในตอนนี้ เพราะว่าราคาต้นทุนของแก้วพลาสติกที่ย่อยสลายได้นั้นยังสูงอยู่ 

เราต้องการจะเป็นเครื่องดื่มที่กินทุกวันของทุกคน ในราคาที่จับต้องได้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องบาลานซ์สิ่งนี้ เราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากๆ แต่ก็ทำในทางที่เป็นไปได้ ในอนาคตตู้เต่าบินที่อยู่ตามคอนโดฯ เราอาจจะไปตั้งที่รับแก้วคืนเพื่อนำไปรีไซเคิล แต่ว่ายังอยู่ในสถานการณ์โควิดอยู่ เราก็เลยยังไม่เสี่ยงที่จะทำ


PLAYBOOK
บันทึกการผ่านด่านสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิต หรือส่งผลต่อชีวิตจนปัจจุบัน

เต่าบิน

MISSION : เปลี่ยนชื่อแบรนด์
YEAR : 2019
EVENT :

ตอนนั้นชื่อ ‘เติมเต็ม’ เป็นชื่อที่ทุกคนเห็นว่า save นั่นคือทั้งเบสิกและง่าย ความหมายมงคลแบบไทยๆ ทั้งเติมเต็มจิตใจและเติมเต็มบุญ แต่ว่าเราต้องการเปลี่ยนไปสู่อะไรที่มันฉีก อะไรก็ได้เลยที่จำง่าย คนได้ยินแล้วต้องถาม เห็นโลโก้ปุ๊บต้องจำได้ 

PLAN : 

เราต้องใช้เวลานานพอสมควรกับการโน้มน้าวผู้บริหารที่ค่อนข้างมีอายุ ซึ่งแต่ละท่านก็ยังไม่เห็นด้วย เราจึงมัดมือชกทุกคนด้วยการใช้ชื่อของประธานบริษัทมาตั้งชื่อแบรนด์ พร้อมเสนอทางเลือกเป็นชื่อกลางๆ อย่าง Cosmic Coffee ซึ่งเรารู้สึกว่ามันน่าเบื่อเหมือนเติมเต็ม ขณะที่เต่าบินเป็นชื่อที่เราเลือกอยู่ในใจอยู่แล้ว 

สุดท้ายเราก็ตัดสินใจบอกทุกคนว่าเอาเต่าบินนี่แหละ ไม่เป็นไรลองดู ถ้าไม่ดีจริงๆ เดี๋ยวค่อยเปลี่ยน จะว่าไปมันมีความเป็นอินเตอร์นิดนึง คลุมเครือ ได้ยินแล้วต้องถามว่ามันคืออะไร นอกจากนี้รูปเต่ามันเป็นสัญลักษณ์ที่ให้ความรู้สึกสิริมงคล เชื่อถือได้ ประกอบกับอะไรหลายๆ อย่างก็ถือว่าโอเค 

SCORE : 

8 คะแนน

QUIT or RESTART : 

ไม่เปลี่ยนแล้วเอาอันนี้แหละ ดีแล้วค่ะ

ซอสพริกและร้านชำที่เป็นมิตรกับทุกคนของ สมภพ ภู่ธนะพิบูล เจ้าของ คี้เอ็งพานิช ตราเด็กนั่งชิงช้า

คี้เอ็งพานิช เป็นแบรนด์ร้านชำที่ออกตัวว่าเป็นมิตรกับทุกคน โปรดักต์แรกคือซอสพริกที่ไม่ได้ผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม แต่เป็นซอสพริกที่เคี่ยวเองภายในพื้นที่ขนาดหนึ่งครัวบ้านที่จังหวัดระยอง ทุกลำดับขั้นตอนตั้งแต่คิดสูตร จ่ายตลาด คัดเลือกวัตถุดิบ ปรุงรส บรรจุขวด ไปจนถึงการขายและทำบัญชี เกิดขึ้นด้วยแรงคนเพียงคนเดียว 

ไมค์–สมภพ ภู่ธนะพิบูล เรียนจบนิเทศศาสตร์และบินไปเรียนคอร์สทำอาหารระยะสั้นไกลถึงสวิตเซอร์แลนด์ ก่อนจะค้นพบว่าที่จริงแล้วตัวเองชอบทำอาหารไทย เลยกลับมาทำงานในร้านอาหารโบ.ลาน และซาหมวย แอนด์ ซันส์ หลังเขาสะสมประสบการณ์มากจำนวนปีก็วางแผนลาออกมาเพื่อหยุดพักชั่วคราว (ที่เจ้าตัวก็นึกไม่ถึงว่าจะได้พักยาวขนาดนี้) แต่ด้วยผลกระทบของโควิด-19 เขาเลยได้พักยาวและเรียนรู้ว่าตัวเองก็สามารถสร้างแบรนด์เล็กๆ และกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิดได้ หลังจากห่างระยองมานานจนลืมปี

“ทำซอสพริกที่เราอยากกิน” ถ้อยคำอันเป็นจุดเริ่มต้นของคี้เอ็งพานิช แบรนด์ของชำที่เป็นมิตรกับทุกคน ซอสพริกสูตรออริจินัลที่คัดสรรวัตถุดิบรสกลมกล่อมจากธรรมชาติที่ได้สนับสนุนวิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อยด้วย ความเผ็ดจัดจ้านจากพริกชี้ฟ้ากับพริกจินดา ความเค็มจากดอกเกลือและหัวน้ำปลา หวานจากน้ำตาลมะพร้าวอินทรีย์ เปรี้ยวจากน้ำส้มสายชูหมักธรรมชาติ และสูตรหัวร้อน ที่เพิ่มเครื่องเทศรสไทยและพริกกะเหรี่ยงเข้าไปเพิ่มความเผ็ดร้อนแบบที่ความหวานตามมาไม่ค่อยทัน ตามนิยามของไมค์ 

หากนึกถึงเครื่องจิ้มที่ได้รับ (ฟรี) บ่อยครั้งเมื่อสั่งอาหารเดลิเวอรี่ หลายคนต้องนึกถึงซอสพริก แน่นอนว่าคี้เอ็งพานิชเลือกนำเสนอผลิตภัณฑ์นี้ท่ามกลางความสงสัยจากคนรอบตัวว่าทำไมพวกเขาต้องจ่ายเงินซื้อซอสที่ปกติได้ฟรี แต่กลับกันในฝั่งตรงข้าม ลูกค้าประจำของคี้เอ็งพานิชคือกลุ่มคนที่รู้แน่ว่าทำไมต้องจ่ายเพื่อซอสพริกที่ดี 

เตรียมมือไว้หมุนฝาขวดซอสให้เปิดออก พร้อมลิ้มรสเผ็ดเปรี้ยวเค็มหวาน และรับรู้บทสนทนาร่วมกัน

คี้เอ็งพานิช

คี้เอ็งพานิชเริ่มต้นธุรกิจในปี 2020 ช่วงเดียวกับล็อกดาวน์ที่หลายแบรนด์ทยอยปิดตัวลง คุณมองเห็นโอกาสอะไร

ตอนนั้นเราทำงานเป็นเชฟที่ร้านอาหารและแพลนเอาไว้ว่าจะลาออกจากงานเดือนมกราคม กะว่าอยากหยุดสักพักแล้วค่อยกลับไปหางานใหม่ช่วงกลางปีละกัน แต่กลับกลายเป็นว่าพอหยุดแล้วได้หยุดยาว (ลากเสียง) เพราะร้านอาหารโดนล็อกดาวน์หมดเลย ระหว่างที่ยังไม่รู้จะทำยังไง ช่วงนั้นเพื่อนๆ ทั้งที่เป็นเชฟและที่ทำอาชีพอื่นก็หันมาทำของขายกันเยอะมาก เราก็คิดว่าเฮ้ย เราต้องมีบ้างสิ ลองทำสนุกๆ ดีกว่าอยู่เฉยๆ และจะได้มีรายได้ด้วย ก็เลยทำซอสพริกออกมาขายแค่กลุ่มเพื่อนในเฟซบุ๊ก ด้วยการเอาขวดแก้วที่มีในบ้านมากรอก แต่ละขวดหน้าตาไม่เหมือนกัน ขนาดก็ไม่เท่ากัน แต่กลายเป็นว่ามีเพื่อนซื้อไปเยอะ เพื่อนของคุณพ่อก็สั่งไปแจกลูกค้า จากตรงนั้นเลยคิดว่าซอสพริกของเราน่าจะต้องทำให้เป็นกิจจะลักษณะขึ้นมา คนที่รับไปจะได้รู้สึกถึงความน่าเชื่อถือของแบรนด์

ทำไมต้องเป็นซอสพริก

เราชอบกินอาหารกับซอสพริก ด้วยความที่บ้านอยู่ระยอง เราจะผัดอาหารทะเลกับซอสพริกบ้าง นึ่งอาหารทะเลจิ้มกับซอสพริกบ้าง แต่ด้วยความที่รสชาติซอสพริกในตลาดยังไม่ถูกใจ มันจะออกหวาน เค็ม เปรี้ยว แต่ไม่ค่อยมีรสเผ็ด และเราเองมีสูตรซอสพริกอยู่ในใจอยู่แล้ว ก็เอามาประยุกต์และปรับให้เป็นรสชาติที่เราชื่นชอบ ตั้งใจให้เป็นซอสพริกครอบจักรวาล คือมากกว่าแค่การเป็นเครื่องจิ้ม ซอสพริกคี้เอ็งเอาไปจิ้มได้ ผัดได้ ปรุงอาหารก็ได้ 

คี้เอ็งพานิช

ฉลากตราเด็กนั่งชิงช้าและชื่อคี้เอ็งพานิชได้มากจากไหน

เมื่อก่อนอากงของเราขายกาแฟยี่ห้อภู่ฮั่วมิ้น ขายมาตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม ปัจจุบันเลิกทำไปแล้ว แต่โรงคั่วกาแฟยังอยู่หลังบ้าน วันหนึ่งเราเข้าไปเก็บของแล้วไปเจอฉลากเก่าของแบรนด์กาแฟอากง เป็นช่วงเดียวกับที่กำลังจะทำแบรนด์ซอสพริกของเราให้จริงจังขึ้นมาอีกหน่อย เราเลยอยากให้ฉลากของคี้เอ็งมีรูปร่างหน้าตาใกล้เคียงแบบนี้ มันมีทั้งความเก่าแก่ ความน่าเชื่อถือ ความผูกพันของครอบครัว รูปเด็กนั่งชิงช้าก็เป็นรูปของตัวเองที่แขวนอยู่ที่บ้าน เราเลยร่างแบบคร่าวๆ ให้พี่ที่เป็นกราฟิกช่วยหน่อย ส่วนคี้เอ็งเป็นชื่อจีนของเราที่อากงตั้งให้ ที่เลือกใช้ชื่อตัวเอง เพราะปัจจุบันที่คนทำผลิตภัณฑ์ออกมาขายไม่ค่อยมีใครใช้ชื่อตัวเองเหมือนสมัยก่อน เรานึกถึงน้ำจิ้มน้ำพริกตราแม่ต่างๆ และไหนๆ เราก็จะขายตัวตนของเราเข้าไปในผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว ก็ใช้ชื่อเรา รูปเราเลยละกัน

เข้าใจว่ารูปวัยเด็กของคุณก็คงมีหลายใบ ทำไมเลือกรูปนั่งชิงช้า

รูปนี้ถูกใส่กรอบและตั้งอยู่ที่บ้านตั้งแต่เราจำความได้ เข้าบ้านมาก็เห็นตลอด พอตั้งใจว่าจะใช้รูปตัวเองเป็นช่วงเดียวกับที่ไปบวชและเพิ่งสึกออกมา รูปที่ถ่ายช่วงนั้นมันใช้ไม่ได้เลย (หัวเราะ) เลยคิดว่าเป็นรูปเด็กไปเลยแล้วกัน เพราะที่ระยองก็มีแบรนด์น้ำปลาตราเด็ก หรือซีอิ๊วก็มีเด็ก มันเล่นกับความเป็นการ์ตูน น่าจะทำให้แบรนด์ดูน่าจับต้องมากขึ้น 

แบรนด์เก่าแก่พยายามจะรีแบรนด์ให้ดูทันสมัย แต่สังเกตว่าแบรนด์ของคนรุ่นใหม่กลับเลือกใช้โลโก้ที่มีหน้าตาย้อนยุค 

งานของคนรุ่นเก่ามันมีรายละเอียด มีความผูกพัน ที่เราเลือกทำแบบนี้เพราะอยากให้มันลิงก์กับครอบครัวและเชื่อมโยงถึงภูมิหลัง อาจด้วยประสบการณ์ทำงานของเราที่ก่อนหน้านี้ทำงานอยู่ที่ร้านโบ.ลาน ได้อ่านหนังสือเก่า รู้จักแบรนด์เก่า เรารู้สึกว่าในงานเก่ามีเสน่ห์บางอย่าง มีความน่าเชื่อถือด้วย พอได้มาทำผลิตภัณฑ์ ก็เลือกดึงงานดีไซน์ที่เก่ากับลายเส้นที่ใหม่ เป็นการผสมผสานสิ่งที่เราชอบ

คี้เอ็งพานิช

คุณบอกว่ามีสูตรซอสพริกที่อยู่ในใจกับรสชาติที่อยากกิน อะไรคือความแตกต่างของซอสพริกจากคี้เอ็งพานิช

เราใช้วัตถุดิบที่แตกต่าง ปกติซอสพริกที่ซื้อตามท้องตลาดจะมีการผสมน้ำตาลทรายลงไปเพื่อเพิ่มความหวานและความข้นหนืด บางแห่งเติมสารให้ความข้นหนืดเพิ่มไปด้วย แต่เราใส่แค่เครื่องปรุงที่เป็นวัตถุดิบธรรมชาติ อย่างน้ำตาลมะพร้าวเราใช้ของเพียรหยดตาล เป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่ค่อนข้างแข็งแรง รู้จักกันมาตั้งแต่เราทำงานที่ร้านอาหาร และอยากสนับสนุนพวกเขาต่อก็เลยซื้อกันมาจนปัจจุบัน เพราะฉะนั้นความหวานในซอสพริกของเรามาจากน้ำตาลมะพร้าวจริงๆ

การใช้น้ำตาลมะพร้าวจริงๆ อย่างที่ว่ามันดียังไง

น้ำตาลมะพร้าวมีที่เป็นออร์แกนิกและไม่ออร์แกนิก คือในส่วนผสมอาจมีการฉีดยาฆ่าแมลงลงไปเพื่อกำจัดตัวด้วง ส่วนที่เป็นออร์แกนิกมาจากการเก็บน้ำตาลใสจากช่อดอกมะพร้าวมาทำน้ำตาล บ้านเราอากาศร้อน น้ำตาลใสมันเสียเร็ว ต้องปีนขึ้นไปเก็บรอบเช้าและเย็น และไม่ใส่สารกันบูด แต่จะใส่ไม้พะยอมลงไปเป็นการกันบูดแบบธรรมชาติ ปัจจุบันมีหลายเจ้าที่ร่นเวลาเก็บ ปีนไปเก็บรอบเดียวหรือหลายวัน ขึ้นไปทีนึงแล้วก็ใส่สารกันบูดเพื่อเพิ่มระยะเวลาเก็บ หรือบางแห่งเลือกประหยัดต้นทุนด้วยการใส่น้ำตาลทรายผสมให้จับตัวเป็นก้อน หนืดเร็วข้นเร็ว แต่ที่เราใช้คือร้อยเปอร์เซ็นจากช่อดอกมะพร้าว 

รสชาติของน้ำตาลมะพร้าวจะหวานนวล มีกลิ่นหอมเฉพาะ หวานนิดอมเปรี้ยวหน่อย รสนัวๆ และละลายไปกับลิ้น มีความลงตัวในการนำมาทำอาหาร ปกติทำแกงหรืออาหารไทย ด้วยกะทิมีความหวานในตัวอยู่แล้ว การเติมน้ำตาลมะพร้าวทำให้หวานกลมกลืนไปกับกะทิ เวลากินจะรู้สึกถึงความหวาน แต่เป็นความหวานที่มาแก้ความเผ็ด มาเพิ่มบาลานซ์ให้รสชาติ ความหวานที่เราต้องการใส่ในซอสพริกก็เหมือนกัน คือพอทานแล้วรู้สึกเผ็ด แต่ให้ความหวานตามมาให้ทันล้างความเผ็ด ไม่ได้อยากให้ทานแล้วปวดแสบปวดร้อนจนต้องหาน้ำกินตาม อยากให้เผ็ดอย่างมีเหตุผล คือมีความจัดจ้านนะ แต่รสชาติที่ตามมาต้องกลมกล่อมลงตัว

แล้วความเค็มและความเปรี้ยวได้จากวัตถุดิบอะไรบ้าง

ซอสพริกคี้เอ็งได้ความเค็มจากดอกเกลือธรรมชาติ มีคุณค่าทางสารอาหารครบถ้วนเพราะไม่ผ่านกระบวนการใดๆ ใช้ขัดผิวก็ได้ ใช้ทำอาหารก็ได้ เราคงเคยผ่านตาพวกเกลือเม็ดจากอิตาลี จากฝรั่งเศส แต่จริงๆ เกลือบ้านเรามีคุณค่าเหมือนกัน และดอกเกลือก็เป็นเกลือที่ดีที่สุดในเกลือธรรมชาติ คือมันจะลอยจากการระเหยของน้ำเค็มเป็นผลึกขึ้นมาก่อน ในความเค็มของดอกเกลือเลยมีรสกลมกล่อมบางอย่างที่มากกว่านั้น 

และต่อมาเป็นความเค็มจากน้ำปลา เรารู้จักกับเจ้าของโรงงานน้ำปลาแบรนด์ท้องถิ่นที่ระยองก็เลยเลือกน้ำปลาที่เรากินมาตั้งแต่เด็กและใช้ในบ้านอยู่แล้วมาเพิ่มความเค็มในซอสพริก มันจะให้อูมามิแตกต่างจากซอสพริกทั่วไป 

ส่วนความเปรี้ยวได้จากน้ำส้มสายชูธรรมชาติ คือผ่านการหมักด้วยธัญพืช ผลไม้ และน้ำตาล ทำให้ได้รสชาติกลมกล่อม ไม่เปรี้ยวแหลมกลิ่นแรงอย่างแบบกลั่น  

สโลแกน ‘ร้านชำที่เป็นมิตรกับทุกคน’ ดูจะไม่ได้พูดถึงซอสพริกอย่างเดียว และเราเห็นว่าตอนนี้มีโปรดักต์อื่นด้วย

ตอนเริ่มธุรกิจไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าแค่อยากทำของขาย แต่พอมันเริ่มอยู่ได้เราก็ต้องคิดว่าทำยังไงให้ธุรกิจเติบโต เลยวางแผนว่าสักปีสองปีเราจะมีร้านอาหารและร้านชำร้านหนึ่งเหมือนออร์แกนิกช็อป เราใช้ชื่อเดียวกันว่าคี้เอ็งพานิช เป็นร้านชำที่มีของกินทุกสิ่งอย่าง เครื่องปรุง ซอส กะปิ น้ำปลา ของแห้ง ขนม ที่บรรจุในแพ็กเกจจิ้งที่พยายามจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด ส่วนรสชาติ ความสะอาด ความปลอดภัยเป็นมิตรกับคนกินและเป็นมิตรกับคนทำด้วย

เป็นมิตรกับคนทำในแง่ไหนบ้าง

ในแง่ที่เราทำแล้วสบายใจ อาหารที่ทำออกไปมันสะท้อนบุคลิกภาพของคนทำ ผลิตภัณฑ์ที่ทำและส่งต่อให้คนได้กินของที่ดี มีสุขภาพที่ดีก็ทำให้เราสบายใจด้วย ไม่ต้องมาคอยกังวลใจว่าของที่ส่งออกไปแต่ละรอบจะไปทำให้ใครป่วยหรือเป็นอะไรไหม สเกลการทำงานของเราไม่ใช่โรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตจำนวนมาก แต่ยังเป็นสเกลบ้านๆ คือกลั่น กรอง เคี่ยว ทำทุกอย่างในครัวหลังบ้าน ทำได้ครั้งละไม่เกิน 100 ขวด เราเลยสามารถทำทีละไม่มากให้ดีที่สุด ให้สบายใจเราได้ 

และเรื่องราคาเราทำ costing คิดจากวัตถุดิบเป็นหลัก ไม่ได้บวกค่าแรง ก็เป็นราคาที่อยู่ได้ เพราะทำเป็นรายได้เสริมและเราทำเองคนเดียว ไม่อยากให้ราคามันสูงไป แต่ก็ต้องมีรายได้พอที่จะมีเงินใช้ในส่วนของตัวเอง เพราะฉะนั้นตอนนี้ราคามันอาจจะสูงกว่าซอสพริกในท้องตลาด แต่ก็ยังถูกกว่าแบรนด์ต่างประเทศ 

คี้เอ็งพานิช

ราคาที่สูงกว่าซอสพริกแบรนด์ใหญ่ในท้องตลาดมีข้อดีข้อเสียยังไง 

เรารู้จักกับเจ้าของร้านอาหารทะเลเจ้าหนึ่ง เขาเคยเอาไปชิมแล้วชอบ แต่ติดที่ว่าเราเองไม่สามารถทำราคาให้ตามที่เขาต้องการได้ เขาอยากเอาไปใช้ที่ร้าน แต่ด้วยสเกลและวัตถุดิบที่เราเลือกมันทำราคาแบบนั้นไม่ไหว น้ำตาลทรายกิโลกรัมละ 20 กว่าบาท ราคาน้ำตาลมะพร้าวที่เราใช้อยู่ที่หลักร้อยต่อกิโลฯ (หยุดพูดและยิ้ม) เคยคิดเหมือนกันว่าจะเอาไปผลิตในโรงงานเพื่อสะดวกในการทำราคาและการขาย แต่พอเจอยอดผลิตขั้นต่ำ 10,000 ขวด เรารู้สึกว่ายังไม่ถึงเวลา เพราะถ้าตกลงทำกับโรงงาน เราคงต้องทิ้งทุกอย่างที่ทำควบคู่ไปด้วย และไปโฟกัสธุรกิจหัวฟู ซึ่งมันไม่ใช่เราเลย ข้อด้อยของราคานี้เลยทำให้ขายออกไปในปริมาณที่ไม่มากนัก 

พยายามจะมีโปรโมชั่นซื้อ 1,200 บาท ส่งฟรีให้ ซึ่งการส่งฟรีมันเหมือนกับแถมซอสไปอีกขวด เพราะกล่องมันใหญ่ น้ำหนักมาก ค่าส่งก็เป็นร้อยบาท แต่การที่เขาซื้อเยอะเราก็อยู่ได้ เรามองว่าโปรโมชั่นสำคัญกับทุกแบรนด์ แต่ตอนนี้เราเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่ทำทุกอย่างเองจริงๆ โปรโมชั่นมันเลยยังไม่ถูกคิดออกมามากขนาดนั้น 

แต่ราคานี้ก็ทำให้กลุ่มลูกค้าของเราชัดเจนหรือเปล่า

ซอสของเราถูกใจกลุ่มคนที่ชอบสินค้าคุณภาพ หรือกลุ่มฟู้ดดี้จริงจังเขาก็สั่งอยู่เรื่อยๆ มีกลุ่มลูกค้าที่ซื้อประจำบอกว่ากินที่อื่นไม่ได้ อยากกินรสนี้ เราก็พยายามรักษาคุณภาพเอาไว้ 

เรารู้สึกว่าคนกล้าซื้ออาหารและเครื่องดื่มที่มีราคาสูงหน่อย แต่ซอสพริกเขาไม่ได้กินทุกวัน ตอนที่เปิดตัวแบรนด์คี้เอ็งเป็นช่วงที่ทุกคนอยู่บ้านและสั่งของกินมาลองจากการล็อกดาวน์ มันเลยขายได้ค่อนข้างเร็ว แต่พอคนเริ่มออกไปข้างนอก เขาก็ซื้อน้อยลง เพราะไม่ว่าคุณซื้อไก่ทอดหรือของทอดอะไรมามันก็มีซอสพริกมาให้แล้ว เยอะด้วย (หัวเราะ) เพื่อนบอกว่าสั่งพิซซ่าพิมพ์ว่าขอซอสพริกเพิ่มก็ได้มาสามเท่า แล้วทำไมต้องซื้อของเรา เป็นเพราะเขาไม่ได้รู้สึกว่ามันแตกต่าง คนที่คิดจะซื้อซอสพริกมาเก็บไว้ในตู้เย็นก็คงเป็นคนที่ต้องการกินจริงๆ เป็นคนขวนขวายที่จะซื้อ 

ผลิตภัณฑ์จากคี้เอ็งพานิชวางขายที่ไหนบ้าง

ตอนนี้เราขายเฉพาะออนไลน์ช่องทางเดียว ซึ่งเรื่อง place เป็นสิ่งที่เราต้องพัฒนาที่สุด เพราะเรายังไม่มีที่ตั้งขาย ไม่มีให้เห็นหรือให้ลองชิมก่อน อย่างลูกค้าที่ซื้อไปแจกในเทศกาลปีใหม่ คนที่ได้รับได้ชิมแล้วเขาก็กลับมาซื้อ นั่นคือเขาเห็นความแตกต่างโดยที่เราไม่ต้องอธิบายเลย ในความรู้สึกเรา การไม่มีหน้าร้านอาจทำให้โปรดักต์ยังไปไม่ถึงวงที่กว้างกว่านี้ แต่ในอนาคตเราจะวางขายที่ร้านอาหารและร้านชำที่บ้านที่ระยองที่กำลังจะเกิดขึ้น 

เราเห็นแบรนด์ต่างประเทศที่คนต้องไปต่อแถวซื้อ เทอริยากิซอสของพ่อครัวที่ผลิตมาเป็นสิบปี น้ำมันมะกอกของตระกูลนี้ในอิตาลี เราอยากรักษาความโฮมเมดอาร์ทิซานเอาไว้มากๆ อยากให้ผลิตภัณฑ์ของคี้เอ็งพานิชเป็นทางเลือกหนึ่งในบรรดาของฝากจากระยอง ไม่ว่าคนที่มากินอาหารที่ร้าน หรือคนมาเที่ยวระยอง นอกจากกะปิ น้ำปลา กุ้งแห้ง ก็อยากให้ผลิตภัณฑ์ของเราเป็นสิ่งที่คนต้องซื้อกลับบ้าน

มองย้อนกลับไปจากประสบการณ์ทั้งหมดของคุณ มีผลต่อการทำคี้เอ็งพานิชมากน้อยแค่ไหน

เราเรียนจบนิเทศศาสตร์ ระหว่างนั้นก็ทำอาหารมาตลอด ตั้งแต่เด็กก็รู้สึกว่าตัวเองชอบทำอาหารจัง พอเรียนจบเลยไปเรียนทำอาหารที่สวิตเซอร์แลนด์ เป็นคอร์สระยะสั้น 6 เดือนและฝึกงานอีก 6 เดือน ตอนฝึกงานเราอยู่ในครัวแค่สองคนคือเรากับเชฟ ทำงานวีคแรกเขาให้สั่งของแล้ว ตอนนั้นยังทำอะไรไม่เป็นเลย จำได้ว่ามีออร์เดอร์เข้ามาแค่ 5 โต๊ะ แต่เรายืนหันไปหันมาแบบคนล่ก งงว่าต้องหยิบอะไรก่อน-หลัง จนเชฟตะโกนออกมาให้อยู่เฉยๆ หยุดและหายใจก่อน และกลับไปอ่านออร์เดอร์ใหม่ 

อยู่ที่นั่นไม่นาน แต่เราทำงานทุกอย่างในร้านอาหารเป็น ลำดับงานทั้งหมด เข้ามาเปิดร้าน ล้างจาน เตรียมของ เก็บร้าน สั่งของ ในเรื่องการจัดการ วางแผนว่าพรุ่งนี้เข้ามาแล้วต้องทำอะไรก่อน-หลัง ทำให้เราเข้าใจการทำงานมากขึ้น แต่ระหว่างนั้น เราไม่ได้รู้สึกว่าอยากกินอาหารฝรั่งขนาดนั้น เรายังอยากทำอาหารไทยกินทุกวัน เวลาทำงานก็ทำได้ตามมาตรฐานที่เขาต้องการ แต่ใจเราคิดถึงอาหารไทยตลอดเวลา พอกลับมาก็ไปสมัครงานที่ร้านอาหารไทย

คี้เอ็งพานิช

อยู่ที่โบ.ลานเกือบสามปี เชฟโบ (ดวงพร ทรงวิศวะ) ค่อนข้างจริงจังเรื่องวัตถุดิบออร์แกนิก เรื่องอาหารทำมือ ทำพริกแกงตำด้วยมือ ทอดมันก็ฟาดด้วยมือ หรือตำรับตำราของเก่าของโบราณอย่างสมุนไพรที่กินเพื่อเอาสรรพคุณ ไม่ใช่ความอร่อยอย่างเดียว ไปจนถึงการจัดการขยะในร้าน เราได้ประสบการณ์จากตรงนั้นมา 

จากนั้นเราไปทำที่ซาหมวย แอนด์ ซันส์ เชฟหนุ่ม (วีระวัฒน์ ตริยเสนวรรธน์) พาไปเดินป่า ไปพูดคุยกับชาวบ้าน ทำให้เราได้เห็นคุณค่าที่เกิดขึ้น เราเองมาเรียนกรุงเทพฯ ตั้งแต่มัธยมต้นจนลืมไปแล้วว่าระยองมีอะไร แต่วันที่กลับไปกินข้าวในร้านที่เราเคยกินตอนเด็ก ร้านที่เคยรู้สึกว่าเป็นอาหารธรรมดาทั่วไป กลับกลายเป็นว่าพอเรากลับไปด้วยการเป็นคนใหม่ ในสายตาใหม่นั้นเราได้เห็นลูกเล่นในการปรุงอาหารหรืออะไรเล็กน้อยที่น่าสนใจในอาหาร เราถึงค่อยๆ เรียนรู้ว่ารายละเอียดที่เติบโตมาสร้างพลังบางอย่างให้เรา 

เรารู้ดีว่าการทำร้านอาหารในจังหวัดระยองไม่ง่าย รุ่นพี่ที่เปิดร้านมาก่อนก็แชร์ให้ฟังว่าคนพื้นที่เขาไม่ค่อยออกมากินหรอก ส่วนใหญ่เขากินข้าวที่บ้าน ซึ่งเราก็เห็นได้จากครอบครัวหรือญาติก็กินข้าวที่บ้านจริงๆ แต่เราก็ยังอยากลองทำดูก่อน อยากทำอาหารให้คนในพื้นที่กิน ซึ่งคงเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่ได้มีจำนวนเยอะมาก แต่มากกว่านั้นคือเราอยากกลับไปสร้างวัฒนธรรมใหม่ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ ให้ธุรกิจของเราเป็นกลไกหนึ่งที่ทำให้คนอยากกลับไปอยู่บ้าน

ตอนนี้เราทำแบรนด์ด้วยตัวคนเดียว แต่ในอนาคตเราอยากทำแบรนด์ให้ทุกคน โปรดักต์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ทำเพื่อสร้างอาชีพให้คนในพื้นที่ วัตถุดิบที่เลือกใช้ เลือกจากกลุ่มที่เชื่อมโยงกับวิสาหกิจชุมชน แบรนด์เขาอาจจะแข็งแรงกว่าแบรนด์เราด้วยซ้ำ แต่เราก็ยังอยากเป็นหนึ่งแบรนด์เล็กๆ ที่สนับสนุนเขา เชฟโบเคยสอนว่าถ้าเราไม่ซื้อเขาในวันที่เขาเริ่มต้น วันหนึ่งเขาจะหมดแรง และหันไปทำอย่างอื่น แต่ถ้าเราซื้อจนเขาอยู่ต่อไปได้ ถึงวันหนึ่งเราอาจไม่ได้เป็นลูกค้าเขา แต่วันนั้นเขาก็สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองแล้ว

เราทำธุรกิจโดยนึกถึงทุกคนที่เกี่ยวข้องในวงจรการผลิต ถ้าหลักการทำธุรกิจมีมากกว่า 4P เราว่า P สุดท้ายของเราคือ People

ความลับของฟ้าที่ว่าด้วยจุดร่วมของผู้ที่ประสบความสำเร็จและยิ่งใหญ่

‘ความลับของฟ้า’ ข้อนี้ พี่เล้ง–ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร แห่งบริษัท MFEC เคยเล่าผ่านปรัชญาโบราณและวิธีคิดในการดำเนินชีวิต โดยหมายถึงว่าใครรู้และเข้าใจถึงความลับนี้ ก็จะกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จหรือยิ่งใหญ่ในชีวิตได้ พี่เล้งเองก็เป็นคนที่ประสบความสำเร็จจากความลับนี้ในสายตาของผมและเป็นที่เคารพนับถือของคนที่ได้รู้จักพี่เล้งอย่างมาก

พี่เล้งเล่าว่า ในสังคมปกติจะมีคนอยู่ 3 กลุ่ม กลุ่มแรกเรียกว่า ผู้ให้ (giver) กลุ่มที่สองเรียกว่าผู้เอา (taker) อีกกลุ่มคือ ผู้ที่ให้มาก็รับ รับมาก็ให้ (transactor) พี่เล้งบอกว่าถ้าไปลองวาดกราฟดู คนที่ประสบความสำเร็จมากๆ ในสังคมกับคนที่ล้มเหลวมากๆ ในสังคมมักจะเป็นผู้ให้ทั้งสิ้น

ที่ล้มเหลวเข้าใจได้ไม่ยาก เพราะถ้าผู้ให้ไปอยู่ในดงของคนเอาแต่ได้แล้ว ก็คงจะรอดออกมายาก แต่ผู้ให้ที่อยู่ในฝั่งที่ประสบความสำเร็จนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร…

พอฟังเรื่องนี้จบ ผมเลยนึกถึงเรื่องสามเรื่องที่เคยได้ยินขึ้นมา

เรื่องแรกเป็นเรื่องของคุณอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของ Land & Houses และธุรกิจขนาดยักษ์อีกมากมาย

คุณอนันต์เคยเล่าถึงการได้ที่ดินผืนงามในราคาที่ไม่แพงที่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ Terminal 21 ว่าเกิดจากเมื่อก่อนหน้าจะได้ที่ดินผืนนี้หลายปี คุณอนันต์ได้ไปติดต่อซื้อที่ดินผืนหนึ่งจากเจ้าของคนหนึ่งแถวสีลม และได้บอกปากเปล่าว่าที่ดินสีลมนี้มีอัตราส่วนการสร้างที่ 4:1 จากความเป็นจริงในตอนนั้นแล้วก็เสนอราคาตกลงซื้อ-ขายกันเรียบร้อย   

เวลาผ่านไปไม่นาน มีการอนุมัติใหม่ให้ที่ดินผืนดังกล่าวมีอัตราส่วนใหม่ที่ 6:1 ทำให้คุณอนันต์ได้ประโยชน์มากขึ้นและคุณอนันต์เองก็ได้ซื้อที่ดินมาเรียบร้อยโดยไม่ได้มีเงื่อนไขอะไรอื่นอีก แต่ด้วยความเป็นคุณอนันต์ คุณอนันต์ก็ถือเงินสดส่วนหนึ่งที่ได้จากกำไรที่เพิ่มขึ้น เอาไปให้เจ้าของที่ดินเดิม ซึ่งเจ้าของที่ก็งงๆ เพราะได้ขายขาดไปแล้วและก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนนั้น แต่ก็คงประทับใจในความแฟร์ของคุณอนันต์ 

อีกหลายปีต่อมา เจ้าของที่ดินคนเดิมซึ่งมีที่อยู่อีก 10 ไร่ตรงอโศก ก็ประกาศให้เช่าที่ระยะยาวโดยมีราคาเริ่มต้นในการประมูลไม่แพงมากและมีคนสนใจมาร่วมประมูลมากมาย แต่พอคุณอนันต์แสดงความสนใจในที่ดินผืนนั้น เจ้าของที่ก็ไม่ลังเลที่จะให้คุณอนันต์ในราคาตั้งต้นโดยที่ไม่ต้องประมูลแข่งกับคนอื่นอีก คุณอนันต์ก็เลยได้ที่ดินผืนงามมาทำ Terminal 21 ในปัจจุบัน เป็นอานิสงส์จากการกระทำในอดีตโดยแท้

เรื่องที่สองเป็นเรื่องของคุณตัน ภาสกรนที

คุณตันเล่าเรื่องหนึ่งถึงสมัยที่ขายของเบ็ดเตล็ด เทปคาสเซตต์ หนังสือ นิตยสารอยู่แถวท่ารถที่ชลบุรี ลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่มาขึ้นรถที่แถวร้านคุณตันเพื่อไปกรุงเทพฯ

ปกติก็จะมีผู้ชายคนนึงชอบเดินเข้ามาเดินเล่นดูเทป ดูหนังสือฆ่าเวลาก่อนขึ้นรถไปทำงานที่กรุงเทพฯ แล้วก็กลับมาตอนเย็นๆ เดินดูอีกรอบแล้วก็กลับบ้าน ไม่เคยซื้ออะไรในร้านเลยเพราะราคาเทปสมัยนั้นไปซื้อที่กรุงเทพฯ ถูกกว่า  

จนวันหนึ่งฝนตกหนัก ชายคนนี้เดินเข้ามาในร้านด้วยสภาพเปียกปอน ในมือถือเอกสารอยู่ปึกหนึ่ง คุณตันสังเกตเห็น ไม่ได้พูดอะไรแล้วก็ยื่นถุงพลาสติกลายการ์ตูนที่วางขายอยู่ให้ถุงนึง ผู้ชายคนนั้นก็ขอบคุณแล้วก็เดินออกไป

หลังจากนั้นคุณตันบอกว่า ชายคนนั้นกลับมาและซื้อเทปซื้อหนังสือจากร้านคุณตันทุกครั้ง ถึงแม้ราคาจะแพงกว่าที่กรุงเทพฯ จนกลายเป็นเพื่อนสนิทกันในที่สุด

เรื่องที่สามเป็นเรื่องของ พี่สุรชัย พุฒิกุลางกูร อิลลัสเตรเตอร์อันดับหนึ่งของโลก  

พี่สุรชัยเคยเล่าเรื่องสมัยที่เรียนอยู่ที่ญี่ปุ่นแล้วไปรับงานเป็นล่ามในงานแสดงสินค้าศิลปะหัตถกรรมไทยที่นั่น พี่สุรชัยบอกว่าแกมีหน้าที่คอยอธิบาย (แบบงูๆ ปลาๆ) ให้คนญี่ปุ่นฟังถึงที่มาที่ไปของหัตถกรรมที่นำไปแสดงโชว์   

ในงานนั้นพี่สุรชัยสังเกตเห็นชายญี่ปุ่นแก่ๆ คนหนึ่งมาด้อมๆ มองๆ เดินดูงานแกะสลักช้างอยู่หลายวันและในที่สุดก็ตัดสินใจซื้อ พี่สุรชัยก็เลยไปถามว่าทำไมถึงสนใจและซื้องานชิ้นนั้น ชายญี่ปุ่นคนนั้นซึ่งภายหลังทราบว่าเป็นคุณครูโรงเรียน บอกพี่สุรชัยว่าที่ซื้อเพราะมาอยู่หลายวันและสังเกตคุณลุงคนไทยที่แกะสลักงานชิ้นนั้น แล้วรู้สึกว่าคุณลุงเป็นคนดีก็เลยคิดว่างานจะต้องดี ก็เลยซื้อ

พี่สุรชัยบอกว่า การมองงานศิลปะของคุณครูญี่ปุ่นนั้นเปลี่ยนโลกของพี่สุรชัยไปเลย คุณครูคนนั้นเชื่อว่า คนดีก็จะย่อมทำงานที่ดี เป็นวิธีคิดที่พี่สุรชัยคาดไม่ถึง และทำให้วิธีคิดนั้นติดอยู่ในหัวของพี่เขา จนไปประทับใจกับครีเอทีฟนิสัยดีคนหนึ่งแล้วยอมทำงานให้แบบแทบไม่คิดสตางค์เพราะอยากทำงานกับคนนั้น จนได้เป็นผลงานระดับสุดยอดของโลก (งาน Samsonite : Heaven and Hell) ที่ทำให้พี่สุรชัยแจ้งเกิดในเวทีระดับโลกได้อย่างงดงาม ด้วยความคิดที่ว่า คนดีย่อมทำงานที่ดี เป็นหลักในการทำงาน

ความลับของฟ้าที่พี่เล้งบอกก็คือว่า ถ้าผู้ให้ไม่ไปอยู่กับพวก taker หรือ transactor แต่กลับอยู่ท่ามกลางพวก giver ด้วยกัน โอกาสที่จะประสบความสำเร็จหรือทำอะไรได้เจริญรุ่งเรืองจะมีสูงมาก เพราะพวก giver ไม่ได้คิดแบบ zero-sum game ไม่ต้องมีเราชนะเขาแพ้ มีแต่ถ้าได้ต้องได้ด้วยกัน รวยด้วยกัน มีอะไรก็แบ่งปันกัน ยิ่งมียิ่งอยากแบ่ง กลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มที่ประสบความสำเร็จสูงในสังคม เป็นกลุ่มที่ส่งเสริมเกื้อหนุนกัน

ยิ่งให้ ยิ่งได้กลับมาก

เป็นความลับของฟ้าอีกข้อที่สอนให้เราต่อต้านแรงดึงดูดของความอยากได้ใคร่มี อยาก take เป็นความลับให้เราฝืนแรงโน้มถ่วงมาเป็นผู้ให้ในดงผู้ให้ ที่จะพาเราสู่สังคมและชุมชนที่เกื้อกูลกันในที่สุดนะครับ

Power Grid : ความคุ้มค่าในการลงทุน

ใครๆ ก็ว่าการบริหารธุรกิจเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ แต่ในฐานะที่เรียนจบวิชาการเงินและทำงานในแวดวงธนาคารมาหลายปี ผู้เขียนก็เชื่อว่า วิชา ‘การเงิน’ เป็นศาสตร์ที่ขาดไม่ได้ในการจัดการ และวิธีคำนวณ ‘ความคุ้มค่าในการลงทุน’ ก็เปรียบเสมือนมีดอเนกประสงค์ที่พกไว้ไม่เสียเปล่า

บอร์ดเกมที่ช่วยให้คนเล่นเข้าใจหลักคิดทางการเงินมีเป็นร้อยเป็นพัน แต่เกมที่ผู้เขียนเห็นว่าสอนเรื่องความคุ้มค่าในการลงทุนได้อย่างสนุกสนาน โดยที่คนเล่นไม่รู้ตัวว่าได้รับการสั่งสอน หนีไม่พ้น Power Grid เกมเศรษฐศาสตร์ชั้นครูจาก ฟรีเดอมันน์ ฟรีส นักออกแบบชาวเยอรมัน 

ตั้งแต่ออกฉบับแรกในปี 2004 ผ่านมาเกือบยี่สิบปี เกมนี้ก็ยังเป็นบอร์ดเกมที่คนรู้จักเป็นอันดับต้นๆ ในโลก ออกภาคเสริมทางการมา 16 ภาค ไม่นับเกมอื่นในซีรีส์ที่พลิกแพลงระบบเกมอีกหลายเกม

Power Grid ให้เรารับบทเป็นบริษัทพลังงาน ต้องคิดสะระตะทุกมิติตั้งแต่ว่า จะสร้างโรงไฟฟ้าแบบไหน (ใช้ถ่านหิน น้ำมัน นิวเคลียร์ ขยะ เป็นเชื้อเพลิง หรือพลังงานหมุนเวียนอย่างลม) จากนั้นก็ต้องไปซื้อวัตถุดิบในตลาดโลก ตัดสินใจว่าจะส่งไฟฟ้าให้เมืองใดและขยายเครือข่ายไฟฟ้าไปทางไหน จากนั้นก็ต้องผลิตไฟฟ้าขายเมืองเหล่านั้นได้จริงๆ จึงจะมีรายได้

แน่นอนว่าต้องทำทั้งหมดนี้ระหว่างที่แก่งแย่งกับคนอื่นในโลกทุนนิยม ผู้ชนะคือบริษัทที่สามารถส่งไฟให้เมืองจำนวนมากที่สุด ถ้าเสมอกันค่อยตัดสินกันที่เงิน เริ่มต้นทุกคนมีเงินเท่ากัน คือ 50 อิเล็กโตร (Elektro สกุลเงินในเกม) 

แต่ละตาในเกมแบ่งออกเป็น 5 ช่วง ช่วงแรกเปลี่ยนลำดับผู้เล่น ลำดับการเล่นในเกมนี้สำคัญมากเพราะการเล่นเป็นคนสุดท้ายในแต่ละตาได้เปรียบกว่าคนอื่น มีโอกาสสร้างโรงไฟฟ้าที่เทคโนโลยีดีสุดในตลาด ซื้อเชื้อเพลิงได้ในราคาดีที่สุด และมีโอกาสขยายเครือข่ายไฟฟ้าก่อนคนอื่น 

แล้วใครได้เล่นเป็นคนแรก ตำแหน่งที่เสียเปรียบที่สุด? Power Grid ให้คนที่ส่งไฟให้เมืองจำนวนมากที่สุดเล่นก่อนเพื่อน คนที่ส่งไฟให้เมืองจำนวนน้อยสุดเล่นทีหลังสุด กติกานี้เป็นการบังคับให้ผู้เล่นที่มีคะแนนนำ ‘ต่อ’ ให้กับคนที่ตามหลัง เพิ่มโอกาสในการไล่ทันและสร้างสมดุลให้กับเกม (เพราะถ้าปล่อยให้ใครสักคนนำโด่งและทิ้งห่างผู้เล่นคนอื่นออกไปเรื่อยๆ ได้อย่างง่ายดายจนไม่ได้ลุ้น คนอื่นอาจท้อแท้ ไม่รู้สึกสนุกกับเกมและไม่อยากเล่นจนจบ)

ช่วงที่ 2 ผู้เล่นทุกคนประมูลสัมปทานสร้างโรงไฟฟ้า แต่ละคนประมูลได้อย่างมากหนึ่งโรงเท่านั้นในตานี้ หรือจะไม่ประมูลเลยก็ได้ เวลาประมูลจะต้องเสนอราคาที่อย่างน้อยเท่ากับตัวเลขที่ระบุบนไพ่โรงไฟฟ้า หรือ 1 อิเล็กโตร ถ้าเป็นโรงไฟฟ้าที่ตัวเลขต่ำสุดในตลาด ตัวเลขบนไพ่โรงไฟฟ้าสะท้อนระดับเทคโนโลยี ยิ่งเทคโนโลยีก้าวหน้ายิ่งจ่ายไฟได้หลายเมือง แต่ราคาก็ยิ่งแพงเป็นเงาตามตัว 

ใครเสนอเงินสูงสุดจะได้โรงไฟฟ้านั้นๆ ไป ผลัดกันเลือกโรงไฟฟ้าขึ้นมาประมูลจนกระทั่งทุกคนได้โรงไฟฟ้าคนละหนึ่งโรง หรือตัดสินใจผ่าน เกมนี้ไม่มีการกู้เงิน ดังนั้นถ้าไม่มีเงินสดพอจ่ายค่าประมูล ก็อาจไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบอกผ่าน 

ผู้เล่นแต่ละคนมีโรงไฟฟ้าได้เพียง 3 โรงเท่านั้นตลอดทั้งเกม ทำให้การกะจังหวะว่าเมื่อไรเราควร ‘อัพเกรด’ โรงไฟฟ้า (ประมูลโรงใหม่มาแล้วทิ้งโรงเก่าไป) เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะถ้าจะเปลี่ยนชนิด (เทคโนโลยี) ของโรงไฟฟ้า เพราะเราไม่สามารถเก็บเชื้อเพลิงได้ นอกจากจะมีโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงชนิดนั้นๆ

ช่วงที่ 3 ผู้เล่นทุกคนมาซื้อเชื้อเพลิงที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิตไฟฟ้า (ยกเว้นโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน) จากตลาดเชื้อเพลิง ในช่วงนี้ไม่ต้องประมูล ซื้อตามราคาตลาดที่พิมพ์บนกระดาน ผู้เล่นคนสุดท้ายได้ซื้อก่อน ซึ่งได้เปรียบมากเพราะตลาดมีเชื้อเพลิงทุกชนิดจำกัด ใครซื้อก่อนซื้อได้ถูก ใครซื้อทีหลังต้องซื้อแพงขึ้นเพราะของมีน้อยลงแล้ว ตามหลักอุปสงค์-อุปทานในโลกจริง 

ไหนๆ ก็พูดถึงโลกจริง เชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้าใน Power Grid ก็สะท้อนโลกแห่งความจริงเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงที่มีราคาถูกที่สุดในเกมและมีมากที่สุด ขณะที่เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ (แร่ยูเรเนียม) มีน้อยและราคาแพง แต่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์หนึ่งโรงก็มีประสิทธิภาพสูง สามารถส่งไฟให้หลายเมือง ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงใดๆ แต่มีราคาแพงและผลิตไฟฟ้าส่งเมืองได้น้อยกว่าโรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล (เกมนี้ออกในยุคที่การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนยังไม่ก้าวกระโดดเท่ากับในปัจจุบัน ยังแข่งขันกับฟอสซิลไม่ได้ ควรยกประโยชน์ให้นักออกแบบไป!)

เราไม่สามารถซื้อเชื้อเพลิงได้ไม่จำกัด แต่ซื้อได้ 2 เท่าของจำนวนเชื้อเพลิงที่โรงไฟฟ้าของเราต้องใช้ เช่น ถ้าโรงไฟฟ้าถ่านหินมีรูปถ่านหิน 2 ชิ้น ก็แปลว่าสามารถเก็บถ่านหินในโรงนั้นได้ 2×2 = 4 ชิ้น กติกานี้ทำให้เราแกล้งคนอื่นด้วยการกักตุนเชื้อเพลิงมากเกินความจำเป็นได้ ถ้าคนอื่นมีโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงชนิดเดียวกัน (ซึ่งเราก็อาจประกาศว่าไม่ได้แกล้งใคร ไม่ได้อยากให้ใครไม่มีเชื้อเพลิงใช้หรอกนะ แค่อยากวางแผนเพื่ออนาคตเท่านั้นเอง)

ช่วงที่ 4 ผู้เล่นแต่ละคนจ่ายเงินขยายโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อส่งไฟให้กับเมืองต่างๆ บนแผนที่ ใครเล่นเป็นคนสุดท้ายได้เลือกก่อนเช่นเดียวกับช่วงที่สาม เงินที่ต้องจ่ายในช่วงนี้มีทั้ง ‘ค่าเชื่อมต่อ’ และ ‘ค่าสัมปทาน’ ของเมือง ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ระบุเป็นตัวเลขชัดเจนบนแผนที่ ทำให้วางแผนได้ตั้งแต่เริ่มเกมว่าอยากส่งไฟจากไหนไปไหนบ้าง แต่ก็ต้องแก่งแย่งกันอยู่ดีเพราะจำนวนเมืองบนแผนที่มีจำกัด การตัดสินใจของผู้เล่นคนอื่นอาจบีบบังคับให้เราต้องเปลี่ยนแผนที่วาดฝันมาอย่างสวยงาม

ช่วงที่ 5 หรือช่วงสุดท้ายของตา คือช่วงที่เราจะมีรายได้เสียที หลังจากที่จ่ายอย่างเดียวมา 4 ช่วง เกมจะจ่ายเงินสดให้เราตามจำนวนเมืองที่เราส่งไฟได้ ยิ่งส่งได้หลายเมืองยิ่งได้เงินเยอะ ซึ่งก็หมายความว่าเราต้อง 1) ต่อโครงข่ายไฟฟ้าไปถึงเมืองเหล่านั้น และ 2) มีเชื้อเพลิงเพียงพอที่จะจ่ายเพื่อผลิตไฟฟ้า เป็นไปได้ที่เราจะไม่มีโครงข่าย หรือมีเชื้อเพลิงมากพอที่จะส่งไฟได้เต็มศักยภาพ เช่น เราอาจมีโรงไฟฟ้า 3 โรง มีศักยภาพที่จะส่งไฟให้เมืองทั้งหมด 12 เมือง แต่ในความเป็นจริงเราสร้างโครงข่ายเชื่อมเมืองได้ 10 เมือง และมีเชื้อเพลิงพอให้โรงไฟฟ้า 2 โรงเดินเครื่อง อีกโรงเดินเครื่องไม่ได้เพราะไม่มีเชื้อเพลิง ทำให้ผลิตไฟฟ้าส่งเมืองได้เพียง 8 เมืองเท่านั้น ในกรณีนี้เราก็จะได้เงินสำหรับการส่งไฟ 8 เมืองที่ทำได้จริง ไม่ใช่ 12 เมืองตามศักยภาพ

ใครก็ตามที่ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าส่งเมืองไหนๆ ได้เลยแม้แต่เมืองเดียว จะได้เงิน 10 อิเล็กโตรปลอบใจ (เปรียบได้กับ ‘ค่าความพร้อมใช้’ ที่รัฐบาลไทยต้องจ่ายให้กับบริษัทผลิตไฟฟ้าถึงแม้โรงไฟฟ้าจะไม่ได้เดินเครื่อง ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าของเราแพงเกินควรเพราะใช้ระบบการบริหารจัดการพลังงานที่ไม่ยุติธรรมกับผู้บริโภค) 

ในช่วงท้ายตา ตลาดเชื้อเพลิงและตลาดประมูลโรงไฟฟ้าจะถูกเติม ทรัพยากรทุกชนิดในเกมนี้มีวันหมด ถ้าต้องเติมเชื้อเพลิงชนิดไหนแล้วในกองกลางเหลือไม่พอให้เติม ก็แปลว่าผู้เล่นแต่ละคนกักตุนเชื้อเพลิงชนิดนั้นไว้ในโรงไฟฟ้าของตัวเอง กรณีนั้นตลาดเชื้อเพลิงก็จะมีของน้อยลง (ซึ่งแน่นอนว่าราคาก็จะแพงขึ้น) 

ช่วงท้ายเกมใน Power Grid เป็นช่วงที่ทุกคนจะได้ลุ้นอย่างตื่นเต้น เพราะคนที่จุดประกายการจบเกมคือคนแรกที่ขยายโครงข่ายเชื่อมเมืองตามจำนวนขั้นต่ำ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้เล่น (18 เมือง ถ้าเล่น 2 คน ไปจนถึง 14 เมือง ถ้าเล่น 6 คน) แต่คนที่จุดประกายอาจไม่ใช่ผู้ชนะก็ได้ เพราะเขาหรือเธออาจไม่มีเชื้อเพลิงมากพอที่จะปั่นไฟส่งได้ครบทุกเมือง หรือว่าคนอื่นอาจทุ่มทุนในตาสุดท้าย ขยายเครือข่ายและส่งไฟจนแซงได้สำเร็จ 

ชัยชนะใน Power Grid บ่อยครั้งจึงเป็นชัยชนะแบบเฉือนกันเพียงปลายจมูก ตัดกันเพียง 1 เมืองเท่านั้น หรือส่งไฟได้จำนวนเมืองเท่ากันเป๊ะจนต้องใช้เงินเป็นตัวตัดสิน

กติกาแทบทุกข้อใน Power Grid บังคับให้เราลงทุนเฉยๆ ไม่ได้ แต่ต้องคิดคำนวณ ‘ความคุ้มค่าในการลงทุน’ ก่อนการตัดสินใจทุกเรื่อง เพราะเงินเรามีจำกัด ทุกอย่างในเกมต้องใช้เงิน และเราจะได้เงินเพิ่มก็ต่อเมื่อสามารถส่งไฟป้อนเมืองต่างๆ ได้จริง

ยกตัวอย่างเช่น เราต้องคิดตั้งแต่ช่วงแรกในแต่ละตาว่า คุ้มไหมที่จะทุ่มเงินประมูลซื้อโรงไฟฟ้าเทคโนโลยีสูงๆ ในตานี้ ถ้าต้องหมดเงินไปกับการประมูลจนไม่มีเงินพอจ่ายค่าเชื้อเพลิงให้โรงไฟฟ้าโรงเดิมปั่นไฟ หรือซื้อเชื้อเพลิงได้แต่ไม่มีเงินพอจ่ายค่าเชื่อมต่อ ขยายการส่งไฟไปเมืองอื่น 

Power Grid บังคับให้เรามอง ‘ความคุ้มค่าในการลงทุน’ ผ่าน ‘กรอบเวลา’ ที่เหมาะสมด้วย บางครั้งเราต้องวางแผนการลงทุนเพื่อรายได้ในอีก 2-3 ตาในอนาคต ครุ่นคิดว่าเราจะกระจายความเสี่ยงด้านเชื้อเพลิงด้วยการเพิ่มหรือเปลี่ยนชนิดของโรงไฟฟ้าหรือไม่ ถ้าทำจะทำเมื่อไรดี และเมื่อไรที่เราควรขยายโครงข่ายการจ่ายไฟ 

การตัดสินใจเหล่านี้เราจะใช้เวลาคิดนานก็ไม่ได้ เพราะคู่แข่งคนอื่นๆ ก็คิดเรื่องเดียวกันตลอดเวลา คนอื่นอาจทุ่มเงินประมูลโรงไฟฟ้าที่เราอยากได้ หรือเชื่อมต่อเมืองตัดหน้า บังคับให้เราเปลี่ยนแผนไปทางอื่น บ่อยครั้งเราต้องพยายามเดาใจคู่แข่ง เช่น เขาอยากได้โรงไฟฟ้านี้จริงไหมนะ หรือเพียงแต่มาดันราคาประมูลสูงๆ เพื่อกลั่นแกล้งเรา เขาจะขยายโครงข่ายไปเมืองที่เรากำลังเล็งอยู่หรือเปล่า หรือจะพยายามขยายแบบต่างคนต่างอยู่ 

กลยุทธ์ที่ปูทางสู่ชัยชนะใน Power Grid ไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งนั่นก็คือเสน่ห์อย่างหนึ่งของเกมนี้ที่ทำให้เล่นแล้วเล่นอีกได้เรื่อยๆ ไม่รู้เบื่อ เราจะเลือกเส้นทางแนว ‘อย่ามายุ่งกับข้า’ บวก ‘ช้าแต่ชัวร์’ ใช้โรงไฟฟ้าแต่ละโรงอย่างคุ้มค่า เลือกเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าที่คนอื่นไม่สนใจ ค่อยๆ สร้าง ค่อยๆ ขยาย แลกกับความเสี่ยงที่จะโดนคนอื่นแซงเข้าวิน หรือว่าจะเลือกเส้นทางแบบ ‘ใครใหญ่ใครอยู่’ กีดกันคู่ต่อสู้ทุกวีถีทาง แกล้งปั่นราคาประมูลโรงไฟฟ้าไปสูงๆ แกล้งกักตุนเชื้อเพลิงเพื่อบีบให้คนอื่นไม่มีใช้ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงที่เราจะต้องควักเงินซื้อโรงไฟฟ้าที่แกล้งปั่นราคาเอาไว้เอง ทั้งที่ไม่ได้อยากได้ หรือมัวแต่แกล้งคนอื่นจนไม่มีเงินขยายเครือข่ายของตัวเอง

การตัดสินใจยากๆ ที่บังคับให้เราต้องคิดคำนวณ ‘ความคุ้มค่าในการลงทุน’ ทุกครั้งก่อนจ่ายเงินหรือขานราคาประมูล ทำให้ Power Grid เป็นเกมเศรษฐศาสตร์ที่ดีที่สุดเกมหนึ่งในโลกของบอร์ดเกม ใครเล่นเกมนี้บ่อยๆ ผู้เขียนเชื่อว่าจะได้เรียนรู้และซึมซับหลักการเงินที่สำคัญข้อนี้โดยไม่รู้ตัว ระหว่างกำลังรู้สึกเพลิดเพลิน สะใจ ตึงเครียด หรือลุ้นตัวโก่งบนกระดาน

เรื่องเล่าผ่านนามบัตร 8 ใบ ที่หล่อหลอมจนกลายมาเป็น ‘บุณย์ญานุช’ แห่ง Bar B Q Plaza

หลายคนอาจคิดว่าผู้บริหารระดับ C Level ที่มีตำแหน่งขึ้นต้นด้วยตัว C ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น CEO, CFO, CMO หรือ C อะไรก็ตามที่มีหน้าที่กำหนดกลยุทธ์และทิศทางขององค์กร ล้วนแต่จะต้องเรียนจบปริญญาโทเป็นอย่างน้อยหรือไม่ก็มีดีกรีเรียนจบจากเมืองนอกอยู่ในเรซูเม่

ทว่าไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป เมื่อได้พบกับเรื่องราวของ บุณย์ญานุช บุญบํารุงทรัพย์ CMO หรือ Cheif Possible Marketing Office ของ Food passion บริษัทเจ้าของแบรนด์ร้านอาหารที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีอย่าง Bar B Q Plaza 

โปร์ไฟล์ของเธอนั้นไม่ได้แตกต่างหรือโดดเด่นจากคนทั่วไปมากนัก เธอเติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลาง ไม่มีเส้นสาย เข้าไปเรียนโรงเรียนมัธยมแถวบ้านได้ด้วยการจับฉลาก เข้ามหาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะนิเทศศาสตร์ด้วยเหตุผลที่ว่าเอ็นทรานซ์ไม่ติดและเป็นมหาวิทยาลัยที่มีดาราเรียนเยอะ เลือกเรียนในเอกประชาสัมพันธ์จากการตัดชอยส์ที่คิดว่าคงเรียนวารสารไม่ได้เพราะเขียนไม่เก่ง ไม่เรียนโฆษณาพราะคิดว่าเป็นคนไม่ครีเอทีฟ จบปี 4 ก็เข้าทำงานในบริษัททันที ไม่ได้ต่อปริญญาโท ไม่เคยไปเรียนต่างประเทศ แต่ใช้ประสบการณ์และความรักในทุกงานที่ทำเป็นบันไดในการไต่ขึ้นมาเป็นผู้นำองค์กร และกลายมาเป็นอีกหนึ่งคนสำคัญที่ทำให้แบรนด์ Bar B Q Plaza กลับมาผงาดในตลาดปิ้งย่างในบ้านเราได้อีกครั้ง

00

ก่อนจะมีนามบัตรใบแรก

เราเรียน ม.กรุงเทพ แต่มีทั้งเข็ม ม.รังสิต ทั้งเข็ม ABAC ไม่ใช่ว่าเรียนเยอะนะ แต่ไปเที่ยวกับเพื่อนบ่อย เพื่อนที่มาจากมัธยมก็จะไปเรียน ม.รังสิตบ้าง ABAC บ้าง ก็ไปหา (หัวเราะ) จำได้ที่พีคสุดคือวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ต้องสอบ เพื่อนคนนึงก็พูดว่า เราไปอ่านหนังสือที่ RCA กัน แน่นอนว่าลงเอยด้วยการไม่ได้อ่าน 

“จนปี 1 เทอม 1 ได้เกรด 1.65 ใบเกรดก็ส่งมาที่บ้าน เลยบอกป๊าว่าได้เกรดเท่านี้นะ ป๊าเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรก็หันมาพูดแค่ว่า ชีวิตตัวเองก็ต้องรักตัวเอง พ่อแม่ก็มีหน้าที่แค่ส่งเรียนให้ดีที่สุด มันก็เป็นคำพูดที่ทำให้เราคิดนะ แต่ก็ยังไม่ถึงกับคิดได้

“สิ่งที่ทำให้คิดได้และเปลี่ยนตัวเองจริงๆ คือวันนึงนั่งอยู่ในโรงอาหาร มีเพื่อนคนนึงเดินมาแล้วถามว่าบุ๋มๆ เธอได้เกรดเท่าไหร่ เราก็ไม่ได้คิดอะไรก็บอกไปว่า 1.65 สิ่งที่เพื่อนคนนั้นตอบกลับมาก็คือ อ้าว แล้วเธอยังนั่งอยู่ตรงนี้อยู่อีกเหรอ อีกคนที่ได้ 1.78 มันลาออกไปแล้วนะ ฟังแล้วรู้สึกเหมือนโดนหยาม แล้วด้วยความที่ตอนนั้นเป็นคนชอบเอาชนะ ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนเป็นคนใหม่  ตัดสินใจย้ายออกจากคอนโดที่เคยอยู่กับเพื่อนที่ไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ มาอยู่คนเดียว ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ จนเวลาผ่านไปเราเกรดก็ดีขึ้นเรื่อยๆ คราวนี้มีแต่ A กับ B จากเป็นคนที่เพื่อนชวนไปเที่ยว เลยกลายมาเป็นคนที่เพื่อนชวนไปติวหนังสือให้แทน 

“จนตอนปี 4 มันมีวิชานึงที่ต้องจัดสัมมนา เรารับหน้าที่เป็นคนเชิญสปีกเกอร์มาพูดในห้อง ก็ไปเชิญพี่ที่ทำงานอยู่ Leo Burnett มาพูด ตอนแรกพี่เขาตอบตกลง แต่ระหว่างทางมันก็มีความขลุกขลัก พอถึงเวลาจริงๆ พี่เขาเหมือนจะเทจะไม่มา เราก็เลยบอกเขาไปว่า พี่มีสิทธิที่จะไม่มานะคะ พวกเราเคารพในการตัดสินใจของพี่ แต่รู้เอาไว้เลยนะคะว่าเด็กอีกสิบกว่าคนจะเรียนไม่จบถ้าพี่ไม่มา

“สุดท้ายเขาก็มาให้ แล้วก็เขียนกระดาษทิ้งไว้แผ่นนึง บอกว่าเรียนจบเมื่อไหร่ให้โทรไปหาเขา แล้วก็ทำให้เราได้ทำงานที่ Leo Burnett เป็นครั้งแรก”

01

พนักงานชั่วคราว 
บริษัทเอเจนซีโฆษณา Leo Burnett

“เมื่อก่อนคนจะคิดว่าคนทำงานเอเจนซีโฆษณาจะต้องเฟียร์ซๆ แต่งตัวเก๋ๆ แต่เราคือไม่เลย เส้นทางที่เราไปอยู่ Leo Burnett มันไม่ได้สวยงาม เราเป็นโนบอดี้สุดๆ ไม่ได้เป็นพนักงานประจำด้วยซ้ำ เป็นแค่พนักงานชั่วคราว หน้าที่ก็คือเป็นผู้ช่วยเลขาของพี่คนนั้นที่เราเคยเชิญมาในงานสัมมนาอีกที เหมือนไปทำงานเอกสาร ดูว่าเอาเอกสารเข้าแฟ้มยังไงให้กระดาษเท่ากัน เวลาเสียบกระดาษต้องทำยังไงให้มันเป็นระเบียบ

อีกงานที่ได้ทำที่ Leo Burnett คือการเป็นสตาฟฟ์ตามอีเวนต์ต่างๆ ของลูกค้า มีลูกค้าอยู่เจ้านึงเป็นแบรนด์ปุ๋ยแล้วเขาไปจัดต่างจังหวัด เราก็เลยต้องออกไปด้วย เป็นงานอีเวนต์ที่มีดนตรีลูกทุ่ง แล้วเราก็เป็นเด็กเฝ้าบูทกิจกรรมให้ชาวบ้านเอาถุงปุ๋ยมาแลกเพื่อเล่นเกมยิงจุกน้ำปลา คนก็เล่นเกมยิงปืนไป เราก็นับถุงไป แต่นับอยู่ดีๆ ก็มีเสียงดัง

“ปรากฏคราวนี้เป็นเสียงปืนจริง  มีคนตีกันในงาน ตอนนั้นคือตกใจสุดขีด มุดเข้าไปหลบใต้โต๊ะ แล้วจุกน้ำปลาที่วางอยู่บนโต๊ะมันก็ค่อยๆ เทลงมาใส่หัว มีคนวิ่งวุ่นหลบกระสุนไปมา ถ้านึกภาพคือเหมือนในหนังตลกเลย

“อีกงานที่จำได้ตอนอยู่ Leo Burnett คือเป็นอีเวนต์ของยาสระผมแบรนด์หนึ่ง คราวนี้ได้เลื่อนขั้น จากคนเฝ้าบูทมาเป็นหัวหน้าคนเฝ้าบูทอีกที ก็ไปคอยดูแลพนักงานตามจุดต่างๆ กิจกรรมของแบรนด์คือให้ลูกค้ามาสระผมฟรี เอาคนมาสระผมในห้าง แต่ทีนี้ท่อตันเราเลยต้องไปนั่งทะลวงท่อเพื่อให้น้ำมันไหลได้ 

“ตอนนั้นก็เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ ต้องนั่งรถตู้ไปในหลายจังหวัด นอนโรงแรมบรรยากาศชวนขนลุก แล้วพอพี่ๆ ทีมงานที่เขาอยู่ต่างจังหวัดเห็นหน้าตาเราดูเด็กๆ หมวยๆ แต่เราลุย เขาก็บอกกับเราว่า ‘อีหมวยๆ มึงนี่แจ๋วว่ะ’, ‘อีหมวยพ่อแม่มึงกล้าส่งมาได้ไงวะ’

“นึกย้อนกลับไปแล้วก็สนุกดี แต่ทำไปได้ปีกว่าเราก็ตัดสินใจลาออกมา เพราะเราอยากเป็นพนักงานประจำ อยากได้บัตรแข็งแบบคนอื่นเขาบ้าง ส่วนที่ Leo Burnett ถึงจะไม่ได้ทำงานที่ชอบ แต่พอวันนี้ลองมองย้อนกลับไปก็รู้สึกว่าสิ่งต่างๆ ที่พี่เลขาคนนั้นสอนมันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเป็นคนใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของงานด้วยเหมือนกัน อีกอย่างที่ได้คือมันทำให้เรามองเห็นและเข้าใจความรู้สึกของพนักงานตำแหน่งเล็กๆ ที่หลายคนอาจไม่เห็นได้ชัดเจนขึ้น”

02

Account Executive
บริษัทเอเจนซีโฆษณา McCann 

“มาอยู่ที่นี่ได้บัตรแข็ง ได้เป็นพนักงานสมใจแล้ว แต่ก็อยู่แค่ 7 เดือน เป็น 7 เดือนที่ค่อนข้างทรมาน เพราะเราได้ไปทำ global account เจ้าหนึ่ง ด้วยความเป็นแบรนด์ global เราเลยแทบไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะเขามีแพตเทิร์นมาให้อยู่แล้ว หน้าที่เราก็คือแปล ซึ่งเราเป็นคนที่ภาษาอังกฤษห่วยมากๆ  

“อีกอย่างคือดันไปเจอการเมืองในที่ทำงาน เราดันไปสนิทกับพี่คนนึงมากๆ แต่พี่คนที่สนิทไม่ถูกกับหัวหน้าเราก็เลยโดนหางเลขไปด้วย โดนเรียกเข้าไปในห้องหัวหน้าแล้วบอกว่าเราทำตัวไม่ดีเพราะเราดันไปสนิทกับคนที่เขาไม่ชอบ ก็เลยรู้สึกว่า เฮ่ย นี่มันอะไรกัน

“แต่ถึงจะอยู่ไม่นานมาก มันก็มีสิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้เหมือนกัน หนึ่งคือได้รู้ว่าเราไม่ได้ชอบงานที่เป็นแพตเทิร์น ชอบอะไรที่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองมากกว่า ส่วนสองคือได้รู้ว่าถ้าวันนึงเราได้เป็นหัวหน้าเราจะไม่ทำแบบนี้กับน้องๆ คนไหน”

03

 Account Executive, Account Manager
บริษัทเอเจนซีโฆษณา SC Matchbox

“ย้ายมาที่นี่ คราวนี้ได้ทำงานที่เป็น AE จริงๆ แล้ว ดีใจสุดๆ ตอนนั้นแอ็กเคานต์ที่เราดูคือ GSM เป็นยุคที่มือถือเฟื่องฟูมาก ธุรกิจค่ายมือถือแข่งขันกันหนักมาก 

โรงเรียน SC Matchbox สอนให้เราได้รู้จักการทำงานโฆษณาจริงๆ ทำให้เราได้มีโอกาสทำชิ้นงานบนสื่อทุกรูปแบบ ทั้งทีวี วิทยุ บิลบอร์ด ได้รู้ว่าในเมสเซจเดียวกัน เราจะเอาไปปรับให้เข้ากับสื่อต่างๆ ได้ยังไง ถ้าเราจะขายเค้กแต่ขายบนวิทยุซึ่งคนไม่เห็นภาพ เราต้องทำยังไงให้คนเหมือนเห็นภาพรู้สึกอยากกิน 

“แล้วก็เป็นที่ที่ทำให้รู้ว่า อ๋อ วงการโฆษณาคือแบบนี้ เริ่มมีความเข้าใจว่าเราต้องตีโจทย์ยังไง จับประเด็นยังไง จุดขายคืออะไร เพื่อที่จะเอามาเล่าให้ครีเอทีฟฟังให้เขารู้สึกอินสไปร์กับโจทย์เหมือนที่เรารู้สึก 

“การจะทำให้เขารู้สึกอินสไปร์เราเองก็ต้องทำการบ้านมาเป็นอย่างดี เราจะไม่ทำตัวเป็น AE ที่เป็นแค่เมสเซนเจอร์ก๊อปแปะแล้วส่งเลย ไม่อยากให้คนที่มารับงานต่อจากเราไปบอกว่าเราทำงานเหมือนเอาเท้าเขี่ย เพราะเราเป็นคนรักทุกงานที่ตัวเองทำ

“นอกจากนี้แล้วเราก็ยังได้ฝึกการสร้างทีมด้วย แม้ตำแหน่งเราจะไม่ใช่หัวหน้า แต่บางครั้งการทำงานที่นี่ก็ทำให้เราได้เป็นหัวหน้าตามสถานการณ์ เวลาโดนลูกค้าด่าก็จะโดนด้วยกัน เวลาสู้ก็จะสู้ให้กับคนในทีมไม่ใช่สู้เพื่อตัวเราเองคนเดียว”

04

Account Manager, Senior Account Manager
บริษัทเอเจนซีโฆษณา DY&R

“เราเป็นคนมีเป้าหมาย เป็นคนคิดว่าทุกสองปีต้องขึ้นตำแหน่ง ไม่อยากจะปล่อยชีวิตให้อยู่เฉยๆ บวกกับตอนนั้น DY&R เปิดรับพอดีก็เลยตัดสินใจไปสมัคร แล้วเขาก็รับเพราะเห็นว่าเด็กคนนี้ต้องอึดถึกทนแน่ๆ เพราะทำมาทุกอย่างแล้ว 

“แอ็กเคานต์ที่เราไปทำคือ Dtac Dprompt ตอนเราเข้าไปคือแคมเปญเขารันแล้ว ยิ่งใหญ่เลย มีแปะป้ายคำว่า ดีดีดี ทั้งเมือง เราเข้าไปทำขาที่เป็น prepaid ของเขา เป็นช่วงที่เขากำลังจะรีแบรนดิ้ง ความโชคดีก็คือเราเจอลูกค้าเก่ง แล้วมันก็เลยทำให้เราเก่งตาม ตอนเราทำ พี่โจ้–ธนา เธียรอัจฉริยะ เป็น Head ของงานนี้ ก็ได้เรียนรู้สกิลต่างๆ จากเขามากมาย  

สกิลแรกคือการรีแบรนดิ้ง ตอนอยู่ SC Matchbox เราได้เรียนรู้เรื่องการทำโฆษณา แต่ไม่เข้าใจความเป็นแบรนดิ้งว่ามันคืออะไร

ที่นี่ทำให้เรารู้ว่าการสร้างแบรนด์มันไม่ใช่แค่การทำหนังโฆษณาหนึ่งเรื่องแล้วก็จบ แต่มันคือทุกย่างก้าวของแบรนด์ที่เดินไปสัมผัสกับลูกค้า สมัยก่อนมันไม่มีคำว่า touch point สมัยก่อนเขาก็จะพูดว่าทุกสื่อทุกชิ้นงานที่ออกไปนั่นแหละคือการสร้างแบรนด์ 

“เราได้รู้เรื่องการรีแบรนดิ้งว่ามันคือการดีไซน์ transition ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย แต่ต้องทำให้สิ่งนี้มันไม่ขาดตอน เปรียบเทียบง่ายๆ  การรีแบรนดิ้งก็เหมือนกับการไปทำศัลยกรรมที่เกาหลีแบบยกเครื่อง กลับมาเราสวยไหม สวยนะ แต่คนจะจำไม่ได้ว่านี่คือเราและไม่ได้มีอะไรรีเลตกลับมาที่ตัวเราเลย ดังนั้นการรีแบรนดิ้งที่เจ๋งคือยังเป็นเรานี่แหละแต่มันสวยขึ้น มีเสน่ห์ขึ้น โดยที่คนไม่รู้ว่าเราทำอะไร ต้องค่อยๆ เปลี่ยนแบบไต่ระดับไป

“ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็อย่างโลโก้ ถ้าลองย้อนไปดูการเปลี่ยนโลโก้ของเขามันจะมีการไต่ระดับเรื่อยๆ เริ่มจากตอนแรกจะเป็นโลโก้ Dprompt ก่อน จากนั้นก็จะกลายเป็นโลโก้ Dprompt เดิมที่เติมคำว่า Happy เข้าไป ต่อมาโลโก้ Happy ก็จะใหญ่ขึ้นส่วนโลโก้ Dprompt ก็ค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็เล็กจนตัดคำว่า Dprompt ออกไป เหลือแค่เพียงคำว่า Happy ในโลโก้เท่านั้น

“ถ้าจำกันได้มันจะมีเพลงที่ร้องว่า เติมอมยิ้มให้แดดเมื่อยามเช้า เติมเพลงรักให้เมืองที่เงียบเหงา เราคือ AE ของงานนั้น ทุกวันนี้มองย้อนกลับไปคือโคตรดีใจเลยที่เคยทำมัน”

05 

Account Director 
บริษัทเอเจนซีโฆษณา TBWA

อย่างที่บอก เราเป็นคนมีเป้าหมาย อยากไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ เป็น  Account Manager แล้ว แต่ความฝันขั้นสูงสุดของเราในตอนนั้นคือ Account Director ตอนนั้นเราดูลูกค้า True เราอยู่มาหมดแล้ว โอเปอร์เรเตอร์ทั้ง 3 เจ้า 

“ช่วงนั้นเขากำลังจะยุติจาก Orange มาเป็น True แล้วจะเริ่มทำอินเทอร์เน็ตออนไลน์ ซึ่งต้องบอกว่าคำนี้มันเป็นอะไรที่ใหม่มากๆ เลยนะสำหรับ 19 ปีที่แล้ว การทำงานตอนนั้นมันเป็นอะไรที่เปิดโลกให้เรามากๆ แล้วก็ทำให้เราต้องเรียนรู้ศัพท์ทางเทคนิคเยอะมากๆ ด้วยเช่นกัน ยังไม่ถึงกับต้อง educate ผู้บริโภคนะ แค่ educate ตัวเองเวลาไปรับบรีฟลูกค้าก็เป็นอะไรที่ยากมากแล้ว

“แล้วพอได้เป็น Account Director แบบที่ฝันแล้ว พอทำไปอีกสักพักมันก็เริ่มรู้สึกเต็มอิ่มกับสิ่งที่ทำมาตลอดหลายปี บวกกับตอนนั้น KTC เขาเปิดรับ Marketing Manager อยู่พอดี ยุคนั้น KTC เป็นองค์กรที่มีความ creative marketing มากๆ ดูเปิดโอกาสให้คิดนอกกรอบมากมาย ก็เลยตัดสินใจไป”

06 

Marketing Manager, Senoir Marketing Manager
บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

จากคนโฆษณา ข้ามสายมาบัตรเครดิตมันไม่ง่ายเลยนะ คนละเรื่องเลย จะมาทำบัตรเครดิตแต่บวกเลขยังผิดเลยตอนนั้น แต่สุดท้ายเราก็อยู่ที่ KTC มาได้ 7 ปี 

“ช่วงแรกเราไปทำในหน่วยที่เรียกว่า Card Usage ที่นี่เขาจะแบ่งคนดูแลการใช้บัตรตามประเภทสินค้า เช่น มีคนดูน้ำมันรถยนต์, โรงพยาบาล, ไฮเปอร์มาร์เก็ต, ซูเปอร์มาร์เก็ต อะไรต่างๆ ก็แบ่งไป ส่วนหน้าที่เราคือดูแล consumer product (สินค้าที่ผู้บริโภคใช้กันทั่วไป) และ hypermarket (ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่) ซึ่งเป็นประเภทที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากน้ำมันรถยนต์ 

“สิ่งที่เราได้จากการทำงานที่ KTC คือสกิลการต่อรอง ซึ่งเป็นการต่อรองที่ต่างจากตอนทำเอเจนซีนะ อย่างเอเจนซีคือเราต้องต่อรองแบบทรีตลูกค้า แต่การต่อรองที่ KTC เป็นสกิลต่อรองแบบ win-win situation ต่อรองแบบพาร์ตเนอร์ เราได้เขาก็ได้ 

“อีกจุดนึงคือได้เรียนรู้การทำ loyalty program แบบใหม่ คือสมัยก่อนเวลาคนเขาแลกคะแนนบัตรเครดิตกันจะต้องใช้วิธีการส่งแฟกซ์ แล้วก็ส่งของตามมาที่บ้าน ตอนนั้นเขาก็เลยคิดกันว่าแค่แค็ตตาล็อกที่ต้องพิมพ์ส่งให้ลูกค้าก็หลายล้านบาทแล้ว ถ้างั้นน่าจะเปลี่ยนจากการพิมพ์แค็ตตาล็อกมาเป็นการแลกคะแนน ณ จุดขายจะดีกว่า ผลักต้นทุนจากกระดาษมาเป็นเครื่อง EDC แทน ซึ่งอีกมุมนึงการที่มีเครื่อง EDC ของแบรนด์ตั้งอยู่ ณ จุดชำระเงิน ก็ทำให้คนได้เห็น KTC มากขึ้นด้วยเช่นกัน

“พอเขาจะทำโปรเจกต์นี้กัน เรายกมือขอทำเลย แล้วเราก็ได้ดูแลงานที่เรียกว่า KTC Forever Reward มันเป็นงานที่ทำให้เราได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์มาทำเป็นข้อเสนอต่างๆ เอาพอยต์เล็กๆ มาแลกเป็นของกินเล็กๆ อย่างโดนัท ไอศครีม หรือขนมต่างๆ ได้ เพื่อให้ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าคะแนนที่อยู่ในบัตรเครดิตมันเอื้อมถึงง่าย มันไม่ใช่ต้องสะสมคะแนนแบบ 50,000 หรือ 100,000 คะแนนแลกตู้เย็น

“แต่สุดท้ายก็ลาออกมาจาก KTC ออกมาด้วยความรู้สึกอกหัก เราทำงานหนักแต่กลับไม่ได้รับการโปรโมตเท่าคนอื่น ก็เลยรู้สึกว่าต้องมูฟออนต่อไป”

07

General Manager
บริษัท เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ทรี จำกัด

หลายคนไม่รู้ว่าเราเคยทำที่นี่ด้วย หลังออกจาก KTC พอดีหัวหน้าเก่าเขาชวนไปทำด้วย เป็นโปรเจกต์ที่คุณหรีดจะทำกับช่อง 3 หรือที่หลายคนรู้จักในนาม ครัวคุณหรีด นั่นแหละ มันทำให้เราได้ทำสิ่งที่ไม่เคยทำเยอะมาก ได้คิดหาทางต่อยอดธุรกิจจากคอนเทนต์ของช่อง 3 อย่างละครเรื่อง กี่เพ้า (2555) ก็จะมีอีเวนต์จากละครที่ใช้ชื่องานว่ากี่เพ้าไนต์ เราเป็นคนทำงานนี้เอง

“ส่วนอีกเรื่องคือละคร รักคุณเท่าฟ้า (2555) ที่เคน ธีรเดช เล่นเป็นนักบิน เราต่อยอดออกมาจากละครจัดทัวร์ไปญี่ปุ่นที่มีเคน ธีรเดช และหน่อย บุษกร ไปร่วมทริปด้วย เราเคยเป็นหัวหน้าทัวร์ด้วยนะ ย้อนเล่าเราก็ทำอะไรมาหลากหลายเหมือนกันนะ (หัวเราะ)

“หรืออย่างท่าอร่อยเลิศในรายการ ครัวคุณหรีด เราก็คิดกับน้องในทีมว่าอยากจะให้รายการมีซิกเนเจอร์ที่จำได้ อยากทำให้คุณหรีดดูเข้าถึงง่ายขึ้น เฟรนด์ลี่ขึ้น ท่ามือจับจีบอีกมุมนึงมันก็เป็นเหมือนการทำมือสัญลักษณ์โอเค ก็เลยกลายมาเป็นท่ากับสโลแกนอร่อยเลิศกับคุณหรีดอย่างที่หลายคนคุ้นกัน เป็นเหมือน summary shot ปิดท้าย เพราะมนุษย์เราจะจำจากภาพได้มากกว่า 

“ทำที่นี่อยู่ได้ 9 เดือน สุดท้ายก็ลาออกมา เพราะเราโทรไปหารุ่นพี่คนนึง อารมณ์จะโทรไปขายสินค้า-ขายโฆษณาให้บริษัท แต่พี่เขาพูดกับเราว่า บุ๋มแกไม่ต้องมาขายฉันหรอก ฉันขายแกกลับดีกว่า ตอนนี้ Bar B Q Plaza เขาหา Marketing Director อยู่”

08

Marketing Director, CMO 
บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด 

“เหตุผลจริงๆ ที่ตอนนั้นตัดสินใจมาทำ Bar B Q Plaza คืออย่างแรกเลยมันใกล้บ้านไม่ต้องขับรถติดๆ เข้าเมือง กับสองมันเป็นแบรนด์ที่เราชอบกินมากๆ อยู่แล้ว ฟังดูเป็นเหตุผลธรรมดา แต่เอาจริงๆ ได้ทำงานใกล้บ้านกับแบรนด์ที่ชอบมากๆ เราคิดว่าเป็นบุญของชีวิตเลยนะ

จำได้ว่าตอนมาอยู่ที่นี่เราบอกคุณเป้ (ชาตยา สุพรรณพงศ์ ทายาทรุ่นที่ 2 ของแบรนด์ Bar B Q Plaza) ตั้งแต่ปีแรกเลยว่าเรามีความฝันของเรานะ เราอาจจะอยู่ที่นี่ไม่นาน

 “แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่ากะพริบตาหนึ่งที สองที สามที จนตอนนี้มันก็ 10 ปีแล้ว หลังจากประโยคนั้นที่พูดกับเขา ที่อยู่ได้นานก็คงเป็นเพราะว่าที่นี่เขาเปิดโอกาสให้เราได้แสดงในสิ่งที่อยากทำ มีพื้นที่ให้เราตัดสินใจ แล้วก็ได้ทดลองทำ มีผสมกันไป ทั้งประสบความสำเร็จ ล้มเหลว แต่เขาให้โอกาสและใจกว้างกับเรา

“จนมาถึงวันนี้ที่เป็นมนุษย์เงินเดือนมาแล้วหลายตำแหน่ง ถ้าจะให้ถอดบทเรียนของแต่ละช่วงการทำงาน เราว่าหัวใจสำคัญของแต่ละช่วงมันแตกต่างกันออกไป

“เริ่มตั้งแต่หัวใจสำคัญตอนยังเป็นเด็กจิ๋ว คือการคว้าทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามา หัวหน้าสั่งให้ทำอะไรให้เซย์เยสเอาไว้ เพราะมันคือช่วงที่จะทำให้เราได้ทดลองอะไรใหม่ๆ แล้วจะทำให้สั่งสมประสบการณ์ได้มากขึ้น อีกอย่างคือให้เลือกอยู่กับหัวหน้าที่เก่ง แต่ถ้าเลือกไม่ได้จริงๆ ก็จงคิดว่าการที่เราอยู่กับคนไม่เก่งบางทีอาจจะทำให้เราเก่งขึ้นก็ได้

“ขยับมาตอนที่เริ่มเป็นหัวหน้า หัวใจสำคัญคือห้ามลืมเด็ดขาดว่าเราเคยเป็นใครมาก่อน เพราะถ้าไม่ลืมมันก็จะทำให้เราเข้าใจในความยากที่ลูกน้องต้องเจอ ส่วนในฐานะที่ได้เลื่อนขั้นมาก็ต้องดูว่าการขยับขึ้นมานี้ทำให้คุณช่วยอะไรหัวหน้าได้บ้าง ที่สำคัญนอกจากบริหารลูกน้องแล้ว ต้องบริหารหัวหน้าให้เป็นด้วย ไม่งั้นชีวิตจะป่วนมาก

“สเตปนี้พอมันเป็นบริหารทั้งหัวหน้าและลูกน้อง หลายคนเลยเรียกตำแหน่งตรงนี้ว่าผู้บริหารระดับกลาง เป็นเหมือนช่วงที่ฝึกให้เราได้บริหารทีม บริหารอะไรที่กลางๆ ไม่ต้องใหญ่มากก่อน ก่อนที่จะก้าวไปบริหารองค์กรได้ 

“แล้วพอมาถึงตำแหน่งที่เป็นผู้บริหารองค์กร หัวใจสำคัญมันคือการให้โอกาสคน บางคนทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีแต่ไม่เคยให้โอกาสใครเลย แล้วจะเก่งอยู่คนเดียว เราว่ามันไม่ใช่

“อีกส่วนสุดท้าย ไม่ว่าคุณจะเป็นมนุษย์เงินเดือนตำแหน่งไหน ถ้าอยากเติบโต หัวใจสำคัญคือต้องทำงานให้มากกว่าเงินเดือนที่ได้รับมา”

ขอบคุณสถานที่ : ร้าน Wandeedee Cafe x Restaurant

Wedding Lists การวางแผนทางการเงินเมื่อคิดจะแต่งงาน

ช่วงนี้คนแต่งงานกันเยอะมากค่ะ มีคำถามจากทางบ้านเรื่องการวางแผนทางการเงินเมื่อคิดจะแต่งงาน ซึ่งถ้าการวางแผนทางการเงินคือการวางแผนชีวิต คำถามนี้จึงเป็น เราควรจะวางแผนชีวิตอย่างไรเมื่อคิดจะแต่งงาน

เมื่อไหร่ที่พูดถึงเรื่องแต่งงาน ชีวิตจริงค่อนข้างจะแตกต่างจากหนังและละครมากเลยใช่ไหมคะ ฉากแต่งงานของคู่บ่าวสาวที่ทั้งหล่อและสวยแบบตอนจบในละครนั้นแสนแฮปปี้เอนดิ้ง แต่ชีวิตจริงนั่นคือจุดเริ่มต้นของคนสองคนที่แตกต่างกันและมาเจอกัน

ใช่ค่ะ ก่อนแต่งงานนั้นเป็นเรื่องของคนสองคน แต่หลังแต่งงานนั้นเป็นเรื่องของคนสองกลุ่ม และความยุ่งเหยิงทั้งหมดก็เริ่มต้นมาจากตรงนั้น แต่ไม่เป็นไรค่ะ กว่าจะไปถึงตอนนั้น เราล้วนอยากได้ตอนจบที่สวยหรูก่อน 

หลายคนอาจจะสนใจว่าในขั้นตอนเตรียมงานนั้นต้องมีอะไรบ้าง

แต่เราจะให้ความสำคัญกับเรื่องที่อยู่ก่อน ว่าเมื่อแต่งงานกันเรียบร้อยแล้วเราจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่ไหน คนหลายคู่อาจจะอยากแยกไปอยู่กันเองสองคน ซึ่งถ้าฐานะที่บ้านอำนวยก็เป็นเรื่องที่คนทั้งคู่มีความสุขแน่นอน

สิ่งที่เราอยากบอกก็คือการแต่งงานเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่างในชีวิต ในฐานะนักการเงินขอแนะนำว่า หากทำได้คู่แต่งงานใหม่ควรจะอยู่กับครอบครัวฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก่อน หรือเช่าบ้านและคอนโด เพื่อทดสอบอะไรหลายๆ เรื่อง เพราะการที่ใครสักคนหรืออาจจะเป็นคนทั้งคู่ต้องย้ายที่อยู่ก็ควรศึกษาทำเลและลักษณะบ้านที่ต้องการ หรือแม้แต่เรียนรู้การอยู่ร่วมกันไปก่อนสักระยะหนึ่ง ไม่ค่อยอยากแนะนำให้คู่แต่งงานใหม่ต้องมีภาระเรื่องการซื้อบ้านตั้งแต่ปีแรกๆ ของการแต่งงาน

สำหรับคนที่อยากมีบ้าน เราแนะนำว่าควรจะมีบ้านหลังแรกก่อนอายุ 35 ปี เพราะฉะนั้นถ้าถอยหลังกลับไป อายุที่เหมาะสมจะแต่งงานคือช่วง 27-36 ปี (แต่ถ้าไม่แต่ง 45 ปีก็ยังพอได้ เพราะอายุ 40 ปีเดี๋ยวนี้ก็ยังดูหนุ่มสาวกันอยู่) เพราะเราคิดว่าลงตัวด้วยกันทั้งสองฝ่าย เนื่องจากเป็นวัยที่ค่อนข้างชัวร์แล้วว่าชอบทำงานอะไร ไลฟ์สไตล์แบบไหน ลักษณะบ้านที่อยู่เป็นอย่างไร ทำเลควรจะอยู่ที่ตรงไหน

คำถามต่อมาที่คนมักจะถามเสมอก็คือ แล้วเมื่อไหร่ควรมีลูก

เราคิดว่าอายุที่เหมาะแก่การมีลูก อย่างช้าที่สุดคือ 37 ปี

เหตุผลที่ต้องอายุ 37 ปี เพราะคาดหวังว่าวันที่เราอายุ 60 ลูกเราน่าจะเรียนจบปริญญาตรีพอดี เป็นการตอบคำถามในมุมของการวางแผนทางการเงินอย่างเดียวเลยนะคะ จะได้ไม่มีห่วง คือคุณอาจจะแต่งงาน 35 มีลูกอายุ 37 เพื่อให้เขาจบปริญญาตรีพอดีตอนเราอายุ 60 ปี

ย้อนกลับไปเรื่องแต่งงาน เมื่อได้เจอคนที่รักใคร่ชอบพอแล้ว และคิดจะใช้ชีวิตร่วมกัน คำถามสำคัญในบทความนี้คือ เราจะจัดงานแต่งงานกันแบบไหน

สำหรับสังคมไทยแล้ว บางทีงานแต่งงานไม่ใช่งานของเรานะคะ แต่เป็นงานของพ่อแม่ ขอให้ตระหนักถึงเรื่องนี้ให้ดี เรามักจะเห็นการแก้ปัญหาด้วยการแยก งานช่วงดึกหรือ after party เป็นงานสำหรับเพื่อนๆ และงานช่วงกลางวันหรือเย็นเป็นงานสำหรับพ่อแม่ เพื่อให้สะดวกแก่การดูแลแขกผู้ใหญ่ และการจัดเลี้ยงรับรองงานที่มีแขกผู้ใหญ่จำนวนมาก อาจจะต้องจัดโต๊ะบุฟเฟต์หรือโต๊ะจีน แทนงานเลี้ยงลักษณะค็อกเทลเพราะหากแขกผู้ใหญ่จะต้องยืนรับประทานอาหารคงไม่สะดวก การจัดเลี้ยงก็เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก บางงานสูงเป็นหลักล้านบาท ซึ่งเราไม่มีคำแนะนำอะไรเพราะถือเป็นความพอใจของคนทั้งสอง และการทำความเข้าใจร่วมกันว่างานนี้ได้สร้างความทรงจำที่ดีครั้งเดียวในชีวิต

สิ่งที่คู่รักต้องคิดถึงก็คือ งานแต่งที่ต้องการเป็นงานลักษณะแบบไหน ต้องเทคแคร์ใครบ้าง

ปัจจุบัน ทางเลือกในการจัดมีเยอะมากนะคะ เริ่มจากเรื่องอาหาร ถ้างานต้องการเทคแคร์เฉพาะแขกผู้ใหญ่ ก็อาจจะมีโต๊ะอาหารสำหรับผู้ใหญ่สัก 10 โต๊ะก็น่าจะเหลือเฟือ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ ต้องการโต๊ะจีนเพื่อเทคแคร์แขกผู้ใหญ่ แต่ก็ชวนแขกทุกคนมางานเดียวกันนี้ด้วย ทำให้จำนวนโต๊ะจีนจาก 10 โต๊ะกลายเป็น 50 โต๊ะ เกิดเป็น cost จำนวนมหาศาล แต่เราก็จะเห็นว่าในบางงานตั้งใจจัดเลี้ยงแบบค็อกเทลผสมกับเลือกสรรอาหารจากร้านหรือแบรนด์ดังมาเปิดบูทอาหาร ทำให้งานออกมาน่ารัก อาหารก็เพียงพอเลี้ยงรับรองแขก ตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่ไม่มากจนเกินไป 

เรื่องต่อมาคือสถานที่จัดงาน หากไม่ต้องการจัดในโรงแรม 4-5 ดาว หลายคนก็นิยมสถานที่เอาต์ดอร์ เช่น จองปิดร้านอาหารสักร้าน เลือกร้านที่อาหารอร่อย ทานง่าย บางร้านมีสวนน่ารักให้บรรยากาศที่ดี บางงานแจกปิ่นโตเป็นของชำร่วย ให้แขกใช้เป็นภาชนะตักอาหารทานในงานหรือตักกลับบ้านได้ บางงานก็แจกต้นไม้เล็กๆ เป็นของชำร่วยให้แขกไปปลูก 

เราเคยเจอบ่าวสาวคู่หนึ่ง ครอบครัวให้ budget งานแต่ง 4 ล้านบาท พวกเขาขอนำเงินส่วนหนึ่งไปบริจาค ส่วนหนึ่งนำไปท่องเที่ยวทริปต่างประเทศ แล้วทำแค่การ์ดหรือโพสต์เฟซบุ๊กบอกทุกคนว่าเราแต่งงานกันแล้วนะ เผอิญเป็นช่วงโควิดด้วยพวกเขาก็บอกเพื่อนๆ ว่าเดี๋ยวเราเที่ยวเผื่อนะ แล้วจะส่งรูปให้ ขณะที่เพื่อน ๆ ก็มาอวยพรกันเต็มไปหมดเลย

จริงๆ แล้วตรงนี้แหละค่ะที่เราอยากบอกว่าเป็นสิ่งที่สำคัญกับงานแต่งงาน

นั่นคือ คนสองคนต้องคุยกันให้เข้าใจ แล้วไม่ใช่แค่คนสองคน ครอบครัวทั้งสองฝ่ายด้วย แน่นอนว่าครอบครัวของบางฝ่ายอาจจะอยากให้จัดงานเลี้ยงแขกแบบนี้ นี่คือบททดสอบแรกของคู่รักที่กำลังจะแต่งงานกันทุกคู่ คือจัดงานแต่งงานอย่างไรให้ไม่ทะเลาะกัน หรือถ้าทะเลาะกัน ก็หาวิธีแก้ไขข้อขัดแย้งนั้นให้ได้

ถัดจากเรื่องสำคัญอย่างเรื่องการจัดงานแต่งงานและเรื่องแขก เรื่องต่อไปก็คือเจ้าสาวกับชุดแต่งงาน ไม่ว่าจะลูกไม้ผ้าถุงธรรมดาไปจนถึงชุดที่ตัดเย็บหรูหราระดับโอต์กูตูร์ 

ความจริงที่ว่านี่เป็นงานครั้งเดียวของเจ้าสาว และเธอคงไม่มีโอกาสใส่ชุดแบบนี้ที่ไหนอีก เพราะฉะนั้นจะลงทุนซื้อ ตัด เก็บไว้เป็นมรดกลูกหลาน อันนี้ก็แล้วแต่ บางคนอาจจะคิดว่าใช้ครั้งเดียวแทนที่จะตัดก็เป็นเช่าตัด บางคนอาจจะเช่าเลย บางคนอาจจะไม่ต้องการความหรูหรา ขอแค่ชุดเรียบ เช่น สูทสีขาว ไว้ใส่เป็นชุดทำงานอื่นได้ 

แทนที่จะตอบว่าอะไรเหมาะสม เราอยากให้ลองเริ่มคุยกันเรื่องงบประมาณที่มี (budget) ก่อนไหม ว่าทั้งคู่จะใช้เงินสำหรับงานนี้เท่าไหร่ เพื่อให้งานแต่งที่อยากได้พอดีกับ budget ที่มี ซึ่งจะช่วยทำให้เรารู้ได้ว่ามีอะไรที่ทำได้บ้าง และเราจะลำดับความสำคัญอย่างไร อะไรสำคัญที่สุด ถ้าอันดับหนึ่งของงานแต่งของคุณคือชุดแต่งงาน เงินก็อาจจะไปที่ชุดแต่งงาน เรื่องอื่นไม่มีความหมาย เพราะงานที่อยากได้และ budget ที่มี เราอาจจะเก็บไว้ไปฮันนีมูน

สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรคาดหวังเลยคือ ซองที่มาช่วยงานแต่งหรือของขวัญให้ถือว่าได้ก็ดี แต่เราไม่ได้ต้องการตรงนี้ เราต้องการให้เพื่อนฝูงมาสนุกกัน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือเมื่อเวลาผ่านไปสิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นความทรงจำ สิ่งที่เราอยากได้ก็คือความทรงจำที่ดีมากๆ เพราะฉะนั้นหลายคนก็พยายามจะบันทึกภาพ ถ่ายวิดีโอ หลายๆ อย่าง 

เพราะฉะนั้นงานแต่งงานที่ดีเริ่มต้นจาก เจอคนที่ใช่

การนั่งคุยกันอย่างจริงจังถึงงานแต่งที่อยากได้และอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุด พร้อมกับงบประมาณสำหรับการจัดงานที่มี มั่นใจได้เลยว่าถ้าได้ทำแบบนี้ร่วมกัน ก็เหมือนกับเราเริ่มวางแผนชีวิตแล้ว คุณวางแผนชีวิตได้จากงานแต่งงานของคนสองคนนี่แหละ

ถ้าให้พูดตามประสานักลงทุน แม้งานแต่งงานจะไม่ได้ทำให้เกิดกำไรทางตัวเลข แต่คุณจะได้คนที่รักมาอยู่เคียงข้าง 

โดยสรุปแล้วถ้าเราจัดงานแต่งงานภายใต้ budget ผลตอบแทนก็คือความทรงจำ ซึ่งเป็นสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ โดยเฉพาะกับเรื่องความสัมพันธ์ ความรักของคนในครอบครัวแล้ว งานแต่งงานคือวันวันหนึ่งที่สำคัญเพราะทำหน้าที่สร้างความทรงจำดีๆ เหล่านั้น อย่าให้มันเป็นแค่ just a moment แต่ขอให้เป็นสิ่งที่ทั้งชีวิตยังไงก็จะไม่ลืม

ความสุขในชีวิต ไม่มีใครจะให้คุณได้ยกเว้นตัวคุณเองเท่านั้น 

นึกออกไหมคะ คุณคาดหวังนู่นนั่นนี่ กดดันตัวเองให้ต้องทำนู่นนี่เยอะแยะ แต่จริงๆ แล้ว as long as คุณสองคนมีความสุข เรื่องอื่นๆ ก็ไม่มีความหมาย งานที่เกิดขึ้นวันนั้นอาจจะไม่ใช่งานใหญ่โต ไม่ต้องมีแขกผู้ใหญ่มาเยอะแยะรุงรัง แต่ขอให้คุณสองคนมีความสุข นั่นก็ดีที่สุด

ThaiEffect ร้านขายพลุออนไลน์ที่ปรับแต่งได้ตามใจลูกค้ากับวิธีเอาตัวรอดในช่วงรอยต่อเทศกาล

ดอกไม้ไฟที่แต่งแต้มสีสันให้ท้องฟ้าตอนเที่ยงคืนในวันปีใหม่

เสียงประทัดยามเช้าตรู่ในวันตรุษจีน

ประกายไฟน่าตื่นตาตื่นใจจากพลุโอ่งในวันลอยกระทง

พูดถึงพลุและดอกไม้ไฟ ภาพที่หลายคนคุ้นเคยอาจเป็นสิ่งเหล่านี้ แต่เคยสงสัยไหมว่านอกจากช่วงเทศกาลซึ่งนับเป็นเวลาทองของแสง สี เสียง คนทำธุรกิจพลุและดอกไม้ไฟอยู่ได้อย่างไรในช่วงรอยต่อระหว่างวันสำคัญ

ถ้าจะมีใครสักคนที่ตอบคำถามนี้ได้ หนึ่งในนั้นน่าจะเป็น ThaiEffect แบรนด์จัดจำหน่ายพลุและดอกไม้ไฟที่ยืนระยะในวงการมานานกว่า 10 ปี จากการปลุกปั้นของ เอ–บดินทร์ สุขเกื้อ ชายที่ไม่ได้เรียนจบด้านการทำพลุ ไม่ได้รับช่วงต่อจากธุรกิจของที่บ้าน แต่จุดไฟสร้างแบรนด์ของตัวเองด้วยความชอบและความทุ่มเทล้วนๆ

ThaiEffect

หลังจากเรียนจบปริญญาตรี เอเริ่มทำงานเป็น AE ในบริษัทออร์แกไนเซอร์ที่พาให้เขาไปคลุกคลีกับคนในแวดวงอีเวนต์ผู้อยู่เบื้องหลังการทำฉาก เวที และเอฟเฟกต์ดอกไม้ไฟ ตอนนั้นเองเขาได้รู้จักรุ่นพี่คนหนึ่งที่เปิดร้านขายพลุอยู่ เอมองเห็นโอกาสในการขายออนไลน์ซึ่งตอนนั้นยังเป็นสิ่งใหม่ เขาจึงใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาจากสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์เปิดเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซแล้วรับพลุมาขายต่อ ปรากฏว่ายอดขายปังกว่าที่คิด เอจึงตัดสินใจลาออกจากงานแล้วกระโดดเข้าวงการมาเป็นพ่อค้าพลุเต็มตัว

รู้ตัวอีกที เอก็อยู่กับแสงประกายสดใสและเสียงตูมตามมานานกว่า 10 ปี ทำให้ ThaiEffect กลายเป็นแบรนด์พลุที่ถึงจะขายแค่บนเว็บไซต์ แต่ก็เต็มไปด้วยสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ ครบวงจร สร้างรายได้แม้ในช่วงที่ไม่ใช่เวลาทองของมัน

เขาทำได้อย่างไร เอพร้อมให้คำตอบเราใน 5 4 3 2 คิว!

ThaiEffect

รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง

“พลุเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ต้องมีโอกาสพิเศษก่อนคนถึงจะซื้อ และลูกค้าต้องมีงบประมาณพอสมควรสำหรับความอลังการ บางคนก็บอกว่าเหมือนเอาเงินไปเผาเล่น แต่พอได้แลกกับภาพที่เกิดขึ้นก็คุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่ายไป”  

เออธิบายเอกลักษณ์ของพลุและดอกไม้ไฟที่แตกต่างจากสินค้าประเภทอื่นๆ ให้ฟัง แล้วเล่าต่อว่าหนึ่งในความเข้าใจผิดที่คนทั่วไปมีต่อมันคือพลุเป็นสินค้าอยากจะจุดก็ซื้อไปจุดเองได้ ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ใช่ 

เหตุผลข้อแรก พลุคือวัตถุระเบิด ต้องสั่งผ่านบริการรับจุดดอกไม้ไฟ ซึ่งจะไปดีลตัวแทนนำเข้าที่มีใบอนุญาตถูกต้องจากกรมวิทยาศาสตร์อีกที

“ต้นทุนของพลุไม่ได้มีแค่ค่าวัตถุดิบแต่บวกความเสี่ยงไปด้วย ถ้าเป็นพลุลูกเล็กๆ ที่ลูกค้ารู้วิธีเล่น อยากซื้อไปจุดเองก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นพลุดอกไม้ไฟที่อาจเกิดอันตรายได้ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญจุดให้ เพราะพลุบางตัวมีโอกาสที่จะเกิดปัญหา”

เหตุผลอีกข้อคือนับตั้งแต่ คสช.เข้ามา รัฐไม่อนุญาตให้มีการเปิดหน้าร้านขายสินค้าประเภทพลุและดอกไม้ไฟ ก่อนจุดทุกครั้งยังต้องขออนุญาตกับนายอำเภอหรือผู้อำนวยการเขต โดยมีข้อบังคับคือต้องทำในพื้นที่ปลอดภัย อยู่ห่างจากปั๊มน้ำมันและวัตถุไวไฟ แถมยังจุดในกรอบเวลาที่กำหนด ไม่ใช่เวลาพักผ่อนของคนทั่วไป (ทั้งนี้ทั้งนั้น เอบอกเราว่ารัฐอาจมีการอนุโลมให้จุดได้เป็นบางช่วง เช่น เทศกาลสำคัญ)

“อาชีพช่างพลุต้องอาศัยประสบการณ์ ต้องมีการเช็กว่าเออเร่อยังไงได้บ้าง งานพลุเป็นงานที่ลุ้น ผิดพลาดไม่ได้ และความปลอดภัยต้องมาอันดับหนึ่ง ก่อนทำงานทุกงานเราจะคุยกับลูกค้าก่อนว่าทำอย่างไรถึงจะปลอดภัย ห้ามจุดแบบไหน”

ThaiEffect
ThaiEffect

รู้ว่าเหนื่อยถ้าอยากได้ของที่อยู่สูง

เอเล่าว่า วงการพลุเป็นวงการที่แคบมาก ถึงขนาดที่ว่าถ้าตอนไหนที่พลุถูกยิงขึ้นฟ้า คนในวงการจะรู้ทันทีเลยว่าเป็นช่างพลุเจ้าไหน

“พลุเหมือนงานศิลปะ งานแต่ละงานมีลายเซ็นของช่างพลุแต่ละคน แทนที่จะวาดบนแผ่นกระดาษ เรานำลูกพลุที่มีลวดลาย สีสันต่างๆ ไปวาดไว้บนฟ้าแทน ซึ่งช่างพลุแต่ละคนก็จะมีจังหวะการให้พลุที่ไม่เหมือนกัน

“อย่างของ ThaiEffect สิ่งที่ไม่เหมือนคนอื่นเลยคือดีไซน์ เราจะไม่ใช้พลุเปลือง ความหมายของพลุเปลืองคือยิงซ้อนขึ้นไปปึ้มๆๆๆ  ดูอลังการก็จริง แต่มันเปลือง ยิงขึ้นไปสิบลูกพร้อมกันตู้มเดียวก็หมดแล้ว

“สมมติมีพลุร้อยลูก เราจะทำยังไงก็ได้ให้เกิดการมองเห็นทุกลูกให้ได้มากที่สุด พลุแต่ละดอกสวยของมันอยู่แล้ว แทนที่จะยิงบ้าระห่ำให้เต็มฟ้า เราจะยิงซ้ายบ้าง ขวาบ้าง เฉียงบ้าง ให้ลูกค้าได้เห็นดีเทลเต็มที่ แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาต้องการอะไร สมมติมีบัดเจ็ต 100,000 บาท ถ้าอยากยิงให้หมดภายใน 2 นาทีพลุก็จะอลังการ แต่ถ้า 5 นาทีก็ได้ดูไปเรื่อยๆ”

ThaiEffect

ชายหนุ่มขยายความต่อว่า จริงๆ แล้วงบประมาณในการจุดพลุไม่ได้เริ่มที่หลักแสน แค่หลักพันก็จ้างได้ “เราสามารถทำไฟคล้ายๆ ไฟจากพลุโอ่ง ให้มันฟลู่ขึ้นมา เป็นซีนเซอร์ไพรส์ซีนหนึ่งได้เหมือนกัน” เพราะว่ากันตามตรง ความคาดหวังที่เรามีต่อพลุไม่ได้มีอะไรมากกว่าเซอร์ไพรส์และการแสดงความยินดี

ถึงอย่างนั้น การทำงานกับ ThaiEffect ไม่ใช่แค่ยื่นงบแล้วจบเลย เพราะพวกเขาไม่ได้ขายพลุเป็นลูกๆ ตามราคา แต่จะออกแบบพลุที่เหมาะกับรูปแบบงาน สถานที่ คนดู ไปจนถึงขนาดของพลุที่มีทั้งไซส์เล็ก กลาง ใหญ่ ยิงสูง ยิงต่ำ ผ่านโปรแกรมจำลองการจุดพลุที่ทำให้ลูกค้าเห็นภาพที่สุด

“จุดเด่นของเราคือเอาความต้องการของลูกค้าเป็นที่ตั้ง แล้วตีโจทย์กันต่อว่าจะออกแบบยังไงเพื่อให้ลูกค้าประทับใจในเงินที่เขาจ่าย” เอเน้นย้ำ

ThaiEffect

รู้ว่าเราแตกต่างกันเท่าไร

นอกจากพลุที่ยิงตูมตามขึ้นฟ้า ThaiEffect ยังมีพลุสายธาร (คล้ายพลุน้ำตกที่เรามักเห็นในงานแต่งงาน) ไพโร (พลุไฟเย็นที่เรามักเห็นได้ตามงานคอนเสิร์ต) และพลุกระดาษแบบบิดซึ่งมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ไหน เพราะมันเป็นพลุกระดาษที่ปรับแต่งเองได้!

“เราเป็นเจ้าแรกและอาจจะเจ้าเดียวที่ทำพลุกระดาษแบบ customize โดยทั่วไปแล้วพลุกระดาษจะขายรวมกับของเล่นอื่นๆ กระดาษข้างในจะเป็นกระดาษย่นๆ แหลกๆ ซึ่งเกะกะ เก็บยาก เราก็คิดว่าทำไมเราไม่ทำเป็นสินค้า made to order ขึ้นมาล่ะ แก้ปัญหาให้ลูกค้าโดยการสั่งทำแบบเส้นๆ และกระดาษทรงสี่เหลี่ยมอย่างเดียวเลย ไม่มีเศษเล็กๆ และปรับแต่งสีไปตามงานที่เขาอยากได้”

หนึ่งในเทรนด์ของพลุกระดาษที่กำลังมาแรงคืองาน Baby Shower ที่ลูกค้าจะสั่งพลุกระดาษพิเศษเพื่อทายเพศลูก “5 4 3 2 ปึ้ง สีฟ้าก็ผู้ชาย สีชมพูก็ผู้หญิง หรือถ้าลูกค้าบางคนอยากเล่นใหญ่กว่านั้นก็ชวนแฟนไปกินข้าวริมแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วเฉลยเพศลูกด้วยการยิงดอกไม้ไฟขึ้นฟ้าไปเลย”

ฟังดูอาจเป็นสิ่งที่บางคนมองว่ามันไม่ได้พิเศษถึงขนาดจะต้องจุดพลุขนาดนั้น แต่เอยอมรับกับเราว่า วาระพิเศษที่ไม่พิเศษนี่แหละที่ทำให้ ThaiEffect อยู่ได้ในช่วงรอยต่อของเทศกาล

“ช่วงเทศกาลเป็นช่วงที่ทำเงินมากที่สุดจริงๆ สมมติตีรายได้ทั้งปีเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ เทศกาลปีใหม่ ลอยกระทง ตรุษจีนเอาไปแล้ว 70 เปอร์เซ็นต์ อีก 30 เปอร์เซ็นต์ มาจากทั้งปี เดือนธรรมดาอาจจะนั่งนิ่ง ตบยุงก็มี” เขาหัวเราะ แล้วไล่เรียงให้เราฟังถึงโอกาสพิเศษอื่นๆ ที่มีลูกค้าจ้างงานให้ฟัง

ไล่ตั้งแต่ปาร์ตี้วันเกิด พิธีเปิด อีเวนต์ฉลองยอดขาย คอนเสิร์ตโร้ดโชว์ งานแต่งงาน ไปจนถึงการล่องเรือดินเนอร์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเฉยๆ แล้วอยากดูพลุก็มี

“จะมีลูกค้ากลุ่ม luxury ที่กินข้าวแป๊บเดียวดูพลุสองนาที 100,000 บาท ซึ่งอาจไม่ได้มีวาระพิเศษอะไรเลย แต่เขามีกำลังเงินจะใช้ในจุดนั้น ซึ่งเราก็พยายามเกาะลูกค้ากลุ่มนี้เหมือนกัน เพราะอย่างที่บอกว่าพลุเป็นสินค้าสิ้นเปลืองที่ใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ คนที่มีกำลังซื้อเขาก็ใช้”

อยากรักก็ต้องเสี่ยง

เพราะอยู่ในวงการพลุและดอกไม้ไฟมาสิบกว่าปี ธุรกิจก็เติบโตขึ้นตามเวลา แต่เอบอกเราว่าสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงแน่ๆ คือความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้จุดพลุ

“จะมีเคสสนุกๆ ที่เราเคยเจอคือต้องไปจุดพลุให้คู่รักคู่หนึ่งที่ฝ่ายชายกำลังจะขอฝ่ายหญิงแต่งงาน ซึ่งก่อนหน้านี้เขาไม่มีแพลนจะแต่งงานกันเลย เราก็นัดแนะกับฝ่ายชายว่าถ้าเขาคุกเข่า ให้แหวน แล้วฝ่ายหญิงเซย์เยสแล้วค่อยจุดพลุได้ แต่ปรากฏว่าพอขอจริงๆ แล้วผู้หญิงนิ่งมาก จากนั้นเขาก็คุยกันอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างรอเขาคือทุกอย่างเงียบมาก ทั้งทีมกล้อง ทีมเพื่อนก็นิ่งไปหมด เราก็คิดว่าเอาแล้ว ไม่ได้ตังค์แล้วไหมงานนี้” เอหัวเราะ

“แต่สุดท้ายเขาก็โอเค เซย์เยส ตอนเราจุดพลุขึ้นฟ้าก็คิดว่าเราทุกคนมีสิทธิจะเดินกลับบ้านโดยไม่มีใครแฮปปี้เลยก็ได้นะ เพราะเราคงไม่กล้าเก็บตังค์ลูกค้าแน่นอน อันนี้เป็นความสนุกอย่างหนึ่งในอาชีพนี้

“อีกเรื่องที่ตื่นเต้นคือกลัวพลุแป้ก มันเป็นความตื่นเต้นทุกครั้งไม่ว่าคุณจะจ้างเรา 30,000 หรือ 300,000 โดยเฉพาะตอนเคานต์ดาวน์นี่ตื่นเต้นสุด ถ้าสมมติคนนับ 5 4 3 2 1 แล้วพลุมันแป้ก ยิงไม่ออกขึ้นมา อะไรจะเกิดขึ้นอะ”

“มีงานที่เคยแป้กไหม” เราอยากรู้

“มีแน่นอน ช่างพลุทุกคนต้องเคยมี” เอยอมรับ “เราเคยแป้กกับงานคอนเสิร์ตใหญ่ที่หนึ่ง เหตุการณ์คือดนตรีเล่นจบแล้วจะมีพลุจุดอลังการ แต่พอกดคิว! เฮ้ย มันเงียบอะ ศิลปินงง ลูกค้างงกว่า แต่คนดูไม่รู้นะว่าซีนนี้จะมีพลุออก มีแค่เรากับลูกค้า

“สรุปว่างานนั้นมันผิดพลาดทางเทคนิค คือสายของอุปกรณ์ที่ต่อกับพลุมันหลุด ถามว่าแป้กแล้วทำยังไงต่อ เราก็ทำอะไรไม่ได้อะ ตัวนี่หดเหลือนิดเดียว โอ้โหเครียดมาก จบแล้วชีวิต” เอหัวเราะสิ้นหวัง แต่สุดท้ายงานนั้นเขาก็เคลียร์กับลูกค้าจนเข้าใจ

“ธงที่เราตั้งไว้ในใจตั้งแต่วันแรกคือเราอยากได้คำชมของลูกค้า ยิ่งลูกค้าชมเรามากเท่าไหร่เราก็ยิ่งภูมิใจ เพราะเราไม่ได้รับช่วงธุรกิจนี้มาจากที่บ้าน ไม่ได้เป็นช่างพลุมาตั้งแต่เกิดเหมือนพี่ๆ ช่างพลุบางคน แต่การมีลูกค้าที่ไว้วางใจให้เราทำงานระดับประเทศหลายๆ งาน เราว่าเราก็โอเคเหมือนกันนะ มันทำให้เราอยากทำต่อไปเรื่อยๆ”

นับตั้งแต่เปิด ThaiEffect มากว่าสิบปี เอบอกว่าโควิด-19 คืออุปสรรคใหญ่ที่สุดของเขา หลายครั้งที่คิดจะปิดร้านเพราะรายได้เป็นศูนย์ และมีอีกหลายธุรกิจที่ต้องดูแล แต่ท้ายที่สุดเอก็ตัดใจปิดไม่ได้สักที 

“ThaiEffect มันสำคัญกับเรา อาจเพราะมันเริ่มจากความชอบตั้งแต่เด็ก เราคิดว่าคนที่ทำธุรกิจที่ตัวเองชอบ ยังไงเราก็ทิ้งมันไม่ได้หรอก ถึงแม้จะเจออุปสรรคอะไร สุดท้ายเราก็ต้องทำให้มันรอดไปให้ได้” ชายหนุ่มย้ำด้วยแววตามุ่งมั่น