เอนกายบนบีนแบ็กยักษ์ ช้อปสารพัดเฟอร์ฯ ขี้เล่น และสนทนากับผู้นำเข้า Fatboy Thailand 

ในซอยเอกมัย 4 เราเดินทางมาถึง Fatboy Thailand โชว์รูมแบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านเปิดใหม่ที่โดดเด่นตั้งแต่หน้าร้านด้วยป้ายสีแดงสะดุดตา 

เมื่อเดินเข้าไปภายใน เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้สึกเหมือนกันว่าบรรยากาศในห้องแห่งนี้น่าผ่อนคลาย ด้วยบีนแบ็กน่าเอนกายและแสงอบอุ่นจากโคมไฟ Edison ทั้งภายในโชว์รูมและบริเวณสวนนั้นยังเรียงรายด้วยเฟอร์นิเจอร์ขี้เล่นสุดเอกลักษณ์ ตั้งแต่ม้านั่งทรงน้องหมา โคมไฟรูปจรวด เปลญวนสีแดงดีไซน์ทันสมัยไซส์บิ๊กเบิ้ม และตุ๊กตากระต่ายแลบลิ้นตัวเบ้อเร่อชื่อ Teddy 

บริษัท อัลดีละ จำกัด (Aldila) เป็นนักสรรหาเฟอร์นิเจอร์และสินค้าไลฟ์สไตล์ที่นำเข้าแบรนด์คุณภาพดีจากยุโรปสู่ตลาดไทยมากมาย หลายแบรนด์ที่นำเข้า เช่น laCividina, Midj, Fantin, Zanotta อาจไม่คุ้นหูคนไทยนักแต่มั่นใจได้ว่ามีคุณภาพเพราะทีมผู้ก่อตั้งมีสมาชิกดรีมทีมประกอบด้วยสถาปนิกและนักตกแต่งภายในที่คัดเลือกงานดีไซน์อย่างพิถีพิถัน  

แบรนด์น้องใหม่ล่าสุดที่บริษัท Aldila นำเข้าไทยคือ Fatboy แบรนด์สัญชาติเนเธอร์แลนด์ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบีนแบ็กไซส์ยักษ์ที่มีลูกเล่นซ่อนอยู่มากมาย แสดงให้เห็นถึงจุดเด่นของแบรนด์คือการเป็น lifestyle furniture ที่ใช้ได้ทั้งอินดอร์และเอาต์ดอร์ อีกทั้งยังมีดีไซน์ขี้เล่นแต่ยังคงความคลาสสิก

ก่อนหน้านี้ Fatboy วางขายทั้งยุโรป อเมริกา รวมถึงในเอเชียอย่างสิงคโปร์และเกาหลี ในโอกาสก้าวใหม่ที่แบรนด์สัญชาติเนเธอร์แลนด์ชื่อดังเพิ่งวางขายในไทยอย่างเป็นทางการ เราขอชวน ชุติมา อังอติชาติ Co-founder ของ Aldila ผู้นำเข้าแบรนด์ Fatboy มาเอนกายนั่งคุยบนบีนแบ็กนุ่มๆ กันแบบสบายๆ ถึงที่มาของการนำเข้าและแนะนำ Fatboy สู่ตลาดไทย 

ปกติแล้วบริษัทคุณเลือกนำเข้าแบรนด์เฟอร์นิเจอร์แบบไหน

เราเลือกโฟกัสที่แบรนด์ท้องถิ่น อาจไม่ได้เป็นแบรนด์ที่ทุกคนในประเทศรู้จัก แต่เป็นแบรนด์น้องใหม่ที่  กำลังโต เป็นธุรกิจครอบครัวที่ทำด้วยความใส่ใจและทำด้วยความรู้สึกว่าเป็นแบรนด์ของตัวเอง เน้นแบรนด์เล็กที่หายาก มีคุณภาพและดีไซน์ดี

อย่าง Fatboy เป็นแบรนด์ที่จริงๆ แล้วเราไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะนำเข้ามาแต่เผอิญเดินไปเจอในงาน ดีไซน์แฟร์ที่มิลานแล้วชอบ แบรนด์ส่วนใหญ่ที่นั่นเป็นแบรนด์อิตาลีที่มีความโมเดิร์นและเรียบๆ เดินแล้วสะดุดตา 

ที่จำได้คือตอนนั้นบูท Fatboy ของเนเธอร์แลนด์ก็เด่นมากด้วยกิมมิกความสนุกและสีสัน เราก็เดินเข้าไปคุยกับเขาดื้อๆ เลยว่าสนใจ ทางแบรนด์ก็เปิดโอกาสให้เรานำเข้ามาไทยเพราะแบรนด์เขามีตลาดที่เอเชียและสนใจประเทศไทยอยู่แล้ว

กิมมิกความสนุกของ Fatboy เป็นแบบไหน ทำไมถึงเตะตาตาคุณถึงขั้นอยากนำเข้าไทย 

Design with a smile คือการเติมความสนุกสนานเล็กๆ น้อยๆ เข้าไปในดีไซน์ทำให้เวลาสัมผัสหรือใช้สินค้าแล้วยิ้มได้ อย่างเช่นโคมไฟแม่เหล็ก Oloha Trio ที่ขยับได้ ย้ายมาวางบนโต๊ะหรือติดที่ผนังก็ได้ 

ถ้าสังเกตจะเห็นว่าแบรนด์เน้นดีไซน์ที่มีสีสันโดดเด่น ใช้สีที่ bold คือ แดง เขียว ส้ม เหลือง อย่างโคมไฟก็จะมีที่ดึงเล็กๆ เป็นแท็กเขียนชื่อแบรนด์ว่า Fatboy ถ้าดูสินค้าแบบผิวเผินจะดูเรียบๆ เด่นด้วยสี แต่จะมีดีเทลซ่อนอยู่ในสินค้าเสมอ 

สินค้าเด่นรุ่นซิกเนเจอร์ที่ทำให้ผู้คนจดจำความสนุกของแบรนด์ได้คือรุ่นไหน

แบรนด์นี้จะดังเรื่องบีนแบ็กซึ่งเป็นสินค้าที่ทุกคนรู้จัก มีทั้งรุ่น Original Bean Bag, รุ่น Floatzac เบาะโฟมลอยน้ำได้สำหรับเอาไปใช้ที่สระว่ายน้ำหรือทะเล, รุ่น Outdoor ที่มีความทนแดดทนฝนและมีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นโรงแรมหรือรีสอร์ต 

บางรุ่นอย่าง Rock ‘n Roll ก็จะใส่ฟังก์ชั่นที่เพิ่มเติมจากการใช้งานทั่วไป เช่น ออกแบบให้เอาบีนแบ็กมาวางบนเก้าอี้โยกได้, รุ่น Buggle-Up มีเข็มขัดที่รัดขึ้นมาให้ตั้งได้สำหรับนั่งพิง, รุ่น Doggielounge สำหรับสัตว์เลี้ยง 

แล้วก็จะมีไอเดียเก๋ๆ อย่างการทำบีนแบ็กลอยน้ำคล้ายห่วงยางเป่าลม แบรนด์ทำวิดีโอพรีเซนต์การใช้งานออกมาเลยว่าถ้าอยู่ที่ทะเลก็สามารถสะบัด วิ่งให้ลมทะเลเข้าไปในบีนแบ็กแล้วมัดให้พองได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องเป่าลมด้วยซ้ำ 

เราก็ประทับใจที่แบรนด์มีไอเดียเยอะแยะ คิดมาแบบใส่ใจรายละเอียด มีดีไซน์ที่ไม่ได้หยุดนิ่ง

การออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานในสินค้าหมวดอื่นๆ ของ Fatboy มีความสนุกยังไงบ้าง 

สินค้าแนะนำอีกหมวดที่โดดเด่นและลูกค้าส่วนใหญ่ที่แวะมาจะซื้อกลับแทบทุกคนคือกระเป๋า มีฟังก์ชั่นการใช้งานหลากหลายที่คุ้มค่ามาก สามารถถือไปออฟฟิศ ทำสวน ใช้ช้อปปิ้ง ไปตลาด ซูเปอร์มาร์เก็ต ไปทะเล 

โคมไฟ Edison ก็เป็นรุ่นซิกเนเจอร์ที่ขายดี มีหลายไซส์ให้เลือก คือ Edison the Giant, Edison the Grand, Edison the Medium, Edison the Petit และ Edison the Mini มีทั้งรุ่น table lamp สำหรับตั้งโต๊ะและ floor lamp สำหรับเป็นโคมไฟประดับ ปรับระดับแสงได้ 3 ระดับ และบางตัวยังควบคุมผ่านแอพพลิเคชั่นได้

ถ้าเกิดสังเกตสินค้าหลายอย่างของแบรนด์จะใช้ได้ทั้งเอาต์ดอร์และอินดอร์เลย เขาออกแบบสินค้าโดยคิดมาว่าชีวิตเราไม่ได้อยู่แต่ในบ้าน สินค้าของเขาต้องปรับเปลี่ยนให้ใช้ในชีวิตประจำวันได้ไม่ว่าจะอยู่ในสเปซแบบไหน 

มีสินค้ารุ่นไหนของ Fatboy ที่รู้สึกว่าน่าสนใจแต่ยังไม่ได้นำเข้าไทยบ้างไหม  

ถ้าสินค้าที่เหมาะกับประเทศไทยเราก็นำเข้ามาหมดแล้ว แต่คอลเลกชั่นของ Fatboy จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถ้ามาอีกทีก็อาจพบว่าสินค้าเดิมไม่อยู่แล้ว 

บางรุ่นจะเป็นคอลเลกชั่นลิมิเต็ดที่ผลิตมาเฉพาะบางช่วงแล้วหมดไป อย่าง bean bag ก็เคยคอลแล็บกับ Marimekko และ Longchamp มาแล้ว หรือลายพิเศษอย่างรุ่นลายทางก็ไม่ได้มีตลอด แต่ทั้งนี้บางอย่างที่เหมาะกับเมืองหนาวเราก็นำเข้าไทยเพราะดีไซน์สวย เช่น ตะเกียง Flamtastique อันใหญ่ที่จะเหมาะกับอยู่ริมระเบียงในวันอากาศหนาวแล้วจุดไฟ

ถ้าเปรียบ Fatboy เป็นคน คิดว่าคาแร็กเตอร์ของแบรนด์เป็นคนแบบไหน

ไม่จำเป็นต้องเป็นวัยรุ่นแต่เป็นคนที่ young at heart ไม่ใช่คนที่แต่งตัวฉูดฉาด ใส่เสื้อผ้าลวดลายหรือสีสดทั้งตัวแต่เป็นคนที่มีบุคลิกดี มีความสนุกสนานและอยากเติมลูกเล่นหรือสีสันบางอย่างเข้าไปในการแต่งตัว เช่น ถ้าแต่งชุดดำก็อยากจะหยิบรองเท้าสีแดงมาใส่หรือใส่เครื่องประดับเป็นกิมมิก

กลุ่มลูกค้าของแบรนด์ก็เป็นคนคาแร็กเตอร์นี้ด้วยไหม

ใช่ กลุ่มลูกค้าของเราจะเป็นคนที่มีคาแร็กเตอร์และไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ชอบของที่มีรสนิยม เป็นคนที่แต่งบ้านคอมพลีตแล้วแต่อยากเติมความสนุกและลูกเล่นเข้าไปให้บ้านมีชีวิตชีวา 

บางทีเราแต่งบ้านก็ยอมรับเลยว่าคนอาจจะไม่ได้ซื้อเฟอร์นิเจอร์ของ Fatboy ทั้งบ้านหรอก เขาก็ซื้อเฟอร์นิเจอร์ทั่วไปแหละ แต่มันต้องมีสักมุมในบ้านที่อยากสนุกและอยากสร้างกิมมิกให้เป็นจุดเด่นขึ้นมา สินค้าของเราก็จะเป็นเหมือน lifestyle furniture ที่มาตอบโจทย์ทั้งด้านฟังก์ชั่นและไลฟ์สไตล์ตรงนี้

ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการทำธุรกิจนำเข้าเฟอร์นิเจอร์สำหรับคุณคืออะไร

อย่างแรกเลยคือต้องมีใจรัก พอเรารักในแบรนด์ก็ไม่ใช่ว่าจะนำเข้าอะไรก็ได้ ทุกแบรนด์ที่เรานำเข้ามาต้องเป็นสิ่งที่เราชอบ บางแบรนด์เราไม่รู้จักมาก่อนก็จริงแต่พอได้ไปสัมผัสสตอรี ไปเห็นสิ่งที่เขาตั้งใจทำแล้วทำให้เรารู้สึกประทับใจและอยากเอามาให้คนไทยรู้จัก 

อย่าง Fatboy เราเห็นว่าเขาไม่ได้ใส่ใจแค่อยากให้สินค้าขายได้เยอะๆ แต่ใส่ใจในการผลิตให้สินค้ามีคุณภาพ สวย คงทน ใช้ได้ยาวนานและใส่ใจสิ่งแวดล้อม 

แล้วแบรนด์ขี้เล่นอย่าง Fatboy จริงจังเรื่องสิ่งแวดล้อมยังไงบ้าง 

เนื่องจากจุดเริ่มต้นของแบรนด์มาจากประเทศฝั่งสแกนดิเนเวียเลยมีมาตรฐานของประเทศแถบนี้อยู่แล้วว่าเวลาผลิตจะเน้นเรื่อง zero waste และใส่ใจสิ่งแวดล้อมตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงวัสดุของสินค้า ดังนั้นสินค้าบางตัวก็จะใช้เป็นวัสดุรีไซเคิล อย่างเก้าอี้ Attackle! รูปน้องหมาจะมีรุ่นสีขาวและสีดำซึ่งคิดมา 2 แบบ สีขาวเป็นรุ่นที่ทำขึ้นมาสำหรับนำวัสดุไปรีไซเคิลต่อได้ ส่วนสีดำเป็นรุ่นที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล

สิ่งที่ Fatboy เน้นมากๆ คือความทนทาน ไม่อยากให้ซื้อไปแป๊บเดียวแล้วพังและต้องกลับมาซื้อใหม่ ทางแบรนด์จะมี repair kit สำหรับให้เอาไปซ่อมสินค้าได้ มีพวกชุดอุปกรณ์แต้มสี ชุด refill โฟมสำหรับบีนแบ็ก ถ้าโฟมยุบก็เติมโฟมได้ โคมไฟก็มีแผงวงจรและหลอดไว้ให้ซ่อม มีส่วนหน้ากากที่ถอดออกแล้วซื้อเปลี่ยนเฉพาะส่วนได้ หรือถ้าอยากซ่อมก็มาที่โชว์รูมได้เลย เปลตัวหนึ่งซื้อมาแล้ว 10-15 ปีก็ยังใช้ได้ พาร์ตเนอร์คนหนึ่งในทีมเราเคยซื้อเปลมานานแล้วเป็น 10 ปี ปัจจุบันก็ยังอยู่ มันแข็งแรงทนทานมาก 

ข้อได้เปรียบของ Fatboy ในตลาดไทยที่ทำให้แบรนด์น่าสนใจคืออะไร

ส่วนใหญ่ถ้าเป็นในประเทศเรา ตลาดของตกแต่งบ้านจะมีแค่แบรนด์อิตาลีระดับไฮเอนด์ที่แพงไปเลย กับอีกหมวดหนึ่งคือแบรนด์ท้องถิ่นอย่างงานแฮนด์เมดในประเทศและของจีน ก็เลยมองว่าทำไมไม่มีแบรนด์ที่อยู่ตรงกลาง คือแบรนด์สินค้าคุณภาพดีที่ไม่ได้มีราคาสูงมากสำหรับให้คนทั่วไปใช้ เพราะแม้แต่ดีไซเนอร์เองเวลาเลือกเฟอร์นิเจอร์มาใช้ที่บ้านก็ยังมีปัญหาในการเลือกเลยทำให้รู้สึกว่าช่องว่างตลาดตรงนี้มันยังมีอยู่

การมีทีมเป็นดีไซเนอร์ทำให้เรามีความรู้เรื่องดีไซน์และรู้จักแบรนด์ต่างๆ ดีอยู่แล้วและรู้ว่าควรมองหาแบรนด์แบบไหนมาเติมในตลาด เราจะมีความเข้าใจกลุ่มลูกค้าที่เป็นดีไซเนอร์ด้วยกันว่าต้องการอะไร แต่ในขณะเดียวกันในการนำเข้าสินค้าเข้ามาเราก็คำนึงถึงคนทั่วไปที่ไม่ได้มีมุมมองแบบดีไซเนอร์ด้วยว่าต้องนั่งสบายและใช้แล้วทนทานผนวกกัน 

ทั้งหมดนี้ทำให้เราคัดเลือกสินค้าที่มีคาแร็กเตอร์ มั่นใจได้ว่ามีดีไซน์ที่สวยงามแล้วนอกจากนั้นก็คำนึงถึงด้านอื่นๆ อย่างเรื่องราคาที่ต้องจับต้องได้

คุณมีเทคนิคการตั้งราคาสินค้านำเข้าให้เหมาะกับตลาดไทยยังไง

เวลาทำการตลาดที่ไทย เราก็จะมองเห็นก่อนแล้วว่าสินค้าตัวไหนน่าจะขายดีและขายได้แล้วตั้งราคาให้อยู่ในช่วงราคาที่ลูกค้ารู้สึกว่าน่าซื้อและจับต้องได้ เราเลือกสินค้าที่คิดว่าเข้ากับคาแร็กเตอร์ของคนไทยและเหมาะกับไลฟ์สไตล์โดยนึกเทียบจากตัวเราเอง 

ปกติในการคิดราคาถ้าคิดง่ายๆ ก็จะคูณไปเลยว่าอยากได้กำไรเท่าไหร่ แต่เราจะคิดว่าถ้าเป็นเราที่อยากแต่งบ้าน เราจะซื้อของชิ้นนี้ได้ที่ราคากี่บาทนะ จะถามน้องในทีมว่าอยากซื้อของชิ้นนี้ในราคาเท่าไหร่ ถ้าแพงไปก็อาจลดราคาลงมาหน่อยให้คนซื้อได้ เราคิดกันเยอะมากเรื่องราคาเพราะอยากให้คนได้ลองใช้ของคุณภาพดีที่อยู่ได้นาน 

แสดงว่าในสายตาคุณ Fatboy ถือเป็นแบรนด์นอกมีดีไซน์ที่ราคาเข้าถึงได้ใช่ไหม

พอเทียบราคากับคุณภาพแล้วจะเห็นว่าได้สินค้าไซส์ใหญ่และมีคุณภาพดี อย่างราคาบีนแบ็กทั่วไปในท้องตลาดจะถูกมากๆ แต่ถ้าคนที่สนใจเรื่องดีไซน์ คุณภาพ ความแข็งแรงทนทาน เขาก็จะขยับมาหาแบรนด์นี้เพราะว่าราคาไม่ได้แรงจนเกินไป กระเป๋าและโคมไฟที่ราคาหลักไม่กี่พันบาทก็มี 

ตอนที่เราเลือกสินค้านำเข้าจากแค็ตตาล็อกและเห็นว่าบีนแบ็กมีไซส์เล็กก็ยังคุยกับน้องในทีมกันเลยว่าราคานี้เป็นของไซส์เล็กเนอะ แต่ปรากฏว่าไซส์เล็กของแบรนด์เขายังเป็นขนาดที่ใหญ่มากๆ สำหรับคนเอเชียและมีคุณภาพการตัดเย็บดี 

คุณมีแผนการตลาดในการแนะนำแบรนด์ Fatboy สู่ตลาดไทยยังไงบ้าง 

พอเป็นแบรนด์ใหม่ ถ้าเราทำแค่การตลาดออนไลน์ คนก็จะเอ๊ะว่าเป็นแบรนด์อะไร คนที่ไม่รู้จักก็ต้องอยากแวะมาดูสินค้า เราเลยทำพื้นที่โชว์รูมแห่งนี้และจัดอีเวนต์เปิดตัวชื่อ Fatboy Funky Museum เพราะอยากให้คนมาสัมผัสจับต้อง รู้จักสินค้า มาเข้าใจว่าของจริงหน้าตาเป็นยังไง มีคุณภาพเป็นยังไง

การเปิดโชว์รูมก่อนในช่วงแรกจะเป็นการแนะนำให้คนในประเทศรู้จักแบรนด์ ชวนให้คนเข้ามาดูต่อในเว็บไซต์ อินสตาแกรม พอเริ่มเป็นที่รู้จัก ลูกค้าเริ่มซื้อของติดไม้ติดมือกลับไป เริ่มเห็นคาแร็กเตอร์แบรนด์มากขึ้น เราก็จะเริ่มเน้นขายออนไลน์และนำไปวางขายตามห้างเป็นหลักในช่องทางที่คนเข้าถึงได้ง่าย

อนาคตอยากขยายธุรกิจและเพิ่มเติมความสนุกของ Fatboy Thailand ยังไงบ้าง

เดี๋ยวเรากำลังจะมีป๊อปอัพสโตร์ที่แรกที่เซ็นทรัลเวิลด์ เปิดวันที่ 3 ตุลาคม จะจัดเป็นระยะเวลาประมาณ 5 เดือนซึ่งก็จะเหมาะกับช่วงเทศกาล festive ตั้งแต่ฮาโลวีน คริสต์มาส ปีใหม่ วาเลนไทน์ ก็อยากทำให้เป็นสีสันความสนุกและอยากทดลองตลาดด้วย ถ้าเวิร์กเราก็อาจจะไปเปิดที่อื่นต่ออีก

สำหรับ Fatboy ตอนนี้นอกจากจะขาย B2C แล้ว เรายังมองไปถึงการเน้นที่กลุ่ม B2B ด้วย เช่น กลุ่มโรงแรม ตอนนี้กำลังจะมี pilot project ที่เชียงใหม่ มีโรงแรมที่อยากรีโนเวตบริเวณเอาต์ดอร์และสระว่ายน้ำแล้วอยากเอาสินค้าของ Fatboy ไปวาง ในอนาคตต่อไปถ้ามีกลุ่มลูกค้าคอร์เปอเรต เช่น โรงแรมต่างๆ ที่มีคาแร็กเตอร์แบรนด์เข้ากันและสามารถเอาแบรนด์เราเข้าไปผสมผสานในงานดีไซน์ของโรงแรมได้ก็น่าจะสนุกดี

Add to cart : 5 สินค้าแนะนำของ Fatboy Thailand

1. Bean Bag สินค้าซิกเนเจอร์ของ Fatboy ที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก โดยบีนแบ็กจะมีขนาดใหญ่และหลายเนื้อผ้าให้เลือก ปรับรูปทรงให้เข้ากับรูปร่างของผู้ใช้ได้ดี สบาย เหมาะสำหรับทุกพื้นที่ ทั้งในบ้านและนอกบ้าน

2.  Lamzac โซฟาลมพกพา ที่เป่าลมได้ง่าย โดยการโบกในอากาศ สามารถใช้งานได้ทุกที่ ทุกเวลา เบาและพับเก็บง่ายพกพาสะดวก เหมาะสำหรับการใช้งานเอาต์ดอร์ เช่น ตั้งแคมป์ หรือใช้ในบ้านก็ได้เหมือนกัน

3.  Edison the Petit Family มีหลายขนาดตั้งแต่ Edison the Petit Mini, Edison the Petit Small, Edison the Petit Medium, Edison the Petit Grand, Edison the Petit Giant เหมาะกับการใช้ตกแต่งทั้งในและนอกบ้านให้แสงที่นุ่มนวลและอบอุ่น ไม่ระคายตา สามารถปรับระดับความสว่างได้โดยการดึงป้าย Fatboy ค้างไว้

4. Attackle! เป็นเก้าอี้ยาว (bench) ที่มีดีไซน์เป็นรูปสุนัขสี่ขาตัวใหญ่สามารถรองรับน้ำหนักได้สูงถึง 170 กก. สร้างความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำจากวัสดุพลาสติกที่ทนทาน polyethylene ใช้งานได้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน และยังเป็นวัสดุที่นำไปรีไซเคิลต่อได้ด้วย

5. Headdemock เปลญวนขนาดใหญ่ที่รองรับได้ถึงสองคน โครงสร้างมีความแข็งแรงและติดตั้งง่าย มาพร้อมกับขาตั้งที่ไม่ต้องใช้ต้นไม้หรือเสา เหมาะสำหรับการพักผ่อนนอกบ้าน

สูตรการทำธุรกิจขนมหวานให้ยืนระยะได้ของ After You จากงาน The Secret Sauce Summit 2024

สารพัดแบรนด์ขนมหวานผุดขึ้นใหม่เป็นดอกเห็ด บ้างล้มหายไปจากสมรภูมิ บ้างยังคงอยู่ หนึ่งในผู้เล่นที่ยืนอยู่ในสมรภูมิขนมหวานได้อย่างมั่นคงแข็งแรงก็คือ After You ผู้เล่นสำคัญที่ไม่ว่าจะทำโปรดักต์ไหนอออกมาก็ได้รับการตอบรับที่ดีเสมอ 

ย้อนกลับไป 17 ปีก่อนตอนที่แบรนด์ After You ก่อตั้งขึ้น ตลาดขนมหวานในวันนั้นยังมีคู่แข่งเพียงไม่กี่ราย และคากิโกริยังเป็นสินค้าใหม่ในหมู่คนไทย มาวันนี้ในวงการขนมหวานมีผู้เล่นมากหน้าหลายตา ทว่า ผ่านมา 17 ปี After You กลับยังคงยืนระยะมาได้มาได้อย่างแข็งแกร่ง

คอลัมน์ Keynote ตอนนี้จะพาไปถอดสูตรลับความสำเร็จ ที่ ‘เมย์-กุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ’ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) ได้มาแบ่งปันไว้ในเวที The Secret Sauce Summit 2024 โดยเฉพาะวิธีคิดเบื้องหลังการพาแบรนด์ขนมหวานสัญชาติไทยไปโกอินเตอร์ ไปจนถึงการสร้างยอดขายหลักพันล้านและสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รักยาวนานมาถึงขวบปีที่ 17 

1. คิดค้นโปรดักต์ให้ถูกใจตลาด

เริ่มคิดจากสิ่งที่ตัวเองชอบ ทำในสิ่งที่อยากกินและหาไม่ได้ เพราะเมื่อได้คำตอบของสิ่งที่ชอบ หรือรู้ว่าหาของที่ต้องหาไม่ได้ แปลว่าสิ่งนั้นคือช่องว่างทางตลาดที่เราเข้าไปได้ และเป็นโอกาสในการลงมือทำ ยกตัวอย่างเช่น เมนูโทสต์ที่เริ่มจากความคิดง่ายๆ คืออยากทำให้คลาสิกและเพิ่มความน่าสนใจด้วยการทำขนาดให้ใหญ่ขึ้น เพื่อให้ลูกค้าประทับใจและอยากแบ่งปันให้คนอื่นได้เห็น ส่วนเมนูคากิโกรินั้นรังสรรค์จาก pain point ที่ว่าหาทานไม่ได้ จึงตัดสินใจลงมือทำเอง

นอกจากนั้น After You ยังมีโปรดักต์จำนวนมากเก็บไว้ในลิ้นชัก และพร้อมนำมาผลิตขายทุกเมื่อ แต่การเลือกสินค้าใดสินค้าหนึ่งออกมาขาย ไม่ได้อาศัยแค่สูตรที่พร้อม เพราะเรื่องไทม์มิ่งที่เหมาะสมก็สำคัญไม่แพ้กัน เช่นล่าสุดกับเมนู Baby Eclair แบรนด์เลือกที่จะเกาะกระแสเอแคลร์จือปากด้วยการออกโปรดักต์เอแคลร์รสเมร่อน ว่าง่ายๆ คืออะไรที่ตลาดทำ After You จะไม่ทำ แต่อะไรที่ตลาดไม่ทำ After You จะลุย 

2. ทำ R&D และระบบหลังบ้านให้แข็งแรง

ที่ After You มีสูตรขนมเก็บไว้ในคลังมากมายฃจากการเก็บดาต้า และทำ R&D โดยเริ่มทำจากสิ่งที่ชอบ คิดค้นและพัฒนาจากของที่อยากกิน และเก็บมันเข้าคลังไว้รอจังหวะที่เหมาะสม ซึ่งปัจจุบัน After You มีทีม R&D ทั้งหมด 5 คน และในทุกสัปดาห์การทำงาน ทีมจะคิดค้นเมนูใหม่ๆ ออกมาให้เมย์ชิม เมนูไหนถูกใจก็เก็บเข้าลิ้นชัก ถึงเวลาต้องลุยก็พร้อมงัดออกมาเฉิดฉาย 

นอกจากคิดค้นและพัฒนาสินค้าให้ดีงามและพร้อมใช้อยู่เสมอ After You ยังให้ความสำคัญกับการสร้างระบบหลังบ้านที่แข็งแรง เนื่องจากในระยะแรกที่ทำแบรนด์เลือกขายสินค้าหลากหลายแบบจนเกินไป ทั้งอาหารเช้า คัพเค้ก ฯลฯ ทำให้บริหารจัดการร้านได้ยาก ก่อนตัดสินใจปรับสเกลใหม่ให้เล็กลงเพื่อสร้างระบบร้านที่ดีและมั่นคง ใน 3 ปีแรกของแบรนด์ เมย์จึงเลือกขยายสาขาเพียงแค่ 3 สาขา เพื่อทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป 

3. อยากขายอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูด้วยว่าลูกค้าอยากซื้อรึเปล่า

นอกจาก timing ที่เหมาะสม อีกข้อสำคัญคือความต้องการของตลาด เพราะหากความต้องการขายกับความต้องการซื้อไม่ไปในทางเดียวกัน จากที่คิดว่าโปรดักต์ดี ขายได้แน่นอน ก็อาจจะร่วงไม่เป็นท่า ซึ่งการจะรู้ดีมานกับซัพพลายของลูกค้าได้จะต้องสังเกตการณ์และเก็บข้อมูล เช่น เช็กยอดขาย จำนวนลูกค้า ไปจนถึงสถานการณ์ร้านที่ต้องดูว่าลูกค้าแต่ละสาขาต้องรอคิวหรือเปล่า ดังนั้น การสร้างระบบที่ดีเป็นเรื่องสำคัญ และสังเกตดีมานให้ดีก็สำคัญไม่แพ้กัน 

4. ‘คน’ คือหัวใจสำคัญของงานบริการ

อาฟเตอร์ยูเริ่มต้นจากการมีพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจเป็นคนในครอบครัว ทั้งน้องชาย คุณแม่ คุณพ่อ ลูกพี่ลูกน้อง ฯลฯ แม้ปัจจุบันจะขยายองค์กร แต่ยังคงดูแลและปฏิบัติกับคนทำงานเหมือนครอบครัว 

มากกว่านั้น ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาสมาชิกขององค์กร อาฟเตอร์ยูจะเทรนพนักงานอยู่เสมอ และหากคนทำงานเจอกับปัญหา เมย์ในฐานะผู้นำจะดำเนินการแก้ปัญหาทันที ไม่ปล่อยผ่าน ด้วยเชื่อว่าคนทำงานสำคัญที่สุดของงานบริการ ดังนั้น คนทำงานต้องได้อยู่ในสภาวะที่ดีที่สุด ถ้าพนักงานมีความสุข ก็จะส่งต่อความสุขสู่ลูกค้าได้

ก่อนจบเซสชั่น เมย์ได้ทิ้งท้ายวิธีคิดสำคัญที่ทำให้อาฟเตอร์ยูอยู่ยั้งยืนยงมาได้ถึงขวบปีที่ 17 และเป็นอาฟเตอร์ยูที่ไม่เก่า แถมยังคงเก๋าและสดใหม่ตลอดกาล นั่นคือ ‘รู้ว่าตัวเองเป็นใคร’ คือรู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร แค่ไหน และสิ่งนั้นเหมาะกับตัวเรารึเปล่า 

ด้วยวิธีคิดเช่นนี้ ทุกครั้งที่อาฟเตอร์ยูออกโปรดักต์ใหม่ เราจึงมักได้เห็นความสดใหม่หวานหอมจากแบรนด์อยู่เสมอ

หรอยจ้านกับอาหารทะเลสดใน ‘ทัวร์ลาต๊ะ’ ที่ชวนท่องเลจะนะกับชาวสะกอม

“ไม่มีเศรษฐีคนไหน สามารถสร้างปูได้

ไม่มีเศรษฐีพันล้านหมื่นล้านคนใด สร้างหมึกและปลาใสๆ ได้

เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งที่อัลเลาะห์ให้มา เราต้องหวงแหนและรักษาไว้”

นี่คือคำกล่าวของชาวบ้านจะนะจากภาพยนตร์สารคดี ‘นักรบผ้าถุง เริน เล และแสงตุหวัน’ (Sarong Warrior Documentary)

ทะเลจะนะ จังหวัดสงขลา เป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์ทางอาหารทะเล สวรรค์ของอาหารซีฟู้ด กุ้งเนื้อนุ่มแน่น หวาน สารพัดพันธ์ุปลา ปู หอยสดๆ จากเรือประมงพื้นบ้านที่นำมาปรุงด้วยสูตรท้องถิ่น ปิ้งบนเตาย่างหอมๆ จิ้มกับน้ำซีฟู้ดรสเด็ด พื้นที่แห่งนี้จึงเป็นทั้งบ้าน แหล่งอาหาร แหล่งทำมาหากินที่ทำให้ชาวบ้านอิ่มหนำสำราญและร่ำรวยมาช้านาน

ชาวบ้านที่นี่จึงรัก ผูกพัน และหวงแหนทะเลมาก

วันที่ภาครัฐประกาศแผนการเปลี่ยนชายฝั่งจะนะเป็นโครงการนิคมอุตสาหกรรม กลุ่มแม่บ้าน และผู้หญิงชุมชนประมงพร้อมวางครัวรวมตัวผนึกกำลังปกป้องทะเลอย่างกล้าหาญและเรียกตัวเองว่า ‘นักรบผ้าถุง’ ทุกวันนี้แผนการสร้างนิคมอุตสาหกรรมได้ถูกระงับไว้ชั่วคราวและกลุ่มนักรบผ้าถุงได้ดำเนินธุรกิจเพื่อสังคมต่อไปในชื่อ ‘อาหารปันรัก’ ธุรกิจที่ส่งเสริมวิถีประมงพื้นบ้านด้วยการนำเสนอสินค้าอาหารทะเล พร้อมบริการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรมที่พานักท่องเที่ยวไปสัมผัสความอร่อยไปจนถึงล่องเรือจับปลาด้วยกัน 

“เวลาอยู่ที่นี่ หนึ่งวันต้องหัวเราะเกิน 10 ครั้ง” 

คนนอกพื้นที่อย่างตั้มและปาล์มบอกว่าการได้เข้ามาสัมผัสจะนะด้วยตัวเองทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงนิสัยทะเล้นของคนใต้ ความจริงใจที่ทำให้สนิทกันหมือนญาติพี่น้องได้อย่างรวดเร็วจนอยากถ่ายทอดเสน่ห์ให้คนนอกได้รับรู้แบบเดียวกับที่พวกเขาได้สัมผัส  

ตั้ม–กีรติ โชติรัตน์ เป็นผู้กำกับของ On the Rec. ที่เชี่ยวชาญการผลิตสื่อวิดีโอทั้งงานสารคดีภาพยนตร์และสนุกกับการถ่ายทอดวิถีชีวิตของชุมชนให้เข้าถึงคนวงกว้าง ส่วนปาล์ม–วิศรุต ขวัญสง่า เป็นนักออกแบบอิสระที่เคยทำงานเป็นสถาปนิกชุมชนมาก่อน ความถนัดคือการต่อยอดต้นทุนของชุมชนมาเป็นผลิตภัณฑ์และบริการที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้  

ทั้งคู่เป็นครีเอเตอร์ที่เริ่มต้นทำงานออกแบบการสื่อสารให้กลุ่มนักรบผ้าถุงและตอนนี้ยังเลือกอยู่ที่สะกอมต่อไปเพราะจะนะกลายเป็นบ้านแห่งใหม่ของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว

‘ทัวร์ลาต๊ะ’ เป็นไอเดียโปรแกรมท่องเที่ยวที่ตั้มและปาล์มริเริ่มร่วมกับ แก๊ส–ศุภวรรณ ชนะสงคราม ผู้จัดการโครงการอาหารปันรักและที่ปรึกษากลุ่มนักรบผ้าถุงผู้เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนกิจกรรมท่องเที่ยวและอาหารจากชุมชนประมงพื้นบ้าน

ด้วยทักษะการเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ของตั้มและความเป็นนักออกแบบของปาล์มทำให้เป็นครั้งแรกที่ตำบลสะกอม อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลาแห่งนี้มีสื่อคลิปวิดีโอที่เล่าถึงเสน่ห์และสปิริตของชุมชนได้อย่างครบถ้วนในรอบสิบปีที่ทำอาหารปันรักมา แถมยังมีโปรแกรมทัวร์และการออกแบบกราฟิกที่เล่าเรื่องอาหารการกิน ภาษา วัฒนธรรมท้องถิ่นได้อย่างเข้าใจง่ายพร้อมอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวเข้าไปจองทัวร์ได้ง่ายขึ้น

วันนี้ชวนคุยกับแก๊ส ตั้ม และปาล์มถึงการทำทัวร์ลาต๊ะและการสื่อสารที่อยากชวนคนรุ่นใหม่มาเที่ยวสะกอมมากขึ้น

“มาศึกษาหมู่บ้านเรา ทะเลของเราที่เราป้องกันที่เรารักษานี้ ทำไมถึงได้มารักษา” ชาวบ้านจะนะกล่าว ก่อนภาพยนต์สารคดีจบลง

สะกอม Glossary 

ก่อนหน้านี้แก๊สสื่อสารเรื่องราววิถีชีวิตของชาวประมงพื้นบ้าน ทรัพยากรวัฒนธรรม ภาษา อาหารการกินของชุมชนแบบง่ายๆ ผ่านเพจ ‘อาหารปันรัก’ และเฟซบุ๊กส่วนตัว “ที่ผ่านมาเราจะเล่าว่าอาหารทะเลของเราอุดมสมบูรณ์ มีอาหารทะเลสด อร่อย ไม่ว่าจะออกแบบทัวร์แบบไหนคนก็จะเรียกเราว่าเป็นทัวร์กิน” 

แต่เดิมชื่ออาหารปันรักมีที่มาจากการอยากแบ่งปันอาหารดี อาหารสด แบ่งปันความรักให้นักท่องเที่ยวเข้ามามีส่วนร่วมโดยที่ผ่านมากลุ่มที่สนใจทัวร์ชุมชนมากที่สุดคือเจนฯ X แม้ชุมชนจะชวนนักท่องเที่ยวมาตลอดสม่ำเสมอ และมีการบอกต่อกันปากต่อปากแต่การสื่อสารประชาสัมพันธ์ยังเข้าไม่ถึงกลุ่มคนวงกว้างและเจนฯ Y มากนัก

ชื่อ ‘ทัวร์ลาต๊ะ’ พร้อมสโลแกน ‘ชวนลางาน กินราไหม ไปสะกอม’ เป็นคอนเซปต์ที่ตั้มและปาล์มร่วมเสนอไอเดียตั้งชื่อขึ้นใหม่เพราะอยากเปลี่ยนจากชื่อที่เป็นทางการให้มีความเฟรนด์ลี่กับนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่มากขึ้น ใช้คำที่ชวนสงสัยและน่าติดตามมากขึ้นโดยถามข้อมูลภาษาท้องถิ่นจากแก๊ส  

“อย่างคำว่า ‘ลาต๊ะ’ ทั้ง 2 คนก็ใช้วิธีถามพี่ว่ามีคำอะไรบ้างที่จะเกี่ยวข้องกับทัวร์ได้” 

‘ลาต๊ะ’ แปลว่า กินเล่น สื่อว่าที่นี่มีอาหารทะเลเยอะจนสามารถกินกับมากกว่ากินข้าว หรือกินเล่นแต่กับ ไม่กินข้าวก็ได้ กินเสร็จแล้วก็มีให้กินเล่นกันต่อได้เรื่อยๆ  

‘ชวนลางาน’ สื่อถึงการอยากให้กลุ่มคนเจนฯ Y ในวัยทำงานลางานมาเที่ยว

‘กินราไหม’ สื่อถึงการชวนมากินข้าวร่วมกันให้สนุกสนานจาก ‘ราไหม’ ในภาษาสะกอมที่แปลว่าสนุก

‘ไปสะกอม’ คือชวนมาเที่ยวที่สะกอม  

คำไม่คุ้นหูคนกรุงเหล่านี้เป็นภาษาสะกอมที่ใช้ในตำบลสะกอมซึ่งแตกต่างจากภาษาใต้ทั่วไป โดยแต่เดิมทัวร์อาหารปันรักจะครอบคลุมการท่องเที่ยวใน 3 ตำบลของอำเภอจะนะที่ติดชายทะเล ได้แก่ตำบลนาทับ ตลิ่งชัน และสะกอม แต่ด้วยความที่การออกแบบทัวร์ครั้งนี้อยากโปรโมตเฉพาะพื้นที่สะกอมเป็นพิเศษ เลยนำภาษาสะกอมมาใช้

อัตลักษณ์ด้านภาษาเป็นสิ่งที่แก๊สคาดไม่ถึงว่าเป็นสิ่งที่สื่อสารออกไปแล้วทำให้เรื่องราวชุมชนมีเสน่ห์ 

“พี่เข้าไปทำงานที่นี่ 20 กว่าปีแล้ว หลายอย่างก็รู้สึกชิน ไม่เห็นว่าอะไรพิเศษ อย่างมากเราก็ไปโม้คนอื่นว่ามีภาษาสะกอมแล้วได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมแค่นั้นก็จบ แต่ทั้งสองคนเข้ามาทำให้เห็นว่าเอาภาษานี้มาทำให้คนรู้จักได้อย่างน่าตื่นเต้น มีเสน่ห์ และดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ด้วย” 

ลองฟังเสียง สำเนียงคนสะกอมที่ออกเสียงคำว่า ‘ลาต๊ะ’ ได้อย่างน่ารักและเรียนภาษาสะกอม 101 ได้ที่ สะกอม Glossary

ตีเนียนเป็นคนสะกอม

“จุดเด่นของอาหารปันรักคือทัวร์กิน มาที่นี่ต้องได้กิน เราวางไว้ว่าต้องชูจุดเด่นและเรื่องราวของอาหาร ก็เลยแบ่งประเภทออกมาเป็น ‘4 ติด’” คอนเซปต์ ‘ติดหรู ติดฉาว ติดนิ ติดเล’ คือไอเดียที่ตั้มบอกว่าคิดขึ้นมาเพราะอยากเล่าเรื่องให้เข้าใจง่าย

ติดหรู คือการทานอาหารทะเลแบบฟิวชั่น สัมผัสความอร่อยของสะกอมทุกรูปแบบตั้งแต่รสชาติพื้นบ้านยันจานร่วมสมัยที่เชฟในพื้นที่พร้อมมาปรุงให้เห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ ของวัตถุดิบในทะเลจะนะ 

ติดฉาว ‘ฉาว’ ในภาษาใต้แปลว่าเสียงดัง สื่อถึงการล้อมวงกินกันหลายคน enjoy eating กันแบบสนุกๆ เป็นโปรแกรมทานอาหารทะเลสดแบบปิ้งย่างเองริมทะเลที่ใครมาเยือนสะกอมต้องไม่พลาด 

ติดนิ ทานอาหารฝีมือ ‘นิ’ ซึ่งในภาษาใต้แปลว่าพี่สาว สื่อถึงอาหารฝีมือแม่รสชาติท้องถิ่นที่จะมีโอกาสชิมเมื่อไปกินตามบ้านในชุมชนเท่านั้น นิจะเข้าครัวเตรียมวัตถุดิบพื้นบ้านทั้งโขลกเครื่องแกงให้ถึงรสชาติ ทอดปลากรอบๆ และเปิดบ้านให้ทานจนอิ่ม

ติดเล ลงทะเลพร้อมชาวประมง สัมผัสความมหัศจรรย์ในการออกทะเลและกินสำรับเดียวกับชาวประมง เรียกได้ว่าชาวประมงกินแบบไหนก็ได้กินแบบนั้น

แทบทั้งหมดนี้เป็นกิจกรรมเดิมที่ตั้มบอกว่ากลุ่มอาหารปันรักจัดให้นักท่องเที่ยวอยู่แล้ว แต่เพิ่มกิมมิกใหม่และการเล่าเรื่องให้น่าสนใจขึ้นในรูปแบบทัวร์ลาต๊ะ จัดหมวดหมู่โปรแกรมเที่ยว เล่าเรื่องใหม่ให้เข้าใจง่ายมากขึ้น “นักท่องเที่ยวจะไม่ได้แค่มากินอย่างเดียว แต่ทุกกิจกรรมก็จะมีเรื่องราว มีนิๆ อยู่ในทุกส่วนของอาหารในมื้อนั้น จะได้ร่วมเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมไปด้วย”

วิถีเรือประมงพื้นบ้านของที่นี่ยังจับปลาตามฤดูกาลโดยไม่เอาเปรียบธรรมชาติทำให้เมนูอาหารทะเลไม่ซ้ำกันในแต่ละฤดู คาดเดาเมนูไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าอยากมาเยี่ยมสะกอมช่วงไหนของปี

มีตั้งแต่ปลาจะละเม็ด ปลากะพง ปลาอินทรี หมึกกล้วย หมึกหอม หมึกกระดอง หมึกสาย ปลาเก๋า ปลากุเลา ปลาทราย ปลากระบอก ปลาสาก ปลาช่อนทะเล หอยหวาน หอยแมลงภู่ ปูม้า กุ้งแชบ๊วย กุ้งหวาย กุ้งก้ามกราม ไปจนถึงเมนูปรุงแล้วได้แก่ เนื้อปูแกะ ปูนึ่ง กั้งกระดานนึ่ง กะปิเคยจากทะเล และอีกมากมาย

อาหารทะเลที่อุดมสมบูรณ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่แก๊สบอกว่าทำให้ชุมชนที่นี่ร่ำรวย “ที่นี่จะมีอาหารทะเลเยอะ ชาวบ้านก็จะพูดว่า ‘เรารวยนะ แต่เราไม่ได้รวยตังค์ เรารวยอาหารทะเล’ อย่างปลาจะละเม็ดขาวหรือปลาเต๋าเต้ยที่ราคาแพงมาก ถ้าทำอาชีพอื่นคงยากที่จะเอามาให้กินได้แต่ว่าเราไปจับมาเองได้เลย เราสามารถเอาของที่คนเมืองเห็นว่าราคาสูงมาเลี้ยงได้เองทำให้รู้สึกภูมิใจ 

“เวลาเดินไปเห็นชาวบ้านล้อมวงกันอยู่ เขาบอกเราว่าวันนี้ออกทะเลจับอะไรไม่ได้อะไรเลย แต่กลางวงมีหอยชนิดหนึ่งชื่อหอยขาวต้มไว้เป็นกระทะใหญ่เลย ติดอวนมาแล้วก็ทำน้ำจิ้มมานั่งกินกันเล่นๆ  ถ้าเป็นคนอื่นคงรู้สึกว่า โห…นี่เป็นมื้อหรูเลย

“สิ่งนี้เป็นความพิเศษที่รู้สึกประทับใจ คนชนบทเขามีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ทำให้ไม่ต้องไปซื้อมาเหมือนคนเมืองแล้วก็มีความเอื้อเฟื้อ เอื้ออารีที่เผื่อแผ่ถึงคนอื่น ชวนคนกินข้าวด้วย” 

ออกแบบสื่ออย่างหรอย

ทัวร์ลาต๊ะยังถูกออกแบบโปรแกรมใหม่ให้เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งกิจกรรมทาน 1 มื้อสำหรับคนที่มีเวลาน้อยแต่อยากกินอาหารทะเล, เที่ยว 1 วันแบบไปเช้า เย็นกลับ หรือทัวร์ 2-3 วันที่กินให้ครบทุกโปรแกรมในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดยาว

จากแต่เดิมที่ชุมชนไม่ได้ออกแบบกิจกรรมเป็นโปรแกรมทัวร์ ใช้วิธีโทรคุยตกลงกับนักท่องเที่ยวว่าอยากกินอะไรและเที่ยวแบบไหน ตอนนี้ชุมชนมีเว็บไซต์ ‘ทัวร์ลาต๊ะ’ ที่ปาล์มทำขึ้นเพื่อให้นักท่องเที่ยวอ่านเรื่องราวและโปรแกรมทัวร์ก่อนจองได้สะดวกขึ้นและยังพัฒนาระบบการจองแบบง่ายๆ ผ่าน Google Forms ที่ลดขั้นตอนการทำงานแมนวลของชุมชนออกไป เมื่อจองเสร็จนักท่องเที่ยวจะได้รับข้อมูลยืนยันการจองที่มีการระบุว่าเมนูอาหารทะเลตามฤดูกาลของชุมชนในช่วงนั้นมีอะไรบ้าง

การที่ตั้มได้ไปลองใช้ชีวิตกับชาวบ้านที่สะกอมยังทำให้เขาสามารถถ่ายทอดเรื่องราวของชาวบ้านที่นี่ได้เป็นอย่างดี ทีม On the Rec. เป็นผู้จัดทำภาพยนตร์สารคดี ‘นักรบผ้าถุง เริน เล และแสงตุหวัน’ และวิดีโอโฆษณาทัวร์ลาต๊ะที่เก็บบรรยากาศครื้นเครงเป็นกันเองและอยากชวนให้คนรุ่นใหม่ออกมาเที่ยวสะกอม 

“เราเล่าโปรแกรมทัวร์ ‘ติดหรู ติดเล ติดนิ ติดฉาว’ ในวิดีโอตัวนี้เพื่อชูให้เห็นว่าที่นี่มีเรื่องราวทั้งอาหารการกิน การท่องเที่ยวเชิงวิถี ได้พาตัวเองไปที่ไม่คุ้นเคยและได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ โดยคนรุ่นใหม่สามารถปรับไลฟ์สไตล์ให้เข้ากับคนพื้นถิ่นได้” 

ด้วยชื่อทัวร์ภาษาสะกอมที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก ปาล์มจึงออกแบบตัวอักษรกราฟิกเป็นฟอนต์เส้นประลายจุดคล้ายในสมุดคัดลายมือจากแรงบันดาลใจในคอนเซปต์ท่ีสื่อถึงการเรียนรู้ภาษาใหม่ในโลกใหม่  

“เวลาเราเรียนภาษาใหม่ ก ไก่ ข ไข่ เราก็ต้องมานั่งลากเส้นประ สะกอมคือภาษาใหม่สำหรับคนที่จะเข้ามาเรียนรู้หรือก้าวสู่โลกใหม่ใกล้บ้านเขา เราตั้งเป้าว่าอยากดึงดูดคนหาดใหญ่ก่อน เขาอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเดินทางไม่กี่นาทีจากตัวเมืองหาดใหญ่ก็สามารถไปสู่โลกใหม่ที่คนใช้ภาษาพูดกันแบบสนุกสนาน แม้จะฟังไม่รู้เรื่องแต่สนุกมาก

“ด้วยความที่นี่เป็นชุมชนมุสลิมและบางคนจะไม่เข้าใจในวิถีที่แตกต่างเหล่านี้ เราก็ใช้กระบวนการออกแบบมาทำให้องค์ประกอบของคีย์วิชวลต่างๆ ดูเฟรนด์ลี่มากขึ้น เช่น ตัวการ์ตูนกราฟิกวิถีมุสลิม ความรู้ที่อ่านสนุกแล้วทำให้เข้าใจชุมชนก่อนมาเที่ยวมากขึ้น”   

ไอเดียการทำทัวร์ คอนเทนต์ และการออกแบบการสื่อสารทั้งหมดได้ทดลองทำในชุมชนและนำระบบการจองทัวร์แบบใหม่มาทดลองใช้ในงานปักษ์ใต้ดีไซน์วีค 2024 โดยระยะยาวมีการวางแผนต่อยอดการทำคอนเทนต์ด้วยการเพิ่มช่องทางการสื่อสารจากเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมไปยังยูทูบและติ๊กต็อกเพิ่มเติม เตรียมฝึกให้นักรบผ้าถุงใช้งานเว็บไซต์และ Google Forms เพื่อรับสมัครและโต้ตอบกับนักท่องเที่ยวเองได้ ไปจนถึงฝึกให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ของชุมชนมาสานต่อการทำเวิร์กช็อป

สิ่งเล็กๆ น้อยนิดมหาศาลที่ดีต่อใจ  

“ถ้านั่งรถผ่านเข้ามาในชุมชนโดยมองด้วยตาเนื้อธรรมดาก็อาจจะรู้สึกว่าเป็นชุมชนมุสลิมแห่งหนึ่งที่ไม่ได้น่าสนใจเลย แต่พอได้เข้ามาอยู่ในชุมชน ได้มาเห็น แล้วมองด้วยตาของนักออกแบบ จะมองเห็นดีเทลกระจุกกระจิกที่น่าสนใจซ่อนอยู่เต็มไปหมดเลย คนที่นี่อาจจะมองเป็นเรื่องธรรมดาและไม่รู้ว่าพิเศษแต่สำหรับเรามันเจ๋งไปหมดเลย พอเดินไปดูที่แต่ละบ้านคือฝาพัดลมหายไปหมดเลย การเอาฝาหน้าพัดลมมาทำที่ห้อย ที่ตากปลา การมัด เอาอวนมาทำนู่นทำนี่ มันทั้งตลกและน่ารัก”  

รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ดีต่อใจอย่างมหาศาลเหล่านี้เป็นสิ่งที่ปาล์มหยิบจับมาเป็นออกแบบประสบการณ์สุดพิเศษในทัวร์      

สำหรับใครที่มาเที่ยวทัวร์ลาต๊ะแล้วอยากได้ของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ กลับไป แก๊สเล่าว่าที่นี่ยังมีกิจกรรมของที่ระลึก DIY ที่เก็บความทรงจำจากชุมชนไว้  

“แต่ก่อนเวลานักท่องเที่ยวมาก็จะถามว่ามีอะไรให้ติดไม้ติดมือกลับไปไหม ทางพี่น้องนักรบผ้าถุงคิดกันอยู่นานมากว่าจะมีอะไรเป็นของที่ระลึกได้ แต่เราก็นึกไม่ออก อย่างมากก็คิดว่าให้เขาซื้อกะปิ ปลาแห้งกลับไป

“แต่ปาล์มเห็นในสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนว่าที่นี่มีการเอาเงื่อนของชาวประมงมาผูกเพิงบ้าน เอามามัดมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง ซึ่งมันผ่านตาพี่มาตลอดเกือบทุกวันแต่เราไม่เคยเห็นมันเลย พอไปบอกพี่น้องชาวประมงเขาก็ตื่นเต้นว่าของแบบนี้มันสำคัญด้วยหรือ เกิดเป็น ‘ปาแรแต๊ะ’” 

‘ปาแรแต๊ะ’ แปลว่าประดิดประดอย ในที่นี้สื่อถึงโมบายจากเปลือกหอยที่ตั้งใจประดิดประดอยจาก ‘ส็อกแส็ก’ หรือขยะที่ติดอวนปูจากการหาปูในทะเลซึ่งส่วนใหญ่เป็นเศษเปลือกหอยและขยะชิ้นเล็ก นำมาผูกกับไม้ไผ่ด้วยเงื่อนจากภูมิปัญญาการมัดของชาวประมง

“เดิมเราคิดว่าของที่ระลึกต้องเป็นสิ่งที่เราทำวางไว้แล้วยื่นให้ พอตั้มกับปาล์มมาคุยทำให้เข้าใจว่าการที่นักท่องเที่ยวได้ลงมือทำเองก็ยิ่งเพิ่มความรู้สึกและความทรงจำกับที่นี่มากขึ้นไปอีก สิ่งที่ได้กลับบ้านไปคือทั้งวัตถุดิบและทักษะจากชุมชน” 

นอกจากเวิร์กช็อปประดิษฐ์โมบายแล้วทัวร์ลาต๊ะยังมีกิจกรรมวิถีชุมชนอย่างเวิร์กช็อปดับจาน (แปลว่า จัดเรียง ประดับจาน) ที่ให้นักท่องเที่ยวเป็นคนจัดเรียงอาหารท้องถิ่นเมนูข้าวดอกราย (คล้ายข้าวคลุกน้ำพริก) ด้วยตัวเองให้สวยงาม

และเวิร์กช็อปโปะเทียนที่นำใบเทียนตำผสมกับสมุนไพรต่างๆ แล้วโปะที่นิ้วเพื่อให้เล็บเป็นสีส้มเข้ม ชาวบ้านใช้ในการดูแลรักษามือและเล็บโดยเฉพาะเวลาจับปลาแล้วโดนหอยและปูทิ่มหรือตำมือ

ไอเดียน่ารักน่าลองทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าตั้มกับปาล์มไม่ได้เข้าไปสนิทชิดเชื้อและทำงานระยะยาวในพื้นที่กับชุมชน

จิตวิญญาณแห่งจะนะ 

ในฐานะที่ปรึกษาของชุมชน แก๊สมองว่าชาวบ้านที่นี่พร้อมเรียนรู้และปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ จากที่ปกติจะชวนกลุ่มนักรบผ้าถุงคุยกันเรื่องการคัดค้านนิคมอุตสาหกรรม เมื่อพลิกมาชวนคุยเรื่องการพัฒนาการท่องเที่ยว ชุมชนก็ให้ความสนใจและทำได้ดี  

ผลลัพธ์การทำทัวร์ที่ประสบความสำเร็จมากขึ้นนี้ ย้อนกลับไปตอบโจทย์ว่าจะนะมีเสน่ห์ล้นเหลือกับการเป็นเมืองท่องเที่ยวและแหล่งความมั่นคงทางอาหารมากกว่าเป็นเมืองอุตสาหกรรม 

สมาชิกทีมอย่างปาล์มก็มองเห็นสปิริตของชาวบ้านเช่นเดียวกันกับแก๊ส “ด้วยความที่คนที่นี่มีความเป็น active citizen เขามีพลังในตัวเอง เขาเชื่อมั่นในพลังของตัวเองและความเป็นเขา ภูมิใจในสิ่งที่เขาเป็น ชุมชนที่เขามี สิ่งที่เขามี ซึ่งไม่ใช่ทุกชุมชนจะรู้ว่าตัวเองมีคุณค่าขนาดนี้แล้วตระหนักในพลังของตัวเอง สิ่งนี้สำคัญมากๆ ที่ทำให้เราทำงานกันในระดับเดียวกันและแลกเปลี่ยนกันได้  ไม่ใช่การทำงานแบบสั่งการที่ให้ทุกคนทำตาม”

การทำทัวร์ลาต๊ะยังทำให้แก๊สเห็นการเติบโตของชุมชนที่เธอดูแลมาตลอด “ชาวบ้านพูดเองเลยว่าเมื่อก่อนเวลาเขาจะพูดอะไร เขาจะพูดในสิ่งที่เขาอยากพูด เขาไม่ได้สนใจหรอกว่านักท่องเที่ยวอยากฟังอะไรแต่เขาอยากพูดเรื่องนี้ หลังจากเจอกลุ่มคนหลากหลายและนักท่องเที่ยวเยอะๆ เขาพูดว่าตอนนี้เขาเริ่มคิดแล้วว่าเขาน่าจะดูก่อนว่าคนฟังอยากฟังอะไร ซึ่งพี่คิดว่าถึงเขาจะยังทำแบบนี้ไม่ได้ 100% แต่มองว่าการที่เขาสะดุดใจตรงนี้เป็นการเรียนรู้ได้เร็วมาก 

“ส่วนสิ่งที่ประทับใจตั้มกับปาล์มคือทั้งสองคนจะตื่นเต้นกับเรื่องราวของนักรบผ้าถุงอยู่ตลอดเวลา เรารู้สึกได้ว่าเขาอยากรู้ อยากค้นหาและสนุกที่จะฟัง ถึงจะมีความเห็นต่าง เขาก็เคารพชุมชนในแง่การออกแบบและเคารพในตัวของเขาเองที่เข้ามาในชุมชนด้วย โดยที่ไม่ได้คล้อยตามเราทั้งหมดซึ่งทำให้สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมาได้โดยไม่ละเลยตัวตนของชุมชน”  

ตั้มบอกว่าสิ่งสำคัญในการทำทัวร์ลาต๊ะคือไอเดียทั้งหมดไม่ได้มาจากตัวเขาหรือทีมฝ่ายเดียวแต่มาจากการคุยกันอย่างเปิดกว้างกับชาวบ้าน “การมาทำงานด้านสื่อสารที่ชุมชนนี้ต้องมองถึงเป้าหมายของชุมชนก่อนว่าอยากได้อะไรแล้วมาคิดต่อว่าจะทำยังไงให้ไปถึงเป้านั้นด้วยวิธีการนำเสนอแบบใหม่ๆ  ถ้าเราอยากสื่อสารเรื่องราวจากสิ่งที่ชุมชนมีอยู่หรือสิ่งที่เขาต้องการเล่า เราก็ต้องทำงานร่วมกันกับชาวบ้าน ไม่ใช่คิดจบมาแล้วจากที่บ้านหรือคิดจากตัวเราเองแล้วมายัดให้คนในชุมชน” 

ในขณะที่ปาล์มก็คิดว่าสามารถต่อยอดไอเดียพัฒนาทัวร์ลาต๊ะได้ไม่รู้จบ “ตอนแรกสุดที่เข้ามาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเห็นไอเดียอะไรในการทำที่ท่องเที่ยว แต่พออยู่ยาวๆ ไปความธรรมดากลายเป็นพิเศษ แล้วก็ไม่เคยน่าเบื่อเลยจริงๆ มันเห็นเลยว่า ถ้าเราจะทำซีรีส์โปรโมต มันสามารถทำเป็นซีรีส์ยาวได้หลายปีมากเลย มีเรื่องเล็กๆ ซ่อนอยู่มากมายแล้วมันไม่เคยจบ” 

จากทัวร์ลาต๊ะที่ร่วมกันทำด้วยความสามัคคี ทั้งสามคนและนักรบผ้าถุงน่าจะยังมีความฝันและไอเดียอีกมากมายที่อยากพัฒนาสะกอมต่อไป ใครที่อยากสัมผัสหัวใจและจิตวิญญาณของชุมชนประมงแห่งนี้เหมือนตั้มและปาล์มก็ขอชวนแวะไปทักทายพวกเขากันได้ที่สะกอม 

เบื้องหลังต้นทุนทางภูมิปัญญาชาวสะกอมและทักษะการออกแบบของครีเอเตอร์ในการทำทัวร์ลาต๊ะ ทั้งหมดนี้ได้มีการพัฒนาไอเดียและโมเดลธุรกิจภายใต้โครงการ ‘CHANGEx2: Greater Together ผนึกกําลังสุดครีเอต อัปเกรดธุรกิจโลคัล’ ของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA สิ่งที่ทางทีมได้รับคำแนะนำจากโครงการคือเครื่องมือในการวิเคราะห์จุดแข็งที่ทำให้วิเคราะห์ความเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนออกมาได้อย่างตรงประเด็นและทำให้คิดคอนเซปต์โปรแกรมทัวร์ที่สร้างความแตกต่างได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้เครื่องมืออย่าง service canvas ยังช่วยในการออกแบบประสบการณ์ (service design) ในการสร้างระบบการจองและจัดโปรแกรมทัวร์ซึ่งช่วยต่อยอดให้ชุมชนมีการบริหารจัดการการทำทัวร์ท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบมากขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมกับการต่อยอดต่อไปในอนาคต 

ขอบคุณรูปจากทีมทัวร์ลาต๊ะ 

อาหารปันรัก และ นักรบผ้าถุง

@latahsakom

ทัวร์ลาต๊ะ

5 เรื่องราวสุดอูมามิของอายิโนะโมะโต๊ะ ที่ขจัดความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับผงชูรส

เคยเป็นไหม? ปรุงอาหารจนครบทุกรสแล้วยังอร่อยไม่สุด แต่ก็ไม่รู้ว่าขาดอะไร… จริงๆ แล้วอาจเป็นเพราะขาดรสอูมามิ หรือความกลมกล่อม ซึ่งรสนี้สามารถได้มาจากการเติม ‘ผงชูรส’

อายิโนะโมะโต๊ะ ผงชูรสเจ้าแรกของโลก ผู้คิดค้นรสชาติอูมามิ เคล็ดลับความอร่อยที่ถูกใช้ทั่วโลกมากว่า 116 ปี และสิ่งที่อยู่ควบคู่ประวัติศาสตร์อันยาวนานของผงชูรสก็คือความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับผงชูรส เช่น ผงชูรสอันตราย กินแล้วทำให้ผมร่วง รู้สึกคอแห้ง จนอาจทำให้บางคนเกิดอาการกลัวผงชูรสไปเลยก็มี

วันนี้คอลัมน์ Capital List จึงอยากพาทุกคนมาไขประตูสำรวจเรื่องราวและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผงชูรส ว่าที่แท้จริงแล้วผงชูรสไม่ได้ทำลายสุขภาพอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด

1. การใช้ผงชูรสที่แท้จริงแล้วไม่ได้ทำให้ผมร่วง คอแห้ง และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย 

กินผงชูรสทำให้ผมร่วงและหัวล้าน เป็นเรื่องที่คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับผงชูรสมากที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ทางการแพทย์ยืนยันแล้วว่า สาเหตุหลักเกิดจากการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ความเครียด ปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน การแพ้ยา หรืออยู่ในภาวะเจ็บป่วยจากโรคเฉพาะทาง

และอีกหนึ่งเรื่องที่คนมักเข้าใจผิด คือคิดว่า กินผงชูรสแล้วทำให้คอแห้ง กระหายน้ำ บางคนถึงขั้นรู้สึกปากชา มือชา แต่ถ้าสังเกตดูดีๆ อาการเหล่านี้มักเกิดจากการกินอาหารที่ปรุงรสจัดจ้านจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นรสที่เค็มจัด เปรี้ยวจี๊ด หวานเกิน หรือเผ็ดแซ่บ ไปจนถึงการรับปริมาณโซเดียมที่มากเกินไป 

ซึ่งที่จริงแล้วผงชูรสไม่ได้ทำให้เกิดอาการเหล่านี้แต่อย่างใด ยืนยันได้จากสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ว่าผงชูรสจัดอยู่ในประเภทวัตถุเจือปนอาหารที่สามารถใช้ได้ทั่วไปอย่างปลอดภัย และจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับเครื่องปรุงรสอื่นๆ เช่น เกลือ พริกไทย และน้ำส้มสายชู  

2. รสอูมามิมาจากกรดอะมิโนที่เรียกว่า ‘กลูตาเมต’ ซึ่งพบได้ตามธรรมชาติ

โดยรสอูมามิ เป็นรสชาติพื้นฐานที่ 5 นอกเหนือจากรสเปรี้ยว เค็ม หวาน ขม เรียกได้ว่าเป็นแก่นแท้แห่งความอร่อย ซึ่งรสอูมามินั้นได้มาจากกุญแจสำคัญอย่าง ‘กลูตาเมต’ ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายของคนเรา สามารถพบได้ในธรรมชาติ เช่น มันสำปะหลัง มะเขือเทศ และเห็ด

3. อายิโนะโมะโต๊ะ ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ อย่างมันสำปะหลัง

ผงชูรสมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า โมโนโซเดียมกลูตาเมต หรือ MSG ถึงแม้ชื่อนี้อาจจะทำให้ชวนนึกถึงสารสังเคราะห์ แต่แท้ที่จริงแล้ว อายิโนะโมะโต๊ะ ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ อย่างมันสำปะหลัง ที่นำไปผ่านกรรมวิธีการหมัก จากนั้นก็เข้าสู่ขั้นตอนการคัดแยกกลูตาเมต และทำให้บริสุทธิ์ด้วยการตกผลึก จนเกิดเป็นกลูตาเมตอิสระ หรือผลึกผงชูรสนั่นเอง

4. อายิโนะโมะโต๊ะมีส่วนช่วยลดโซเดียมจากการใช้เครื่องปรุงอื่นๆ ลงได้ โดยมีโซเดียมเพียง 1 ใน 3 ของเกลือ

ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่มักกังวลเรื่องโซเดียม จึงเลือกที่จะลดปริมาณเครื่องปรุงลง ซึ่งทำให้อาหารขาดความอร่อย ทั้งที่จริงแล้วสามารถใช้อายิโนะโมะโต๊ะเพื่อเพิ่มรสอูมามิ ช่วยให้อาหารอร่อยกลมกล่อมขึ้นได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องใส่เครื่องปรุงอื่นเยอะ เพราะอายิโนะโมะโต๊ะมีโซเดียมเพียง 1 ใน 3 ของเกลือเมื่อเปรียบเทียบในปริมาณที่เท่ากัน

5. การใช้อายิโนะโมะโต๊ะเพียง 1 ช้อนชา ช่วยให้อาหารอร่อยกลมกล่อม ไม่ต้องปรุงเยอะ

การใช้อายิโนะโมะโต๊ะเพียง 1 ช้อนชา ก็สามารถช่วยให้อาหารอร่อยกลมกล่อมได้ขึ้นทุกเมนูโดยไม่ต้องปรุงอะไรเยอะ

สนทนากับ 3 ผู้บริหาร Farmgroup กับการปั้นนิทรรศการ Hotel Art Fair เข้าสู่ปีที่ 8  

8 ปีที่ผ่านมา กับการริเริ่มทำในสิ่งที่ต่างออกไป แม้จะทำแบบผิดๆ ถูกๆ แต่ก็ทำด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ

8 ปีที่ผ่านมา กับการทำให้ผู้คนเห็นว่า ‘อาร์ตแกลเลอรี’ เป็นได้มากกว่าแค่ในสตูดิโอ หรือในหอศิลปะกลางกรุง และไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหนก็ชื่นชมความงามนี้ได้ 

ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา หากเปรียบเป็นงานศิลปะบนผืนผ้าใบ ‘Hotel Art Fair’ น่าจะเป็นผืนผ้าใบที่ถูกแต่งแต้มสีจนเต็มทุกกระเบียดนิ้ว สวยงามในแบบที่ ตั๊ก–วรินดา เธียรอัจฉริยะ, ต๊อบ–วรารินทร์ สินไชย และแต๊บ–วรทิตย์ เครือวาณิชกิจ สามผู้บริหารแห่ง Farmgroup บริษัทกราฟิกเฮาส์เคยวาดฝัน กับการเปลี่ยนห้องพักบรรยากาศจำเจในโรงแรมหรู ให้กลายเป็นนิทรรศการศิลปะขนาดย่อม โดยรวบรวมผลงานเด็ดจากศิลปินไทยมาจัดแสดง ตั้งแต่ริมโถงทางเดิน บนเตียงนอน ข้างตู้เสื้อผ้า ใกล้เก้าอี้ตัวเดิม หรืออิงแอบข้างโคมไฟก็ตาม

และในปีที่ 8 นี้เอง นิทรรศการ Hotel Art Fair ได้เลือกสถานที่จัดงานเป็นโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ ใจกลางย่านสุขุมวิท ภายใต้ธีม ‘Human’ ที่ชวนมาเฉลิมฉลองความเป็นมนุษย์ท่ามกลางการเข้ามาของเทคโนโลยี โดยมีอาร์ตแกลเลอรีจากทั้งไทยและเอเชีย-แปซิฟิก เข้าร่วมถึง 30 ราย เริ่มตั้งแต่วันที่ 3-8 กันยายน 2567

สิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่างานศิลปะตรงหน้า คือวิธีคิดและการบริหาร Hotel Art Fair ของสามผู้บริหารแห่ง Farmgroup ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแพสชั่น และฝันที่อยากเห็นอุตสาหกรรมอาร์ตของไทยเติบโต ซึ่งนับเป็นความท้าทายไม่ต่างจากการสร้างแบรนดิ้งให้กับลูกค้า อย่างเช่นผลงานเมื่อช่วงต้นปี กับการรีแบรนด์อัตลักษณ์ใหม่ให้กรุงเทพฯ

  เนื่องในโอกาสครบรอบ 8 ปี ของ Hotel Art Fair เราชวนผู้บริหารทั้งสามของ Farmgroup มาเช็กอิน ย้อนความถึงการรังสรรค์นิทรรศการศิลป์ในโรงแรมตั้งแต่วันแรก วิธีการบาลานซ์ระหว่างสุนทรียะกับเรื่องของธุรกิจ และการสร้างโมเดลอาร์ตแฟร์นี้ให้ตอบโจทย์ต่อความเป็นอยู่อุตสาหกรรมอาร์ตไทย  

ขอเชิญเอนกายพักผ่อนหย่อนใจ พร้อมฟังเรื่องราวจากพวกเขาทั้งสามได้ตั้งแต่บัดนี้

ย้อนกลับไปตอนที่เริ่มทำ Hotel Art Fair ภาพรวมของวงการศิลปะไทยเป็นยังไงบ้าง 

วรินดา : ตอนนั้นแต่ละแกลเลอรีนำงานศิลปะมาจัดแสดงอยู่ตลอด เพียงแต่ยังไม่มีใครรวบรวมแกลเลอรีเหล่านั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน ศิลปะเลยกลายเป็นเรื่องของคนกลุ่มเล็กๆ ที่ชอบหรือสะสมงานศิลปะ จนกลายเป็นความเชื่อที่ว่า แกลเลอรีเป็นพื้นที่เฉพาะของคนดูงานศิลปะเป็น 

เราเองก็ไม่ได้เป็นคนในแวดวงศิลปะมาตั้งแต่แรก ทุกครั้งที่ไปแกลเลอรีเลยเกิดความรู้สึกว่า ต้องทำตัวยังไง เราต้องคุยอะไรกับเขาบ้าง แล้วถ้าคุยจะคุยกับเขารู้เรื่องไหม มันเลยเกิดสถานการณ์ละเอียดอ่อน เกิดความรู้สึกเหมือนเราเผชิญพื้นที่ที่เข้าไม่ถึง ทั้งๆ ที่มันไม่ควรเป็นเรื่องยากเลย 

พวกคุณนำ pain point ตรงนี้มาปรับปรุงยังไง เพื่อให้ Hotel Art Fair เป็นพื้นที่ที่ผู้คนเข้าถึงได้ง่าย 

วรินดา : จริงๆ เราไม่ได้ปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงอะไรเลยนะ สิ่งที่เราทำคือ ‘สร้างบรรยากาศ’ ให้ง่ายขึ้น คือพอนำศิลปะมาไว้ในโรงแรมแต่ละห้อง มาวางบนเตียงนอน บนโซฟา ข้างผนังทางเดิน คนที่เสพงานศิลปะเขาจะจินตนาการได้ว่า ถ้าเขาซื้อผลงานชิ้นนี้กลับบ้านไปจะได้ฟีลประมาณไหน 

หรืออย่างการนำดีเจมาเปิดเพลงก็เป็นการสร้างบรรยากาศให้ชิลล์ขึ้นเหมือนกัน เป็นการสร้างบรรยากาศให้ต่างออกไปจากตอนที่ไปอาร์ตแกลเลอรีอื่น ที่มองไปรอบๆ เป็นผนังขาวโพลน และแขวนผลงานไว้แค่นั้น

แล้ว ‘โมเดลธุรกิจ’ ของ Hotel Art Fair เป็นยังไง 

วรินดา : เราอยากให้ Hotel Art Fair อยู่ได้อย่างยั่งยืน เราไม่ได้บอกว่าเราเป็นเหมือนแกลเลอรีหรือเป็นเหมือนเอเจนซี เราเป็นเพียงคนจัดงานที่ทำหน้าที่เป็นออร์แกไนเซอร์ ในมุมเรา (Farmgroup) โมเดลธุรกิจของ Hotel Art Fair เลยเริ่มจากการเปิดพื้นที่ให้แกลเลอรี หรือศิลปินที่มาเช่าพื้นที่จัดแสดงผลงาน จากนั้นเราก็หาสปอนเซอร์มา cover cost ตัวนิทรรศการอีกที 

จริงๆ เรื่องของเงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่สักเท่าไหร่ แต่แน่นอนล่ะ ว่างานต้องเลี้ยงตัวมันเองเพื่อให้ไปต่อได้ทุกฝ่าย แต่เราต้องไม่หวังผลประโยชน์หรือชุบมือเปิบหวังผลกำไรจากตรงนั้น เราได้เงินจากการให้แกลเลอรีเช่าที่ แกลเลอรีก็ได้เงินจากการที่เขาขายงานได้ แล้วนำไปหารเปอร์เซ็นต์กับศิลปินเจ้าของผลงานอีกที  

พอเป็นแบบนี้ทุกฝ่ายเลยแฮปปี้ เพราะเรารู้อยู่แล้วว่า fixed cost จากการจัดงานมีอะไรบ้าง ฝ่ายแกลเลอรีและศิลปินเขาก็รู้ว่า fixed cost กับการที่เขาเข้ามาอยู่ตรงนี้คืออะไร ขณะเดียวกันเราก็ทำหน้าที่ PR เพื่อเรียกกลุ่มเป้าหมายให้กับแกลเลอรีและศิลปิน แม้แต่บริษัท property หรือคนที่กำลังวางแผนสร้างบ้านเราก็ไป PR ทำให้ตัวเลขคนที่รู้จักศิลปินหรือแกลเลอรีเพิ่มขึ้นจากหลักสิบเป็นหลักพัน  

วรทิตย์ : เรามองว่าเป็นเรื่องของการสร้างแบรนดิ้งด้วย เรามี strategic move ในใจว่าจะปั้น Hotel Art Fair ยังไง เรามองว่าพอกาลเวลาผ่านไปมันสร้าง value ตามที่เราต้องการได้ไหม เราอยากเป็นเหมือนเส้นชัยของศิลปินรุ่นใหม่ ที่จะต้องมาจัดแสดงผลงานให้ได้สักครั้งในชีวิต จริงๆ Hotel Art Fair ก็เหมือนโปรเจกต์ธุรกิจโปรเจกต์หนึ่ง เพียงแค่ไส้ในมันเป็นเรื่องของคอนเทนต์ศิลปะ 

ในฐานะที่ Farm Group รับหน้าที่ event design ให้กับนิทรรศการ Hotel Art Fair เช่นนั้นการจัดงานแต่ละครั้งต้องคำนึงถึงปัจจัยใดเป็นหลัก 

วรารินทร์ : อย่างแรกต้องหาโรงแรมที่เข้าใจรูปแบบการจัดงานของ Hotel Art Fair ต้องเข้าใจว่า การจัดงานจำเป็นต้องขอปิดห้องทั้งหมดสองชั้น และที่สำคัญคือ โรงแรมต้องเห็นถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมศิลปะ ถ้าเข้าใจสองสิ่งนี้ถึงจะไปกันต่อได้ 

วรินดา : ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เป็นโรงแรมที่เจ้าของเป็นคนไทย เพื่อที่เราจะสามารถสร้างอิมแพกต์ให้กับธุรกิจของเขา อีกส่ิงสำคัญคือโลเคชั่นเดินทางง่าย มีขนาดความกว้างพอให้ผู้ชมเดินดูงานสะดวก 

จากนั้นเราจึงติดต่อแต่ละแกลเลอรีให้เตรียมตัวล่วงหน้า ซึ่งแกลเลอรี่ส่วนมากเขาก็จะรู้ว่าเราจะจัดงานช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน เพราะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เขาทยอยนำผลงานใหม่ๆ เข้ามา และหลังจากนั้นจึงมีการทำ pr หาสปอนเซอร์ อย่าง TCBC ก็มีส่วนช่วยสนับสนุนเราในทุกๆ ปี หรืออย่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และกระทรวงวัฒนธรรมก็มียื่นมือเข้ามาช่วยเหลือบ้าง

พวกคุณมีวิธีโน้มน้าวใจโรงแรมหรือแกลเลอรีนั้นๆ ให้เข้าร่วมเป็นพาร์ตเนอร์ยังไง โดยเฉพาะเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ที่วิธีการจัดงานแบบนี้ยังถือเป็นเรื่องใหม่

วรินดา : เราโชคดีตรงที่โรงแรมที่เลือกจัดงาน Hotel Art Fair ครั้งแรก เขาต้องการให้คนเข้าไปใช้พื้นที่อยู่แล้ว โจทย์ของเขาคืออยากได้ traffic ที่ไม่ traffic จนเกินไป ซึ่งตรงกับความต้องการของเราที่อยากทำนิทรรศการขนาดกำลังพอดี ไม่ได้เป็นเหมือนงานคอนเสิร์ตที่คนมาหลายพันหลายหมื่นคน ก็อธิบายให้ทางโรงแรมเขาฟังว่า หน้าตาของ Hotel Art Fair จะเป็นแบบไหน และการจัดงานศิลปะในโรงแรมทางเมืองนอกเขามีมาสักพักแล้วนะ รวมๆ แล้วเลยเป็น combination ที่ลงตัว

ปีแรกที่จัด เรารวบรวมอาร์ตแกลเลอรีได้แค่ 12 รายเองนะ แต่ก็ตัดสินใจกับคนในทีมว่า เอาวะลองทำดู ทำแบบลองผิดลองถูก พอถึงวันงานจริงก็มีแขกมาประมาณหลักร้อย แต่ที่น่าประหลาดใจคือหนึ่งในนั้นมีชาวสิงคโปร์บินมางาน Hotel Art Fair โดยเฉพาะ เขาบอกว่าเขาดีใจมาก เพราะเขารองานแบบนี้มานานแล้ว และเขายินดีที่จะช่วยโปรโมตงานให้เป็นที่รู้จัก บวกกับเพื่อนๆ ของเราและแขกคนอื่นๆ ที่มางานก็ช่วยกระจายข่าวต่อ จนแกลเลอรีเขาสามารถขายผลงานได้ 

พอปีที่ 2 เลยจัดงานง่ายขึ้น เพราะเรามีโปรโตไทป์จากครั้งก่อน คนข้างนอกเห็นแล้วว่า Hotel Art Fair คืออะไร แกลเลอรีต่างๆ ก็เริ่มมารวมตัวกัน จาก 12 ราย กลายเป็น 18 ราย 24 ราย 30 ราย และมากขึ้นในปีต่อๆ ไป จนพัฒนาในส่วนของ live performance มีศิลปินมาแสดงวาดรูป มีสปอนเซอร์ที่ร่วมกันจัดกิจกรรมเวิร์กช็อปสำหรับเด็กๆ ที่ชอบงานศิลปะ ถือเป็นสูตรสำเร็จอย่างที่ต้องการ

ตลอดระยะเวลาที่ทำนิทรรศการ Hotel Art Fair พวกคุณเห็นการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมศิลปะไปในทิศทางไหน

วรินดา : หลักๆ เราว่าเป็นเรื่องของศิลปิน หากเป็นเมื่อก่อนศิลปินจะไม่ค่อยได้เจอกับคนที่ซื้องานเขา ส่วนใหญ่แกลเลอรีเป็นตัวแทนขายไปก็คือจบ แต่ปัจจุบันศิลปินได้เจอ ได้พูดคุยกับคนที่ซื้องานจริงๆ นั่นทำให้เขารู้ว่าเขาควรผลิตผลงานออกมายังไง ต้องมี storytelling แบบไหนถึงจะน่าสนใจ ฝั่งคนดูก็เสพผลงานง่ายขึ้น เพราะเขาได้เข้าใจไอเดียจากสิ่งที่ศิลปินสื่อสารให้ฟังโดยตรง 

เพราะศิลปินต้องทำความเข้าใจว่า คนที่ซื้องานศิลปะมีหลายประเภท ประเภทแรกคือคนที่ซื้อไปเพื่อความสุขส่วนตัว กับอีกประเภทคือซื้อไปเพื่อเรื่องของ investment ภาพรวมมันเลยมีความเป็น ecosystem มากขึ้น 

วรทิตย์ : อีกส่วนหนึ่งคือคนที่มางาน Hotel Art Fair ส่วนใหญ่เป็นคนที่ซื้อผลงานศิลปะชิ้นแรกในชีวิต เพราะเราพยายามทำให้การซื้อ-ขายง่ายที่สุด ผลงานก็มีมูลค่าอยู่ในระดับที่จับต้องได้ เขาเลยค่อนข้างสบายใจในการซื้องานศิลปะ 

เราสังเกตเห็นว่า บางคนมาซื้องานศิลปะชิ้นแรกไป ผ่านไปสักห้าหกปีผลงานเขาเต็มบ้าน เขาก็เริ่มจะเทรดต่อให้คนที่สนใจเหมือนกัน แวดวงนักสะสมงานศิลปะเลยเกิดความคึกคัก มีนักสะสมหน้าใหม่เกิดขึ้นอยู่ตลอด ฟังก์ชั่นของงานศิลปะเลยกลายเป็น ‘สินทรัพย์’ น่าลงทุน เหมือนกับทอง เหมือนกับนาฬิกา ซึ่งมูลค่าของงานศิลปะราคาตกลงช้ากว่าสินทรัพย์อย่างอื่นด้วยซ้ำ 

รสนิยมของนักสะสมงานศิลปะในปัจจุบัน ดูจะเปลี่ยนแปลงรวดเร็วพอสมควร อย่างตอนนี้ก็นิยมในงานประเภทอาร์ตทอย

วรทิตย์ :  มันก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลานะ อย่างรุ่นพ่อแม่หรือรุ่นปู่ย่า เขาก็จะชอบงานแนวพุทธศิลป์ เช่นพวกนาค รูปใบโพธิ์ หรือโบสถ์อะไรทำนองนี้ พอยุคสมัยเปลี่ยนแปลง คนรุ่นเราที่เคยเป็นเด็กที่มีกำลังทรัพย์ก็จะซื้ออะไรที่รีเลตกับชีวิตตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่เราก็โตมากับการ์ตูน มันเลยส่งผลออกมาผ่านงานศิลปะในรูปแบบอาร์ตทอย

วรารินทร์ : เราว่างานศิลปะแทรกซึมอยู่ในทุกๆ ที่ แม้แต่ในห้างสรรพสินค้า ศิลปินก็ต้องพัฒนาตาม เมื่อก่อนอาจจะมีแค่งานเพนต์ งานปรินต์ แต่เดี๋ยวนี้พัฒนากลายเป็นงานอาร์ตทอย งาน soundscape งาน installation ต่างๆ จนบางทีเรากลับมาอีกทีทุกอย่างที่เคยจัดแสดงก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว

ระหว่างชาวไทยและชาวต่างชาติในนิทรรศการ Hotel Art Fair ฝั่งไหนดูจะมีเปอร์เซ็นต์มากกว่ากัน

วรินดา : 80% คือคนไทย อีก 20% คือชาวต่างชาติที่บินเข้ามา ซึ่งจำนวนชาวต่างชาติในแต่ละปีมีเปอร์เซ็นต์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขามองประเทศไทยเป็นตลาดใหม่ และมีศิลปินฝีมือน่าจับตาเยอะมาก เขาเลยอยากมาสเกาต์ดูผลงานให้เห็นกับตา 

วรทิตย์ : สิ่งที่เราเห็นช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์คือ ชาวต่างชาติจูงลูกจูงหลานมาดูงานศิลปะ สำหรับคนไทยอาจจะเป็นเรื่องแปลกใหม่ แต่กับชาวต่างชาตินี่เป็นวัฒนธรรมที่ปลูกฝังกันมาอยู่แล้ว เพราะพ่อแม่เขาทำให้เห็นว่า การมาดูงานศิลปะคือกิจกรรมอย่างหนึ่งในครอบครัว 

การทำแบรนด์ให้กับลูกค้าซึ่งเป็นพาร์ตหลักของ Farmgroup กับพาร์ตรองที่เป็นการทำแบรนด์ให้กับ Hotel Art Fair ต่างกันเยอะไหม

วรินดา : เยอะมาก พอทำงานให้ลูกค้า ลูกค้าเขาให้โจทย์มาอยู่แล้วว่าเขาต้องการอะไร เราทำหน้าที่แค่เสนอตัวเลือกให้ลูกค้าตัดสินใจว่าต้องการงานแบบไหน

แต่ตอนทำ Hotel Art Fair เราสามคนตีกันบ่อย เราอยากให้งานมันออกมาดี เพราะเรารู้สึกว่านี่คือลูกของเรา (หัวเราะ) แล้วพอมันเป็นโจทย์ของเราเอง เราจะเกิดความรู้สึกว่าแบบนี้โอเคไหม กลายเป็นระวังทุกอย่างจนไม่กล้าตัดสินใจ  

ที่บอกว่าตีกัน สุดท้ายพวกคุณหาจุดร่วมแก้ไขยังไง

วรินดา : เดดไลน์

เดดไลน์ทำให้เราต้องยอม เออเอาวะเอาแบบนี้ก็ได้ สุดท้ายเราเชื่อในเซนส์ของแต่ละคน ถ้าเป็นเรื่องของ art direction เราจะเชื่อการตัดสินใจของแต๊บ (วรทิตย์) ถ้าเป็นเรื่องดีเทลละเอียดอ่อนจะเชื่อต๊อบ (วรารินทร์) ส่วนเราก็ตัดสินใจเรื่องของไดเรกชั่นภาพรวม 

ถึงตรงนี้อะไรที่ทำให้พวกคุณเชื่อว่า โมเดลธุรกิจแบบ Hotel Art Fair จะยืนระยะในประเทศไทยได้ 

วรารินทร์ : มันก็เหมือนที่เราทำงานในนาม Farmgroup เราเชื่อใน Hotel Art Fair ว่ามันมี potential แบบเดียวกับที่เราทำแบรนด์ให้ลูกค้า และจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เราเชื่อว่า มีองค์ประกอบหลายอย่างที่นำพาสิ่งนี้ไปต่อได้  

วรินดา : อีกอย่างคือฟีดแบ็กจากแกลเลอรีที่บอกกับเราว่าอย่าหยุดทำนะ เพราะว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ช่วยให้เราอยู่ได้ ช่วยให้เกิดนักสะสมหน้าใหม่ และเกิดการซื้อ-ขายผลงาน ผู้ชมเขาก็รอที่จะมาเจอกับศิลปินที่ชื่นชอบ สองส่วนนี้ทำให้เรารู้สึกอยากทำตรงนี้ต่อไป 

มีส่วนไหนอีกบ้างที่พวกคุณรู้สึกว่าอยากได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติม

วรารินทร์ : เราจะพูดเหมือนทุกๆ ปี ว่าอยากได้รัฐบาลเข้ามาช่วยสนับสนุน 

วรทิตย์ : มีอีกหลายๆ อย่างที่เราอยากทำและคิดว่ามันน่าจะเหมาะ แต่ตอนนี้ยังไม่มีทุน หรือมีการสนับสนุนที่มากพอ เช่น เราอยากให้ทุกปีมีไฮไลต์ที่ศิลปินต่างชาติมาแสดง live performance หรือกิจกรรมบางอย่างที่ช่วยเพิ่มเอนเกจเมนต์ ซึ่งโปรเจกต์ของเรายังไม่สามารถไปถึงจุดนั้นได้ถ้าไม่มี extra sponsor

แต่ในปี 2024 สิ่งที่เราทำได้แล้วและกำลังทำอยู่คือ การจับมือกับภาคมหาวิทยาลัย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, หอการค้าไทย, พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ฯลฯ เพื่อให้นักศึกษาได้มีพื้นที่จัดแสดงผลงานโดยเฉพาะ โดยที่ไม่ไปปนกับศิลปินมืออาชีพ ให้น้องๆ เขาใจฟูมีแรงกลับไปสร้างผลงานต่อ

วรินดา : เพราะสุดท้าย เราอยากให้ศิลปินเป็นอาชีพที่มั่นคง เป็นอาชีพที่เลี้ยงชีพได้จริง ไม่ใช่อาชีพเสริม เราว่ามีคนจำนวนมากที่ยึดศิลปินเป็นอาชีพหลัก แต่ก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ยึดอาชีพศิลปินเป็นเพียงอาชีพรอง ฉะนั้นเราเลยอยากเป็นเวทีแรกหรือก้าวแรก ในการสร้างศิลปินหน้าใหม่ และให้แต่ละแกลเลอรีได้มารวมตัวแสดงผลงาน เราอยากเห็นวิวัฒนาการเหล่านั้น

ซึ่งเราไม่ได้คาดหวังเลยนะว่า Hotel Art Fair จะต้องมีคนมาเยอะเท่านั้น ลึกๆ เป้าหมายของเราคืออยากให้แกลเลอรีและศิลปินขายผลงานได้ นี่เป็นหัวใจหลักของเรา คนมาน้อยมาเยอะไม่รู้แหละ แต่อยากให้เขาขายได้เยอะขึ้นทุกปี

ปีนี้ (2567) คือวาระครบรอบ 8 ปี ที่พวกคุณตัดสินใจทำ Hotel Art Fair คิดว่านิทรรศการนี้ประสบความสำเร็จในแบบที่อยากให้เป็นแล้วหรือยัง

วรินดา : จริงๆ ตอนที่เริ่มทำ Hotel Art Fair พวกเราไม่ได้คาดหวังว่ามันจะประสบความสำเร็จแบบไหน เราทำเพราะเราอยากทำ เราทำเพราะเรารู้สึกว่านี่เป็นแพสชั่นของเรา และเราอยากเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างให้กับอุตสาหกรรมที่เราทำงานอยู่ ซึ่งสิ่งนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน 

ภาพของ Hotel Art Fair ที่เราคาดหวัง คือเป็นพื้นที่ให้แกลเลอรีได้มาร่วมตัวกัน เพื่อให้คนสนใจ เข้าใจ และใกล้ชิดงานศิลปะมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันยังสามารถดึงดูด collector หน้าใหม่ โดยที่ไม่ต้องเป็น big collector เป็นคนที่มีเงินเยอะๆ 

แต่ว่ากันตามตรง ปีแรกที่เราเริ่มทำก็ยังสงสัยอยู่เลยว่างานนี้มันจะไปรอดไหม เพราะเราทำโดยที่แทบไม่รู้อะไรเลย จนภายหลังทาง TCEB (สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ) มาเป็นพาร์ตเนอร์ เขาก็สนับสนุนให้เรารีเสิร์ชเรื่อง economic impact ว่างานของเรามีอิมแพกต์ต่อเศรษฐกิจต่อสังคมขนาดไหน ซึ่งพอเราเห็นตัวเลขแล้วมันยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าเรากำลังมาถูกทาง  

เราเลยบอกไม่ได้เต็มปากว่า Hotel Art Fair ประสบความสำเร็จมากแค่ไหน แต่ที่รู้คือเราทำแล้วมีความสุข เราทำเพราะทีมอยากจะทำแค่นั้นเลย

9 เคล็ดลับการตลาดที่ทำให้ Decathlon เป็นอาณาจักรอุปกรณ์กีฬาที่มัดใจผู้คนทั่วโลก 

เหล่าคนเล่นกีฬา สายเอาต์ดอร์ และแอดเวนเจอร์ คงคุ้นเคยกับชื่อของ Decathlon กันเป็นอย่างดี นอกจากขายสินค้ากีฬาในราคาที่จับต้องได้ ไลน์สินค้าของดีแคทลอนยังครอบคลุมกีฬาหลากหลายประเภท จะเดินป่า ปีนเขา วิ่งเทรล ตั้งแคมป์ ฯลฯ ก็ครบจบในร้านเดียว

Decathlon คือบริษัทค้าปลีกอุปกรณ์กีฬาสัญชาติฝรั่งเศส ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1976 ในเมืองลีล ประเทศฝรั่งเศส โดย Michel Leclercq มหาเศรษฐีชาวฝรั่งเศส ที่ร่วมกับเพื่อนๆ อีก 6 คนที่หลงใหลในกีฬา หลังจากทำธุรกิจไปได้ 10 ปี ดีแคทลอนก็เปิดสาขาต่างประเทศสาขาแรกที่เยอรมนี และในศตวรรษที่ 21 ก็เริ่มบุกตลาดเอเชีย 

แม้ไม่มีดาราเซเลบริตี้มาช่วยทำมาร์เก็ตติ้งแบบแบรนด์ยักษ์ใหญ่อื่นๆ แต่ดีแคทลอน (Decathlon) ก็ยังครองตำแหน่งผู้ค้าปลีกอุปกรณ์กีฬารายใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกได้ ล่าสุดยังได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร TIME ว่าเป็นหนึ่งใน 500 บริษัทที่มีความยั่งยืนมากที่สุดในโลกประจำปี 2024 จากบริษัทมากกว่า 5,000 แห่ง 

ภายใต้ความสำเร็จที่พุ่งทะยาน ไปจนถึงการเป็นแบรนด์รุ่นเก่าแต่ยังเก๋าเกม ดีแคทลอนทำยังไงให้ประสบความสำเร็จได้ถึงทุกวันนี้ คอลัมน์ Capital List จึงสรุปเคล็ดลับ 9 ข้อในการทำการตลาดของดีแคทลอนมาให้ได้เจาะลึกไปพร้อมๆ กัน 

1. ราคาดีไว้ก่อนตามสโลแกน ‘Sports for All, All for Sports’ 

ดีแคทลอนมุ่งมั่นผลิตสินค้าตอบสนองทุกประเภทกีฬา เพื่อให้สินค้าของแบรนด์เข้าถึงได้และเข้าถึงง่ายในทุกกลุ่มความชอบ แถมยังขายในราคาสบายกระเป๋า เหตุผลที่ขายของราคาถูก พร้อมกับคงคุณภาพที่ดีได้นั้น เพราะพวกเขาออกแบบ วิจัย ผลิต และจำหน่ายสินค้าด้วยตัวเองทุกขั้นตอน ทำให้ควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ  

2. เน้นเอาชนะใจ ‘คนอยากเล่นกีฬา’ มากกว่านักกีฬาอาชีพ

ปัญหาคลาสสิกของคนเริ่มต้นเล่นกีฬาคือเล่นไปไม่นานก็อาจเบื่อ ครั้นจะให้ลงทุนกับอุปกรณ์ราคาแพงก็อาจไม่คุ้ม กลยุทธ์นี้เลยสอดคล้องกับฐานลูกค้าส่วนใหญ่ที่ต้องการเริ่มต้นดูแลสุขภาพ และเป็นโอกาสให้ดีแคทลอนได้เริ่มสร้างความผูกพันและเติบโตไปกับลูกค้าได้ในระยะยาว

3. เก็บฟีดแบ็กทุกเม็ดมาต่อยอด  

ดีแคทลอนมักคิดค้นสินค้าว้าวๆ ออกมาเสมอ อย่างเต็นท์ป๊อปอัพ ที่กางได้ภายใน 2 วินาที แถมยังมีนวัตกรรม Fresh&Black ช่วยให้เต็นท์มืดสนิทและเย็นสบาย เหตุผลที่ดีแคทลอนสร้างสรรค์สินค้าให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้เสมอ เพราะแบรนด์เปิดโอกาสให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการพัฒนาสินค้าผ่านช่องทางการรีวิวที่โปร่งใส และนำฟีดแบ็กเหล่านั้นไปพัฒนาต่อยอดใน SportsLab  

4. ไม่ได้ขายแค่ของ แต่ขายประสบการณ์  

หนึ่งหัวใจหลักที่ทำให้ดีแคทลอนกลายเป็นที่รักของลูกค้า เพราะแบรนด์ให้ความสำคัญกับประสบการณ์การบริการที่ดี ดีแคทลอนไม่เคยปฏิเสธการทดลองสินค้า ไม่ว่าลูกค้าจะอยากลองสินค้าชิ้นใด พนักงานจะพร้อมให้ลองและพร้อมบริการอย่างดี พนักงานของดีแคทลอนยังหลงใหลกีฬา ลูกค้าจึงได้รับคำแนะนำที่จริงใจและรู้จริง ถ้าซื้อสินค้าไปแล้วไม่ชอบ ลองใช้แล้วไม่ถูกใจ แบรนด์ก็มีนโยบายการคืนสินค้าภายใน 365 วัน 

5. สาขาครอบคลุม ไปที่ไหนก็เจอ 

จากข้อมูลเดือนมิถุนายน 2024 ดีแคทลอนมีพนักงานกว่า 105,000 คน มีสาขากว่า 1,750 แห่งใน 72 ประเทศ ในไทยเอง จากแต่เดิมร้านสาขามักตั้งอยู่แถบชานเมือง ตอนนี้ดีแคทลอนก็ขยายสาขาให้ครอบคลุมมากขึ้น จากที่เคยเป็นอาณาจักร เป็นโกดังใหญ่ๆ ก็ลดเหลือเพียงหน้าร้านเล็กๆ ในห้างสรรพสินค้า เพื่อให้ผู้คนเข้าถึง Decathlon ได้มากขึ้น

6. ทำโปรดักต์ดี มีคุณภาพ ในราคาที่เหมาะสม 

ดีแคทลอนมีทีมวิศวกรและนักออกแบบที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับนักกีฬา ทำให้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ล้ำสมัยและมีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างดี และด้วยกลยุทธ์นี้ ดีแคทลอนก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าของคุณภาพไม่จำเป็นต้องจ่ายแพง 

7. เน้นสร้างคอมมิวนิตี้คนรักกีฬา เพื่อสร้าง brand awareness 

ดีแคทลอนยังสนับสนุนการแข่งขันกีฬา จัดเวิร์กช็อป อีเวนต์ต่างๆ  เพื่อให้แฟนๆ ดีแคทลอน ไปถึงคนที่ชอบเล่นกีฬาได้มาเจอกัน นอกจากนี้ดีแคทลอนยังร่วมมือกับสโมสรกีฬา สหพันธ์ และชุมชนท้องถิ่น สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับคุณค่าของแบรนด์ ความร่วมมือเหล่านี้ไม่เพียงแต่ขยายการมองเห็นแบรนด์เท่านั้น แต่ยังทำให้ดีแคทลอนกลายเป็นผู้สนับสนุนที่เชื่อถือได้ในด้านกีฬา

8. ขับเคลื่อนแบรนด์ไปสู่ความยั่งยืน

ยุคที่บริษัทยักษ์ใหญ่ไปจนถึงรายเล็กหันมาให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมกันทั่วโลก ดีแคทลอนก็ไม่พลาดที่จะขึ้นขบวนความยั่งยืน ทั้งพัฒนาสินค้าให้แข็งแรง ทนทาน เพื่อให้ใช้งานได้ยืนยาว และยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์และส่งเสริมการนำสินค้ากลับมาใช้ใหม่ เช่น บริการบำรุงรักษา ซ่อมบำรุง เปลี่ยนอะไหล่  

นอกจากนั้นกลุ่มบริษัทยังได้สร้างแนวทางการลดการปล่อยคาร์บอน โดยยึดตามข้อตกลงปารีสและสอดคล้องกับมาตรฐาน Net Zero ซึ่งเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนของดีแคทลอนก็มีตั้งแต่ ลดการปล่อย CO2 ลง 20% ในปี 2026 (เทียบกับปี 2021), ลดการปล่อย CO2 ลง 42% ในปี 2030 (เทียบกับปี 2021) และไปสู่การเป็น net zero ให้ได้ภายในปี 2050

9. รีแบรนด์ครั้งใหญ่ให้ทันกับเทรนด์ 

ในเดือนมีนาคม 2024 ที่ผ่านมา ดีแคทลอนออกแคมเปญ rediscover the joy of play ที่มาพร้อมกับการรีแบรนด์และรีโลโก้ การรีแบรนด์ครั้งนี้ของดีแคทลอนเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ ไม่ใช่แค่การปรับโฉมโลโก้ แต่ยังบูรณาการแบรนด์ย่อยกว่า 85 แบรนด์ให้เป็นหนึ่งเดียวภายใต้เอกลักษณ์ใหม่ ด้วยต้องการวางตำแหน่งของ Decathlon ให้เป็นผู้ผลิต ไม่ใช่แค่ผู้ค้าปลีก ทั้งยังเน้นแคมเปญ ready to play ที่ต้องการสร้างแรงบันดาลใจเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนอยากลุกขึ้นมาออกกำลังกาย ว่าง่ายๆ คือต้องการให้กีฬาเป็นส่วนหนึ่งของคนทุกๆ วัย

และนี่คือ 9 เคล็ดลับการตลาดที่ทำให้ Decathlon เป็นอาณาจักรอุปกรณ์กีฬาที่มัดใจผู้คนทั่วโลกได้อย่างอยู่หมัด

อ้างอิงข้อมูลจาก

เปิดมนตร์สะกด ที่วัตสันใช้ตกขาช้อป ด้วย ‘ชิ้นที่สอง 1 บาท’ กลยุทธ์ที่เป็นมากกว่าโปรโมชั่น

ซื้อ 1 แถม 1, ลดราคา 50% หรือแลกซื้อสุดคุ้ม โปรโมชั่นเหล่านี้ล้วนเป็นกลยุทธ์กระตุ้นยอดขายที่หลายๆ ร้านนำมาใช้กันจนชินตา แต่ถ้าพูดถึงโปรโมชั่น ‘ชิ้นที่สอง 1 บาท’ เราจะรู้ได้ทันทีว่านี่เป็นโปรโมชั่นจาก ‘วัตสัน’ (Watsons) ผู้นำร้านค้าปลีกเพื่อสุขภาพและความงามอันดับ 1 ของไทย

โดยสิ่งนี้เป็นกลยุทธ์ที่ส่งผลต่อการจดจำแบรนด์ และเป็นดั่งกลยุทธ์ ‘กระตุกต่อมเอ๊ะ’ ของเหล่าขาช้อปได้เป็นอย่างดี ชวนให้สงสัยว่า เอ๊ะ สินค้าคืออะไร ชิ้นที่สองราคาแค่ 1 บาทเองเหรอ และด้วยราคาที่จ่ายเพิ่มเพียงเล็กน้อยก็ได้ของเพิ่มอีกชิ้น ทำให้ลูกค้าหลายคนได้ของติดไม้ติดมือกลับบ้านแบบคูณสองไปทุกทีที่เดินเข้าวัตสัน

ถึงวันนี้โปรฯ ซิกเนเจอร์ ที่อยู่คู่กับวัตสันมายาวนานกว่า 20 ปี และยังคงเป็นที่นิยมสำหรับลูกค้าอยู่เสมอเป็นมากกว่าโปรโมชั่น แต่คือภาพจำของแบรนด์ เป็นสีสันของการช้อปปิ้งที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เช่นเดียวกับในปีนี้ ที่วัตสันได้หยิบคำไวรัลที่เชื่อว่าคนไทยกว่า 90% ต้องเคยได้ยิน และติดหนึ่งในคำยอดฮิตบนโซเชียลมีเดีย นั่นคือคำว่า ‘ของแทร่’ ซึ่งแปลว่าของแท้ ของจริง วัตสันจึงโชว์ความเป็นตัวจริงในการจัดโปรโมชั่นแบบไม่ซ้ำใคร และทำให้โปรฯ นี้ กลายเป็นที่จดจำของลูกค้า ในการนำโปรฯ ‘ชิ้นที่สอง 1 บาท’ กลับมาให้ลูกค้าสนุกกับกว่าช้อปปิ้งมากยิ่งขึ้น

วันนี้เราจึงอยากมา Recap วิธีคิดเบื้องหลังพร้อมพาไปส่องว่าทำไมชิ้นที่สอง 1 บาท ถึงเป็นของแทร่เรื่องโปรโมชั่นซิกเนเจอร์ ที่หลายๆ แบรนด์ก็ขอแอบหยิบยืมไปใช้กัน แต่แท้ที่จริงแล้ววัตสันต่างหากคือ ‘ของแทร่’ ตัวจริงที่จัดโปรฯ นี้เป็นเจ้าแรก

1. กล้าเล่นโปรโมชั่นที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน

หากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 20 ปี ก่อน ในขณะที่หลายๆ ร้านจะเล่นโปรโมชั่นคล้ายๆ กัน จนบางทีลูกค้าก็คิดว่าซื้อสินค้าร้านไหนก็เหมือนๆ กัน แต่วัตสันเลือกทำสิ่งที่ต่างออกไป โดยใช้โมเดลเดียวกับวัตสันในต่างประเทศ คือซื้อสินค้าชิ้นแรกในราคาปกติ และสามารถซื้อชิ้นที่สองด้วยการจ่ายเงินเพิ่มเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้ลูกค้าเห็นถึงความคุ้มค่า จนจากที่ไม่ได้คิดว่าจะซื้ออะไร กลับได้สินค้ามากมายเต็มตระกร้า 

ถึงแม้ช่วงแรกที่วัตสันจัดโปรโมชั่นนี้ในไทย จะมีสินค้าที่ร่วมโปรฯ เพียงไม่กี่รายการ และมีจำนวนสาขาไม่มาก แต่ก็เปิดมิติใหม่ในการจัดโปรโมชั่น จนคนบอกกันปากต่อปาก และเรียกกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยแวะวัตสันให้เข้ามาซื้อสินค้า โดยเฉพาะสินค้าในชีวิตประจำวันและกลุ่มสินค้าสกินแคร์ ในขณะเดียวกันฐานลูกค้าเดิมก็กลับมาซื้อสินค้าซ้ำ และเพิ่มโอกาสซื้อสินค้าที่ไม่ได้จัดโปรโมชั่นกลับไป

2. มากกว่าความคุ้มค่า แต่คือการมอบประสบการณ์ที่รู้ใจลูกค้า

ถ้าพูดถึงการจัดโปรโมชั่น คนจะนึกถึงการลดกระหน่ำซัมเมอร์เซล แต่สิ่งที่ทำให้โปรฯ ชิ้นที่สอง 1 บาทโดดเด่นและแตกต่างจากโปรฯ อื่นๆ ในท้องตลาด คือการสร้างประสบการณ์ช้อปปิงที่น่าตื่นตาตื่นใจ โดยมีหัวใจหลักคือ ‘ความหลากหลาย’

ที่ปัจจุบันได้ขยายสินค้าเข้าร่วมโปรฯ กว่า 3,000-4,000 รายการ และกลายเป็นโปรฯ ที่มีสินค้าเข้าร่วมมากที่สุดในวัตสัน คลอบคลุมสินค้าทุกประเภทตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ว่าจะเป็นเมคอัพ สกินแคร์ ผลิตภัณฑ์ดูแลตัวเอง ตลอดจนผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน

3. ตอกย้ำความเป็นของแทร่เรื่องโปรโมชั่น ที่เต็มไปด้วยความสนุกและความหลากหลาย

วัตสันไม่ใช่แค่จัดโปรโมชั่นแล้วรอให้ลูกค้าเข้ามาที่หน้าร้าน แต่ยังเติมสีสันในทุกครั้งที่จัดโปรฯ ด้วยการมีแคมเปญสุดพิเศษที่เล่นกับกระแส และความชื่นชอบของลูกค้าในแต่ละช่วงเวลา โดยมีแคมเปญที่หลายคนจดจำและพูดถึงอย่างมาก เช่น

Promotion Gimmick วัตสันยังสร้างความแปลกใหม่ด้วยการหากิมมิกที่สนุกสนาน มาเล่นร่วมกับการจัดโปรฯ และสร้างการมีส่วนร่วมที่มากกว่าการช้อปปิ้ง โดยล่าสุดได้ปล่อย CGI เหรียญบาทบุกกลางกรุง ต้อนรับการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ ตามมาดูกันได้ที่  https://www.facebook.com/reel/500318432715263

Crown Diamond ไอเทมลับ ที่ให้ลูกค้าช้อปสินค้าสุดพรีเมียมที่ไม่เคยร่วมโปรฯ และให้ลูกค้าคอยลุ้นว่าในแต่ละสัปดาห์จะมีสินค้าอะไรที่แวะเวียนเข้ามาร่วมโปรฯ บ้าง

และอยากให้จับตาดูว่าจะมีอะไรให้ติดตามกันต่อไป เพราะวัตสันเก่งกาจในเรื่องการจัดโปรโมชั่นและมีเซอร์ไพรส์สุดพิเศษมาเอาใจลูกค้าอยู่เสมอ พร้อมให้ไปช้อปสนุกๆ กับโปรสุดปังกันได้ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม – 25 กันยายน 2567 ที่วัตสันทุกสาขา และวัตสันออนไลน์ แล้วจะได้สัมผัสถึงความคุ้มค่า ความน่าตื่นเต้น และความสนุนในทุกการช้อปปิ้ง อย่างที่ของแทร่ ของจริง เขาทำกัน

เล่นเกมทายใจ จัดทริปเที่ยวที่ใช่ไปกับมาสคอตสัตว์ที่ชอบใน ‘คุ้งบางกะเจ้า’ บ้านหลังที่ 2 ของทุกคน

เชื่อว่าหลายคนน่าจะมีช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ที่อยากหลบหนีจากความวุ่นวาย ไปเอนกายให้ธรรมชาติบำบัด พักผ่อนในสถานที่แสนสงบ ไปพบกับผู้คนใหม่ๆ และถ้าสถานที่นั้นอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ใช้เวลาเดินทางไปไม่นาน ก็คงจะดีไม่น้อย

เพียงแค่ขับรถหรือนั่งเรือข้ามฟากจากแม่น้ำเจ้าพระยา มายังท่าเรือพระประแดง ก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง ทันทีที่ไปถึงสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ อยู่ใกล้กับแหล่งน้ำทำให้รู้สึกเย็นสบายแบบไม่น่าเชื่อ และสิ่งที่ทำให้เราแปลกใจคือนี่น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่รู้สึกหายใจได้เต็มปอดจากอากาศบริสุทธิ์ สมกับที่ถูกตั้งฉายาให้เป็น ‘ปอดของกรุงเทพฯ’ และสถานที่แห่งนี้คือ ‘บางกะเจ้า’

“อยากให้บางกะเจ้าเป็นบ้านหลังที่สองของทุกคน ”

นี่คือความตั้งใจของ เมษา–พศิกา เสกตระกูล เด็กสาวที่เกิดและโตมาในคุ้งบางกะเจ้า ที่อยากอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในชุมชน และส่งต่อวิถีชีวิตที่น่าสนใจให้ผู้คนได้รู้จัก เธอจึงก่อตั้งเพจ ‘บางกะเจ้า Bangkachao

พร้อมชักชวนเพื่อนๆ ที่มีความเชี่ยวชาญแตกต่างกัน มาร่วมพัฒนาเพจและส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนไปด้วยกัน ทั้ง นัส–นัสรีน แสงวิมาน ครีเอเตอร์ด้านการถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอ ผู้ชื่นชอบการถ่ายทำแบบ documentary ที่อยากถ่ายทอดสารคดีและวิถีชีวิตของคนบางกะเจ้าให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น

และ แพรว–ชนาพร กรณ์งูเหลือม นักออกแบบที่หลงใหลการทำภาพกราฟิกและการวาดคาแร็กเตอร์ ที่อยากสร้างมาสคอตให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ของคุ้งบางกะเจ้า

พวกเขาได้สร้างโมเดลธุรกิจร่วมกัน ผ่านแคมเปญที่ชื่อว่า (โซน) (ปอด) (ไพร) ที่จะมาเปิดมิติใหม่ในการท่องเที่ยว ผ่านการเล่นเกมทายใจ ทำนายนิสัยของคุณว่าเหมือนกับมาสคอตสัตว์สุดน่ารักตัวไหนในคุ้งบางกะเจ้า พร้อมแมตช์ทริปที่ใช่ในสไตล์การเที่ยวที่เป็นคุณ ไม่ว่าจะเป็นสายชิลล์ สายคอนเทนต์คอนใจ สายวัฒนธรรม หรือสายลุยถึงไหนถึงกัน ก็มันกับการท่องเที่ยวชุมชนได้เต็มที่ และไม่แน่ว่าหลังจากอ่านบทความนี้จบ อาจทำให้คุณอยากเก็บกระเป๋า แล้วรีบมาเยือนบางกะเจ้าเลยก็เป็นได้

สัมผัสเสน่ห์ชุมชนยลวิถีคนบางกะเจ้า

ย้อนไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตอนที่เมษาอยากหลีกหนีความวุ่นวายในเมืองใหญ่ จึงตัดสินใจลาออกจากการทำงานประจำ กลับมาใช้ชีวิตในบ้านเกิด เธอได้เปิดเพจบางกะเจ้าขึ้นมา ซึ่งในช่วงแรกเธอจะลงคอนเทนต์แนะนำกิจกรรมให้กับนักท่องเที่ยว และดูแลแค่ในส่วนของเวิร์กช็อปเท่านั้น ยังไม่ได้มีการจัดทริปท่องเที่ยวแบบจริงจัง

หลายคนจึงมาเที่ยวบางกะเจ้าแค่บางสถานที่ที่คนรีวิวกันว่าดี เช่น เดินตลาด ไปคาเฟ่ บางคนก็เข้าใจผิดคิดว่าบางกะเจ้าเป็นแค่สวนสาธารณะที่มาปั่นจักรยานได้ ทั้งที่ความจริงแล้วคุ้งบางกะเจ้ามีเสน่ห์อีกมากมายรอให้ผู้คนมาสัมผัส

“เราว่าเสน่ห์ของที่นี่คือเรื่องของผู้คนในพื้นที่ เพราะคุ้งบางกะเจ้ามีลักษณะเป็นเกาะเล็กๆ ที่พอข้ามแม่น้ําไปก็เป็นกรุงเทพฯ แล้ว วิถีชีวิตของคนในเกาะคือเขาจะรู้จักกันหมดเลย ตั้งแต่หน้าเกาะไปถึงท้ายเกาะ ชาวบ้านแต่ละคนก็ใจดีและเป็นมิตรมากๆ

“อีกอย่างคือเรื่องบรรยากาศ บางกะเจ้าเคยได้รับรางวัลพื้นที่ที่โอโซนดีที่สุดในเอเชีย และเป็นเขตอนุรักษ์ ที่ไม่สามารถสร้างสิ่งปลูกสร้างเชิงพาณิชย์เพิ่มเติมได้แล้ว ทำให้ชุมชนของเราเต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม”

ถึงนักท่องเที่ยวจะเรียกที่นี่ว่าบางกะเจ้า แต่ชื่อเต็มๆ คือ ‘คุ้งบางกะเจ้า’ และเมษามักจะแนะนำให้คนรู้จักบ้านเกิดของเธอด้วยสโลแกนว่า ‘บางกะเจ้ามาได้เลยไม่ต้องรอ’ สื่อถึงคำว่าบางกะเจ้า ต้องสะกดว่า กะ แบบไม่มี รอเรือ แต่ถ้าสะกดเป็นคำว่า กระ มันจะพาคุณไปโผล่ที่ตําบลบางกระเจ้า ในจังหวัดสมุทรสาคร แทนที่จะมาคุ้งบางกะเจ้า ในจังหวัดสมุทรปราการ

และอีกความหมายคือเธอต้องการบอกกับทุกคน ว่าสามารถมาเที่ยวบางกะเจ้าได้เลยไม่ต้องรอ มาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ในแต่เดือนก็จะมีกิจกรรมให้ทำแตกต่างกัน แต่สัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของบางกะเจ้าได้อย่างแน่นอน

(โซน) (ปอด) (ไพร) สำหรับทุกคน

โจทย์ของเมษาที่พัฒนาร่วมกันกับนัสและแพรว คือพวกเขาอยากให้คนได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับชุมชนบางกะเจ้ามากยิ่งขึ้น จึงจัดทำแคมเปญที่ชื่อว่า (โซน) (ปอด) (ไพร) สื่อถึงการที่อยากให้บางกะเจ้าเป็นเหมือนบ้านหลังที่ 2 ของทุกคน เป็นพื้นที่ปลอดภัยที่มาเมื่อไหร่ก็สบายใจ

แต่ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าพวกเขาไม่ได้เขียนคำว่าโซนปลอดภัยแบบตรงๆ ตัว แต่เล่นคำให้สื่อถึงอัตลักษณ์ความเป็นบางกะเจ้าด้วย

คำว่า ‘โซน’ ที่สื่อถึงการเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวและการเป็นแหล่งโอโซนที่ดีที่สุดในเอเชีย

คำว่า ‘ปอด’ มาจากฉายาปอดของกรุงเทพฯ และคล้องกับคำว่าปลอดภัย

คำว่า ‘ไพร’ ก็มาจากป่าดงพงไพร ที่เป็นธรรมชาติในคุ้งบางกะเจ้า แล้วคล้องกับคำว่าปลอดภัยเช่นกัน

ส่วนกิจกรรมในแคมเปญนี้ก็เติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปจากการทำเพจในช่วงแรก นั่นก็คือการจัดทริปท่องเที่ยววิถีชุมชนและท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ผ่านกิมมิกสุดเก๋ ที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี

“เรามีไอเดียจากความสนใจของตัวเองและเพื่อนๆ ที่มีทั้งคนเป็นอินโทรเวิร์ตและเอกซ์โทรเวิร์ต แต่มีความสนใจที่เหมือนกันคือชอบค้นหาตัวตนของตัวเอง ผ่านการเล่นเกมทายใจ ว่าเรามีบุคลิกเป็นแบบไหน และก็ชอบทำความรู้จักคนใหม่ๆ ผ่านการเล่นแอพฯ หาเพื่อน” เมษากล่าว

ก่อนที่นัสจะเล่าเสริมว่า “ทริปที่เราชวนเที่ยวก็จะลิงก์กับเกมทายใจอีกทีนึง เราอยากให้คนมาร่วมเล่นเกมทายใจว่าตัวเองเป็นคนประเภทไหน และจะนําเสนอเป็นทริปคู่หูพาไปเที่ยวด้วยกันตามแต่ละรูตทั้ง 4 เส้นทาง ซึ่ง (โซน) (ปอด) (ไพร) ก็จะเป็นแคมเปญที่ครอบคลุมทั้งทริปและก็ตัวเกมทายใจ”

เที่ยวไปกับมาสคอตสัตว์ในคุ้งบางกะเจ้า

เกมทายใจของพวกเขายังแฝงเสน่ห์ความเป็นบางกะเจ้าได้แบบแนบเนียน ด้วยการหยิบคาแร็กเตอร์สัตว์หลากชนิดที่อาศัยอยู่ในคุ้งบางกะเจ้า มาออกแบบเป็นมาสคอตสุดน่ารัก และในเกมก็จะเฉลยว่าตัวตนของคุณเป็นแบบไหน ตรงกับมาสคอตสัตว์ตัวไหน เหมาะกับการเที่ยวสถานที่ไหนในคุ้งบางกะเจ้าบ้าง

“คำถามในเกมเราคิดจากการทำ persona ว่าคนลักษะแบบนี้ น่าจะตอบแบบนี้ ไม่ได้อิงตามหลักวิชาการตายตัว แต่ยึดจากนิสัยของคนใกล้ตัวมากกว่า ในแต่ละข้อก็จะมีคำตอบให้เลือก 8 ชอยส์ และจะได้คำตอบว่าเราแมตช์กับคาแร็กเตอร์สัตว์ตัวไหน

“ในเกมทายใจก็จะเล่าแบบ storytelling เราคิดเนื้อเรื่องเป็นคนที่ทำงานหนักและกำลังจะเดินทางกลับบ้าน แต่ดันหลงเข้ามาในสถานที่ที่ไม่รู้จัก เหมือนหลุดมาอยู่อีกโลกหนึ่ง ซึ่งสถานที่แห่งนั้นคือบางกะเจ้า แล้วจะมีให้เลือกว่าเราอยากปั่นจักรยานแบบไหนชมที่แห่งนี้ ไปทำความรู้จักกับใคร ตอนสุดท้ายเราจะให้เขาระบายความในใจและมีข้อความปลอบประโลมเขา ให้เขารู้สึกว่าที่นี่คือโซนปลอดภัยจริงๆ

“ตอนท้ายเกมก็จะบอกว่าคุณเป็นนักท่องเที่ยวสายไหน จะมีทั้งหมด 4 สาย คือสายชิลล์ไม่รีบร้อน เหมาะกับการไปเที่ยวคาเฟ่ มาสคอตสัตว์ที่คู่กับคนสายนี้จะเป็นตัวนากกับตัวเงินตัวทอง ด้วยนิสัยเขาจะสบายๆ ว่ายน้ำไปเรื่อยๆ

“และมีสายวัฒนธรรม เหมาะกับไปท่องเที่ยวดูวิถีชีวิตคนในชุมชน ที่นี่มีวัฒนธรรมมอญให้ศึกษาด้วย มาสคอตสัตว์ที่ได้ก็จะเป็นเต่ากับกระรอก ซึ่งเป็นสัตว์ที่อยู่คู่บางกระเจ้ามานาน พบเห็นได้บ่อย แบบหันไปทางไหนก็เจอ

“สายคอนเทนต์คอนใจ เหมาะกับไปหาที่ส่องสัตว์ ทำกิจกรรมเวิร์กช็อป ก็จะแมตช์กับหิ่งห้อยและนกกระเต็นอกขาว เป็นสัตว์ที่ต้องไปตามหาดูในสถานที่ที่เขาอยู่จริงๆ อย่างหิ่งห้อยจะอยู่ที่ลำพูบางกะสอบ ตรงแถวต้นลำพูอายุ 100 ปี นกกะเต็นอกขาวก็จะเจอได้แถวสวนสาธารณะที่เป็นสวนศรีนครเขื่อนขันธ์

“สุดท้ายสายลุยถึงไหนถึงกัน เหมาะกับทำกิจกรรมแบบลงน้ำ ขึ้นบก พายเรือ ปั่นจักรยาน ก็จะตรงกับหมาวัดและปลาเสือพ่นน้ำ ที่ต้องเป็นหมาวัดเพราะในเกาะนี้มีถึง 9 วัด สามารถมาทำทริปไหว้พระ 9 วัดได้เลย และนักท่องเที่ยวก็ชอบมาดูปลาเสือพ่นน้ำจับแมลง สัตว์ 2 ชนิดนี้ชอบอยู่กันเป็นฝูง และดูเป็นสัตว์ที่มีนิสัยลุยๆ”

เมษาเล่าให้เราฟังถึงความน่าสนใจของการท่องเที่ยว 4 แบบ 4 สไตล์ที่นำมาแมตช์กับบุคลิคสัตว์ทั้ง 8 ชนิด ก่อนที่แพรวจะรับไม้ต่อนำมาออกแบบเป็นมาสคอตสุดน่ารัก

“ตอนแรกเราได้บรีฟมาจากเมษากับนัส ว่านิสัยสัตว์แต่ละตัวเป็นยังไง ลายเส้นช่วงแรกจะออกเป็นแนวฝีแปรงหน่อย ให้ดูมีความแฮนด์เมด แต่ที่เปลี่ยนมาเป็นลายเส้นนี้มีการตัดสีดำรอบตัวมาสคอต เพราะเป็นลายเส้นที่น่ารัก ดูเข้าถึงง่าย และง่ายตอนเอาไปใช้ทำงานจริง ถ้าตอนไหนแพรวไม่ว่าง เมษาก็ยังเอาไปทำงานต่อได้

“สีที่เราใช้ก็จะแมตช์ให้เข้าคู่กัน ให้รู้ว่าเขามีนิสัยคล้ายกันเป็นสายเที่ยวสไตล์เดียวกัน เช่น หมาวัดกับปลาเสือพ่นน้ำ ก็จะใช้โทนสีครีมกับฟ้าเหมือนกัน แม้แต่ท่าทางของเขาที่มีการถือกล้อง ถือกระเป๋า เราก็เอามาจากตอนรีเสิร์ชว่ามันเป็นของที่ลิงก์กับนิสัยของสัตว์เหล่านั้น”

ก่อนที่เมษาจะเล่าให้เราฟังว่า “ในอนาคตเราคุยกับทางชุมชนไว้ว่าอยากเอามาสคอตไปต่อยอดทำเป็นของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยว เช่น แก้วน้ำ เสื้อยืด โมเดลที่เป็นกล่องสุ่ม น่าจะทำให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ง่าย”

สุขคนถิ่น ฟินคนเที่ยว

“ก่อนที่เราจะมาทำแคมเปญ (โซน) (ปอด) (ไพร) มันคาดเดาไม่ได้เลยว่านักท่องเที่ยวจะมาทำกิจกรรมอะไร มีรายได้เข้าชุมชนเท่าไหร่ แล้วรายได้จะไปกระจุกตัวอยู่แค่บางกิจกรรมที่คนรู้จัก เช่น ปั่นจักรยาน แต่พอเรามีการให้เล่นเกมทายใจ ให้มาเที่ยวตามรอยทริป 4 สายที่เราจัดไว้ เราก็จะพอคาดเดารายได้ในแต่ละวัน แล้วรายได้นั้นก็จะกระจายอย่างทั่วถึงไปทั้ง 6 ตำบลในคุ้งบางกะเจ้า

“นอกจากนี้เรายังมีกิจกรรมเวิร์กช็อปแบ่งออกเป็น 2 หมวดใหญ่ๆ คือกิจกรรม CSR และกิจกรรมชุมชน ในส่วนของ CSR ด้วยความที่เราเป็นพื้นที่อนุรักษ์ก็จะมีการสอนเพาะต้นกล้า แล้วนำไปปลูกในแต่ละชุมชน และเรายังมีการบริหารจัดการขยะที่ดี มีการรีไซเคิลขวดพลาสติกกลับมาใช้ประโยชน์ เลยเกิดเป็นกิจกรรมเพนต์ถุงผ้าที่ได้มาจากเส้นใยขวดพลาสติก ร้อยลูกปัดที่รีไซเคิลจากฝาขวดน้ำ เพนต์กระถางต้นไม้จากที่รีไซเคิลขยะในแม่น้ำ

ส่วนกิจกรรมชุนชนก็จะมีหลากหลายมาก ตั้งแต่ทำขนม ทำงานประดิดประดอย ย้อมผ้าจากสีธรรมชาติ หรือกิจกรรมลุยๆ ก็มี พวกพายเรือ ปั่นจักรยาน

“คนที่มาเที่ยวเดี๋ยวนี้ก็มีทั้งจองทำกิจกรรมกับเราแบบเต็มวัน ก็จะได้ทำประมาณ 3 กิจกรรม มีอาหารท้องถิ่นรวมอยู่ในทริป ถ้าใครจะมาแบบนี้ต้องจองล่วงหน้า 7-15 วัน หรือบางคนก็มาเที่ยวด้วยตัวเอง แล้วจองทำแค่บางกิจกรรมที่สนใจก็ได้ แบบนี้ก็จองล่วงหน้าแค่ 3 วัน” เมษากล่าว

ก่อนที่นัสจะเล่าทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มว่า “การที่เราทำท่องเที่ยวชุมชน มันเหมือนช่วยให้เด็กในชุมชนเห็นคุณค่าของบ้านเกิดมากขึ้น ไม่รู้ว่าที่พูดไปมันดูโบราณไปไหมนะ (หัวเราะ) แต่เราคิดแบบนั้นจริงๆ เราอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กก็ชินกับภาพที่เห็นไปแล้ว แต่พอมีนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วเขาตื่นเต้นกับที่นี่ เหมือนเขาชอบที่นี่ เราก็อยากจะนำเสนอของดีในชุมชนเราให้คนรู้จักมากขึ้นไปอีก”

เบื้องหลังแคมเปญ (โซน) (ปอด) (ไพร) ที่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวคุ้งบางกะเจ้า เกิดจากโครงการ ‘CHANGEx2: Greater Together ผนึกกําลังสุดครีเอต อัปเกรดธุรกิจโลคัล’ ของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA ที่ให้คำแนะนำผู้ประกอบการและครีเอเตอร์ในการพัฒนาสินค้าร่วมกัน ทำให้ได้รับทักษะเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญในส่วนธุรกิจและการตลาด การทำการตลาดดิจิทัล การวางแผนทำคอนเทนต์ลงโซเชียลมีเดีย การทำพีอาร์ การคำนวณต้นทุน อีกทั้งยังได้รับคำแนะนำด้านการจัดทำเกมทายใจและออกแบบมาสคอตสัตว์ให้กลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ในคุ้งบางกะเจ้าที่นักท่องเที่ยวหลงรัก

บางกะเจ้า Bangkachao