Month: July 2024
คนทำงานเอาตัวรอดยังไงในยุค AI ครองเมือง?
ยูโร 2024 กับการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่กว่านัดชิงชนะเลิศ และประตูชัยของเกมไม่ใช่ประตูทองแต่เป็นประตูเขียว!
Date : 14 มิถุนายน 2024
Match : ซูเปอร์แมตช์ฟุตบอลยูโร 2024
นี่คือศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 หรือ ‘ยูโร 2024’ มหกรรมลูกหนังที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก เป็นรองเพียงแค่ฟุตบอลโลกรายการเดียวเท่านั้น
ด้วยศักดิ์ศรีทำให้ทุกทีมที่ผ่านเข้ารอบมาต่างจัดทีมที่ดีที่สุดเพื่อลงสนาม นำโดยซูเปอร์สตาร์ลูกหนังอย่างคริสเตียโน โรนัลโด, คีลิยัน เอ็มบัปเป, จู๊ด เบลลิงแฮม, เวอร์จิล ฟาน ไดค์, เควิน เดอ บรอยน์ และอีกมากมายเต็มไปหมด
แต่ยูโร 2024 นี้ยังมีแมตช์พิเศษระดับโลกที่ยิ่งใหญ่อีกเกม ซึ่งคนที่ต้องลงสนามนั้นไม่ใช่นักเตะดาวดังคนไหนเลย แต่เป็นแฟนบอลทุกคนที่จะลงสนามไปช่วยโลกกันในเกมนี้
หยิบสตั๊ดแล้วลงสนามไปลุยด้วยกันเลยครับ!

0-1 (น.1) kick off! carbon footprint ยิงนำต้นเกม
ฟุตบอลยูโร 2024 ครั้งนี้จัดขึ้นที่ประเทศเยอรมนีครับ ถือเป็นการแข่งขันครั้งที่ 17 นับตั้งแต่เริ่มต้นการแข่งขันครั้งแรกที่ประเทศฝรั่งเศสในปี 1960 หรือกว่า 64 ปีมาแล้ว
โดยทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันในปีนี้มีจำนวน 24 ทีมด้วยกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นทีมระดับชั้นนำของวงการฟุตบอลยุโรปเลยทีเดียวครับ
ในทางเศรษฐกิจนั้นมีการประเมินกันว่าการแข่งขันระยะเวลา 1 เดือนเต็มนี้เจ้าภาพจะสามารถโกยรายได้ (commercial revenues) ได้มหาศาลถึงกว่า 2.4 พันล้านยูโร หรือ 96,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าฟุตบอลยูโร 2016 ที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพถึง 26% และคาดว่าจะทำกำไรได้ถึงเกือบ 2,000 ล้านยูโร หรือ 78,000 ล้านบาทซึ่งก็เป็นสถิติใหม่อีกเช่นกัน
ตัวเลขเหล่านี้มาจากหลายส่วนด้วยกันครับ เช่น ค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด ตั๋วเข้าชมการแข่งขัน สปอนเซอร์ การจำหน่ายสินค้าที่ระลึก รวมถึงส่วนที่มีความสำคัญมากๆ ต่อมหกรรมกีฬาแบบนี้คือรายได้ที่มาจากแฟนฟุตบอลที่เดินทางมาร่วมสนุกไปด้วยกัน
ยูโรหนนี้มีการจำหน่ายตั๋วเข้าชมทั้งหมด 2.7 ล้านใบสำหรับ 51 เกมที่จัดแข่งขันกันใน 10 เมืองของเยอรมนี
เท่านั้นไม่พอการท่องเที่ยวเยอรมนี (German National Tourist Board) ยังประเมินว่าจะมีแฟนฟุตบอลอีกร่วม 7 ล้านคนที่เดินทางมาร่วมมหกรรมลูกหนังครั้งนี้แม้จะไม่มีตั๋วเข้าชมการแข่งขัน เพราะมีการจัด Fanzone หรือตามผับและบาร์ให้ทุกคนได้เชียร์ฟุตบอลไปด้วยกัน


ถ้าใครได้ชมการถ่ายทอดสดหรือติดตามข่าวคงจะพอเห็นภาพของสีสันและบรรยากาศจากเหล่ากองเชียร์ของทั้ง 24 ชาติที่มาร่วมมหกรรมลูกหนังครั้งนี้ก็สดสวยสมเป็น ‘The Beautiful Game’ จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นสีส้มสดใสของ ‘Oranje’ กองเชียร์ทีมชาติเนเธอร์แลนด์อันขึ้นชื่อลือชา หรือเหล่า ‘Tartan Army’ กองทัพลูกหนังจากสกอตแลนด์ที่มาพร้อมกับเสียงปี่สกอตอันเป็นเอกลักษณ์ หรือกองกำลังสีแดงจากตุรกีที่ทรงพลัง
มันเป็นการย้ำเตือนที่ดีมากๆ ครับว่า ‘ฟุตบอลที่ไร้แฟนบอล’ ไม่มีความหมายอะไรเลย (Football without fans is nothing.)
แต่ปัญหาคือจำนวนคนมากมายมหาศาลขนาดนี้
วันนึงที่ทุกคนเดินทางกลับไป พวกเขาไม่ได้กลับไปตัวเปล่า
นอกจากความทรงจำแล้ว ยังมี carbon footprint หลงเหลือเอาไว้มากมายมหาศาลด้วย
และนั่นคือปัญหาใหญ่ของเกมนี้ พวกเราเสียประตูตั้งแต่นาทีแรกของเกมเลย

1-1 (น.44) ประตูนี้สีเขียว
สิ่งที่อาจจะทำให้หลายคนไม่เข้าใจคือ ฟุตบอลจะสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ยังไงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมที่สร้างมลพิษให้แก่โลกใบนี้
ความจริงแทบทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามสามารถสร้าง carbon footprint ได้ทั้งนั้น ซึ่งเกมฟุตบอลก็ไม่แตกต่างกัน
ด้วยความที่เป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งของโลก มีการประเมินว่าอุตสาหกรรมกีฬาฟุตบอลสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึงกว่าปีละ 30 ล้านตัน หรือเทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ คือจำนวนเทียบเท่ากับประเทศเดนมาร์กประเทศนึงเลยทีเดียว
ฟุตบอลจึงเป็นหนึ่งในเกมกีฬาที่ถูกจับตามองว่าจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยแก้ไขการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก (climate change) ได้
ทางยูฟ่า (UEFA) ในฐานะเจ้าของรายการแข่งขันฟุตบอลยูโรเองก็ตระหนักในเรื่องนี้และให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสภาพแวดล้อม และเป็นหนึ่งในเกณฑ์สำคัญในการพิจารณาชาติเจ้าภาพที่มีการเปิดให้ยื่นข้อเสนอกันในปี 2018
สุดท้ายเยอรมนีเป็นชาติที่ได้สิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพ เพราะในข้อเสนอนั้นมีเรื่องของสิ่งแวดล้อมเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างมาก
นอกจากจะตั้งใจให้เป็นมหกรรมฟุตบอล ‘ขาวสะอาด’ ที่สุดในแง่ของเกมกีฬาแล้ว พวกเขาตั้งใจจะทำให้ยูโร 2024 เป็นมหกรรมฟุตบอลที่ ‘เขียวสะอาด’ ที่สุดในเรื่องของสิ่งแวดล้อมด้วย โดยมีการบรรจุกลยุทธ์ ESG (environmental, social, and governance) หรือสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลอยู่ในแผนงาน ซึ่งมีการเผยแพร่เมื่อเดือนกรกฎาคม 2023 เป็นเหมือนสัญญาประชาคม
ใน ESG มี 3 เสาหลักที่จะเชื่อมโยงกับการทำงานใน 11 ส่วน ซึ่งแยกออกเป็น 28 หัวข้อ, 48 เป้าหมาย และ 83 ดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพ เรียกได้ว่าละเอียดยิบ
ยูฟ่าและเจ้าภาพเยอรมนียังได้ก่อตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อมและจัดการแก้ปัญหา carbon footprint ที่เกิดในเกมลูกหนัง โดยกองทุนนี้มีสโลแกนเพราะๆ ว่า “United by Football – Together for Nature”
“เป็นหนึ่งเดียวด้วยฟุตบอล ร่วมกันเพื่อธรรมชาติ”
เป็นประตูตีเสมอที่สวยงามทีเดียว
ที่สำคัญประตูนี้สีเขียว (green goals) ด้วย


1-2 (น.47) ความมุ่งมั่นฉบับเยอรมัน
เสียงนกหวีดดังขึ้นอีกครั้งเป็นสัญญาณการเริ่มต้นเกมครึ่งหลัง และสถานการณ์ทำท่าเหมือนจะพลิกผัน
ความมุ่งมั่นฉบับเยอรมันของเจ้าภาพคือตัวแปรที่สำคัญ
ด้วยความเป็นชนชาติที่ชื่อว่าทำอะไรก็ต้องเป๊ะ ในการวางแผนเรื่องสิ่งแวดล้อมในยูโร 2024 จึงมีการศึกษามาเป็นอย่างดี และพบว่าสิ่งที่สร้าง carbon footprint เอาไว้มากที่สุดคือเรื่องของการเดินทาง เพราะไม่ใช่แค่ทีมฟุตบอลที่ต้องเดินทางไปทำการแข่งขันยังสนามต่างๆ แต่ยังมีหมู่มหาประชาชนลูกหนังอีกนับล้านที่จะเดินทางตามไปเชียร์ด้วย
เหมือนอย่างเช่นในเกมเปิดสนามระหว่างเยอรมนีกับสกอตแลนด์ มีแฟนบอล Tartan Army (สมญาของแฟนสกอตเขา) หลายแสนคนเดินทางมายังเมืองเบอร์ลิน ซึ่งไม่ได้มีเป้าหมายแค่สนามโอลิมปิกสตาดิโอน ที่ใช้เป็นสนามเปิดการแข่งขัน แต่ยังรวมถึงตาม Fanzone ที่ไว้รวมพลแฟนๆ มานั่งลุ้นด้วยกัน
อย่างที่บอกครับว่าทุกก้าวคือ carbon footprint ที่เหลือไว้ทั้งนั้น ซึ่งรัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมของเยอรมนีได้มีการประเมินว่าจะมีปริมาณก๊าซเรือนกระจก (greenhouse gases – GHGs) ที่เกิดขึ้นในช่วงของการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 (14 มิถุนายน – 14 กรกฎาคม) ถึง 490,000 ตัน
โดยกว่า 80% หรือกว่า 400,000 ตันจะเกิดขึ้นจากการเดินทาง
ตัวเลขนี้อาจจะฟังดูเยอะแต่เมื่อเทียบกับการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ที่เรียกตัวเองว่าเป็นรายการฟุตบอล ‘ที่เป็นกลางทางคาร์บอน’ (carbon neutrality) แต่สร้างก๊าซเรือนกระจกถึง 3.6 ล้านแล้วก็ถือว่าน้อยลงเยอะมากแล้ว แต่ก็ยังต้องจัดการอยู่ดี
ด้วยเหตุนี้ทำให้เจ้าภาพเยอรมนีร่วมกับยูฟ่า วางแผนรับมือด้วยการรณรงค์ให้แฟนบอลเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะรถไฟที่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการเดินทาง
สำหรับแฟนบอลที่ถือบัตรเข้าชมการแข่งขันแมตช์ใดก็ตาม จะสามารถใช้ระบบขนส่งสาธารณะท้องถิ่นได้ฟรีเป็นเวลา 36 ชั่วโมง เช่น มีตั๋วนัดที่แข่งในเมืองเบอร์ลินก็เดินทางในเบอร์ลินได้ฟรี ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ, รถเมล์, รถราง รวมถึงยังสามารถซื้อตั๋วรถไฟเดินทางระหว่างเมือง (เผื่อไปเที่ยวเมืองอื่นๆ) ได้ในราคาแค่เที่ยวละ 29 ยูโร (1,100 บาท) ซึ่งถือว่าถูกมากสำหรับชาวยุโรป
ส่วนแฟนบอลที่ไม่มีบัตรก็ไม่ต้องน้อยใจไป เพราะจะได้รับส่วนลดค่าเดินทาง 25% โดยยูฟ่าเป็นผู้ที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้
โดยที่การรถไฟเยอรมัน (Deutsche Bahn) ร่วมอำนวยความสะดวกด้วยการเพิ่มที่นั่งบนขบวนรถไฟความเร็วสูงวันละ 10,000 ที่นั่งในวันที่มีการแข่งขัน

ขณะที่ทีมฟุตบอลที่เข้าร่วมนั้น มีการจัดโปรแกรมการแข่งขันในแต่ละวันแบ่งออกเป็น 3 ภูมิภาคคือ ภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ โดยแต่ละทีมจะลงเล่น 2 ครั้งในโซนนั้น ซึ่งจะช่วยลดเรื่องของการเดินทางระหว่างเมืองโดยไม่จำเป็นสำหรับทั้งทีมและแฟนบอล อีกทั้งแต่ละทีมยังได้รับการเชิญชวนให้เดินทางด้วยรถไฟหรือรถโค้ช แทนการเดินทางด้วยเครื่องบินด้วย
เรื่องนี้ทำได้เพราะระบบขนส่งสาธารณะของเยอรมนีครอบคลุมทั่วประเทศ และทางรถไฟเยอรมนีก็เชื่อมโยงกับแทบทุกชาติในยุโรป
การเดินทางที่เป็นหัวใจของการแก้ไขปัญหาจึงช่วยได้มาก
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่ทำ ไม่ว่าจะเป็นการไม่สร้างสนามแข่งแห่งใหม่เลยแม้แต่แห่งเดียว, การจำกัดการใช้ไฟสนามไม่ให้มากเกินไป, จำกัดการใช้พลังงานในศูนย์สื่อมวลชน และการใช้พลังงานหมุนเวียนในสนาม
ใน Fanzone ยังมีการเปลี่ยนมาใช้แก้วเครื่องดื่ม (ก็เบียร์นั่นแหละ) แบบนำมาใช้ใหม่ได้ (ซึ่งมีการออกแบบให้น่ารักสวยงามเหมาะกับการเก็บเป็นที่ระลึกสุดๆ) ขณะที่อาหารที่มีการจำหน่ายซึ่งแข่งที่เยอรมนีจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากไส้กรอก Bratwurst ก็มีการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สิ้นเปลืองทรัพยากรที่นำมาใช้ผลิตแพ็กเกจน้อยที่สุด และยังมี Bratwurst แบบวีแกนเป็นทางเลือกด้วย
ทุ่มเทขนาดนี้ต้องได้ผลบ้างแล้วไหม!

2-2 (น.85) ลูกยิงลวงตา
ถึงแผนทุกอย่างจะออกแบบมาดีแค่ไหน แต่สิ่งที่ต้องทำใจคือมันอาจจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดทั้งหมด
เรื่องของการคำนวณค่าการปล่อยมลพิษที่แท้จริง (actual emissions) นั้นจะมีการคำนวณอีกครั้งเมื่อการแข่งขันจบลงโดยรัฐบาลของสหพันธ์รัฐต่างๆ ของเยอรมนีและยูฟ่าซึ่งคาดว่าจะมีการเปิดเผยตัวเลขที่แท้จริงภายในสิ้นปี
อย่างไรก็ดีตัวเลขในโปรเจกต์ที่มีการคำนวณนั้นอิงจากรายการยูโร 2016 ที่ประเทศฝรั่งเศส (ไม่สามารถใช้ยูโร 2020 ได้เพราะกระจายการจัดการแข่งขันทั่วยุโรป ดังนั้นมี carbon footprint เต็มแผ่นดินแน่นอน) ซึ่งเป็นตัวเลขเก่าเมื่อ 8 ปีที่แล้ว การคำนวณอาจจะมีความคลาดเคลื่อนได้ แม้จะคาดหวังว่าจะเคลื่อนไปในทางที่ดีที่อาจจะสร้างมลพิษได้น้อยกว่าครั้งนั้นมากเพราะมีมาตรการต่างๆ ที่จริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับยูฟ่าที่ผ่านมามีความพยายามในการพัฒนาเครื่องมือคำนวณค่า carbon footprint ของตัวเองด้วยวิธีการแบบของตัวเองโดยคำนวณจาก “Football-focused methodology” ซึ่งจะดูจากปริมาณน้ำที่ใช้, การจัดการขยะของเสีย และประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน รวมถึงเรื่องของการเดินทาง
เครื่องมือนี้จะถูกแจกจ่ายให้แก่สโมสรทุกแห่งในยุโรปเพื่อที่จะเป็นเข็มทิศนำทางสโมสรฟุตบอลแต่ละแห่งในเรื่องของการดูแลจัดการและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น
ทั้งหมดนี้ฟังดูเหมือนจะดี แต่สิ่งที่ยูฟ่าทำคือการเพิ่มจำนวนแมตช์การแข่งขันในรายการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็รวมถึงฟุตบอลยูโรที่มีความคิดที่จะเพิ่มจำนวนทีมเป็น 32 ทีมในอนาคตแม้จะยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าจะเริ่มเมื่อไหร่ก็ตาม
ไม่นับเครื่องหมายคำถามถึงสปอนเซอร์หลักของยูโร 2024 ที่บางบริษัทเผชิญคำครหาในเรื่องของสิ่งแวดล้อม
อาการปากว่าตาขยิบขององค์กรที่ความจริงมีหน้าที่ในการควบคุมดูแลคือสิ่งที่นักสิ่งแวดล้อมกังวล เช่นเดียวกันกับสโมสรต่างๆ ไม่ว่าจะระดับยักษ์ใหญ่หรือยักษ์เล็ก
“เราต้องการวิสัยทัศน์ใหม่สำหรับเกมฟุตบอล ที่ทุกคนจะมีส่วนร่วมด้วยอย่างจริงจัง”

2-3 (90+3) ชัยชนะเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่
ถึงยูฟ่าจะดูน่าสงสัยในท่าทียังไง แต่งบประมาณด้านสิ่งแวดล้อม 32 ล้านยูโร (1,200 ล้านบาท) ถือว่ามีส่วนช่วยกระตุ้นเรื่องของสิ่งแวดล้อมในเกมลูกหนังได้ไม่น้อย
เฉพาะในยูโร 2024 ยูฟ่าจะจ่ายเงิน 25 ล้านยูโร (980 ล้านบาท) ให้กองทุนสิ่งแวดล้อม (climate Fund) สำหรับการปล่อยมลพิษที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ที่เกิดขึ้นระหว่างจัดการแข่งขันปริมาณ 1 ล้านตัน และมีการประเมินว่าเงินสนับสนุนจะเริ่มที่ 7 ล้านยูโร (270 ล้านบาท) ขึ้นอยู่กับแผนการป้องกันการปล่อยมลพิษในช่วงก่อนเริ่มการแข่งขัน
แต่สิ่งที่ดีจริงๆ คือการเปิดโอกาสให้สโมสรท้องถิ่นที่เป็นสโมสรระดับสมัครเล่นในเยอรมนีได้เข้าร่วมโครงการเกี่ยวกับการรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย โดยสโมสรสามารถเขียนโครงการเพื่อของบสนับสนุนได้เลยที่ 25,000 ยูโร หรือขอได้สูงสุดถึง 250,000 ยูโร
เงินจำนวนนี้จะถูกนำไปปรับปรุงเรื่องของการจัดการพลังงาน, การจัดการน้ำ, การจัดการขยะ ไปจนถึงการเดินทางอย่างชาญฉลาดขึ้น (อาทิ รถบัสพลังงานไฟฟ้า) หรือแล้วแต่ไอเดียความคิดสร้างสรรค์ที่จะเสนอ ขอเพียงแค่ช่วยรับผิดชอบและดูแลสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น
เรียกว่าในฟุตบอลเยอรมันจะเขียวตั้งแต่ระดับ ‘ฟุตบอลรากหญ้า’ (Grassroots–ฟุตบอลระดับท้องถิ่นในระดับเยาวชน) เลยทีเดียว โดยสมาคมฟุตบอลเยอรมัน (DFB) ให้คำมั่นว่าจะทำให้ฟุตบอลในประเทศเป็น ‘Energiewende’ หรือ ‘จุดเปลี่ยนพลังงาน’ ที่จะทำให้ลีกฟุตบอลในประเทศเป็นลีกที่เขียวสะอาดที่สุดในโลก และจะเป็นต้นแบบให้ลีกประเทศอื่นเดินตามในอนาคตด้วย
เป็นการยิงประตูในระดับตำบล แต่ส่งผลถึงระดับโลก (Local goals, global impacts)
แต่สิ่งที่เป็นความหวังจริงๆ ไม่ได้อยู่แค่เรื่องสโมสรหรือองค์กร แต่เป็นแฟนฟุตบอลทุกคนที่ได้รับรู้ และเรียนรู้เรื่องการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างง่ายๆ เพียงแค่เปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างที่คุ้นชิน เริ่มตั้งแต่การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ, การคืนแก้วเบียร์ ไปจนถึงสิ่งละอันพันละน้อยต่างๆ
มันอาจเป็นชัยชนะเล็กๆ ระหว่างเกม เหมือนการตัดบอลได้หน้าประตูตัวเอง
แต่รู้ไหมว่าชัยชนะในจังหวะเล็กๆ แบบนี้แหละที่นำไปสู่การโต้กลับ การช่วยกันเล่นสอดประสาน และการจบสกอร์เป็นประตูชัยในท้ายที่สุดสำหรับทุกคนได้
นี่คือแมตช์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยูโร 2024
ด้วยความหวังว่าชัยชนะที่ยิ่งใหญ่นี้จะเป็นของเราทุกคน

อ้างอิง
- uefa.com/news-media/news/0283-188326de8f76-4c9b33544372-1000–uefa-euro-2024-aims-to-set-benchmark-with-environmental-
- abmagazine.accaglobal.com/global/articles/2024/jun/business/green-goals-at-the-euros.html
- forbes.com/sites/vitascarosella/2023/10/24/uefa-euro-2024-aims-to-be-the-most-sustainable-football-tournament
- carboncredits.com/uefas-green-goals-7-6m-climate-fund-for-euro-2024-carbon-footprint
- linkedin.com/pulse/euro-2024-vs-sustainability-katrin-zeiler-w82wc
- medium.com/@eddie.hc.tsui/uefa-euro-2024-a-new-era-of-sustainability-in-sports-1fec9dc59079
- cleanenergywire.org/news/euro-2024-most-sustainable-football-championship-all-time
Match facts
- ยูฟ่าประกาศเมื่อปี 2020 ว่ามีความตั้งใจที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในองค์กร กิจกรรม และการจัดแข่งฟุตบอลภายในยุโรปให้ได้ 50% ภายในปี 2030 และเป้าหมายสูงสุดคือ Net zero ให้ได้ภายในปี 2040
- ในการแข่งขันยูโร 2020 ทีมที่ปล่อยมลพิษมากที่สุดคือสวิตเซอร์แลนด์จากการเดินทางถึง 20,000 กิโลเมตร
จากเด็กสุรินทร์สู่การทำแบรนด์หรู Soerann ของแพรวา เติมเต็มสตูดิโอที่ทอผ้าจากภูมิปัญญาพื้นบ้าน
“เราห่างหายจากการให้สัมภาษณ์ไปนานแล้ว”
แพร–แพรวา รุจิณรงค์ ออกตัวเมื่อเปิดประตูต้อนรับให้เข้าไปในสตูดิโอที่เธอเป็นผู้ก่อตั้ง
ทั้งนี้เพราะเติมเต็มสตูดิโอเปิดมาเป็นระยะเวลา 8 ปีแล้ว สำหรับผู้ที่ติดตามงานคราฟต์อยู่เสมอ เติมเต็มสตูดิโอเป็นที่รู้จักกันดีจากการเป็นไม่กี่แบรนด์ในไทยที่ออกแบบลายผ้าเองโดยแพรผู้มีหลายบทบาททั้งนักออกแบบสิ่งทอ อาจารย์สอนวิชาสิ่งทอ และนักขับเคลื่อนที่เข้าไปพัฒนาชุมชนกับชาวบ้าน
สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้สนใจผ้าไทยมากนัก เติมเต็มสตูดิโอถือเป็นแบรนด์แปลกใหม่ที่ออกคอลเลกชั่นลายผ้าไทยที่คาดไม่ถึงอย่างลายหัวใจ ดอกเดซี่ สตรอว์เบอร์รี และยังมีไอเทมแฟชั่นจากผ้าไทยที่ใช้เทคนิคการทอพื้นบ้านแต่ดูไม่ไทยจ๋า ทำให้คอลเลกชั่นสินค้าไลฟ์สไตล์ของแบรนด์เป็นที่ตื่นตาตื่นใจสำหรับคนรุ่นใหม่
Soul of future craftsmanship คือคำบรรยายสตูดิโอทอผ้าที่แพรใส่ไว้ในอินสตาแกรม เพราะเธอรักศาสตร์การทอผ้าท้องถิ่นเป็นชีวิตจิตใจด้วยเติบโตมาในจังหวัดบ้านเกิดอย่างสุรินทร์ ไม่นานมานี้แพรยังเปิดตัวแบรนด์ใหม่ Soerann ที่ใช้เทคนิคการทอผ้าจากสุรินทร์ทั้งหมดและมีความตั้งใจปั้นให้เป็นแบรนด์หรูระดับ atelier ที่ขายสินค้าจากภูมิปัญญาพื้นบ้านในราคาสูงได้
ที่ผ่านมา แพรยังยึดหลักการว่าอยากทำลายผ้าที่ผู้คนเข้าใจง่ายและรู้สึกว่าใส่ได้ในโอกาสสำคัญ เธอจึงไม่เคยหยุดนิ่งกับการสร้างสรรค์ลายผ้าและสินค้าใหม่รวมถึงปรับโมเดลธุรกิจอยู่เสมอ โดยมีการใช้กระบวนการคิดคอนเซปต์และหาแรงบันดาลใจจากหลากหลายรูปแบบที่แสดงให้เห็นว่าความเป็นไทยไม่จำเป็นต้องสื่อสารผ่านลายไทยรูปแบบเดิมๆ

Life Wisdom
โปรดักชั่นเฮาส์ของคนอีสานบ้านเฮา
พื้นเพครอบครัวแพรอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์
คุณปู่และคุณตาของเธอรับราชการทำงานพัฒนาชุมชนในหลายจังหวัดโดยมีบทบาทเป็นผู้ขับเคลื่อนที่สนับสนุนให้ชุมชนสร้างรายได้ คุณย่าเป็นคนเชียงใหม่ที่รักการนุ่งผ้าซิ่นของภาคเหนือและชอบเข้าครัวทำอาหารท้องถิ่น รวมถึงสนับสนุนผู้หญิงในชุมชนให้เกิดรายได้ คุณยายของแพรนั้นทำศูนย์ชุมชนขายผ้าไหมที่อุดรธานี ส่วนญาติเปิดร้านผ้าไหมที่สุรินทร์ชื่อเอกอนันต์ไหมไทยโดยมีโรงทอผ้าอยู่หลังบ้าน
แพรยังโตมากับคุณพ่อผู้เป็นสถาปนิกที่ชื่นชอบงานสไตล์ไทยและเคยไปทำงานที่ญี่ปุ่น 2-3 ปี ผลงานของพ่อที่แพรเห็นมาตั้งแต่เด็กไม่ใช่แค่การออกแบบบ้านและอาคารทั่วไปแต่เป็นโจทย์การออกแบบสถานที่ซึ่งมักไม่ซ้ำกัน เช่น พิพิธภัณฑ์ที่อยุธยา ปางช้าง โรงพยาบาล

บทบาทนักขับเคลื่อน นักออกแบบ และความรักในภูมิปัญญาพื้นบ้านจึงอยู่ในสายเลือดของแพร จากการเห็นวิถีชีวิตของปู่ย่าตายายและพ่อมาตั้งแต่เด็ก
“เราเติบโตมากับสังคมหลายบริบทและวัฒนธรรม พอต้องกลับบ้านทุกๆ ซัมเมอร์ เราก็ติดสอยห้อยตามคุณตาที่ทำงานพัฒนาชุมชน ลงพื้นที่ไปด้วยทำให้ได้ไปต่างจังหวัดและได้เห็นบริบทของชุมชนหลากหลาย”
เด็กหญิงแพรวาได้รับอิทธิพลหลักจากถิ่นบ้านเกิดคือภาคอีสาน นอกจากสุรินทร์แล้วจังหวัดที่ครอบครัวของเธอแวะไปทำงานทั้งนครพนมและอุดรธานีก็ทำให้ซึมซับวัฒนธรรมพื้นบ้านกลับมา โดยเฉพาะจากคุณยายที่เป็นนักสะสมผ้าไทยตัวยง

“ด้วยความที่เขาติดตามคุณตาไปอยู่ภาคอีสาน เพราะฉะนั้นเขาก็จะได้ผ้าจากอุดรธานี เวียงจันทน์ หลวงพระบางที่อพยพมาไทย มีผ้ามัดหมี่ของสุรินทร์สะสมไว้เยอะมาก เราโตมาก็เห็นตู้ผ้า 3-4 ตู้ของยาย เขาก็จะชอบขุดกรุเปิดตู้ออกมา เอาผ้าออกมากางและพับ”
ความชอบสะสมผ้าไทยของคุณยายถูกส่งต่อให้คุณแม่ของแพรและส่งถึงแพรอีกต่อในรูปแบบความหลงใหล
“เราไปที่ร้านผ้าไหมตั้งแต่เด็กจนโตแล้วรู้สึกสนุก เหมือนเป็นวันเดอร์แลนด์ของฉันที่เต็มไปด้วยสีสด แล้วก็อยากเรียนทอผ้าขึ้นมาเองแต่ไม่รู้ว่าได้แรงบันดาลใจมาตั้งแต่ตอนไหน”


รู้ตัวอีกทีแพรก็เรียนคณะออกแบบพัสตราภรณ์ที่ได้เรียนทอผ้าสมใจอยากและจบมาทำงานรับราชการหลายบทบาททั้งกระทรวงเกษตร กระทรวงพาณิชย์ และนักวิชาการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่กรมหม่อนไหมซึ่งมีหน้าที่คือทำโครงการที่ออกแบบลายผ้าไหมร่วมกับชุมชน
“มีน้อยคนที่เรียนสาขานี้และทอผ้าเป็น เพราะฉะนั้นเราจะถูกเรียกตัวไปทุกที่ เดินทางไปเหนือจรดใต้ จากอีสานไปตะวันตก และตะวันออกจนถึงตะเข็บชายแดน เราไปตั้งแต่เวียงเชียงรุ้ง เชียงราย ไปจนถึงใต้สุดคือชุมพร

“ทักษะที่เรามีทุกวันนี้เกิดจากการที่เราแลกเปลี่ยนกับแม่ๆ เวลาลงชุมชนหรือลงพื้นที่แถบอีสาน เราไปฝึกย้อมสีธรรมชาติ วิธีขิด ทำมัดหมี่ เรียนแบบครูพักลักจำแล้วปรับการออกแบบให้เข้ากับวิถีของเขา”
แพรบอกว่าเติมเต็มสตูดิโอเกิดขึ้นมาได้เพราะชุมชนเหล่านี้ที่สอนทักษะทอผ้าพื้นบ้านกับเธอ
“สตูดิโอของเราเกิดจากความไม่แม่นในทักษะของเรานี่แหละ เพราะเราต้องมาทดลองพัฒนาทักษะตัวเองก่อนถึงจะไปทำโครงการสอนชุมชนได้ เลยต้องบอกว่าเติมเต็มสตูดิโอไม่ได้ช่วยเหลือหรือชูชุมชนนะ แต่เราทำงานร่วมกันเพราะเขาคือโปรดักชั่นเฮาส์ที่ซัพพอร์ตการผลิตทั้งหมด”

Symbolic Expression
แม้จะเป็นคนรุ่นใหม่ที่คุ้นชินกับผ้าไทยตั้งแต่เด็ก แต่แพรก็มองว่าลายผ้าไทยดั้งเดิมมีความซับซ้อนและเข้าใจยากสำหรับคนทั่วไป
เช่นผ้ามัดหมี่ในแถบสุรินทร์มี 2 แบบ คือผ้าปูมสำหรับใส่ในงานราชการ ลวดลายประกอบด้วยรูปพญา ขุน ลายขอบ ช่องแทงท้อง กรวยเชิงหลายชั้น ส่วนผ้าโฮล ผ้าปิดานเป็นผ้าสำหรับใช้ทำบุญจึงมีลวดลายทางพุทธศาสนาทั้งรูปคนและช้างม้าวัวควาย ใช้มัดหมี่ในการทอราว 180 ล้านลำซึ่งแพรบอกว่าระยะเวลาหนึ่งปีก็อาจทอไม่เสร็จ




“เราเอาทักษะที่ใช้ในการทอผ้าลวดลายซับซ้อนพวกนี้มาลดทอนให้ทำง่ายขึ้นและเร็วขึ้นเพื่อทำลายผ้าของเติมเต็มสตูดิโอเป็นสัญลักษณ์ที่เข้าใจง่าย มีความเป็นสากลอย่างลายหัวใจหรือดอกไม้ที่กระบวนการทอสั้นลงแล้วคนก็ชอบ
“อย่างลายดอกไม้ที่เป็นรูปดอกเดซี่ เรารู้สึกว่าเด็กก็ยังวาดรูปดอกไม้แบบนี้ได้ มันเป็นรูปทรงที่เข้าใจง่าย ลายน่ารัก จริงๆ เราทำลายหัวใจมาเกือบ 5-6 ปีแล้วแต่เพิ่งมาบูมช่วงนี้ เราก็แฮปปี้นะ มันเป็นสัญลักษณ์เบสิกที่พัฒนาต่อไปได้เรื่อยๆ”

“อีกอย่างหนึ่งคือการเบลนด์สีผ้าของสตูดิโอเราก็ย่อขั้นตอนให้สั้นลงเหมือนกัน มันเกิดจากการที่เรารู้สึกว่ากระบวนการทำผ้ามัดหมี่มีหลายขั้นตอนและใช้เวลาทำยาวนานมาก เราเลยปรับเทคนิคการทอจาก 10 ขั้นตอนให้เหลือแค่ 2 ขั้นตอน”
ทุกวันนี้นอกจากทำเติมเต็มสตูดิโอแล้วแพรยังเป็นอาจารย์สอนวิชาสิ่งทอ และใช้กระบวนการคิดของนักวิจัยจากบทบาทที่เคยทำงานมาในการออกแบบสินค้าของสตูดิโอตัวเอง แพรคิดคอนเซปต์ด้วยหลากหลายวิธี ทั้งเขียนแรงบันดาลใจออกมายาวเป็นพารากราฟ เก็บสถิติจากมุมมองของตัวเอง เช่น ถ่ายรูปท้องฟ้าเก็บไว้ทุกวันแล้วเอามากองรวมกันเพื่อหาสีและรูปทรงบางอย่างที่ชอบ
บางครั้งก็หาแรงบันดาลใจด้วยการทำงานคนเดียวจากการอ่านและเสพข้อมูลเยอะๆ แล้วกลั่นกรองข้อมูลออกมาคล้ายการทำงานวิจัย และบางครั้งก็ทำงานเป็นกลุ่มด้วยการใช้กระบวนการคิดแบบ design thinking และโยนคำถามให้ช่างทอในชุมชน

“สมมติว่าเราอยากทำคอนเซปต์เรื่องเฟมินิสต์ เราก็จะโยนคำถามให้ช่างทอว่าจากคำนี้นึกถึงภาพอะไร รู้สึกถึงสีอะไร แปะไอเดียในโพสต์-อิทแล้วเอาคำมากองรวมกันและตีความเป็นภาพทางองค์ประกอบศิลป์ ตัวอย่างผลงานเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วคือเราตีความเฟมินิสต์ว่าเราเบื่อที่จะต้องมานั่งพับเพียบแล้ว เราก็ทอผ้าเป็นตัวอักษรใหญ่ๆ ว่า equality, dignity และ respect มาจากความรู้สึกที่อยากถือป้ายตะโกนว่า เคารพฉันด้วยค่ะ ฉันเป็นคนทอผ้าค่ะ”

แพรบอกว่าถึงแม้ลายผ้าของเติมเต็มสตูดิโอจะเต็มไปด้วยสีสันสดใส บางลายมีความน่ารัก แต่ความจริงแล้วเธอเป็นคนกวน แค่ชอบสื่อสารผ่านสัญญะแทนการสื่อสารออกไปตรงๆ และผลงานผ้าทอบางชิ้นก็เป็นดั่งงานศิลปะที่ระบายอารมณ์ส่วนตัวลงระหว่างทอผ้า
“สมัยรับราชการเราเจอบริบทบางอย่างที่ถูกกดทับก็เลยเอาอารมณ์นี้มาทำงานศิลปะและเราก็เป็นคนเขียน dark diary ตั้งแต่เด็ก ก็เลยหยิบสิ่งนี้มาเป็นกระบวนการในการทำงาน อย่างงานชิ้นหนึ่งตอนปี 2020 เป็นงานที่จัดการกับความเกรี้ยวกราดของตัวเอง เราเอาแผ่นใยไหมที่หนอนไหมตายแล้วมาย้อมด้วยครั่งที่เป็นสีแดงเลือดแล้วก็ใช้เทคนิคบาติกให้เป็นลายออกมา”
“แต่พอผลงานเข้าสู่ตลาดการขายแล้ว เราก็คงไม่เอาอารมณ์เกรี้ยวกราดของเราไปขายลูกค้าแล้ว” ไม่ว่าแรงบันดาลใจในการทอผ้าจากต้นทางของแพรจะเริ่มด้วยอารมณ์กุ๊กกิ๊กจนออกมาเป็นลายหวานใสอย่างหัวใจและดอกไม้ หรือเป็นสีแดงก่ำจากความเกรี้ยวกราด ผ้าของเติมเต็มสตูดิโอก็ล้วนมีความโดดเด่นแบบร่วมสมัยที่ลูกค้ารู้สึกร่วมได้จากสัญลักษณ์และคอนเซปต์ที่สื่อสารออกมาผ่านลวดลาย

Business Wisdom
หาโอกาสใหม่ในวันที่ธุรกิจแขวนอยู่บนเส้นด้าย
แต่เดิมเติมเต็มสตูดิโอของแพรมีโมเดลธุรกิจที่รับรายได้จาก 3 ช่องทาง
หนึ่งคือเวิร์กช็อปสอนวิชาสิ่งทอสำหรับผู้ที่สนใจพัฒนาผ้าทอ สองคือรับผลิต OEM สำหรับลูกค้าที่อยากนำลายผ้าสวยๆ ไปตกแต่งภายในหรือผลิตเป็นสินค้า สามคือส่วนที่เรียกว่า textile lab ซึ่งรับทำงานวิจัยสำหรับมหาวิทยาลัยหรือองค์กรต่างๆ ที่อยากต่อยอดภูมิปัญญาและสินค้าผ้าทอของชุมชนให้มีมูลค่าเพิ่ม
วิกฤตโควิด–19 ทำให้รายได้จากสามช่องทางหลักนี้หายไปเกือบทั้งหมดและธุรกิจแขวนอยู่บนเส้นด้าย จากที่แพรมองตัวเองเป็น textile designer ที่ออกแบบลายผ้าก็ต้องหันมาทำสินค้าของตัวเองเพื่อปรับตัวตามปัญหาเศรษฐกิจและพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป

“สินค้าแรกที่เริ่มทำเองคือย้อมเส้นด้ายขายเป็นเซต DIY เพราะเป็นทักษะเริ่มต้นของเราตอนที่ก่อตั้งสตูดิโอมา ช่วงโควิดก็เอาเศษผ้าที่เหลือมาทำแมสก์ แล้วเริ่มขยับมาทำเครื่องประดับต่างๆ เช่น ต่างหู ผ้าโพกหัว ผ้าพันคอ”
เส้นทางธุรกิจของเติมเต็มสตูดิโอค่อยๆ เติบโตจากการลองผิดลองถูก ปรับโมเดลธุรกิจมาหลายแบบ ทั้งเคยลองขายแบบพรีออร์เดอร์ให้กลุ่มข้าราชการและอาจารย์ที่ใส่ผ้าไทยทำงาน ปรับสินค้าให้มีวัสดุหลากหลายขึ้นตามต้นทุนที่ผันผวน เช่น เมื่อไหมขึ้นราคาสูงก็ขยับมาทำสินค้าที่ใช้ผ้าฝ้ายมากขึ้น ทำพรมจากวัสดุอื่นๆ ที่ไม่ใช้ไหมไปจนถึงลองทำเส้นใยผสมจากไหมและฝ้าย


ความสนุกในการทำธุรกิจยังเป็นการกระโจนเข้าหาโอกาสแม้ยังไม่แน่ใจว่าผลลัพธ์จะออกมาแบบไหน แต่พอลองไปเรื่อยๆ แพรก็เริ่มจับทางถูกว่าลูกค้าน่าจะชอบแบบไหน เช่น เมื่อครั้ง ICONCRAFT แผนกรวมสินค้างานคราฟต์ของไอคอนสยามชักชวนให้แพรลองทำคอลเลกชั่นอะไรก็ได้มาฝากขาย
“ตอนนั้นเริ่มทำหมวดเสื้อผ้าแล้วแต่เป็นจังหวะที่ยังงงๆ ทิศทางอยู่ จะทำเสื้อมัดย้อมก็ขายยากเพราะตอนนั้นแฟชั่นมัดย้อมเป็นตลาดแดงเดือด ลองเอาผ้าไหมมาปรับเป็นสินค้าใหม่ก็ยังขายไม่ได้ แต่พอลองทำลายหัวใจเท่านั้นแหละก็ขายดิบขายดี เราก็เริ่มเห็นภาพว่า อ๋อ มันต้องเป็นแบบนี้”



ประกอบกับช่วงนั้นแพรรีแบรนด์เติมเต็มสตูดิโอเป็นลุคใหม่ ทั้งเปลี่ยนโลโก้ สร้างแบรนดิ้งให้คนจดจำในสโลแกน Termtem the weavery ทำให้แบรนด์เติมเต็มเป็นที่จดจำว่าทำลายผ้าร่วมสมัยในลายที่แตกต่าง ยิ่งมีสินค้าทั้งหมวดผ้าผืนและแฟชั่นไลฟ์สไตล์ให้เลือกช้อปก็ทำให้คนทั่วไปเข้าถึงผ้าไทยได้มากขึ้น
นิยามแฟชั่นในหมวดเสื้อผ้าของเติมเต็มสตูดิโอคือชุดที่เหมาะใส่ตามโอกาส เช่น งานพิธีการ งานแต่งงาน โดยสามารถสั่งทำตามออร์เดอร์ในโอกาสพิเศษได้ ซึ่งแพรเล่าถึงความประทับใจว่าเธอเคยทำชุดสำหรับพิธีหมั้นแบบไทยในสไตล์แฟชั่นตะวันตกโดยใช้ผ้าไทยกับเทคนิคการทอมัดหมี่ และยังเคยทำชุดแต่งงานให้เจ้าของแบรนด์ละมุนละไมที่มีคอนเซปต์ชุดล้อมาจากฟอร์มของเซรามิก


“ความจริงเราไม่เคยให้คำจำกัดนิยามและสไตล์ของเต็มเติมสตูดิโอเลย แค่รู้สึกว่าอยากทำสตูดิโอที่ทำให้คนรู้ว่า textile designer ก็สามารถทำในรูปแบบที่ไม่ต้องออกมาเป็นลายไทยแต่ยังใช้ทักษะไทยได้”
แพรบอกว่าชุดงานแต่งงานและลายผ้ารูปหัวใจเป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นชัดว่าความเป็นไทยไม่ได้หมายถึงแค่ลายเท่านั้นแต่ยังรวมถึงกระบวนการเบื้องหลัง มองแวบแรกอาจเห็นแฟชั่นตะวันตกแต่เบื้องหลังใช้วัสดุและเทคนิคการทอแบบไทยจากช่างทอชุมชนไทยก็ได้

Soerann No.1
Soerann มาจาก ‘ซเร็น’ ซึ่งเป็นคำเขมรที่แปลว่าสุรินทร์ เป็นคำที่ชาติพันธุ์เขมรในจังหวัดสุรินทร์ใช้เรียกตัวเอง แพรเลือกใช้คำนี้เป็นชื่อแบรนด์น้องใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวในปีนี้และแตกออกมาจากเติมเต็มสตูดิโอเพราะต้องการแยกโพซิชั่นของทั้งสองแบรนด์ให้แตกต่างกัน


“เติมเต็มสตูดิโอเคยเป็น atelier ที่ราคาสูงมาก่อน แต่พอเจอบริบทของเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้กลุ่มลูกค้าของเราแมสมากขึ้น คนที่ติดตามเราและลูกค้าเราไม่ใช่คนที่อยากซื้อผ้าราคาแพงเมตรละ 5,000–6,000 บาทอีกต่อไปแล้ว
“ด้วยลายหัวใจ ลายดอกไม้ที่เข้าถึงคนได้มากขึ้นทำให้โพซิชั่นแบรนด์ของเติมเต็มและราคาขยับไปอยู่ที่ระดับกลาง แต่เรายังอยากดันให้มีหมวดผ้าทอที่ราคาสูงและจับกลุ่มลูกค้าระดับท็อปเหมือนเดิม”

อีกเหตุผลสำคัญที่แยกแบรนด์ออกมาคือผ้าทอของแบรนด์ Soerann นั้นจะใช้เทคนิคการทอจากสุรินทร์ทั้งหมด ซึ่งกระบวนการทอจากบ้านเกิดเหล่านี้จัดอยู่ในหมวดที่แพรใช้คำว่ามีความซับซ้อนที่สุดในสามโลกและต้องใช้ทักษะการทอที่ยากกว่าการทอผ้ามัดหมี่ของเติมเต็มสตูดิโอเยอะ โดยมีโครงสร้างการทอเป็นรูปเบสิกคือสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม วงกลมที่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อนและความประณีตสูง และยังต้องทอออกมาเป็นพื้นผิวลักษณะพิเศษที่แสดงถึงความฟูและความนุ่ม
“ผ้าของเติมเต็มสตูดิโอยังมีสีเคมีผสมแต่สินค้าของ Soerann จะใช้สีย้อมธรรมชาติทั้งหมด และเมื่อไหร่ก็ตามที่ความยากในกระบวนการทอเกิดขึ้น ต้นทุนก็จะเพิ่มขึ้น ค่าแรงสูงขึ้น ทำนานขึ้น ด้วยต้นทุนที่ต่างกันนี้เองเพราะฉะนั้นผ้าแก๊งนี้เลยแพงกว่า”
แพรบอกว่าไม่ได้ตั้งชื่อให้ผ้าคอลเลกชั่นใหม่แบบจริงจัง แต่อยากให้ลายผ้าที่เปิดตัวใหม่สื่อถึงความคลาสสิก เป็นลาย Soerann no.1 คล้าย Chanel no.5


ทั้งนี้โมเดลธุรกิจของ Soerann นั้นเหมือนกับเติมเต็มสตูดิโอตรงที่ขายทั้งผ้าผืนและสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์และแตกต่างกันตรงที่เติมเต็มสตูดิโอจะรับผลิต OEM ด้วยแต่แบรนด์ Soerann จะทำเฉพาะลายที่อยากทำแบบจำกัดเท่านั้น
การเปิดแบรนด์ใหม่หลังจากเปิดสตูดิโอมา 8 ปีทำให้เห็นว่าแม้ธุรกิจจะจับทางถูกแล้วแต่ก็ยังต้องปรับตัวเพื่ออนาคตอยู่เสมอ ดังที่แพรบอกว่าสิ่งที่ท้าทายที่สุดในการทำสตูดิโอของตัวเองคือการอยู่รอด “วัฏจักรของธุรกิจมีขึ้นแล้วก็มีลงซึ่งต้องเข้าใจและทำใจ วันนี้เราอาจจะมีลูกค้าที่รวยเป็นพันล้านมาซื้อเรา วันพรุ่งนี้เศรษฐกิจอาจจะแย่มากจนไม่มีลูกค้า เราก็ต้องเป็น survivor ที่ทำให้ธุรกิจเราอยู่รอดให้ได้”

นอกจากเรื่องกำไรแล้ว การได้ทอผ้าเป็นสิ่งที่เติมเต็มชีวิตและจิตใจของแพรเพราะเธอมีผ้าเป็นแรงบันดาลใจอยู่ในทุกช่วงชีวิต จากผ้าสุรินทร์ที่เห็นยายสะสมในวัยเด็กสู่ลายผ้าของ Soerann ที่ออกแบบเองในวันนี้คลี่ให้เห็นถึงเรื่องราวการถักทอชีวิตของแพรที่ร้อยเรียงเป็นเรื่องเดียวกันและสวยงามไม่แพ้ผ้าผืนไหน
“พอมาถึงจุดนี้จนอายุจะเข้าเลข 4 แล้วก็รู้ว่าการทอผ้าคงเป็นดีเอ็นเอของเราที่ทำจนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้ว แต่ก่อนมันมีเป้าหมายที่อยากพิสูจน์ว่าอยากประสบความสำเร็จ อยากให้แบรนด์ของเราเป็นที่รู้จักระดับโลก แต่วันนี้รู้สึกว่าแค่เราเป็นหนึ่งใน textile designer ที่อยู่รอดในวงการนี้ในประเทศไทย เป็นตัวอย่างให้เด็กที่เรียนจบสายนี้เห็นลู่ทางว่ามันมีอาชีพที่ทำได้ก็ดีมากแล้ว”


Editor’s Note : Wisdom from Conversation
ความโมเดิร์นของเติมเต็มสตูดิโอและ Soerann คือการสื่อสารผ่านสัญญะ (symbolic) ที่ร่วมสมัย
ลายผ้าไทยในอดีตเต็มไปด้วยสัญญะและเรื่องเล่าที่คนในสังคมรู้สึกเชื่อมโยงไม่ว่าจะเป็นลายทางพุทธศาสนาและวัฒนธรรม เมื่อถึงวันที่บริบททางสังคมเปลี่ยนไป การหยิบจับเอาสัญญะที่ใกล้ตัวคนรุ่นใหม่อย่างหัวใจและดอกเดซี่มาทำลายผ้าทำให้คนยุคปัจจุบันรู้สึกเชื่อมโยงได้
การออกแบบความเป็นไทยที่ร่วมสมัยอาจหมายถึงการลืมภาพจำเก่าๆ ไปว่าความเป็นไทยในอดีตคืออะไร ลืมข้อมูลเก่าในวันวานและเก็บรวบรวมข้อมูลใหม่ในวันนี้ ทั้งจากความรู้สึก ความคิด มุมมองของชุมชนและคนในสังคมปัจจุบัน ออกมาเป็นลายผ้าที่หน้าตาอาจไม่จำเป็นต้องเป็นลายไทยแต่มาจากความคิดและทักษะของคนไทย
การทำแบรนด์ Soerann ของคนสุรินทร์ยังทำให้เห็นว่าแม้จะออกเดินทางไปไกลยังทิศเหนือใต้ออกตก แต่สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ทำให้ผลงานจากภูมิปัญญาพื้นบ้านมีเอกลักษณ์คือการหวนกลับมายังรากของตัวเองที่มีแต่ตัวเราเท่านั้นที่สามารถถักทอเรื่องเล่าจากภูมิลำเนาของเราได้ดีที่สุด
ข้อมูลติดต่อ
รู้จักกับ ‘GEN S’ เจเนอเรชั่นใหม่ที่บัญญัติเพื่อใช้เรียกคนทุกเจนฯ ที่มีส่วนสร้างโลกที่ยั่งยืน
ยุคสมัยนี้เรื่องของ ‘เจเนอเรชั่น’ ดูจะเป็นตัวแปรสำคัญในหลายต่อหลายเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการวางแผนการตลาดที่บรรดาผู้ประกอบการต้องคิดให้ถี่ถ้วน ว่าสินค้าและบริการในมือ รวมไปถึงแคมเปญและโฆษณาที่จะเผยแพร่สามารถสื่อสารไปถึงกลุ่มเจเนอเรชั่นที่มองเป็นเป้าหมายได้จริงๆ หรือเปล่า
จึงไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่ หากชื่อเรียกเจเนอเรชั่นตั้งแต่ Gen Baby Boomer, Gen X, Gen Y และ Gen Z จะถูกหยิบยกมาใช้สร้างกระแสทางการตลาดอยู่บ่อยครั้ง แต่ที่น่าสนใจคือ เมื่อไม่นานมานี้มีการบัญญัติคำว่า ‘GEN S’ ซึ่งเป็นคำที่ไม่เคยมีมาก่อน
โดยคำว่า GEN S แท้จริงมีความเกี่ยวข้องกับเราทุกคนและเชื่อมโยงกับประเด็น sustainability ที่เป็นประเด็นสำคัญของโลก ณ เวลานี้ ส่วนจะเชื่อมโยงกับทุกคนในแง่มุมไหนบ้าง และมีความหมายต่างจากเจเนอเรชั่นอื่นๆ ยังไง ขอชวนไขคำตอบไปพร้อมๆ กัน
GEN S เจเนอเรชั่นที่ไม่มีการจำกัดวัย
แต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือเพื่อโลกที่ยั่งยืน
ภาพเด็กชายหน้าตาจ้ำม่ำบวกทรงผมกะลาครอบที่มาพร้อมกับภารกิจสำคัญ เมื่อต้องไขคำตอบว่า ‘Who are GEN S’ หมายถึงอะไร คือไฮไลต์สำคัญที่ปรากฏขึ้นในช่วงต้นของหนังโฆษณาที่มีชื่อว่า ‘We are GEN S’ ซึ่งเป็นหนึ่งในแคมเปญสร้างสรรค์จาก PTT Global Chemical หรือ GC ที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการรับผิดชอบสังคมอย่างเป็นรูปธรรม ในฐานะผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและ sustainable living
เรื่องราวภายในหนังโฆษณาดังกล่าวค่อยๆ ถูกเล่าผ่านสายตาเด็กชายทรงผมกะลาครอบ ก่อนในตอนท้ายจะเฉลยว่า ความหมายของคำว่า GEN S ที่ตามหามาตลอดหมายถึง ‘Generation Sustainability’ เจเนอเรชั่นที่ไม่ได้เจาะจงถึงคนวัยใด กลับกัน key message ที่ทาง GC ต้องการจะสื่อให้ผู้ชมเห็นคือ ไม่ว่าจะเป็นใคร เพศไหน วัยใด หรืออาชีพไหน ก็สามารถมีส่วนช่วยกอบกู้วิกฤตโลกเดือดผ่าน net zero lifestyles ในแบบของตัวเอง
ยกตัวอย่าง net zero lifestyles ที่ปรากฏในเรื่องและสามารถนำไปทำตามได้ง่ายๆ เช่น การใช้บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก, การประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ, คัดแยกขยะให้ถูกประเภท, นำเสื้อผ้าเก่ากลับมาดัดแปลงใช้ซ้ำ หรือแม้แต่การสนับสนุนสินค้า upcycling เองก็ตาม
ด้วยวิธีการเล่าเรื่องในบรรยากาศฟีลกู้ด บวกกับการลำดับเรื่องราวเรียบง่ายไม่สลับซับซ้อน ส่งผลให้หนังโฆษณาเรื่องนี้มีส่วนช่วยปลุกแรงบันดาลใจให้ผู้คนลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเองเพื่อช่วยเหลือโลก ขณะเดียวกันยังสะท้อนให้เห็นว่า การช่วยเหลือโลกไม่จำเป็นต้องเล่นใหญ่หรือฝืนตัวเอง เพียงหมั่นทำให้เป็นนิสัยจนกลืนไปกับวิถีชีวิตประจำวันก็พอ
มากกว่าแค่เรื่องโฆษณา
แต่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยโลก
ที่น่าสนใจคือ แคมเปญ We are GEN S ของ GC ไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่โฆษณาข้างต้น เพราะความฝันที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ net zero carbon ภายในปี 2593 ย่อมต้องเกิดจากการช่วยเหลือกันทุกภาคส่วน
ดังนั้น สิ่งที่ GC ทำผ่านแคมเปญ We are GEN S คือการสร้างแพลตฟอร์ม GC GEN S ที่ไม่เพียงแต่ให้ความรู้ในเรื่อง net zero lifestyles แต่ยังเชื่อมโยงกับองค์กรพันธมิตรทั่วทุกมุมโลกผ่านแนวคิด ‘GEN S Business Ideas’ ที่บรรดาผู้ประกอบการสามารถมีส่วนช่วยโลกได้
ยกตัวอย่างในโซลูชั่นเพื่อลดพลาสติกใช้แล้วในประเทศ ทาง GC ได้เปิดให้ผู้ประกอบการทั่วไปลงทะเบียนในโครงการ GC YOUเทิร์น ที่มีจุดทิ้งพลาสติกเพื่อรับขวดพลาสติกประเภทใช้แล้วทั้งประเภท PET และ HDPE สำหรับนำไปรีไซเคิลใช้งานใหม่ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) ขณะเดียวกันผู้ร่วมโครงการที่เป็นคนทั่วไปยังสามารถสะสมคะแนนจากการหย่อนขวดพลาสติกเพื่อแลกรางวัลต่างๆ
หรือในแง่ของการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ผลิตด้วยนวัตกรรมพลาสติกจากพืชซึ่งสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ เพื่อลดการใช้ขยะ single-use ไปจนถึงการเลือกใช้นวัตกรรม coating resins ซึ่งเป็นสารเคลือบที่ครอบคลุมการใช้งานในอุตสาหกรรมที่หลากหลายและตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อม ก็ล้วนแล้วแต่เป็นทางเลือกใหม่ที่ทาง GC คิดค้นเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถช่วยเหลือโลกได้อย่างเป็นรูปธรรม
ด้วยแนวคิดที่ตอบโจทย์และครอบคลุมการช่วยเหลือโลกสู่ความยั่งยืนทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์นี้เอง ทำให้แคมเปญ We are GEN S ประสบความสำเร็จ และสามารถคว้ารางวัล Bronze กลุ่ม Corporate Branding ในฐานะตัวแทนจากประเทศไทย จากงาน PR Awards Asia-Pacific 2024 ครั้งที่ 23 ที่จัดโดย Campaign Asia-Pacific นิตยสารชั้นนำด้านการตลาดและการโฆษณาในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งเป็นเวทีที่มอบรางวัลให้กับองค์กรในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีกลยุทธ์การสื่อสารประชาสัมพันธ์ที่โดดเด่นในภูมิภาค โดยคัดเลือกองค์กรที่มีกลยุทธ์การสื่อสารที่โปร่งใสและมีผลกระทบสำคัญต่อประเด็นสิ่งแวดล้อมและสังคม จากการคัดเลือกโดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านการประชาสัมพันธ์จากทั่วโลกจำนวน 72 คน
นี่จึงเป็นการตอกย้ำว่า ไวรัลคน GEN S ที่เกิดขึ้น คือผลจากความทุ่มเทของ GC ที่ต้องการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและสร้างสังคมปลอดคาร์บอน ที่ไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน พร้อมกับการสร้างพันธมิตรที่จะสร้างความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกันในอนาคต
6 แบรนด์ที่หวังสร้างยอดด้วยกลยุทธ์มูเก็ตติ้ง ในวันที่คนไทยกว่า 52 ล้านคนเชื่อเรื่องโชคลาง
‘ใส่เสื้อสีมงคลประจำวัน เปลี่ยนกระเป๋าตังค์ตามสีวันเกิด เปิดไพ่ทำนายดวงชะตา เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ให้มงคล’
สิ่งเหล่านี้แทบจะเป็นเรื่องปกติเพราะเรื่องโชคดวงและความศรัทธาแทบจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนไทย ยิ่งในปัจจุบันที่เศรษฐกิจฝืดเคือง สถานการณ์ทางสังคมย่ำแย่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจึงกลายเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและทำให้หลายคนผ่านเรื่องราวในแต่ละวันไปได้ เพราะหวังว่าวันพรุ่งนี้จะต้องปัง
ไม่แปลกใจหากผลสำรวจพฤติกรรมคนไทยสายมูของบริษัท Lucky Heng Heng จะพบว่าคนไทยกว่า 52 ล้านคน หรือคิดเป็น 75% ของทั้งประเทศ เชื่อเรื่องโชคลาง และเน้นพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ โดยเฉพาะในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี้เทรนด์มูเตลูมาแรงอย่างต่อเนื่อง จนดันให้ตลาดสายมูหรือ ‘มูเก็ตติ้ง’ ถูกจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 5 เทรนด์การตลาดดาวรุ่งที่มาแรงที่สุด
สอดคล้องกับข้อมูลของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการมูมีเงินสะพัดกว่า 10,000-15,000 ล้านบาท และโตขึ้น 10-20% ต่อปี ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่แบรนด์ต่างๆ จะจับประเด็นเรื่องการมูเตลูมาต่อยอดเป็นกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อดึงดูดใจลูกค้าและเพิ่มยอดขาย
แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นความเชื่อย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ในเมื่อแต่ละคนมีความเชื่อที่แตกต่างกันไป แบรนด์ไหนที่จะทำมูเก็ตติ้งจึงต้องศึกษาอินไซต์ของผู้บริโภคให้ดี โดยมีตัวอย่างการสำรวจพฤติกรรมของผู้คนที่น่าสนใจ จากสถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) พบว่าในจักรวาลไทยมูนิเวิร์ส นิยมเชื่อเรื่องเทพ สี ตัวเลข และเครื่องรางเป็นหลัก และมักมูแบบไร้ข้อจำกัด คือเปิดกว้างเรื่องศาสนาหรือความเชื่อ พร้อมกราบไหว้บูชาและปฏิบัติตามเพื่อให้ประสบผลสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา
นอกจากนี้คนต่างเจเนอเรชั่นก็มีความเชื่อที่ไม่เหมือนกัน และต้องใช้กลยุทธ์มัดใจที่แตกต่างกันออกไป เช่น
- คน Gen X หรือคนในช่วง 43-58 ปี นิยมการมูตามธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาแต่รุ่นก่อน และมักขอพรในเรื่องสุขภาพ กลยุทธ์สำหรับคนเจนฯ นี้จึงเน้นไปทางการเติมพลังกาย พลังใจ และกิจกรรมที่คุ้นเคยอย่างการสวดมนต์ ไหว้พระ และทำบุญ
- เจนฯ Y หรือคนในช่วง 27-42 ปี มักเปิดกว้างให้ทุกความศรัทธา บูชาได้ทุกศาสนา และปฏิบัติตามได้ทุกความเชื่อ โดยโฟกัสไปที่เรื่องการงานและการเงิน กลยุทธ์เจาะใจคนเจนฯ Y จึงควรเน้นไปที่การเปิดประสบการณ์มูแบบใหม่ๆ แต่ควรให้ข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจน เพราะเจนฯ นี้ชอบค้นหาและแชร์ข้อมูลกับคนรอบข้าง
- เจนฯ Z หรือคนในช่วง 11-26 ปี ชื่นชอบการมูที่มีลูกเล่นและสีสัน เน้นเรื่องการงานและการเรียน กลยุทธ์ซื้อใจคนเจนฯ Z จึงต้องเป็นการมูแบบไม่ตะโกน คือของที่มูต้องดูดีมีสไตล์ ถ่ายรูปสวย และเสริมความมั่นใจได้ทั้งในชีวิตประจำวันและในโลกออนไลน์
จากเทรนด์สายมูที่มาแรงไม่หยุดฉุดไม่อยู่ ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคข้างต้น เห็นได้ว่าหลายๆ แบรนด์มีการเปิดตัวสินค้าและบริการ เพื่อเจาะตลาดสายมูกันมากขึ้น และเพิ่มลูกเล่นให้น่าสนใจจนเป็นที่ฮือฮาทันทีที่เปิดตัว วันนี้ Capital จึงขอมา Recap ถึงแบรนด์ที่ใช้กลยุทธ์มูเก็ตติ้ง จัดเต็มทั้งสินค้าที่ไม่คิดว่าจะมาทางสายมูได้ ให้ได้มูกันตั้งแต่หลับยันตื่นกันเลยทีเดียว

1. หลับเต็มตื่น มูเต็มผืน ด้วยชุดผ้าปูเสริมดวงจาก ‘ซาติน’
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมาของเทรนด์สายมู ส่วนหนึ่งก็มาจากช่วงโควิด-19 ที่ผู้คนกังวลกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ทั้งเรื่องสุขภาพกาย สุขภาพการเงิน และเรื่องการงาน ประกอบกับช่วงนั้นผู้คนก็หันมาอยู่บ้านกันบ่อยขึ้น ‘ซาติน’ แบรนด์เครื่องนอนที่อยู่คู่คนไทยกว่า 70 ปี จึงจับ pain point เหล่านั้น มาต่อยอดสู่การทำ ‘ชุดผ้าปูที่นอนเสริมดวง’
ด้วยความคิดที่ว่าการนอนที่ดีถือเป็นจุดเริ่มต้องของการมีสุขภาพที่ดี และชีวิตดีๆ จะตามมา โดยจับมือกับ ‘หมอช้าง–ทศพร ศรีตุลา’ หมอดูชื่อดังของไทยออกชุดเครื่องนอนเสริมดวงให้ปังของทั้ง 12 ราศี และทำให้ทุกคนเข้าถึงได้ง่ายด้วยดีไซน์ ลวดลาย และสีสัน ที่ปรับให้เข้ากับห้องนอนทุกแบบ ทุกสไตล์ และชูเรื่องคุณภาพ
ด้วยกระแสตอบรับที่ดี จึงออกชุดที่นอนตามราศีคอลเลกชั่นใหม่ๆ ต่อเนื่องกันมาตลอด 4 ปีเต็ม ตั้งแต่ปี 2562-2566 พร้อมตั้งเป้าหมายว่าการบุกตลาดสายมูในครั้งนี้จะทำให้ซาตินเพิ่มยอดขายในแต่ละปีได้ถึง 40%

2. อาบน้ำรีเฟรชดวง กับ ‘โชกุบุสซึ’ กลิ่นดิน น้ำ ลม ไฟ
ใครจะคิดว่าแม้แต่การอาบน้ำก็ช่วยเสริมดวงให้เราได้ โชกุบุสซึจับมือกับโลตัส จับอินไซต์ที่คนส่วนใหญ่รู้สึกมีความสุขและผ่อนคลายเวลาได้อาบน้ำ มาผสมผสานเข้ากับหลักฮวงจุ้ย อย่างน้ำถือเป็นสิ่งชำระล้างที่ดี ส่วนธาตุเป็นตัวบอกอารมณ์และความรู้สึกของคน จนออกมาเป็น ‘โชกุบุสซึ จักรราศี’ ครีมอาบน้ำตามธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนเมษายน 2567 นี้
และได้ผู้เชี่ยวชาญอย่าง ‘หมอช้าง–ทศพร ศรีตุลา’ มาช่วยคัดเลือกกลิ่นให้เหมาะสมกับคนแต่ละธาตุ ตามหลักทางโหราศาสตร์ โดยเลือกใช้กลิ่นตามธาตุของตัวเองหรือธาตุอื่นๆ ได้ เพราะแต่ละธาตุก็จะส่งผลดีไม่เหมือนกัน เช่น หากต้องการปรับสมดุลก่อนนอนให้เลือกใช้กลิ่นธาตุน้ำ หากต้องการปลุกความคิดสร้างสรรค์ให้เลือกใช้กลิ่นธาตุลม
ก่อนหน้านี้โชกุบุสซึมียอดขายอันดับ 1 ถึง 3 ปีซ้อน คาดว่าครีมอาบน้ำเสริมดวงน่าจะส่งผลดีต่อการรักษาอันดับไม่มากก็น้อย ส่วนฟากฝั่งโลตัส ด้วยการคอลแล็บกันเพื่อวางขายครีมอาบน้ำคอลเลกชั่นพิเศษนี้เฉพาะที่โลตัส ก็ถือเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยกระตุ้นยอดขายทั้ง 2 ฝ่ายได้ดีทีเดียว

3. เสริมสิริมงคลกับบัตรแรบบิทมหาเทพจาก ‘แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์’
ถ้าใครเดินทางด้วยรถไฟฟ้าในช่วงนี้น่าจะเห็นป้ายโฆษณาที่ติดโปรโมต ‘บัตรแรบบิทลายมหาเทพ’ ทั้ง 4 แบบ ซึ่งล้วนเป็นเทพที่หลายคนคุ้นเคยกันดี ได้แก่ พระพิฆเนศ พระพรหม พระแม่ลักษมี และเจ้าแม่กวนอิม
บัตรนี้ไม่ได้มีวางขายที่ BTS เหมือนบัตรแรบบิทคอลเลกชั่นอื่น เพราะเป็นลายพิเศษที่ ‘แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์’ มอบให้ฟรีสำหรับลูกค้าที่เปิดบัญชีออมทรัพย์ดิจิทัล โปร-ฟิต และบัญชีออมทรัพย์คุ้มครองชีวิตเท่านั้น เพื่อหวังกระตุ้นให้คนมาเปิดบัญชีมากยิ่งขึ้น เป็นอีกสิ่งที่ทำให้เห็นว่าการตลาดสายมูมาแรงถึงขนาดที่ภาคธนาคารก็หันมาเล่นในตลาดนี้แล้วเช่นกัน
ถ้ามีโอกาสผ่านไปแถวหน้าลานเซ็นทรัลเวิลด์ จะเห็นเหล่าคนโสดมาขอพรเรื่องความรักที่ศาลพระตรีมูรติจำนวนมาก ถึงขนาดที่วันธรรมดามีคนมาขอพรวันละ 800 คน ส่วนวันพฤหัสฯ เพิ่มสูงถึง 2,000 คน และคาดว่าคนจะเยอะที่สุดในวันวาเลนไทน์
ในปี 2565 ‘Tinder Thailand’ ได้มองเห็นโอกาสนี้และคอลแล็บกับเซ็นทรัลเวิลด์ออกแคมเปญ ‘LOVE destiNATION : Eat Play Love’ เพื่อให้เหล่าคนโสดมาปัดขวากันตรงลานเทพเจ้าได้ทันทีเพื่อหวังให้เห็นผลทันควัน
พร้อมจัดกิจกรรมแจกชุดไหว้ขอพรวันละ 100 ชุดทุกวันพฤหัสในเดือนกุมภาพันธ์และในวันวาเลนไทน์ เพียงแค่โชว์แอพฯ Tinder ในโทรศัพท์ ทำให้ในช่วงนั้นเราจะเห็นภาพคนต่อแถวรอไหว้พระตรีมูรติกันยาวเหยียดเลยทีเดียว

4. ปัดขวามูเรื่องรักกับ ‘ทินเดอร์ x พระตรีมูรติ’
ถ้ามีโอกาสผ่านไปแถวหน้าลานเซ็นทรัลเวิลด์ จะเห็นเหล่าคนโสดมาขอพรเรื่องความรักที่ศาลพระตรีมูรติจำนวนมาก ถึงขนาดที่วันธรรมดามีคนมาขอพรวันละ 800 คน ส่วนวันพฤหัสฯ เพิ่มสูงถึง 2,000 คน และคาดว่าคนจะเยอะที่สุดในวันวาเลนไทน์
ในปี 2565 ‘Tinder Thailand’ ได้มองเห็นโอกาสนี้และคอลแล็บกับเซ็นทรัลเวิลด์ออกแคมเปญ ‘LOVE destiNATION : Eat Play Love’ เพื่อให้เหล่าคนโสดมาปัดขวากันตรงลานเทพเจ้าได้ทันทีเพื่อหวังให้เห็นผลทันควัน
พร้อมจัดกิจกรรมแจกชุดไหว้ขอพรวันละ 100 ชุดทุกวันพฤหัสในเดือนกุมภาพันธ์และในวันวาเลนไทน์ เพียงแค่โชว์แอพฯ Tinder ในโทรศัพท์ ทำให้ในช่วงนั้นเราจะเห็นภาพคนต่อแถวรอไหว้พระตรีมูรติกันยาวเหยียดเลยทีเดียว

5. ปลุกเสกการเงินให้ปัง เมื่อ ‘กสิกร’ ออกบัตรลายองค์เทพ
ในทุกวันนี้ที่เราสามารถกดเงินใช้บัตรผ่านแอพฯ ธนาคารได้แล้ว ทำให้บางคนเลือกที่จะไม่สมัครบัตรเดบิต จนมีรายงานว่าคนไทยใช้บัตรเดบิตลดลงปีละ 1.1%
แต่ในปี 2567 นี้เอง ‘กสิกร’ ก็แก้เกมด้วยการหยิบอินไซต์ที่คนไทยนิยมบูชาเทพกันมากขึ้น มาออก ‘บัตรเดบิตลายองค์เทพ’ ทั้ง 4 แบบ ไม่ว่าจะเป็นลายองค์พระพิฆเนศอวยพรให้งานเจริญรุ่งเรือง, ลายองค์ท้าวเวสสุวรรณอวยพรให้ร่ำรวยเงินทอง, ลายองค์พระแม่ลักษมีอวยพรให้ความรักสมหวัง และลายรวมองค์เทพอวยพรให้โชคดี
เพียงเปิดตัวไม่นานก็เรียกกระแสฮือฮาบนโลกโซเชียลเป็นอย่างมาก และหลายๆ คนแชร์ไปในทิศทางที่ว่าจะกลับมาสมัครบัตรเดบิตอีกครั้งจากบัตรลายเทพนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าติดตามต่อว่าด้วยพลังแห่งมูเก็ตติ้งจะทำให้ยอดสมัครบัตรเดบิตของกสิกรปีนี้เพิ่มขึ้นหรือไม่

6. หน้าเคลือบทองด้วยกล่องทิชชูแก้ชง ‘ซิลค์’
พอขึ้นปีใหม่ทีไร สิ่งหนึ่งที่หลายคนชอบเสิร์ชหาคือ ปีนี้ปีนักษัตรอะไรชงบ้าง และตามมาด้วยการหาสถานที่แก้ชง หรือหาของมงคลมาประดับบ้าน แต่ของมงคลเหล่านั้นมักจะมีราคาสูง
ซิลค์ กระดาษทิชชูในเครือ BJC จึงทำให้การแก้ชงเป็นเรื่องง่ายมากขึ้นพร้อมเพิ่มยอดขายให้ปัง ด้วยการวิจัยหากลุ่มลูกค้าหลักของตัวเองจนพบว่าเป็นกลุ่มแม่บ้านและผู้หญิงวัยทำงานที่ต้องการทิชชูคุณภาพดี สะอาด สัมผัสนุ่ม และพบว่าคนเหล่านั้นมีความเชื่อเรื่องปีชง
จึงได้ออกแบบลวดลายมงคลบนกล่องทิชชูเพื่อแก้ชงและเสริมดวง ออกมาต่อเนื่องถึง 3 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 2560-2563 พร้อมดึงความเชื่อจากสิ่งศักดิ์สิทธ์ของจีนมาเสริมสิริมงคล เช่น ปี่เซียะที่เป็นสัตว์เทพมงคล และลูกท้อผลไม้ที่คนจีนเชื่อว่าจะทำให้อายุยืน ซึ่งมูเก็ตติ้งนี้ช่วยกระตุ้นยอดขายให้โตขึ้นในปีที่ซิลค์ออกสินค้าสายมูได้ถึง 29% เลยทีเดียว
อ้างอิง
- bangkokbiznews.com/business/economic/1121072
- marketingoops.com/reports/mutelu-muketing
- thairath.co.th/money/personal_finance/banking_bond/2790533
- workpointtoday.com/shokubutsu
- lhbank.co.th/th/about-us/news/pr-lhb-you-rabbit
- siamrath.co.th/n/417143
- teroasia.com/news/230592
- mgronline.com/business/detail/9620000109944
ทำไมวงการ girl’s love ในไทย ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ?
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หนึ่งในอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้อย่างน่าสนใจคือ ‘ซีรีส์วาย’
สะท้อนได้จากกระแสต่างๆ ที่เกิดในโซเชียลมีเดีย, คู่จิ้นใหม่ที่เกิดขึ้นมากมาย, นักแสดงซีรีส์วายที่มีแฟนคลับเป็นชาวต่างชาติอยู่ไม่น้อย, จำนวนซีรีส์ที่ในปีหนึ่งประเทศไทยเคยผลิตซีรีส์วายออกมามากถึง 170 กว่าเรื่อง รวมไปถึงการเข้ามาของภาครัฐอย่างกระทรวงพาณิชย์ที่ได้เริ่มเข้ามาผลักดันเรื่องนี้มากขึ้น
ซึ่งหลายคนยังมีความเข้าใจว่าคำว่าซีรีส์วายหมายถึงเรื่องราวความรักระหว่างผู้ชาย-ผู้ชายเท่านั้น ทว่าอันที่จริงแล้ว ‘วาย’ ยังหมายรวมไปถึงเรื่องราวความรักระหว่างผู้หญิง-ผู้หญิงด้วยเช่นกัน

เพราะคำว่า Y ในทีนี้ เป็นตัวย่อมาจากภาษาญี่ปุ่นอย่างคำว่า Yaoi (ยาโอย) หรือ boy’s Love ที่หมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย และคำว่า Yuri (ยูริ) หรือ girl’s love ที่หมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิง
โดยในช่วงสองสามปีมานี้ ก็จะเห็นได้ว่าซีรีส์ Y ที่ย่อมาจาก Yuri กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนได้จากจำนวนซีรีส์และคู่จิ้นยูริที่เกิดขึ้นใหม่มากมาย
จึงนำมาสู่ความสงสัย ว่าทำไมวงการ girl’s love ไทยถึงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ?


แม้สปอตไลต์จะเริ่มฉายไปยังวงการยูริหรือ girl’s love มากขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ทว่าเรื่องราวแบบ girl’s love ไม่ใช่สิ่งใหม่ของวงการบันเทิงแต่อย่างใด
บอส–คีตะวัฒน์ ชินโคตร ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัท เวลเคิร์ฟ จำกัด และ เจมส์–ธนดล นวลสุทธิ์ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง URANUS2324 เล่าให้เราฟังว่าในวงการฮอลลีวูดนั้นมีการทำคอนเทนต์แนว girl’s love มาเป็นสิบปีแล้ว หรือฝั่งยุโรปเองก็ทำหนังที่เกี่ยวกับ girl’s love ก่อนไทยซะอีก
ทว่าเหตุผลที่ทำให้วงการ girl’s love ของไทยได้รับความนิยมเป็นเบอร์ต้นๆ ของโลก นั่นเพราะไทยไม่ค่อยมีการปิดกั้นเรื่องเพศ ‘มองว่าความรักไม่ว่าจะเพศอะไรมันก็คือความรัก’ จึงทำให้ความคิดและจินตนาการของผู้เขียนรวมไปถึงนักแสดงไม่ถูกปิดกั้นมากนัก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่มีความเชื่อเรื่องเพศแตกต่างออกไป ทำให้ซีรีส์วายของไทยดูเป็นธรรมชาติ ดูแล้วน่ารัก ชวนจิ้นฟินจิกหมอน และสามารถเข้าไปอยู่ในใจชาวต่างชาติได้สำเร็จ
ในอีกมุมหนึ่งกับบางประเทศที่มีความปิดกั้นเรื่องเพศมากๆ เขาก็อาจจะรู้สึกอยากเห็น อยากเสพคอนเทนต์ที่ถูกปิดกั้น ซึ่งนี่ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้คอนเทนต์ girl’s love ของไทยได้รับความนิยมขึ้นด้วย
“ผมมีโอกาสได้ไปต่างประเทศมา เลยได้รู้ว่าชาวต่างชาติเขารู้สึกว่าประเทศเดียวที่ทำซีรีส์วายได้ดีที่สุดก็คือไทย สิ่งที่พิสูจน์ได้ก็คือพวกซีรีส์วายต่างๆ ของเรามันประสบความสำเร็จมากๆ ในระดับโลก เหมือนเรามอง K-pop ของเกาหลีประสบความสำเร็จ คนต่างชาติก็มองว่าวงการวายในบ้านเราก็ประสบความสำเร็จมากเหมือนกัน” บอสเล่าเสริม



จนเมื่อมีคนให้ความสนใจวงการ girl’s love มากขึ้น ผู้จัดหลายคนในไทยจึงกล้าที่จะลุกขึ้นมาทำคอนเทนต์แนวนี้มากขึ้นตามไปด้วย อุตสาหกรรมนี้จึงคึกคักและเติบโต ทำให้เราได้เห็นคอนเทนต์ girl’s love ในหลากหลายแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นจากฟรีทีวี ในเน็ตฟลิกซ์ ยูทูบ หรือแม้แต่บนจอภาพยนตร์ก็ตาม
หนึ่งในนั้นคือ URANUS2324 ภาพยนตร์ไทยแนวโรแมนติก-ไซไฟ ที่ได้คู่จิ้นเบอร์ต้นๆ ของวงการ girl’s love ไทยอย่าง ฟรีน–สโรชา จันทร์กิมฮะ และ เบคกี้–รีเบคก้า แพทรีเซีย อาร์มสตรอง มาเป็นสองนักแสดงนำ
ทั้งสองโด่งดังมาจาก GAP The series เป็นซีรีส์ที่ ณ ปัจจุบันมียอดวิวรวมบนยูทูบกว่า 700 ล้านวิวแล้ว

บอสเล่าให้เราฟังว่าหากกางแผนที่โลกดู จะเห็นว่าฟรีนและเบคกี้มีแฟนคลับกระจายอยู่แทบทุกประเทศทั่วโลก ฐานแฟนที่แข็งแรงมากๆ คือโซนเอเชียและลาตินอเมริกา ส่วนฐานแฟนโซนยุโรปก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตและแข็งแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เอาแค่ในระบบเมมเบอร์ชิปของเว็บไซต์ URANUS2324 เอง ฟรีนและเบคกี้สร้างเอนเกจเมนต์ได้ถึง 7 ล้านเอนเกจเมนต์ทั่วโลกแล้ว
หรือหากย้อนดูผลงานในอดีตของทั้งสอง ก็จะเห็นว่าเมื่อมีอีเวนต์ที่ต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นที่มาเก๊า ฮ่องกง มะนิลา ญี่ปุ่น เวียดนาม ไทเป สิงคโปร์ หรือในเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลกอย่างคานส์ที่ฝรั่งเศส ที่ฟรีนและเบคกี้ได้ไปเดินพรมแดงมา ก็จะเห็นภาพของแฟนคลับจำนวนมากมารอต้อนรับทั้งสองอยู่เสมอ

ส่วน URANUS2324 เองก็มีจุดเริ่มต้นจากผู้กำกับอย่าง เจมส์–ธนดล นวลสุทธิ์ ที่ได้ไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า นาซ่าก็พาเธอกลับมาไม่ได้ เมื่อได้อ่านเจมส์รู้สึกว่านี่เป็นหนังสือที่มีความโรแมนติก-ดราม่า และนี่ก็เป็นจุดที่ทำให้เขาเริ่มเขียนพล็อตที่เล่าเรื่องความรักกับดาวแต่ละดวงเอาไว้ หนึ่งในนั้นก็คือดาวยูเรนัส และตั้งใจให้ฟรีนกับเบคกี้มาเป็นสองนักแสดงนำตั้งแต่ตั้งต้น
(รูป)
ทว่าสารตั้งต้นของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่การทำหนัง girl’s love เพื่อเสิร์ฟให้ใครดูเฉพาะกลุ่ม แต่คือการทำภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่พูดถึงความสัมพันธ์ ความรัก อาชีพ และความฝัน ของคนสองคน เพียงแต่ที่เลือกให้เป็นฟรีนและเบคกี้เป็นนักแสดงนำแต่แรก เพราะก่อนหน้านี้เวลเคิร์ฟเคยเป็นบริษัทที่ทำโพสต์โปรดักชั่นให้กับผลงานของฟรีนและเบคกี้ จึงทำให้ได้เห็นพัฒนาการและศักยภาพของนักแสดงทั้งสอง และคิดว่าหากนำความน่าสนใจของเนื้อเรื่อง บวกกับโปรดักชั่นที่ทุ่มทุนไปมหาศาล มารวมกับพลังของนักแสดง ก็จะยิ่งเสริมให้หนังไทยเรื่องนี้มีความแข็งแรงมากขึ้นไปอีก

ตัดภาพมาที่นักแสดงนำของเรื่องอย่าง ฟรีน สโรชา กันบ้าง เธอเล่าเรื่องย่อของ URANUS2324 ให้เราฟังว่า
“ฟรีนรับบทเป็นนักบินอวกาศค่ะ ส่วนเบคกี้เป็นนักฟรีไดฟ์ ต่างคนต่างก็มีความฝันเป็นของตัวเอง ซึ่งสุดท้ายก็ได้มาเจอกัน พอมาเจอกันแล้วเขาเหมือนพากันไปทำตามความฝันของตัวเอง มันจะมีความแฟนตาซีเกิดขึ้น เราพากันไปในมัลติเวิร์สต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต
“แต่หนูก็ไม่รู้ว่าเขาจะเจออะไรกันบ้างในนั้นก็ต้องรอติดตาม สุดท้ายก็อยากให้ทุกคนมาเอาใจช่วยว่าความรักจะนำทางให้เรามาเจอกันจริงหรือเปล่า”


ไม่เพียงแค่ในไทย เพราะ URANUS2324 ก็มีแพลนนำไปฉายในต่างประเทศเช่นกัน บอสบอกกับเราว่า เดิมทีเขาตั้งใจจะพาภาพยนตร์เรื่องนี้ไปฉายอีก 20 ประเทศ ทว่าด้วยโปรดักชั่นที่ทุ่มทุนสร้างไปกว่า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บวกกับเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับอวกาศ และฐานแฟนคลับที่แข็งแรงของฟรีนและเบคกี้กลายเป็นว่าเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ 20 ประเทศ สำเร็จเร็วกว่าที่คิดไว้มาก เขาจึงขยับเพดานความท้าทายปรับเป้าหมายใหม่ ตั้งใจจะนำ URANUS2324 ไปฉายให้ได้อีก 50 ประเทศทั่วโลก
โดย URANUS2324 จะเริ่มฉายในไทยวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 เป็นวันแรก ส่วนประเทศอื่นๆ ที่ดีลไว้แล้วก็จะค่อยๆ ทยอยฉาย และคาดว่าภาพยนตร์ไทยเรื่องนี้จะได้โลดแล่นอยู่บนจอเงินของหลายๆ ประเทศทั่วโลกจนถึงสิ้นปีนี้

คงต้องมาติดตามกันต่อไปว่า URANUS2324 จะทำให้ทั้งวงการ girl’s love และภาพยนตร์ของไทยเติบโตไปอีกได้มากเพียงใด เพราะด้วยงบลงทุนกว่า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ความกล้าทำภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับอวกาศ เดินทางไปรีเสิร์ชถึงนาซ่า ไปถ่ายทำที่อเมริกา สร้างยานอวกาศขึ้นมาใหม่ และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายที่ใช้เวลาไปกับโปรเจกต์นี้ร่วมปี ก็น่าจะทำให้เราได้เห็นมูฟเมนต์ใหม่ๆ ของวงการภาพยนตร์ไทยที่น่าสนใจไม่น้อยเลย
“หนูอยากให้คนมาดูเยอะๆ อยากให้คนเห็นโปรดักชั่นที่ยิ่งใหญ่ ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังเต็มที่กันมาก หนูว่าหนังไทยไปได้ไกลกว่านี้มากๆ เลย เพราะมีศักยภาพของตัวเอง แล้วก็เป็นการช่วยส่งให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตไปในทางที่ดีขึ้น” ฟรีนทิ้งท้าย
