Month: March 2025
KIAN-DA แบรนด์เครื่องเขียนร้อยล้านที่เริ่มจากการถือปากกาด้ามเดียวเลี้ยวเข้าเซเว่น
ก่อนหน้านี้เรารับรู้เรื่องราวของแบรนด์ KIAN-DA มาจาก House of Wisdom หรือ HOW คลับแห่งปัญญาที่แต่ละวันจะมีเหล่าวิทยากรซึ่งเป็นนักธุรกิจชั้นนำและผู้นำทางความคิดหมุนเวียนกันมาแบ่งปันแนวคิดอันทรงคุณค่า
และเราพบว่าเรื่องราว KIAN-DA คล้ายภาพยนตร์มากกว่าเรื่องจริง

KIAN-DA คือแบรนด์เครื่องเขียนที่ หมู–เบญจวรรณ รุ่งเจริญชัย ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2556 มีสินค้านับร้อยไอเทมตั้งแต่เครื่องเขียนสุดเบสิกอย่างปากกา สมุด ดินสอสี ไปจนถึงสแตนดี้
แต่น้อยคนอาจรู้ว่า กว่าจะสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ เบญจวรรณไม่ได้เติบโตในแวดวงธุรกิจเครื่องเขียนมาก่อน และจุดเริ่มต้นของ KIAN-DA ก็เกิดจากความฝันและความกล้าบ้าบิ่นของเธอที่โทรเข้าไปนำเสนอสินค้ากับ 7-11 โดยมีปากกาในมือเพียงแท่งเดียวเท่านั้น โดยได้แรงบันดาลใจจากการชมภาพยนตร์เรื่อง ท็อป ซีเคร็ต วัยรุ่นพันล้าน
ทุกวันนี้นอกจากสินค้าทั่วไปที่เราซื้อใช้งานเพราะฟังก์ชั่นของมันแล้ว KIAN-DA ยังขยันออกสินค้าลิขสิทธิ์ที่เป็นคาแร็กเตอร์แสนคุ้นตาออกมาให้แฟนๆ ได้สะสม ไม่ว่าจะเป็น Hello Kitty, LINE FRIENDS, KAKAO, Minions, SpongeBob, หมาจ๋า, หมีเนย และล่าสุดก็หมูเด้ง
ไม่ผิดแน่ที่ KIAN-DA จับกลุ่มตลาดแมส มีความวาไรตี้ของสินค้าเป็นจุดแข็ง ยิ่งได้วางขายใน 7-11 ก็ยิ่งมีลูกค้าที่หลากหลาย นั่นทำให้ตอนนี้–ในขวบปีที่ 12–แบรนด์ของเบญจวรรณทำยอดขายได้หลักร้อยล้านต่อปี และขายได้ราว 7-8 แสนชิ้นต่อเดือน
Brand Belief ตอนนี้จึงอยากขอพาย้อนกลับไปตั้งแต่จุดตั้งไข่ของแบรนด์ คุยกับเบญจวรรณว่าอะไรคือความเชื่อที่อยู่เบื้องหลังธุรกิจเครื่องเขียนของเธอเสมอมา


ความสนใจเรื่องเครื่องเขียนของคุณเริ่มต้นตั้งแต่ตอนไหน
ที่บ้านเราทำธุรกิจสิ่งทอมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ สมัยก่อนมีร้านขายผ้าที่สำเพ็ง หลังๆ เปลี่ยนมาทำเป็นธุรกิจนำเข้าผ้าจากจีน เราก็เคยทำสิ่งทอมาเหมือนกันแต่ไม่ชอบ คิดว่าธุรกิจผ้ามี Volume เยอะแต่กำไรนิดเดียว
มีอยู่วันหนึ่งที่เราได้ดูหนังเรื่อง Top Secret วัยรุ่นพันล้าน ซึ่งเป็นชีวประวัติของเจ้าของแบรนด์เถ้าแก่น้อย วันนั้นคิดในใจเลยว่าวันหนึ่งฉันต้องขายของเข้า 7-11 แบบเขาให้ได้ เพราะมันเท่
ตอนนั้นเองเป็นช่วงที่ปากกาลบได้กำลังมาแรงแต่ราคาแพงมากเลย เราก็ตั้งคำถามว่าทำไมมันแพง แท่งละ 200-300 บาท ด้วยความที่ครอบครัวทำธุรกิจนำเข้าผ้าจากจีน เรามีโอกาสได้ไปงานแฟร์โน่นนี่เราก็ให้ลูกน้องไปสืบมา โรงงานเขาก็ส่งปากกามาให้แท่งเดียว เขียนก็ดี ต้นทุนราคาก็ถูกแบบเราต้องถามว่าราคาเท่านี้เองเหรอ
จำได้ว่าวันนั้นไม่ได้คิดอะไร โทรเข้าหา 7-11 แล้วเข้าไปหาเขาวันนั้นทั้งๆ ที่ไม่ได้มีแบ็กกราวนด์ด้านธุรกิจเครื่องเขียนหรือ modern trade สักอย่าง แต่ปรากฏว่าได้งานวันนั้นเลย นี่คือสิ่งที่ฟ้าประทาน

ทำยังไงให้เขาซื้อ
ไม่รู้เหมือนกัน เราแค่โทรเข้าไปเบอร์กลาง สวัสดีค่ะ พอดีอยากนำเสนอปากกาลบได้ที่แผนกเครื่องเขียน ไม่ทราบว่าตามนโยบายแล้วยังยอมรับคู่ค้าคนใหม่ไหม บอกได้ค่ะ เข้ามาเสนอค่ะ เราถามว่าถ้าอย่างนั้นขอเข้าไปเลยได้ไหมคะ เขาก็งงแต่ก็ยอมให้เข้าไป
แล้วเราเอาปากกาไปแท่งเดียวจากจีน ถามเขาว่าด้วยคุณภาพนี้จะขายราคาประมาณ 59-69 บาททำได้ไหม เขาบอกได้ แต่ขอปรับสี เพราะตอนนั้นเป็นปากกาสีน้ำเงินทั้งแท่ง เขาอยากให้ปรับเป็นสีใส เราก็ปรับ โอเคจบ หลังจากนั้นก็สั่งผลิตเลย คือไปด้วยปากกาแท่งเดียวจริงๆ

ธรรมชาติการขายสินค้าใน 7-11 ต่างจากขายในร้านทั่วไปยังไง เขามีข้อจำกัดไหม
เขามีระบบที่ดีที่เราต้องทำตาม เวลามีสินค้าใหม่เขาจะบอกมาชัดเจนว่าต้องส่งตัวอย่างกี่ชุดไปให้เขาตรวจสอบ พวกบาร์โค้ด ตรวจ สคบ.ต้องผ่านขั้นตอนเหล่านี้ก่อนถึงจะส่งของเข้าไปขายได้ เขาจะเข้มงวดมากเวลาส่งของ ถ้าตอบไปแล้วว่าส่งได้ก็คือต้องส่ง จะไม่เลื่อนหรืออะไร ระบบเขาดีมาก แต่ถ้าเราทำตามระบบได้ก็โอเค เราก็พยายามทำให้มันดีที่สุด
ทำไมต้องตั้งชื่อแบรนด์ว่า KIAN-DA
มันฟังดูญี่ปุ่น คำว่า KIAN-DA จริงๆ แล้วมาจากคำว่า เขียนดะ แต่ถ้าคุณเขียนติดซองว่าเขียนดะ ใครจะซื้อ สุดท้ายก็เลยกลายเป็น KIAN-DA ที่ทำสไตล์โลโก้และแพ็กเกจให้มีกลิ่นอายญี่ปุ่น เพราะเวลาคนซื้อเห็นภาษาญี่ปุ่นแล้วอาจจะชอบ

ความยากในช่วงแรกที่วางขายคืออะไร
ตอนวางขายปีแรกๆ ก็ยาก เพราะเราไม่รู้อะไรเลย เวลาอยากรู้อะไรก็ถามฝ่ายจัดซื้อแต่ก็เกรงใจเขาเพราะเขาก็งานเยอะ
ช่วงแรกที่เข้าไปขายใน 7-11 ที่บ้านก็บอกว่าจะขายได้เหรอ ปากกาแท่งละเท่าไหร่ จะขายได้สักกี่แท่งเชียว เขาไม่ซัพพอร์ต แต่เราดื้อ อยากทำ จนได้ออกตัวที่ 2 ตัวที่ 3 สักพักยอดก็เริ่มเพิ่มเป็นสองเท่า ตอนนี้ทำยอดขายเป็นร้อยล้านบาท เป็นที่หนึ่งบนเชลฟ์มาแล้วกว่า 10 ปี ทุกคนในครอบครัวก็เซอร์ไพรส์กันหมด
คิดว่าเคล็ดลับอะไรที่ทำให้เครื่องเขียนของคุณขายดี
เราขายของดี ก่อนอื่นปากกาต้องมีน้ำหมึกที่ดีก่อน โรงงานแต่ละโรงงานที่เราทำงานด้วยเคยทำกับแบรนด์ใหญ่ๆ ทั่วโลก เพราะฉะนั้นคุณภาพปากกาของเราดีแน่นอน
สองคือเราไม่ขายแพง ในมุมมองของเรา ตลาดแข่งกันด้วยราคาที่เป็นมิตร เราไม่ได้บวกแพง บางทีโรงงานบอกว่าถ้าจะมีคุณภาพไส้ปากกาที่ดีขึ้น แพงขึ้นนิดหน่อยเราก็เอา แต่เราไม่ขึ้นราคา เพราะเราอยากให้ทุกครั้งที่ลูกค้าเขียนแล้วเขาชอบ กลับมาซื้อใหม่
สามคือเราแก้ปัญหา ถ้ามีลูกค้าคนไหนมาร้องเรียน เราจะไม่ถามอะไรเขาเลย ขอโทษแล้วจะรีบส่งให้ใหม่ทันที เราคิดว่าในการทำงานต้องมีปัญหาอยู่แล้วแต่พอมีปัญหาเราก็ต้องรีบแก้ทันที

จุดไหนที่คุณรู้สึกว่าแบรนด์ประสบความสำเร็จกับการวางขายใน 7-11 แล้ว
น่าจะเป็นช่วงที่ทำแบรนด์มาสัก 4-5 ปี เพราะ 2-3 ปีแรกจะยังยากๆ หน่อย แต่ 4-5 ปียอดขายก็เริ่มทะลุทะลวง จากปีแรกไม่ถึงล้านกลายเป็น 7 ล้าน แล้วก็ไป 15, 30, 70, 100 ล้าน มันกระโดดขึ้นทุกปี
หลังจากประสบความสำเร็จกับแบรนด์แรก คุณต่อยอดธุรกิจยังไง
เราแตกแบรนด์ออกมาเป็น 2 แบรนด์คือ KIAN-DA กับ Code 😀 และเริ่มหันไปทำสินค้าลิขสิทธิ์ เรามีคาแร็กเตอร์พวก Sanrio อยู่ 10 กว่าตัว ปีหนึ่งจ่ายค่าลิขสิทธิ์หลายล้าน นอกจากนั้นก็มีหมาจ๋า ล่าสุดทำหมูเด้งและหมีเนยให้เซเว่นฯ ด้วย
ถามว่าทำไมถึงทำลิขสิทธิ์ เพราะเราทำสินค้าที่เบสิกมาสักพัก ถ้าไม่ทำอย่างอื่นสินค้าของเราก็จะไม่หลากหลาย (variety) และน้อยลง เคยถามเซเว่นฯ เหมือนกันว่าทำไมเราถึงโตได้ อาจเป็นเพราะว่าเราทำสินค้าที่สั่งทำพิเศษ (tailor-made) ให้เขาได้ คือเขาจะบอกตลอดว่าอยากได้อันนั้นอันนี้มาขาย หรืออยากได้ลิขสิทธิ์ตัวไหน ทำให้หน่อย เราก็ไปซื้อลิขสิทธิ์มาลงสมุด ลงปากกาให้เขา
วันนี้เราเลยมีสินค้ากว่า 100 ไอเทมอยู่ในเซเว่นฯ ประมาณ 7,000-8,000 สาขา มีคนเห็นสินค้าวันละเป็นล้าน เราก็พอใจ ขายไปเรื่อยๆ ไม่ได้หวือหวา แต่ยอดมันก็ไม่ได้ตก เพราะยังไงคนก็ต้องใช้ปากกา

แบรนด์ของคุณขายได้หลักแสนชิ้นต่อเดือน คุณบริหารจัดการยังไงให้ยอดขายยังคงที่ ทำให้สินค้ายังตอบโจทย์ลูกค้าอยู่ตลอด
เนื่องจากเราค่อยๆ ทำ เพราะฉะนั้นเราจะรู้อยู่แล้วว่าสินค้าตัวไหนขายได้หรือขายไม่ได้ ขณะเดียวกันเราก็พัฒนาสินค้าใหม่ไป ตั้งแต่มีสินค้าลิขสิทธิ์ปุ๊บ แต่ละตัวจะมีสไตล์ที่ทำให้การผลิตแต่ละรอบไม่เหมือนกัน เราไม่ได้ทำแบบเดิมตลอดเวลา ทำให้มีความหลากหลาย พอลูกค้าเห็นเขาก็ซื้อไปเรื่อยๆ เหมือนพวกอาร์ตทอยที่มีคอลเลกชั่นใหม่ออกมาตลอด
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความท้าทายที่สุดที่เคยเจอคืออะไร
การทำให้แบรนด์โตก็เป็นเรื่องท้าทาย สำหรับเรามันคือการทำงานไปเรื่อยๆ อย่างตั้งใจและมั่นใจว่าเราทำสิ่งที่เติบโตได้ ไม่ใช่ว่าเราขายครั้งเดียวแล้วจบ ระหว่างการทำงานมีผิดพลาดไหม ก็ผิดพลาดมาตลอดแต่เราก็แก้ไป อะไรที่ไม่รู้ก็เรียนรู้และอย่าทำซ้ำ เราจะบอกลูกน้องตลอดว่าไม่มีใครทำได้ทุกอย่าง ถ้าเจอปัญหาก็มองเป็นเรื่องปกติ มีสติในการแก้ปัญหาแล้วก็จบ
การที่เราอยู่จุดนี้มันมีปัญหาเข้ามา 360 องศาทั้งเล็กทั้งใหญ่ มันอยู่ที่ว่าเราจะดีลกับปัญหายังไงมากกว่า เพราะบางทีมีปัญหาตั้งแต่เช้า ทั้งวันเราก็เครียด เราก็ต้องมีวิธีจัดการตัวเองไม่ให้เครียด บางทีลูกน้องทำผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ เราเคยเป็นเด็กมาก่อนก็รู้ว่าคนเรามีผิดพลาด ก็ต้องแก้สถานการณ์กันไป
บางทีผิดพลาดทีหนึ่งก็แพงนะแต่เราก็ไม่ได้เรียกค่าใช้จ่ายจากลูกน้องที่ทำพลาด ได้แต่สอนว่าทำอย่างนี้แล้วเกิดอะไรขึ้น วันหลังให้ทำอีกแบบดีกว่าจะได้ไม่มีปัญหา เพราะฉะนั้นสติในการทำงานเป็นเรื่องสำคัญมาก

KIAN-DA สอนบทเรียนสำคัญกับคุณเรื่องอะไร
ตั้งใจและใส่ใจ
ถ้าเราไม่ตั้งใจ ไม่ใส่ใจ แบรนด์ไม่มีทางออกมาดี เราไม่ได้เป็น CEO ที่พูดๆ แล้วจบ เราดูรายละเอียด ไกด์ลูกน้องว่าให้ทำอะไร ทุกวันนี้เราก็ยังเข้าไปสำนักงานใหญ่ของ 7-11 สัปดาห์ละครั้งเพื่อไปดูงาน คุยแบบ เพราะมันมีสินค้าแบบใหม่ตลอดเวลา
การได้ทำธุรกิจนี้มีความหมายต่อชีวิตของคุณยังไง
มันเป็นความภาคภูมิใจที่ครั้งหนึ่งเราเป็นผู้ก่อตั้งมัน และเราก็ไม่คิดว่ามันจะทำได้ ไม่รู้หรอกว่ามันจะโตขนาดนี้ เรามีธุรกิจที่บ้านอยู่แล้วแต่ไม่ชอบ ก็อยากลองสักตั้ง จนมาวันนี้ เราก็ทำให้ที่บ้านเขาแฮปปี้กับแบรนด์ของเราได้

3 บทเรียนธุรกิจของ หมู–เบญจวรรณ รุ่งเจริญชัย
ผู้ก่อตั้งแบรนด์ KIAN-DA
- เป็นเจ้าของธุรกิจ ต้องรู้ทุกอย่าง ทุกกระบวนการ ตั้งแต่เรื่องสินค้า บัญชี โกดัง ภาษี ไม่ใช่แค่รู้เรื่องขายของได้อย่างเดียวแต่กระบวนการอื่นไม่รู้
- รอบคอบกับการทำธุริจในทุกขั้นตอน
- เวลามีปัญหาต้องรีบแก้ หาทางออก ไม่ปล่อยไว้
Set-Jetting เทรนด์ท่องเที่ยวตามรอยหนัง และ The White Lotus Effect ที่ทำยอดจองโรงแรมพุ่งกระฉูด
‘เรื่องราวฉิบหายวายป่วงของคนขาวมีสตางค์และพนักงานประจำรีสอร์ตที่พวกเขาไปพักผ่อน’ คือสิ่งที่หลายเว็บไซต์นิยาม The White Lotus ซีรีส์สั้นแบบจบในซีซั่นของ HBO ไว้แบบนั้น
ถ้าให้แนะนำต่ออีกสักหน่อยว่าจะเจออะไรอีกในซีรีส์เรื่องนี้ อาจจะขยายความต่อได้ว่าคุณจะเจอ มนุษย์ป้า วัยรุ่นปสด. ฆาตกรรม เซ็กซ์ การฉ้อโกง ความลับใต้เตียงของผัวเมีย และอีกความวายป่วงอีกมากมาย บอกเลยว่าถ้าคุณเลิฟดาร์กคอมเมดี้ ชอบขำกับสถานการณ์กระอักกระอ่วน มุกหน้าตาย และความโง่งมของคนขาว The White Lotus คือซีรีส์ที่จะโดนเส้นแน่ๆ
แต่พ้นไปจากเรื่องขำของคนขาว สิ่งหนึ่งที่ทำให้ The White Lotus เป็นกระแสคือการ ‘ตามรอย’ ของแฟนๆ ซีรีส์ที่ใช้คำว่าเป็นปรากฏการณ์ ไม่เพียงเท่านั้น โรงแรมของโลเคชั่นในเรื่องยังออกแคมเปญมาตอบรับซีรีส์เพื่อกระตุ้นให้คนอยากมาเพิ่มขึ้นอีก ถือเป็นกรณีตัวอย่างที่น่าจับตาสำหรับคนทำธุรกิจ
แต่ทำไม The White Lotus ถึงปลุกกระแสได้ปังขนาดนี้ได้ล่ะ
1. บทที่อ้างอิงจากเมืองท่องเที่ยว
เพราะเป็นซีรีส์ที่เล่าเรื่องเศรษฐีผิวขาวที่ถลุงเงินไม่อั้นไปกับช่วงเวลาพักผ่อน ประสบการณ์การเข้าพักใน The White Lotus จึงต้องพิเศษ และจริงมากพอที่จะทำให้คนดูเชื่อว่า นี่แหละคือทริปของคนรวย
ประสบการณ์แบบที่ตัวละครใน The White Lotus ได้รับไม่ต่างจากประสบการณ์การไปเที่ยวในโรงแรม 5 ดาวเชนดัง เริ่มตั้งแต่วิธีการเดินทางไปรีสอร์ตที่หรูหรา ตัวรีสอร์ตที่ตกแต่งได้โอ่อ่าเป็นเอกลักษณ์ การต้อนรับของพนักงานแสนเป็นมิตร ห้องพักที่น่าหมกตัวนอนทั้งวัน กิจกรรมที่สะท้อนวัฒนธรรมท้องถิ่นน่าตื่นตา ทั้งหมดถูกคิดและออกแบบให้กลายเป็น The White Lotus Experience ที่น่าอิจฉา อยากไปใช้ชีวิตแบบนั้นสักครั้ง
และแม้จะเป็นรีสอร์ตในจินตนาการ แต่ Mike White ผู้กำกับและทีมงานก็เขียนบทโดยกำหนดว่าโรงแรมนั้นตั้งอยู่ในเมืองที่มีอยู่จริง ซึ่งก็ได้ฮาวาย ซิซิลี และประเทศไทยตามลำดับซีซั่น
2. บินไปถ่ายโลเคชั่นจริง
ตอนที่ Mike White เลือกโลเคชั่นของแต่ละซีซั่น หนึ่งในเกณฑ์ของเขาคือเลือกเมืองที่ให้ความรู้สึกเชื่อมโยงกับธีมของซีซั่นนั้น อย่างซีซั่นแรก ธีมที่ไมค์อยากสื่อสารคือความร่ำรวยและการล่าอาณานิคมของคนขาว ไมค์จึงเลือกฮาวาย เกาะที่ประวัติศาสตร์การโดนล่าอาณานิคมมาเป็นแบ็คกราวด์ของเรื่อง
ขณะที่ซีซั่น 2 เล่าเรื่องเซ็กซ์และเงินตรา เกาะซิซิลี ประเทศอิตาลีที่รุ่มรวยไปด้วยสีสัน ศิลปะ มีบรรยากาศแสนโรแมนติกเย้ายวนก็ตอบโจทย์ และเมื่อประกาศสร้างซีซั่น 3 ที่โฟกัสกับเรื่องจิตวิญญาณ ศาสนาแบบตะวันออก และความตาย โลเคชั่นที่ผู้กำกับมีอยู่ในใจคือญี่ปุ่นกับประเทศไทย และสุดท้ายก็เลือกบ้านเรา
เป็นเรื่องปกติสำหรับหนังหรือซีรีส์ที่ดูจบแล้วอยากไปตามรอยให้ได้สักครั้ง อันที่จริง ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีคำเรียกสำหรับการท่องเที่ยวแบบนี้โดยเฉพาะ คือคำว่า Set-Jetting ที่นักท่องเที่ยวดูหนังแล้วได้แรงบันดาลใจจนอยากไปเยี่ยมเยือนสถานที่ในหนังนั่นเอง
เราพนันได้ว่าตอนทำ The White Lotus ไมค์ก็คิดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน แต่อาจเพราะเป็นซีรีส์ที่แทบจะดำเนินเรื่องทั้งเรื่องในรีสอร์ตและในเมืองนั้นๆ ระหว่างที่ติดตามตัวละคร คนดูก็เหมือนได้ตามพวกเขาไปเที่ยวด้วย ที่สำคัญ ในทุกซีซั่นยังอัดแน่นไปด้วยภาพเมืองสวย วิวสุดตระการตา และวัฒนธรรมแสนรุ่มรวย
พอซีรีส์เรื่องนี้ปล่อยฉายออกไป มันจึงเกิดสิ่งที่เรียกว่า The White Lotus Effect ขึ้น
3.ปรากฎการณ์ The White Lotus
The White Lotus Effect คืออะไร ว่าง่ายๆ คือปรากฎการณ์ที่คนดูซีรีส์พากันเสิร์ชเกี่ยวกับรีสอร์ตและเมืองที่ไวท์โลตัสถ่ายทำ และแห่จองตั๋วและห้องพักกันให้พรึ่บหลังจากซีรีส์ออกฉาย อย่างในซีซั่นแรก Four Seasons Resort Maui at Weilea ที่เกาะฮายวายก็มีผู้เข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้น 425% และมีอัตราจำนวนคนเช็กห้องว่างพุ่งสูงขึ้น 386%
หลังจากซีซั่นแรกได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้ชม ซีซั่น 2 ที่คราวนี้เลือกดำเนินเรื่องที่ The White Lotus สาขาอิตาลี Four Seasons San Domenico Palace รีสอร์ตเจ้าของโลเคชั่นก็รายงานว่ามียอดจองเข้ามาล่วงหน้า 6 เดือนเต็มหลังจากกอง The White Lotus เข้ามาถ่ายทำ ทำให้พวกเขาไม่สามารถเปิดรับจองเพิ่มได้อีกจนกว่าซีซั่น 2 จะฉายจบ นอกจากนี้ Expedia Group ยังบอกว่ามียอดเสิร์ชเกี่ยวกับ San Domenico Palace, Taormina, A Four Seasons Hotel และ Sicily เพิ่มขึ้นถึง 300% เลยทีเดียว
ประเทศไทยของเราก็ไม่น้อยหน้า เพราะตั้งแต่ HBO ประกาศว่าโลเคชั่นของ The White Lotus สาขาใหม่คือเกาะสมุย ภูเก็ต และกรุงเทพมหานคร ยอดค้นหาไฟล์ทใน Expedia จากเมืองนอกสู่บ้านเราก็พุ่งฉิว โดยเมืองที่มียอดสูงเป็นอันดับต้นๆ คือเชียงใหม่ ภูเก็ต และเกาะสมุย ไหนจะยอดเสิร์ช Four Seasons Resort Koh Samui หนึ่งในสถานที่ถ่ายทำที่เพิ่มขึ้น 65% บน Hotels.com
ไม่ได้มีแต่ลูกค้าเท่านั้นที่วิ่งเข้าหา แต่ธุรกิจบ้านเราก็ขายของกันฉ่ำ เช่น เครือโรงแรมอนันตรา (ในเรื่องมีการถ่ายทำที่ อนันตรา ไม้ขาว ภูเก็ต วิลล่าส์) ก็ขายแพ็คเกจ Lotus Awakening Escape ชวนให้แขกได้มาสัมผัสประสบการณ์แบบ The White Lotus ผ่านคอร์สอาหาร กิจกรรม สปา ทริปเที่ยวชมเมือง และห้องพักที่อนันตรา 3 สาขาในเกาะสมุยและภูเก็ต
เครือ Four Seasons ที่เป็นโลเคชั่นเจ้าประจำของซีรีส์ก็ไม่น้อยหน้า เริ่มจาก Four Seasons Bangkok ที่ออกเซ็ต Afternoon Tea สุดเก๋ที่หยิบเอาเสน่ห์ของเกาะสมุยมาเป็นแรงบันดาลใจในการรังสรรค์ ให้คนที่มากรุงเทพฯ ได้สัมผัสประสบการณ์แบบไม่ต้องไปไกลถึงสมุย
ยิ่งไปกว่านั้น ในอนาคตเครือ Four Seasons ยังมีแผนจะต่อยอดอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการออกทริป World of Wellness พาแฟนๆ The White Lotus 48 คนนั่งไพรเว็ตเจตไปกิน เที่ยว ทำกิจกรรมใน 8 จุดหมายปลายทาง รวมถึงเมืองที่ The White Lotus ไปถ่ายทำ 3 เมืองเพื่อให้ได้ประสบการณ์เหมือนในเรื่องอย่างเต็มอิ่ม
ถ้าจะพูดกันว่าซอฟต์เพาเวอร์ที่แท้จริงอย่างไร เราคิดว่า The White Lotus คือตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดที่สุด น่าสนใจว่า โลเคชั่นต่อไปของซีซั่นหน้าจะพาเหล่าเศรษฐีคนขาวเซ็ตใหม่ไปที่ไหนต่อ แล้วเศรษฐกิจในเมืองนั้นจะปังขึ้นได้แค่ไหน เพราะเรามั่นใจว่าจะมีคนดูไปตามรอยแน่นอน
อ้างอิง
- https://www.bbc.com/travel/article/20250213-how-tv-and-film-locations-impact-travel-the-white-lotus-effect
- https://www.bbc.com/travel/article/20240208-white-lotus-3-thailand-filming-locations-revealed
- https://abcnews.go.com/GMA/Travel/white-lotus-season-3-travel-trend-booking-thailand/story?id=119297841
- https://www.forbes.com/sites/kissacastaneda/2025/02/26/whats-next-for-the-white-lotus-effect-a-property-boom-in-thailand/
- https://www.indiewire.com/features/general/the-white-lotus-effect-more-people-are-basing-travel-plans-on-tv-1234822279/
- https://robbreport.com/travel/destinations/white-lotus-driving-up-searches-for-koh-samui-resort-thailand-1236162173/
- https://www.ttgasia.com/2025/03/03/ttg-conversations-five-questions-with-lavinia-rajaram-expedia-group/
- https://www.anantara.com/th/bophut-koh-samui/offers/lotus-awakening-escape
‘เน้นกลางเมือง เดินทางใกล้ เปิดทั้งคืน แบ่งกันใช้ เมืองยืดหยุ่น’ 5 เทรนด์การออกแบบเมืองปี 2025
คุยกับเป้ ชาตยา แห่งบาร์บีคิวพลาซ่า ผู้หวังสร้างแบรนด์ที่มอบความสุขให้ลูกค้าไปจนถึงพนักงานด้วย empathy
Capital เคยนั่งสนทนากับ เป้–ชาตยา สุพรรณพงศ์ CEO ของบริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด เจ้าของแบรนด์บาร์บีคิวพลาซ่า และเรดซัน ไปเมื่อสองปีก่อน ครั้งนั้นเธอชวน ด๋อน–เรืองชาย สุพรรณพงศ์ ผู้เป็นสามีและ COO ของ Food Passion มานั่งคุยเรื่องการบริหารความสัมพันธ์และธุรกิจร่วมกัน
ตอนเจอกันอีกครั้งเธอนิยามบทสัมภาษณ์ชิ้นนั้นว่า ‘หวานมาก’
การสัมภาษณ์ครั้งนี้ยังเกี่ยวเนื่องกับเรื่อง ‘ความสัมพันธ์’ แต่ความสัมพันธ์ในบทสนทนารอบนี้คือความสัมพันธ์ระหว่างเธอในฐานะผู้นำกับพนักงาน ลูกค้า สังคม รวมไปถึงความสัมพันธ์ที่เธอมีต่อตัวเอง
ในเวลาที่หลายบริษัทมีการกำหนดให้สัดส่วนของผู้บริหารหญิงเพิ่มมากขึ้นเพื่อลบภาพเก่าๆ ที่บอร์ดมีแต่ผู้ชายออกไป บางออฟฟิศก็สร้างสภาพแวดล้อมและระบบที่เอื้อให้คนทุกเพศได้มีโอกาสเติบโตอย่างเท่ากัน Food Passion ก็เป็นหนึ่งในนั้น หรือหากลงลึกสักหน่อยต้องบอกว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมมาเนิ่นนาน มอบความหวังและโอกาสให้พนักงานทุกคนเติบโตได้เท่าๆ กัน แน่นอนว่าเมื่อมาสู่ยุคของชาตยาผู้เป็นทายาทแล้ว เธอก็รับช่วงต่อและยังรักษาคุณค่านี้ไว้
Food Passion คือบริษัทที่หวังจะสร้างความสุขให้กับลูกค้าผ่านแบรนด์ต่างๆ ในเครือ และสำหรับชาตยา เธอเชื่อว่าการที่ลูกค้าจะมีความสุขได้นั้นต้องมาจากการบริการ โดยการสร้างความสุขให้กับพนักงานก่อน คือสิ่งหนึ่งที่เธอให้ความสำคัญ นอกจากความหวังที่พนักงานทุกคนจะได้เติบโตในเส้นทางของตัวเอง สิ่งนั้นคือ empathy หรือความเข้าอกเข้าใจ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าเสียงของตัวเองถูกได้ยิน
วันสตรีสากลปีนี้ จึงเป็นการดีที่เราจะได้คุยเรื่องความหวังและความเชื่อในการบริหารธุรกิจ บทบาทการเป็นผู้นำหญิง ไปจนถึงเรื่องการใช้ empathy เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับตัวเองและผู้อื่นให้แข็งแกร่ง

ผู้นำสายอาร์ต
กว่าจะมาเป็น CEO ของ Food Passion ในวันนี้คุณผ่านอะไรมาบ้าง
ต้องบอกว่าจริงๆ เป้โชคดี เส้นทาง CEO ของเป้อาจไม่ได้ฝ่าฟันอุปสรรคอะไรจากภายนอกมากเหมือนกับผู้บริหารหญิงคนอื่นๆ เนื่องจากเป้เป็นลูกสาวคนโต เลยได้เข้ามาทำงานที่บริษัทก่อน
จริงๆ แล้ว ต้องบอกว่าที่ Food Passion เราทำงานกันเป็นทีม คำว่า CEO ของเป้ไม่ได้มีนิยามว่า Chief Executive Officer เหมือน CEO ของผู้นำคนอื่นๆ ถ้าดูจากนามบัตรจะเห็นว่าเป้ตั้งใจใช้คำว่า Chief Engagement Officer เพราะบทบาทหน้าที่ของเป้ไม่ใช่ผู้นำสูงสุดเด็ดขาดแต่เป็นเหมือนผู้จัดการทีม เป็นกาวใจของทีม ทีมในที่นี้เป็นตั้งแต่ทีมพี่น้อง ทีมครอบครัว และทีมผู้บริหารระดับสูง เป้มองว่าทุกคนนำทีมร่วมกัน
เป้ไม่ได้เป็นคนที่จบมาตรงสายและไม่ได้เก่งด้านธุรกิจ ถ้าเรารวมทีมที่เต็มไปด้วยคนเก่งมาทำงานร่วมกันได้ เราน่าจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่และสำเร็จได้ ดังนั้นเส้นทางของเป้คือการสร้างทีมมาตลอด ความท้าทายคือการผสมผสานทีมและหล่อหลอมให้พวกเขามีความไว้ใจ และสนิทสนมกัน การทำงานร่วมกันของทีมจะมีพลังมากยิ่งขึ้น
แต่เราจะทำยังไงให้เขาหลอมรวมกันได้ เป้ใช้วิธีคิดของแม่ที่เลี้ยงลูก เพราะเป้มีลูก 2 คน อยากให้ลูกรักกัน ไม่ทะเลาะกัน เลยไปเข้าอบรมคอร์สการเลี้ยงลูก (parenting) คุณหมอบอกว่าถึงแม้เขาจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเราทั้งคู่แต่เขาไม่ได้เกิดมาแล้วจะรู้สึกรักกันเลย เขาจะรักกันได้ก็ต่อเมื่อพ่อแม่สร้างสภาพแวดล้อมให้เขารักกันได้ เป้เลยใช้วิธีคิดนั้นมาใช้กับทีมเหมือนกัน ยิ่งพวกเขามาจากคนละที่คนละทาง ไม่มีทางเลยที่อยู่ๆ จะมาสามัคคีกันได้ มันคือหน้าที่ของเราที่จะสร้างสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ให้เขาสนิทกัน วิธีของเป้ก็จะง่ายๆ คือเปิดบ้านให้เขารู้สึกใกล้ชิดเหมือนครอบครัวก่อน การที่เขาเข้ามาในบ้านเรา มาคุยกัน เล่นเกมกัน ทานอาหารกัน ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนจริงๆ ที่ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงาน นี่คือสไตล์การบริหารของเป้
สำหรับคุณ คำว่า ‘ผู้บริหาร’ กับ ‘ผู้นำ’ แตกต่างกันไหม
เป้คิดว่าต่าง เพราะจริงๆ ธุรกิจของเราเป็นธุรกิจที่มีคนเป็นส่วนสำคัญ เราเป็นธุรกิจบริการ เป็นธุรกิจที่คนเสิร์ฟคน เพราะฉะนั้นเป้คิดว่าการเป็นผู้บริหารอาจไม่ได้เหมาะ ต้องเป็นผู้นำ
คำว่าผู้บริหารกับผู้นำ ฝั่งการเป็นผู้นำหรือ leader มันมีความเป็นมนุษย์อยู่เยอะกว่ามาก ในขณะที่ผู้บริหารก็แค่บริหารจัดการมนุษย์แต่ผู้นำเราจะดูแลมนุษย์ด้วยกัน เราเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีความหลากหลายในตัวเองและเราจะใช้วิธีการบริหารจัดการแบบใดแบบหนึ่งไม่ได้ แต่กับผู้นำ เราสามารถใช้ความเข้าใจในการสื่อสาร โน้มน้าว ทำงานและอยู่ด้วยกันได้มากกว่า เฉดของการปฏิสัมพันธ์มันเยอะกว่าแค่ผู้บริหาร
แล้วคุณเป็นผู้นำแบบไหน
เป้เป็นผู้นำสายอาร์ต ใช้อารมณ์ ทุกคนจะบอกว่าเป็นผู้นำอย่าใช้อารมณ์ ซึ่งอาจจะจริงของเขาในแง่ที่ว่าถ้าใช้อารมณ์มากเกินไป เราจะรู้สึกขึ้นๆ ลงๆ (roller coaster) แต่เป้เรียนจบอักษรศาสตร์มา พอเราได้เรียนสายนี้เราจะเห็นว่ามนุษย์มีหลากหลายอารมณ์และทุกอารมณ์จริงเสมอ เรานำสิ่งนั้นมาปรับใช้กับตัวเองและพอเราระลึกอารมณ์ตัวเองได้ มันก็ทำให้เรามีสติมากขึ้น การตัดสินใจของเราจะมีความชัดเจนมากขึ้นเมื่อเรารู้ตัวว่าเรากำลังมีอารมณ์แบบไหนอยู่
มากกว่านั้น เป้คิดว่าการใช้อารมณ์และยอมรับอารมณ์ของตัวเอง มันทำให้เราสัมผัสกับเราและมนุษย์คนอื่นได้ดีกว่าการใช้แค่ตรรกะในการตัดสินใจ เพราะอย่างที่บอกว่ามนุษย์มีความหลากหลาย สิ่งที่เขาทำอาจเกิดขึ้นได้จากหลากหลายเหตุผล แต่ถ้าเราได้ใช้อารมณ์และความรู้สึก ในการสัมผัสและเชื่อมโยงกับตัวเขา มันอาจทำให้เราประเมินสถานการณ์นั้นได้อย่างแท้จริงมากขึ้น เป้เลยเป็นผู้นำสายอาร์ตที่ใช้อารมณ์ แต่ไม่ได้เกรี้ยวกราดนะคะ (หัวเราะ)

ผู้นำที่มองเห็นความหลากหลาย
ในความรู้สึกคุณคิดว่าแวดวงอาหารทุกวันนี้มีผู้นำที่เป็นผู้หญิงอยู่มากหรือน้อย
เยอะมาก จริงๆ หลายคนที่อยู่ในธุรกิจอาหารก็เป็นผู้หญิง และไม่ใช่ในธุรกิจอาหารเท่านั้นแต่เป้ว่าผู้บริหารหญิงในไทยมีเยอะมากๆ ในทุกวงการ อาจเพราะเราโชคดีที่เกิดมาในยุคที่ประเทศให้โอกาสผู้หญิงมากๆ ถ้าเทียบกับเมื่อก่อน อาจมีบางหน่วยงานที่สัดส่วนของ CEO ผู้ชายเยอะกว่าผู้หญิงมากๆ โดยผู้หญิงมีเพียงแค่ 10% เดาว่าอาจเพราะเมื่อก่อนจะมีกรอบความคิดว่าผู้หญิงมีบทบาทหน้าที่ที่ต้องดูแลลูกด้วย เขาจึงต้องแบ่งเวลามาทำงาน แต่พอหลังๆ มา มี CEO ผู้หญิงเยอะขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็น 15% 20% 25% อาจเพราะมีการรณรงค์เรื่องความเท่าเทียม และการแบ่งบทบาทในการดูแลลูกมากขึ้น
จริงๆ เป้ไม่เคยรู้สึกว่าโอกาสของผู้หญิงกับผู้ชายแตกต่างกันเลย อาจเพราะตัวเองเคยอยู่โรงเรียนหญิงล้วน พอมาเรียนอักษรศาสตร์ก็เหมือนอยู่โรงเรียนหญิงล้วนอีก (หัวเราะ) พอเข้ามาในองค์กร อาจเพราะเป็นธุรกิจอาหารที่ผู้หญิงถนัดด้วย เราเห็นว่าผู้บริหารที่เป็นผู้หญิงเยอะมาก สัดส่วนของพนักงานที่เป็นผู้หญิงก็เยอะไม่แพ้กับผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงมีโอกาสเติบโตได้เหมือนกัน
แปลว่าใน Food Passion ก็ให้ความหวังกับพนักงานว่าจะเติบโตได้ โดยไม่คำนึงถึงเรื่องเพศ
ใช่ เราไม่เคยสนใจเรื่องเพศ วุฒิการศึกษา โรงเรียน หรือเกรดเลย เราดูเรื่องความสามารถล้วนๆ
เป้เคยได้ยินว่าบริษัทหลายที่กำหนดสัดส่วนของผู้บริหารระดับสูงไว้ ถ้าเป็นสมัยก่อนอาจจะมีผู้ชายเยอะกว่า ทำให้ตอนนี้เขาต้องพยายามปรับสัดส่วนให้มีความหลากหลาย แต่กับที่นี่ มันเริ่มต้นมาด้วยความเท่าเทียมตั้งแต่ในยุคของพ่อแม่เป้แล้ว เพราะพวกเขาสร้างมาด้วยกัน จริงๆ เป็นมาตั้งแต่สมัยตายาย ที่คุณยายเป็นคนแอ็กทีฟมาก อาจจะแอ็กทีฟกว่าคุณตาอีก เพราะแกรู้ว่าตัวเองมีความรู้ความสามารถ แกก็อยากใช้ความรู้ความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่ ทำให้แกได้ไปเป็นนายกสมาคมโน่นนี่ เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์จีน เป้เห็นอะไรอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดเลยเห็นว่าผู้หญิงมีโอกาสที่เยอะมาก
การที่คุณเติบโตมาในสังคมที่เห็นทุกคนเท่าเทียมกัน ส่งผลต่อการบริหารของคุณยังไง
การที่เราโตมาแบบนี้ บางครั้งทำให้เรามองเห็นว่ามีบางเรื่องที่เป็นประเด็น (issue) อยู่ เพราะเรามองคนที่ความสามารถเลยมองข้ามสิ่งที่เราอาจจะไม่รู้ เนื่องจากเราอยู่ในสังคมแบบนี้แต่ไม่ได้หมายความว่าความไม่เท่าเทียม ความกดดันมันไม่ได้มีอยู่จริง สิ่งที่เป้ทำคือพยายามจะไม่ละเลยและคอยเข้าไปดูในรายละเอียด คอยประเมินสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งความจริงแล้วคนที่โดนกดดันอาจไม่ได้มีแต่ผู้หญิงแต่เป็นผู้ชายด้วย
เมื่อปีที่แล้ว เป้เพิ่งได้ไปดูหนังเรื่อง Barbie มาแล้วชอบมาก มีปมหนึ่งที่น่าสนใจคือปม I am not enough. หรือความรู้สึกว่าเรายังไม่ดีพอ ถ้าเปรียบเทียบกันกับการเป็นผู้นำหญิง เรามักจะมีภาพว่าผู้นำหญิงจะต้องเด็ดขาด ต้องเก่งไม่แพ้ผู้ชาย ซึ่งบางทีมันทำให้เราและบางคนตั้งคำถาม เราดีพอไหม เราเป็นแบบนั้นเหรอ เราเก่งเท่าผู้ชายหรือเปล่า แต่สุดท้ายเราก็กลับมาตอบตัวเองได้ว่าจริงๆ แล้ว ผู้นำมีหลายรูปแบบ และผู้นำหญิงไม่ได้มีแค่คนที่ดูเก่ง แกร่ง มั่นใจ แต่คนที่ใช้อารมณ์และความรู้สึกนำทีมอย่างเราก็สามารถเป็นผู้นำที่ดีได้เหมือนกัน

ผู้นำและความเป็นแม่
คุณมีผู้นำหญิงที่ยกให้เป็นไอดอลไหม
คุณแม่ เพราะคุณแม่เป็นคนร่วมสร้างธุรกิจมากับคุณพ่อ บาร์บีคิวพลาซ่าเกิดขึ้นจากสองคนนี้เลย คุณพ่อจะเก่งด้านอาหารและนวัตกรรม ส่วนคุณแม่จะเก่งเรื่องของคน ความเข้าอกเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ เป้ว่าเป้ได้เลือดแม่มาเพราะเคยเห็นแม่ดูแลพนักงานเหมือนลูกๆ สอนจนปากเปียกปากแฉะ คือเขามีความเป็นแม่ มีความห่วงใย ตอนเขาทำธุรกิจ เขาก็ทำงานและเลี้ยงเราไปพร้อมกันจนเราเติบโตมาเป็นเป้ทุกวันนี้ได้ ทั้งๆ ที่สมัยนั้นเขาไม่ได้มีความเพียบพร้อมในเรื่องฐานะทางบ้านเท่าเราด้วยซ้ำแต่เขาก็สามารถสร้างครอบครัว ธุรกิจ และทีมงานที่แข็งแรงได้จากศูนย์ เป้รู้สึกชื่นชมคนทำ Zero to One มากๆ แล้วพ่อแม่ก็ทำได้อย่างนั้น
แล้วตอนคุณกลายเป็นคุณแม่เอง คุณบาลานซ์ชีวิตการทำงานและบทบาทการเป็นแม่ยังไง
เป้พยายามให้ลูกได้เห็นเราตอนทำงาน เพราะมันคือชีวิตของเรา เป้กับสามีตัดสินใจตั้งแต่ตอนมีลูกแล้วว่าเราจะไม่เปลี่ยนตัวเองเพื่อลูก เราจะเป็นตัวเราเอง
เป้ถูกหล่อหลอมมาจากพ่อแม่อีกทีหนึ่ง เพราะตอนเด็กๆ เห็นพ่อแม่เป็นคนยังไง เราก็เป็นคนแบบนั้นและการที่เราเป็นแบบนี้ เป้ก็เชื่อว่ามันจะถูกส่งต่อให้ลูกด้วย เพราะฉะนั้นเวลาอยู่กับลูก ลูกจะเห็นพ่อแม่คุยงานกัน หรือเวลาที่บริษัทมีงานเราจะพยายามให้ลูกมา ให้เขาเห็นว่าพ่อแม่ทำอะไร โดยไม่ได้บังคับหรือยัดเยียดว่าให้เขาทำเหมือนเรานะ แต่แค่อยากให้เขาเห็นว่าวิถีการทำงานของเราเป็นยังไง แล้วเขาจะซึมซับได้เองและเอาไปปรับใช้กับตัวเอง ส่วนเวลาอื่นๆ เรามีกิจกรรมร่วมกันเยอะมาก เราจะไปเที่ยว ไปแคมป์ปิ้ง ใช้เวลาคุณภาพอยู่ด้วยกันเยอะมากๆ โดยไม่มีพี่เลี้ยง เพราะถือว่าเป็นเวลาที่เราอยู่ด้วยกันอย่างเต็มที่
ฟังดูเหมือนเส้นแบ่งของเวลางานกับชีวิตส่วนตัวใกล้กันมาก
มันใกล้มากเลย เพราะเป้พยายามเอางานกับชีวิตส่วนตัวมารวมกันแต่ทำให้มันสนุก เพราะเราจะทำได้เรื่อยๆ เพราะในธุรกิจอาหารและการเป็นผู้ประกอบการ เราหยุดคิดไม่ได้ คือเราต้องคิด 24/7 ไปเที่ยวก็ต้องคอยดูว่าเราจะได้ไอเดียธุรกิจอะไรกลับมา ไปเข้าห้องน้ำที่ร้านอาหารก็สังเกตว่าป้ายห้องน้ำเขาสวย ต้องถ่ายรูปมา อะไรประมาณนี้ เหมือนเราทำงานไปด้วยตลอดเวลาแต่ทำให้มันสนุกค่ะ

ผู้นำที่นำทีมด้วยความเข้าอกเข้าใจ
คุณคิดว่าการเลี้ยง ‘ลูก’ กับการเลี้ยง ‘ลูกน้อง’ เหมือนกันไหม
เหมือนกัน เป้จะใช้หลักคิดในการบริหารลูกน้องในทีมเหมือนกับตอนเป้เลี้ยงลูก นั่นคือต้องพยายามที่จะเข้าใจเขาก่อน แล้วพยายามสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา
วิธีที่เป้ใช้ในการทำความเข้าใจลูกน้อง เริ่มต้นจากการฟัง ฟังสิ่งที่เขาพูดและสังเกตอารมณ์ หากเราคุยกัน เราต้องฟังไปสักพักถึงจะรู้ว่าจริงๆ แล้วเขารู้สึกยังไง เพราะบางทีเขาอาจไม่ได้บอกตรงๆ ตั้งแต่แรกด้วยความเกรงใจหรือยังไม่อยากบอก แต่ถ้าเราฟังเรื่อยๆ เปิดให้เขาอธิบายความคิดของความรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ จนบทสนทนามันลื่นไหล สักพักเราก็จะรู้ว่าเขาอยากบอกอะไร
มี empathy กับเขา
ใช่ พยายามมี empathy หรือเข้าอกเข้าใจความรู้สึกของคนคนนั้นอย่างจริงใจ ในขณะเดียวกันก็ต้องพยายามเข้าอกเข้าใจอารมณ์ของตัวเองด้วย เพราะบางทีเราก็ชอบลืมว่าตอนนี้เรารู้สึกยังไง ซึ่งบางครั้งอาจทำให้ส่งผลกับความคิดหรือการกระทำของเราได้
กับลูกค้าก็เช่นกัน เป้ชอบเฟรมเวิร์กหนึ่งของ Singapore Airlines ที่เขาใช้ในการบริการ มันคือ service recovery หรือการชดเชยการบริการ ซึ่งเราเอามาปรับใช้กับบริษัทของเราเยอะมาก ต้องบอกว่า Food Passion ถือเป็นบริษัทที่ดูแลลูกค้าโดยพนักงาน แน่นอนว่าเราทำธุรกิจบริการ 365 วัน มี 150 กว่าสาขา พนักงานกว่า 3,000 คน เราต้องมีทำผิดบ้างตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่ผิดแล้วจะชดเชยยังไง เป้ว่าอันนี้ยากและสำคัญ หลักของเราคือเข้าอกเข้าใจลูกค้า (empathy) ตอบโต้กับเขา (responsive) ทำให้เขาไว้วางใจ (reliability) รับรองเขา (Assurance) และทำให้เขารู้สึกว่าเราจับต้องได้ (tangible)
จะเห็นได้ว่า empathy คือเบอร์หนึ่ง เราต้องเข้าใจลูกค้าก่อนว่าช่วงเวลานั้นเขารู้สึกยังไง เพราะถ้าเราไม่มีความเข้าอกเข้าใจเขา ถึงเราจะตอบสนองเร็วเท่าไหร่ก็อาจเป็นการตอบสนองที่ผิด เหมือนลูกค้าอยากได้สิ่งหนึ่งแล้วเราไปตอบสนองอีกสิ่งซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ มันไม่มีประโยชน์
ในองค์กร Food Passion มีกิจกรรมหรือโปรแกรมที่ส่งเสริมพนักงานเรื่อง empathy ยังไงบ้าง
เริ่มต้นจากหลักสูตรเทรนนิ่งเรื่องการฟังที่เป็นจุดเริ่มต้นของ empathy เพื่อให้เขาเข้าใจความรู้สึกของตัวเองและคนอื่น นอกจากนั้น กิจกรรมที่ดูจับต้องได้เลยคือกิจกรรมที่ชวนลูกค้าแปะสติ๊กเกอร์หัวใจให้กับพนักงาน ที่เราจัดในช่วงวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา
ที่ Food Passion เราเชื่อเรื่องวงจรแห่งความสุข บริษัทของเราเป็นบริษัทของความสุข ความสุขคือสกุลเงินของเรา เราเชื่อว่าถ้าเราทำความสุขได้มากพอ เดี๋ยวผลลัพธ์ทางธุรกิจจะตามมาเอง แต่ความสุขขององค์กรต้องมีหน้าตาแบบไหนและทำยังไง เรานิยามเป็นคุณค่าที่องค์กรให้ความสำคัญทั้งหมด 3 เรื่อง
เรื่องแรกคือเราเชื่อว่า ความสุขขององค์กรต้องเริ่มที่พนักงานก่อน ถ้าเราดูแลพนักงานให้มีความสุข เขาก็จะดูแลลูกค้าให้มีความสุข และลูกค้าที่มีความสุขก็จะกลับมาใช้บริการของเรา ธุรกิจของเราก็จะแข็งแรง เรื่องที่สองคือจิตวิญญาณของไก่รองบ่อน (underdog spirit) ที่เราปลูกฝังในตัวพนักงานให้เขาฮึบ ไม่อย่างนั้นบริษัทของเราจะมีแต่ด้านซอฟต์อย่างเดียว เรื่องที่สามคือ empathy และ respect เราต้องเข้าอกเข้าใจและให้เกียรติซึ่งกันและกัน
เมื่อ 3 เรื่องนี้มารวมตัว มันก็จะกลายเป็นกิจกรรมอย่างการ ‘แปะหัวใจ’ เพราะช่วงวาเลนไทน์ เราอยากจะขอบคุณใครสักคนที่เขาดูแลเรา การแปะหัวใจจึงกลายมาเป็นสัญลักษณ์ในการขอบคุณเขา เราตั้งใจว่าเราจะแจกสติ๊กเกอร์นี้ให้กับลูกค้าก่อน แล้วอยากให้ลูกค้าไปแปะหัวใจให้กับพนักงานของเราหน่อยนะคะ ไปเติมพลังใจ ส่งมอบพลังงานดีๆ ให้เขา และเราบอกให้พนักงานของเราไปติดสติ๊กเกอร์กับเพื่อนๆ ร้านข้างๆ ด้วย มันเหมือนเป็นการส่ง empathy ไปบอกเขาว่าเรารู้ว่าเธอเหนื่อย อยากให้มีความสุขนะ อะไรอย่างนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของวงจรความสุข ซึ่งถ้าเขามีความสุข เขาก็จะดูแลลูกค้าและองค์กรเราต่อไป
นอกจากนี้เราก็มีแคมเปญแจกไอศครีมให้กับพนักงาน เพราะ Food Passion เราเชื่อในความสุขเล็กๆ แต่สม่ำเสมอ ไอศครีมก็เป็นสิ่งที่อาจจะดูเล็กๆ แต่กินแล้วชื่นใจ เราก็ให้บริษัทส่งมอบไอศครีมให้พนักงานก่อน แล้วอยากให้พนักงานเราส่งต่อความสุขของเขาให้กับพนักงานร้านข้างๆ ด้วย เป้ได้เห็นรูปที่พนักงานส่งมาให้ที่เขาได้ไปแจกไอศครีมและติดแปะสติ๊กเกอร์ให้กับพนักงานร้านอื่น เห็นแววตา รอยยิ้มของเขา มันเหมือนการส่งต่อความสุขไปเรื่อยๆ ให้กับคนอื่นในสังคม

คุณคิดว่า empathy สำคัญมากน้อยแค่ไหนกับผู้นำ
สำหรับเป้ empathy เหมือนกระดุมเม็ดแรกที่จะทำให้การตัดสินใจ ความคิด พฤติกรรม หรือการกระทำของเรามันทำได้ถูกทางมากยิ่งขึ้น จริงๆ empathy มีเพื่อเข้าใจความรู้สึกอีกคนและบริบทของเขา แม้ว่าเขาเห็นตรงกับเราหรือไม่ตรงกับเรา แล้วเราสามารถทำงานยังไงให้เราวินด้วยกันทั้งคู่
ในแง่ธุรกิจ เป้คิดว่าท่ามกลางการเติบโตของธุรกิจและเทคโนโลยี ยังไงมนุษย์ก็ยังเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดอยู่ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ในฝั่งผู้ประกอบการหรือลูกค้า ตราบใดที่มนุษย์ยังมีปฏิสัมพันธ์กัน empathy จะเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงมนุษย์เข้าไว้ด้วยกัน และจะทำให้เราสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ร่วมกันได้ ดังนั้น การที่เราจะเติบโตไปข้างหน้า ตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ตรงใจเขา เราต้องใช้ empathy
เมื่อเรามีสิ่งนี้ เราจะต่อยอดไปสู่การฟังอย่างอื่น อย่างหลังๆ เราจะสอนให้พนักงานฟังด้วยตา เพราะบางทีเราฟังด้วยหูแล้วไม่ได้ยิน ลูกค้าอยู่ไกล เราคงไม่ได้เข้าไปนั่งฟังว่าลูกค้าต้องการอะไรคะ เมื่อเราฝึกฟังด้วยตา เราจะเห็นความต้องการของลูกค้าและส่งมอบสิ่งเหล่านั้นให้กับลูกค้าได้ เป้เชื่อว่ามันจะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าประทับใจ กลยุทธ์ในการแข่งขันของ Food Passion อยู่ตรงนี้ คือการสร้างประสบการณ์ธรรมดาที่แสนพิเศษ แต่ประสบการณ์นั้นต้องสร้างจาก empathy ของพนักงานเราด้วย
มีใครหลายคนมองคุณเป็นไอดอลของผู้นำหญิง หากคุณแนะนำคนที่อยากประสบความสำเร็จแบบคุณบ้าง คุณจะแนะนำเขาว่าอะไร
ให้เป็นตัวของตัวเอง เป้คิดว่าทุกคนมีสไตล์และมีลายเซ็นเป็นของตัวเอง อีกอย่างคือผู้นำไม่ได้มีแบบเดียว ทุกคนสามารถใช้จุดเด่นของตัวเองในการเป็นผู้นำได้ เป้เชื่อว่าพอเราใช้จุดเด่น ความถนัด ความรัก หรือแพสชั่นของเราในการเป็นผู้นำ เราก็จะทำได้ดี อย่างเป้เอง จุดเด่นของเป้คือชอบเล่นบอร์ดเกมมาก ชอบจัดกิจกรรมให้ทีม เป้ก็ใช้ความชอบของตัวเองตอนนี้มาออกแบบกิจกรรม ทำให้ทีมสมัครสมานสามัคคีกัน และสุดท้ายเขาจะรักองค์กร
เพราะฉะนั้น อยากให้แต่ละคนใช้จุดเด่นของตัวเองให้เป็นประโยชน์และเต็มที่ เชื่อว่าทุกคนจะเป็นผู้นำที่ดีได้ในแบบของตัวเองค่ะ
เปิดบันทึกความทรงจำผ่านกลิ่นของ JOURNAL ที่หวังให้น้ำหอมแบรนด์ไทยหอมไกลถึงตลาดโลก
Mango Sticky Rice เมนูขวัญใจมหาชนอย่างข้าวเหนียวมะม่วง กลายมาเป็นน้ำหอมที่อบอวลไปด้วยกลิ่นมะม่วงสุกสีเหลืองทอง กะทิ และมะพร้าวคั่ว หวนให้นึกถึงความทรงจำครั้งที่มาลิ้มลองเมนูนี้ที่ประเทศไทย
Ratjadamnern Perfume บอกเล่าความหวัง ความฝัน และเอกลักษณ์อันโดดเด่นของมวยไทย ด้วยน้ำหอมกลิ่นน้ำมันมวยและกลิ่นหนังของนวม ที่ชวนให้นึกถึงบรรยากาศเชียร์มวยแบบสุดมันอยู่ข้างสนามราชดำเนิน


จะเห็นว่าน้ำหอมที่ยกตัวอย่างมานี้ ไม่ได้มีดีแค่บอกเล่าถึงกลิ่นและส่วนผสมที่แปลก ใหม่ ไม่เหมือนใครเท่านั้น แต่ยังสอดแทรกเรื่องราวความเป็นไทยที่ชัดแบบตะโกนออกมาอีกด้วย
เรากำลังพูดถึง JOURNAL น้ำหอมสัญชาติไทยที่เชื่อว่ากลิ่นสามารถบันทึกความทรงจำที่ทำให้ย้อนคิดถึงห้วงเวลาหนึ่งของชีวิต ผ่านการหยิบเรื่องราวระหว่างเดินทาง มาผสมผสานกับภูมิปัญญา วัตถุดิบธรรมชาติ และเสน่ห์ความเป็นไทย มาบรรจุไว้ในขวดน้ำหอมอันเป็นเอกลักษณ์
JOURNAL เกิดจากความหวังอันเต็มเปี่ยมของ ฟ้า–ธนัญญา สุธีรชัย Managing Director และหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งที่ฝันอยากเห็นน้ำหอมของคนไทยเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก แน่นอนว่าเส้นทางที่จะทำให้ความหวังนั้นเป็นจริง ไม่ได้หอมหวนเหมือนดั่งกลิ่นน้ำหอมของ JOURNAL

ถึงแม้ทันทีที่เปิดหน้าร้านสาขาแรก จะได้รับความนิยมเกินคาดถึงขั้นต้องจำกัดจำนวนการซื้อเพียงคนละ 4 ขวดเท่านั้น จนทำให้คุณฟ้าและสามีผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์เคยเล่นมุกแซวกันขำๆ ว่าสิ่งเดียวที่จะหยุดการเติบโตของ JOURNAL ได้คือทุกคนหยุดเดินทาง
ไม่มีใครคาดคิดว่าวันหนึ่งจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ทำให้คนต้องหยุดเดินทางกันจริงๆ อย่างในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ถือว่าเป็นวิกฤตของหลายๆ แบรนด์เช่นกัน แต่ฟ้ากลับมองมันเป็นโอกาสที่จะทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
ด้วยเรื่องราวอันน่าสนใจที่ซุกซ่อนอยู่ในน้ำหอมทุกขวดของ JOURNAL และแนวคิดการทำธุรกิจให้กลายเป็นของฝากที่ต่างชาติเลือกช้อป คนไทยเลือกใช้ ทำให้ Issue สตรี Wish เนื่องในวาระวันสตรีไทยสากลในครั้งนี้ เราขอพาไปเปิดสมุดบันทึกเรื่องราวการเดินทางของ JOURNAL ตั้งแต่ day 1 จวบจนขวบปีที่ 7 นี้กัน
บันทึกหน้าที่ 1
จุดประกายความหวังที่อยากปั้นแบรนด์ไทยให้โกอินเตอร์
“ตอนที่ฟ้ากับสามีไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ เรามีเพื่อนหลายสัญชาติมากๆ แล้วทุกคนก็ชอบชวนคุยกันว่าประเทศของเขามีอะไรดี แล้วเอามาเป็นของฝากให้กันเวลากลับบ้าน ตอนนั้นเราก็คิดว่าต่างชาติรู้จักอาหารไทยกันอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นแบรนด์ไทยที่จะเอามาเป็นของฝากได้อาจจะยังไม่ค่อยมีสักเท่าไหร่”
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฟ้าหวังอยากทำแบรนด์เป็นของตัวเองขึ้นมา เป็นแบรนด์ที่คนไทยภูมิใจ ชาวต่างชาติใช้แล้วชอบ เหมาะแก่การเป็นของฝาก ของขวัญ และใช้ในชีวิตประจำวันได้ แล้วไอเดียก็เกิดขึ้นเมื่อเธอกับสามีผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์มาด้วยกัน ได้ไปรู้จักกับนักปรุงน้ำหอม ที่ใช้กรรมวิธีการทำเหมือนตอนทำน้ำอบน้ำปรุงในสมัยโบราณและใช้วัตถุดิบที่มีความเป็นไทย
ทันทีที่ลองใช้ ฟ้าประทับใจในเรื่องความติดทนนาน และด้วยความที่ส่วนผสมหลักเป็นน้ำมันจากธรรมชาติ ทำให้ใช้แล้วผิวชุ่มชื้น ด้วยเสน่ห์เหล่านี้ทำให้ฟ้าเห็นว่ามีศักยภาพมากพอที่จะนำมาต่อยอดและสร้างแบรนด์ให้คนได้รู้จัก

“คอนเซปต์ของ JOURNAL เกิดมาจากความเป็นไทย เพราะเราเชื่อว่าน้ำหอมทุกกลิ่น เป็นเหมือนแบบบันทึกของความทรงจำ ทำให้เราหวนย้อนคิดไปถึงห้วงเวลาห้วงหนึ่งของชีวิต เราเลยหยิบ element ลายเส้นของแต่ละจังหวัดในประเทศไทยมาใช้ในการออกแบบลวดลายบนขวด เพื่อบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของวัตถุดิบที่เอามาจากแต่ละพื้นที่ในไทย โดยเน้นการใช้ส่วนผสมหลักจากธรรมชาติ เช่น สมุนไพร ใบเนียม ดอกมะลิ ดอกจำปี ดอกจำปา
“นำมาผ่านการปรุงอย่างละเมียดละไมแบบการทำน้ำอบน้ำปรุง ที่ผสมผสานกับวิธีทำน้ำหอมสมัยใหม่ร่วมด้วย ทั้งนำไปผ่านความร้อนให้มีกลิ่นหอมขึ้นมา หลังจากนั้นก็นำไปตำ บด และหมักอย่างน้อย 6 เดือน”
ฟ้าเปรียบเทียบให้เราเห็นภาพว่าน้ำหอมของ JOURNAL ก็เหมือนกับไวน์ ที่ยิ่งบ่ม ยิ่งหมักไว้ ก็จะได้กลิ่นที่แน่นขึ้น เพราะฉะนั้นน้ำหอมขวดที่เก็บไว้นานก็จะยิ่งมีกลิ่นที่หอมมากขึ้น ถึงอย่างนั้นพอขึ้นชื่อว่าใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ การควบคุมกลิ่นให้เหมือนกันทุกล็อต ค่อนข้างเป็นไปได้ยาก บางทีสภาพอากาศที่แตกต่างกัน ก็ทำให้กลิ่นต่างกันได้ แม้จะใช้ส่วนผสมในปริมาณเท่ากันหมดตาม


ซึ่งเรื่องนี้เธอจะอธิบายกับลูกค้าอย่างตรงไปตรงมา หลายคนก็จะเข้าใจและมองว่ากลิ่นในแต่ละล็อตที่แตกต่างกันเล็กน้อยเป็นเสน่ห์ที่สนใจด้วยซ้ำ ทำให้ลูกค้าอยากมาลองเทสต์น้ำหอมในแต่ละล็อต และถ้าลองล็อตไหนแล้วชอบเป็นพิเศษก็ถึงขั้นซื้อตุนไว้หลายขวดเลยก็มี
บันทึกหน้าที่ 2
น้ำหอมที่ไม่ได้ขายแค่กลิ่น แต่อยากให้คนเต็มอิ่มไปกับเรื่องราว
ถ้าพูดถึงน้ำหอมคนจะนึกถึงเรื่องของกลิ่นมาเป็นอันดับแรก แต่สำหรับ JOURNAL ตั้งธงไว้ว่าจะหยิบเรื่องราวความเป็นไทยที่อยู่รอบตัวมาบอกเล่าก่อนเป็นอันดับแรก โดยเธอจะตั้งคอนเซปต์ของแต่ละคอลเลกชั่นก่อน แล้วค่อยคิดว่า top note แบบไหน กลิ่นอะไรที่จะเข้ากับคอนเซปต์นี้
เพื่อให้เห็นภาพกันมากขึ้น ฟ้าได้ยกตัวอย่างวิธีคิดหนึ่งในกลิ่นสุดฮิตอย่างข้าวเหนียวมะม่วง มาจากที่เธอเห็นต่างชาติชอบกินเมนูนี้กันมาก แต่ไม่สามารถหิ้วกลับไปฝากให้เพื่อนชิมได้ เลยเปลี่ยนมาเป็นกลิ่นที่ต่อให้ไม่เคยกินก็จะสัมผัสได้ถึงความหอมมะม่วงสุก กลิ่นกะทิ ข้าวเหนียวมูน ในขณะเดียวกันชาวต่างชาติที่เคยมาเที่ยวพอได้กลิ่นนี้ก็จะนึกถึงประสบการณ์ที่เคยมาเที่ยวไทย
“หรือคอลเลกชั่น Ghost ก็มาจากฮาโลวีนปีนึงที่เรารู้สึกว่าต่างชาติจะมีผีของเขาที่เอามาทำเล่นเป็นสินค้าต่างๆ แบบพวกแฟรงเกนสไตน์ แดร็กคูล่า แต่ทำไมบ้านเราถึงไม่มีใครหยิบผีไทยมาทำบ้าง เราก็เลยเอาผีที่คนรู้จักมาตีความเป็นกลิ่นน้ำหอมที่ดูไม่น่ากลัวและทันสมัย


“เช่น กลิ่นแม่นาค ก็จะเป็นแม่นาคที่มีความเปรี้ยวนิดๆ น่ารักหน่อยๆ จะเป็นกลิ่นของมะนาว ที่ทำให้คนนึกถึงฉากเอื้อมมือยาวๆ ไปหยิบมะนาว มีกลิ่นหอมของกุหลาบ ดอกไม้แทนสัญลักษณ์ความรักที่แม่นาคมีให้กับพี่มาก หรืออย่างน้ำหอมกลิ่นกุมาร ก็จะเป็นกลิ่นสละเหมือนที่อยู่ในน้ำแดง เพิ่มลูกเล่นด้วยกลิ่นธูป ลูกค้าบางคนแค่เห็นชื่อก็ถูกใจซื้อเลยก็มี หรือบางคนต้องมาดมกลิ่นแล้วถึงชอบ แต่ก็มีนะคนที่ฟังชื่อแล้วรู้สึกกลัวก็เลยไม่ซื้อ”
ฟ้าหัวเราะ ก่อนจะยกตัวอย่างอีกคอลเลกชั่นหนึ่ง ซึ่งเป็นกลิ่นที่เธอเอ่ยปากเลยว่าชอบที่สุดคือกลิ่นสงกรานต์ ที่จะมีความหอมของน้ำอบน้ำปรุง มีกลิ่นแป้ง กลิ่นดอกมะลิ ชวนให้คิดถึงบรรยากาศของวันสงกรานต์จริงๆ โดยจะวางขายเฉพาะช่วงสงกรานต์ของทุกปีเท่านั้น และเธอรู้สึกเซอร์ไพรส์มากตอนที่วางขายกลิ่นนี้เข้าปีที่ 2 ปีที่ 3 มีลูกค้าซื้อกลิ่นสงกรานต์เยอะกว่าปีแรกที่วางขายเสียอีก และส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เคยใช้แล้วติดใจกลับมาซื้อซ้ำ

“แต่ก็จะมีบ้างที่เราเจอกลิ่นที่ชอบ แล้วพยายามคิดหาคอนเซปต์มาใส่ บางทีก็ใช้เวลานิดหนึ่ง กว่าจะได้คอนเซปต์ที่ลงตัว แต่ถ้ายังหาเรื่องราวไม่ได้กลิ่นนั้นก็จะถูกพักไปก่อน เพราะยังไงเราก็อยากให้ JOURNAL เป็นแบบบันทึกเรื่องราวตามที่ตั้งใจไว้”
และเมื่อพูดถึงน้ำหอมคนจะถูกแบ่งด้วยกลิ่นที่เหมาะกับผู้ชาย บางกลิ่นเหมาะกับผู้หญิง แต่น้ำหอมของ JOURNAL ตั้งใจจะให้เป็นกลิ่นที่ใช้ได้ทุกเพศ ทุกโอกาส
“น้ำหอมของเราตั้งใจจะให้เป็นแบบยูนิเซ็กซ์ ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็หยิบน้ำหอมทุกกลิ่นมาใช้ได้ อย่างกลิ่นข้าวเหนียวมะม่วงก็จะมีความหวานมาก แต่ก็ยังมีกลิ่นแนวฟรุตตี้ๆ ที่ผู้ชายใช้ได้อยู่ หรืออย่างเราเองก็ชอบกลิ่นนางรำ ที่จะมีความหอมของเชอร์รี แต่ผู้ชายบางคนใช้แล้วชอบก็มี

“และเราสนับสนุนเรื่องความหลากหลายทางเพศ ทั้งในออฟฟิศเราที่มีเพศหลากหลายหลายคน เราก็ให้โอกาสทุกคนในการแสดงออกที่เท่าเทียมกัน อย่างในช่วง Pride Month เราก็ทำน้ำหอมกลิ่น Pride มีส่วนผสมของดอกไอริส เป็นดอกไม้ที่มีความหลากลายทางสายพันธุ์ และเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ มาผสมกับลิ้นจี่ ซึ่งเป็นตัวแทนความหลากหลายและมีเอกลักษณ์”
บันทึกหน้าที่ 3
เดินเกมรุกบุกตลาดในไทยให้เจาะใจชาวต่างชาติ
เมื่อปลุกปั้นสินค้าดีมีคุณภาพได้แล้ว แต่ถ้าอยู่ผิดที่ผิดตลาดก็อาจพลาดโอกาสที่จะเติบโตได้เช่นกัน เหมือนกับที่ตอนแรกฟ้าหวังอยากเห็นแบรนด์ไทยบินลัดฟ้าไปโกอินเตอร์ในตลาดโลก ผ่านการส่งออกน้ำหอม เธอจึงเลือกที่จะออกงานแฟร์ต่างประเทศ แต่กระแสตอบรับยังไม่ดีเท่าที่ควร
ทำให้ฟ้ากลับมาแก้เกมใหม่ คิดว่าควรทำการตลาดในไทยให้แข็งแรงซะก่อน เพราะไม่ได้มีชื่อเสียงในประเทศไทย การที่มันจะเป็นช็อปมีชื่อเสียงในต่างประเทศก็ค่อนข้างเป็นเรื่องยาก จึงตัดสินใจเปลี่ยนหมุดหมายใหม่เป็นการเปิดหน้าร้านสาขาแรกที่ One Nimman จังหวัดเชียงใหม่


“เราคิดว่าต้องมีช็อปในไทยก่อน เป็นช็อปที่สวย สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ให้เห็นข้างนอกแล้วรู้สึกอยากเดินเข้ามา พออยู่ข้างในร้านแล้วก็รู้สึกไม่อยากเดินออกไป แต่ถ้าจะอยู่ในกรุงเทพฯ คือค่าเช่าก็ค่อนข้างแพง เลยคิดว่าเราลองเริ่มที่ต่างจังหวัดดูดีไหม อย่างแถวเส้นนิมมานก็มีต่างชาติและคนไทยไปเที่ยวตรงนั้นเยอะ แทบจะเป็นเหมือนทองหล่อของเชียงใหม่เลยก็ว่าได้ อีกอย่างสามีของเราก็เคยเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขาก็รู้จักทำเลแถวนั้นดีประมาณหนึ่งเลย”
แล้วการตัดสินใจของฟ้าในครั้งนี้ทำให้เธอเอ่ยปากเลยว่ากระแสตอบรับดีเกินคาด ทั้งที่ในช่วงแรกที่เปิดร้านยังไม่ได้มีการโปรโมตอะไร แต่ก็มีลูกค้าวอล์กอินเพราะถูกใจดีไซน์ของร้าน พอได้มาลองใช้น้ำหอมดูแล้วชอบ ก็ซื้อแล้วกลับไปรีวิว หลังจากนั้นมันก็เกิดการบอกต่อแบบปากต่อปากเอง
“ลูกค้าเรากว่า 90% เป็นชาวต่างชาติ คือคนไทยก็มีเข้ามาบ้าง แต่ยังไม่ได้ซื้อเลยทันที ด้วยความช่วงแรกเราไปขายเองหน้าร้านอยู่หลายเดือนก็จะได้รับฟีดแบ็กจากลูกค้าที่เป็นคนไทยว่าแพงเกินไป ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อ 7 ปีที่แล้วไม่ค่อยมีน้ำหอมแบรนด์ไทยที่ขายราคาหลักพัน ซึ่งถือเป็นราคาที่ค่อนข้างสูงสำหรับคนไทย

“แต่พอมีคนลองใช้แล้วรู้สึกว่ากลิ่นหอม ติดทนนาน คุณภาพดี และที่ต่างจากเคาน์เตอร์แบรนด์หลายๆ แบรนด์คือ ฉีดลงไปแล้วมันไม่มีกลิ่นแอลกอฮอล์ออกมาแรง เพราะเราใช้ส่วนผสมหลักจากธรรมชาติ พอคนใช้แล้วชอบก็มีไปรีวิวในช่องทางออนไลน์ แบรนด์เราก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น”
ยอดขายที่ดีตั้งแต่ช่วงแรกดูเหมือนจะเป็นตัวการันตีว่าธุรกิจนี้น่าจะไปได้สวย แต่สำหรับ JOURNAL นี่คือหนึ่งในบทเรียนสำคัญที่ทำให้พวกเขาต้องมาวางแผนการผลิตใหม่ให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า

“ตอนนั้นเราต้องขอจำกัดการซื้อของลูกค้าว่าไม่เกินคนละ 4 ชิ้นต่อ 1 SKU ฟังแล้วอาจจะดูน่าหมั่นไส้ว่าทำไมต้องจำกัดการซื้อ ทำให้ลูกค้าหลายคนผิดหวังที่มาถึงร้านแล้วไม่มีของ แต่เราไม่สามารถไปเร่งกระบวนการผลิตน้ำหอมของเราได้ เพราะต้องหมักไว้อย่างน้อย 6 เดือน
“และอย่างหัวสเปรย์น้ำหอมเราก็สั่งมาจากฝรั่งเศส จะใช้ lead time ในการรอของนาน ฝาน้ำหอมที่เป็นไม้ก็เป็นงานแฮนด์เมดที่ใช้เวลาทำเช่นกัน เราเลยแก้เกมโดยการวางแผนการผลิตล่วงหน้าใหม่ว่าจะขายจำนวนเท่าไหร่ ในช่วงไหนจะขายดีจนต้องเพิ่มกระบวนการผลิต เพื่อให้ลูกค้ามาซื้อแล้วได้น้ำหอมที่ชอบกลับไปแน่นอน”
บันทึกหน้าที่ 4
มากกว่าการขายน้ำหอม แต่ขายประสบการณ์ที่ทำให้คนหลงรัก
ถึงแม้ตลาดออนไลน์จะเป็นช่องทางช้อปปิ้งหลักของใครหลายคน แต่สำหรับสินค้าที่เป็นน้ำหอม ฟ้าเชื่อว่ายังไงลูกค้าก็ต้องอยากมาลองใช้ มาเทสต์กลิ่นถึงหน้าร้าน ตลาดออฟไลน์จึงเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับ JOURNAL และปัจจุบันมีช็อปกว่า 13 สาขา และคาดว่าภายในปี 2568 นี้จะมีถึง 15 สาขาเป็นอย่างน้อย


“ฟ้ายังเชื่อในการซื้อของแบบที่เห็นร้านจริงๆ และเราจะชอบพูดเสมอว่าเราไม่ได้แค่ขายน้ำหอม แต่เราขายประสบการณ์ ให้ลูกค้าเข้ามาในร้านแล้วชอบบรรยากาศของร้าน ได้คุยสอบถามกับพนักงานอย่างเต็มที่ เราจะบอกพนักงานเสมอว่าอย่าไปฮาร์ดเซลล์
“ทำให้ลูกค้าหลงรักกับแบรนด์เราก่อน คือเล่าให้ฟังว่าแบรนด์เราคืออะไร คอนเซปต์ของเราเป็นยังไง น้ำหอมแต่ละกลิ่น แต่ละคอลเลกชั่นมีเรื่องราวความเป็นมายังไง มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในทุกมิติ ถึงแม้วันนี้เขาจะยังไม่ได้ซื้อของเรา แต่เขาจำเราได้ก็ยังดี”
ส่วนช่องทางการตลาดออนไลน์ฟ้าก็ให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีเช่นกัน ทั้งให้แอดมินตอบลูกค้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ให้ข้อมูลลูกค้าให้ได้เยอะที่สุด ทำให้มีลูกค้าหลายคนเอ่ยปากชมว่าประทับใจบริการ
บันทึกหน้าที่ 5
ทุกวิกฤตมีโอกาสสู่ประตูบานใหม่เสมอ
ในช่วงแรกที่แบรนด์กำลังไปได้สวย ฟ้าและสามีเคยเล่นมุกแซวกันขำๆ ว่าสิ่งเดียวที่จะหยุดการเติบโตของ JOURNAL ได้คือทุกคนหยุดเดินทาง จนเกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าวันหนึ่งจะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้คนต้องหยุดเดินทางกันจริงๆ แน่นอนว่าช่วงนั้นถือเป็นวิกฤตของหลายๆ แบรนด์ แม้แต่ JOURNAL ก็เช่นกัน
“ตอนที่แบรนด์เริ่มมาช่วง 2 ปีแรก ค่อนข้างที่จะไปได้ดี แต่มาสะดุดในช่วงโควิด ทำให้เรารู้สึกท้อถึงขั้นอยากจะเลิกทำหลายรอบมาก แต่ก็มานั่งคิดว่ายังไงเราก็ต้องปรับตัวตลอดเวลา ถ้าน้ำหอมขายไม่ได้ เราก็ลองหาสินค้าอื่นมาขายดีไหม
“และด้วยความที่ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีลูกค้าคนไทย ก็เลยอยากเปิดตลาดใหม่ให้คนไทยได้รู้จัก ซึ่งน้ำหอมอาจจะยังไม่ใช่สินค้าหลักที่เขาเลือกซื้อ แต่จะเน้นไปที่ฟังก์ชั่นการใช้งานมากกว่า เลยทำออกมาเป็นบอดี้ออยล์ที่เน้นให้ผิวชุ่มชื้น และผลพลอยได้อีกอย่างคือมีกลิ่นหอมติดทนนาน”

ที่ยังเน้นเรื่องความหอมเพราะฟ้าอยากให้สินค้าใหม่ลิงก์ไปที่สินค้าหลักของแบรนด์อย่างน้ำหอม เมื่อคนใช้ออยล์กลิ่นไหนแล้วชอบ ก็สามารถซื้อน้ำหอมกลิ่นนั้นมาใช้คู่กันได้ หรือจะทาออยล์อีกกลิ่นหนึ่ง แล้วฉีดน้ำหอมอีกกลิ่นหนึ่งผสมกันเพื่อให้ได้กลิ่นใหม่ตามที่ลูกค้าชอบได้
“สินค้าที่เป็นออยล์เราเริ่มทำการตลาดออนไลน์ แล้วเป็นที่รู้จักมากขึ้นตอนที่คุณยิปซี–คีรติ มหาพฤกษ์พงศ์ หยิบสินค้าเราไปทดลองใช้แล้วชอบ เขาก็รีวิวจนเป็นไวรัลในโซเชียล ทำให้คนไทยรู้จักแบรนด์เรามากขึ้น”
หลังจากนั้นฟ้าก็ต่อยอดออกมาเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ชาวเวอร์เจล บอดี้โลชั่น แฮนด์ครีม รูมสเปรย์ ดิฟฟิวเซอร์ที่มีทั้งแบบเสียบก้านและแบบเครื่องพ่นให้หยอดออยล์ลงไป ซึ่งเธอดีไซน์ให้เป็นเครื่องแบบ motorless ที่สามารถนำตัวน้ำหอมที่เป็นขวดเสียบเข้าไปกับตัวเครื่องได้เลย
“ช่วงที่แตกไลน์สินค้าออกมา เราหวังอยากเห็น JOURNAL อยู่ในทุกห้วงเวลาในการใช้ชีวิตของลูกค้า สมมติว่าชอบน้ำหอมกลิ่นนี้ คุณก็สามารถใช้ตอนอาบน้ำได้นะ เสร็จแล้วทาบอดี้ออยล์ผสมกันกับโลชั่นให้ได้ผิวสัมผัสที่ไม่เหลว ไม่หนืดเกินไป แล้วก็ใช้ดิฟฟิวเซอร์ในบ้านหรือใส่ในรถให้มีกลิ่นที่ชอบติดตัวไปตลอดได้”

อีกความหวังใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาคือฟ้าอยากพัฒนาตัวเองให้สามารถดูแลทีมที่เพิ่มขึ้นมาได้ และหวังพัฒนาทีมให้แข็งแกร่งขึ้น เธอเล่าว่าในวันที่บริษัทยังไม่โตมาก มีทีมงานไม่กี่คน ทำให้เธอต้องทำทุกอย่าง แต่วันหนึ่งที่บริษัทโตขึ้น ต้องรู้จักแจกจ่ายงานให้คนอื่น และให้ทีมมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
“เราไม่ได้เก่งทุกอย่าง ตอนที่เริ่มทำแบรนด์เราไม่เคยทำรีเทลมาก่อน เราก็เรียนรู้ด้วยตัวเองบ้าง ถามคนอื่นบ้าง ในวันหนึ่งที่ทีมเริ่มใหญ่ขึ้น มีคนที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้ เคยอยู่ในสายงานนี้มานานหลายปี มีประสบการณ์มากกว่าเรา ก็ต้องให้เกียรติเขาในการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ให้เขามีความเป็นเจ้าของในงานของเขาด้วย
ถึงเธอจะมีความหวังใหม่เพิ่มขึ้นมา แต่ฟ้าก็ยังไม่ทิ้งความหวังเดิมตอนแรกเริ่มก่อตั้งแบรนด์ เธอยังอยากเห็น JOURNAL โกอินเตอร์ไปต่างประเทศ ทั้งมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหิ้วกลับไปเป็นของขวัญ ของฝาก ไปพร้อมๆ กับการทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในประเทศไทยมากกว่านี้ ผ่านการขยายสาขาไปยังจังหวัดที่เป็นหัวเมืองใหญ่ เมื่อสร้างแบรนดิ้งในไทยให้แข็งแกร่งแล้ว ก็อยากจะส่งออกไปต่างประเทศ อาจจะเริ่มจากประเทศเพื่อนบ้าน แล้วค่อยขยายไปยังฝั่งยุโรปและอเมริกา นี่เป็นภาพความหวังที่เธออยากเห็นมันเป็นจริงในสักวันหนึ่ง
คุยกับ วริวรรณ์ แห่ง neera retreat hotel ผู้หวังสร้าง positive impact ผ่านการทำโรงแรม
“เราทําโรงแรมก็จริง แต่เราไม่ได้ทําโรงแรมนะ”
ระหว่างสนทนากันที่โซนคาเฟ่ของ neera retreat hotel ซอย–วริวรรณ์ วิทยฐานกรณ์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งก็พูดถึงประโยคที่เธอเน้นย้ำกับพนักงานใหม่ทุกคน
โรงแรมที่ตั้งอยู่ที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม แห่งนี้ร่วมก่อตั้งโดยพี่น้อง 3 ชีวิตที่ต่างถนัดกันไปคนละด้าน ประกอบด้วย ซอย–วริวรรณ์, ซาน–วิชฌ์ และซาว–ศิษฎ์ศิริ วิทยฐานกรณ์
เมื่อมองทะลุกระจกใสของคาเฟ่ออกไป สังเกตบรรยากาศโดยรอบ ยอมรับว่ามันยากที่จะทำความเข้าใจประโยคข้างต้นได้อย่างแจ่มชัด ไม่ว่าจะด้วยสิ่งปลูกสร้าง สิ่งอำนวยความสะดวก พื้นที่ส่วนกลาง พนักงานที่ต้อนรับอย่างเป็นมิตรตามจุดต่างๆ หากมองเผินๆ มันก็คือโรงแรมในแบบที่เราเข้าใจ
แต่เมื่อบทสนทนาลงลึกไปจนถึงแก่นของวิธีคิดการทำโรงแรม ผมก็เข้าใจประโยคที่ว่าอย่างลึกซึ้ง
“Be the start of the ripple.” หรือการเป็นจุดเริ่มต้นของระลอกคลื่น คือประโยคที่ติดอยู่บริเวณทางเข้าซึ่งสะท้อนความเชื่อของโรงแรมนี้ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มก่อตั้ง

“เราเชื่อเรื่องการเปลี่ยนแปลงจากบุคคล แล้วมันก็จะกระเพื่อมไปสู่คนรอบตัว สู่สังคม แล้วก็ขยายเป็นวงกว้าง สังคมจะเปลี่ยนจริงๆ มันอาจจะไม่ใช่แค่ด้วยวิธีการรณรงค์ เราพูดกันเรื่องเปลี่ยนจิตสํานึก แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนง่าย มันต้อง inspire มากพอ ไม่ใช่มาจากการ educate หรือบอก เราก็เลยหวังว่าเราอยากจะเป็นพื้นที่ที่ inspire สิ่งเหล่านี้”
โดยเรื่องที่ neera retreat hotel หวังสร้างการเปลี่ยนแปลงล้วนสะท้อนอยู่ใน brand pillar อันเป็นเหมือนเสาหลักหรือจิตวิญญาณของโรงแรม ซึ่งมีทั้งหมด 3 ด้าน
เสาแรก ‘eco-concious’ การใส่ใจและตระหนักรู้ต่อเรื่องสิ่งแวดล้อม เสาที่สอง ‘mindfulness’ การตระหนักรู้ต่อปัจจุบันขณะและอยู่กับตัวเอง และเสาสุดท้าย ‘concious sharing’ การแบ่งปันและส่งต่ออย่างตระหนักรู้
“ที่ผ่านมาเวลาเราพูดถึงโรงแรม เราจะนึกถึงแค่เซอร์วิส ห้องพัก แต่เราตั้งใจจะเป็นโรงแรมที่สร้าง positive impact ทำให้เราไม่ได้ไปโฟกัสในมุมนั้น คือไม่ใช่ว่าเราละเลยนะ แต่ว่ามันไม่ใช่จุดโฟกัสของเรา จุดโฟกัสของเราเป็นการสร้างอิมแพกต์ออกไป
“เราเปลี่ยน priority วิธีมองธุรกิจ”
โดยปกติเมื่อคุยกับคนทำธุรกิจโรงแรม หัวข้อมักจะหนีไม่พ้นเรื่องการบริหารธุรกิจที่พักอย่างลงลึก แต่กับครั้งนี้หัวข้อที่เราพูดคุยน้ำหนักกลับเทไปที่ประเด็นแนวคิดเรื่องความยั่งยืน การกลับมาอยู่กับตัวเอง และความหวังในฐานะคนทำธุรกิจ คล้ายตอกย้ำประโยคของวริวรรณ์ในบรรทัดแรก

stay
“ถ้าสิ่งนั้นจะอยู่กับเราได้นาน มันจะต้องมีแพสชั่น มีความสนใจ มีความหวังของเราอยู่ในนั้น”
พอจะจดจําได้ไหมว่าตอนเริ่มต้นทำธุรกิจโรงแรมตอนนั้นคุณหวังอะไร
จริงๆ จุดเริ่มต้นที่มาที่ไปมันไม่ได้เริ่มต้นจากเรานะ แต่ว่ามันเป็นเรื่องภายในครอบครัว คุณพ่อมีที่ตรงนี้มานานมากแล้ว แล้วคุณพ่ออยากจะทําอะไรสักอย่าง คุณพ่อเป็น pioneer มากๆ คือบ้านเราเป็นคนโซนนครชัยศรี แล้วตอนนั้นพอพ่อรู้ว่าพื้นที่บริเวณนี้เดี๋ยวจะมีการเปลี่ยนสีผังเมือง ทำให้ไม่สามารถสร้างอาคารได้ คุณพ่อก็เลยรีบขออนุญาตก่อน แล้วท่านก็ขึ้นฐานราก ขึ้นโครงสร้างแบบนี้ไว้เลย สร้างไปประมาณ 2 ชั้น แล้วพอน้องชายจบคณะสถาปัตย์ คุณพ่อก็ให้มาช่วยดูโครงการ
พอน้องชายซอยเข้ามาดู ปรากฏว่าเขาทํางานต่อไม่ได้ เพราะตอนนั้นพ่อไม่รู้เหมือนกันว่าจะสร้างสิ่งนี้ไปทําอะไร เขารู้สึก suffer ก็เลยมาถามซอย เขาก็รู้สึกว่า direction มันไม่ชัด ซอยก็บอกว่า ถ้าให้ซอยอ่านเกม ซอยคิดว่าป๊าไม่ได้จะทําสิ่งนี้เพื่อตัวเขา คือตอนนั้นซานจบมาแล้ว ส่วนซาวก็กำลังจะจบ เราก็เลยบอกว่าพี่ซอยคิดว่าโจทย์มันไม่ใช่ว่าซานกําลังทํางานให้ป๊า แต่ให้คิดว่าป๊าต้องทําอะไรบางอย่าง แล้วสุดท้ายมันจะเป็นของลูกๆ

พอโจทย์ตั้งต้นเป็นแบบนั้นมันส่งผลต่อวิธีคิดต่อๆ มายังไงบ้าง
พอเราพูดกันว่าจุดเริ่มต้นของการสร้างครั้งนี้มันจะเป็นของลูกๆ โจทย์เลยกลายเป็นว่าถ้าเราจะทําอะไรสักอย่างขึ้นมามันต้องเป็นสิ่งที่อยู่กับเราได้นาน ซึ่งถ้าสิ่งนั้นจะอยู่กับเราได้นาน มันจะต้องมีแพสชั่น มีความสนใจ มีความหวังของเราอยู่ในนั้น มันไม่ใช่ว่าเราได้โจทย์มาแล้วเราก็ปั้นอะไรสักอย่างที่เป็นโจทย์ของใครก็ไม่รู้
แล้วน้องชายเขาก็บอกว่า เขาดูโครงการนี้คนเดียวไม่ไหว พี่ซอยมาช่วยได้ไหม เพราะเรามีประสบการณ์มากกว่า แต่เราก็จะเห็นว่าในหลายๆ ครอบครัวมันมีปัญหาเยอะนะ ที่พอมีบางคนเป็นหลัก แล้วคนอื่นมาช่วย แล้วเมื่อทําไปนานๆ คนที่ช่วยก็จะเริ่มรู้สึกไม่โอเค ซอยก็เลยบอกว่างั้นเราต้องตกลงกันว่า มันจะไม่ใช่มองว่าพี่ซอยมาช่วยแล้ว แต่ต้องมองว่าเราจะทําอะไรร่วมกัน ทำไปด้วยกัน แล้วมันจะต้องมีสิ่งที่เป็นตัวตนของทุกคนอยู่ในนี้ ถ้ามันไม่มีวันหนึ่งเราก็อาจจะหมดแรง หมดหวังกับธุรกิจที่เราทํา มันจะกลายเป็นแค่แบบฉันทําเพื่อสนับสนุนใครสักคน ที่มันไม่มีเรื่องอะไรที่เป็นกลิ่นอายของฉันเลย เขาก็บอกว่า โอเค ได้


แล้วสุดท้ายทำไมคำตอบถึงกลายเป็นธุรกิจโรงแรม
เราก็ดูในมุมความเป็นไปได้ พื้นฐานซอยเรียนจิตตปัญญาศึกษามา ซอยเห็น pain point ซอยรู้ว่าเทรนด์ของการพัฒนาด้านในมันมาเยอะขึ้น คนสนใจเรื่องพวกนี้เยอะขึ้นมาก แล้วเราทํางานอยู่กับเพื่อนๆ ที่เป็นกระบวนกร เขาจะมี pain point ในการหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการจัดกระบวนการเรียนรู้ คือมันไม่ใช่แค่ห้องสี่เหลี่ยมหนึ่งห้องแล้วจัดกระบวนการเรียนรู้ ถ้ามีพื้นที่ที่มันเหมาะสมน่าจะดี เราก็เลยบอกน้องไปว่าพี่ซอยสนใจอันนี้
เราสนใจในเรื่องการเติบโตของผู้คน แต่ถ้าเราจะไปเปิดบริษัทเทรนนิ่งเฉยๆ แล้วเป็นกระบวนกร ทํางานอาชีพอิสระของเรา เราก็รู้สึกว่าไม่ตอบโจทย์ทั้งหมด แต่ตรงนี้ถ้ามันมี facility มันมีตึกขึ้นมา เราทำอะไรกับพื้นที่ตรงนี้ได้ไหม เป็นพื้นที่ที่ทำให้คนกลับมาให้เวลากับตัวเอง แล้วเผอิญพื้นฐานฝั่งบ้านคุณแม่เขาทําธุรกิจโรงแรมมา เราก็เลยเสนอว่าถ้าเราจะทําอะไรสักอย่าง โรงแรมก็ยังเป็น advantage เพราะว่าเราสามารถจะเข้าถึง know-how ความรู้ เราถามคนรอบตัวเราได้ เพราะว่าญาติๆ ฝั่งคุณแม่ทำโรงแรมกันหมด คิดว่าถ้าพวกเราทําโรงแรมก็น่าจะมีโอกาสที่ดีกว่า อันนี้คือจุดเริ่มต้น

wish
“มันเป็นความหวังเล็กๆ ว่า พื้นที่เราต้องเป็นได้มากกว่าโรงแรม”
จากคนไม่มีพื้นฐานด้านโรงแรมทั้ง 3 คน พวกคุณเริ่มต้นกันยังไง
สิ่งที่สำคัญคือการหา brand pillar ที่ตรงกัน เราก็เลยเริ่มคุยกันเรื่องมิติของแบรนดิ้งก่อน แต่ว่าแบรนดิ้งในที่นี้มันไม่ใช่เรื่องแบรนดิ้งเพื่อธุรกิจ แต่แบรนดิ้งในความหมายนี้มันคือการหา core pillar หรือ core value บางอย่างที่เราเห็นร่วมกัน เพราะมันจะต้องไม่ใช่แบบพี่ซอยชอบอย่างหนึ่ง ซานชอบอย่างหนึ่ง ซาวชอบอย่างหนึ่ง แล้วเอามาประกบกัน เสร็จแล้วก็แยกๆ กันทำ มันไม่ได้
เราก็จัดเวิร์กช็อปกัน 3 คนพี่น้อง เพื่อที่จะมาดูว่ามีอะไรที่เราเห็นร่วมกัน เป็นคุณค่าร่วมของพวกเรา แล้วมันก็เลยกลายเป็นเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อมที่เรามี core value บางอย่างที่ตรงกัน แม้จะไม่ได้ตรงกันเป๊ะ อย่างซอยอาจจะมีความสนใจสายสิ่งแวดล้อม สายกรีน ค่อนข้างเยอะในระดับหนึ่ง แต่น้องชายเขาจะไปสายชอบเดินป่า เข้าป่าลึก ส่วนน้องสาวตั้งแต่เด็กๆ เขาชอบปลูกต้นไม้พืชพันธุ์ต่างๆ ซึ่งมันอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่พอเรามองตรงนี้เราเห็นว่ามันเป็นจุดร่วม มันไม่ใช่เราอยากทำเรื่องสิ่งแวดล้อมเพราะตอนนี้เทรนด์เรื่อง sustainable จะมา เทรนด์ eco มา เดี๋ยวเรามาทำกัน มันไม่ใช่แบบนั้น
แล้วอย่างที่บอกว่าซอยเรียนจิตตปัญญามา ซอยมักจะเอาเรื่องราวที่เราเรียนรู้เข้าไปใช้ในครอบครัว แล้วมันทําให้ครอบครัวเปลี่ยน ทำให้เรารู้ว่าจุดสําคัญของการเปลี่ยนแปลงของสังคม มันมาจากหน่วยเล็กๆ ก็คือคนหนึ่งคน ถ้าคนหนึ่งคนเปลี่ยนมันอาจจะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้คนรอบๆ ได้ มันก็เลยกลายเป็นแนวคิดของ neera retreat hotel ที่ว่า ‘Be the start of the ripple.’

Be the start of the ripple. สำคัญยังไง ถึงขั้นคุณติดประโยคนี้ไว้บริเวณทางเดินเข้าโรงแรม
มันคือหยดน้ำหยดแรก ซึ่งก็คือหนึ่งบุคคล เราเชื่อเรื่องการเปลี่ยนแปลงจากบุคคล แล้วมันก็จะกระเพื่อมไปสู่คนรอบตัว สู่สังคม แล้วก็ขยายเป็นวงกว้าง สังคมจะเปลี่ยนจริงๆ มันอาจจะไม่ใช่แค่ด้วยวิธีการรณรงค์ เราพูดกันเรื่องเปลี่ยนจิตสํานึก แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนง่าย มันต้อง inspire มากพอ ไม่ใช่มาจากการ educate หรือบอก เราก็เลยหวังว่าเราอยากจะเป็นพื้นที่ที่ inspire สิ่งเหล่านี้
เราอยากเป็นหยดน้ำเล็กๆ หนึ่งหยดให้กับคนที่มา ให้เขากลับไปแล้วเขาอยากจะเปลี่ยนหนึ่งอย่าง ยกตัวอย่างซอยเองที่พกกระบอกน้ำไปทุกที่ ซึ่งซอยก็ไม่อยากจะเชื่อว่า ไอ้เรื่องที่เราทําเล็กๆ แบบนี้ คนที่อยู่ใกล้ซอยซึ่งเมื่อก่อนเขาจะทักว่าหนักไหมเนี่ย เพราะซอยหิ้วขวดขนาด 2 ลิตร แต่ทุกวันนี้เขาก็หันมาพกเหมือนกัน สุดท้ายเราเห็นผลจริงๆ ว่าคนหนึ่งคนมีแรงเหนี่ยวนําคนรอบข้าง แล้วมันก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง
เราก็เอาคอนเซปต์นี้เข้ามาใช้กับโรงแรม โดย brand pillar มีทั้งหมด 3 เสา เสาแรกคือ eco-concious เสาที่ 2 คือ mindfulness และเสาที่ 3 คือ concious sharing

จากคอนเซปต์ที่ว่ามันทำให้การทำโรงแรมของคุณแตกต่างจากการทำโรงแรมในภาพจำยังไงบ้าง
ที่ผ่านมาเวลาเราพูดถึงโรงแรม เราจะนึกถึงแค่เซอร์วิส ห้องพัก แต่พอเราตั้งใจจะเป็นโรงแรมที่สร้าง positive impact ทำให้เราไม่ได้ไปโฟกัสในมุมนั้น คือไม่ใช่ว่าเราละเลยนะ แต่ว่ามันไม่ใช่จุดโฟกัสของเรา จุดโฟกัสของเราเป็นการสร้างอิมแพกต์ออกไป
เราเปลี่ยน priority วิธีมองธุรกิจ จากที่เวลาเราคิดถึงการทำโรงแรมสมองเราจะคิดแค่เรื่องโรงแรม แต่ตอนนี้เราบอกว่า ไม่ เราจะเอาเรื่องคุณค่ามาก่อน เอา value นํา business แล้ว value ที่เราจะส่งต่อไปเดี๋ยวมันน่าจะดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่มี value เดียวกันเข้ามา แล้วเราก็เชื่อว่าพอเขามี value พวกนี้ เดี๋ยวเขาก็จะ ripple ออกไปเหมือนกัน มันจะมีแรงกระเพื่อม อันนี้คือภาพที่เราเห็น มันเป็นความหวังเล็กๆ ว่าพื้นที่เราต้องเป็นได้มากกว่าโรงแรม พื้นที่เราไม่ใช่แค่โรงแรม

ความยากของการทำโรงแรมที่ไม่ใช่แค่โรงแรมคืออะไร
ความท้าทายคือช่วงแรกๆ ที่เรา recruit พนักงาน เราก็รู้ว่าเราต้องเอาพนักงานโรงแรมเข้ามานะ แต่ว่าพนักงานโรงแรมก็จะมีวิธีคิดแบบโรงแร้ม โรงแรม ทุกครั้งที่เราสัมภาษณ์ เราก็จะบอกว่า “เราทําโรงแรมก็จริง แต่เราไม่ได้ทําโรงแรมนะ” เขาก็ยังไม่เข้าใจ ไม่ทําโรงแรมคืออะไร เพราะว่าเราเป็นโรงแรมนะ เราต้องจดจัดตั้งโรงแรม ทําทุกอย่างเหมือนโรงแรม แต่ priority เราไม่ใช่โรงแรม
แล้วทำยังไงให้พนักงานเข้าใจ เห็นภาพเดียวกัน
เราก็จะแชร์วิชชั่นของเราให้เขาฟังว่าเราเห็นภาพแบบนี้ เราจะสร้างอิมแพกต์ได้ยังไง เพราะฉะนั้นคนที่จะเข้ามา เขาก็จะต้องรู้สึก inspire จากเราเหมือนกันว่าถ้าเขาเข้ามา นอกจากเขาได้ทํางานโรงแรม เขายังได้สร้างการเปลี่ยนแปลงบางอย่างด้วยนะ คือเราไม่ได้ทํา green wash แบบว่า โอเค ตอนนี้โรงแรมกรีนแล้ว ใส่เสื้อเขียว ปั่นจักรยานกัน แต่เราคิดว่ามันต้องมาจากดีเอ็นเอของทีมงาน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนพนักงาน เราเชื่อว่ามันต้องมาจากข้างใน ถ้าข้างในเปลี่ยน มันถึงจะเขยิบออกไปสู่คนข้างนอกได้ มันก็เลยต้องทําตั้งแต่ core principle
ตอนที่พนักงานทุกคนเข้ามา แม้ว่าคุณไม่รู้เรื่องสิ่งแวดล้อมเลย แต่เรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นหนึ่งในหน้าที่ที่คุณจะต้องให้ความร่วมมือและต้องทํา แล้ววันปฐมนิเทศของเรา วิดีโอแรกที่พนักงานจะได้ดูคือวิดีโอเรื่องสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่เรื่องโรงแรมเป็นยังไง แล้วทุกคนจะต้องเข้าเวิร์กช็อปแยกขยะ ที่นี่คุณต้องทิ้งขยะให้เป็น เราให้เขาตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นอย่างแรกก่อนจะให้ความรู้เรื่องโรงแรม เราไม่ได้หวังว่ามันจะเพอร์เฟกต์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่ามันคือการสร้างความตระหนักรู้ วันหนึ่งเดี๋ยวเขาอยู่ไปเรื่อยๆ เขาก็เข้าใจ เขาก็จะทําได้ จะใช้คําว่าเหมือนซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมที่เราปลูกฝังให้ เพื่อให้มันเกิดอิมแพกต์ที่เป็นความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ก่อน
อย่างน้อยก็เป็นน้ำหนึ่งหยดที่เป็นจุดเริ่มต้น เราไม่รู้ว่าคนคนหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงหรือเขาจะไปงอกงามวันไหน มันเหมือนเราหยอดเมล็ดพันธุ์หนึ่งเมล็ด บางคนก็อาจจะงอกที่นี่ก็ได้ แต่บางคนไม่ได้งอกที่นี่ก็ไม่เป็นไร แต่ว่าเราสร้างอิมแพกต์ด้วยการใส่บางอย่างลงไป


ที่ว่า brand pillar มีทั้งหมด 3 เสา คือ eco-concious, mindfulness และ concious sharing คุณสะท้อนมันออกมาผ่านรายละเอียดต่างๆ ของโรงแรมยังไงบ้าง
เรื่องแรกคือ eco-concious ถ้าจับต้องได้ง่ายๆ ก็คือบรรดา amenity ในห้องพักทั้งหลาย pain point ของโรงแรมในประเด็นสิ่งแวดล้อมคือ waste เยอะ ทุกวันแม่บ้านจะต้องเก็บพวกสบู่ ยาสีฟัน หวี หรืออะไรที่เป็นพลาสติก ถ้าคนแกะปุ๊บต้องเอาไปทิ้ง ในวันที่เราเริ่มคิดก็คุยกันว่าถ้าเราไปในทาง eco-conscious โจทย์ของเราคือเป็นไปได้ไหมที่ห้องพักจะไม่มี single-use plastic เลย ซึ่งโจทย์ยากสุดคือหมวกอาบน้ำ ที่สุดท้ายเราใช้เป็นผ้าคลุมซึ่งลูกค้าก็อาจจะบ่นเพราะพออาบเสร็จแล้วผมอาจจะเปียกบ้าง แต่เรารู้สึกว่านี่คือจุดยืนของเรา เรากําลังนําเสนอไลฟ์สไตล์ที่ต่างไปจากเดิม ถ้าคุณทําอย่างนั้นได้ คุณก็ช่วยโลกแล้วนะ ถ้าคุณยังไม่ได้นำสิ่งนี้ไปปรับใช้ในวิถีชีวิตก็มาทดลองก่อน เพราะฉะนั้นการมาที่นี่เหมือนการได้ทดลองไลฟ์สไตล์บางอย่าง
บ้านที่คุณอยู่คุณอาจจะมีถังขยะแบบเดียว แต่ในห้องพักของเรามี 3 แบบ คือเราไม่สามารถจะทําถังขยะ 7 ถัง อยู่ในห้องพัก มันเยอะไป (หัวเราะ) เราก็เลยออกแบบ journey การแยกขยะของ neera เอง จะเห็นว่า neera จะมีแค่ 2+1 ถัง คือถ้าคุณทิ้งถังนี้ ให้คุณรู้ไปเลยนะว่าของที่คุณทิ้งมันจบชีวิตลงที่บ่อฝังกลบ แต่ถ้าคุณทิ้งอีก 2 ถังที่เราเรียกว่า rewaste แสดงว่าคุณกําลังให้โอกาสขยะชิ้นนี้ไปมีชีวิตต่อสักแบบหนึ่ง ซึ่งอันนี้คือหน้าที่ของพนักงาน neera ทุกคนที่ในแต่ละเดือนเราจะมีวัน Green Day อยู่ 2 วัน ให้พนักงานสลับเวรกันมาช่วยกันแยกขยะ ซึ่งในนครปฐมระบบการจัดการขยะยังไม่ดีเท่ากรุงเทพฯ หลังแยกเราก็เลยใช้วิธีขาย พอขายเสร็จเขาจะมีระบบที่จะนำไปส่งต่อให้มันถูกที่ แล้วเงินที่ได้จากตรงนี้ก็จะไปเพิ่มเป็น funding สําหรับ well-being ของพนักงาน
นอกจากนั้นเรายังพยายามเลือกใช้ผลิตภัณฑ์หรือวัสดุต่างๆ พวกนี้มันคือดีเทลที่เยอะมาก อย่างจานรองแก้ว เราก็เอาพลาสติกเหลือใช้มาทำ หรือจะเห็นว่าเราไม่ใช้ดอกไม้สด ซึ่งโรงแรมส่วนใหญ่จะใช้ดอกไม้ ที่นี่เราใช้ใบไม้ที่อยู่ในโรงแรมนี่แหละ มันคือเรื่องเล็กๆ ที่เราจะคอยคิดว่ามีอะไรที่ upcycling เอามาใช้ได้ไหม ซึ่งบางอย่างก็ใช้ไม่ได้ เพราะว่าเราต้องการอายุการใช้งานที่ยาวมากเราก็ต้องซื้อ

เห็นข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ในโรงแรมที่คุณไปคอลแล็บกับแบรนด์ต่างๆ ทำไมถึงเลือกวิธีนี้แทนที่จะผลิตเป็นของตัวเอง
มันวนกลับไปที่ core principle ที่เป็น brand pillar อีกข้อ คือเรื่อง conscious sharing ในมุมของธุรกิจ
ถ้า conscious sharing ในเชิงคอนเซปต์ มันคือการที่เราแบ่งปัน ส่งต่ออะไรให้ใครต่อใครได้บ้าง แต่ว่า conscious sharing ในมุมธุรกิจเราจะมองเรื่อง partnership เพราะฉะนั้นถ้าเราเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของใครที่เราคิดว่ามันดี แล้วตรงกับคอนเซปต์ของเรา ให้ value ในเรื่องเดียวกัน เราไม่ได้อยากจะทําเป็น house brand ของตัวเอง
คือถ้าเป็นโรงแรมส่วนใหญ่เขาก็อาจจะจ้างคนอื่นผลิต ทำเป็นน้ำดื่ม สบู่ แชมพู แล้วก็ติดป้ายว่าเป็นของตัวเอง เป็นแบรนด์เรา แต่ neera จะรู้สึกว่าเราควรจะส่งเสริมให้คนมีโอกาสได้รู้จักผู้ประกอบการที่ทําสิ่งดีๆ เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจะใช้เป็นการคอลแล็บกันหมด ต่อให้สบู่ที่เรามีให้ในห้องจะมีหลายบริษัทรับจ้างผลิตและยอมให้ติดแบรนด์เรา แต่เราก็ยังอยากจะคอลแล็บกับเขา ให้คนรู้จักว่าแบรนด์นี้เขาทําเรื่องเหล่านี้ เขาทําออร์แกนิกนะ เขามีวิถีและวิธีคิดเหมือนเรา เราถึงเลือกเขา นี่คือ conscious sharing
ยกตัวอย่างเช่นการคอลแล็บกับแบรนด์ moreloop แบรนด์ที่ใช้ผ้าเหลือใช้มาผลิตเป็นของใช้ภายในห้องพัก หรืออย่างเรื่องกาแฟ คือเราก็ทําคาเฟ่ไม่เป็น เราก็ต้องการที่ปรึกษา ช่วงแรกเราก็พยายามหา ซึ่งแต่ละรายราคาสูงมาก สุดท้ายเราได้ไปรู้จักจากร้านกาแฟเล็กๆ ตรงสามย่าน วันนั้นเราไปคุยกับเจ้าของ พอคุยเสร็จก็รู้ว่าที่เขาทําร้านกาแฟทั้งหมดก็เพื่อซัพพอร์ตชาวเขาที่ปลูกกาแฟอยู่ที่น่าน แล้วเขาขึ้นไปทํางานที่น่านกับกลุ่มเดอม้ง แล้วตอนนี้ Coffee De Hmong ดังมาก พอเราคุยกัน value เราตรงกัน เขาก็มาช่วยเราในราคามิตรภาพมาก ซึ่งอันนี้คือ conscious sharing ที่เรามอง

me
“พอเราเห็นตัวเองชัด เราจะรู้ว่าการตัดสินใจของเรามันกลับมาที่แก่นอะไร”
แล้ว brand pillar อีกข้ออย่าง mindfulness คุณทำยังไงให้ผู้มาพักได้อยู่กับตัวเอง
เรื่อง mindfulness เป็นโจทย์ที่ท้าทายมาก เพราะว่ามันจับต้องยาก อย่างเรื่อง eco นี่ปีแรกเราใส่เต็มที่ เพราะว่าเรื่อง eco ทุกคนเก็ตง่ายและสื่อสารง่าย แล้วพอเริ่มปลายปีแรก เริ่มเข้าปีที่ 2 เราก็คิดว่าเดี๋ยวเราต้องเริ่มใส่กลิ่นอาย mindfulness เพิ่มมากขึ้น
mindfulness แรกที่ทุกคนสัมผัสได้ก็คือเป็นคอนเซปต์ของคนออกแบบที่ทําให้พื้นที่นี้ให้ความรู้สึกแบบนั้นตั้งแต่เข้ามา เมื่อเข้ามาคุณจะต้องรู้สึก คุณอาจจะต้องเดินไกลหน่อย ไม่ใช่เปิดประตูมาแล้วเจอ front โรงแรมเลย คุณเข้ามาคุณจะมีเวลาอยู่กับสเปซ อยู่กับตัวเอง แล้วสีที่เราเลือกใช้ การให้คอนเนกต์กับธรรมชาติได้ อันนี้ก็เป็น mindfulness อีกแบบหนึ่งง่ายๆ

แล้วเราก็ทําห้องที่เป็น signature ชื่อว่า ‘mindful’ ซึ่งห้องนี้จะให้คนใช้เวลาอยู่กับตัวเองจริงๆ ไม่ให้มีสิ่งเร้าเยอะ เป็นห้องที่ไม่มีทีวีให้ แต่ว่าให้ลําโพงแทน แล้วเราก็ทํา mindful corner ในห้องนั้น มีหนังสือให้อ่านเยอะหน่อย มี gadget mindfulness ใส่เข้าไปในห้อง คุณจะเล่นโยคะ นั่งสมาธิ ก็ทำได้ มีสิ่งที่ทำให้คนที่เข้าพักสามารถ activate sense ของเขา อย่างน้ำมันหอมระเหยที่ให้คุณหยดเอง มี mindful card ที่เป็นเควสต์สำหรับกลางวันกับกลางคืน เพียงคุณเลือกการ์ดมันก็จะมีเควสต์ให้คุณทําแต่ละวันเพื่อให้คุณ mindful กับตัวเอง คุณก็จะเอนจอยอยู่กับตัวเอง ซึ่งเราจะมีห้องแบบนี้อยู่แค่ 5 ห้องเท่านั้น
เห็นว่าโรงแรมคุณมีเวิร์กช็อป mindfulness ด้วยการสอนทำแยมด้วย การทำแยมเกี่ยวกับการอยู่กับตัวเองยังไง
คือเรามีโปรแกรมต่างๆ ที่เป็นกิจกรรมที่จัดให้กับลูกค้า แล้วเราก็มีคลาสทําแยม แต่ว่าเวลาเราสอน มันไม่ใช่สอนการทําแยมแบบชวนคนมาสนุกกับการทําแยม แต่ระหว่างการสอนกระบวนกรจะให้คุณฝึก mindfulness ระหว่างการทําแยม เช่นคุณสังเกตอันนี้ไหม ตอนนี้กลิ่นแตะจมูกแล้ว มันเป็นยังไง ความร้อนมันเป็นยังไง อันนี้ก็คือการเริ่มให้เขากลับมามีโอกาสอยู่กับตัวเอง
เพราะฉะนั้นเรื่อง mindfulness มันจะอยู่ในกิจกรรมต่างๆ ด้วย มีกิจกรรมวาดรูป การวาดเส้นตามศาสตร์ Zentangle เพื่อฝึกสมาธิ คนที่มาพักก็สามารถที่จะเข้าร่วมในราคาแค่หลักร้อย แล้วก็ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ซึ่งมันไม่ใช่แค่ไปวาดรูปสวยๆ แต่วาดเสร็จแล้วเราได้ดูใจตัวเอง กระบวนกรก็จะตั้งคําถามหลายๆ อย่างให้กับคนเข้าร่วมกิจกรรมในคลาสเล็กๆ เช่นคุณเห็นอะไร รู้สึกยังไง เป็นยังไง คนก็จะเริ่มรู้จักตัวเองมากขึ้น

คุณคิดว่าทําไมโลกทุกวันนี้คนเราจึงโหยหากระบวนการหรือพื้นที่ในการกลับมาอยู่กับตัวเอง
อันนี้ตอบจากความรู้สึกตัวเองนะ ซอยว่าทุกวันนี้คุณมีโอกาสคอนเนกต์กับธรรมชาติน้อยลง ซึ่งคําว่าธรรมชาติในความหมายของเราไม่ใช่แค่ต้นไม้ ใบหญ้า แม่น้ำ แต่ว่าเราคอนเนกต์กันเองก็น้อยลง แล้วเวลาที่มันเร่งรีบขึ้นเราก็คอนเนกต์กับตัวเองน้อยลงอีก พอเราคอนเนกต์กันน้อย ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือฉันรู้สึกเคว้งคว้าง มันหาอะไรไม่เจอ โหยหาอะไรสักอย่าง มันแสดงว่าบางอย่างมันขาดไป มัน missing แล้วเขาจะหาได้จากที่ไหน ซึ่งคลาสพวกนี้มันดันมีขึ้นมาเพื่อให้คนกลับมาคอนเนกต์กับตัวเอง มันก็เลยมีพื้นที่แบบนี้
แต่จริงๆ มันไม่ต้องไปคลาสไหนก็ได้ แค่เรามีคนที่เราไว้วางใจด้วยอยู่ แล้วเขารับฟังเรา เขายอมรับเรา แล้วเขาสะท้อนสิ่งที่เราเป็นได้ ซอยว่าอีกคนก็ growth แล้วนะ มันถึงมีเซสชั่นแบบ one-on-one ไง แต่ทุกวันนี้คุณต้องจ่ายตังค์ให้กับคนที่มีทักษะเหล่านี้ เพราะคนเราไม่มีทักษะในการรับฟังเท่าไหร่แล้ว เราไร้ความอดทนแล้ว แค่ฟังกันนานๆ แล้วอีกฝ่ายพูดไม่เข้าหูนิดหนึ่งก็ไม่ไหวแล้ว มันต่างไปจากบริบทเมื่อก่อน เราก็เลยว่างเปล่า แล้วมันไม่ใช่ว่างเปล่าแบบบรรลุนะ แต่มัน lost เขาก็เลยรู้สึกว่าเขาต้องหาสิ่งเหล่านี้ แล้วถ้าใครหาสิ่งนั้นเจอเขาจะรู้สึกเต็มทันทีเลย พอเต็มเสร็จเขาจะกลายเป็น change agent หนึ่งคนในสังคมได้ ซึ่งคนที่เต็มเท่านั้นถึงจะไปเติมให้คนอื่น

จากการที่เรียนจิตตปัญญาศึกษามา คุณได้เรียนรู้อะไรที่สำคัญที่นำมาใช้ในธุรกิจที่ทำบ้าง
มันคือการชัดเจนและมี authentic บางอย่างกับตัวเอง ซึ่งถ้าเราไม่ได้ชัดในเรื่องพวกนี้ ถ้าหลักหรือ principle ในชีวิตเราไม่ชัด การตัดสินใจของเราจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่พอตรงนี้เราชัด เราจะรู้ว่าการตัดสินใจของเรามันกลับมาที่แก่นอะไร
ซอยรู้สึกว่ามันสําคัญมาก แต่มันไม่เกี่ยวกับการบริหารนะ การบริหารมันก็เป็น technical อีกแบบหนึ่ง แต่เรารู้สึกว่าอันนี้มันสําคัญ มันทําให้เราไม่รู้สึก suffer ตลอดกระบวนการที่เราจะสร้างหรือทำธุรกิจ บางคนนี่แบกธุรกิจจน suffer ซอยเห็นหลายคนที่พยายามปั้นธุรกิจ สร้างธุรกิจ แล้วถึงจุดหนึ่งสิ่งที่เคยเป็นแพสชั่นมันไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว แล้วเขาก็หาตัวเองไม่เจอ ซอยคิดว่าแก่นตรงนั้นของเขามันอาจจะไม่ชัด แล้วมันสั่นคลอน

แล้วคนทั่วไปจะหาแก่นนั้นเจอได้ยังไงถ้าไม่ได้เรียนแบบคุณ
ถ้าถามเรา เราว่าจุดเริ่มต้นคือความสามารถที่จะยอมรับสิ่งที่เราเป็นจริงๆ แม้ว่ามันจะแตกต่างจากคนอื่นหลายๆ คน แน่นอนว่าสิ่งแวดล้อมมันมีผลกับเรา ทั้งต่อความรู้สึก ต่อการตัดสินใจ แต่ว่าจะทํายังไงให้แก่นของเราแข็งแรงขึ้น ซึ่งการยอมรับสิ่งที่ตัวเองเป็นน่าจะเป็นสภาวะแรกที่จะทําให้เราแข็งแรงขึ้นจากข้างใน พอเราแข็งแรงขึ้นจากข้างใน สิ่งกระทบข้างนอก สิ่งเร้ามันก็อาจจะลดลง แต่มันไม่ได้แข็งแบบตายตัวนะ แต่มันจะชัด
ทุกวันนี้เครื่องมือมันเยอะ เพราะฉะนั้นคุณอาจจะไม่ได้จําเป็นต้องไปเรียน แต่ถ้ามันสําคัญกับคุณ ซอยคิดว่าต้องให้เวลา แล้วเดี๋ยวมันจะค่อยๆ ชัดขึ้น ชัดขึ้น ซอยเชื่อว่าทุกคนมี signature ของตัวเอง เหมือนเรามีลายนิ้วมือ มีม่านตา ที่ไม่เหมือนกัน แล้วทุกคนก็มีลายนิ้วมือทางจิตที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งสิ่งเหล่านั้นที่มันสะท้อนออกไป มันสร้างสรรค์ มันคือ purpose ของการมีอยู่ของชีวิตคุณ มันอาจจะไม่เหมือนใครเลยนะ ดูไม่มี value กับใครเลย แต่มันคือเวอร์ชั่นที่เป็นตัวตนของคุณ มันคือสิ่งนี้ แล้วถ้าข้างในเราไม่ได้ถูกสั่นคลอนจากปัจจัยภายนอก ตรงนี้มันน่าจะเป็นหลักหรือเป็น principal ให้กับชีวิตเราได้

สุดท้ายการที่ neera มี core pillar ที่แข็งแรงมันส่งผลดีในแง่มุมธุรกิจยังไง
ซอยคิดว่าความชัดของสิ่งที่เป็นจุดยืนของเรามันช่วยทําให้แบรนด์เราแข็งแรง เมื่อเรามีคอนเซปต์บางอย่างมันก็ทำให้ภาพเราชัด การมา neera เขาจะไม่ได้รู้สึกแค่ว่านี่คือโรงแรมหนึ่งที่นครปฐมเท่านั้น สำหรับเรามันมีทั้งกลุ่มลูกค้าที่ aware แบรนดิ้งของเรา ทําการบ้านมาก่อนเลย แล้วมาเพื่อเสพเรื่องพวกนี้โดยเฉพาะ แล้วก็มีกลุ่มที่อาจจะไม่รู้อีโหน่อีเหน่เลยว่าโรงแรมนี้มีสิ่งเหล่านี้ด้วยเหรอ ตอนแรกรู้สึกแค่ว่าสวยจัง แล้วก็เริ่มรู้รายละเอียดจาก hotel tour บางคนพอฟัง hotel tour เสร็จก็บอกว่า โอ้โห ทำขนาดนี้เลยเหรอ เขาก็จะเริ่มเอนจอย บางคนมาเที่ยวเสร็จกลับไปแล้วพาทั้งบริษัทกลับมาเพื่อมาเรียน มันมีเรื่องแบบนี้ที่เป็นโอกาสที่เพิ่มเข้ามาอีกมากมาย แล้วมันทําให้เราเห็นว่าในสังคมมีคนที่อยากจะไปในทิศทางนี้แต่เขาไม่รู้ว่าจะเรียนที่ไหนเยอะมาก มีกรุ๊ปที่เราก็ไม่คิดว่าเขาจะเลือกเรา อย่างเช่นสถานทูตสวีเดนที่ติดต่อมา ท่านทูตเขียนจดหมายให้เลยว่าเขาเลือกที่นี่เพราะว่าเรื่องเหล่านี้

สิ่งที่พวกคุณเชื่อมีคนเห็น
ใช่ พอแบรนด์เราชัดเขาก็อยากมาสัมผัส เขาขอมาดูงาน แล้วเขาก็เซต year plan มาเพื่อมาฟังว่าเรา practice กันยังไง ซึ่งเราห่างไกลจากสวีเดนมากนะ เขากรีนสุดๆ นึกออกไหม แต่เขาก็เข้ามา เพื่อจะได้เข้าใจว่าทําไมประเทศไทยกรีนแบบที่เขาทําไม่ได้ เราก็แลกเปลี่ยนความรู้กัน
เราได้ ripple ความรู้หรือสิ่งที่เราทำส่งต่อออกไปยังองค์กรต่างๆ มีคนเชิญพวกเราไปเป็นวิทยากรที่บริษัทเขา เพื่อไปส่งต่อสิ่งเหล่านี้ ซอยรู้สึกว่ามันเป็นโอกาส แล้วเวลาเราได้ออกไปพูดให้คนฟังอีก 500 คน 1,000 คน เขาก็รู้จัก neera เพิ่มขึ้น ซึ่งมันไม่ใช่เพราะตัวโรงแรม แต่มันเป็นเพราะแก่นที่เรามี แล้วพอเขาเห็นว่ามันมีอย่างนี้จริงๆ เขาก็เลยชวนให้เราไปส่งต่อ โรงแรมก็ได้ผลพลอยได้ในเรื่องธุรกิจจากการเป็นที่รู้จักมากขึ้น ก็ทำให้คนเข้ามาเพิ่ม
เหมือนสิ่งที่ดึงดูดคนเข้ามามันไม่ใช่เรื่องสิ่งปลูกสร้าง แต่เป็นเพราะคุณค่าที่โรงแรมแห่งนี้ยึดถือ
ไม่ใช่เรื่องสิ่งปลูกสร้าง ความสวยงามพอมาเห็นเรื่อยๆ มันก็ชินแล้วไหม แล้วมันก็จะหมดไป น้องชายซอยเองก็บอกเหมือนกันว่าแขกมาครั้งแรกเขาอาจจะว้าวกับสถานที่ แต่แขกที่จะกลับมาอีกครั้งมันต้องเป็นแขกที่เขามี value ตรงกับเรา เพราะถ้าคนมาเพราะพื้นที่สวย โรงแรมใหม่ๆ เปิดตลอดนะ เขาก็อาจจะเปลี่ยนไปที่สวยๆ ที่อื่น แต่มันก็จะมีคนที่แบบฉันเป็นแฟนคลับที่นี่ ฉันตั้งใจจะกลับมาที่นี่อีก เราเคยคุยกับลูกค้าหลายคน แล้วก็มีลูกค้าที่ตั้งใจเขียนโปสต์การ์ดทิ้งไว้ให้เรา บางคนเป็นศิลปินก็วาดรูปให้ แล้วเขาก็ขอบคุณที่เราทําโรงแรมแบบนี้ ทำให้เรารู้สึกว่าการที่เราได้ส่งต่อสิ่งเหล่านี้มันมีอิมแพกต์
ili บริษัทออกแบบคอนเทนต์ที่หวังสร้างสัมพันธ์ผ่านทัวร์ย่านและร้านค้าด้วยการคิดเล็กคิดน้อย
เราคือสตูดิโอออกแบบคอนเทนต์ขนาดเล็กที่ถนัดและตั้งอกตั้งใจในการออกแบบเรื่องเล่า เราอยากสร้างความรู้สึก ‘พึงพอใจ’ ผ่านตัวหนังสือ กราฟิก ภาพถ่าย ภาพประกอบ ภาพเคลื่อนไหว ประสบการณ์
นี่คือคำแนะนำตัวอย่างเป็นมิตรในเว็บไซต์ ili (ไอ-แอล-ไอ) บริษัทออกแบบคอนเทนต์ซึ่งมีที่มาของชื่อบริษัทคืออยากให้มีทั้งเส้นและจุดในตัวอักษร เพื่อสื่อถึงการเล่าเรื่องด้วยเนื้อหาและดีไซน์
ความเข้าอกเข้าใจและสร้างความรู้สึกพึงพอใจเป็นจุดเด่นของ ili ที่สื่อสารจักรวาลเรื่องน่าใส่ใจในชีวิตประจำวันทั้งอาหาร สุขภาพ สิ่งแวดล้อม ชุมชน ย่าน ฯลฯ ผ่านมุมมองที่หวังให้ผู้คนอยากใช้ชีวิตที่ดีกับตัวเองขึ้นอีกนิด ใจดีกับโลกมากขึ้น ใส่ใจกันและกันมากอีกหน่อย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงนิสัยที่พิถีพิถันของสามผู้ก่อตั้งหญิง
เต้–จิราภรณ์ วิหวา, บี–สลิลา มหันต์เชิดชูวงศ์ และซาร่า–รุ่งนภา คาน ต่างเคยทำงานในแวดวงนิตยสาร ก่อนจะพลิกบทบาทสลับมาทำบริษัทออกแบบคอนเทนต์ให้ลูกค้า ด้วยความรักในการเป็นนักเล่าเรื่องที่ไม่ยึดติดกับรูปแบบ จักรวาลแห่งเรื่องราวของ ili จึงไม่ได้ถูกเล่าผ่านคอนเทนต์ออนไลน์เท่านั้น แต่ยังผ่านแพลตฟอร์มเล่าเรื่องอย่างเพจ ‘ILI.U ไอแอลไอยู’ ที่เล่าเรื่องสารพัดตามใจรัก จัดทัวร์ที่ปลอมตัวเป็นสายลับและกิจกรรมปูเสื่อแลกสมบัติ ไปจนถึงการเปิดห้างซัพสินค้าขายสินค้าท้องถิ่นเพราะอยากสนับสนุนเมือง

“ถ้าเราเป็นนักเล่าเรื่อง เวลาเจอเรื่องอะไรก็อยากจะเล่า ไม่มีแพลตฟอร์มให้เล่าก็เล่ากับเพื่อน พอมีแพลตฟอร์มให้เล่าก็ไปเล่าในแพลตฟอร์มนั้น พอมีกำลังก็คิดว่างั้นเราสร้างแพลตฟอร์มเล่าเรื่องเองได้ไหม มันก็เลยค่อยๆ ขยับขยายมา”
นี่คือเหตุผลที่เต้บอกว่า ili ไม่เคยเหนื่อยกับการริเริ่มไอเดียสร้างสรรค์ที่สนุกและแปลกใหม่ บทสัมภาษณ์ในซีรีส์ ‘สตรีwish’ ตอนนี้เลยอยากชวนเต้และบีคุยถึงเบื้องหลังการทำบริษัทที่ทำให้เห็นว่าแค่เริ่มจากความชอบเล็กๆ จากจักรวาลความสนใจก็สามารถสร้างความหวังและเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อยในจักรวาลได้เหมือนกัน

คอนเทนต์ที่มีคุณค่าผ่านสารพัดท่า
ในบทบาทที่สวมหมวกการเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เต้เล่าว่าจุดแข็งของ ili ที่ทำให้ลูกค้าวางใจและอยากฝากให้ช่วยเล่าเรื่องให้คือการออกแบบคอนเทนต์ที่สื่อสารคุณค่าของแบรนด์ถึงผู้รับสารได้จริง
“เราช่วยทำให้เรื่องเล่ามีน้ำหนักและมีคุณค่ากับคนรับสาร มันอาจจะเป็นจุดแข็งของเรามั้งที่แม้ว่าเราอาจจะไม่ได้เพิ่มยอดขายให้เขา แต่ลูกค้าก็ยังคงอยู่กับเราเพราะสิ่งนี้มันยังตอบโจทย์เขาอยู่ ทุกปลายปีเราจะชวนคุยกับลูกค้ากันตลอดว่า หรือคุณอยากลองไปทำมาร์เก็ตติ้งที่ดูจริงจังกว่านี้ไหม แต่ทุกครั้งคำตอบที่ได้กลับมาคือ เรื่องนั้นเดี๋ยวเขาไปทำเองได้ แต่เขายังขอฝาก ‘คอนเทนต์ที่สร้างคุณค่า’ ไว้กับเราเพราะเชื่อว่าเราทำสิ่งนี้ได้ดี”
บีเสริมว่าความใส่ใจในกระบวนการก่อนถึงงานเขียนคือสิ่งที่ทำให้ ili แตกต่างจากที่อื่น “หากจะให้เห็นภาพอีกนิดก็อย่างเช่นว่า ถ้าเอเจนซีทั่วไปรับโจทย์จากลูกค้าไปว่าจะทำคอนเทนต์จำนวนเท่านี้ต่อเดือน เราจะไม่ใช่คนที่แค่รับโจทย์มา ทำให้ได้ตามจำนวนแล้วขายของอย่างเดียว แต่เราจะเป็นพวกที่มีกระบวนการคิดก่อนจะถึงการเขียนสุดท้ายเยอะมาก เราทำจำนวนชิ้นน้อยแต่เราตั้งใจคราฟต์มัน”
แต่ไม่ว่าจะเป็นโจทย์เล่าเรื่องสมัยทำงานนิตยสารหรือทำคอนเทนต์ให้ลูกค้า เต้บอกว่าทุกบทบาทไม่ต่างกันและสนุกเหมือนกันหมด

“เราไม่รู้สึกว่าพอเปลี่ยนจากการเล่าเรื่องแบบหนึ่งมาสู่การเล่าเรื่องอีกแบบหนึ่งแล้วมันจะต่างกันยังไง เพราะเรายังใช้วิธีการเดิมในการทำงาน แต่พอมีลูกค้ามันก็สนุกขึ้นในแง่ที่ว่าจะต้องมีปลายทางที่ช่วยให้แบรนด์ถึงเป้าหมายด้วย”
หนึ่งในตัวอย่างผลงานที่ทีมภาคภูมิใจคือการออกแบบคอนเทนต์ให้กับศาลานา (SALANA) แบรนด์ข้าวออร์แกนิกที่มุ่งเน้นการพัฒนาเกษตรกรอินทรีย์ของไทย โดยทีมได้ทำงานร่วมกับแบรนด์นี้มาเป็นเวลาหลายปี ผ่านการเล่าเรื่องในหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การลงพื้นที่กับชาวนา ไปจนถึงพัฒนาเนื้อหาที่เน้นขายสินค้าโดยตรง
แม้จะต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการเล่าเรื่องให้สอดคล้องกับทิศทางแบรนด์แต่ละปี แต่เต้บอกว่าทีมยังคงให้ความสำคัญกับการส่งต่อข้อมูลที่มีคุณค่าเสมอ
“เราเล่าเรื่องมาทุกท่าแล้ว แต่ไม่ว่าจะลองแบบไหน ความพยายามที่อยากสื่อสารสิ่งที่มีประโยชน์ให้กับคนมันยังอยู่นะ ไม่ว่าจะเป็นท่าที่ขายของจัดๆ เลย หรือท่าที่อยากสื่อถึงแนวคิดเรื่องออร์แกนิก ทุกอย่างต้องโฟกัสว่าคนอ่านจะได้อะไรจากสิ่งนี้กลับไป ต่อให้เป็นโฆษณาสุดๆ มันก็จะเล่าเรื่องเยอะจนคนทำโฆษณาทั่วไปอาจรู้สึกว่าเล่าเรื่องเยอะจัง ขายของเลยก็ได้ แต่เราก็พยายามที่จะไม่ทำแบบนั้น”

สร้างความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ในจักรวาล
ท่ามกลางจักรวาลเนื้อหาที่ ili สนใจซึ่งมีทั้งมิติความสัมพันธ์ ชุมชน และสิ่งแวดล้อม แต่บีกลับบอกว่าทีมไม่ได้มองตัวเองเป็นนักรณรงค์สุดโต่ง แต่นิยามตัวเองว่าเป็น imperfect activist ผู้ที่ตระหนักถึงปัญหา เริ่มลงมือทำด้วยไอเดียเล็กๆ จากพลังของคนธรรมดาที่ไม่ได้มองหาความสมบูรณ์แบบในทุกย่างก้าวของการเปลี่ยนแปลง
“ตัวตนของเราจริงๆ เป็นพวกชอบกิน ชอบช้อปปิ้ง ชอบซื้อของจุกจิก หมายถึงเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นแม่บ้านอยู่ในตัว แต่พอเราเล่าเรื่องเกี่ยวกับความยั่งยืน เราก็เจอว่าสิ่งที่เราเป็นมันส่งผลกับสิ่งแวดล้อม โลก และสังคม ยิ่งถ้าเรารู้จักความยั่งยืนมากขึ้น มันไม่ได้มีแค่เรื่องสิ่งแวดล้อม มันมีเรื่องผู้คนด้วย
“เราไม่ได้นิยามตัวเองว่าเป็นคนที่ conscious จ๋าที่สุด เราเป็นคนที่อยากใส่ใจโลกแต่ไม่ใช่ perfectionist คือไม่ใช่คนที่ทำแล้วดีที่สุด เราเป็น imperfect activist คนหนึ่งที่พยายามจะแอ็กทีฟถึงแม้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบมากนัก เชื่อว่าถ้าคนเป็นแบบเราเยอะๆ รู้เรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงถึงโลก ก็น่าจะสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรได้”
ความโชคดีของนักเล่าเรื่องคือการได้สัมผัสจักรวาลหลากมิติผ่านเรื่องที่เล่า เช่นเดียวกับ ili ที่หลังจากได้มีโอกาสทำงานให้ Greenery แพลตฟอร์มด้านสิ่งแวดล้อม เล่าเรื่องผ่านสายตาของมือใหม่และสื่อสารกับคนทั่วไปที่ยังใหม่ในการทำความเข้าใจเรื่องรักษ์โลกเหมือนกัน โลกสายกรีนก็ค่อยๆ ซึมซับเข้ามาในจักรวาลความสนใจของทีมไปโดยอัตโนมัติ


“เราเล่าต่อไม่ได้หรอกถ้าเราไม่เปลี่ยนเองด้วย พอทำ Greenery งานประเภทนี้ก็เข้ามาเยอะขึ้น พอเรารู้เยอะขึ้น มันก็เริ่มยากที่จะหันหลังให้มัน ต่อต้านไม่ได้เราก็เข้าร่วม (หัวเราะ) มันก็ค่อยๆ ซึมๆ กันมา” เต้เล่าถึงประสบการณ์ที่ทำให้ทีมงานซึมซับแนวคิดความยั่งยืนมากขึ้นจากการทำงาน
นอกจากเรื่องความยั่งยืน ความสนใจและงานอดิเรกเล็กๆ น้อยๆ อย่างการชอบเดินเล่นตามย่านต่างๆ และแวะช้อปปิ้งตามร้านค้าเก่าก็ค่อยๆ ขยายสู่ความสนใจในการเล่าเรื่องด้านสังคม เมือง ชุมชน และเรื่องราวของผู้คนที่อยู่เบื้องหลังสถานที่ต่างๆ เหล่านั้น
“เราเป็นมนุษย์ที่สามารถออกไปเดินย่านแล้วก็ อุ๊ย อันนั้นน่ารัก อันนี้ก็น่ารัก แล้วก็เป็นกันทั้งออฟฟิศ พอคนชอบแบบเดียวกันมาอยู่ด้วยกันความสนใจก็เลยโตขึ้น”
รายละเอียดความชอบเหล่านี้เป็นสิ่งเล็กๆ ที่เต้บอกว่าเป็นแรงบันดาลใจที่ช่วยขยายผลให้อยากถ่ายทอดเรื่องยากๆ ให้เข้าใจง่ายและเป็นมิตรกับคนอ่าน จนทำให้เกิดความถนัดในการช่วยลูกค้าเล่าเรื่องยากๆ ให้ย่อยง่ายขึ้นตามไปด้วย
“งานท้าทายที่สุดคืองานที่พยายามเล่าเรื่องยากให้เฟรนด์ลี่ที่สุด เช่น เคยได้โจทย์พูดเรื่องระบบอาหารกับสิ่งแวดล้อมมา แค่คำว่า ‘ระบบอาหาร’ ก็น่ากลัวแล้ว เราก็มาคิดว่าจะทำยังไงให้คนเข้าใจง่ายว่ามันส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมยังไง ซึ่งมันก็ออกมาในแง่ของการสื่อสารกับผู้บริโภคผ่านอาหารที่เขาคุ้นตา จัดเซตติ้งถ่ายรูป ออกแบบวิธีเล่าเรื่องเพื่อให้ Flow และคนอ่านจะอ่านตามได้ โดยมีภาพเป็นตัวช่วยให้เขาไม่อ่อนล้าไปเสียก่อนกับการรับรู้เรื่องนี้”

ทัวร์ที่คิดเล็กคิดน้อย
จุดเริ่มต้นในการทำอีเวนต์ของ ili มาจากโอกาสที่เข้ามาโดยไม่คาดคิด ทีมได้รับการชักชวนให้จัดทัวร์ครั้งแรกสำหรับงาน Bangkok Design Week ปีแรกที่เจริญกรุงจากผลงานที่เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับย่านผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ แม้จะไม่เคยมีประสบการณ์จัดทัวร์มาก่อน แต่เต้ก็มั่นใจว่าสามารถทำได้และคิดกิมมิกอย่างละเอียด
“ทาง TCDC น่าจะเห็นว่าพวกเราเข้าใจเรื่องย่าน ซึ่งก็จริงเพราะบ้านบีอยู่สี่พระยา เราก็มาแถวนี้บ่อยมาก ถ้าไม่ใช่เราทำแล้วจะใครล่ะ (หัวเราะ) ก็เลยออกแบบทัวร์กันขึ้น ตอนนั้นมีความคิดพิลึกอะไรไม่รู้ว่า ถ้าทำแค่ทัวร์ทั่วไป ใครก็จองทัวร์ไปกับคนอื่นก็ได้ งั้นทำอะไรดีที่ทำให้คนอยากสมัครมาทัวร์กับเรา”

สิ่งที่ทำให้ทัวร์ของ ili ไม่เหมือนใครคือแนวคิดสร้างประสบการณ์ใหม่ในกิจกรรม เช่น การให้ทุกคนปลอมตัวเป็นสายลับและเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวลับ พร้อมทั้งออกแบบเส้นทาง คำใบ้ และแฟ้มข้อมูลที่สร้างบรรยากาศคล้ายกับภารกิจพิเศษในรูปแบบเกมแรลลี่ โดยให้ผู้เข้าร่วมได้มีส่วนร่วมแบบแอ็กทีฟ
เบื้องหลังการคิดกิมมิกเหล่านี้คือเหตุผลที่บีบอกว่ามาจากความถนัดของนักเล่าเรื่อง “ปกติเวลาเดินทัวร์ก็จะมีแค่คนนำทัวร์ถือโทรโข่งใช่ไหม แต่เราเป็นผู้ออกแบบคอนเทนต์ เราก็เลยอยากออกแบบชุดสิ่งพิมพ์ให้เป็นคู่มือในการเดินเที่ยว มีแฟ้ม agent เป็นเอกสารลับ แล้วหลังจากทัวร์นั้นเราก็เหิมเกริมทำทัวร์กันมาเรื่อยๆ ทำกับ Bangkok Design Week บ้าง ทำเองบ้าง”
วิธีคิดของ ili ทำให้แต่ละกิจกรรมเป็นมากกว่าการเดินทัวร์ แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยเชื่อมโยงชุมชนกับผู้คน ตั้งแต่เยี่ยมบ้านเพื่อนในย่านไปจนถึงเดินเที่ยวกับคนแปลกหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่เต้บอกว่าอยากทำเพราะตัวเองก็อยากไปด้วย


“เราชวนคนไปเข้าบ้านคนนั้นคนนี้ ไปที่ที่เราเองก็อยากไป แต่ปกติไม่มีโอกาสได้ไป คือเวลาไปเที่ยวที่ไหน หรือจะไปกินอะไร ปกติมันก็เข้าได้อยู่แล้วใช่ไหม แต่บ้านคนเป็นสิ่งที่เข้าไม่ได้นี่นา เราก็เลยไปเคาะประตูแต่ละบ้านของคนที่อยู่ย่านนั้นว่าขอเข้าไปนะ ใช้ทัวร์เป็นเครื่องมือในการสานสัมพันธ์กับผู้คน ไม่ถนัดชวนคุยแต่ถนัดเข้ามาหาด้วยงาน”
บางไอเดียก็มีที่มาจากปัญหาใกล้ตัวที่บีพบเจอในชีวิตประจำวัน “ตอนที่ออฟฟิศเรามาอยู่ที่ประดิพัทธ์-อารีย์กันแล้ว และอยากสร้างความสนิทกับย่านบ้าง เราก็ไปเจอ pain point ของคนยุคนี้ที่หาเพื่อนใหม่ได้ยากยิ่ง เนื่องจากเราใช้ชีวิตอยู่ในโซเชียลอย่างเดียวและคุยแต่กับเพื่อนที่เรารู้จัก ‘ทัวร์สุ่มสี่สุ่มให้’ เลยเป็นการพาคนออกมาเจอกัน สุ่มเพื่อนให้ไปเดินเล่นด้วยกัน”

ฟีดแบ็กที่น่าชื่นใจคือหลังจบกิจกรรมคือหลายคนกลายเป็นเพื่อนเดินเล่นย่านด้วยกันจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งเปลี่ยนการเดินสำรวจเมืองให้กลายเป็นโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์และสร้างคอมมิวนิตี้ที่แน่นแฟ้นมากขึ้น
“ทุกคนบอกว่ามันบ้าดี ทำอะไรกัน รู้สึกว่าเป็นฟีดแบ็กในแง่ที่ดีว่า การเจอกันกับมนุษย์มันจำเป็นนะ เพราะที่ผ่านมาด้วยการทำงานของเราที่ทำคอนเทนต์หรือทำแพลตฟอร์มออนไลน์เอง มันไม่ค่อยเจอมนุษย์และคุยกันผ่านการกดไลก์กดแชร์”
เต้ยังบอกว่าทุกอีเวนต์ล้วนผ่านการคิดเล็กคิดน้อยมาแล้ว แม้แต่รายละเอียดบางอย่างที่ดูเหมือน ‘ปล่อยเซอร์’ แต่ความจริงคิดรายละเอียดไว้หมดแล้ว อย่าง ‘BARTER SYSTEM FAIR ตลาดนัด-แลก-พบ’ ที่ชวนนำสมบัติสภาพดีประจำบ้านที่ไม่ได้ใช้มาแลกเป็นสมบัติชิ้นใหม่
เบื้องหลังการจัดงานที่ดูเรียบง่ายคือการออกแบบประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดกระจุกกระจิก ตั้งแต่จะแลกของที่มูลค่าต่างกันยังไงไม่ให้ทะเลาะกัน ไปจนถึงจะแลกเปลี่ยนบทสนทนาเรื่องเล่าของสิ่งของยังไงให้สนุกและทำให้ผู้ที่มาแลกของต่างซาบซึ้งถึงคุณค่าของสมบัติเก่าแต่ละชิ้น


ซัพพอร์ตย่านเก่าผ่านห้างซัพสินค้า
การเล่าเรื่องของ ili ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในรูปแบบคอนเทนต์และอีเวนต์ อย่างล่าสุดที่เป็นรูปแบบร้านค้าอย่าง ‘Neighbourmart ห้างซัพสินค้าของคนรักกรุงเทพฯ’ ที่เกิดจากการหยอดไอเดียกันไปมาระหว่างนักเล่าเรื่องที่ชอบเดินเล่นในย่านแล้วฝันอยากเป็นแม่ค้ากับ CEA (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน): Creative Economy Agency) ที่อยากต่อยอดกิจการรุ่นเก๋าอยู่แล้ว
ไอเดียนี้เริ่มจากการสังเกตพฤติกรรมของคนเมืองที่ชอบเดินเล่นและสนใจสินค้าท้องถิ่น แต่ยังขาดพื้นที่ที่รวมสินค้าเหล่านั้นไว้ในที่เดียว จึงเกิดเป็นร้านค้าที่ไม่ได้เป็นเพียงร้านขายของ แต่เป็นแพลตฟอร์มที่เล่าเรื่องราวของเมืองผ่านสินค้า และเปิดตัวครั้งแรกในช่วงงาน Bangkok Design Week ที่ผ่านมา

เต้และบีบอกว่ากว่าจะคัดเลือกแบรนด์มาวางขายใน Neighbourmart ทั้งหมดราว 50-60 แบรนด์ และมีสินค้ามากมายถึงเกือบ 300 รุ่น ต้องผ่านการคิดเล็กคิดน้อยมาเยอะ เพราะต้องคิดถึงภาพสุดท้ายว่าเมื่อชวนแบรนด์ต่างๆ มาวางขายแล้วจะสร้างประโยชน์ให้แบรนด์ได้จริงไหม
วิธีการคัดสรรของดีของย่านหลังร้าน Neighbourmart คือเลือกสินค้าหลากหลายในกรุงเทพฯ มากองรวมกัน กางดูว่าแบรนด์ไหนที่สะท้อนเอกลักษณ์ของกรุงเทพฯ และไม่ได้เป็นเพียงของฝากสำหรับนักท่องเที่ยว แต่เป็นสินค้าที่คนท้องถิ่นก็อยากใช้ ซึ่งเมื่อคัดเลือกมาแล้วก็มีทั้งกลุ่มแบรนด์ Legacy เก่าแก่กว่า 30 ปีขึ้นไปที่มีประวัติศาสตร์และความเป็นออริจินัล และกลุ่ม New Kids ซึ่งเป็นแบรนด์ของคนรุ่นใหม่ที่นำเสนอสินค้าโดยมีเรื่องราวเกี่ยวกับเมือง
ใครที่แวะมาช้อปปิ้งก็จะพบตั้งแต่ซีอิ๊ว ชา น้ำหวาน เสื่อ ยา เก้าอี้ โปสต์การ์ด ฯลฯ และของดีจากทุกพื้นที่ตั้งแต่ตลาดน้อย บางโพ อ่อนนุช รามอินทรา จอมทอง บางรัก เสาชิงช้า เยาวราช โบ๊เบ๊ ฯลฯ






แม่ค้ามือใหม่อย่างเต้บอกว่า “บางแบรนด์ก็มาเข้าร่วมเพราะเอ็นดูเราแหละ เห็นเราดูตั้งใจ ก็อยากช่วย กับบางแบรนด์ก็อยากได้โอกาสใหม่จริงๆ ว่าถ้าลองมาขายที่ร้านเราแล้วจะได้ลูกค้าแบบไหน ก็รู้สึกว่าต้องแบกรับความคาดหวังของแต่ละแบรนด์มาด้วย แต่เป็นความคาดหวังที่เราก็อยากทำให้สำเร็จนะ เพราะเราอยากบอกรักเมือง เราอยากซัพพอร์ตเมือง และเราก็เชื่ออย่างนั้นกันจริงๆ มันก็เลยเป็นความคาดหวังทื่ทำให้ตั้งอกตั้งใจในทุกรายละเอียดของร้าน
ความสำเร็จแรกในบทบาทแม่ค้าครั้งแรกของชาว ili คือการโฟกัสกลุ่มเป้าหมายถูก ทั้งคนรุ่นใหม่ที่ตอนแรกไม่คิดว่าจะสนใจช้อปปิ้งกลับกลายเป็นกลุ่มที่สนใจแบรนด์เก่าแก่เยอะกว่าที่คาดโดยเฉพาะยาดมและลูกอมที่มีแพ็กเกจโบราณ กลุ่มคนที่ตาเป็นประกายเมื่อเห็นแบรนด์ท้องถิ่นวางขายและออกเดินทางมาตามหาซื้อสินค้ารุ่นเก๋าในความทรงจำ รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มองหาสินค้าที่สะท้อนเอกลักษณ์ของกรุงเทพฯ
ความน่าสนุกคือแม้ Neighbourmart จะยังอยู่ในช่วงแผนเริ่มต้นระหว่างเปิดร้านป๊อปอัพที่ TCDC แต่ทีมก็พร้อมวางแผนต่อยอดการเปิดร้านอย่างจริงจังต่อไปในอนาคตแล้ว

อยากอยู่ในเมืองที่เห็นหัวใจกัน
ในเส้นทางการเป็นนักออกแบบคอนเทนต์ในหลากหลายบทบาทตั้งแต่คนทำนิตยสาร คนเขียนหนังสือ นักเขียนฟรีแลนซ์ คนจัดอีเวนต์ จนถึงทำบริษัทของตัวเอง เต้บอกว่าไม่เคยเกิดความรู้สึกเบื่อจนไม่อยากเล่าเรื่องแล้วแม้แต่ครั้งเดียว
ความรักในการเล่าเรื่องที่ซึมซับจนเป็นนิสัยและกลายเป็นงานอดิเรกทำให้เวลาใกล้เบื่อก็กระโดดไปทำสิ่งอื่นที่รู้สึกสนุกและไม่ได้รู้สึกว่ามีช่วงไหนในเส้นทางวิชาชีพที่ทำให้เครียดหรือเบิร์นเอาต์เป็นพิเศษเลย
“เราเป็นคนที่กระโดดออกมาจากความไม่แน่นอนก่อนมันจะเกิดขึ้นตลอดเลย ไม่ได้วางแผนป้องกันหรอก แค่อาจจะโชคดีเช่นว่า พอนิตยสารใกล้จะง่อนแง่น เราก็ดันกระโดดออกมาก่อนเฉยเลย หรือแม้แต่อย่างตอนนี้ ช่วงที่รู้สึกว่าทำคอนเทนต์ออนไลน์เหนื่อยจังเลยหรือเริ่มรู้สึกว่ามันไปยาก เราก็กระโดดออกมาทำอย่างอื่นโดยที่คอนเทนต์ออนไลน์มันก็ยังไปอยู่นะ ก็เลยไม่แน่ใจว่าเราเคยซัฟเฟอร์กับความเดือดร้อนของงานไหม”
บีเสริมว่าการเอาการเล่าเรื่องมาเป็นอาชีพคือสิ่งที่ทำให้หล่อเลี้ยงความมีชีวิตชีวาของตัวเองไว้ได้และทำให้ชีวิตมีสีสัน “เรารู้สึกว่างานคือสิ่งที่ช่วยชีวิตเรามากกว่า เราเลยรู้สึกสนุกกับงาน เวลาชีวิตเจอเรื่องที่เราสับสนหรือเครียด งานไม่ได้พึ่งเราด้วย แต่เรามาพึ่งงาน (หัวเราะ) มันเลยสนุกตลอด แต่ไปเบิร์นเอาต์กับสิ่งอื่นในชีวิตแทน สรุปคือถ้าไม่มีงานเราก็คงเบิร์นเอาต์”
“ก่อนหน้านี้บีลาคลอด ก็อยากให้เพื่อนได้ลาคลอดอย่างสมูท คือหยุดพักไปเลย แต่บีก็กระตือรือร้นอยากทำงาน เราบอกว่าแกลาไปเป็นแม่ก่อนก็ได้ แต่บีก็บอกว่าไม่ได้ เพราะว่างานเป็นสิ่งสำคัญที่เขาจำเป็นต้องมี (หัวเราะ) ซึ่งก็เป็นมุมที่เราไม่เคยคิดไง เพราะชีวิตเรามีงานอย่างเดียว”

เต้เสริมและยังเล่าว่านอกจากงานจะหล่อเลี้ยงจิตใจแล้ว สิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ในบทบาทผู้ร่วมก่อตั้งหญิงของทั้งคู่ราบรื่นคือการคิดเล็กคิดน้อยเรื่องงาน แต่ไม่คิดเล็กคิดน้อยในความสัมพันธ์เพราะไม่มีเวลาคิด
“งานทุกชิ้นตีกันตลอดนะ (หัวเราะ) ความโชคดีคือเราโฟกัสงานกันมากๆ โชคดีมากที่เราเป็นเพื่อนผู้หญิงที่ไม่มีเรื่องคิดเล็กคิดน้อยกัน สามารถโฟกัสที่งาน ทะเลาะกันในงานเสร็จแล้วก็ไปคุยเรื่องอื่นกันได้ต่อ ทั้งๆ ที่เมื่อกี้เพิ่งทะเลาะกันมาเลยนะ”
เมื่ออยู่ในบริษัท เต้มีบทบาทเป็นผู้คุมทิศทางและผู้นำทางจิตวิญญาณที่อ่านขาดเรื่องคน ส่วนบีจะเป็นสายสร้างความสัมพันธ์ คุมระบบระเบียบและวิธีการเดินทางไปยังเป้าหมาย ทำให้ทำงานส่งเสริมกันแบบเข้าขาได้พอดี
เมื่อถามทั้งคู่ถึงอนาคตว่าหากสามารถขอพรต่อจักรวาลให้สังคมพัฒนามากขึ้น กลายเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยความหวังได้ อยากขอพรให้สังคมเป็นแบบไหน และเห็นตัวเองในบทบาทนักเล่าเรื่องที่ช่วยขับเคลื่อนให้ภาพในฝันนั้นเป็นจริงได้ยังไงในจักรวาลแห่งความเป็นจริง
คำตอบที่ได้จากเต้และบีก็สมกับเป็นชาว ili คือ ทำสิ่งที่ทำอยู่แล้ว
ในมุมของเต้คือการเห็นหัวใจในกันและกัน “เรารู้สึกว่าอยากจะเติมเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกัน หมายถึงว่าทุกวันนี้เต็มไปด้วยข้อมูล แต่ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กัน Neighbourmart อาจจะเป็นตัวอย่างหนึ่งว่าเรากำลังสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ สร้างความสัมพันธ์กันระหว่างคนกับเมือง ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตที่ทุกคนในสังคมจะต้องการหรือออกมาเรียกร้องสิ่งนี้
“แต่เราเชื่อว่าถ้ามันมีความกระชุ่มกระชวย ความมีชีวิตชีวาของความสัมพันธ์ เมืองจะน่าอยู่ขึ้น คนจะน่ารักต่อกันมากขึ้น ก็เป็นมุมกระจุกกระจิก แต่เราให้คุณค่ากับสิ่งนี้นะ คือเราอยากให้คนเห็นหัวกันมากขึ้น คือใช้คำนี้อาจจะไม่ค่อยน่ารัก แต่เห็นหัวในที่นี้คือ เห็นหัวใจ มันไม่ใช่เห็นอกเห็นใจ เราว่าสังคมเราเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจแล้ว แต่เราอยากได้ความเข้าอกเข้าใจในมุมของคนนั้นจริงๆ เพิ่ม”
ในมุมของบีก็คล้ายกันคือการสร้างความเท่าเทียมผ่านสายสัมพันธ์ “เมื่อกี้พี่เต้ตอบดีตรงที่ว่าทุกวันนี้มันอยู่เหนือเรื่องความเท่าเทียมทางเพศไปแล้ว มันเป็นการสร้างความสัมพันธ์ของทุกคน เพราะเราไม่ได้อยู่ในองค์กรใหญ่ เราเลยไม่ได้รู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมทางเพศถึงขั้นนั้นในสังคมชีวิตเรา แต่เราจะเห็นความไม่เท่าเทียมอื่นๆ เต็มไปหมด ซึ่งคิดว่าการสร้างความสัมพันธ์อย่างที่พี่เต้บอกมันคือการเห็นซึ่งกันและกัน การถูกเล่า การถูกมองเห็นในมุมของแต่ละคน ซึ่งสิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราพูด มันจะเชื่อมโยงระหว่างกันได้”

เต้ทิ้งท้ายว่าอนาคตของการทำบริษัท ili ที่ทีมแต่ละคนมีความเป็น imperfect activist ไม่ใช่การตั้งวิสัยทัศน์ยิ่งใหญ่ถึงขั้นว่าจะต้องเติบโตไปแบบไหนหรือเปลี่ยนสังคมแบบไหน แต่เป็นการสนุกกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน
“เราพูดเรื่องนี้กันทุกปีเลยว่าเดี๋ยวเราต้องมีวิชชั่น เราต้องมาคุยกันจริงจังนะ (หัวเราะ)
แต่ว่าเราก็ไม่เคยได้คุยเรื่องนี้กันเลย เรามัวแต่โฟกัสว่า แกๆ ติดป้ายนี้ตรงหน้าร้านดีไหม เป็นพวกไม่มองการณ์ไกล แต่การไม่มองการณ์ไกลนี้มันก็พาเรามาในอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน มันก็เลยอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงสามารถที่จะไหลลื่นไปได้ ก็อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ก็ได้มั้ง ไม่ใช่คำตอบที่เท่นะแต่ว่าจริงมากเลย”
ขอขอบคุณรูปภาพกิจกรรมทัวร์และ Neighbourmart จาก ili
MasterPeace ศูนย์บริการสุขภาพจิตที่หวังให้การคุยเรื่องใจเป็น new normal
ในยุคที่โรคซึมเศร้า โรคแพนิก และอีกหลากหลายภาวะทางจิตกลายเป็นท็อปปิกที่คุยกันได้อย่างเปิดเผย สื่อ สำนักพิมพ์ และผู้คนหันมาสื่อสารเรื่องสุขภาพจิตกันมากขึ้น ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่มองว่าใต้ยอดภูเขาน้ำแข็งที่ชื่อว่าจิตวิทยานั้นกลับมีก้อนน้ำแข็งที่ก่อตัวลึกหนา รอให้ลมช่วยกระเทาะ รอให้แสงแดดเจิดจ้าช่วยทำละลาย
ทั้งเรื่องการตีตราคนที่มีปัญหาด้านสุขภาพใจ เรื่องความรักตัวเองที่พูดน่ะง่าย แต่ให้ทำจริงๆ ก็ถือเป็นงานหิน
MasterPeace คือชื่อของกลุ่มที่ว่า กลุ่มคนที่รวมตัวกันเปิดศูนย์บริการสุขภาพจิตเพื่อหวังให้เรื่องสุขภาพใจใกล้ตัวทุกคนมากกว่าเก่า เพื่อให้ระบบนนิเวศของวงการจิตวิทยาของไทยเป็นมิตรกับทุกคนได้มากขึ้น

ความน่าสนใจคือสมาชิกผู้ก่อตั้ง ทั้ง น้ำผึ้ง–กิตินัดดา อิทธิวิทย์, ฝ้าย–กันตพร สวนศิลป์พงศ์, กัญ–วรกัญ รัตนพันธ์ และบีน–ณภัทร สัตยุตม์ ล้วนเป็นนักจิตวิทยาลูกครึ่ง กล่าวคือแต่ละคนเคยทำงานในหลากหลายสาย ทั้งสื่อมวลชน เจ้าของธุรกิจ เภสัชกร นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม ก่อนจะผันตัวมาศึกษาเรื่องใจอย่างลงลึก
ความลูกครึ่งนี้เองที่ทำให้พวกเขาเคยเป็นคนนอกวงการมาก่อนและเห็น pain บางอย่างในแวดวงนี้ที่เชื่อว่าถ้าขยับนิด ปรับหน่อย ก็น่าจะทำให้เรื่องของใจเข้าไปนั่งในใจผู้คนได้กว้างขึ้น ทั้งน่าจะทำให้ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมเข้าใจปัญหาสุขภาพจิตและเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันผลักดันมากกว่านี้
เป็นที่มาของ ‘พาใจกลับบ้าน Homecoming’ พื้นที่เชิงบำบัดที่พาเราไปพัก ละทิ้งบางอย่าง และโอบกอดตัวเองมากยิ่งขึ้น หรือจะเป็น ‘See the Unseen, เห็นกาย สัมผัสใจ’ นิทรรศการศิลปะแบบ experiential design ที่ถ่ายทอดประสบการณ์จริงของการถูก ‘ตีตรา’ ทางสุขภาพจิต รวมถึงโปรเจกต์มากมายที่ทำร่วมกับภาครัฐและเอกชน
คีย์สำคัญของ MasterPeace ยังคือการพยายามสื่อสารเรื่องราวเหล่านี้อย่าง ‘สร้างสรรค์’ อยู่ภายใต้ ‘จรรยาบรรณ’ และมอบ ‘ความหวัง’ ในการมีชีวิตอยู่ให้ผู้คนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะเชื่อว่าสุดท้ายปลายทาง การจะถูกวินิจฉัยว่าเป็นหรือไม่เป็นโรคอะไรนั้น ไม่สำคัญเท่ากับว่าคนคนนั้นมีหวัง มีทางเลือก หรือทางออกในชีวิตหรือไม่
เช่นเดียวกับที่ฝ้ายบอกว่า “ณ วันที่เข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ โห สีของโลกมันเปลี่ยนไปเลยจริงๆ เราจะรู้สึกว่าชีวิตน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ แล้วเราจะเห็นว่ามันยังมีตัวช่วยอีกเยอะมาก หรือแม้กระทั่งเราก็คือตัวช่วยของเราเองเหมือนกัน”
บ่ายแก่วันหนึ่ง เรานัดสนทนากับฝ้ายและน้ำผึ้งถึงเรื่องราวการเคี่ยวกรำให้ MasterPeace เป็นอีกหนึ่งความหวังในการหาความสงบสุขทางใจของใครอีกหลายคน ขณะเดียวกันก็ยังตอบโจทย์ผู้คนในแวดวงและเติบโตได้อย่างยั่งยืน

Mastering the Unspoken Pain
“แทนที่จะปล่อยให้เป็นไข้ เชื้อลงปอด เรามาดูแลกันตั้งแต่เริ่มเป็นหวัดน้อยๆ เพื่อจะได้กลับมาเฮลตี้ได้เร็วขึ้น”
ย้อนกลับไป คุณเห็นอะไรในแวดวงสุขภาพจิตบ้านเรา ถึงคิดอยากทำ MasterPeace ขึ้นมา
น้ำผึ้ง : เราเห็นว่าคลินิกหรือศูนย์บำบัดมีเยอะเลยนะ คนที่อยากเข้ารับบริการก็เยอะ โรงพยาบาลรัฐเอย คลินิกเอกชนเอย ก็ประชาสัมพันธ์ ทำบทความออกมาเต็มที่ แต่อะไรที่ทำให้ 2 อย่างไม่มาเจอกัน คนอีกส่วนเยอะมากๆ ก็ยังไม่อยากรับบริการเหล่านี้ หรือกลุ่มคนที่อยากเข้าถึงก็เข้าไม่ถึง เราสงสัยว่ามันติดขัดที่อะไร
ค่าบริการสูงไปใช่ไหม สื่อประชาสัมพันธ์มันแห้งแล้งเหรอ หรือว่ามันวิชาการไป แล้วถ้าเราเอา creativity ไปเสริม มันน่าจะเป็นอีกเซอร์วิสที่ทำให้คนรู้จักและเข้าถึงจิตวิทยามากขึ้นไหม
ฝ้าย : ในวงการที่ทำงานกันอยู่ไม่ได้มีปัญหาอะไรนะ ส่วนใหญ่ทุกคนทำงานกันตามหลักการและมาตรฐาน แต่พอพวกเรามาจากสายอื่นๆ กันหมด มันอาจจะมีบางมุมที่เราอยากทดลองในท่าทีใหม่ๆ เช่น เราเองมาจากฝั่งสื่อก็จะรู้สึกว่า เนื้อหาอันนี้ดูน่าสนุกจัง เนื้อหาอันนั้นมันเซ็กซี่จัง ถ้าสื่อสารออกมาอีกแบบมันจะดีมากเลยนะ
เหมือนมันเป็นสันดานที่เจออะไรดีๆ ก็อยากบอกต่อ

พอขุดลึกลงไป พวกคุณเจอสาเหตุเหล่านั้นจริงๆ ไหม
น้ำผึ้ง : มันอาจจะไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงก็ได้ แต่สิ่งที่เราตกตะกอนได้อย่างแรก มันคือเรื่องการสื่อสารที่บางครั้งผู้คนหรือสื่อทำบทความสื่อสารเรื่องจิตวิทยาออกมา เช่น โรคนั้นโรคนี้มีอาการยังไง คุณอาจจะเป็นแล้วนะ อะไรแบบนี้
ถามว่ามันดีไหม มันดีกับคนที่กำลังแสวงหาคำตอบ แต่พอมันไม่ได้บอกทางออกว่าเราต้องทำยังไงต่อ ต้องไปหาจิตแพทย์ไหม มันสร้างความกลัว อาจเหมือน label แปะป้ายคนไปอีกระดับหนึ่ง เราเลยมองว่าการสื่อสารเรื่องพวกนี้มันต้องเป็นการสื่อสารเชิงบวกที่ทำให้คนรู้ว่าสุดท้ายเขายังมีทางเลือกในชีวิตนะ ไม่ได้บอกว่ามันต้องมี how-to แต่มันต้องมี hope บางอย่าง
อย่างที่ 2 เรามองว่าจริงๆ แล้ว ถ้าภาคเอกชนได้รู้ว่าปัญหาเหล่านี้มันใหญ่แค่ไหน เขาสนใจและสามารถเป็นอีก stakeholder หนึ่งของสังคมที่จะมาช่วยขยับผ่านการทำโครงการหรือ CSR เพื่อลดการตีตราและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตได้ แต่คำถามคือ มันมีใครได้เข้าไปเวิร์กกับเอกชน เปิดข้อมูลให้เขาเห็น pain point แบบที่จิตแพทย์และนักจิตฯ เห็นไหม ซึ่งตอนนี้ก็มีนะ แต่น้อยมากจริงๆ

แล้วคุณมองว่า MasterPeace จะเข้าไปอยู่ตรงไหนในห่วงโซ่นี้
น้ำผึ้ง : เราไม่ได้อยากจะทำทุกอย่างตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ พูดตรงๆ เรารู้สึกว่าวงการนี้จะไปได้ เราต้องขยับไปพร้อมกัน อย่างที่จริงรัฐมีโครงการที่ให้คนได้เจอนักจิตวิทยาและนักจิตบำบัดฟรีๆ แต่คนทั่วไปแทบไม่รู้ คำถามคือ MasterPeace ทำยังไงได้บ้าง ให้คนได้รู้ว่ามันมีบริการตรงนี้ ซึ่งต้องไม่เป็นการบอกโท่งๆ แต่เราสอดแทรกให้การประชาสัมพันธ์เป็นส่วนหนึ่งของงานเรา
ฝ้าย : ตอนแรกเราเลยกระเทาะกันเลยว่านอกจากสกิลบำบัด พวกเรามีสกิลอะไรกันบ้าง ซึ่งงานชิ้นแรกๆ ของ MasterPeace คือการเขียนคอลัมน์ Peace of Mine ลง a day กลายเป็นว่ามีคนตามอ่านเยอะ และได้ฟีดแบ็กเยอะมาก
น้ำผึ้ง : เราเห็นคอมเมนต์ว่าบางคนติดทั้งทุนทรัพย์ บางคนติดเรื่องเวลา บางคนติดเรื่องการตีตรา เขาจึงไม่สามารถเข้ารับบริการทางจิตวิทยาได้ มันทำให้เราเกิดคำถามตั้งต้นที่ทำให้ MasterPeace เป็น MasterPeace แบบทุกวันนี้ นั่นคืองานฝั่งบำบัด ซ่อมแซมหัวใจคน นั่งคุย counseling ในห้องมันสำคัญนะ เเต่งานฝั่งส่งเสริมป้องกันอย่างการทำบทความหรือพ็อดแคสต์ สร้างสื่อแบ่งปันความรู้เรื่องจิตวิทยา หรือพัฒนาพื้นที่และเครื่องมือดูแลใจเบื้องต้นออกไปก็น่าจะสำคัญไม่แพ้กัน เพราะมันไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าสู่การบำบัดได้
ฝ้าย : เปรียบให้เข้าใจ แทนที่จะปล่อยให้เป็นไข้ เชื้อลงปอด เรามาดูแลกันตั้งแต่คุณเริ่มเป็นหวัดน้อยๆ เพื่อที่คุณจะได้กลับมาเฮลตี้ได้เร็วขึ้น
น้ำผึ้ง : หรือจริงๆ ยังไม่ต้องรอเป็นหวัดเลยก็ได้ แค่ต้องออกกำลังกายใจให้เป็น

Mastering the Healing Path
“เหมือนเราเป็นเพื่อนเขาที่มีอาชีพเป็นนักจิตฯ เฉยๆ แล้วเพื่อนคนนี้ก็แค่มาแบ่งปันสิ่งที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์ แล้วถ้าเกิดจังหวะชีวิตมีปัญหา อยากให้นึกถึงเพื่อนคนนี้”
อย่างนั้นคุณนิยาม MasterPeace ว่าเป็นอะไร หรือทำงานอะไร
น้ำผึ้ง : เราเป็นศูนย์บริการด้านสุขภาพจิต ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมป้องกันด้านสุขภาพใจในทุกรูปแบบ (mental health promotion and prevention)
ฝ้าย : เหมือนเราเป็นสะพานระหว่างผู้ให้บริการกับผู้รับบริการ โดยที่สะพานนี้ก็ต้องเป็นสะพานที่น่าเดิน สวยงาม ซึ่งเราจะแบ่งออกเป็น 3 division ซึ่ง division แรกคือ creative mental health communication หรือสร้างสรรค์สื่อเชิงจิตวิทยา division ที่ 2 คืองานเชิงรุกเพื่อส่งเสริมป้องกันสุขภาพใจในองค์กร และ division สุดท้ายคืองานนวัตกรรมสุขภาพจิต
ใน division แรก เราเป็นคนดูแลเนื่องจากเราเคยทำงานเป็นสื่อมาก่อนเนาะ motto เล่นๆ ของขานี้คือเราอยากเป็น friendly creative psychological mind เริ่มจาก friendly เราอยากคุยกับคนเหมือนเพื่อนคุยกัน, creative หมายถึงว่าเราอยากเอาศิลปะหรือสิ่งต่างๆ มาสื่อสารเรื่องจิตวิทยาในท่าทีใหม่ ส่วน psychological mind คือเราคำนึงถึงเรื่องจิตใจเป็นหลัก

หมายถึง MasterPeace ก็เป็นสื่ออีกเจ้าหนึ่งเหรอ
ฝ้าย : ทั้งเราค่อยๆ ทำเองไปด้วย ทั้งไปคอลแล็บกับสื่ออื่นด้วย เพื่อสื่อสารให้สังคมได้เข้าใจว่าจักรวาลแห่งสุขภาพจิตมีอะไรมากมายที่เขายังไม่รู้ และถ้าเขาได้รู้แล้วเข้าใจ เขาอาจจะโอบรับคนรอบข้างได้มากขึ้น
แต่นอกจากนั้นก็จะมีช่วยงานแคมเปญโฆษณาและ CSR ของลูกค้าองค์กรด้วย
ล่าสุดจะเป็นงาน Mazda Joy Drives Lives ที่ทางเอเจนซี Inside the Sandbox มาชวนทำด้วยกัน ทาง Mazda เขาอยากเป็นแบรนด์ที่ทำให้คนกลับมาเห็นความสุขในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น ผ่านมุมมองจิตวิทยาเชิงบวก
ถ้าเราสวมหมวกนักจิตวิทยา คำถามคือเราจะทำยังไงให้คนเข้าใจเรื่องความสุขแบบที่มันจับต้องได้ เอาไปปรับใช้ได้ ในหมวกเอเจนซีมันก็ยังต้องสร้างสรรค์และตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า
เหมือนต้องหาจุดตรงกลางระหว่างกัน
ฝ้าย : ใช่ เราก็หาตรงกลางที่ทุกคน win-win คนทั่วไปที่เป็นผู้รับสารได้ประโยชน์ ภาคเอกชนที่อยากพูดเรื่องนี้ก็ได้พูดออกไปโดยไม่เคอะเขินและยังช่วยสังคมได้ ที่สำคัญและเป็นแก่นของงานทุกชิ้น คือเราไม่อยากสื่อภาพนักจิตหรือผู้รู้มาสั่งสอน แต่คือเหมือนเราเป็นเพื่อนเขาที่มีอาชีพนักจิตเฉยๆ แล้วเพื่อนคนนี้ก็แค่มาแบ่งปันสิ่งที่คิดว่ามันน่าจะมีประโยชน์กับเขา
แล้วถ้าเกิดว่าจังหวะชีวิตมีปัญหา อยากให้นึกถึงเพื่อนคนนี้


“พนักงานไม่ได้มีหน้าที่ทำงานอย่างเดียว เขายังมีชีวิตที่บ้าน มีชีวิตของเขา องค์กรไหนจะไปได้ไกลก็อยู่ที่จิตใจพนักงานด้วยนะ”
นอกจากการทำสื่อให้คนทั่วไป คุณเห็นอะไรในองค์กรต่างๆ จึงกระเทาะออกมาเป็น division ที่ 2
น้ำผึ้ง : บางองค์กรมีพนักงานสามสี่พันคนบ้าง ห้าพันคนบ้าง บางแห่งมีทั้งส่วนของบริษัทและโรงงาน การที่เขาจะต้องดูแลคนทั้งหมด เรามองว่ามันก็ต้องมีเครื่องมือบางอย่างซึ่งไม่ได้แก้แค่ปัญหาสุขภาพจิตอย่างเดียว แต่ไปส่งเสริมพวก wellbeing ด้วย
หรือแม้กระทั่งว่าบางที่เขามีสวัสดิการดูแลใจดีมากเลย แต่พนักงานไม่ใช้ ปัญหามันเกิดจากอะไร หรือที่ทำงานยังมีความเป็น safe space พอไหม งานพวกเราเข้าไปทำให้ environment มันดีขึ้นมา เพื่อให้ HR ได้ดูแลใจพนักงาน แล้ว HR ก็จะได้ดูแลใจ HR เองด้วย
ดังนั้น division ที่ 2 มันจึงคือการทำงานส่งเสริมป้องกันเชิงรุกในองค์กร ผ่านการเวิร์กช็อป หรือการทำเครื่องมือเล็กๆ ให้องค์กร พัฒนาและวางระบบบางอย่างเอาไว้ซัพพอร์ตทีม HR อีกทีหนึ่ง
ทำไมคุณถึงมองว่าการทำงานกับองค์กรเป็นเรื่องสำคัญ
น้ำผึ้ง : หลายที่คนลาออกค่อนข้างเยอะหลังโควิด ถ้าเขาลงทุนกับการดูแลจิตใจพนักงาน ปัญหานี้อาจจะลดลงไปได้ เขาไม่ต้องเสียเงินซ้ำๆ ในการ recruit คนใหม่ องค์กรไหนที่รู้สึกว่ามันคุ้มค่าที่จะลงทุนกับการดูแลใจพนักงาน หลายที่เลยที่อัตรา turnover ลดลงไปเลย
เพราะฉะนั้น เรามองว่าใจพนักงานสำคัญมาก พนักงานไม่ได้มีหน้าที่ในการทำงานอย่างเดียว เขายังมีชีวิตที่บ้าน มีชีวิตของเขา ถ้าองค์กรไหนจะไปได้ไกลก็อยู่ที่จิตใจพนักงานด้วยนะ


“มันคือการสร้างทุ่นพักใจที่ถ้าสุดท้ายเขาไม่ไหว
เขาจะไปหาความช่วยเหลือจากที่ไหนได้บ้าง”
แล้วงานนิทรรศการ See, the Unseen หรือ HOMECOMING ที่คุณทำทุกปีนับเป็นงานลักษณะไหน
น้ำผึ้ง : เป็น division ที่ 3 เรียกว่างาน innovation หรืองานนวัตกรรมด้านสุขภาพจิต มันเป็นการนําจิตวิทยาไป blend กับ digital technology งานศิลปะเชิง experiential design หรือ installation art เพื่อสื่อเรื่องสุขภาพจิตออกไปในรูปแบบใหม่ๆ ในพื้นที่ใหม่ๆ
ทำไมงานจิตวิทยาต้องใช้ innovation
น้ำผึ้ง : งานนวัตกรรมมันช่วยทลายข้อจำกัด ช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างในช่วงที่คนกำลังรอเข้าบริการ บุคลากรไม่พอ เพราะประเทศไทยนักจิตฯ ต่อผู้รับบริการ 1 : 100,000 ปัญหามันค่อนข้างติดที่คอขวด เครื่องมือพวกนี้อย่างน้อยมันเหมือนเป็นเพื่อนที่ทำให้เขามีความหวังกับชีวิตอยู่
แล้วมันไม่ใช่แบบแค่ความหวัง แต่มันไปเติม mental health literacy หรือความรู้ทางจิตวิทยาบางอย่างซึ่งเหมือนเป็นเครื่องมือเสริมภูมิคุ้มกันใจให้เขาอยู่กับปัญหานั้นได้ดีขึ้น ในจังหวะที่ดูเหมือนไม่มีอะไรให้ฉันเลือกแล้ว งานเหล่านี้ที่เราพยายามทำมันทำให้เขาเห็นว่าเขายังมีสิทธิ์เลือกนะว่าจะรับมือเบื้องต้นยังไง ฉันจะทำอันนี้ ไม่ทำอันนั้น
ฝ้าย : เราว่าสุดท้ายมันยังกลับมาที่เรื่องเดิมว่าทำไงให้จิตวิทยามันไปได้ไกลขึ้น คำว่าไกลขึ้นในที่นี้ เราว่าถ้ามันมีของเล่นใหม่เราก็ต้องลองเล่น เพราะมันอาจจะเป็นมากกว่าของเล่นก็ได้ถ้าเราดีไซน์บางอย่างลงไป

แล้วจิตวิทยาจะรวมกับ innovation ได้ยังไง ให้มันยังสมดุล เข้าถึงได้ และยังปลอดภัยกับคนด้วย
ฝ้าย : แทนที่เขาจะต้องอ่านหนังสือเพื่อหาคำตอบว่าตัวเองเป็นอะไร ต้องทำยังไง แล้วเขาไม่เข้าใจ แล้วเขาก็แค่ปิดมันไป เราว่างาน innovation มันเหมือนเราต้องคิดระบบเล็กๆ ขึ้นมาเพื่อให้คนได้ผ่านกระบวนการเบื้องต้น เช่น ถ้าเขาเข้าไปในงาน แล้วค่อยๆ เดินไปตามเส้นทางที่เราออกแบบ แล้วเขาก็จะได้รู้สึกว่ามันมีตัวช่วยแบบไม่ต้องพยายามกับเรื่องยากๆ อยู่คนเดียว
น้ำผึ้ง : จริงๆ ตอนนี้เรามีส่วนที่เป็นที่ปรึกษาเพื่อร่วมพัฒนาเว็บแอพพลิเคชั่น และเครื่องมือที่ใช้ Gen AI ช่วยประเมินหรือพูดคุยสำรวจใจเบื้องต้น ส่วนใหญ่จะทำงานกับทั้งภาครัฐและเอกชน ส่วนแบบที่ 2 คือร่วมออกแบบพื้นที่หรือนิทรรศการ อย่าง See, the Unseen หรือ HOMECOMING นั่นแหละ
ขอยกตัวอย่าง HOMECOMING หรือพาใจกลับบ้านซึ่งเราทำร่วมกับทีม Eyedropper Fill เข้าปีที่ 3 แล้วและงานมันพัฒนามาจากปีแรกค่อนข้างเยอะ แต่แก่นของงานยังเหมือนเดิมคือเราอยากให้คนมีพื้นที่ที่ได้มาสำรวจใจ พื้นที่ที่คนได้เข้ามาแล้วได้พัก แต่คำว่าพักของแต่ละคนคืออะไร พักแต่ปัญหายังอยู่แล้วออกไปก็ยังต้องแบกต่อ หรือมันคือพักแล้วได้ทบทวนชีวิตจริงๆ โดยไม่รู้สึกโดดเดี่ยว
เพราะจริงๆ ทาร์เก็ตของ HOMECOMING มันทำเพื่อคนเมืองเจนฯ Y เพราะตามรีเสิร์ชแล้วคนกลุ่มนี้เป็น sandwich generation เราแบกอะไรเยอะมาก เราไม่ได้เป็นแค่คนวัยทำงาน แต่เรายังเป็นสามีภรรยาที่ต้องรับผิดชอบครอบครัว เป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่ที่แก่ชรา เป็นพนักงานในองค์กร หรือเป็นเจ้านายที่ต้องดูแลลูกน้อง มันมี invisible burden เยอะมาก
ถามว่าส่วนใหญ่มีเวลาได้มาทบทวนใจตัวเองไหม แทบจะไม่มีนะ เหมือนถ้าหยุดพัก มันจะเป็นความ anxious ที่เขาจะรู้สึกว่ากำลังจะพลาด อีก insight ที่เราได้ คือคนวัยนี้รู้สึกว่าดีไม่พอ แต่พื้นที่ตรงนี้จะชวนทุกคนมาพักและชะลอความคิดแล้วดูว่าแท้จริงแล้วมันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า หรือแท้จริงแล้วทุกคนดีพอ แค่ปัจจัยภายนอกหรือสิ่งที่มันเกิดขึ้นในสังคมกำลังบีบคั้นเราเท่านั้นเอง
สุดท้ายถ้าเรารู้ว่าเรากำลังอยู่บนเลนของตัวเอง เราวิ่งตาม pace ของตัวเองได้ไหม แล้วถ้ามันได้แต่มันยังเหนื่อย หรือเรายังอยากได้ความช่วยเหลือ เขาจะไปหาได้ที่ไหนบ้าง อย่างงานนี้ ooca ก็เข้ามาช่วยดูเรื่อง counseling service ที่ถ้าเขาอยากเข้าสู่บริการ ก็จะมี free session ให้คนได้เข้าไปลองปรึกษา

สุดท้ายแล้วหัวใจสำคัญคือการส่งต่อ hope
น้ำผึ้ง : เรามองว่างานนวัตกรรมมันไม่ใช่แค่เขามาเล่นเว็บแอพฯ เพื่อหาเพื่อนคุยในวันที่รู้สึกมืดมน หรือมันไม่ใช่แค่นิทรรศการเพื่อคอนเทนต์แล้วจบ แต่มันคือการสร้างความตระหนักรู้และทุ่นพักใจที่ถ้าสุดท้ายถ้าเขาไม่ไหว เขาจะไปหาความช่วยเหลือจากที่ไหน
เช่น คณะจิตวิทยาของจุฬาฯ ก็มี Here 2 Heal แพลตฟอร์ม chat-base ที่คุยกับนักจิตฯ ได้ฟรี หรือถ้าเป็นเด็กและเยาวชน เราก็อาจจะแนะนําไปที่ Wall of Sharing ของ ooca มูลนิธิกำแพงพักใจที่ทำร่วมกับสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์
ฝ้าย : จริงๆ เพิ่งเห็นฟีดแบ็กงาน See, the Unseen มันมีคำถามที่ถามผู้เข้าร่วมว่ามางานนี้แล้วคุณเกิดการเปลี่ยนแปลงความคิดความรู้สึกบ้างไหม มีคนหนึ่งเขียนว่า ‘อยากตายน้อยลง’ เรารู้สึกแบบ โอเคแล้วเว้ย โอเคแล้ว

“ไม่ใช่ว่าเราอยากให้อะไร
แต่สำคัญคือเขากำลังอยากได้อะไร”
MasterPeace ทำทั้งหมดนี้กันเองเหรอ
น้ำผึ้ง : จริงๆ เราทำงานกันเป็นภาคีร่วมกับพาร์ตเนอร์ต่างๆ นะ เพราะ MasterPeace มองว่าสุขภาพจิตมันไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียว มันเป็นเรื่องทุกคน แล้วการที่จะ combat เรื่องนี้ในสังคมให้มันดีขึ้น ให้ stigma ลดลง มันต้องทำงานด้วยหลักคิดเชิงระบบ stakeholder ทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกจริงๆ
การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกหมายความว่าอะไร
น้ำผึ้ง : คือจะทำยังไงให้เรายกระดับเรื่องสุขภาพจิตได้ครบทุกมิติ ทั้งเรื่องส่งเสริมป้องกัน บำบัดฟื้นฟู โดยที่ยังอยู่บนความปลอดภัยและความยั่งยืน ซึ่งถ้าเราจะทำให้มันยั่งยืน เราต้องไม่คิดแค่เวิร์กช็อปหรือนิทรรศการแล้วจบ แต่คือทุกฝ่าย ทั้งนักจิตวิทยา ทั้งดีไซเนอร์ เอเจนซี นักการตลาด ช่วยกันคิดเพื่อให้โปรเจกต์หรือสิ่งที่เราต้องการสื่อมันกลมกล่อม แล้วมันยังถูกต้องตามหลักการจิตวิทยา แล้วมันไปได้ไกล ช่วยแก้ปัญหาในระยะยาวจริงๆ
ฝ้าย : จริงๆ พวกเราก็มีความเป็นเอเจนซีที่รับบรีฟลูกค้าประมาณหนึ่ง แต่เราว่ามันเป็นสมการที่ดีตรงที่ พอมันมีความเอเจนซีหรือความต้องคิดถึงคนรับสาร เราต้องคิดจากอินไซต์ก่อน สมมติจะทำโฆษณา เราก็ต้องดูกลุ่มลูกค้า คัดกรองว่าอะไรน่าจะเหมาะสม มีประสิทธิภาพ ไม่ได้คิดแค่ว่า อ๋อ อยากรู้เรื่องความสุขใช่ไหมคะ เรามี 7 หลักการนะคะ 1 2 3 4
น้ำผึ้ง : ไม่ใช่ว่าเราอยากให้อะไร แต่สำคัญคือเขากำลังอยากได้อะไรในเรื่องของสุขภาพจิต

แต่การจะรู้ความต้องการทางจิตใจของคนไม่ใช่เรี่องง่าย
น้ำผึ้ง : ใช่ มันเลยเป็นจุดตั้งต้นของงาน MasterPeace ทุกชิ้นว่าเราจะเริ่มต้นด้วย data insight เพราะเรามองว่าภายใต้ตัวเลขเหล่านี้ เราอาจจะได้ยินความรู้สึกเขา เห็นสิ่งที่เขาอยากจะบอกหรือเขาต้องการ
อย่างงานเว็บแอพฯ งานหนึ่งที่ร่วมทำกับเอเจนซี Glow Story และภาคเอกชน เราก็เก็บข้อมูลได้ราวแสนคน จากนั้นเราก็มาวิเคราะห์และสรุปกัน ตรงนั้นแหละเราจะรู้เลยว่ามันไปถึงใจเขาไหม สิ่งที่เขาต้องการส่งเสียงเพื่อให้เราได้ยินคืออะไร และเราควรพัฒนางานต่อไปในทิศทางไหน
จากการทำงานที่ผ่านมา คุณคิดว่าความท้าทายของการทำ MasterPeace คืออะไร
น้ำผึ้ง : ทุกอย่างมันละเอียดอ่อนอะ เพราะมันเป็นการทำงานกับมนุษย์ เราเลยต้องดูทุกจุดให้มันเป็นมิตร ปลอดภัย และยังอยู่ในจรรยาบรรณ
ฝ้าย : เราว่าความยากอีกอย่างหนึ่งคือจะหาจุดที่มันพอดีในการสื่อสารเจอได้ยังไง สมมติถ้ามันเป็นแบบกาแฟแก้วหนึ่งอะ ความขมที่เท่าไหร่ที่คนยังรับได้ ขมมากกว่านี้เขาอาจจะปาแก้วทิ้ง แต่ถ้ามันไม่ขมเลยมันไม่เป็นกาแฟว่ะ
คือก่อนหน้านี้คนไทยอาจจะไม่คุ้นเคยกับเรื่องสุขภาพจิต ช่วงแรกๆ เราอาจจะสื่อสารในทางที่มันละมุนละม่อมได้ แต่ตอนนี้คนเริ่มเข้าใจมากขึ้นละ และเขามีความอยากจะรู้ อยากจะเข้าใจมากขึ้น เราก็ต้องเข้มข้นขึ้น ไม่อย่างนั้นคนอาจจะรู้สึกว่าพูดเรื่องนี้อีกแล้ว โลกสวยหรือเปล่า
แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าแบบไหนมันพอดี
น้ำผึ้ง : เราว่ามันกลับมาเรื่องการให้ค่ากับการทำงานข้ามศาสตร์แหละ มันทำให้งานออกมากลมกล่อมมากขึ้นได้ อย่างดีไซเนอร์ก็จะบอกเราได้ว่า ไอ้ตรงนี้มันเข้มไป เราก็ต้องมาชั่งน้ำหนักว่า คำว่าเข้มไปของเขามันเพราะอะไร เพราะว่าเราอยากจะ deliver ความเป็นจิตวิทยาแบบวิชาการเข้าไปมากหรือเปล่า

Mastering the Hope of Peace
“เราไม่ได้คิดแค่ว่าเราอยากจะส่งมอบคุณค่าอะไรให้ผู้รับบริการ ขณะเดียวกันเรายังส่งมอบคุณค่าบางอย่างให้วิชาชีพนี้ด้วย”
ยากไหม กับการที่นักจิตวิทยาต้องมาสวมหมวกผู้ประกอบการ
น้ำผึ้ง : มันก็หนักอยู่เหมือนกัน อย่างที่บอกว่าเรามีความเหมือนเป็นเอเจนซี ทีมรีเสิร์ชต้องคิดภาพใหญ่ว่าโปรเจกต์นี้ลูกค้าบรีฟมาอย่างนี้ แต่ถ้าเราอยากให้มันสื่อสารไปถึงผู้คนได้จริงๆ แล้วแบรนด์ก็ยังได้ภาพลักษณ์ที่ดี ช่วยขับเคลื่อนประเด็นสุขภาพจิตไปด้วย พวกเรานักจิตก็ต้องสวมหมวกด้าน strategic & business development นิดหนึ่งว่าเราเห็นปัญหาอะไร เพื่ออธิบายให้แบรนด์เห็นภาพใหญ่ แล้วดูว่าเขาพร้อมจะเห็นแบบเราไหม พร้อมจะเป็นกระบอกเสียงหรือสนับสนุนเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน แล้วก็คุยเพื่อปรับบรีฟ
โดยรวมเราเลยคิดว่า ทั้งการเป็นนักจิตวิทยา การเป็นผู้ประกอบการ หรือในฐานะมนุษยย์คนหนึ่ง ในโลก ณ ตอนนี้ที่มีความเปลี่ยนแปลงเยอะ เราต้องมีความล้มแล้วลุกได้ หรือความยืดหยุ่นที่ปรับเปลี่ยนตัวเองไปกับ pace ของโลกได้ มันจะทำให้เราอยู่ได้นิ่งขึ้น ยืนระยะได้มั่นคงขึ้น
ฝ้าย : สำหรับเรา ที่ข้ามจากการเป็นพนักงานเงินเดือนและนักจิตวิทยามาทำธุรกิจ เราว่ามันต้อง develop mindset ใหม่ คือเราต้องหัดเลี้ยงดูนิติบุคคลคนนี้ให้เขาโตได้ หมายความว่าเราต้องยืนหยัดในคุณค่าของสิ่งที่เราทำ แล้วก็ปกป้องคุณค่าบางอย่างในงานไว้ให้ได้ เพื่อที่มันจะได้ยั่งยืนในทางการเลี้ยงชีพของตัวเราเองด้วย ไม่งั้นเราก็จะตายลงไป แล้วสุดท้าย MasterPeace ก็ไปต่อไม่ได้
อะไรคือคุณค่าที่ MasterPeace ยึดถือ
น้ำผึ้ง : พวกเรามีหลักในใจอยู่ 6 ข้อ หนึ่งในนั้นคือ compassion และ sustainability คือเราไม่ได้คิดแค่ว่าเราอยากจะส่งมอบคุณค่าอะไรให้ผู้รับบริการ ขณะเดียวกันเรายังส่งมอบคุณค่าบางอย่างให้วิชาชีพนี้ด้วย เราอยากจะยกระดับคุณภาพชีวิตของนักจิตฯ ที่มาทำงานกับเรา เวลาเราจะมีสักโปรเจกต์ เราต้องบาลานซ์ว่าจะทำยังไงให้ลูกค้าเองก็ยังได้งานที่มีคุณค่า ที่สำคัญคือนักจิตฯ ที่เราชวนมาทำงานด้วยก็ต้องได้รับค่าตอบแทนที่มันคุ้มค่า เพราะสุดท้ายเขาก็ต้องหล่อเลี้ยงชีวิตตัวเองและครอบครัวด้วย
ในฐานะผู้ประกอบการ เราต้องคิดภาพใหญ่มาก คิดแทนทั้งนักจิตวิทยา คิดแทนกลุ่มเป้าหมาย คิดแทนลูกค้าและสังคมด้วย มันคือคำว่า ‘beyond self’ คือมองให้ไกลกว่าแค่ตัวเรา

“เราอยากให้เรื่อง self-love หรือเรื่องทางใจเข้าไปอยู่ใน being ของเขา
ให้มันอยู่ในเนื้อในตัวเขาผ่านชีวิตประจำวันจริงๆ”
แล้วในฐานะมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง พวกคุณหวังอยากเห็นภาพแบบไหนในเรื่องสุขภาพจิตของไทย
น้ำผึ้ง : เราหวังให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันมากกว่านี้ เพราะถ้าจะทำให้เรื่องนี้มัน effective จริงๆ เราต้องอาศัยอีกหลายแรงในการผลักดันร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของระบบบริการสุขภาพจิต มันจะยั่งยืนได้อีกมาก ถ้าเรามองว่าเราเป็นเพื่อนร่วมทางที่กำลังช่วยกันแก้ปัญหาอยู่นะ
ฝ้าย : เราคงอยากให้เรื่องใจมันเป็นเรื่องที่ neutral กับทุกๆ คน ไม่ว่าคุณจะเป็นเพศอะไรก็ตาม หรือคุณจะอยู่ในบทบาทไหน อยากให้เรื่องของใจมันคุยกันได้ เซ็กซี่ สนุก ดูเป็นเรื่องของคนฉลาดทางอารมณ์ ไม่ใช่เรื่องน่ากระดากอาย
ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่าเราอยากคุยกันเรื่องการ ‘รักตัวเอง’ แล้วคนไม่งง ตอนนี้ไม่ใช่ว่าคนที่ไม่เข้าใจคือเขาไม่อยากเข้าใจ แต่เราว่ามันโดน shape จากหลายอย่างหรือเจอข้อจำกัดจนทำให้คนรู้สึกว่าใจเป็นเรื่องยาก ใจเป็นเรื่องของคนอ่อนแอ เพราะสำหรับเรา การพูดถึงเรื่องใจอย่างเผชิญหน้าและตรงไปตรงมามันคือความแข็งแรงและแข็งแกร่ง
ไม่ใช่ว่าเรื่องใจเป็นเรื่องของคนโลกสวยอย่างเดียว
ฝ้าย : เราคือคนหนึ่งนะที่ลงไปจนถึงจุดที่มันมืดแล้วกลับขึ้นมาได้ จากที่รู้สึกว่า เออ กูไม่อยากอยู่ไปจนแก่ตายว่ะ ณ วันที่เข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ โห สีของโลกมันเปลี่ยนไปเลยจริงๆ เราจะรู้สึกว่าชีวิตน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ แล้วเราจะเห็นว่ามันยังมีตัวช่วยอีกเยอะมาก หรือแม้กระทั่งเราก็คือตัวช่วยของเราเองเหมือนกัน
น้ำผึ้ง : เราชอบคำเมื่อกี้ เรารู้สึกว่าเราอยากทำให้ทุกคนเป็นเพื่อนที่ดีของตัวเองได้ แล้วเราก็อยากให้เรื่อง self-love หรือเรื่องทางใจเข้าไปอยู่ใน being ของเขา ให้มันอยู่ในเนื้อในตัวเขาผ่านชีวิตประจำวันจริงๆ ไม่ต้องรอเวิร์กช็อป เทศกาล หรือไม่ต้องมี buzz word ออกมาใหม่เขาถึงจะอยากเข้าใจ
จริงอยู่ที่บางคนไปเวิร์กช็อปก่อนแล้วค่อยกลับมาตกตะกอน แต่เราว่าถ้าจะให้ยั่งยืนจริงๆ มันต้องค่อยๆ บ่มเพาะให้อยู่ในเนื้อในตัวเขา เช่น เขาตื่นมาแล้วความคิดแรกที่เข้ามา มันเป็นความคิดที่โอบรับตัวเองมากกว่าการตําหนิตัวเองตั้งแต่ลืมตาตื่น ความรักความใจดีกับตัวเองมันเริ่มต้นตั้งแต่เรื่องพื้นฐานในชีวิตแบบนี้เลยนะ
ฟังดูไม่ใช่งานที่ง่ายขนาดน้ัน
น้ำผึ้ง : มันใช้เวลาแหละ มันเหมือนดอกไม้ ถ้าอยากให้ดอกไม้มันงอกงามในใจ มันก็ต้องอาศัยเมล็ดพันธุ์ดี ดินดี ฝน แดดดี แต่ก็กลับมาในประเด็นว่า ถ้ามันมีนวัตกรรมและสื่อจิตวิทยาเชิงรุกแบบสร้างสรรค์ เราเชื่อว่าสุดท้ายปลายทางมันพาให้คนไปในเลเวลนี้ได้
ฝ้าย : อาจจะดูนามธรรม ดูเป็นเรื่องของแค่บางเพศที่จะลุกขึ้นมาทำสิ่งนี้ แต่จริงๆ มันคือเรื่องของมวลมนุษยชาติ มันคือเรื่องของทุกคน มันอยู่ในชีวิตประจำวันหมดเลยอะ แค่เรากินข้าวแล้วมีความสุขจังเลย วันนี้ข้าวอร่อย ก็ถือเป็น mindful eating หรือเรื่องเชิงสุขภาพจิตแล้ว แต่บางคนอาจจะไม่ได้ตระหนัก เพราะเขาทรีตคำว่าสุขภาพจิตเป็นเรื่องไกลตัวเขา โจทย์เดียวของเราเลยคือทำยังไงให้มันใกล้ล่ะ ทำยังไงให้มันใกล้
น้ำผึ้ง : นี่คือหน้าที่ของเราไง นี่คืองานของเรา
5P ของ ‘Warrix’ แบรนด์เสื้อผ้ากีฬาของคนไทย ในวันที่เลือกเติบโตสู่เส้นทาง sport lifestyle
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2559 แฟนกีฬาโดยเฉพาะคอบอลน่าจะประหลาดใจไม่น้อย ที่จู่ๆ แบรนด์เสื้อผ้ากีฬาชื่อไม่คุ้นได้ก้าวมาเป็นผู้สนับสนุนให้กับทัพฟุตบอลทีมชาติไทย ด้วยระยะเวลาสัญญายาวนานถึง 12 ปี (2560-2563 และ 2564-2571) หลังใช้เวลาพิสูจน์คุณภาพ ในที่สุดแบรนด์เสื้อผ้ากีฬาดังกล่าวก็ถูกยอมรับและเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง ซึ่งแบรนด์ดังกล่าวนั้นมีชื่อสั้นๆ จำง่ายว่า ‘Warrix’ (วอริกซ์)

ก่อนจะเป็นที่รู้จักอย่างทุกวันนี้ ‘ฮิม–วิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล’ ผู้ก่อตั้งแบรนด์เล็งเห็นถึงช่องว่างราคาในตลาดเสื้อผ้ากีฬา ระหว่างแบรนด์ไทยและแบรนด์ต่างชาติ ที่มีราคาแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ดังนั้นความตั้งใจของเขาจึงต้องการเห็นคนไทยได้สวมใส่เสื้อผ้ากีฬาที่มีคุณภาพในราคาที่จับต้องได้
แน่นอนว่าระหว่างทางย่อมไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ วิศัลย์ต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ทั้งในเรื่องของมาร์เก็ตติ้ง การพัฒนาโปรดักต์ แม้กระทั่งเรื่องของการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ก็ตาม ชื่อของ Warrix จึงมีที่มาจากชื่อของวิศัลย์ ผนวกกับคำว่า ‘Warrior’ หรือ ‘นักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้’ ซึ่งวิศัลย์นิยามตัวตนของเขาไว้เช่นนั้น


ในปี 2567 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป แบรนด์เสื้อผ้ากีฬาสัญชาติไทยแบรนด์นี้ สามารถทำยอดขายได้มากถึง 1,553.48 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 26.68% จากปีก่อนหน้า ทั้งยังตีตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้านในแถบอาเซียน เช่น กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย เมียนมาร์ อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ รวมไปถึงประเทศมหาอำนาจอย่างจีน
ความน่าสนใจของ Warrix ไม่ได้มีแค่ที่ยอดขาย เพราะจากเดิมที่เน้นเรื่องคุณภาพตามมาตรฐานสปอร์ตแวร์ ถึงตรงนี้ได้มีการพัฒนาโปรดักต์ให้ตอบโจทย์ตามความนิยมในเทรนด์สปอร์ตไลฟ์สไตล์ จึงไม่แปลกใจถ้าวันนี้คุณเดินผ่านย่านสุดชิคอย่างสยาม แล้วจะเห็นวัยรุ่นสวมใส่เสื้อผ้าของ Warrix เต็มไปหมด
ที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเส้นทางตลอด 12 ปีของ Warrix เท่านั้น คอลัมน์ 5P ขอรับหน้าที่พาไปเจาะลึกต่อ ถึงกลยุทธ์ที่ทำให้แบรนด์เสื้อผ้ากีฬาสัญชาติไทยนี้เติบโตอย่างมั่นคง และลบล้างความเชื่อที่ว่า แบรนด์นี้มีดีแค่เรื่องเสื้อบอล!

PRODUCT
เสื้อผ้ากีฬาโดยคนไทย ที่เริ่มจากการทำ local marketing
อะไรคือความต่างระหว่างผลิตภัณฑ์สปอร์ตแวร์ที่มีอยู่ในตลาดกับของ Warrix และอะไรคือสิ่งที่ทำให้แบรนด์แบรนด์นี้อยู่รอดมาเกิน 1 ทศวรรษ ท่ามกลาง red ocean ที่มีทั้งคู่แข่งหน้าใหม่และหน้าเก่า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบรนด์จากต่างประเทศที่ครองใจผู้บริโภคมายาวนาน นี่คือคำถามที่ผมสงสัยมาโดยตลอด
ข้อสงสัยดังกล่าววิศัลย์อธิบายว่า ในยุคเริ่มแรก Warrix ตั้งต้นจากกลยุทธ์ ‘local markeing’ หรือการเริ่มบุกตลาดต่างจังหวัด ซึ่งยังมีช่องว่างในการเบียดแย่งกับคู่แข่งที่เป็นแบรนด์โกลบอล โดยนำสินค้าซึ่งเป็นเสื้อผ้ากีฬาคุณภาพดีมาผูกโยงกับกีฬามหาชนอย่างฟุตบอล จึงไม่แปลกใจเท่าไหร่นักที่ผู้คนจะติดภาพจำว่า Warrix เป็นแบรนด์เสื้อผ้าฟุตบอล
“หลักการตลาดของเราในปีแรกที่ทำคือคิดกลยุทธ์แบบเชิงยุทธศาสตร์ คือมองเรื่องของ geography และ target group ที่แบรนด์จะไป เรามองว่า นครราชสีมาและเชียงใหม่เป็นจังหวัดที่มีอัตราประชากรรองลงมาจากกรุงเทพฯ Warrix จึงเข้าไปเป็นสปอนเซอร์ให้กับทีมสโมสรฟุตบอลนครราชสีมา เอฟซี และเชียงใหม่ เอฟซี โดยใช้การประชาสัมพันธ์แบบโลคอลเข้าถึงง่าย”
วิธีการดังกล่าวก็หลากหลาย ตั้งแต่การใช้รถแห่ รถเร่ ทำสปอตวิทยุเป็นภาษาท้องถิ่น ชวนลูกค้าใส่เสื้อทีมเชียร์ในวันที่มี match day ซึ่งในปีแรกที่เริ่มทำการตลาดในลักษณะนี้ Warrix มียอดขาย 60 ล้านบาท ซึ่งหากเทียบกับมูลค่าการตลาดทั้งหมดที่มีค่าถึง 3 หมื่นล้านก็ถือว่ายอดที่ได้มานั้นไม่เลวเลย

“เวลา Questionnaire ถามลูกค้าว่า นึกถึง Warrix นึกถึงอะไร เขาบอกนึกถึงคุณภาพก่อน อันนี้ไม่ผิด Value to Price ก็คือราคาเหมาะสมกับคุณภาพ ถ้าต้องควักเงินไปซื้อแบรนด์อินเตอร์มันต้องแพงกว่า 5 เท่า 10 เท่า แต่สิ่งที่มากกว่านั้นก็คือการที่เราทำ License Marketing เป็นตัวนำก่อนแล้วทำให้คนได้ชิม เทคนิคก็ไม่ต่างกับอาหารการกินที่เขาไปให้ชิมตามซูเปอร์ พอชิมเสร็จ ชอบเราก็ซื้อ ถ้าคุณอยากซื้อเสื้อทีมชาติที่ถูกลิขสิทธิ์คุณก็มาซื้อกับ Warrix
“นอกจาก license ของฟุตบอลทีมชาติไทย และสโมสรฟุตบอลในประเทศไทย เรามี license ของทีมโรงเรียนและในมหาวิทยาลัย เช่น โรงเรียนในเครือจตุรมิตร หรือเสื้อของงานฟุตบอลประเพณี จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์” วิศัลย์อธิบายให้เราฟังถึงแนวคิดการทำมาร์เก็ตติ้งที่ทำให้คนเข้าถึงและจดจำสินค้าของ Warrix ได้อย่างรวดเร็ว

ถ้าพูดถึงฟังก์ชั่นการใช้งาน เสื้อผ้ากีฬาของ Warrix นั้นไม่เป็นสองรองใคร ด้วยเนื้อผ้าที่ใส่สบาย ระบายเหงื่อได้ดี ส่วนดีไซน์ช่วงเริ่มต้นด้วยความที่เน้นเจาะตลาดโลคอล เสื้อหลายคอลเลกชั่นจึงเน้นดีไซน์ ‘ความเป็นไทย’
ผลงานที่วิศัลย์ภาคภูมิใจมากที่สุดคือชุดแข่งของทีมชาติไทยปี 2560 ด้วยคอนเซปต์ ‘นักรบคนที่ 12’ โดยแบ่งเป็น 2 ชุด คือ ไชยานุภาพ (สีดำ) และปราบไตรจักร (สีขาว) ที่มาของชื่อชุดนั้นก็มาจากช้างพระที่นั่งในสงครามยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และพระเอกาทศรถ ส่วนที่เลือกใช้สีขาวและดำก็เพื่อถวายความอาลัยการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
นอกจากเรื่องสีและชื่อนั้นยังมีดีเทลเล็กๆ น้อยๆ ที่แสดงความเป็นไทย เช่น ลายเสื้อที่มีดีไซน์สื่อถึงเกราะนักรบ หรือลายประเจียดบริเวณแขนเสื้อ ซึ่งวิธีคิดการออกแบบใส้เสื้อผ้ามีความโมเดิร์น แต่ยังคงมีกลิ่นอายความโลคอลนั้นมาจากการได้ ‘อาจารย์ชาลิน ยมาภัย’ นักออกแบบผลิตภัณฑ์และโลโก้ชื่อดังมาเป็นที่ปรึกษา ทำให้ดีไซน์สปอร์ตแวร์ของ Warrix ดูลงตัวยิ่งขึ้น


สู่น่านน้ำที่ท้าทายกว่าอย่างสปอร์ตไลฟ์สไตล์
อย่างที่รู้กันว่าผลิตภัณฑ์ของ Warrix เน้นไปที่เสื้อผ้ากีฬา นอกจากเสื้อฟุตบอล ยังมีการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ไปยังกีฬาอื่นๆ เช่น วิ่งมาราธอน บาสเกตบอล เสื้อโปโลลำลองสำหรับเล่นกีฬากิจกรรมกลางแจ้งอย่างกอล์ฟ ในวันนี้พวกเขากำลังก้าวไปยังน่านน้ำใหม่ๆ นั่นคือตลาดสปอร์ตไลฟ์สไตล์
วิศัลย์อธิบายถึงเหตุผลที่เลือกขยายตลาดสู่สปอร์ตไลฟ์สไตล์ มาจากการทบทวนกลยุทธ์และรีเสิร์ชข้อมูลอย่างหนักโดยทีมงานหลังบ้าน จนพบว่าตลาดสปอร์ตแวร์ในประเทศไทยมียอดจำหน่ายเสื้อผ้ากีฬา 25.6 ล้านตัวต่อปี แต่ในฝั่งเสื้อผ้ากีฬาที่เป็นไลฟ์สไตล์ เช่น t-shirt กลับมียอดจำหน่ายสูงกว่าเท่าตัว คือ 51.1 ล้านตัว ดังนั้นการเปิดน่านน้ำใหม่ๆ จึงเป็นโอกาสที่ดี ที่สำคัญคือทำให้คนที่ไม่ได้สนใจกีฬารู้จักแบรนด์อีกด้วย
“เราดูว่าตลาดเสื้อผ้ากีฬา market size มันมีอยู่เท่านี้ ถ้าเราจะทำแค่นี้เราอยู่ได้ แต่สิ่งที่เราเห็นคือเทรนด์ที่กำลังเปลี่ยนไป เป็น global trend ที่คนหันมาใส่เสื้อผ้ากีฬาในชีวิตประจำวัน เป็นยูนิฟอร์ม เลยเป็นโอกาสดีที่สินค้าของเราจะเป็นไลฟ์สไตล์ เพื่อพา Warrix มาอยู่ในชีวิตประจำวันผู้บริโภคมากขึ้น“

ความน่าสนใจของสินค้าประเภทสปอร์ตไลฟ์สไตล์ที่วิศัลย์ยกให้เป็น sub segment เป็นการประยุกต์สิ่งที่มีอยู่แล้วและเป็นสินค้าที่ขายดี เช่นเสื้อฟุตบอลทีมชาติไทยมาดีไซน์ให้มีความเป็นแฟชั่นมากขึ้น โดยเฉพาะ Warrix Thailand Lifestyle Oversize Jersey ที่กลายเป็นสินค้าขายดี ถึงขั้นขาดตลาด รวมไปถึงของกางเกงและเสื้อแจ็กเก็ตที่เป็นผ้ายีนส์ ในดีไซน์ดุดันสไตล์ญี่ปุ่น แต่ยังคงความสบายในแบบของ Warrix
ส่วนสินค้าสปอร์ตแฟชั่นยังมีความพิเศษมากขึ้น เมื่อ Warrix ร่วมคอลแล็บกับแบรนด์ระดับโลก เช่นคอลเลกชั่นที่ทำร่วมกับ Smiley หรือคอลเลกชั่นที่ทำร่วมกับศิลปินไทยชื่อดังอย่างแบรนด์ ZillyB ของ เภา–รัฐพล พรรณเชษฐ์ อดีตสมาชิกวง Bodyslam และคอลเลกชั่นที่ทำร่วมกับ CDGuntee แร็ปเปอร์ขวัญใจเด็กแนว

PRICE & PROMOTION
หยิบ license marketing แก้ปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์ และกำหนดราคาสินค้า
399 บาท คือราคาเริ่มต้นของ Warrix ในรูปแบบเสื้อโปโล สวมใส่ได้ทั้งลำลองและเล่นกีฬา
แน่นอนว่านี่คือความตั้งใจของวิศัลย์ที่ต้องการให้คนไทยได้มีทางเลือกสวมใส่เสื้อผ้ากีฬาคุณภาพดีเทียบเท่าแบรนด์ต่างประเทศ แต่อีกนัยหนึ่งการตั้งราคาให้สอดคล้องกับสภาพการเงินของผู้บริโภคก็เป็นการแก้ปัญหา ‘ละเมิดลิขสิทธิ์’ ซึ่งมักเกิดขึ้นเป็นประจำกับแบรนด์ที่ได้รับความนิยม



ยกตัวอย่างเสื้อสโมสรฟุตบอลไทยลีก Warrix มักทำออกมาเป็น 2 ประเภท คือ
1. Player Version แบบที่นักฟุตบอลสวมใส่ ราคาอยู่ที่ราว 2,000 บาท
2. Replica Version แบบเฉพาะแฟนบอล ราคาอยู่ที่ราว 399-890 บาท
“สิ่งที่น่าปวดหัวไม่ใช่แค่คนละเมิดลิขสิทธิ์ แต่เป็นแบรนด์ที่ไม่รู้ว่าเราถือลิขสิทธิ์นั้นอยู่ เช่น แบรนด์บางแบรนด์ที่เอาโลโก้ช้างศึก (ฟุตบอลทีมชาติไทย) ที่เราจ่ายปีหนึ่งหลักร้อยล้านไปใช้โดยไม่รู้ แต่เราก็พยายามใช้กลไกการตลาดต่อสู้เรื่องนี้ นอกจากเรื่องราคา เรายังกระจายสินค้าให้เข้าถึงง่าย เช่น ที่ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ และทางออนไลน์”
วิศัลย์ยังอธิบายถึงกลยุทธ์ Create New Demand ซึ่งผูกโยงกับเรื่อง license marketing ที่นอกจากจะทำให้สินค้าถูกลิขสิทธิ์แล้ว ยังกำหนดราคาสินค้าของตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องแข่งกับแบรนด์อื่นที่มีอยู่ในตลาด
“ตอนที่ผมทำงานอยู่ปูนซีเมนต์ไทย ผมถูกสอนให้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า Create New Demand มากกว่าการไปแย่งฐานการตลาดจากคู่แข่ง เพราะการแย่งตลาดจากคู่แข่งเนี่ยสุดท้ายมันก็มีโอกาสที่จะถูกแย่งกลับ แต่การมาสร้างตลาดใหม่ โอกาสที่จะถูกแย่งกลับเป็นศูนย์
“สิ่งนี้ผมเห็นตอนไปเที่ยวสหรัฐฯ ผมเห็นสินค้าของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเต็มไปหมด แต่ตัวผมที่จบจุฬาฯ จะหาซื้อเนกไทของจุฬาฯ สักเส้นกลับไม่สามารถทำได้ เพราะมันมีแต่เนกไทของนิสิต ผมเลยนำตรงนี้มาสร้าง new demand กำหนด price offer ให้กับสินค้าที่เรามี license เช่น เสื้อทีมชาติไทย หรือเสื้อทีมฟุตบอลอย่างของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน”

PLACE
ยึดพื้นที่ ‘สยาม’ ตีตลาดคนรักสปอร์ตแฟชั่นรุ่นใหม่
สถานที่ที่เรากำลังพูดคุยอยู่กับวิศัลย์ นั้นคือ Warrix Shop ณ สยามสแควร์
แน่นอนว่าการเลือกทำเลทองที่เต็มไปด้วยวัยรุ่นและกลุ่มคนรักแฟชั่น ไม่ใช่แค่การขยายสาขาหน้าร้านเท่านั้น แต่เป็นการปักหมุดประกาศว่า Warrix กำลังก้าวเข้าสู่การเป็นสปอร์ตไลฟ์สไตล์เต็มตัว
“ตอนที่เลือกพื้นที่ตรงนี้ผมมั่นใจว่าเราจะทำการตลาดที่แตกต่างไปจากแฟล็กชิปสโตร์ ตรง Stadium One ซึ่งเติบโตมาจากการเป็นสปอร์ตแวร์ เป็น very football เรามองว่าพื้นที่ตรงสยามมีทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทย ชาวต่างชาติ มีเด็กวัยรุ่น เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ต่างออกไป เราเลยอยากทำให้ตรงนี้เป็นสินค้าเฉพาะประเภทไลฟ์สไตล์


“ผมเคยคิดนะว่าเราจำเป็นต้องมีช็อปเป็นร้อยเป็นพันช็อปไหม แต่ในเมื่อเรามียอดขายออนไลน์ที่สูงอยู่แล้ว เรามียอดขายผ่านดีลเลอร์ มหาศาล เราเลยนิยามสิ่งที่เรียกว่าแฟล็กชิปสโตร์ เป็นเหมือนพื้นที่แนะนำตัวสินค้าของแบรนด์ ถ้าคุณอยากจะรู้จักสินค้าสปอร์ตแวร์ คุณก็ไปที่ Stadium One แต่ถ้าคุณอยากรู้จักสินค้าไลฟ์สไตล์ คุณก็มาที่สยามสแควร์
“คุณจะเห็นว่าพรีเซนเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าไลฟ์สไตล์จะไม่ใช่พรีเซนเตอร์ซึ่งเป็นนักฟุตบอลทีมชาติ แต่จะเป็นคนใหม่ๆ ที่มาเจาะ niche segment อย่างนนท์ ธนนท์ ที่เป็นศิลปิน”
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่แปลกใจถ้าภายใน Warrix สาขาสยามสแควร์ทั้ง 3 ชั้น จะถูกแต่งแต้มไปด้วยลายกราฟฟิตี้โฉบเฉี่ยวแทบทุกตารางนิ้ว และมีแต่สินค้าประเภทไลฟ์สไตล์ ที่อิงกับสตรีทแฟชั่น ทั้งเสื้อ เสื้อฮู้ด ทีเชิ้ต ยีนส์ ฯลฯ ว่าไปแล้วก็เหมือนการลบล้างภาพจำที่ว่า Warrix มีแต่เสื้อฟุตบอล หรือมีแต่เสื้อกีฬา

POSITION
แบรนด์ active lifestyle ที่ครองตลาดภูมิภาค
P สุดท้ายของ Warrix คือ Position ซึ่ง Position ที่ Warrix นิยามไว้ คือ ‘active lifestyle’
“ผมนิยามว่าเราเป็น active lifestyle คือ Warrix เดินตามกระแสโลกที่เป็นโกลบอลเทรนด์
คือมันมีสินค้าที่เป็นสปอร์ตใส่ออกกำลังกายได้อยู่ แต่ขณะเดียวกันก็มีสินค้าไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ในชีวิตประจำวัน ซึ่งไลฟ์สไตล์สามารถพาเราไปสู่การเป็น regional brand เพราะเราพบว่า 11 ประเทศในอาเซียน ยังไม่มี brand leader ของท้องถิ่นทั้งในสปอร์ตและไลฟ์สไตล์ มีแต่โกลบอลเทรนด์เข้าไปยึดครอง เราเลยวางโพซิชั่นที่จะเข้าไปลุยตรงนั้น
“อีกเรื่องที่เรากำลังทำและไม่เคยคิดว่าจะทำได้ คือหลังจากที่เราจดทะเบียนเข้าสู่บริษัท จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ผลปรากฏว่าเราได้ retailer รายใหญ่ของจีน ที่เซี่ยงไฮ้ ชื่อ HiMAXX มาขอเป็น official distributor ของเรา 10 ปี ทั้งเราและเขามีวิชั่นเดียวกัน คือมองสินค้าสปอร์ตเป็นตัวจุดพลุสร้างการรับรู้ แต่สินค้าที่จะสร้างยอดขายหลักคือตัวไลฟ์สไตล์ กลายเป็นเราได้ตีตลาดประเทศจีน ถือเป็นโบนัสที่ใหญ่มาก”

นอกจากเรื่อง Position ที่ว่า วิศัลย์ยังเล่าถึงเป้าหมายของ Warrix ที่น่าสนใจอีก นั่นคือการทำ ‘ศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬา’ ที่จะสามารถเป็น service center ให้บริการด้านสุขภาพ รวมถึงรักษาอาการบาดเจ็บที่เกิดจากการเล่นกีฬา โดยอาศัยความร่วมมือกับโรงพยาบาลศิริราชและโรงพยาบาลมหิดล แบ่งเป็นที่ Warrix สาขา Stadium One ส่วนสาขาศูนย์สิริกิติ์จะเน้นไปที่การให้บริการผู้ที่สนใจกีฬาวิ่งโดยเฉพาะ
น่าสนใจว่า Position ที่กำลังดำเนินอยู่ทั้งหมดของ Warrix จะประสบความสำเร็จทั้งหมดหรือไม่ แต่อย่างน้อยแบรนด์เสื้อผ้ากีฬาสัญชาติไทยแบรนด์นี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วถึง DNA ความเป็นนักสู้ที่มีอยู่ในตัว และแสดงให้เห็นแล้วว่าสินค้าแบรนด์ไทยเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าต่างชาติ