Month: April 2025
เปิดกรุส่องโลกธุรกิจพระเครื่อง จากหนัง ‘The Stone พระแท้ คนเก๊’
‘พุทธคุณหรือจะสู้อำนาจเงินตรา’ คำถามที่ว่านี้วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมง 50 นาที ที่ภาพยนตร์เรื่อง ‘The Stone พระแท้ คนเก๊’ ดำเนินเรื่อง ซึ่งเป็นโจทย์ตามความตั้งใจของสองผู้กำกับอย่าง เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ และ บี-วุฒิพงษ์ สุขะนินทร์ ที่อยากพาคนดูสำรวจด้านมืดของวงการพระเครื่องในแบบที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน ซึ่งระหว่างที่บทความนี้กำลังเผยแพร่ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวกำลังทะยานแตะรายได้หลัก 50 ล้านบาท ถือเป็นนิมิตหมายอันดีแก่วงการภาพยนตร์ไทยในการเสิร์ฟเนื้อหารสชาติใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
นอกเหนือไปจากเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์หรือมวลสารปลุกเสกจากหลวงพ่อนามระบือ, การถกเถียงตามหาความจริงระหว่างพระแท้กับพระเก๊ และการชิงไหวชิงพริบของเซียนพระตัวเอ้ สิ่งที่น่าสนใจใน The Stone พระแท้ คนเก๊ พระแท้คนเก๊ คือการฉายให้เห็นถึง ‘โลกธุรกิจในวงการพระเครื่อง’ ว่าทำไมอุตสาหกรรมนี้จึงมีความสลับซับซ้อน และมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง ชนิดที่คนไม่เคยเล่นพระเครื่องยังสนใจ
ว่าแลัวคอลัมน์ Recap เลยอยากชวนผู้อ่านมาเปิดกรุส่องกล้องมองโลกธุรกิจพระเครื่อง ซึ่งปรากฏใน The Stone พระแท้ คนเก๊ ไปจนถึงการไขคำตอบว่า ทำไมวงการพระเครื่องจึงมีมูลค่าไม่ต่างจากอุตสาหกรรมสำคัญอื่นๆ ในประเทศไทย
พนมมือตั้งจิตให้มั่น นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วไปหาคำตอบกันได้เลย

• จากของขลังสู่ต้นกำเนิดของค่านิยมพระเครื่อง
ความจริงแล้วเรื่อง ‘ของขลัง’ นั้นวนเวียนอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์บ้านเรานับพันปี ตั้งแต่สมัยอยุธยา ซึ่งจุดมุ่งหมายของเกจิอาจารย์ ณ อดีต ในการสร้างของขลังศักดิ์สิทธ์ เช่น ผ้าประเจียด ผ้ายันต์ ตะกรุด ฯลฯ ก็เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่นักรบยามออกศึก ในยุคที่ปราศจากชุดเกราะ ของขลังจึงไม่ต่างจากที่พึ่งทางใจให้แคล้วคลาดจากคมมีดคมหอกศัตรู กระทั่งบ้านเมืองเข้าสู่ยุคสมัยรัตนโกสินทร์ ในยุคที่มีเทคโนโลยีการพิมพ์เหรียญเข้าสู่ประเทศไทย จึงเริ่มมีการผลิตเหรียญพระเครื่องขึ้นมา
ข้อมูลส่วนหนึ่งจากหนังสือ พระเครื่องในเมืองสยาม โดย ศรีศักร วัลลิโภดม (สำนักพิมพ์มติชน, 2537) ได้ระบุไว้ว่า พระเครื่องมีการจำแนกออกเป็น 2 ประเภท นั่นคือ ‘เหรียญพระพุทธ’ ซึ่งจำลององค์พระพุทธปฏิมากร ส่วนอีกประเภทคือ ‘เหรียญพระสงฆ์’ ซึ่งเป็นเหรียญที่จำลองพระเกจิชื่อดังที่ผู้คนเคารพนับถือ โดยถูกสร้างขึ้นยามมีพิธีมงคล หรือพิธีเผาศพพระเถระชั้นผู้ใหญ่ จากบันทึกทางประวัติศาสตร์พบว่า เหรียญพระสงฆ์เหรียญแรกที่ถูกสร้างขึ้น คือเหรียญรูปรูปพระชลโธปมคุณมุนี (พุฒ ปณฺณกเถร) ปฐมเจ้าอาวาสวัดบางทราย จังหวัดชลบุรี ในปี พ.ศ.2540
จากความเชื่อของผู้คนสมัยก่อนที่ไม่นิยมนำพระเข้าบ้านหรือนำพระติดตัว เนื่องจากมองว่า ตัวแทนรูปหล่อของพระพุทธรูปคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์อันควรค่าแก่การอยู่ที่วัดเท่านั้น จึงค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นค่านิยมใหม่ (ราวยุครัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา)
เมื่อผู้คนมองว่าพระเครื่องไม่ต่างจากวัตถุนิยมอันมีมูลค่า และเป็นเครื่องบ่งบอกฐานะผู้ครอบครอง ยิ่งเป็นเกจิดังก็ยิ่งมีมูลค่าเพิ่ม หรือยิ่งเก่าเก็บก็ยิ่งมีมูลค่า ผู้คนจึงแห่ขุดกรุเจดีย์ซึ่งสมัยก่อนมีการฝังเหรียญพระเก็บเอาไว้ตามความเชื่อในการฝังเหรียญพระเพื่อต่อชะตาชีวิต จึงเป็นที่ของคำศัพท์ที่ว่า ‘กรุแตก’ ยามที่มีคนนำพระเครื่องหายากหรือพระคุณภาพดีมาปล่อยในตลาด
และนั่นทำให้เกิดการขุดหาพระเครื่องกันอย่างเอิกเกริก มากไปจนถึงการจัดตั้งตลาดซื้อ-ขายพระเครื่องกันอย่างเป็นกิจลักษณะ โดยตลาดพระในยุคแรกเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2500 ในลักษณะแผงลอยและแบกะดิน แหล่งนิยมอยู่ที่ข้างวัดมหาธาตุและกำแพงข้างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
•วิวัฒนาการสู่ตลาดพระบนห้างดังและการซื้อขายอย่างเป็นระบบ
จากการขายซื้อขายพระเครื่องตามแผงลอย ความนิยมในพระเครื่องได้วิวัฒนาการกลายเป็นธุรกิจ หรือที่ผู้คนนิยามว่า ‘พุทธพาณิชย์’ อย่างเป็นรูปธรรม หนึ่งในแหล่งซื้อขายที่ใหญ่และเป็นที่รู้จัก ซึ่งปรากฏอยู่ในหนังเรื่อง The Stone พระแท้ คนเก๊ นั้นอยู่ที่ ‘ห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่างามวงศ์วาน’ ในลักษณะร้านเป็นห้องจำแนกแยกย่อย คล้ายกับร้านค้าขายจิวเวลรี่ ที่ทั้งเปิดให้ผู้คนมาเช่าพระหรือปล่อยพระ ภายใต้บรรยากาศคึกคักไม่ต่างจากลานประลองจอมยุทธ์ในหนังจีนกำลังภายใน

ส่วนสาเหตุที่ห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่างามวงศ์วาน เป็นแหล่งซื้อขายพระเครื่องที่ใหญ่ที่สุด เพราะว่าเป็นแหล่งที่ตั้งของ ‘สมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย’ (Thai Buddha Image Admiration Association) ซึ่งเป็นสมาคมที่ก่อตั้งในปี พ.ศ.2540 สมาคมดังกล่าวมีหน้าที่ดูแลระเบียบ ส่งเสริมความเข้าใจในวงการพระ และเชื่อมโยงบรรดาเซียนพระทั่วประเทศให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยมีแกนนำคือบรรดาเซียนพระที่ได้รับการยอมรับในวงการ
เวลาเกิดอีเวนท์ใหญ่ๆ เช่น งานประกวดพระเครื่อง จึงใช้ห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่างามวงศ์วานเป็นเวทีประกวด โดยผู้ชนะหรือผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจะได้ ‘บัตรรับรองพระแท้’ ที่เปรียบเสมือนใบรับรองคุณภาพสินค้า ที่ระบุทั้งชื่อเจ้าของ ข้อมูลของพระเครื่ององค์นั้น ไปจนถึงคุณภาพของตัวพระเครื่องเพื่อนำไปประเมินราคาซื้อขายต่อไป

บางคนอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยที่เซียนพระมีหน้าที่ชี้เป็นชี้ตายเรื่องมูลค่าพระ แต่หากมองในแง่ดีการมีอยู่ของเซียนพระนั้นสามารถช่วยให้ระเบียบการซื้อขายนั้นเป็นไปตามกลไกทางการตลาด ดังนั้นเราจึงเห็นร้านรับเช่าพระเครื่องของเซียนพระชื่อดังปรากฏอยู่ที่ห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่างามวงศ์วาน เช่น ร้านของบอย ท่าพระจันทร์
นอกจากสถานที่อย่างห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่างามวงศ์วาน ในยุค 4.0 วงการพระเครื่องยังพัฒนาไปสู่โลกดิจิทัล เช่น เว็บไซต์ uamulet.com ที่มีผู้ก่อตั้งคือ ‘วัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์’ หรือ ‘อุ๊ กรุงสยาม’ และ ‘สุรเดช ลิ้มพานิช’ หรือ ‘หมึก ท่าพระจันทร์’ เป็นผู้ก่อตั้ง และมีสมาชิกในเว็บไซต์หลักแสนราย โดยมีการซื้อขายในรูปแบบออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง, มีการตรวจสอบคุณภาพพระภายใน 48 ชั่วโมง, มีพื้นที่ให้ร้านรับเช่าพระเครื่องได้โปรโมทร้านของตัวเอง ไปจนถึงเว็บบอร์ดให้บรรดาเซียนได้เข้ามาถกความคิดเห็น

•พระไหนดังพระไหนราคาดีต้องวัดที่อะไร?
“มูลค่าในวงการพระเครื่องปีนึงไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท เวลานี้พระเครื่องไทยดังไกลถึงต่างประเทศ คนจีน คนสิงคโปร์ มาเลเซีย แม้กระทั่งลาวและกัมพูชาต่างก็ชอบในพระเครื่องไทย”
ประโยคข้างต้นมาจากเซียนพระชื่อดังอย่างอุ๊กรุงสยาม ที่ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารเส้นทางเศรษฐี เมื่อปี 2565 ที่ชวนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมพระเครื่องบ้านเรามีมูลค่ามหาศาลทั้งในฐานะสินค้าในประเทศและสินค้าส่งออกนอกประเทศ แต่คำถามคือพระไหนดี พระไหนดัง เราวัดจากอะไรกันล่ะ? ในเมื่อเซียนพระมีหน้าที่แค่ตรวจดูคุณภาพของพระเครื่อง

ปัจจัยหลักของคำตอบนี้ คือ ‘สตอรี’ ของพระองค์นั้นๆ ยกตัวอย่าง ‘พระสมเด็จวัดระฆัง’ ที่เป็นคีย์สำคัญในการดำเนินเริ่องอันยุ่งเหยิงในภาพยนตร์ โดยพระองค์ดังกล่าวที่ถูกขนานนามว่าจักรพรรดิแห่งวงการพระเครื่อง ถูกจัดสร้างโดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆัง ในสมัยรัชกาลที่ 4 ด้วยความเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทำให้ผู้คนต่างเลื่อมใสและกราบไหว้ท่านด้วยความเคารพนับถือ โดยเหตุผลการสร้างพระดังกล่าวมาจากการที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต ได้พบกับ ‘พระซุ้มกอ’ หรือพระพิมพ์โบราณจากยุคสุโขทัยจำนวนหนึ่ง ท่านจึงมีความตั้งใจที่จะสร้างพระพิมพ์ในลักษณะนั้นอีกครั้ง เพื่อสืบทอดเจตจำนงค์ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาดังคนในอดีต
ส่วนกรรมวิธีในการผลิตพระสมเด็จวัดระฆัง สมเด็จพระพุฒาจารย์ใช้มวลสารในการสร้างที่ไม่เหมือนพระเกจิใดในยุคนั้น ด้วยการใช้ข้าวตากแห้ง ซึ่งเป็นข้าวก้นบาตร มาผสมรวมกับดอกไม้แห้งที่ไหว้บูชาพระมาบดผสม จากนั้นนำมาปั้นคล้ายแท่งชอล์กก่อนจะเขียนยันต์คาถาชินบัญชรกำกับ แล้วบดเป็นผงอีกครั้ง กระทั่งวันพระใหญ่จึงจะนำผงที่ว่ามาผสมกับปูนเปลือกหอย ข้าวสุก ดินสอพอง และน้ำมันตังอิ๋ว (น้ำมันลักษณะข้นเหนียวทำมาจากยางไม้ ใช้สำหรับชักเงาไม้ และช่วยรักษาเนื้อพระ) ให้เป็นเนื้อเดียวกัน ก่อนที่ท่านจะบรรจงนำเนื้อมวลสารมากดลงบนแม่พิมพ์เพื่อขึ้นรูปเป็นเหรียญ

หากมองออกมาจากมุมความเชื่อ พระสมเด็จวัดระฆังถือเป็น ‘งานแฮนเมด’ ที่ใช้ความพิถีพิถัน และหากเปรียบพระเกจิเป็นดัง ‘ศิลปินชื่อดัง’ สักคนจึงไม่แปลกใจที่พระองค์ดังกล่าวจะมีมูลค่ามหาศาล และเมื่อยิ่งผ่านกาลเวลามานานถึง 159 ปี หรือนับตั้งแต่ปีที่สร้างคือ พ.ศ.2409 ทั้งยังมีการสันนิษฐานว่ามีการผลิตเพียง 84,000 องค์เท่านั้น ก็ยิ่งลิมิเต็ด ยากที่จะหามาขึ้นคอ
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโลกธุรกิจพระเครื่องที่สามารถถอดข้อมูลมาจากภาพยนตร์เรื่อง The Stone พระแท้ คนเก๊ ยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย และข้อควรรู้อีกมากหากนึกจะก้าวเท้าสู่วงการธุรกิจพระเครื่อง ถึงกระนั้นสิ่งที่ควรพึงระลึกเสมอก็คือ เนื้อแท้ของพระเครื่องนั้นคือสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจระหว่างมนุษย์กับศาสนาพุทธ ที่สอนให้ผู้คนตั้งมั่นในการประพฤติดี และตราบใดที่ผู้คนยังให้ความสนใจในศาสนา ธุรกิจวงการพระเครื่องก็ยังมีมูลค่ามากพอที่จะพัฒนาและเติบโตอย่างไม่รู้จบ
อ้างอิงข้อมูลจาก :
เส้นทางของศิลปินชื่อ ‘MILLI’ เพิ่มเติมคือ มีธุรกิจยิมมวยและหนังสือเล่มแรกเป็นของตัวเอง
จากเด็กสาวที่ขึ้นไปประกาศศักดาบนเวทีรายการ The Rapper Thailand Season 2 มาวันนี้ ‘มินนี่–ดนุภา คณาธีรกุล’ หรือ ‘มิลลิ’ (MILLI) หรือ ‘นวย’ aka ตามแต่ใครจะยินดีเรียก ได้กลายมาเป็นแร็ปเปอร์เบอร์ต้นของประเทศไทย ภายใต้ชายคาของค่าย YUPP! Entertainment โดยปราศจากข้อกังขาในความสามารถของเธอ
นอกจากผลงานเพลงฮิตติดชาร์ตทั่วบ้านทั่วเมือง อย่าง พักก่อน, สุดปัง, 17 นาที, สาธุ, Sad Aerobic ฯลฯ อีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญที่ทำให้ชีวิตของมิลลิเติบโตอย่างก้าวกระโดด นั่นคือการได้เป็นศิลปินหญิงเดี่ยวชาวไทยคนแรกที่ได้ขึ้นไปแสดงบนเวทีระดับโลกอย่าง Coachella เมื่อปี 2022 ร่วมกับค่าย 88rising พร้อมประกาศก้องให้โลกรู้ว่า คนไทยไม่ได้ขี่ช้าง และเมนู ‘ข้าวเหนียวมะม่วง’ นั้นโคตรจะแซ่บ
และในตอนนี้ชีวิตของศิลปินชื่อมิลลิกำลังก้าวสู่อีกเส้นทาง นั่นคือการเป็นหุ้นส่วนเจ้าของยิมมวยย่านพระราม 9 ที่มีชื่อว่า ‘Rope a Dope’ (โรป อะ โดป) ร่วมกับศิลปินรุ่นพี่ในวงการแร็ปเปอร์อย่าง ‘ธชา คงคาเขตร’ หรือ ‘หลุยส์ 1-Flow’ รวมไปถึงการมี ‘MILLIPEDIA’ หนังสือเล่มแรกในชีวิต ที่เธอนิยามว่าเป็น ‘สารานุกรม’ บอกเล่าการเติบโตในชีวิตทุกๆ มิลลิเมตร
น่าสนใจว่ากีฬามวยมีอิทธิพลยังไงกับแร็ปเปอร์หญิงรายนี้ ธุรกิจยิมมวยที่มีชื่อว่า Rope a Dope ของเธอน่าสนใจยังไง มีวิธีการบริหารแบบไหน และทำไมเธอถึงตัดสินใจออกหนังสือเล่มแรกของตัวเอง รวมไปถึงเส้นทางการเติบโตของเธอในฐานะศิลปินให้แง่คิดอะไรกลับมาบ้าง เราขอชวนฟังคำตอบจากปากของมิลลิไปพร้อมกัน ในคอลัมน์ Brand Belief ตอนนี้
Let’s Get Ready to Rumble!

วันนี้สามารถพูดได้เต็มปากแล้วหรือยัง ว่าเด็กหญิงที่ชื่อ ‘มินนี่’ เมื่อหลายปีก่อน เติบโตเป็นศิลปินที่ชื่อว่า ‘มิลลิ’ อย่างเต็มภาคภูมิ
ถ้าพูดถึงชีวิตการเป็นศิลปินหนูรู้สึกตัวเองโตขึ้นมาหลายระดับ แต่ก็ยังมีหนทางอีกไกลให้ได้โตอีก ทุกวันนี้หนูยังรู้สึกเอนจอยกับอาชีพศิลปิน ยังรู้สึกเอนจอยกับการได้ออกไปเอนเตอร์เทนผู้คน แต่ถ้าพูดถึงในแง่ของชีวิตส่วนตัว หนูรู้สึกว่าความเป็น ‘มินนี่’ มันยังคงอยู่เสมอ หนูให้ความสำคัญกับชีวิตส่วนตัว ออกไปเที่ยว ออกไปทำสิ่งที่อยากทำซึ่งมีอยู่เต็มไปหมด
คิดว่าการที่ได้เล่นบนเวที Coachella เมื่อปี 2022 คือจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตและของอาชีพการเป็นศิลปินหรือเปล่า?
มันมีจุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในทุกๆ วัน รู้ตัวอีกทีหนูใช้ชื่อมิลลิมา 5 ปีแล้ว ตั้งแต่ยังเรียนมัธยมไม่จบจนตอนนี้จบมหา’ลัย บางคนยังนึกว่าหนูอายุ 17 ไม่ใช่จ้า ตอนนี้อายุ 22 แล้ว คือใช้ชีวิตได้คุ้มมาก
สำหรับเวที Coachella มันเป็นเหมือนตัวจุดประกายที่นำพาบทเรียนหลายๆ อย่างให้ตัวเองได้เรียนรู้มากขึ้น เข้าใจวิธีการทำงานของเวทีระดับโลกที่มีการแข่งขันกันสูงมาก ที่นั่นเขามองทุกอย่างเป็นเรื่องของธุรกิจ ผิดกับที่ไทยที่ศิลปินในวงการมีความเป็นพี่เป็นน้องกันสูง
แต่ถ้าถามว่ามีอะไรเปลี่ยนไปมากมั้ยหลังกลับมาจาก Coachella นอกจากจะได้กินเมนูข้าวเหนียวมะม่วงแทบทุกร้าน ทุกอย่างในชีวิตแทบจะเหมือนเดิม หนูยังนั่งมอเตอร์ไซค์ไปทำงาน ยังเดินห้างซื้อของเข้าบ้าน ชีวิตประจำวันยังคงเหมือนเดิม


หลายคนมักพูดว่า มิลลิดูเป็นคนมีเอนเนอร์จี้ ดูแอ็กทีฟตลอดเวลา คำถามคือคุณมีเคล็ดลับในการรักษาทั้ง 2 สิ่งนี้ยังไงให้มีอยู่ในทุกๆ วัน
เอาเข้าจริงถ้าวันไหนรักษาไม่ได้หนูก็จะไม่รักษา มีวันหนึ่งหนูเคยตื่นเช้ามาวิ่ง 10 กิโลฯ ต่อด้วยว่ายน้ำ เข้ายิมไปเวท เสร็จแล้วค่อยออกไปทำงาน เสร็จงานก็กลับมาปั่นจักรยาน แต่มันก็จะมีบางวันที่เราอยากตื่นมาแล้วไม่อยากทำอะไรเยอะแยะ มีความสุขกับสิ่งเล็กๆ เช่นสั่งมะยงชิดมากินสักกล่อง ออกไปหาอาหารอินเดียอร่อยๆ กิน ไปหาคนที่เราอยู่ด้วยแล้วรู้สึกแฮปปี้
ไม่นานมานี้หนูเพิ่งบอกกับตัวเองว่า ชีวิตเรามีเรื่องให้เครียดเยอะมากเหมือนกันนะเนี่ย แต่ยังดีที่รู้จักหาความสุขใส่ตัวเองเป็นไม่ว่าจะวิธีการใดก็ตาม ซึ่งมุมนี้เป็นสิ่งที่เราไม่ได้บอกในโซเชียลฯ
ดูเหมือนคุณจะเป็นคนชอบหากิจกรรมใหม่ๆ ทำอยู่เสมอ
ใช่ อย่างช่วงนี้ก็ชอบกิจกรรมที่เป็นกีฬา ก็จะออกไปลองเล่นกีฬาหลายๆ ประเภท ที่ผ่านมาก็มีโบว์ลิ่ง ปีนผา และเวคบอร์ด ส่วนใหญ่เป็นกีฬาแนวเอกซ์ตรีม ทุกวันนี้เลยเจ็บข้อเจ็บเข่าไปหมด (หัวเราะ)
จริงๆ อีกกีฬาที่หนูชอบคือการต่อยมวย หนูต่อยมวยมาได้ 2 ปีแล้วนะ เริ่มต่อยครั้งแรกตอนช่วงเรียนมหา’ลัยปี 3 เหตุผลที่เริ่มเล่นเพราะว่า เครียดจากการซ้อมดนตรีเลยอยากออกกำลังกาย อีกส่วนหนึ่งคือเป็นคนชอบกีฬา MMA (Mixed Martial Arts) แต่หาเรียนยากและราคาค่อนข้างแพง
เผอิญแถวหอนักศึกษามีค่ายมวยก็เลยไปลองเข้าดู ซึ่งหนูแสดงเจตจำนงกับพี่เจ้าของค่ายว่า หนูไม่ได้อยากมาแค่ออกกำลังกาย หนูอยากรู้ว่ามวยไทยคืออะไร ทำอะไรได้บ้าง การฝึกซ้อมแบบไหนดีที่สุดเป็นยังไง พี่เขาก็ตั้งใจสอน จนทุกวันนี้สนิทกับพี่เจ้าของค่าย มาค่ายทีเขาก็ดูแลเราเหมือนเป็นลูกเป็นหลานคนหนึ่ง
ซึ่งหนูได้ค้นพบตัวเองว่า การที่เราโดนครูมวยต่อยหรือเตะ ถือเป็นอีกวิธีในการปลดปล่อยความเครียด ความเครียดที่สะสมมันถูกระบายผ่านความเจ็บปวดทางร่างกาย จนนานวันก็กลายเป็นความชอบในกีฬามวย โดยเฉพาะมวยไทย หนูชอบมวยไทยเพราะส่วนตัวเราเป็นคนบู๊ๆ ชอบพุ่งชน และดาเมจมันเยอะกว่ามวยประเภทอื่นๆ
กระทั่งเรียนจบต้องกลับมาใช้ชีวิตในเมือง ก็ยังไม่เจอค่ายมวยที่ถูกใจ หนูรู้สึกว่าค่ายมวยในเมืองพอลูกค้าเขาเยอะเขาไม่สามารถลงรายละเอียดการฝึกซ้อมได้เหมือนแบบที่หนูเคยเจอมาก่อน จนวันหนึ่งมาเจอกับยิมมวย Rope a Dope ของพี่หลุยส์ (ธชา คงคาเขตร ศิลปินแร็ปเปอร์ aka 1-Flow) ซึ่งที่นั่นสอนมวยสากลเป็นหลัก ก็เลยหันมาเล่นมวยสากล เทคนิคที่จำได้แม่นจากตอนเรียนมวยสากลคือท่าต่อย Peek a Boo เป็นท่าไม้ตายที่ต้องย่อตัว โยกหลบ แล้วกลับขึ้นมาฮุก เป็นไม้ตายแบบเดียวกับที่ไมค์ ไทสัน ใช้ประจำ

จากลูกค้าทำไมถึงกลายมาเป็นหุ้นส่วนธุรกิจของยิมมวย Rope a Dope ได้
คือปกติเราเป็นคนไม่ค่อยเสียตังค์ให้กับอะไร พอพี่หลุยส์เอ่ยปากชวนมาเป็นหุ้นส่วนก็รู้สึกว่าเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ
พี่หลุยส์โฆษณาให้ฟังว่าเขาอยากทำ Rope a Dope ให้เป็นยิมมวยเหมือนของต่างชาติ ติดแอร์ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน พอได้ฟังไอเดียจนจบก็เลยอยากลองลงทุนดูสักครั้ง เพราะนี่เป็นสิ่งที่เราชอบ เราต่อยอดกับมันได้ และที่สำคัญคือพอเราลงทุนเป็นหุ้นส่วน Rope a Dope ก็เหมือนได้เป็นสมาชิกยิมฟรีตลอดชีวิต
ทำไมถึงต้องเป็นยิมมวยสากล
เอาจริงๆ มวยสากลในประเทศไทยหาเรียนยาก ความยากต่อมาพอเป็นธุรกิจมวยสากลคือ ฝรั่งหรือคนไทยส่วนใหญ่ที่มาก็อยากจะเรียนมวยไทย เพราะเป็นคนไทยหรือมาถึงประเทศไทยก็ต้องเรียนมวยไทย มวยสากลก็เลยหาเรียนยากแต่มันก็ใช่ว่าจะไม่มี ที่นี่ก็เลยอยากจะเป็นอีกหนึ่งที่สอนมวยสากล
ชื่อยิม Rope a Dope หมายถึงอะไร
Rope a Dope เป็นเทคนิคหนึ่งในการชกของมวยสากล เป็นท่าที่ใช้หลังพิงเชือกโยกหลบคู่ต่อสู้ นักมวยที่ใช้เก่งๆ ก็คือมูฮัมหมัด อาลี เป็นท่าชวนหงุดหงิดที่หนูเคยโดนมาแล้ว ซึ่งพี่หลุยส์ชอบท่านี้ก็เลยเอามาตั้งเป็นชื่อยิม

Rope a Dope มีบริการอะไรบ้างที่แตกต่างจากยิมมวยสากลที่อื่นๆ?
ตอนนี้ Rope a Dope มีโปรแกรม ice bath ที่จัดขึ้นอาทิตย์ละครั้ง ซึ่งนำโปรแกรมโดยตัวหนูเอง กับอีกโปรแกรมคือ ‘นวดสปอร์ต’ (sport therapeutic massage) ที่ทำทั้งสองโปรแกรมนี้ขึ้นมา เพราะหนูสังเกตเห็นว่า คนที่มาต่อยมวยส่วนใหญ่ไม่ค่อยระมัดระวังตัวเอง บ้าพลังใส่สุดจนร่างกายบาดเจ็บ กับอีกอย่างคือไม่ค่อยยืดเส้นหลังฝึกซ้อม ซึ่งความยืดหยุ่นมันสำคัญมากๆ กับการต่อยมวย ยิ่งคุณออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงหนักๆ ยิ่งต้องดูแลร่างกายตัวเอง
ที่ Rope a Dope ยังมีคลาสหลายประเภทให้เลือก ทั้งคอร์สสำหรับคนที่อยากมาเพื่อออกกำลังกาย หรือคอร์สส่วนตัวสำหรับคนที่อยากรู้ทุกอย่างของมวยสากล ไปจนถึงคอร์สสำหรับคนที่อยากเทิร์นตัวเองเป็นนักมวยสากลจริงๆ จังๆ โดยเทรนเนอร์ในยิมก็เป็นเทรนเนอร์ที่ฝึกสอนหนูมากับมือ

คุณมักจะเน้นย้ำเสมอว่า Rope a Dope เป็น ‘ยิมมวย’ ไม่ใช่ ‘ค่ายมวย’ เพราะอะไรจึงต้องเน้นย้ำแบบนั้น
เหตุผลเพราะถ้าเป็นค่ายคุณจะต้องมีนักมวยเป็นของตัวเอง แต่ Rope a Dope ยังไม่มีนักมวยเป็นของตัวเอง ตอนนี้เราเป็นเหมือนยิมอเนกประสงค์ เรามีที่ออกกำลังกายก็เลยอยากพัฒนาพื้นที่ตรงนั้นให้มันทำอะไรได้มากขึ้น
จุดมุ่งหมายเราอยากทำพื้นที่ตรงนั้น (พระราม 9 ซอย 41) เป็น ‘ฮับ’ เพราะว่านอกจากจะมียิม ใกล้ๆ ตรงนั้นยังมี ‘ร้านกะเพราเสือป่า’ ที่พี่หลุยส์ทำกับพี่สาว เพราะฉะนั้นถ้าเกิดคุณมาที่ฮับนี้ คุณหิวไม่มีแรงก็ไปกินกะเพราก่อนแล้วค่อยไปต่อยมวย หรือคุณต่อยมวยเสร็จแล้วหิวก็ไปกินกะเพราต่อได้เลย และถ้าเผื่อในอนาคตมันเวิร์กจริงๆ ร้านกะเพราเสือป่าก็อาจจะมีเมนูคลีนสำหรับคนรักสุขภาพ รวมๆ ฟีลเหมือนคุณมาออกกำลังกาย มากินข้าวแถวบ้าน มีกลิ่นอายความเป็นโฮมมี่
ยากไหมกับการมีธุรกิจตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย
หนูว่าฟีลๆ จอยๆ ดีค่ะ ถ้าทุกคนที่มายิมจะได้เจอหนูแน่ๆ บางวันหนูจะอยู่รับแขกด้วยตัวเองตั้งแต่ 8 โมง อยู่จนยิมปิดตอน 2 ทุ่ม หลังยิมปิดหนูก็อยู่ปั่นจักรยาน เล่นเวทเทรนนิ่งไปเรื่อย
ทีมงานของ Rope a Dope ตอนนี้หลักๆ มีอยู่ 3-4 คน ทุกคนช่วยแบ่งเบาการทำงาน งานแอดมินหนูก็ทำ ใครที่ทักเข้ามาในเพจแล้วแอดมินตอบว่าค่ะ ก็จะเป็นหนูตอบ แต่ถ้าตอบว่าครับ ก็จะเป็นครูมวยตอบ หลังๆ หนูดีใจมากที่ยิมมีลูกค้ามากขึ้น


ดูคุณจะเป็นคนที่เนิร์ดเรื่องมวยมากๆ เพราะนอกจากคุณจะเป็นหุ้นส่วนยิมมวยแล้ว คุณยังเป็นสปอนเซอร์ให้กับนักมวยอีกด้วย
จุดเริ่มต้นมันมาจากที่หนูได้ร่วมโปรเจกต์หนึ่งกับค่ายมวย Fairtex ทีนี้ทางนั้นเขาก็ถามว่าสนใจเป็นสปอนเซอร์ให้กับแรมโบ้เล็ก ฉ.อจลบุญ ไหม ซึ่งหนูก็รู้สึกว่าคอมมิวนิตี้มวยมันมีความเป็นพี่น้องเหมือนวงการฮิปฮอป และหนูเห็นว่านักมวยคนนี้ดูทรงดีนะ ก็เลยตัดสินใจเป็นสปอนเซอร์ให้เขาในนามยิม Rope a Dope
ประสบการณ์การได้เป็นสปอนเซอร์ให้กับนักมวยเป็นยังไง
กดดันมาก ความรู้สึกแรกคืออย่ามาแพ้โดยที่มีชื่อยิมเราปักอยู่บนกางเกงนะ ทุกคนก็เลยเห็นรีแอกชั่นของหนูว่าเชียร์ได้โอเวอร์มาก อาจจะเพราะคนอื่นไม่เคยเห็นหนูในมุมที่อินกับมวยมากๆ หนูอินถึงขั้นที่วันเกิดปีที่แล้วหนูนั่งดูมวยกับที่บ้านจนหลับคาหน้าจอทีวี
ในอัลบั้มใหม่ของคุณที่กำลังจะปล่อยเร็วๆ นี้ ก็มีซิงเกิลที่เกิดจากแพสชั่นในกีฬามวย?
เพลงแรกคือเพลง HEAVYWEIGHT ที่ใช้เปิดตัวพี่ตะวันฉาย (ตะวันฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม) บนเวที ONE 170 กับอีกเพลงที่เพิ่งปล่อยมิวสิกวิดีโอไปชื่อว่าเพลง ONE PUNCH ซึ่งทั้ง 2 เพลงนี้จะอยู่ในอัลบั้มใหม่
อย่างเพลง HEAVYWEIGHT ชื่อมันก็มาจากรุ่นน้ำหนักมวย เนื้อหาในเพลงที่พูดถึงในนั้นสื่อถึงเราเป็นนักมวยที่เคยอยู่ระดับสมัครเล่นมาก่อน จนเติบโตมาเป็นรุ่น atomweight ผ่านการฝึกซ้อมอย่างหนักจนมาเป็นรุ่นที่ใหญ่ที่สุดในมวยสากลสมัครเล่น นั่นคือรุ่น Heavyweight เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครก็เข้ามาได้เลย เราจะต่อยมันให้หมด
ส่วน ONE PUNCH เป็นเพลงที่เล่าถึงการพิสูจน์ตัวเองในฐานะที่เป็น women fighter ที่มันมีอะไรหลายๆ อย่างที่ต้องสู้ สู้กับการถูกตราหน้าว่าจะทำได้หรือ? แต่จริงๆ เราทำได้อยู่แล้ว และเราไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรเพื่อคุณ ซึ่งอัลบั้มเต็มทั้งหมดจะได้ฟังในเดือนมิถุนายน

ข้อคิดสำคัญที่ได้จากการบริหารธุรกิจ Rope a Dope คือ?
การพูดคุยกับผู้คน การประชุมอย่างเดียวจะไม่เกิดผลจนกว่าจะลงมือทำ เราคุยฟุ้งเรื่องไอเดียได้แต่ต้องจับมือกันไปทำงานด้วย เพราะอย่างพี่หลุยส์เขาก็มีหลายธุรกิจที่ต้องทำ หนูก็จะเข้ามาช่วยดูแล เข้ามาสานต่องานที่ต้องทำ
ส่วนในอนาคตนอกจากอยากจะสร้างฮับของคนรักกีฬามวย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะส่งนักมวยสากลสักคนไปต่อยในรายการจริงๆ จังๆ สักรายการ
จากเรื่องธุรกิจมวย ตอนนี้คุณเพิ่งมีหนังสือเล่มแรกในชีวิตที่ชื่อว่า ‘MILLIPEDIA’ ซึ่งคอลแล็บร่วมกับ ‘ขายหัวเราะ’ ด้วย
มันเริ่มมาจากทางขายหัวเราะติดต่อมาว่า อยากชวนหนูมาร่วมทำโปรเจกต์หนึ่งซึ่งขายหัวเราะเป็นหนังสือที่เราผูกพันมาตั้งแต่เด็ก แล้ววันนี้เขาอยากคอลแล็บกับเรา นำเสนอชีวิตของศิลปินชื่อมิลลิผ่านหนังสือสักเล่ม แต่ชีวิตของหนูถ้าจะให้เล่าในมุมที่จริงจังก็อาจไม่ใช่ตัวเองสักเท่าไหร่ โดยปกติหนูเป็นคนที่ make fun กับ trauma ของตัวเอง ข้างนอกฮาๆ ข้างในฮือๆ ก็เลยรู้สึกว่า ขายหัวเราะน่าจะถ่ายทอดเรื่องราวของหนูออกมาได้ดี

ชื่อหนังสือ MILLIPEDIA มาจากอะไร?
มันได้ไอเดียมาจากตอนที่หนูเสิร์ชประวัติตัวเองในวิกิพีเดีย ผลปรากฏคือไม่มีข้อมูลข้อไหนที่ตรงเลย พื้นเพหนูไปเกิดสุราษฎร์ธานีได้ยังไง หนูเกิดที่โรงพยาบาลหัวเฉียว หนูก็เลยเขาไปแก้ไขข้อมูลว่า พื้นเพเป็นคนสวย หลังจากนั้นคือเข้าไปแก้ไขข้อมูลอะไรไม่ได้อีกเลย (หัวเราะ)
ก็เลยเป็นไอเดียว่า ข้อมูลในวิกิพีเดียไม่มีอะไรถูกต้องเลย ถ้างั้นเราสร้างมิลลิพีเดียเป็นของตัวเอง รับรองว่าข้อมูลถูกต้องแน่นอน


ทำไมถึงนิยาม MILLIPEDIA ว่าเป็น ‘สารานุกรมชีวิต’ ของมิลลิ
เพราะข้างในหนังสือเล่มนี้จะเล่าทุกเรื่องที่คุณสงสัยเกี่ยวกับหนู และมีบางเรื่องที่หนูไม่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อไหนมาก่อน ถ้าเป็นมะม่วงก็เหมือนมะม่วงที่ถูกปลอกเปลือกจนเห็นเนื้อในทั้งหมดให้ทุกคนได้ชิมกัน
เรื่องมีตั้งแต่ตัวหนูเริ่มจากศูนย์ ตั้งแต่ตัวเท่าหัวเข่า อะไรที่ทำให้เด็กคนนี้มั่นอยากจะเป็นดารา อยากจะเป็นศิลปิน ซึ่งจริงๆ ตอนแรกหนูไม่อยากเป็นด้วยซ้ำ หนูอยากเป็นพิธีกร อยากเป็นนักจิตวิทยา อยากเป็นผู้ประกาศข่าว เพราะเราชอบกระดกลิ้น ร เรือ ชอบอ่านหนังสือ แต่ทำไมถึงลงเอยมามีอาชีพเป็นศิลปิน แร็ปเปอร์
ในหนังสือจะไล่ทุกอย่างในชีวิตของหนูตั้งแต่ตอนประกวด The Rapper วันที่ได้ขึ้นเวที Coachella จนถึงไปในอนาคตว่าหนูมองแผนในชีวิตตัวเองยังไง ซึ่งพอทำกับขายหัวเราะ แน่นอนว่าก็จะมีภาพประกอบเนื้อหาที่ลายเส้นน่ารัก เหมือนอ่านการ์ตูนขายหัวเราะเพลินๆ สักเล่ม
คนที่ได้อ่านหนังสือ MILLIPEDIA จะได้อะไรกลับไปบ้าง
ไม่แน่ใจว่าชีวิตของหนูจะเป็นประโยชน์ให้กับคนอ่านได้มากน้อยแค่ไหน แต่หนูรู้สึกว่าบางคำถามในชีวิตที่หนูสามารถตอบตัวเองได้แล้ว อาจจะเป็นคำตอบให้กับคำถามของผู้อ่านหลายๆ คน จริงอยู่ที่รูปแบบของสิ่งที่เจอในชีวิตมันอาจจะไม่เหมือนกัน แต่มันอาจจะมีแนวทางในการผ่านเรื่องนั้นไปใกล้เคียงกัน หรือมันอาจจะมีแนวทางในการตัดสินใจที่คล้ายๆ กัน ซึ่งผู้อ่านอาจจะนำเอาไปใช้ได้
จนถึงตรงนี้คุณได้ผ่านทั้งเรื่องที่ดีและเรื่องที่แย่มาไม่น้อย คิดว่าสิ่งเหล่านี้สอนอะไรแก่คุณบ้าง
หนูไม่ได้เสียใจให้กับเรื่องที่แย่นะ อาจจะมีบางเรื่องที่รู้สึกเสียใจที่ตัวเองปากแจ๋วเกินไป แต่สุดท้ายมานั่งคิดดูอีกที เรื่องบางเรื่องมันเป็นความผิดพลาดที่สอนเรา
อย่างดราม่าของ พักก่อน ซึ่งเป็นเพลงเดบิวต์ของหนูที่มีการใช้คำพูดที่ฟังแล้วรู้สึกรุนแรง ถ้าไม่มีดราม่าในวันนั้น ในวันนี้หนูก็อาจไม่ตระหนักว่า หนูจำเป็นต้องรับผิดชอบกับผลงานของเราที่ไปถึงหูผู้ฟังจำนวนมาก ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจเพลงของเราได้ทั้งหมด ในเมื่อทุกคนไม่ได้เติบโตมาแบบเดียวกัน ดังนั้นเราจำเป็นต้องแคร์คนฟังให้มากๆ คิดถึงใจคนอื่นให้มากขึ้น และพิถีพิถันกับงานของเราให้มากขึ้น

ถ้าเปรียบการเติบโตของชีวิตตัวเองเป็นหน่วย ‘มิลลิเมตร’ คิดว่าตัวคุณเติบโตไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว
1 กิโลเมตร เท่ากับ 1 ล้านมิลลิเมตร ถ้างั้นหนูว่า 5 ปีที่ผ่านมา ชีวิตศิลปินของหนูน่าจะเพิ่งผ่านไปแค่ 1 ล้านมิลลิเมตร หนูว่ามันแป๊บเดียวเองนะ ปกติหนูวิ่งเพซ 4 แป๊บเดียวก็ 1 กิโลเมตรแล้ว (หัวเราะ)
‘MILLIPEDIA : บันทึก MILLI ทุกมิลลิเมตร’ คือหนังสือที่บันทึกถึงเส้นทางการเติบโต การเดินตามความฝัน และทุกเหตุผลที่ทำให้ ‘มินนี่–ดนุภา คณาธีรกุล’ หรือ ‘มิลลิ’ (MILLI) กลายเป็นศิลปินแร็ปเปอร์ชื่อดัง ผ่านลายเส้นคาแร็กเตอร์ประกอบเนื้อหาโดย ขายหัวเราะ Studio จัดจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์ Salmon Books ราคา 245 บาท

(เครดิตภาพ : เพจเฟซบุ๊ก ขายหัวเราะ)
‘Air Jordan’ ความมหัศจรรย์ของนักบาสคนหนึ่งและรองเท้าคู่หนึ่งที่เปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ
นี่ ได้ยินไหม? อ้าว ไม่ได้ยินอะไรงั้นเหรอ
ลองตั้งใจเงี่ยหูฟังใหม่อีกทีสิ พอจะได้ยินไหมว่าสายลมนั้นกำลังกระซิบบอกเรื่องราวของมันให้เราได้ยิน
เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว และยังคงล่องลอยในสายลมจนถึงวันนี้
เรื่องราวมหัศจรรย์ของนักบาสเกตบอลคนหนึ่ง รองเท้าคู่หนึ่ง ที่เปลี่ยนแปลงโลกได้ทั้งใบ
1.
ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 เวลานั้น Nike ยังไม่ได้เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของวงการกีฬาเหมือนเช่นในวันนี้
พวกเขาไม่ได้เป็นเบอร์หนึ่งและไม่ได้ครองแม้แต่เบอร์ 2 ด้วย เพราะเบอร์หนึ่งของวงการในเวลานั้นคือ adidas ยักษ์ตัวพ่อที่ถือแก้วเบียร์ไม่ห่างมือจากเยอรมนี ขณะที่เบอร์ 2 ของวงการคือรองเท้าตราดาว Converse
Nike บริษัทเครื่องกีฬาที่เริ่มต้นจากการรับสินค้าญี่ปุ่น Onitsuka มาวางขายก่อนจะเริ่มคิดทำรองเท้ากีฬาของตัวเองในชื่อ ‘Blue Ribbon’ (เรียกให้น่ารักก็อาจจะเป็นโบว์รักสีน้ำเงิน) เริ่มประสบปัญหาใหญ่ทางการเงินหลังเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ พวกเขาพบว่าพวกเขายังโตไม่พอ เท่ไม่พอ และดีไม่พอที่จะเป็นเบอร์ต้นของวงการ

ในวงการวิ่งรองเท้าจากสารพันไอเดียของบิล โบเวอร์แมน (หนึ่งในตำนานคือ Waffle รองเท้าที่ปิ๊งไอเดียจากเครื่องทำขนมวาฟเฟิล) ถือว่าพอจะตีตลาดได้บ้างแล้ว แต่ฟิล ไนต์ เชื่อว่าทางรอดที่แท้จริงในตอนนั้นคือการเจาะเข้าตลาดรองเท้าบาสเกตบอลให้ได้ ซึ่งเวลานั้น adidas และ Converse เป็นผู้นำของวงการอยู่
พวกเขาต้องการใครสักคนที่จะมาใส่รองเท้าสักคู่ของ Nike ให้เฉิดฉายอยู่ในสนาม
คำถามชวนปวดหัวคือแล้วใครควรจะเป็นคนนั้นกัน?
คำตอบจากสายลมคือ “ไปถามซอนนี วัคคาโร ดูสิ”
2.
จอห์น พอล วินเซนต์ ‘ซอนนี’ วัคคาโร ไม่ได้เป็นผู้บริหารระดับสูงอะไรในสำนักงานที่ออริกอนของ Nike ความจริงเขามีหน้าที่เป็นเพียงแค่ ‘เซลส์แมน’ คนหนึ่งที่มีหน้าที่ในการตระเวนหาแหล่งปล่อยสินค้าให้ได้มากที่สุดเท่านั้น

แต่เพราะเซลส์แมนคนนี้เองที่นอกจากจะกลายเป็น ‘The Man Who Saved Nike’ แล้วยังเป็นคนที่ทำให้เกิดวัฒนธรรมรองเท้าสนีกเกอร์ทั่วทุกมุมโลกด้วย
วัคคาโรเพิ่งจะเข้ามาทำงานกับ Nike ได้ไม่นานในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ซึ่งขณะนั้นพวกเขายังไม่ได้เป็นบริษัทใหญ่โตอะไร ยอดขายทั้งปีมีเพียงแค่ 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น และว่ากันตามตรงสถานการณ์ของ Nike เองก็กำลังมาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ลูกผีลูกคนอยู่
มาถึงปี 1984 สิ่งที่ผู้บริหารในระดับสูงของ Nike คิดว่าทางรอดของพวกเขาคือการเจาะตลาดบาสเกตบอลที่เป็นอีกฐานใหญ่ให้ได้ แต่การจะตีตลาดนี้ให้แตกนั้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่ายากเพราะคู่แข่งอย่าง adidas และ Converse นั้นรันวงการมานานพอสมควร และจับนักกีฬาดังมากมายเซ็นสัญญาใส่รองเท้าของพวกเขาลงสนาม
Nike ก็อยากมีแผนแบบนั้นเหมือนกัน แต่ด้วยสถานะอันเดอร์ด็อก สุนัขจนตรอกแบบพวกเขาไม่มีสตาร์ที่ไหนมอง ทำให้เกิดไอเดียในการกระจายความเสี่ยงด้วยการเซ็นสัญญากับผู้เล่นอาชีพที่อาจจะไม่ถึงระดับสตาร์หลายๆ คนแทน โดยใช้งบประมาณแต่ละคนไม่มากสำหรับการ endorse สินค้า
ตรงนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องเล่าสุดคลาสสิก
วัคคาโร–ซึ่งเคยอยู่ในวงการบาสเกตบอลในฐานะผู้จัดการแข่งขัน มีเครือข่ายคอนเนกชั่น และยังใช้เวลาว่างในการติดตามเฝ้าชมการแข่งขันในระดับนักเรียน-นักศึกษา–ได้รับมอบหมายงานอีกอย่างในการตามหานักกีฬาที่เหมาะสมจะเป็นหน้าตาของแบรนด์
แล้วเขาก็คิดถึงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ได้ดูในการแข่งขันรายการชิงแชมป์รายการ NCAA ในระดับอุดมศึกษาเมื่อปี 1982 ไอ้หนุ่มที่ชู้ต 3 คะแนนในช่วงนาทีชี้เป็นชี้ตายของเกมคนนั้น

ไมเคิล จอร์แดน
จอร์แดนในขณะนั้นอายุแค่ 19 ปี เป็นนักศึกษาปี 3 ของมหาวิทยาลัยแคโรไลนา แต่ก็เริ่มฉายแววโดดเด่น มีหลายทีมที่จับจ้องอยู่ และเจ้าตัวเองยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมการดราฟต์ (ระบบการคัดเลือกเข้าทีมหรือแฟรนไชส์ในภาษากีฬาอเมริกันเกมส์)
และไม่ใช่แค่ทีมบาสด้วยที่จ้องจะคว้าตัว แบรนด์ใหญ่อย่าง adidas และ Converse เองก็เลียบๆ เคียงๆ ถามไถ่อยู่เหมือนกัน
พ่อเซลส์แมนรู้ว่าถ้า Nike อยากจะได้ตัวจอร์แดน พวกเขาต้องรีบทำอะไรสักอย่าง
และมันต้องเป็นอะไรสักอย่างที่สุดยอดตลอดกาลเท่านั้นด้วย!
ตามพงศาวดารวงการยัดห่วงเล่าว่า วัคคาโรพยายามคัดค้านแผนเดิมในการหว่านงบไปกับนักบาสเกตบอลหลายๆ คน แต่ขอให้เอางบประมาณทั้งหมดมาทุ่มให้กับนักกีฬาดาวรุ่งที่ยังไม่ทันได้แจ้งเกิดในวงการเลยอย่างจอร์แดนแทน
ลองจินตนาการตามดูนะครับว่ามันเป็นเรื่องบ้าบอคอแตกขนาดไหน ที่บริษัทซึ่งมีงบจำกัดจำเขี่ย จะเสี่ยงเอาเงินมหาศาลเพื่อทุ่มให้นักกีฬาที่ยังไม่รู้เลยว่าจะเก่ง จะโด่งดังจริงหรือเปล่า ต่อให้จะมีชื่อเสียงในระดับอุดมศึกษาว่ามีโอกาสจะเป็นซูเปอร์สตาร์คนใหม่ของวงการ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องทุ่มหมดหน้าตักไปกับเรื่องนี้
แต่วัคคาโรคิดว่านี่แหละคือสิ่งที่ Nike ควรทำ พวกเขาต้องทุ่มหมดตัวเท่านั้นหากต้องการเป็นผู้ชนะในดีลนี้
ในด้านหนึ่งเขาต้องพยายามกล่อมผู้บริหารระดับสูงทุกคน โดยเฉพาะบอสใหญ่อย่างฟิล ไนต์ ให้เห็นด้วยกับแผนสุดบ้าบอนี้ ซึ่งแม้จะแทบตายแต่ก็ทำได้สำเร็จ
ทว่าอีกด้านที่ยากกว่าคือเขาจะทำยังไงถึงจะสามารถเอาชนะใจของจอร์แดนได้
ปัญหาใหญ่ในเวลานั้นมีอยู่ว่า จอร์แดนเซ็นสัญญาเป็นนักกีฬาของ Converse มาก่อนแล้ว โดยใส่รองเท้ารุ่น Chuck Taylor (ซึ่งก็เป็นตำนานของวงการ NBA ในรุ่นก่อน) ในการลงแข่งระดับ NCAA
แต่ลึกๆ ในใจแล้วจอร์แดนเป็นสาวกตัวยงของ adidas ใส่รองเท้าของแบรนด์เยอรมันทั้งในเวลาซ้อมและในชีวิตประจำวันด้วย ถ้าคิดจะดึงตัวมาเข้าสังกัดอีกคนก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะยากเกินไปนักสำหรับพวกเขา
ดังนั้น Nike จะทำอะไรก็ต้องรีบทำแล้ว
โชคดีที่การเจรจากับ adidas กับจอร์แดนมีความชะงักงันอยู่บ้างเนื่องจากแบรนด์คิดว่าการเซ็นสัญญากับว่าที่รุกกี้คนนี้ที่แบรนด์ยังไม่เชื่อมั่นหรือคิดว่าเป็นการเลือกนักกีฬาที่จำเป็นนัก
มันจึงเป็นโอกาสสำหรับวัคคาโรที่ใช้ทุกวิถีทางเพื่อจะกล่อมจอร์แดนให้มาใส่รองเท้าของ Nike ให้ได้
การพบกันครั้งแรกของทั้งสองคนเกิดขึ้นที่ภัตตาคารเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งวัคคาโร มาพร้อมกับแผนการตลาดที่เตรียมไว้ให้เป็นพิเศษ ด้วยข้อเสนอที่ไม่มีใครกล้าจะให้จอร์แดนมากขนาดนี้แน่นอกจาก Nike
ข้อเสนอนั้นไม่ใช่แค่เรื่องเงินจำนวนมหาศาลถึง 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐในสัญญาระยะเวลา 5 ปี ซึ่งเป็นจำนวนเงินค่าสปอนเซอร์นักกีฬาที่มากที่สุดในเวลานั้น เพราะสมัยปี 1984 นั้นไม่มีนักกีฬาคนไหนที่ได้เงินค่าสปอนเซอร์เกินกว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งจอร์แดนได้มากกว่าถึง 5 เท่า!
นอกจากนี้วัคคาโรยังตบด้วยท่าไม้ตาย ด้วยการบอกว่า Nike จะเปิดไลน์สินค้าเฉพาะของจอร์แดนให้ด้วย โดยเฉพาะรองเท้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
แต่จอร์แดนฟังข้อเสนอแบบผ่านๆ ตัวเขาอาจจะอยู่ตรงนั้น แต่ใจเขาลอยไปไหนไม่รู้
เรื่องนี้ไม่ได้เกินความคาดหมายของวัคคาโร เขาอ่านเรื่องนี้เอาไว้อยู่แล้วหลังจากที่ได้พูดคุยกัน คีย์เวิร์ดสำคัญที่เขาล้วงออกมาได้จากจอร์แดนคือคำตอบของคำถามที่ว่า “ไอ้หนู เธอสนิทกับใครที่สุด” ซึ่งแทนที่คำตอบจะเป็นโค้ชของทีมมหาวิทยาลัย สิ่งที่จอร์แดนตอบคือ “ครอบครัว”
วัคคาโรรู้ว่าคนที่จะช่วยเขาได้คือพ่อและแม่ของจอร์แดนนั่นเอง และนั่นทำให้เขาไปค้นหาเบอร์โทรศัพท์บ้านของไอ้หนุ่มอายุ 19 ปีคนนี้ในสมุดหน้าเหลือง เมื่อได้มาแล้วก็พยายามโทรไปพูดคุยเกลี้ยกล่อมด้วยสกิลสาลิกาลิ้นทองฉบับยอดเซลส์แมน
การกล่อมของวัคคาโร ทำให้พ่อกับแม่ของเขาเริ่มเคลิ้มตามข้อเสนอและคิดว่านี่เป็นข้อเสนอที่ดีเกินกว่าจะปฏิเสธได้ เพราะมองว่าตอนนั้น Nike ยังไม่ได้เป็นแบรนด์ใหญ่ โอกาสที่จอร์แดนจะได้กลายเป็น ‘someone’ ของแบรนด์สูงมาก ดีกว่าเป็นแค่ ‘another one’ ของแบรนด์ใหญ่ ดังนั้นเมื่อถูกนัดเพื่อประชุมร่วมกับผู้บริหารที่ขอนำเสนออย่างเป็นทางการอีกครั้งแล้วจอร์แดนไม่อยากไป สิ่งที่พวกเขาขอเพิ่มมีเพียงเงื่อนไขที่ก็ไม่เคยมีใครทำมาก่อนเหมือนกันอย่างการขอเงินส่วนแบ่งจากการขายรองเท้าทุกคู่ 25%
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณแม่เดอโลริส จอร์แดน ผู้ที่วัคคาโรบอกว่า “ผมสัมผัสได้ว่านี่แหละคนบงการตัวจริง ถ้าจับเขาได้ ทุกอย่างก็จะง่าย” พยายามกดดันให้ลูกชายที่ไม่เคยมอง Nike อยู่ในสายตาเลยไปเจอกับทีมผู้บริหารและฝ่ายการตลาดของ Nike ให้ได้
“ไปก่อนเถอะลูก เดี๋ยวค่อยว่ากัน”
สุดท้ายเมื่อไปถึงที่แล้ว ไม่มีทางที่ Nike จะยอมปล่อยให้จอร์แดนกลับบ้านไปโดยไม่ได้เซ็นชื่อในกระดาษสัญญาแน่นอน
สุดท้ายด้วยความพยายามของทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัคคาโร ที่แม้จะไม่ได้อยู่ในห้องประชุมใหญ่เวลานั้นด้วย แต่ด้วยวิสัยทัศน์ คำแนะนำ และความพยายามแบบ Never give up ของเขา ทำให้การเซ็นสัญญาระหว่างจอร์แดนกับ Nike เกิดขึ้นจนได้
โดยที่ไม่มีใครสักคนในเวลานั้นที่รู้ว่า มันจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนของโลกบาสเกตบอล โลกกีฬา และโลกสนีกเกอร์ในเวลาต่อมา
3.
แต่ไม่ใช่ว่าแค่ตัดสินใจทุ่มเงินได้ตัวจอร์แดนมาแล้วทุกอย่างจะจบ
สิ่งที่มีความสำคัญไม่ได้น้อยไปกว่ากันคือเรื่องของที่จะขาย เพราะต่อให้ endorser ดีแต่ถ้าโปรดักต์ไม่ดีก็เท่านั้น ดังนั้นงานต่อไปของ Nike คือการทำตามคำมั่นที่ได้ให้ไว้กับจอร์แดนว่ารองเท้าที่ออกแบบมาเพื่อเขานั้นจะถูกใจชาวโลกด้วย

เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของปีเตอร์ มัวร์ ครีเอทีฟไดเรกเตอร์คนแรกของ Nike ที่ได้รับมอบหมายในการออกแบบรองเท้าสำหรับจอร์แดน ซึ่งในมุมของนักกีฬาที่ลงสนามเขาอยากได้รองเท้าที่มีคุณสมบัติบางอย่าง เช่น พื้นไม่สูงมากเพื่อให้สัมผัสได้ถึงพื้นสนามในเวลาลงเล่น
ในมุมของการออกแบบผลิตภัณฑ์ มัวร์หยิบเอาเทคโนโลยีการออกแบบของ Nike ใส่เข้าไป
แต่การออกแบบที่ทำให้รองเท้ารุ่นนี้กลายเป็นรองเท้าอมตะตลอดกาลกลับเป็นเรื่องของ ‘สี’
มัวร์ตีโจทย์ว่าเขาอยากจะ ‘ทลายกำแพงเรื่องสีรองเท้า’ ด้วยการเลือกสีให้รองเท้าของจอร์แดน เป็นสีดำ แดง และขาว ซึ่งก็ไม่ได้มาจากอะไรที่ไหน แต่เป็นสีประจำทีมของชิคาโก บูลส์ ที่ดราฟต์ตัวจอร์แดนมาร่วมทีมได้สำเร็จนั่นเอง
ขณะที่ชื่อของรองเท้ารุ่นนี้นั้น ตามตำนานเล่าว่า เดวิด ฟอล์ก ซึ่งทำหน้าที่เป็นนายหน้านักกีฬาของจอร์แดนในเวลานั้นได้เสนอชื่อว่า ‘Air Jordan’ ซึ่งมาจากท่วงท่าการเหินหาวของจอร์แดนในเวลาจะเล่นลูกดังก์ (dunk–การกระโดดขึ้นไปเอาบอลยัดห่วง ซึ่งเป็นลีลาการทำแต้มที่เร้าใจที่สุดของบาสเกตบอล)
สีสุดฉูดฉาดนี้ทำให้รองเท้านั้นแตกต่างจากรองเท้าบาสเกตบอลทั่วไปในตลาดทันที เพราะในยุคนั้นรองเท้ากีฬาจะมีเพียงแค่สีขาวหรือสีดำเท่านั้น และตามกฎเครื่องแต่งกายนักกีฬาของ NBA มีข้อบังคับที่เรียกว่า ‘Unify of the uniform’ ซึ่งระบุว่ารองเท้าจะต้องเป็นสีขาว สีดำ คิดเป็น 51% (ไม่รู้วัดยังไงเหมือนกัน) ส่วนที่เหลือให้เป็นสีของทีม
จริงๆ แล้วจอร์แดนเองก็ไม่ปลื้มกับสีดำ แดง และขาวของรองเท้าเลย เขามองว่าสีเหล่านี้เป็นสีของปีศาจ ถ้าเลือกได้อยากใช้สีฟ้าของนอร์ทแคโรไลนา ทีมมหาวิทยาลัยของเขามากกว่า และหนักกว่านั้นมันยังเป็นสีที่ถูกคำสั่งห้ามใช้ลงทำการแข่งขันด้วยเพราะผิดกฎ
ถ้ายังฝืนใส่จะโดนลงโทษปรับเงินนัดละ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ!
แต่ตรงนี้เองที่กลายเป็นจุดพลิกผันที่สำคัญ เพราะรองเท้าที่ผิดกฎคู่นี้ได้รับความสนใจอย่างมากจากทุกคน ซึ่งมาจากทั้งเรื่องของสีสันการออกแบบที่สะดุดตา แปลก แหวกแนว และอีกส่วนคือฝีไม้ลายมือของจอร์แดนที่เก่งกาจเกินวัย
ความสนใจนั้นถึงขั้นทำให้เรื่องรองเท้าคู่นี้กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ ใครๆ ก็เมาท์กัน (ถ้าเกิดในเมืองไทยยุคนี้คงได้มีออกรายการโหนกระแส เจอกับพี่หน่วงบ้าง)
ถ้าเป็นแบรนด์อื่นบางทีอาจจะยอมเปลี่ยนให้จอร์แดนใส่รองเท้าปกติแทนไปแล้ว แต่ Nike กลับมองว่านี่คือโอกาสทองในการโปรโมตรองเท้าแบบฟรีๆ ยิ่งจอร์แดนใส่ลงสนามเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นที่ถูกจับจ้องมากขึ้นเท่านั้น เงินค่าปรับ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐนั้นถือว่าถูกเหมือนได้เปล่า
นับว่าเป็นสุดยอดกลยุทธ์การตลาดเหนือเมฆที่เป็นมาสเตอร์พีซของ Nike ในเวลานั้นเลยในการคิดนอกกรอบ
เมื่อบวกกับผลงานสุดยอดของจอร์แดน ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในฤดูกาลแรกของการน้องใหม่ (rookie) ใน NBA ถึงขั้นคว้ารางวัล Rookie of the Year มาครองได้ โดยทำแต้มเฉลี่ยถึง 28.2 คะแนนต่อเกม

รองเท้า “Air Jordan 1” ซึ่งออกวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการครั้งแรกในเดือนมีนาคม 1985 ด้วยรองเท้า 2 แบบคือสีดำ แดง ขาว (The Game Shoe) และสีดำ-แดง (The Outlaw) ในสนนราคาคู่ละ 65 ดอลลาร์สหรัฐ สามารถทำยอดขายในปีแรกได้ถึง 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นตัวเลขมหัศจรรย์ที่เกินกว่าที่ทุกคนคาดคิดเอาไว้มาก เพราะตอนแรก Nike ประเมินยอดขายเอาไว้แค่ 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับ 5 ปีแรกเท่านั้น
และรองเท้า Air Jordan 1 สีดำ/แดง ซึ่งถูกเรียกขานกันว่ารุ่น ‘Banned’ (หรือ ‘Bred’ ซึ่งย่อมาจาก Black & Red) ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานตลอดกาล
4.
จากวันนั้นถึงวันนี้เวลาผ่านมา 40 ปีแล้ว แต่ Air Jordan ยังคงเป็นรองเท้ากีฬาที่ขายดีที่สุดตลอดกาล มีการออกแบบรุ่นใหม่ต่อเนื่องทุกปี และมีการผลิตซ้ำรองเท้าสีในตำนานออกมาเรื่อยๆ เป็นระยะเพื่อให้แฟนๆ ได้ตามสะสมกัน
โดยสิ่งที่ทำให้รองเท้าบาสเกตบอลรุ่นนี้ประสบความสำเร็จนั้น เพราะมันคือรองเท้ากีฬาที่ไม่ใช่รองเท้ากีฬา
ภาพลักษณ์ความขบถที่มีอยู่ในตัวของรองเท้านั้นทำให้รองเท้านี้ไปไกลกว่าแค่คนที่เล่นบาสเกตบอลเท่านั้น Air Jordan กลายเป็นรองเท้าที่ทุกคนใส่ได้ด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ เพราะมันเท่ด้วยความหมายที่ซ่อนอยู่ในตัวของมันเอง


ดังนั้นรองเท้า Air Jordan จึงไม่ได้อยู่แค่ในสนามบาสเกตบอล แต่ไปปรากฏทุกที่ไม่ว่าจะเป็นตามถนนหนทาง ในการแสดงคอนเสิร์ต งานแสดงศิลปะ และไม่ได้จำกัดวงแค่สหรัฐอเมริกา แต่ความนิยมลุกลามไปทั่วทุกพื้นที่ของโลก และทำให้เกิดวัฒนธรรมรองเท้าสนีกเกอร์ขึ้นมา
จากอเมริกา สู่ยุโรป สู่เอเชีย โดยเฉพาะญี่ปุ่น ซึ่งเปิดประตูหัวใจต้อนรับรองเท้า Air Jordan ที่กลายเป็น sub-culture ที่สำคัญที่ต่อมาพัฒนากลายเป็นวัฒนธรรมในแบบของตัวเองที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน (ถ้าใครเคยดูการ์ตูนเรื่อง Slam Dunk น่าจะจำฉากที่ตัวเอกซากุรางิไปร้านรองเท้าแล้วเจ้าของรองเท้าแสดงความปลาบปลื้มกับ Air Jordan ‘Bred’ สุดๆ)
เรียกได้ว่าผลงานการออกแบบของปีเตอร์ มัวร์ ทำได้เกินกว่าความตั้งใจที่อยากให้รองเท้ารุ่นนี้ใครใส่ก็ได้ไม่ว่าจะรักหรือไม่รักบาสเกตบอลก็ไม่เป็นไร
ถ้ารักความอิสระ ถ้ามีความขบถ มีความกล้าหาญที่จะเป็นตัวของตัวเอง Air Jordan คือรองเท้าแห่งแรงบันดาลใจที่คุณควรหามาใส่
ไม่มีรองเท้ากีฬารุ่นไหนในโลกอีกเลยที่จะสร้างปรากฏการณ์ได้ในระดับ 3 โลกคือ โลกกีฬา โลกการตลาด และโลกสนีกเกอร์ โดยที่มูลค่าของแบรนด์ Air Jordan ในเวลานี้เติบโตไปแล้วถึง 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.37 แสนล้านบาท) ขายไปแล้วมากกว่า 60 ล้านคู่ (ข้อมูลปี 2022)
นี่คือความลับของ ‘สายลม’ ที่เล่ากันมายาวนานครบ 40 ปีพอดีในปีนี้
และน่าจะเล่าต่อไปอีกนานแสนนาน ตราบใดที่สายลมยังพัดพาความฝันและแรงบันดาลใจ
Match facts
- โลโก้ ‘Wing’ ของ Air Jordan ปีเตอร์ มัวร์ ได้ไอเดียจากช่วงที่เดินทางด้วยเครื่องบินแล้วได้เห็นลูกเรือมอบเข็มกลัดปีกกัปตันเครื่องบินให้แก่เด็กน้อยคนหนึ่ง จึงปิ๊งไอเดียออกแบบปีกที่มีลูกบาสเกตบอลตรงกลาง
- อีกหนึ่งโลโก้ของ Air Jordan คือ ‘Jumpman’ ซึ่งออกแบบตามมาในปี 1987 ได้ไอเดียมาจากภาพปกนิตยสาร LIFE ซึ่งเป็นเงาของจอร์แดนกระโดดขึ้นดังก์
- เรื่องราวของ Air Jordan ยังมีให้ติดตามในแบบภาพยนตร์ในชื่อ ‘Air’ (2023) ซึ่งหยิบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงการเซ็นสัญญากับจอร์แดนมาฉายเป็นภาพให้เห็น เพียงแต่มีหลายจุดที่ไม่ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
อ้างอิง
- nytimes.com/2022/05/06/business/peter-moore-dead.html
- time.com/6269278/jordan-1-sneaker-air-legacy
- theguardian.com/film/2023/apr/05/michael-jordan-changed-the-world-the-true-story-behind-nike-movie-air
- time.com/6268621/air-true-story-behind-movie
- elvtr.com/blog/the-man-who-saved-nike
- brandequity.economictimes.indiatimes.com/news/advertising/the-man-who-convinced-nike-to-bet-on-michael-jordan/99593580
- entrepreneur.com/business-news/who-is-sonny-vaccaro-meet-the-exec-behind-nikes-air-jordan/449026
- nytimes.com/athletic/4378839/2023/04/05/air-movie-sonny-vaccaro
- runrepeat.com/jordan-shoes-statistics
5 ประโยคเด็ดเรื่องภาษีจาก Donald Trump ที่ต้องการให้ America Great Again!
สัปดาห์ที่ผ่านมา คงไม่มีประเด็นอะไรที่ฮอตฮิตไปกว่าการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีสากล 10% สำหรับสินค้านำเข้าทุกประเภท และภาษีแบบตอบโต้ที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ซึ่งประเทศกว่า 50 ประเทศได้รับผลกระทบเต็มๆ ส่วนไทยเราก็โดนไปกว่า 36%
นโยบายนี้ทำเอาทุกประเทศแตกตื่นก็จริง แต่ถ้าย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทรัมป์พูดถึงภาษีศุลากากร หรือ ‘tariffs’ ตลอดเวลา ด้วยตัวเขาเอง มองว่านโยบายภาษีเป็นเครื่องมือทางการเมืองสำคัญที่จะทำให้อเมริกาแก้ปัญหาขาดดุลการค้าและหนี้สินมากมายที่สะสมมานานได้
ช่วงเวลาที่มีข่าวใหม่เรื่องภาษีผุดมาไม่เว้นแต่ละวัน ตลาดหุ้นร่วงกันระนาว และยังมีเฟคนิวส์จำนวนมาก Capital ขอพาย้อนกลับไปดูคำพูดของทรัมป์ที่สะท้อนความเชื่อของเขาที่ใช้ภาษีเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทำให้ America Great Again!

1. “I am a Tariff Man.”
ในปี 2018 ทรัมป์ได้ทวีตข้อความนี้เพื่อเน้นย้ำถึงความเชื่อของเขาว่าภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องเศรษฐกิจสหรัฐฯ และลดการขาดดุลการค้า เขาเชื่อว่าการใช้ภาษีศุลากากรจะช่วยสร้างความยุติธรรมในการค้าระหว่างประเทศได้
ที่จริง เรื่องการใช้ภาษีเป็นเครื่องมือเสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศนั้น ทรัมป์เองได้แรงบันดาลใจจาก William McKinley ประธานาธิบดีคนที่ 25 ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีนโยบายกีดกันทางการค้าแบบสุดโต่ง อย่างการขึ้นภาษีสูงถึง 50% ของมูลค่าสินค้านำเข้า การกระทำนี้ ทรัมป์มองว่าแมคคินลีย์นี่แหละที่ทำให้ประเทศร่ำรวยมหาศาล

2. “To me, the most beautiful word in the dictionary is ‘tariff’.”
ระหว่างการพูดที่ Economic Club of Chicago ตัวทรัมป์เองกล่าวว่าสำหรับเขา คำว่า ‘ภาษี’ เป็นคำที่ไพเราะงดงามที่สุดในพจนานุกรม และภาษีนี่แหละจะเป็นเครื่องมือปกป้องอุตสาหกรรมและแรงงานอเมริกันได้ นั่นสะท้อนว่าทรัมป์ยกย่องภาษีเหมือนคำศักดิ์สิทธิ์ และผลผลิตของประเทศเป็นเรื่องศักดิ์ศรีของชาติ มากกว่าแค่กำไรขาดทุนเท่านั้น

3. “Whatever they tax us, we will tax them.”
จาก Economic Times ทรัมป์ได้กล่าวปราศรัยต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภาสหรัฐฯ ว่ามาตรการภาษีตอบโต้นี้ก็เพื่อโจมตีสหภาพยุโรป, จีน, บราซิล, อินเดีย และเกาหลีใต้ ฯลฯ ที่เรียกเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ สูงเกินควร ดังนั้นทรัมป์มองว่า “พวกเขาเก็บภาษีเราเท่าไหร่ เราก็เก็บเขาคืนเท่านั้น”
เช่นอินเดียที่ทรัมป์บอกว่าเก็บภาษีสหรัฐถึง 100% และจีนก็เก็บภาษีเฉลี่ยเป็นสองเท่าของสหรัฐ ซึ่งเขามองว่าไม่เป็นธรรม และนี่เป็นกลยุทธที่ทำให้สหรัฐฯ ไม่ต้องเป็นฝ่ายรอ แต่เป็นฝ่ายรุกที่บีบให้ประเทศอื่นๆ ต้องเข้ามาเจรจากับสหรัฐด้วยตนเอง

4. “Tariffs are about making America rich again and making America great again.”
ทรัมป์เชื่อว่าการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ และกระตุ้นการผลิตภายในประเทศ เพราะหลักๆ แล้วเขามองว่าภาษีศุลกากรนี้จะเป็นแรงกดดันสำคัญให้บริษัทต่างๆ ย้ายฐานการผลิตกลับมาที่อเมริกา เพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายภาษี เขายังเสนอให้ลดภาษีนิติบุคคล จาก 21% ลงเหลือ 15%
และนี่แหละที่จะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

5. “Without tariffs we wouldn’t be standing here”
ทรัมป์เชื่อว่าภาษีคือสิ่งที่ทำให้อเมริกายัง ‘ยืนหยัด’ ในเวทีเศรษฐกิจโลกได้ ยิ่งเมื่อประเทศต่างๆ รีบเข้ามาขอเจรจา เช่น สหภาพยุโรปที่เสนอข้อตกลง ‘zero-for-zero’ หรืออีกหลายสิบประเทศที่พยายามลดภาษีแลกกับการคลายมาตรการ ทรัมป์ยิ่งมั่นใจว่าภาษีคือสิ่งที่ทำให้สหรัฐฯ เป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่า
ทั้งหมดเนี้เป็นเพียงบางส่วนจากปากของทรัมป์เท่านั้น ยังมีอีกหลายประโยคนั้นที่ทรัมป์กล่าวถึงภาษีซึ่งสะท้อนความคิดทางการเมืองของเขา ว่าภาษีตอบโต้ไม่ใช่แค่เครื่องมือหลักที่จะช่วยให้สหรัฐฯ มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่เป็นแนวทางการเมืองที่เน้นการกดดัน ต่อรอง และกำหนดเกมให้สหรัฐฯ อยู่เหนือทุกคน
แม้นักเศรษฐศาสตร์จะมองในมุมตรงกันข้ามว่านี่อาจนำมาสู่ความหายนะครั้งใหญ่ และชาวอเมริกันก็ลำบากขึ้นแน่นอน เพราะจะทำให้เกิดเงินเฟ้อมหาศาล อัตราภาษีนี้ยังเข้าใกล้ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ ‘กฎหมายภาษี Smoot-Hawley ปี 1930’ ที่เคยทำให้เกิดสงครามการค้าทั่วโลกและอาจทำให้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หรือที่เรียกว่า Great Depression
แต่ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ โลกทั้งใบก็กำลังขยับ เพราะ ‘คำพูด’ และ ‘แนวคิด’ ของชายผู้บอกว่าตัวเองคือ ‘Tariff Man’
อ้างอิง
- https://x.com/realDonaldTrump/status/1069970500535902208?lang=en
- https://www.firstpost.com/explainers/how-did-trump-come-to-be-known-as-the-tariff-man-13876263.html
- https://moneywise.com/news/economy/donald-trump-calls-tariff-the-most-beautiful-word
- https://edition.cnn.com/interactive/2025/03/politics/transcript-speech-trump-congress-annotated-dg/
- https://whyy.org/articles/trump-reciprocal-tariffs-questions/
- https://www.politico.eu/article/donald-trump-tax-us-politics-global-europe-canada-mexico-china-world-economics-tariff-security/
- https://www.forbes.com/sites/alisondurkee/2025/04/07/will-trump-negotiate-tariffs-president-orders-talks-with-japan-and-says-he-wants-fair-deals-with-other-countries/
- https://www.foxbusiness.com/politics/trump-admits-tariffs-little-disturbance-aimed-making-america-rich-again
- https://www.wsj.com/livecoverage/harris-trump-election-10-16-2024/card/trump-calls-tariffs-the-most-beautiful-word–YMVPAupw4EjBRp6yobOy?utm_source=chatgpt.com
- https://www.theglobeandmail.com/business/commentary/article-origins-of-tariff-trumps-most-beautiful-word/
- https://www.sourceofasia.com/trumps-america-first-policy-what-it-means-for-southeast-asia/
- https://cfo.economictimes.indiatimes.com/news/whatever-they-tax-us-we-tax-them-trump-to-india-eu-china/118731631?utm_source=chatgpt.com
- https://www.foxbusiness.com/politics/trump-admits-tariffs-little-disturbance-aimed-making-america-rich-again
คุยเรื่อง YETI กับ Element 72 ทั้งสินค้าตัวแรกจากถังน้ำแข็งไทย จนถึงการเปิดสาขาในไทย
‘แอร์’ จุดกำเนิดการคุมโรค แก้ปัญหากระดาษยับ และสิ่งประดิษฐ์กู้อากาศคู่บ้านและอุตสาหกรรม
หน้าร้อนมาแล้ว ไม่สิ ต่อให้ไม่ใช่หน้าร้อน ฝันร้ายของบ้านเรือนแบบเราๆ คือการพบว่า ‘แอร์เสีย’ และถ้าเรามองประดิษฐกรรมที่รายล้อมตัวเราทั้งหมด แอร์หรือ air conditioner เป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่เชื่อว่าหลายคนรู้สึกขอบคุณมากที่มีสิ่งนี้เกิดขึ้นบนโลก เพราะในฐานะคนไทยเมืองร้อนแล้วนั้น
เราจินตนาการชีวิตสมัยใหม่ ‘ที่ไม่มีแอร์’ ไม่ได้เลย
คำว่าการจินตนาการชีวิตที่ไม่มีแอร์ ไม่ได้หมายถึงแค่ความสบายในการใช้ชีวิต แน่นอนการมีแอร์บ้านที่ทำให้เราหลับสบายได้ในบรรยากาศที่เราควบคุมได้ทั้งอุณหภูมิ ความชื้น เสียง แต่เรานึกภาพการมีชีวิตสมัยใหม่โดยที่พื้นที่สาธารณะต่างๆ ในห้าง ในโรงพยาบาล และพื้นที่แทบทุกแห่งหนที่ล้วนมีเจ้าอุปกรณ์ปรับอากาศคอยทำหน้าที่อย่างหนักหน่วงอยู่เสมอ
นอกจากพื้นที่ความเย็นสบายของปวงชนแล้ว แอร์ยังเป็นหัวใจสำคัญของพื้นที่อุตสาหกรรม ของกิจการการผลิตต่างๆ ถ้าเรามองย้อนไป แอร์เกิดจากความพยายามในการควบคุมโรคในเขตเมือง และจุดเริ่มของความสำเร็จคือสิ่งประดิษฐ์ของ ‘แคร์เรียร์’ ซึ่งตั้งใจแก้ปัญหาของโรงพิมพ์ที่กระดาษย่นเพราะความชื้น นอกจากการคิดต่อจากนวัตกรรมอื่นๆ แล้วแอร์ยังเป็นอีกหนึ่ง ‘ของใหม่’ ที่เคยถูกครหาว่า ‘ท้าทายพระเจ้า’

ภารกิจ ‘ควบคุมภูมิอากาศ’
ทีนี้ การสร้างความเย็นให้กับพื้นที่ ให้กับอาคาร นัยหนึ่งคือการต่อสู้กับธรรมชาติในการสร้างภาวะสบายให้กับการอยู่อาศัยของมนุษย์ แต่ในสมัยก่อนถือเป็นเรื่องที่ลงทุนสูง เช่นคฤหาสน์ของผู้มีอันจะกินในสมัยโรมันมีการวางระบบน้ำเพื่อควบคุมอุณหภูมิ ในสมัยจักรพรรดิเอลากาบาลุสมีการสั่งให้ลากน้ำแข็งจากภูเขาหิมะ หรือที่ราชสำนักจีนก็มีการประดิษฐ์กล่องน้ำแข็งพร้อมพัดลมมือหมุนเพื่อทำให้ห้องเย็น
จากความพยายามสร้างความเย็น จุดเปลี่ยนหรือต้นกำเนิดของแอร์ค่อนข้างสัมพันธ์กับการเกิดเมืองในยุคสมัยใหม่ แต่ในช่วงแรกไม่ได้มาจากความสบาย แต่เป็นเงื่อนไขที่เมืองพยายามควบคุมโรค ในทศวรรษ 1840 เชื่อว่าโรคมาลาเรียเกิดจากอุณหภูมิที่สูง หมอชื่อจอห์น กอร์รี เสนอการออกแบบห้องควบคุมอุณหภูมิในโรงพยาบาล ทั้งเพื่อควบคุมโรคและช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบาย
ในสมัยนั้นระบบที่คุณหมอวางไว้เป็นระบบเครื่องจักรไอน้ำที่หมุนเวียนอากาศ แต่ปัญหาใหญ่ของระบบปรับอากาศคือต้องใช้น้ำแข็งละลายและผ้าในการพัดอากาศเย็นเข้าสู่ห้องหรืออาคาร ซึ่งเมืองที่หมออยู่คือฟลอริด้านั้นต้องขนน้ำแข็งจากลำธาร

ตัวคุณหมอเองจริงๆ เป็นคนคิดระบบสำคัญคือพยายามประดิษฐ์เครื่องทำความเย็นเพื่อผลิตน้ำแข็ง ระบบที่ว่าทำความเย็นแบบที่ใช้ในตู้เย็นเพื่อผลิตน้ำแข็ง การทำงานคือเน้นการปล่อยน้ำผ่านระบบอัดอากาศ เพื่อทำให้น้ำเป็นน้ำแข็ง (compressor)
สิ่งประดิษฐ์ของคุณหมอเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตระบบทำความเย็นอันยาวนานของมนุษยชาติ คือการที่เราค้นพบว่าการระเหยของก๊าซบางชนิดทำให้อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว การคิดค้นนี้ยังได้สิทธิบัตรเครื่องจักรทำน้ำแข็ง (No. 8080 for a machine to make ice) ด่วย
นอกจากกระบวนทางวิทยาศาสตร์ที่ค่อนข้างซับซ้อน เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ในยุคนั้นพ่อค้าที่ได้ประโยชน์จากการขนส่งน้ำแข็งจากลำธาร รวมถึงหุ้นส่วนที่สนับสนุนทางการเงินเสียชีวิต นวัตกรรมด้านการทำความเย็นของคุณหมอจึงถูกตั้งข้อสงสัย ตัวหมอเองประสบปัญหาทางการเงิน และสูญเสียความน่าเชื่อถือ ลุกลามไปจนถึงสุขภาพ และเสียชีวิตลงโดยไม่ได้รับดอกผลจากความสำเร็จที่ควรจะเปลี่ยนโลกได้ในปี 1855
ข้อน่าสนใจที่มาควบคู่กับการมาถึงขององค์ความรู้ที่สลับซับซ้อน ในกรณีนี้คือการปรับอากาศให้เหมาะสมและเย็นสบาย อเมริกันชนสร้างความอบอุ่นในบ้านเป็นเรื่องปกติ แต่ในการทำความเย็น ถูกมองว่าเป็นการ ‘ล่วงละเมิด’ ต่อพระเจ้า สภาวะความเป็นอยู่ต่างๆ ล้วนเป็นพระประสงค์ ดังนั้นในกิจการและการผลิตระบบทำความเย็นจึงได้รับอิทธิพลจากค่านิยมทางสังคมด้วย
จังหวะนี้เองจึงอาจเป็นทั้งผลลัพธ์จากวิศวกรหนุ่มที่เข้ามาแก้ปัญหาเรื่องความชื้น ชายหนุ่มที่ก้าวหน้า ยืดหยุ่น ที่กลายเป็นเจ้าพ่อเครื่องปรับอากาศ ‘วิลลิส แคร์เรียร์ (Willis Carrier)’ ชายหนุ่มผู้คิดค้นเครื่องปรับอากาศต้นแบบให้กับโลก
หน้ากระดาษยับ และการแก้ปัญหาของสรรพสิ่ง
ในบทความจาก Smithsonian Magazine ระบุข้อคิดเห็นจากนักประวัติศาสตร์ว่า จังหวะที่วิลลิส แคร์เรีย คิดค้นระบบปรับอากาศจนกลายเป็นเครื่องปรับอากาศที่ออกขายและทำความเย็นไปทั่ว อาจสัมพันธ์กับทั้งความต้องการของภาคธุรกิจ และความเปลี่ยนแปลงเชิงความคิดในช่วงต้นศตวรรษใหม่คือทศวรรษ 1900 เปลี่ยนพวกคนยุควิคตอเรียนที่เคร่งครัดให้รับความเปลี่ยนแปลงได้มากขึ้น
จุดเริ่มของคุณแคร์เรียร์สัมพันธ์กับกิจการสำคัญของยุคสมัยคือโรงพิมพ์และนวัตกรรมการพิมพ์สี ในตอนนั้นกิจการโรงพิมพ์ล้ำสมัยของนิวยอร์กคือ Sackett & Wilhelms มีระบบการพิมพ์สี ซึ่งเป็นการพิมพ์ 4 สี ที่พิมพ์ครั้งละสีบนกระดาษใบเดียว
เมื่อความชื้นบริเวณเครื่องพิมพ์เปลี่ยน กระดาษจะหดตัวหรือขยายตัว ทำให้สีที่ถูกพิมพ์ลงเหลื่อม กระดาษที่หดหรือขยายเล็กน้อยก็ทำให้งานพิมพ์ไม่สวยเป็นอย่างยิ่ง กิจการการพิมพ์จึงหาวิธีควบคุมความชื้น ทำให้คุณวิลลิส แคร์เรียร์ วิศวกรที่ตอนนั้นอายุ 25 ปี ประดิษฐ์ระบบควบคุมความชื้นด้วยการใช้การลดอุณหภูมิของอากาศด้วยระบบทำความเย็นจากแอมโมเนีย แล้วเป่าอากาศเข้าไปยังบริเวณเครื่องพิมพ์
ปัญหาหน้ากระดาษหดหรือยับในระหว่างพิมพ์จากความร้อนบริเวณเครื่องพิมพ์จึงหายไป ของแถมใหม่จึงเกิดขึ้น โรงพิมพ์กลับพบว่า พนักงานทั้งหลายกลับชอบที่จะไปกระจุกตัวอยู่ที่บริเวณเครื่องปรับอากาศที่ตอนนั้นผลิตเพื่อปรับความชื้น

ระบบปรับอากาศกลายเป็นอีกหนึ่งประดิษฐกรรมสำคัญ ระบบเครื่องปรับอากาศได้รับการจัดแสดงในงานเวิลด์แฟร์ที่เซ็นต์หลุยส์ในปี 1904 และอาคารรัฐมิสซูรี (Missouri State Building) ซึ่งเป็นอาคารสาธารณะแรกที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ
ในแง่การผลิตเครื่องปรับอากาศเป็นสินค้า เป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่าย แคร์เรียร์จึงนำระบบปรับอากาศไปพัฒนาให้มีขนาดเล็กลง ปลอดภัยขึ้น ทรงประสิทธิภาพขึ้น ในปี 1922 แคร์เรียพัฒนาเครื่องปรับอากาศต้นแบบของเครื่องปรับอากาศสมัยใหม่ขึ้นได้สำเร็จ
จากเครื่องปรับอากาศในโรงพิมพ์ ตัวเครื่องปรับอากาศ การควบคุมอุณหภูมิ จึงกลายเป็นอีกหัวใจสำคัญของพื้นที่การผลิต ในการผลิตสรรพสิ่ง จากมักกะโรนี ถึงอีกสารพัดสินค้า ความชื้น และอุณหภูมิ หรือคือเครื่องปรับอากาศกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญของโรงงานอุตสาหกรรม และเริ่มขยายตัวจนกลายเป็นลมหายใจเย็นสบายทุกแห่งหนของเรา

สู่พื้นที่สาธารณะ โรงหนัง และบ้านเรือน
ในทศวรรษ 1920 ระบบปรับอากาศเริ่มแพร่หลายเข้าสู่พื้นที่สาธารณะต่างๆ แต่หนึ่งในพื้นที่ที่ได้อานิสงส์อย่างสำคัญคือกลุ่มบันเทิง โดยเฉพาะโรงหนัง
ในยุคนั้นพื้นที่ความบันเทิงในอาคารมีมาอยู่แล้ว แต่นึกภาพพื้นที่ฉายหนังที่มืดๆ เล็กๆ มักนำไปสู่ปัญหาเรื่องกลิ่นอับและกลิ่นเหงื่อ ด้วยเงื่อนไขของกิจการที่ต้องการกลุ่มผู้ชมใหม่ๆ โดยเฉพาะคนชั้นกลางและผู้มีอันจะกิน การมาถึงของนวัตกรรมแอร์ของแคร์เรียร์จึงเข้ามาแก้ปัญหาและขยายฐานผู้ชมได้อย่างมีนัยสำคัญ
ตอนนั้นมีผู้ผลิตหลายเจ้าที่ผลิตเครื่องปรับอากาศให้กับกลุ่มโรงหนัง และโรงหนังเป็นพื้นที่สำคัญที่ใช้เครื่องปรับอากาศ แต่เครื่องปรับอากาศในโรงหนังก็มีปัญหา คือตัวเครื่องปรับอากาศจะเป่าลมเย็นไปในระดับพื้น ทำให้เกิดปัญหาเท้าเย็นฉ่ำ ประกอบกับความเย็นและความชื้นที่ผลิตออกมาไม่ค่อยนิ่ง

แคร์เรียนี่แหละที่พัฒนาระบบต่อจนกลายเป็นระบบปรับอากาศที่ใช้ระบบปรับอากาศโดยหมุนเวียนอากาศจากด้านบนและพัฒนาให้ลมเย็นรวมถึงความชื้นมีความคงที่ ตัวระบบปรับอากาศใหม่ได้รับการติดตั้งที่ Metropolitan Theater ที่ลอสแอนเจลิสในปี 1922
โรงหนังติดแอร์จึงเปลี่ยนภูมิทัศน์กิจการภาพยนตร์ จากการดูหนังในโรงร้อนๆ ชื้นแฉะ เหม็นควัน ยกระดับไปสู่ประสบการณ์หรูหราและปูทางไปสู่กิจการของฮอลลีวูดในทุกวันนี้
นอกจากโรงหนังแล้ว แน่นอนว่าห้างสรรพสินค้าก็ใช้เครื่องปรับอากาศในการเดินทางสัญจร เรื่อยมาจนถึงยุคสมัยของอเมริกันในยุคหลังสงครามโลก สิ่งที่น่าสนใจคือ แอร์คอนดิชั่นหรือการปรับอากาศนี้กลายเป็นภาพอุดมคติใหม่ของครัวเรือนอเมริกันในยุคหลังสงคราม เป็นตัวแทนของความมั่งคั่งก้าวหน้า
แอร์คอนดิชั่นเปลี่ยนจากความหรูหราเข้าถึงไม่ได้ในช่วงก่อนสงคราม ค่อยๆ ถูกพัฒนาจนกลายเป็นสินค้าในครัวเรือน สำหรับอเมริกันชนเอง ทุกวันนี้ครัวเรือนอเมริกันอาจไม่จำเป็นต้องมีห้องทานข้าว โรงรถ หรือเครื่องล้างจาน แต่แอร์เป็นอีกหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าของบ้านเรือนอเมริกา
แน่นอนสำหรับเขตร้อนแบบบ้านเรา กรุงเทพฯ หรือดินแดนอันยิ่งใหญ่ใกล้เคียง เช่น สิงคโปร์ ดูไบ เราจินตนาการภาพความรุ่งเรืองในตึกรามบ้านช่อง ในร้านค้า ห้าง หรือสุดยอดอาคารทั้งหลายที่ไม่มีแอร์ไม่ได้เลย
ในวันทื่อากาศร้อนขึ้น ปัญหาฝุ่นควัน รวมถึงการใช้ชีวิตที่เร่งรีบและแขวนอยู่บนเส้นด้าย แอร์จึงเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์เล็กๆ ที่สำคัญและยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ความก้าวหน้าของมนุษยชาติ เป็นอีกเงื่อนไขที่ทำให้เราใช้ชีวิต ทำงานในโลกสมัยใหม่ต่อไปได้โดยที่ไม่เป็นบ้าจากความร้อนไปเสียก่อน
สุดท้าย เราจึงขอเชิดชูและย้อนดูคุณูปการของการปรับอากาศ ผู้ผลิตลมหายใจเย็นสบายให้พวกเราได้นอนหลับ เดินทาง และตั้งอกตั้งใจทำงานกันได้ต่อไป
อ้างอิงข้อมูลจาก
- estesair.com/blog/history-of-commercial-air-conditioning-from-the-worlds-fair-to-today
- americanhistory.si.edu/collections/object/nmah_846192
- smithsonianmag.com/smithsonian-institution/unexpected-history-air-conditioner-180972108
- bbc.com/news/business-39735802
- energy.gov/articles/history-air-conditioning
เสิร์ฟอินไซต์ สาดกลยุทธ์มัดใจชาว TikTok เมื่อผู้คนพร้อมเปย์ ช่วงสงกรานต์และซัมเมอร์
เข้าสู่ช่วงเมษายนที่แค่ก้าวเท้าออกจากบ้านก็สัมผัสได้ถึงไอร้อนและอากาศอบอ้าว แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่หลายคนรอคอยวันหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์ เพื่อกลับบ้านไปฉลองกับครอบครัวหรือไปเที่ยวฮีลใจ
ในขณะเดียวกันช่วงเวลานี้ก็ถือเป็นโอกาสทองของคนทำธุรกิจที่ร้อนแรงไม่แพ้สภาพอากาศ นั่นก็เพราะข้อมูลจาก Kantar บริษัทวิจัยชั้นนำด้านข้อมูลเชิงลึกและที่ปรึกษาทางการตลาดระดับโลก ได้เปิดเผยผลสำรวจเกี่ยวกับ TikTok แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดฮิต ที่ระยะหลังมานี้ขึ้นแท่นเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่น่าจับตามอง หลังจากเปิดตัว TikTok Shop พบว่า 63% ของผู้ใช้งาน TikTok ใช้เวลาบนแพลตฟอร์มมากขึ้นช่วงสงกรานต์และกว่า 98% วางแผนใช้จ่ายเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมในช่วงเวลานี้อีกด้วย
แต่ไม่ใช่ว่าแค่กระหน่ำขายสินค้าใน TikTok แล้วจะได้รับกระแสตอบรับที่ดีเสมอไป ต้องดูก่อนว่าผู้ใช้งานสนใจคอนเทนต์แบบไหนในช่วงนั้น เพื่อเสิร์ฟคอนเทนต์ปังๆ มอบความบันเทิงที่ไปจับใจผู้คนให้พร้อมเปย์กันฉ่ำๆ คอลัมน์ Keynote ในครั้งนี้ได้มัดรวมข้อมูลที่แบรนด์และร้านค้าออนไลน์สามารถหยิบไปใช้วางแผนการตลาดก่อนเทศกาลแห่งความสุขจะมาถึง
‘สงกรานต์และซัมเมอร์นี้ ชาวต๊อกๆ เสพคอนเทนต์อะไรกันบ้าง’
1. อัพเดตเทรนด์ใหม่ๆ เช่น แฟชั่นสมัยใหม่ที่ผสมผสานความร่วมสมัยกับวัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำช่วงเทศกาล เมนูอาหารและร้านเด็ดที่กำลังเป็นไวรัล
2. หาแรงบันดาลใจในการท่องเที่ยว เช่น วางแผนทริปผ่านรีวิวจากครีเอเตอร์ ค้นหาแพ็กเกจท่องเที่ยวและโปรโมชั่นพิเศษ
3. เลือกชมสินค้าคอลเลกชั่นใหม่ๆ ตามเทศกาล เช่น สกินแคร์และเครื่องดื่มที่มีเฉพาะช่วงเทศกาลนี้ รีวิวสินค้ามาใหม่จากครีเอเตอร์และแบรนด์
4. ค้นหาไอเดียและติดตามเทรนด์ความงามและแฟชั่น เช่น เทคนิคดูแลผิวช่วงหน้าร้อน การแต่งหน้าไปเล่นน้ำให้ติดทนนาน ไอเดียการแต่งตัวช่วงสงกรานต์
‘หลังจากเสพคอนเทนต์เหล่านั้นแล้วผู้ใช้ TikTok มองหาอะไรต่อ’
- 70% มองหาโปรโมชั่นหรือส่วนลด เพื่อค้นหาข้อเสนอที่ดีที่สุด
- 64% ค้นหารีวิวและคำแนะนำผลิตภัณฑ์ เพื่อชมประสบการณ์ใช้งานจริงของผู้ใช้
- 52% ค้นหารายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อศึกษาเพิ่มก่อนตัดสินใจจ่ายเงินซื้อ
- 58% วางแผนที่จะซื้อสินค้าในช่วงเวลานี้บน TikTok Shop นั่นหมายความว่าแบรนด์ทั้งหลายที่ทำการขายบน TikTok ต้องนำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจ ครบถ้วน และสามารถทำให้คนตัดสินใจซื้อสินค้าได้ทันที
‘เจาะอินไซต์พฤติกรรมผู้บริโภคกับ 3 สินค้ามาแรงช่วงสงกรานต์และซัมเมอร์นี้’
1. กลุ่มการท่องเที่ยว แน่นอนว่าพอมีวันหยุดยาวคนย่อมวางแผนการท่องเที่ยวกัน โดยมากกว่า 90% ตั้งใจเที่ยวเป็นกลุ่มใหญ่กับครอบครัวหรือเพื่อน ซึ่งคนที่อายุระหว่างกลุ่ม 25-34 ปี มักเป็นผู้นำเทรนด์การท่องเที่ยวและเป็นนักเดินทางที่แอ็กทีฟที่สุด โดย 37% วางแผนท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
เป็นเวลา 3-6 วัน และส่วนใหญ่เตรียมงบไว้ใช้จ่ายถึง 17,000-34,000 บาท นับว่าเป็นกลุ่มธุรกิจที่คนยอมจ่ายมากที่สุดในช่วงสงกรานต์และซัมเมอร์นี้
2. กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ร้อนๆ แบบนี้คนย่อมมองหาของกินดับร้อนมาตุนไว้ก่อน ผู้ใช้ TikTok วางงบอาหารและเครื่องดื่มสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้ TikTok ถึง 25% ซึ่งมักเป็นกลุ่มอายุ 25-34 ปี และมีแผนใช้ช้อปสินค้ากลุ่มนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 4,200 บาทต่อคน รวมถึงอยากลิ้มรสอาหารรสชาติแปลกใหม่จากแบรนด์ที่ยังไม่เคยลิ้มลอง
3. กลุ่มความงามและสกินแคร์ เพราะอากาศร้อนมักทำให้ผิวเสีย บางคนผิวไหม้แดด แต่งหน้าแล้วผิวมันเยิ้ม ไม่ติดทน ทำให้ผู้ใช้ TikTok 96% ยอมเปย์ซื้อสินค้ากลุ่มนี้เท่าเดิมหรือมากขึ้น โดยส่วนมากอายุระหว่าง 25-34 ปี จะเป็นกลุ่มที่มีการจับจ่ายสูงสุด และมากกว่า 50% วางแผนใช้จ่ายมากกว่า 3,400 บาท นอกจากนี้ผู้ใช้มากกว่า 90% ยังพร้อมเปิดใจทดลองแบรนด์และผลิตภัณฑ์ความงามใหม่ๆ อีกด้วย
‘กลยุทธ์พิชิตใจลูกค้าบน TikTok’
นอกจากการมีอินไซต์ผู้บริโภคที่น่าสนใจในช่วงสงกรานต์และซัมเมอร์แล้ว แบรนด์ต่างๆ จำเป็นต้องหาวิธีใกล้ชิดกับลูกค้า เพื่อสร้าง brand love และนำไปสู่การซื้อสินค้าในที่สุด โดย TikTok ได้แนะนำเคล็ดลับสำคัญในการทำคอนเทนต์และการตลาดในช่วงสงกรานต์และซัมเมอร์ ดังนี้
1. ใช้พลังความสร้างสรรค์จากคอนเทนต์ครีเอเตอร์ กว่า 55% ของผู้ใช้ TikTok บอกว่าหลังจากเห็นวิดีโอจากครีเอเตอร์แล้วรู้สึกใกล้ชิดกับแบรนด์มากขึ้น นอกจากนี้กว่า 56% ยังรู้สึกอยากลองใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และ 1 ใน 3 ของผู้ใช้งาน TikTok ยังค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์อย่างจริงจังอีกด้วย
2. เปิดการมองเห็นด้วยการไลฟ์สด เพราะ 95% ของผู้ใช้ TikTok สนใจดูไลฟ์สตรีมหรือไลฟ์ช้อปปิ้ง ในช่วงเทศกาลมากเป็นพิเศษ ซึ่ง 3 สิ่งที่จะช่วยกระตุ้นให้ผู้ชมซื้อสินค้าบนไลฟ์ ได้แก่ โปรโมชั่นโดนใจ คุณภาพของสินค้าและบริการที่ดี รวมถึงโฮสต์ในการไลฟ์ต้องน่าเชื่อถือและเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นจริงๆ
3. เลือกใช้เครื่องมือที่ใช่ เข้าร่วมแคมเปญที่ลูกค้าชอบ ระยะหลังมานี้ TikTok มีเครื่องมือหลายอย่างที่ช่วยกระตุ้นยอดขาย ทั้ง TikTok One ที่ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงครีเอเตอร์ได้ง่ายขึ้น ผ่านการส่งสินค้าให้ครีเอเตอร์ใช้จริงและนำไปรีวิว เพื่อให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและได้ยอดขาย ในขณะเดียวกันครีเอเตอร์ก็ได้คอนเทนต์และค่าคอมมิชชั่น
นอกจากนี้ยังมี TikTok Full-Funnel Solutions เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีศักยภาพในการดันยอดขายสำหรับแบรนด์ได้ดีมากที่สุดอย่าง Consideration User Group ที่จะนำไปสู่การปิดการขายด้วยเครื่องมือต่างๆ เช่น เครื่องมือจัดการการเข้าถึงและความถี่ของแคมเปญหรือ R&F tools ที่จะช่วยในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและจำนวนครั้งที่ผู้ชมจะชมเนื้อหานั้นๆ รวมถึง branded mission ที่จะเปลี่ยนวิดีโอของครีเอเตอร์ที่ได้ผลตอบรับดีที่สุดให้กลายเป็นโฆษณา
อินไซต์เหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้แบรนด์ได้รู้จักความต้องการของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังนำไปต่อยอดสู่การเสิร์ฟสินค้าใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์การใช้งานในช่วงเทศกาลสงกรานต์และซัมเมอร์นี้ พร้อมกลยุทธ์ดันยอดขายใน TikTok ที่หากใช้เครื่องมือเป็น คิดคอนเทนต์เก่ง เลือกครีเอเตอร์ปัง ก็อาจทำให้ยอดขายฮอตฮิตยิ่งกว่าอากาศในช่วงนี้ก็เป็นได้