สินค้าจีนมาแรงเกินต้าน ปี 2024 ถึงเวลาคนไทยปรับตัวกับ 3 เทรนด์สำคัญในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

เคยนับไหมว่าใน 1 เดือน คุณใช้บริการเดลิเวอรี หรือซื้อสินค้าออนไลน์กี่ครั้ง เราเชื่อว่าหลายคนอาจไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง ส่วนหนึ่งต้องบอกว่ามาจากพฤติกรรมของผู้คนเปลี่ยนไป เริ่มคุ้นเคยกับการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น รวมถึงเหล่าพ่อค้าแม่ค้า และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซพัฒนาเพื่อเข้าสู่การค้าออนไลน์อย่างเต็มตัว

อย่างที่รู้กันว่าเวลานี้การช้อปปิ้งออนไลน์ได้กลายเป็นกิจวัตรปกติสำหรับทุกคนไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นของกินของใช้ ของถูกหรือของแพง ทุกอย่างสามารถสั่งได้จากออนไลน์ เราจึงได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาแนวทางหรือเป็นคู่มือสำหรับผู้ประกอบการไทยในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ว่าจะทำยังไงให้อยู่รอดอย่างยั่งยืน และเอาชนะคู่แข่งจากจีนที่หลั่งไหลเข้ามามากมาย

ในช่วงเริ่มต้นปี 2024 เราจึงชวน ธนาวัฒน์ มาลาบุปผา นายกสมาคมอีคอมเมิร์ซไทย และ CEO & Co-founder บริษัท ไพรซ์ซ่า จำกัด มารีแคปและคาดการณ์เทรนด์อีคอมเมิร์ซที่จะเกิดขึ้น โดยได้สรุปออกมาเป็น 3 เทรนด์ที่น่าสนใจ และเป็นประโยชน์ต่อคนทำธุรกิจ ทั้งเรื่องการบริหารจัดการช่องทางออนไลน์และออฟไลน์แบบบูรณาการ การทำธุรกิจข้ามพรมแดน หรือแม้กระทั่งการทำคอนเทนต์ให้ไร้รอยต่อและเข้าถึงทุกแพลตฟอร์ม

ธุรกิจที่มีหน้าร้านกลับมาผงาดอีกครั้ง

ในปีที่ผ่านมา แม้ไม่ใช่คนช่างสังเกตเราย่อมเห็นว่าผู้คนกล้าออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น มีงานอีเวนต์นอกสถานที่จำนวนมาก เรียกได้ว่าเป็นปีที่แทบจะกลับไปเหมือนช่วงก่อนมีโควิด ทำให้ยอดขายธุรกิจค้าปลีกฝั่งหน้าร้านกลับมาเติบโตอีกครั้ง

“ปี 2023 เป็นปีที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซบ้านเรายังโตอยู่ โดยเฉพาะบทบาทของธุรกิจค้าปลีกหรือหน้าร้านแบบดั้งเดิมที่กลับมาเติบโตอย่างชัดเจน ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาทุกธุรกิจจำเป็นต้องมีช่องทางออนไลน์เพื่อรองรับความต้องการลูกค้า แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มกลับเข้าสู่โหมดปกติ การมีหน้าร้านแบบออฟไลน์จึงกลายเป็นความจำเป็นอย่างหนึ่ง ทำให้ในปี 2023 ช่องทางการขายฝั่งออนไลน์ และออฟไลน์อยู่ในจุดที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน” ธนาวัฒน์ฉายภาพธุรกิจอีคอมเมิร์ซบ้านเราในปีที่ผ่านมา

สำหรับมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยในปี 2023 ธนาวัฒน์มองว่า เติบโตประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ประมาณ 8 แสนล้านบาท สำหรับปี 2024 คาดว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยยังโตอยู่ และอาจไปที่ 9 แสนล้านบาท เป็นผลสืบเนื่องจากจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ต และวิถีชีวิตของผู้คนที่เริ่มใช้ชีวิตตามปกติ ทำให้มูลค่าอีคอมเมิร์ซไทยเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ 

War of e-Marketplace

หลังจาก JD Central ประกาศยุติการให้บริการในไทยในช่วงต้นปี หลายคนอาจมองว่าผู้เล่นรายใหญ่จะเหลือเพียง Shopee และ Lazada เท่านั้น จริงๆ แล้วยังมีผู้เล่นหน้าใหม่ที่มาแรงสุดๆ อย่าง TikTok ที่เข้ามาสร้างความดุเดือดให้การแข่งขันในสงครามนี้

ธนาวัฒน์บอกว่า ปี 2023 เป็นปีที่ตลาดอีคอมเมิร์ซกลับมาแข่งขันอย่างดุเดือดมากขึ้นเทียบกับปีที่แล้ว และเป็นปีที่ Shopee และ Lazada เริ่มทำกำไรหลังจากที่ขาดทุนมาหลายปี

“ผู้เล่นหน้าใหม่ที่เข้ามาสร้างสีสันให้ตลาดอีคอมเมิร์ซคือ TikTok เป็นการกระตุ้นให้ผู้เล่นรายเดิมต้องงัดกลยุทธ์ต่างๆ มาใช้ เช่น Shopee ต้องกลับมาใช้กลยุทธ์เรื่องโปรโมชั่นและส่วนลดมากขึ้น จากเดิมที่พยายามจะไม่เผาเงิน ก็ต้องใช้วิธีนี้เพื่อดึงดูดผู้บริโภค ซึ่งการมาของ TikTok ถือว่ารุกหนักพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องการส่งฟรี ที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าผ่าน TikTok Shop เป็นครั้งแรก”

ในมุมของผู้บริโภคที่มีงบในการใช้จ่ายเท่าเดิม ความท้าทายของแพลตฟอร์ม e-Marketplace จึงอยู่ที่ว่า ใครจะแย่งเงินในกระเป๋าผู้บริโภคที่มีอย่างจำกัดได้มากกว่ากัน

“ด้วยสภาพเศรษฐกิจและหนี้สินครัวเรือน ทำให้เวลานี้ผู้บริโภคมีงบเท่าเดิม การจะใช้เงินแต่ละบาทก็ต้องคิดมากขึ้น และมองหาความคุ้มค่าที่สุด ทำให้แพลตฟอร์ม e-Marketplace ต้องใช้กลยุทธ์ digital transformation ในการทำตลาด ที่เห็นได้ชัดคือ ส่วนลด และส่งฟรี ซึ่งในช่วงแรกของการทำตลาด TikTok ก็ใช้วิธีนี้ และเชื่อว่าออร์เดอร์แรกของหลายๆ คนที่ซื้อของผ่าน TikTok คือ ทิชชู่เปียกราคาห่อละไม่ถึง 10 บาทเป็นออร์เดอร์เปิดใจ เพราะได้ทั้งของถูกและส่งฟรี ทำให้แพลตฟอร์มอื่นๆ ต้องออกโปรโมชั่นมาแข่งขันให้ได้” 

เมื่อ TikTok ชูจุดเด่นเรื่องค่าส่งหรือโปรโมชั่นแล้ว แพลตฟอร์มที่เหลือมีจุดเด่นอะไรที่จะสร้างความได้เปรียบให้ตนเอง

“ผมมองว่า Shopee ไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ แต่ยังมี Shopee Food เพราะฉะนั้นเขาก็แข่งกับ Grab, Robinhood และ LINE MAN ด้วย เพราะ Shopee มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว การเพิ่มอีกหนึ่งบริการจึงไม่ใช่เรื่องยาก ส่วนเรื่องการขายของในแพลตฟอร์ม Shopee จะเน้นสินค้าในตลาดแมส มีสินค้าจากผู้ขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะคล้ายกับ Taobao ของจีนที่มีสินค้าราคาไม่สูงเป็นล้านๆ ชิ้น ในขณะเดียวกัน Lazada ใช้กลยุทธ์ที่ต่างไป เน้นการสร้างความน่าเชื่อถือ ร้านค้าส่วนใหญ่จะเป็นร้านออฟฟิเชียลเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าว่าสินค้าที่ซื้อไปจะเป็นของจริงแท้แน่นอน”

จะถูก จะแพง ก็ช้อปออนไลน์ไว้ก่อน

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนการใช้อินเทอร์เน็ตของคนไทยอาจไม่โตไปมากกว่าเดิม แต่ถ้าดูในมุมของเวลาที่อยู่กับโลกออนไลน์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8 ชั่วโมงต่อวัน ลดลงจากปีก่อนหน้า (2022) เล็กน้อยที่เฉลี่ยประมาณ 9 ชั่วโมงต่อวัน เนื่องจากตอนนี้ผู้คนเริ่มออกมาใช้ชีวิตและมีสังคมนอกบ้านมากขึ้น

แต่กับอีคอมเมิร์ซสำหรับคนไทยถือว่ายังเติบโตอยู่ เพราะคนไทยคุ้นชินกับการซื้อของออนไลน์แล้ว ที่น่าสนใจคือ คนไทยช้อปออนไลน์บ่อยขึ้น และมูลค่าการซื้อของออนไลน์ก็แพงขึ้น จากเดิมที่ซื้อแค่ของกินของใช้ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย หรือของแต่งบ้านที่ราคาไม่สูง ตอนนี้คนไทยสามารถซื้อของที่มีมูลค่าสูงอย่างทองคำ เพชร หรือแม้แต่แบรนด์ Cartier ที่ราคาหลักแสนบาทก็ซื้อผ่านออนไลน์ได้ สะท้อนให้เห็นว่าจริงๆ แล้วกลุ่ม Upper หรือคนมีกำลังซื้อกระจายอยู่ทั่วประเทศ เพียงแต่คนกลุ่มนี้อาจอยู่ต่างจังหวัด หรืออยู่ในพื้นที่ที่ไม่สามารถเดินทางมาหน้าร้านได้ บวกกับการขนส่งในปัจจุบันที่เร็วขึ้น ยิ่งผลักดันให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในไทยเติบโตขึ้นตามไปด้วย 

หรือสินค้าจีนจะครองโลก

การเข้ามาของสินค้าจีนเป็นปัญหาที่หลายคนกังวล ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมานานจนทำให้หลายคนบอกว่า สินค้าจีนกำลังกินรวบอีคอมเมิร์ซไทย โดยเฉพาะอาลีบาบาและ Lazada ที่มีคลังสินค้าขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ในไทย นี่จึงกลายเป็นแต้มต่อที่ทำให้สินค้าจีนเข้าสู่ไทยได้เต็มที่   

“สินค้าจีนค่อนข้างน่ากังวล และน่ากังวลขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าก่อนหน้านี้สินค้าที่คนไทยจับจ่ายกันอยู่ล้วนเป็นสินค้าที่นำเข้าจากจีน หรือถ้าดูไลฟ์ใน TikTok ตอนนี้ก็จะเห็นคนจีนไลฟ์ขายของโดยพูดภาษาไทย ไม่ต้องพูดชัดเหมือนคนไทยก็ขายของได้

“มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการไลฟ์ของจีนคือ ปัจจุบันใน TikTok จะมีการไลฟ์ขายของประมาณ 9 แสนครั้งต่อเดือน ในจำนวนนี้ 60% เป็นคนจีนที่ไลฟ์ขายให้คนไทย ส่วนอีก 40% เป็นคนไทยที่ไลฟ์ขายของในไทย แสดงให้เห็นว่าจีนมีศักยภาพในการไลฟ์ขายของ และเขามองเห็นช่องทางการเปิดตลาดใหม่อยู่ตลอด ซึ่งตอนนี้คนจีนไม่ได้แค่ผลิตสินค้าแล้วขายให้คนไทย แต่เขายังร่วมงานกันคนไทย เป็นพาร์ตเนอร์กันในการนำสินค้าจีนมาขาย โดยจะแบ่งค่าคอมมิชชั่นให้”

จากโมเดลธุรกิจดังกล่าว สะท้อนหลักคิดในการทำธุรกิจของคนจีนได้ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อต้องการเจาะตลาดต่างประเทศ ไม่ว่าจะทำธุรกิจใดก็ตาม มักจะไม่ลุยเดี่ยวหรือเริ่มต้นคนเดียว แต่จะหาคู่ค้าหรือพาร์ตเนอร์เข้ามาสนับสนุนให้ธุรกิจเดินหน้าได้ หรืออีกนัยหนึ่งคือ การทำให้สินค้าจีนทะลักเข้ามาในไทยมากขึ้น

จึงนำมาสู่เทรนด์อีคอมเมิร์ซ 2024 ที่น่าจับตาดังต่อไปนี้

1. Cross Border e-Commerce ค้าขายไร้พรมแดน

จีนเป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก มีผู้ซื้อและผู้ขายสินค้าออนไลน์มากกว่า 800 ล้านคน และมูลค่าการซื้อ-ขายผ่านอีคอมเมิร์ซราว 40 ล้านหยวน ดังนั้นการเจาะตลาดจีนผ่านช่องทางออนไลน์จึงทำให้จีนเป็นตลาดที่หอมหวานอย่างยิ่ง

ทางจีนเองก็มีนโยบายที่สนับสนุนผู้ประกอบการจากทั่วโลกให้นำสินค้าไปขายในจีนได้ง่ายขึ้นคือ Cross Border e-Commerce (CBEC) หรือการค้าอีคอมเมิร์ซไร้พรมแดน สำหรับในประเทศไทยแม้ว่าตลาดอีคอมเมิร์ซจะโตแต่ส่วนใหญ่เป็นการซื้อ-ขายในประเทศเป็นหลัก ในรูปแบบ B2B และ B2G ขณะที่ CBEC ในรูปแบบ B2C ยังมีไม่มากนัก นี่จึงเป็นช่องว่างที่ผู้ประกอบการไทยจะเข้าสู่ตลาดจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งก่อนหน้านี้สินค้าจีนหลายแบรนด์ก็มีร้านค้าทางการบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของไทย เป็นการขายตรงจากผู้ผลิตไม่ผ่านพ่อค้าแม่ค้าคนกลาง แน่นอนว่าผู้ซื้อย่อมได้ของราคาถูก แต่ในขณะเดียวกันผู้ค้ารายย่อยในไทยก็จะสูญเสียรายได้ไปด้วย

“ประเทศจีนมีเส้นทางชัดเจนในเรื่องการนำสินค้าออกสู่ตลาดโลก ซึ่งไม่ใช่แค่ในเฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ต้องการไปสู่ตลาดโลก ในยุโรปก็มีสินค้าจีนเยอะมาก อย่างในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Amazon ในสหรัฐฯ ผู้ขายระดับท็อปส่วนใหญ่เป็นคนจีนที่มีหน้าร้านออนไลน์

ประเทศไทยเราก็เซ็นสัญญาเขตการค้าเสรี (FTA) กับจีนในเรื่องการตั้งกำแพงภาษี ทำให้ตอนนี้สินค้าไทยได้รับการยกเว้นภาษี แต่ต้องขายผ่านแพลตฟอร์มที่จัดตั้งขึ้นสำหรับ Cross Border e-Commerce เท่านั้น วิธีนี้จะช่วยลดความยุ่งยากในการจัดทำเอกสารต่างๆ 

ทว่าสิ่งสำคัญคือ คนไทยยังไม่มีสะพานสู่การค้าขายในจีน สะพานในที่นี้หมายถึงแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เช่น คนจีนมีสะพานมาสู่ประเทศไทยได้ด้วย Lazada, Shopee และ TikTok ที่มีบริษัทแม่อยู่ในจีน แต่คนไทยยังไม่มีสะพานที่เข้าไปบุกตลาดจีน อย่างที่บอกว่าปัจจุบันคนจีนก็แข่งกันดุเดือดอยู่แล้ว การที่คนไทยจะเข้าไปสู้ก็อาจต้องเลือกสินค้าที่ตรงกับความต้องการของตลาดจีน และหาสะพานของตัวเองให้เจอเร็วที่สุด”

ผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมตัวยังไง?

“ในกรณีของพ่อค้าคนกลาง การนำเข้าสินค้าจีนเพื่อมาขายในไทย แล้วบวกราคาเพิ่มนิดหน่อย ถ้าทุกรายแข่งขันกันเรื่องราคาก็อาจไม่เวิร์ก คุณต้องสร้างแบรนด์ให้ชัดเจน เพิ่ม value ให้สินค้าและบริการ เช่น ขายประตูไม้จากจีน ลูกค้าที่ซื้อไม่ได้ต้องการแค่ประตู แต่เขาต้องการช่างติดตั้งด้วย เพราะฉะนั้นคนไทยที่นำสินค้าจากจีนเข้ามาขายต้องทำให้เป็น total solution ไม่ใช่แค่ขายประตู แต่มีทีมงานให้คำแนะนำได้ว่าประตูแบบไหนที่เหมาะกับบ้านที่สุด มีบริการติดตั้ง และบริการหลังการขาย ซึ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้ค้าจีนทำไม่ได้

“และสำหรับเจ้าของแบรนด์ที่ต้องการไปจีน สิ่งสำคัญคือ ต้องสร้างแบรนด์ให้แตกต่าง สินค้าต้องมีคุณภาพ เพราะตอนนี้ผู้บริโภคมีตัวเลือกเยอะมากอยู่แล้ว เช่น ถ้าจะขายครีม ต้องดีจริง เพราะไม่อย่างนั้นคุณจะขายได้แค่ครั้งเดียว หรือถ้าจะส่งออกพืชผลทางการเกษตรก็ต้องเป็นของที่หาไม่ได้ในจีน และต้องทำการตลาดแบบออนไลน์และออฟไลน์เพื่อให้แต่ละช่องทางเติมเต็มซึ่งกันและกัน” 

อย่างไรก็ตาม การจะดำเนินธุรกิจ CBEC ให้ประสบความสำเร็จได้นั้น 2 ปัจจัยสำคัญคือแพลตฟอร์มที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกและน่าเชื่อถือ ผู้ประกอบการไทยต้องศึกษาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในจีนให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Taobao หรือ Tmall และการวางกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมกับแต่ละเป้าหมายที่มีความแตกต่างกันทั้งในเชิงประชากรศาสตร์และพฤติกรรมไลฟ์สไตล์ต่างๆ เช่น มีการเปิดหน้าร้านออนไลน์ควบคู่ไปกับหน้าร้านออฟไลน์ หรือจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในช่วง Double Day เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ

2. ผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ให้รวมเป็นหนึ่ง

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่าน ผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ผันตัวเข้าสู่โลกออนไลน์เต็มตัว บางคนเริ่มต้นธุรกิจจากการขายของออนไลน์เป็นหลัก ทำการตลาดแค่ในออนไลน์อย่างเดียว แต่สำหรับปี 2024 การตลาดออนไลน์แบบเดิมๆ อาจยังไม่เพียงพอต่อการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซในยุคนี้

“ยุคนี้ไม่ใช่ยุคของการโฟกัสแค่ช่องทางเดียว ถ้าคุณเป็นแบรนด์คุณต้องคิดว่าจะนำสินค้าออกสู่ตลาดได้ยังไงทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ในช่วงเริ่มต้นคุณอาจเริ่มจากออนไลน์ก่อนก็ได้ แต่ถ้าอยากเติบโตต้องให้ความสำคัญกับออฟไลน์ด้วย ปี 2024 จะชัดเจนเลยว่าธุรกิจที่ทำทั้ง 2 ทางจะส่งเสริมกัน เช่น สินค้าในกลุ่มบิวตี้ที่ทำทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ทำโฆษณาให้คนรู้จักผ่านออนไลน์ แต่ยอดขายที่ได้มาจากออฟไลน์เป็นหลัก ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ยอดขายสินค้าที่มาจากหน้าร้านอาจแซงหน้าฝั่งออนไลน์”

ถ้าธุรกิจที่ทำออนไลน์จนประสบความสำเร็จแล้ว จำเป็นต้องมีหน้าร้านหรือไม่

“การทำตลาดออนไลน์จะช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น ส่วนการมีหน้าร้านในออฟไลน์จะทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่น สามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้หลากหลายช่องทาง ซึ่งไม่ใช่แค่การสร้างแบรนด์ดิ้ง แต่เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและกระตุ้นยอดขายให้ธุรกิจได้มากขึ้น ซึ่งการมีทั้ง 2 ช่องทางเป็นการเชื่อมหน้าร้านในโลกออฟไลน์ เข้ากับเทคโนโลยีออนไลน์อย่างลงตัว” 

ไม่ว่าจะซื้อสินค้าออนไลน์หรือหน้าร้าน สิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้คือ ประสบการณ์ของลูกค้า ที่เจ้าของธุรกิจต้องปรับตัวให้ทันสมัยมากขึ้น หากลูกค้าเกิดความไม่ประทับใจก็อาจส่งผลเสียต่อธุรกิจได้ เราจึงอยากรู้ว่าในปี 2024 เส้นทางการเดินทางของลูกค้า หรือ customer journey จะเปลี่ยนไปไหม

“แต่ก่อนลูกค้าจะหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต แล้วไปช็อปเพื่อดูหรือเทสต์กับของจริง บางคนก็อาจซื้อเลย หรือบางคนอาจกลับไปซื้อออนไลน์เพราะต้องการใช้โค้ดส่วนลดต่างๆ แต่ตอนนี้เส้นทางการซื้อของลูกค้าเปลี่ยนไป ไม่ใช่เส้นตรง 5 ขั้นตอนแบบที่เรารู้จัก (การรับรู้ การค้นหา การซื้อสินค้า การซื้อซ้ำ และการสนับสนุน) แต่ทุกอย่างแทบไม่มีแบบแผนตายตัว ผู้บริโภคยุคนี้อาจเห็นสินค้าจากออนไลน์ ไปดูของจริงที่ช็อป แล้วกดสินค้าใส่ตะกร้าไว้ก่อน ยังไม่ซื้อแล้วรอช่วง double day รับโค้ดแล้วจ่ายเงิน ทำให้ยอดขายช่วงนี้มากกว่าช่วงปกติ 5-10 เท่า ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่หล่อหลอมให้ผู้บริโภคเฝ้ารอโปรโมชั่นช่วง double day ด้วยใจจดจ่อ”

หากใครยังนึกภาพไม่ออก ธนาวัฒน์ได้ยกตัวอย่างเคสของ Konvy แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่รวบรวมสินค้าเกี่ยวกับความงาม เครื่องสำอาง และสกินแคร์ต่างๆ ที่เริ่มต้นจากการขายออนไลน์ ก่อนจะประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง จนกระทั่งในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Konvy ได้เปิดหน้าร้านออฟไลน์สาขาแรกที่สยามเซ็นเตอร์ เพื่อขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มใหม่ๆ และเติมเต็มประสบการณ์การซื้อสินค้าออนไลน์และออฟไลน์ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น จากตัวอย่างดังกล่าวก็ชัดเจนว่า ในปี 2024 เป็นยุคของการบูรณาการระหว่างออนไลน์และออฟไลน์

ดังนั้นปีนี้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซเหมือนกลับไปในช่วงก่อนมีโควิด ที่ผู้ขายต้องทำทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ในช่วงที่ผ่านมาใครๆ ก็อยู่บนออนไลน์ เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ควรมีช่องทางออฟไลน์เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า อีกทั้งยังสร้างฐานลูกค้าให้เหนียวแน่น และกระตุ้นยอดขายได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย

3. Social Commerce Seamless 

มาถึงเทรนด์อีคอมเมิร์ซข้อสุดท้าย ธนาวัฒน์บอกว่า จริงๆ แล้ว Social Commerce Seamless หรือ การค้าขายสินค้าหรือบริการผ่านโซเชียลมีเดียแบบไร้รอยต่อ เป็นเทรนด์ที่ได้ยินมานานแล้ว แต่ในปี 2024 รูปแบบจะเปลี่ยนไป เพราะถูกจุดกระแสโดย TikTok ที่นำความบันเทิง สนุกสนาน มารวมเข้ากับอีคอมเมิร์ซ ผู้ชมสามารถดูคลิปแล้วกดตะกร้าซื้อสินค้าได้เลย 

และคาดว่าปีนี้ YouTube ก็เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ให้ YouTube Shorts ติดตะกร้าได้ และครีเอเตอร์ที่โพสต์คลิปแล้วติดตะกร้า รับค่านายหน้าจากการขายสินค้าได้ ซึ่งแปลว่า YouTube ตั้งใจสู้กับ TikTok ตรงๆ โดยเฉพาะโมเดล affiliate marketing ทำให้ในปี 2023 มูลค่าตลาด affiliate marketing เติบโตราวๆ 114% คิดเป็นมูลค่ากว่า 949 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2024 จะเติบโตเป็นเท่าตัว

สำหรับแพลตฟอร์มอื่นๆ ธนาวัฒน์บอกว่า อาจยังไม่มีความเคลื่อนไหวมากนัก มีเพียงแค่ YouTube เท่านั้นที่กระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ เพราะในปีที่ผ่านมา TikTok แย่งชิงเวลาของคนดูไปค่อนข้างเยอะ ทำให้ในปี 2024 เราจะได้เห็นการปรับตัวแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียให้เอื้อต่อการช้อปออนไลน์แบบไร้รอยต่อมากขึ้น 

เมื่อแพลตฟอร์มปรับตัว ผู้ขายก็ต้องปรับตัวด้วย ธนาวัฒน์เล่าว่า “ถือเป็นความท้าทายของคนขายของออนไลน์เช่นกัน เมื่อ YouTube Shorts ติดตะกร้าได้ แพลตฟอร์มอื่นๆ ก็อาจตามมา ผู้ค้าและครีเอเตอร์ที่จะติดตะกร้าก็ต้องผลิตคอนเทนต์ให้เหมาะกับแพลตฟอร์มนั้นๆ”

นี่คือ 3 เทรนด์อีคอมเมิร์ซที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีนี้ และนี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ผู้ประกอบการจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจ แต่เป็นช่วงเวลาที่ต้องลงมือทำแล้ว 

ธนาวัฒน์ย้ำว่า “ผู้ประกอบการที่อยากประสบความสำเร็จกับการทำธุรกิจออนไลน์ การรับสินค้ามาขายและแข่งขันกันด้วยการตัดราคาน่าจะไปไม่รอด คุณต้องสร้างแบรนด์ และทำสินค้าให้แตกต่าง ถ้าอยากขายของพรีเมียมและราคาสูง สิ่งที่คุณมอบให้ลูกค้าต้องพรีเมียมด้วย พยายามโฟกัสในสิ่งที่ตัวเองทำได้ดี ทำคอนเทนต์ให้โดดเด่น มี storytelling และการเล่าเรื่องที่ดี

“ปีนี้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจะแตกกระจายมากขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าคุณยังอยู่แค่แพลตฟอร์มเดียว หรือยังไม่มีทรัพยากรที่จะลุยทุกช่องทาง อยากให้หาช่องทางแรกให้เจอก่อน แล้วค่อยขยับขยายในอนาคต”

ปี 2024 อาจไม่ใช่ปีที่ง่ายสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคมีเท่าเดิม และทุกคนอยากได้ของที่คุ้มค่าคุ้มราคาที่สุด คู่แข่งจากจีนก็เข้ามาเยอะขึ้น แม้วันนี้เราจะพูดถึง 3 เทรนด์แต่ทุกอย่างก็ไม่แน่นอน หรือมีเหตุการณ์เกิดขึ้นจนทำให้เทรนด์ที่คาดการณ์ไว้เกิดช้าลง เกิดเร็วขึ้น หรืออาจไม่เกิดขึ้นเลย สิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซคือ ต้องพร้อมปรับตัวตลอดเวลา

อย่าลืมว่าเราไม่ได้แข่งแค่คนไทยด้วยกันเท่านั้น แต่ยังแข่งกับผู้ขายในโลกใบนี้ด้วย

ธุรกิจไหนน่าลงทุนในปี 2024 เปิด 10 ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง จากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ

สำหรับปี 2023 ที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงมากมาย มีหลายธุรกิจที่รุ่งโรจน์ และหลายธุรกิจก็ปิดตัวลงด้วยปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ โควิด กระแสความนิยมของผู้บริโภค และอื่นๆ หลายธุรกิจเริ่มนำเทคโนโลยีและ AI เข้ามาใช้เพื่อผลักดันธุรกิจให้อยู่ในโลกออนไลน์มากขึ้น

และคล้ายเป็นธรรมเนียมที่เมื่อเริ่มต้นปีจะมีการวิเคราะห์ว่าธุรกิจใดมีแนวโน้มเติบโตหรือธุรกิจใดต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดจากสถาบันต่างๆ ออกมาเพื่อเป็นแนวทางให้แต่ละคนปรับตัว

สำหรับปี 2024 ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้เผย 10 ธุรกิจดาวรุ่งและดาวร่วงประจำปี 2024 ที่เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสำรวจ ให้คะแนน ยอดขาย ต้นทุน ผลกำไร สภาวะการแข่งขัน กระแสนิยม รวมถึงความต้องการของตลาด ดังนี้

10 อันดับธุรกิจดาวรุ่ง ประจำปี 2024

อันดับที่ 1 

  • กลุ่มธุรกิจ e-Commerce (ธุรกิจที่ทำการซื้อ-ขายผ่านอิเล็กทรอนิกส์) เนื่องจากเวลานี้ผู้คนลดการใช้จ่ายผ่านหน้าร้าน หันมาซื้อสินค้าหรือใช้จ่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น ผู้ประกอบการที่ต้องการขายสินค้าก็ต้องมีช่องทางออนไลน์ของตัวเองเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า
  • ธุรกิจจัดทำคอนเทนต์ ธุรกิจยูทูบเบอร์ การรีวิวสินค้า และอินฟลูเอนเซอร์ เหตุผลจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากเดิม โดยนิยมซื้อสินค้าทางออนไลน์มากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้เกิดเทรนด์การทำคอนเทนต์ที่ช่วยให้ธุรกิจนำเสนอสินค้าและบริการ รวมถึงโน้มน้าวใจผู้บริโภคมากขึ้น 

อันดับที่ 2

  • กลุ่มธุรกิจการแพทย์และความงาม เนื่องจากไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ อีกทั้งคนในปัจจุบันมีความสนใจดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ และจากนโยบายของรัฐที่อยากให้ไทยเป็น medical hub จึงมีกระแสการเติบโตของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
  • ธุรกิจโฆษณาและออนไลน์ เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้เวลาและใช้จ่ายผ่านสื่อออนไลน์มากขึ้น การผลิตสื่อออนไลน์จึงถูกนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์มากขึ้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ธุรกิจนี้มีแววเติบโตได้ดีในปีนี้
  • ธุรกิจโทรคมนาคมสื่อสาร ประกอบไปด้วยธุรกิจผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือสัญญาณสื่อสารต่างๆ ซึ่งเป็นไปตามเทรนด์ Internet of Things และนโยบายของภาครัฐที่ต้องการให้ประเทศเข้าสู่ระบบ smart solution มากขึ้น 

อันดับที่ 3

  • ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโซเชียลมีเดีย และออนไลน์เอนเตอร์เทนเมนต์ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ทั้งการทำงาน การซื้อสินค้าออนไลน์ การเรียน รวมถึงเรื่องความบันเทิง ซึ่งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเหล่านี้เป็นเครื่องมือที่ทำให้ผู้คนได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ จากทั่วโลก
  • ธุรกิจด้านการเงินธนาคาร Fintech และการชำระเงินผ่านระบบเทคโนโลยี ปัจจุบันผู้คนเริ่มใช้เงินสดน้อยลง หันมาชำระเงินผ่านแอพพลิเคชั่นมากขึ้น ธนาคารต่างๆ ก็ปรับตัวด้วยการพัฒนาแอพฯ ให้รองรับการใช้งานและตอบโจทย์สังคมไร้เงินสด
  • ธุรกิจ cloud service และ ธุรกิจบริการ cyber security เมื่อข้อมูลทุกอย่างอยู่บนออนไลน์ สิ่งที่ตามมาคือภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากการโจรกรรมข้อมูล การหลอกลวงออนไลน์ จึงทำให้หน่วยงานต้องมีบริการ cyber security มากขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

อันดับที่ 4

  • งานคอนเสิร์ต มหกรรมจัดแสดงสินค้า และธุรกิจอีเวนต์ สังเกตว่าในปีที่ผ่านมาบ้านเรามีการจัดงานแสดงสินค้าและเทศกาลดนตรีต่างๆ จากทั่วโลก ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก ทำให้ในปีนี้ธุรกิจการจัดงานแสดงมีอัตราการเติบโตที่ดีและกระจายไปทั่วประเทศ ไม่ได้กระจุกอยู่แค่ในเมืองใหญ่อย่างเดียว
  • ธุรกิจความเชื่อ (สายมูฯ หมอดู ฮวงจุ้ย) คนไทยกับความเชื่อเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันมานาน และในปีนี้ความเชื่อจะกลายเป็น soft power ที่สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้ประเทศได้ ในขณะเดียวกันเมื่อเศรษฐกิจไม่มั่นคงหรือมีเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอน ประชาชนก็จะหันไปพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือความเชื่อเช่นกัน
  • ธุรกิจอัญมณี ทองคำ และเครื่องประดับ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย การซื้อเพื่อเก็งกำไรมากขึ้น รวมถึงคนรุ่นใหม่ก็หันมาลงทุนกับทองคำ ทั้งการซื้อจากหน้าร้านและการซื้อแบบออนไลน์ ทำให้ธุรกิจเหล่านี้ควรค่าแก่การลงทุนในระยะยาว

อันดับที่ 5 

  • ธุรกิจประกันภัย ประกันชีวิต นับตั้งแต่โลกได้รู้จักโควิด ประชาชนก็ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในชีวิต มีการวางแผนเรื่องการเงิน ค่ารักษาพยาบาล และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้ผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยมีความหลากหลาย มีแพ็กเกจที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่จึงทำให้ผู้คนสนใจทำประกันมากขึ้น
  • ธุรกิจ EV และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เทรนด์การให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงมาหลายปีโดยเฉพาะเรื่องฝุ่นควันและมลพิษ การใช้รถยนต์สันดาป (รถยนต์ส่วนบุคคล) จะลดลง ผู้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น มีสถานีชาร์จไฟกระจายอยู่ทั่วประเทศ ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการใช้ EV ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า
  • ธุรกิจ soft power ไทย ธุรกิจด้านนี้ เช่น ซีรีส์ ภาพยนตร์ ฯลฯ เพราะไทยมีวัฒนธรมที่เป็นเอกลักษณ์ ทั้งประวัติศาสตร์ ศิลปะ ดนตรี และอาหาร กระแสเหล่านี้ถูกส่งต่อผ่านซีรีส์ ดนตรี ภาพยนตร์ และศิลปิน เช่น ลิซ่า BLACKPINK ใส่ผ้าไทยไปอยุธยา หลังจากนั้นก็เกิดกระแสใส่ผ้าไทยตามรอยทันที

อันดับที่ 6

  • ธุรกิจอาหารเสริม เมื่อดูจากอันดับต้นๆ พบว่าประชาชนหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น ทำให้ธุรกิจอาหารเสริมเติบโตตามไปด้วย
  • ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (ที่ไม่มีแอลกอฮอล์) เป็นผลมาจากการที่ประเทศไทยกลับสู่ภาวะปกติ สามารถจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ได้ ซึ่งแน่นอนว่าทุกงานต้องมีอาหารและเครื่องดื่ม
  • ธุรกิจเกี่ยวกับน้ำตาล แม้ในช่วงที่ผ่านมาผู้คนจะพยายามลดน้ำตาลหรือของหวานเพื่อสุขภาพ แต่ความต้องการบริโภคน้ำตาลของทั่วโลกกลับสูงขึ้น โดยใช้เพื่อบริโภคโดยตรงและนำไปแปรรูปเป็นสารปรุงแต่งรสในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและเครื่องดื่มต่างๆ

อันดับที่ 7 

  • ธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (modern trade) สำหรับทุกธุรกิจนี้เติบโตได้จากนโยบาย digital wallet ของรัฐบาล ที่กระตุ้นให้ร้านค้าเข้าร่วมโครงการโดยเฉพาะร้านค้าปลีกรายย่อย ทั้งการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งในเฟสต่างๆ ทำให้ร้านค้าปลีกเหล่านี้สามารถแข่งขันกับธุรกิจ e-Commerce รายใหญ่ได้
  • ธุรกิจโลจิสติกส์ เดลิเวอรี และคลังสินค้า พฤติกรรมผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าผ่านออนไลน์มากขึ้น ทำให้มีบริการธุรกิจขนส่งของและคลังเก็บสินค้ามากขึ้น
  • ธุรกิจเงินด่วนและโรงรับจำนำ เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายแก้หนี้นอกระบบภาคประชาชน อีกทั้งปัจจุบันธุรกิจโรงรับจำนำปรับตัวด้วยการให้บริการที่สะดวกมากขึ้น และเปิดสาขาครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น รวมถึงการเพิ่มบริการประเมินราคาผ่านออนไลน์

อันดับที่ 8 

  • กลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยง เวลานี้ไม่มีใครปฏิเสธกระแสการเลี้ยงสัตว์ได้ ทั้งสุนัข แมว ปลา หรือแม้แต่ exotic pet ซึ่งเจ้าของสัตว์เลี้ยงไม่ได้เลี้ยงในมุมมองสัตว์เลี้ยง แต่เลี้ยงเหมือนสมาชิกในครอบครัวคนหนึ่ง ทำให้สินค้าในกลุ่มนี้ต้องมีคุณภาพดีเหมือนซื้อให้คนในครอบครัว
  • ธุรกิจบันเทิงยามค่ำคืน ผับ บาร์ คาราโอเกะ หลังจากภาครัฐมีนโยบายผ่อนปรนขยายเวลาเปิด-ปิดสถานบันเทิง นักท่องเที่ยวเริ่มเดินทางเข้าไทยมากขึ้น ซึ่งสามารถกระตุ้นธุรกิจท่องเที่ยวให้ประเทศได้ต่อเนื่อง

อันดับที่ 9 

  • ธุรกิจ e-Sport และเกม ปัจจุบันจำนวนสตรีมเมอร์เพิ่มมากขึ้น ทำให้คนสนใจตลาดเกมมากขึ้น มีการจัดการแข่งขันต่างๆ ทั่วโลก ในขณะที่ภาคการศึกษาของไทย สนับสนุนการสร้างทักษะแรงงานด้านนี้มากขึ้น รวมถึงมีการพัฒนาเทคโนโลยีและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยดึงดูดผู้เล่นเกมได้มากขึ้น
  • ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม และทัวร์ ธุรกิจนี้ได้รับปัจจัยสนับสนุนจาก soft power  และอินฟลูเอนเซอร์ด้านการท่องเที่ยว ที่มักรีวิวสถานที่ต่างๆ เช่น ยูทูบเบอร์ชาวเกาหลีที่ทำคอนเทนต์ท่องเที่ยวประเทศไทย จนทำให้เกิดกระแสการเที่ยวตามรอย ไปร้านอาหาร หรือพักโรงแรมเดียวกัน

อันดับที่ 10 

  • ธุรกิจพลังงานทดแทน เนื่องจากแนวโน้มความต้องการใช้พลังงานทดแทนมีมากขึ้น เช่น โซลาร์เซลล์ เพราะราคาพลังงานทั้งก๊าซ และน้ำมันมีความผันผวน ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนให้ประชาชนใช้พลังงานสะอาด อีกทั้งสถาบันการเงินมีนโยบายสนับสนุนสินเชื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจด้านพลังงานทางเลือก
  • ธุรกิจยานยนต์ ต้องบอกว่าเวลานี้ไทยยังเป็นการผลิตสำคัญของรถยนต์สันดาป และแนวโน้มยังมีการฟื้นตัวดีในกลุ่มรถบรรทุก และรถจักรยานยนต์
  • ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการก่อสร้าง ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจนี้เติบโตอยู่ที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ  เช่น โครงการกู้ซื้อบ้านด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ, การขยายเส้นทางคมนาคมที่เอื้อต่อธุรกิจอสังหาฯ และการสร้างโครงการที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้า

10 ธุรกิจ (ที่คาดว่าจะเป็น) ดาวร่วง ประจำปี 2567 

อันดับที่ 1

  • โทรศัพท์พื้นฐาน, ร้านเช่าหนังสือ ซีดี หรือดีวีดี, สื่อสิ่งพิมพ์ที่ไม่มีแพลตฟอร์มออนไลน์ ทุกวันนี้ผู้คนมีสมาร์ตโฟนของตัวเอง และทางผู้ผลิตก็แข่งขันกันด้วยราคาทำให้สมาร์ตโฟนราคาถูกลงทุกคนสามารถจับต้องได้ ส่งผลให้โทรศัพท์พื้นฐานหรือโทรศัพท์บ้านไม่ค่อยถูกใช้งานมากนัก

อันดับที่ 2

  • ผลิตซีดี ดีวีดี ที่จัดเก็บข้อมูลฮาร์ดไดรฟ์ หรือเมมโมรีการ์ด ต่อเนื่องจากอันดับที่ 1 เมื่อผู้คนไม่ดูซีดีหรือดีวีดีแล้ว การผลิตจึงไม่มีความจำเป็นมากเท่าเมื่อก่อน และในส่วนของการเก็บข้อมูลเชื่อว่าหลายคนคงเก็บข้อมูลบน Cloud หรือ Google Drive มากกว่า

อันดับที่ 3

  • ธุรกิจคนกลาง ปัจจุบันผู้ขายออนไลน์สามารถดีลตรงกับผู้ผลิตในประเทศนั้นๆ หรือเจ้าของแบรนด์ได้เลยโดยที่ไม่ต้องผ่านคนกลาง เพื่อลดต้นทุนการขาย

อันดับที่ 4

  • ผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม สำหรับสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มในที่นี้ อาจหมายถึงงานแฮนด์เมดที่ใช้เวลาและกำลังคนในการผลิตค่อนข้างเยอะ

อันดับที่ 5

  • ผลิตสารเคมี เนื่องจากเทรนด์เรื่องความยั่งยืนมาแรง ผู้คนต้องการเปลี่ยนโลก อยากเห็นโลกที่ดีขึ้น จึงมีการรณรงค์ให้ภาคอุตสาหกรรมหรือผู้ผลิตลดการใช้สารเคมี

อันดับที่ 6

  • ร้านถ่ายภาพ เมื่อสมาร์ตโฟนสามารถถ่ายภาพได้ มีโปรแกรมแต่งภาพให้สวยเหมือนถ่ายที่ร้าน ทำให้ธุรกิจร้านถ่ายภาพค่อยๆ ปิดตัวลง

อันดับที่ 7

  • ขายเครื่องเล่นเกม แผ่นเกม และตลับเกม เป็นผลมาจาก technology disrupt เช่นกัน ผู้คนหันมาเล่นเกมออนไลน์มากขึ้น จนทำให้เวลานี้ผู้ผลิตเครื่องเล่นเกมและตลับเกมเหลือเพียงไม่กี่รายเท่านั้น 

อันดับที่ 8

  • ถ่ายเอกสาร สำหรับธุรกิจร้านถ่ายเอกสาร ส่วนใหญ่เรามักเห็นร้านเหล่านี้อยู่ที่หน่วยงานราชการ ทว่าปัจจุบันหน่วยงานราชการได้ประกาศให้เลิกใช้กระดาษ หันมาใช้เอกสารระบบดิจิทัลมากขึ้น หรือแม้แต่ในกลุ่มการเรียนก็แทบไม่มีการแจกชีตเรียน แต่จะให้นักเรียนสแกน QR code เพื่อรับไฟล์ PDF แทน

อันดับที่ 9

  • เฟอร์นิเจอร์ไม้ ในช่วงหลายปีที่เทรนด์การตกแต่งบ้านได้ขยายวงกว้างขึ้น โดยเฉพาะการแต่งบ้านแบบเรียบง่ายและทันสมัย และผู้คนมักจะเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ปรับเปลี่ยนได้ มีหลายฟังก์ชั่น ผู้คนต้องการเปลี่ยนการตกแต่งจัดวางบ่อยๆ การใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่เป็นชิ้นใหญ่ๆ ก็อาจไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่นัก

อันดับที่ 10

  • ร้านโชห่วย เป็นผลมาจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เคยชินกับการซื้อออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นของกินหรือของใช้ในบ้าน การซื้อออนไลน์อาจได้ราคาที่คุ้มค่ากว่า และมีการจัดส่งถึงบ้าน จึงสะดวกสบายต่อผู้บริโภคมากกว่า

ทั้งหมดนี้คือธุรกิจดาวรุ่งและดาวร่วงประจำปี 2024 หากใครยังนึกไม่ออกว่าจะทำธุรกิจอะไร ลองพิจารณาจาก 10 ธุรกิจดาวรุ่งได้ หรือหากใครอยู่ในธุรกิจ 10 ดาวร่วงอาจต้องปรับกลยุทธ์หรือนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เพื่อเพิ่มศักยภาพธุรกิจให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันให้มากที่สุด

เหว่ง เทพลีลา กับความล้มเหลวที่ไม่เข็ด ความสำเร็จของเทพลีลา และความฝันที่อยากอายุถึงร้อยปี

เวลาได้ยินใครสักคนถูกใช้ฉายาแทนนามสกุลต่อท้าย ไม่ว่าจะเป็นชื่อค่ายเพลงที่เขาสังกัด ชื่อบ้านเกิดที่เขาเคยพำนัก หรือเป็นชื่อเสียงเรียงนามไล่เรียงตามความถนัดที่ทำให้ใครต่อใครตกหลุมรัก เรามักจะคิดในใจเสมอว่า นามสกุลที่ไม่ได้อยู่ในบัตรประชาชนของเขาเหล่านี้กลับฝังติดแน่นอยู่กับเนื้อตัวของพวกเขามากกว่านามสกุลตามสำเนาทะเบียนราษฎร์เสียอีก

เช่นกันกับ ภูศณัฎฐ์ การุณวงศ์วัฒน์ ที่คนส่วนใหญ่คงไม่คุ้นนักกับชื่อนามสกุลจริงนี้ แต่ถ้าเราบอกคุณว่าเขาคือ เหว่ง เทพลีลา หลายคนน่าจะรู้จักและคุ้นเคยกับผลงานที่เขาเป็นผู้สร้าง

ชายผู้นี้มีคอนเทนต์อยู่มากมายบนโลกออนไลน์ แถมเมื่อไม่นานมานี้บอร์ดเกมที่ต่อยอดมาจากรายการ คำต้องห้าม นับพันกล่องก็ขายหมดภายในพริบตา 

ภาพจำของเขาก่อนที่เราจะพบกันนั้นดูเป็นคนมีลีลาท่าทางเป็นผู้ใหญ่อารมณ์ดี ยิงมุกเฮฮาพาหัวเราะ พ่วงด้วยความเป็นแฟมิลี่แมนรักครอบครัว หากแต่สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เรามองเห็นผ่านหน้าจอในโลกออนไลน์

 ในโลกจริงเรานัดพบกับเหว่ง เทพลีลาที่ร้าน The Most ย่านราชพฤกษ์ เราย้ำนักย้ำหนาก่อนพบกันว่า ให้เหว่งเลือกร้านอาหารที่ชอบไปและสั่งอาหารที่ชอบกิน เพื่อให้เข้ากับคอนเซปต์ของคอลัมน์ รสชาติชีวิต ที่อยากสัมผัสรสชาติอาหารและรสชาติชีวิตของคู่สนทนาผ่านการพูดคุยระหว่างมื้ออาหาร

อาจจะเพราะว่าวันนี้วันจันทร์และเวลายังไม่เย็นย่ำจนค่ำไปนัก ทั้งโซนเอาต์ดอร์และโซนนั่งในห้องแอร์ของร้านในวันนี้เลยยังว่างโล่ง เราให้เขาเลือกว่าเขาอยากนั่งโซนไหน อยากนั่งสูดอากาศเย็นๆ ด้านนอกพร้อมฟังดนตรีสดไหม หรืออยากนั่งข้างในร้าน

“ถ้าเสียงที่อัดมันออกมาไม่ดี เดี๋ยวเราทำงานยาก นั่งข้างในดีกว่านะ” เหว่งหันมาบอกประโยคที่สะท้อนถึงความเข้าใจหัวอกคนทำงาน 

และที่โต๊ะด้านในร้านนั้นเองที่เราเริ่มต้นมื้ออาหารและบทสนทนาหลากรสชาติ

อร่อยต้องแนะนำ

เราแอบค้นประวัติเหว่งมาก่อนและพบว่าเขาเกิดและโตมาในย่านวงเวียน 22 กรกฎา ก่อนที่อาหารจานแรกจะมาเสิร์ฟ เราจึงถามเหว่งถึงชีวิตในวัยเด็กว่าเติบโตมายังไงในย่านนั้น

“คุณได้ไปดูหนังเรื่อง RedLife ไหม เรื่องนี้ถ่ายแถวบ้านผมเลย ตรงวงเวียน 22 ในซอยบ้านผมเลยด้วย โรงเรียนก็โรงเรียนที่ผมเรียนชื่อ กุหลาบวิทยา มันคือสภาพที่ผมคุ้นเคยเพราะผมต้องผ่านทุกวัน ผมเจอสภาพชีวิตแบบนั้นทุกวัน ที่ในหนังเรียกว่า sex worker นั่นแหละ ผมเจอทุกวัน แล้วแถวนั้นอาชญากรรมก็เยอะ” 

นอกจากความหม่นเทาของย่านที่เติบโตมา ย่านวงเวียน 22 กรกฎาถือว่าใกล้เยาวราชแหล่งรวมร้านอร่อยของกรุงเทพฯ และนั่นอาจเป็นเรื่องหนึ่งที่น่าจดจำในวัยเด็กกับการเติบโตในย่านที่ห้อมล้อมด้วยร้านอร่อย

“มีร้านในดวงใจบ้างมั้ย” เราชวนเขาคุยเรื่องร้านอาหารที่ผูกพัน

“ตรงห้าแยกพลับพลาไชยไง ข้าวหน้าไก่ที่เสิร์ฟมาพร้อมพริกสีเขียวๆ น่ะ ที่ได้มิชลินไกด์ คุณรู้ไหมว่าถ้าสั่งเป็นบะหมี่ก้อนหนึ่งแล้วราดหน้าด้วยซอสข้าวหน้าไก่นะ โอ้โห ผมนี่ซื้อที 20 ห่อ เพราะกินทีนึงก็ 2 ห่อแล้ว และมันอร่อยมากเว้ย จริงๆ ร้านแถวเยาวราชก็อร่อยเยอะ

“อีกเจ้าก็อาจจะเป็นป้าที่ขายหมูสะเต๊ะที่เยาวราช เป็นรถเข็นนะ แต่ต้องมีบัตรคิว ป้าแกขายวันนึง 4,000-5,000 ไม้ น้ำจิ้มแกนี่สุดยอดเลยอร่อยมาก”

พอพูดแนะนำร้านอาหารใดๆ เสร็จ เหมือนผู้กำกับคิวที่ช่างรู้เวลาปล่อยอาหาร เพราะอาหารแต่ละอย่างที่สั่งไว้เริ่มทยอยออกมาเสิร์ฟวางบนโต๊ะไม่ให้เราโหยนานหลังจากเพิ่งฟังเหว่งบรรยายถึงอาหารจานอร่อยแถวเยาวราช

อยากรู้ต้องลอง 

ใครต่อใครในแวดวงคอนเทนต์ครีเอเตอร์ต่างชอบพูดถึงเหว่งเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาคนนี้ทำงานมามากมายหลายอาชีพ แต่เรายังไม่เคยฟังจากปากของเขาเองอย่างแน่ชัดจริงๆ ว่าตกลงแล้วเขาทำอาชีพอะไรมาแล้วบ้าง

“ผมลองทำมาหลายอย่างแล้ว ผมเรียนสถาปัตย์ จุฬาฯ ปีสุดท้ายก่อนจบผมทำห้องซ้อมดนตรีที่บ้านของแม่ ตรงวงเวียน 22 นั่นแหละ แต่ว่าพอไม่มีคนดูแล ของมันก็จะมีเสียบ้าง เช่น กลองแตกบ้าง ไม้หักบ้าง ลำโพงแตกบ้าง ก็เหนื่อยหน่อย เครียด ทีนี้พอผมเรียนจบ ห้องซ้อมดนตรีก็จบไปด้วย เรียนจบมาก็บอกแม่ว่าไม่ทำงานนะ ขอลองทำอย่างอื่นก่อน เพราะไม่ชอบอาชีพสถาปัตย์แน่ๆ ไม่ชอบแน่ๆ

“จริงๆ ผมรู้ว่าไม่ชอบตั้งแต่ตอนเข้าไปแล้ว เข้าไปแล้วเพิ่งรู้ว่า โห มันเป็นอย่างนี้นี่เอง คืองานมันแบบ ละเอียด มันนาน มันเครียด มันเยอะ มันต้องถูกต้อง เราต้องรู้เรื่องโครงสร้าง เราต้องทำงานกับวิศวกร คือมันต้องสร้างได้จริง มันต้องคำนวณราคา คือมันเยอะ มันเหนื่อย” เหว่งพูดไปตักยำเนื้อรสจัดกินไป

“นอกจากสถาปัตย์ที่ไม่เอาแน่ๆ และห้องซ้อมก็ปิดแล้ว แล้วคุณทำอะไรมาอีกบ้าง”

“มีพยายามไปเป็นนักแต่งเพลงฝึกหัดที่แกรมมี่ แต่ผมแต่งเพลงไม่ผ่านเลยสักเพลง มีไปร้องเพลงตามผับ ตามศูนย์อาหาร แต่ผมคำนวณแล้วผมว่าร้านมันไกล ไม่คุ้มค่าเดินทาง ก็เลยไม่ไป ก็เลยจบเส้นทางตรงนั้นไป สรุปคือพยายามอยู่นานเหมือนกันกับสายดนตรี เพราะผมเรียนจบมาตอนผม 22 กว่าผมจะแต่งเพลง ไปร้องเพลง จนตัดสินใจว่าจบเส้นทางเรื่องเพลงแล้ว ก็คือตอนอายุ 25 ระหว่างนั้นผมก็หาเงินด้วยการเป็นฟรีแลนซ์สถาปัตย์ไปด้วย ผมก็รับงานออกแบบไปด้วย

“แล้วก็มีวันนึงที่นั่งกินเหล้ากับเพื่อน แล้วเพื่อนชวนทำหมูปิ้ง ซึ่งผมตั้งชื่อว่า ‘หมูปิ๊ง’ แต่เราไม่มีสูตรกัน ก็ทำไอ้หมูปิ๊งอยู่ปีนึง ทำกับเพื่อนผมอีกสามคน ซึ่งเขามีอาชีพเป็นบัญชีกับวิศวะ กำลังสร้างตัวกัน เป็นพนักงานประจำ ทีนี้พอมาทำหมูปิ้งด้วยกัน เสาร์-อาทิตย์ก็คือต้องมาหมักหมู”

หมูปิ้งต้องปิ๊ง

จากหนุ่มจบสถาปัตย์ สู่การเกือบเป็นนักร้องนักแต่งเพลง จนผันตัวเข้าสู่การเป็นพ่อครัวหัวปิ๊งเพราะขายหมูปิ้ง ถือว่าชีวิตของเหว่งก็มีรสชาติหลากหลายไม่เบาสำหรับคนอายุย่างเข้าเบญจเพส

“ผมพยายามหาอะไรที่มันแตกต่าง ถ้าหมูปิ้งมันเหมือนที่คนทั่วไปกิน เหมือนที่เขาขายกัน มันก็คงไม่ใช่รสชาติที่จะไปทำให้คนอื่นตกใจได้ ผมก็เลยหัดทำเอง ทำตั้งแต่จากรสชาติเหี้ยเลย ก็คือแดกไม่ได้เลยครับ หมักนั่นหมักนี่ให้มันแปลกไว้ก่อนไง ตอนแรกก็มีคนเตือนแล้วนะว่าไปถามป้าคนนั้นไหม เขามีสูตรให้ ผมบอกไม่อะ ไม่ถาม เดี๋ยวไปติดภาพจำ ขอลองเอง ผมก็เอาหมูมาวางใส่กะละมังแล้วก็หั่นๆๆ แล้วก็เอานมไปหมัก หมักนมแล้วกันวะ เพราะมันน่าจะมันๆ เอาขมิ้นใส่เข้าไป เอาผงพิซซ่าไหม เอาออริกาโนใส่ลงไป มันน่าจะดีนะ คลุกๆ อยู่ 5 กะละมัง กะละมังละกิโลฯ แล้วก็ไปหมัก แล้วก็ไปปิ้ง

“ผมก็คิดนะว่าผมก็ซื่อบื้อไปหน่อย หมักตั้งกะละมังละโลเลยทำไม เราก็เลยได้หมูที่แดกไม่ได้อยู่ 5 โล ในวันแรกกับผู้ชายอีก 4 คน เรานั่งมองหมูกันแล้วก็คิด หมูปิ้งมันไม่ง่ายนะมึง พวกผมก็ทำอยู่อย่างนั้น ซึ่งไอ้พวกนี้ก็ซื่อบื้อเหมือนผมไง แต่ทุกคนเชื่อเหมือนผมนะ ว่า เฮ่ย ถ้าทำแล้วมันต้องแตกต่าง ทุกคนบอกว่า กูเชื่อแบบที่มึงพูดเว่ย เหว่ง ว่าเดี๋ยววันนึงมันจะอร่อย”

“แล้วนานไหมกว่าจะเจอสูตรที่อร่อย” เราถามด้วยความสงสัย

“11 เดือน” เหว่งตอบพลางกินปลาหมึกทอดด้วยความระวัง

“เกือบปีเลยนะ” 

“ใช่ เพราะเราทำกันเฉพาะแค่วันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้นไง เพราะวันอื่นเพื่อนๆ ไปทำงานกัน พอเริ่มทำๆ ไป คลุกๆ ไป เริ่มแบบ เฮ่ย พอได้แล้วเว้ย ก็เริ่มมาแกะสูตร ก็เอามาผสมเหล้าจีน ผสมน้ำมันพริกเผา เริ่มเติมนั่นนี่เข้าไป จนคุณเชื่อไหม หมูปิ้งสูตรของผมมี ingredient อยู่ประมาณ 18 อย่าง

“คือผสมจนรสชาติไม่เหมือนหมูปิ้ง และไม่เหมือนบาร์บีคิวด้วย เพราะตอนย่าง ผมทาน้ำมันพริกเผาให้ไฟลุกพรึ่บ หมูแม่งแดงแป๊ดเลย แล้วพอกินร้อนๆ นะ หมูมันจะนุ่มอร่อย แต่พอทิ้งไว้ให้เย็นมันจะดำ เพราะฉะนั้นหมูปิ้งผมมีข้อเสียคือห้ามซื้อกลับบ้าน คือซื้อตรงนี้ แดกตรงนี้เท่านั้นนะคร้าบ” เขาหัวเราะเสียงดังเมื่อเล่าถึงตรงนี้

ก่อนเริ่มต้องลอง

ไม่แน่ใจในสมัยนั้นเขานิยมคำว่า วิจัยและพัฒนากันหรือยัง แต่หากเชื่อว่าหัวใจหลักของการขายอาหาร คือ อาหารที่ดี อาหารที่อร่อย เหว่งและเพื่อนอีก 3 คน คงมาถึงจุดที่วิจัยและพัฒนาพร้อมขายหมูปิ้ง หรือหมูปิ๊ง เต็มทีแล้ว

“ตอนที่ได้สูตรที่คิดว่าอร่อยแล้ว คุณและเพื่อนเปิดร้านขายเลยไหม” เราถาม

“ไม่ๆ ผมลองออกบูทก่อน งานแรกเป็นงานแต่งงานของพี่สาวเพื่อนผม ซึ่งเพื่อนผมคนนี้เป็นคนแนะนำผมให้รู้จักกับตุ๊ก (ภรรยาคุณเหว่ง) เขาจัดงานใหญ่เลย แม่เพื่อนผมเห็นผมเริ่มทำหมูปิ้งก็อยากจะอุดหนุน ม้าเขาบอกว่า ‘มาออกบูทสิ เดี๋ยวม้าเหมา เอามาสัก 3,000 ไม้’ คุณเชื่อไหมบูทหมูปิ๊งผมหมดเกลี้ยง จนกุ๊กโรงแรมเดินมาถามว่าทำยังไง เอาสูตรมาจากไหน”

“พวกผมก็คึกเลย ทั้งผมทั้งหุ้นส่วนคิดเลยว่า เอาแล้ว หมูเราแม่งเทพเจ้า” เหว่งเล่าไปพลางอมยิ้มไป

เมื่อรู้สึกว่าหมูปิ๊งของตนและเพื่อนมีรสชาติอันเด็ดดวง เหว่งและเพื่อนจึงตัดสินใจเริ่มต้นกิจการด้วยการทำหมูปิ๊งให้เป็นกิจจะลักษณะ ชายทั้งสี่ที่ตั้งใจจะขายหมูปิ้งโดยคิดโมเดลธุรกิจให้สะดวกต่อการขยับขยายกลายเป็นแฟรนไชส์ในอนาคต จึงเริ่มจากการสั่งทำรถไฟเบอร์เพื่อขายหมูปิ๊งรอไว้อยู่หลายคัน 

“ผมไม่ได้คิดว่าผมจะไปเข็นรถเข็นขายของ ผมบอกเพื่อนว่าแผนผมคือทำรถไฟเบอร์ ทำแฟรนไชส์ เป้าเราคือขายหมูและรถไฟเบอร์ ผมก็ไปสั่งโรงงานให้ผลิต รถจะมีรูปหมูสีชมพู เหมือนรถไอติมเลยนะ สั่งทำไปหลายแสน เพราะทำหลายคัน น่าจะสัก 5-6 คัน แล้วผมก็จ้างคนไปเข็นรถหมูให้ไปวิ่งทั่วกรุงเทพ หมูแต่ละตัวจะวิ่งคนละเส้นกัน และผมก็หาที่เช่าด้วย เพราะเราต้องมีฐานการผลิตไง ผมก็ให้แม่เซ้งที่เลย แถววงเวียน 22 นั่นแหละ ให้ตรงนั้นเป็นที่ผลิต คือตอนนั้นทุกคนทำงานประจำ แต่ผมไม่ ผมก็ลุยเลย ซื้อตู้เย็น ซื้ออะไรไปหลายแสน”

ความจริงจังของการทำหมูปิ๊งเริ่มทวีมากขึ้น จากบทสนทนาในวงเหล้าที่ชวนกันมาเปิดกิจการก็ลุกลามมาจนถึงวันที่ต้องลงทุนกันหลักหลายแสนบาท

ถึงวันต้องเลิก

อาจจะเพราะความคะนองของวัยหนุ่ม หรืออาจจะเพราะความกดดันที่มีเงินลงทุนหลักหลายแสนเป็นเดิมพัน หรืออาจจะเพราะประโยคคลาสสิกที่คนต่างพูดกันปากต่อปากเป็นความเชื่อส่งต่อกันมาว่า อย่าทำธุรกิจอาหารกับเพื่อน จึงทำให้เหว่งและหุ้นส่วนเริ่มมีปัญหากัน

“ถึงจุดหนึ่งผมกับเพื่อนก็ทะเลาะกัน พวกเขาจะรอประชุมเสาร์-อาทิตย์กันเท่านั้น เพราะทำงานประจำ แต่ผมบอกว่าไม่ได้ คือทำไมกูต้องรอพวกมึงทำงานเสร็จแล้วค่อยมาประชุม คือกูแทบจะเป็นแกนแล้ว ผมเป็นเมนทำทุกอย่าง ทำไมผมต้องเสียค่าเช่าไปอีกตั้งอาทิตย์นึงเพื่อจะรอทุกคนมาประชุมแป๊บเดียววะ ผมก็เลยโมโห เพราะผมเหนื่อย ผมเลยบอกว่า ถ้าต้องรอพวกมึงมาประชุมนะ กูเลิก”

“เลิกเลยเหรอ” เราทวนคำของเขาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

“เลิกเลย คือต่างคนต่างโมโห เลือดมันร้อนไง เลือดวัยฉกรรจ์ ผู้ชายอายุ 25-26 สี่คนมารวมกัน ตอนนั้นแม่ผมก็งงว่าทำไมทะเลาะกันแล้วเป็นแบบนี้ไปได้ไง” เหว่งเล่าด้วยน้ำเสียงสงบ ไม่ได้มีอารมณ์โกรธฉุนเฉียวอย่างในวันวานแล้ว

“ตอนที่เลิกคิดจะเปิดกิจการขายอาหารอย่างอื่นต่ออีกหรือไม่” เราถามด้วยความสงสัย เพราะเท่าที่สังเกตเขาดูอินกับธุรกิจอาหารไม่น้อย

“มีเคยไปเปิดร้านขายไก่เผ็ด ขายหมูปิ้ง ที่ภูเก็ตแฟนตาซี คือมีคนที่ผมรู้จักเขาชวนไป ผมก็ไป ไปอยู่ภูเก็ตอยู่ 8 เดือน สุดท้ายก็เจ๊ง ขายไม่ได้ เพราะที่ที่ผมไปขายมันอยู่หลังร้านบุฟเฟต์ มันก็เลยเป็นจุดที่คนเดินเลย เดินผ่านตลอด”

หลังจากล้มเหลวทางธุรกิจที่ตั้งใจปลุกปั้นมาเกือบปี กับเงินในบัญชีที่ร่อยหรอเต็มทน ตอนนั้นมองไปทางไหนชีวิตก็เจอแต่ทางตัน

และ ณ เวลาที่ความหวังและกำลังใจเริ่มริบหรี่ แม่ของเขาคือผู้ที่ยื่นมือเข้ามาโอบอุ้มไว้

“ตอนนั้นเงินนี่เกือบหมดบัญชีเลยนะ เพราะผมไม่ทำฟรีแลนซ์เลย ยืนปิ้งหมูอยู่อย่างนั้น พอว่างก็ไปนั่งแห้งอยู่ตรงทะเล ไม่เคยเหยียบทะเลเลย นั่งอยู่อย่างนั้น คือทุกข์อย่างเดียวเลย ทุกข์ใจ เครียด

“แม่ผมซึ่งรู้เรื่องผมมาตลอด ก็โทรมาบอกผมว่าให้ผมกลับกรุงเทพฯ มาได้เลย ม้าเซ้งร้านไว้ให้แล้วให้มาทำร้านที่เสาชิงช้า เป็นไงแม่ผม ฮาร์ดคอร์ไหม อยู่ดีๆ ไปหาที่เซ้งมาเฉย ผมก็เลยกลับมากรุงเทพฯ คือแม่ผมเขาบอกว่า ขายหมูปิ้งอย่างเดียวมันเจ๊งอยู่แล้ว มันต้องกินคู่กับส้มตำ” เหว่งตอบด้วยหน้านิ่งๆ ก่อนจะหัวเราะให้กับชะตากรรมของตัวเองในวันวาน

มนุษย์ต้องไม่กลัวที่จะเริ่มใหม่

“คุณริเริ่มโครงการร้านส้มตำยังไงบ้างในตอนนั้น”

“ผมก็ต้องไปหาสูตรส้มตำ ก็ไปซื้อครก หาสูตรทำน้ำส้มตำ เอาแบบตักน้ำใส่ทีนึงก็กลายเป็นส้มตำได้เลย ซึ่งในยุคนั้นยังไม่ค่อยมีคนทำแบบนี้นะ

แต่ผมไม่ได้ขายแค่ส้มตำกับหมูปิ้งนะ ผมหาอย่างอื่นใส่ลงไปด้วย มีส้มตำแล้วก็ต้องมียำ เติมนั่นเติมนี่เติมไปเรื่อย เติมจนร้านนี้มี 21 เมนู ผมก็ทำร้านส้มตำอยู่เกือบปี ซึ่งลำบากแม่มากเลย เพราะกำไรน้อยมาก สุดท้ายก็เจ๊งไป แต่ช่วงก่อนเจ๊งมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นสถาปนิก มีตึกแถวอ่อนนุชและชอบมาอุดหนุนผม มากินตลอด ผมก็ชวนเพื่อนคนนี้ให้เตรียมออกจากงานมา แล้วมาตั้งบริษัทสถาปัตย์กับผม เพราะมันเป็นอาชีพเดียวที่ผมทำแล้วได้เงิน”

จากที่เคยดูเหมือนกับว่าเส้นทางสายสถาปัตย์คือเส้นทางที่เหว่งเลี่ยงมาตลอดตั้งแต่เรียนจบ แต่จนแล้วจนรอดก็เหมือนกับว่าสายลมแห่งโชคชะตาพัดพาให้เขาต้องกลับมาที่งานสถาปนิกอีกจนได้

“ตอนผมเลิกร้านส้มตำผมอยากขายของต่อ ผมก็คิดคาแร็กเตอร์การ์ตูน ชื่อว่า ‘The SALADS’ ผมบอกเพื่อนตั้งแต่แรกเลยว่าถ้าเราเปิดบริษัทสถาปัตย์ เราจะทำงานสถาปัตย์ 2 ปี แล้วหลังจากนั้นเราจะทำตัวการ์ตูนนี่ขายเป็นคาแร็กเตอร์

“ผมกับเพื่อนคนนี้และเพื่อนอีกคนหนึ่งรวมเป็น 3 คนก็ไปเซ้งตึกแถวสามย่านแล้วตั้งเป็นบริษัทสถาปัตย์ขึ้นมา คือเราทั้งสามมีคอนเนกชั่นลูกค้าสถาปัตย์อยู่แล้ว ก็เอาคอนเนกชั่นมารวมกันแล้วตั้งเป็นบริษัทขึ้นมา เป้าคือ 2 ปี เราจะมีเงินไปลงทุนทำการ์ตูนเรื่องนี้ แล้วก็เอาการ์ตูนตัวนี้มาทำเป็นของขาย ทำไปทำมาก็ปาไป 3 ปี แต่เราทำคาแร็กเตอร์การ์ตูนกันไม่เป็น ก็ต้องไปหาน้องๆ recruit คนเข้ามา ทำไปทำมา ดันเป็นแอนิเมชั่นที่ต้องขยับมันถึงจะดูดี พอเป็นแอนิเมชั่นเราเลยต้องส่งประกวด ปรากฏว่าชนะได้ที่ 1 ในไทย ก็ได้ไปประกวดที่ญี่ปุ่น ทีนี้เราก็ทำควบรวมเลยทั้งบริษัทสถาปัตย์และบริษัทแอนิเมชั่น ทำสองอย่างเลย แล้วก็ทำของมาขายจากคาแร็กเตอร์การ์ตูนตัวนี้ ซึ่งปรากฏว่าเจ๊งอีก บริษัทก็ทรงไม่ดีเลย”

“แล้วคุณทำยังไง” เราถามตาม

“ตอนนั้นผมไปออกแบบบ้านให้พี่คนหนึ่ง พี่เขาก็สงสาร คือเขาสงสารเพราะผมเล่าให้เขาฟังว่าผมทำ 2 บริษัท คือบริษัทสถาปัตย์กับบริษัทแอนิเมชั่น และบริษัทแอนิเมชั่นกำลังจะเจ๊งแล้ว เขาก็ถามผมว่า จะทำหนังแอนิเมชั่นเรื่องหนึ่งต้องใช้เงินกี่บาท เดี๋ยวกูช่วยมึง มึงต้องใช้เงินกี่บาท”

ผมก็ไปหาข้อมูลมา คือผมก็ไม่เคยทำหนังแอนิเมชั่น เคยทำแต่การ์ตูนติงต๊อง หาข้อมูลเสร็จผมก็บอกเขาว่า

 “30 ล้านครับพี่”

“เขาก็บอกว่า “ได้ เดี๋ยวกูช่วยมึง เดี๋ยวกูระดมทุนจากเพื่อนกูก่อน” เขาบอกผมว่าเขาเห็นแววตาพวกผม มันคือแววตาคนหิว คนหิวทำงานได้ดีกว่าคนอื่น เขาบอกว่าเคยไม่ได้รับโอกาส มาวันนี้เขาอยากให้โอกาส คือแกใจดีมาก แกก็เลยมาลงทุนให้ผม”

และนั่นเป็นที่มาของแอนิเมชั่นไทยที่ชื่อ 9 ศาสตรา

“ทุกอย่างฟังดูดีนี่ มีคนมาช่วยสนับสนุนคุณ” เราพูดตามที่คิด

“โอย คุณ ผมเครียดมากนะ เพราะ 9 ศาสตรา สรุปแล้วต้นทุนมันทะลุไปถึง 230 ล้าน คือตอนแรกที่ตั้งบริษัทแอนิเมชั่นขึ้นมาเรามีคนอยู่แค่ 8-9 คน แต่พอจังหวะที่เริ่มทำ 9 ศาสตรา ซึ่งเป็นจังหวะที่เติ๊ด (ภูถิรพัฒน์ อ่องศรี) มาสมัครงาน ก็กลายเป็น 10-11 คน แต่ภายในเวลาอีก 4 ปีครึ่งเท่านั้นน่ะเด้งเป็น 80 คน บวกฟรีแลนซ์ข้างนอกอีกเพียบ รวมๆ น่าจะ 200 กว่าคนโดยประมาณ

“สุดท้ายเรื่อง 9 ศาสตรา จบแบบเสร็จตอนผมอายุ 39 แต่ตอนนั้นผมไม่ไหวแล้วกับการทำแอนิเมชั่น มันอิ่ม มันเครียด มันเงินของคนอื่น ไม่ใช่เงินเรา แล้วผมก็รู้สึกเครียดมากๆ บวกกับผมและเพื่อนเริ่มมีปัญหากันด้วย เริ่มไม่เข้าใจกัน แนวความคิดไม่เหมือนกัน คือผมตั้งใจจะดีไซน์คาแร็กเตอร์เพื่อมาขายของ แต่น้องๆ ที่เติบโตมากับบริษัทนี้น่าจะอยากมุ่งไปทางให้เป็นบริษัททำแอนิเมชั่นมั้ง ผมก็จิตตก depress เลยออกจากบริษัทตัวเอง ทิ้งเงินไว้ เดินออกมาคนเดียว” 

เหว่งเล่าด้วยสีหน้าเรียบเฉยพร้อมจิบเครื่องดื่มในมือ

“หลังจากนั้นเราก็ย้ายโรงเรียนลูกไปอยู่แถวนครปฐม แถวสาย 2 เพราะไม่มีเงินเลี้ยงลูก ระหว่างนั้นผมก็มีคิดว่าหรือเราจะกลับไปทำหมูปิ้งดี แต่คิดอีกทีก็คิดว่าไม่น่าไหว หมดแรง แล้วก็มีคิดว่าหรือจะไปรับเหมาก่อสร้าง แต่ก็คิดว่าไม่เอาดีกว่า มันเบื่อแล้วและเราไม่ได้ชอบ จนผมตัดสินใจจับมือกับเติ๊ด เริ่มเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ก็คิดว่าอยากจะทำช่องทำเพจกับเติ๊ด”

“ไปไงมาไงถึงได้ชวนกันทำช่องได้”

“คือตอนที่ผมย้ายบ้านมาอยู่หมู่บ้านที่ผมอยู่ตอนนี้ แล้วผมเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กกับเติ๊ด เติ๊ดเขาเห็นรูปผมในเฟซบุ๊กแล้วเขาก็คุ้นๆ ว่านี่มันหมู่บ้านเดียวกันกับที่เขาอยู่ เขาก็มาถ่ายรูปบ้านแล้วส่งมาถามผมว่านี่บ้านผมหรือเปล่า ผมก็บอกว่า ใช่ แล้วก็เลยไปหาเขา”

และการพบกันครั้งนั้นคือจุดเริ่มต้นของ ‘เทพลีลา’

ชีวิตต้องสู้ต่อ

ตลอดเส้นทางการทำธุรกิจ อาจกล่าวได้ว่าความล้มเหลวคือเพื่อนสนิทของเขา

แทบทุกครั้งที่เริ่มต้นใหม่ปลายทางส่วนใหญ่คือไม่รอด แล้วกับการเริ่มต้นในฐานะคอนเทนต์ครีเอเตอร์ จุดไหนกันที่เขามั่นใจว่าจะฝากชีวิตไว้บนเส้นทางนี้ได้

“ตอนที่มั่นใจว่ารอดก็คือ ตอนทำคลิปแจกดอกไม้วันวาเลนไทน์ ตอนนั้นใกล้วันวาเลนไทน์ เติ๊ดบอกว่าอยากแจกดอกไม้ ทดสอบสังคม เราจะไปให้ดอกไม้คนที่ไม่มีใครสนใจเขา คนที่เขาไม่เคยได้ เช่น คนกวาดขยะ ยาม แต่ทีนี้ถ้าเราไปซื้อดอกกุหลาบมันจะไม่มีมูลค่า เราต้องทำเองด้วยใจของเรา ซึ่งไม่ใช่หรอก จริงๆ คือไม่มีตังค์” เขาหัวเราะทันทีเมื่อเล่าถึงประโยคนี้

“ผมก็เลยบอกเติ๊ดให้ซื้อกระดาษโปสเตอร์สีแดงมา คือผมเคยแกะสลักมะเขือเทศ ผมพอมีทักษะ ผมก็เลยเอากระดาษโปสเตอร์มาฉีกแล้วก็ม้วนให้เป็นกุหลาบ แล้วก็ติดแกน ก็สอนให้เติ๊ดทำ แล้วให้เติ๊ดไปแจก เพราะผมไปเที่ยวกับที่บ้าน เติ๊ดเลยต้องเป็นคนไปแจก เติ๊ดก็เอาเพื่อนผมไปถ่าย ปรากฏว่าพอลงคลิปไปกลายเป็นไวรัล คนดูเป็นล้านเลยในเฟซบุ๊ก แล้วก็ได้ลงข่าวด้วย ทีนี้ก็เริ่มติดแล้ว ก็ยาวเลย”

“คุณคิดว่าสิ่งสำคัญที่ได้เรียนรู้จากความล้มเหลวทั้งหมดที่ทำมาคืออะไร” เราถามเขาในฐานะผู้ที่สู้ไม่ถอยมาตลอดการทำหลากหลายอาชีพ ก่อนจะมาเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์แถวหน้าในวันนี้

เหว่งยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบอีกครั้งก่อนตอบ

“ผมรู้ว่าผมเจ๊งยังไง เจ๊งเพราะอะไร ผมเจ๊งเพราะผมใจร้อน ไม่ศึกษามันให้ดีพอก่อน เจ๊งเพราะทะเลาะกับหุ้นส่วน แต่ถ้าให้ผม crack แต่ละอัน ผมก็จะรู้เหมือนกันว่าในแต่ละอันผมมีอะไรบ้างที่เป็นสิ่งที่สำเร็จ เช่น แต่งเพลง ผมก็ทำได้ดี พอมาเรื่องหมูปิ้ง กุ๊กที่โรงแรมเขาก็ชม ถ้าเป็นเรื่องภูเก็ตแฟนตาซีผมว่า ผมก็เป็นคนที่กล้าออกจากคอมฟอร์ตโซน ออกไปลองทำอะไรใหม่ๆ ไปลองอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ไปทำ The SALADS ก็ชนะการประกวดและมีคนมาลงทุน บริษัทแอนิเมชั่นที่ผมเคยร่วมทำมาทุกวันนี้ก็ไปไกลมากๆ มีพนักงานเป็นร้อยคนแล้ว ส่วนผมเองทุกวันนี้ก็ได้เติบโตในแบบที่เป็นตัวผมเองจริงๆ ทั้งหมดนี้ผมว่าผมได้เห็นจุดที่ผมชนะ และจุดที่ผมเคยพ่ายแพ้ แต่ผมก็เดินต่อ สู้ต่อ ทุกวันนี้ผมก็ยังเจออะไรแบบนี้อยู่ ผมยังเจอธุรกิจที่ผมทำแล้วล้มเหลว ธุรกิจที่ทำแล้วดีขึ้น ไกลขึ้น”

“ทำไมคุณถึงไม่กลัวการออกจากคอมฟอร์ตโซน” 

“กลัว แต่ผมฝืนไป คือแค่กลั้นใจแล้วก็ ลองทำดูวะ จริงๆ ผมอาจเคยให้สัมภาษณ์กับทุกที่ว่า ผมไม่กลัว ทุกคนอย่าไปกลัวมัน แต่จริงๆ ผมมีความกลัวอยู่ แต่ความกล้ามันมากกว่าความกลัว”

“คุณทำยังไงให้ตัวเองกล้า” เราขอเคล็ดลับ

“ไม่มีกินไง หรือก็คือไม่มีทางแล้ว แต่ผมรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วผมเชื่อว่าถ้าเราดิ้นรนมันจะมีหนทางเสมอ คือมันอาจจะไม่ดีก็ได้ แต่มันต้องไปได้แหละวะ ผมคิดอย่างนั้นนะ”

เป็นพ่อต้องพยายามเข้าใจ

นอกจากบทบาทของการเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์แถวหน้าของไทย ทุกคนต่างรู้จักเหว่งในฐานะคุณพ่อของลูกสาวน่ารักทั้งสอง น้องจินและน้องเรนนี่ เมื่อเราคุยกับเหว่ง เราจึงชวนเขาแชร์ถึงวิธีแบ่งเวลาระหว่างบทบาทพ่อและการทำงาน

“ก็บาลานซ์ดีบ้างไม่ดีบ้าง ไม่มีหรอก work-life balance มีแต่ช่วงไหนยังไงมากกว่า ปรับให้มันสมดุล คือผมเป็นคนผสมๆ อย่าง Little Monster ที่เราทำกันเป็นครอบครัวผมก็บาลานซ์ไม่ให้จินกับเรนนี่เขาต้องทำงานเยอะ คือเขาสองคนทำงานเเต่เด็ก เพื่อครอบครัวของเราและเพื่อคนอื่น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้แล้วผมไปเปิดร้านข้าวมันไก่หรือร้านขายหมูปิ้ง จินกับเรนนี่ก็ต้องมาเสียบไม้หมูปิ้งช่วยผม เขาต้องช่วยผมล้างจานแน่นอน เพราะผมจะให้เขาทำ เขาต้องเป็นคนรับออร์เดอร์ เขาต้องเหนื่อยอยู่ดี แต่เผอิญว่าวันนี้มาทำออนไลน์ เขาก็ต้องมาถ่ายงาน เราแค่ต้องวางให้เขาเหนื่อยน้อยสุด เขาต้องไม่รู้สึกว่านี่คือการทำงานเกินไป เขาเล่นได้ เราเป็นคนดำเนินเรื่องเอง และเงินทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เพื่อครอบครัวและตัวเขา

“ทั้งจินและเรนนี่มีเงินใกล้ๆ กัน และเขามีเงินมากกว่าผมตอนผมอายุ 40 ผมรู้สึกว่าเงินตรงนี้เป็นของเขาที่เขาอยากจะเอาไปทำอะไรก็ได้เมื่อเขาโตขึ้น ไม่ต้องมาดูแลพ่อแม่ก็ได้ ทำอะไรก็ได้ที่เขามีความสุข ฉะนั้นเวลามีใครบอกว่าผมเอาลูกมาหากิน ผมจะบอกเลยว่าไม่ใช่ เขาทำเพื่อตัวเขาเองต่างหาก”

“คุณมีวิธีในการเลี้ยงลูกยังไง เป็นคุณพ่อแบบไหน” เราชวนเขาวิเคราะห์บทบาทนี้ของตัวเอง

“ก็พยายามจะเป็นพ่อที่เข้าใจลูกที่สุดตามวัยของเขา ก็พยายามที่สุด คือเขาห่างกัน 4 ปี เราก็อาจจะมีเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็พยายามที่สุดที่จะเป็นพ่อที่เข้าใจ พยายามหาเวลาเท่าที่มีให้เขา อย่างตอนเช้าพี่จะไปส่งเขาที่โรงเรียน ยกเว้นวันศุกร์และวันพุธจะเป็นวันที่กลับบ้านเร็ว ส่วนเสาร์-อาทิตย์ก็อยู่ด้วยกัน

“ผมสังเกตว่าลูกเราจะมีความเป็นเราอยู่ คุณลองสังเกตตัวคุณเองสิ คุณจะมีความเป็นพ่อหรือแม่หรือคนที่เลี้ยงคุณมาผสมอยู่ในตัว ผมก็พยายามปรับเอาสิ่งที่แย่ของผมออกไปให้เยอะที่สุด เช่น ผมยังอารมณ์ร้อนอยู่ แต่สิ่งที่ผมอธิบายให้ลูกฟัง ผมอธิบายเป็นเหตุผล และผมใจเย็นมากๆ กับลูก และลูกก็ฟัง ส่วนตุ๊กเนื่องจากว่าเขาอยู่กับลูกตลอด เพราะฉะนั้นก็เรื่องปกติที่เขาจะมีปรี๊ดบ้าง ซึ่งเขาพูดใน TikTok บ่อยๆ ว่าช่วงนี้เป็นยักษ์ตีกับจินบ่อย แต่ตุ๊กเองก็มีวิธีที่จะอธิบายได้ค่อนข้างดี เขาปรับตัวเองได้ดี เราสองคนทะเลาะกันน้อยลง มีปัญหาน้อยลง มีเป้าเดียวกันมากขึ้น ครอบครัวเราก็แน่นขึ้น

“สิ่งที่เราเปลี่ยนก็ทำให้ลูกเรากล้าเปลี่ยน ลูกเรากล้าถามมากขึ้น กล้าแสดงความรู้สึกมากขึ้น เวลาที่เราทะเลาะกันต่อหน้าลูก ลูกเราก็รู้ว่าเราทะเลาะกัน เพราะมันคือเรื่องปกติ” เหว่งตอบด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อเล่าถึงจินและเรนนี่

“อะไรคือสิ่งที่คุณมักเน้นย้ำหรือสอนลูก” 

“การไม่เอาเปรียบคนอื่น คือผมสอนลูกให้มีความสุข ผมไม่กดดันลูกว่าต้องเรียนให้ดี ผมอยากให้เขาเลือกในสิ่งที่เขาอยากจะเรียน เลือกในสิ่งที่เขาชอบจริงๆ ไม่ชอบก็เปลี่ยนได้ เมื่อเรียนจบแล้วอยากให้ไปหาอาชีพที่มีความสุข”

ใบหน้าของเหว่งอมยิ้มตลอดเวลาเมื่อพูดถึงลูกสาววัยน่ารักทั้งสอง ที่ว่ากันว่าของบางอย่างไม่เจอกับตัวเองคงไม่เข้าใจ คงประยุกต์ใช้ได้กับความสุขของเขาที่เราสัมผัสได้

“แล้วความสุขของการมีลูกคืออะไร”

“จริงๆ มีลูกมันก็มีทุกข์นะ ทุกข์นี่มักจะมาก่อนสุขด้วย เพราะเราห่วงเขา วันนี้จินไป field trip กับโรงเรียน ก็คือผมจะไม่เจอเขา 3 วัน คือผมไม่ค่อยได้ห่างลูก ผมก็รู้สึกว่าผมคิดถึง ความสุขของการมีลูกมันเป็นความสุขที่คนไม่มีลูกไม่เข้าใจ ไม่มีทางเข้าใจ มีลูกเป็นแมว เป็นหมา ก็จะแบบนึง มีลูกเป็นคนก็อีกแบบนึง 

“ลูกไม่ได้เป็นแค่ที่ชาร์จพลังของผม คือเขาสามารถระเบิดความสุขออกมาได้ตลอดเวลา ผมเห็นแค่ท่านอนเขาผมก็ยิ้มแล้ว ผมเห็นเขาดูหนังหรือตั้งใจวาดรูป ตั้งใจเล่นของของเขา เห็นเขาตั้งใจเขียน หน้าตาความตั้งใจแบบนั้นน่ะ ผมก็รู้สึกปลื้มแล้ว ยิ้มแล้ว ผมชอบแอบดูลูกผมทำอะไรแบบตั้งใจ ผมชอบเวลาเขาเล่นกันเอง หัวเราะกันเอง มันน่ารักไปหมดสำหรับผม”

“แต่คนมีลูกมักจะพูดเสมอว่า มีลูกก็เหมือนมีห่วงเหมือนกัน คุณคิดเหมือนกันมั้ย”

“ก็ห่วงสังคมสมัยนี้และข้างหน้า ผมอยากให้เขาทันคน อยากให้เขาเข้าใจว่าโลกมันเปลี่ยนไป อยากให้เขากรองคน วันหนึ่งเขาอาจจะพลาดจากเรื่องต่างๆ ที่มีให้เขาพลาดเต็มไปหมดในชีวิต ผมอยากให้เขาข้ามตรงนั้นไปให้เป็น คือพลาดน่ะพลาดแน่นอน คนเรามันต้องพลาดแน่นอน ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม เขาต้องกล้าที่จะข้ามไป 

“ผมยกตัวอย่างนะ สมมติว่าธุรกิจที่ผมทำมา แล้วลูกผมไม่อยากทำต่อ แล้วเขามีเงินอยู่จำนวนนึง สมมติว่าวันนั้นผมไปปลูกลำไย นอนอยู่ในสวน ผมยกทุกอย่างให้ลูกผมไป แล้วลูกผมไปแต่งงานกับใครสักคนหนึ่งที่แม่งเข้ามาผลาญสมบัติลูกผมจนหมด และเป็นคนบัดซบมาก และหลอกให้ลูกผมเสียใจ วันนั้นน่าจะเป็นวันที่น่าจะเน่าที่สุดของลูกผม ผมก็คาดหวังว่าเขาจะกล้าเดินออกมาจากจุดนั้น แล้วไปหาชีวิตใหม่ เริ่มต้นใหม่ให้เป็น นี่คือสิ่งที่ผมคิด”

จากบทสนทนากว่าสองชั่วโมงกับเหว่ง ตั้งแต่ช่วงที่เป็นนักศึกษาสถาปัตย์ พ่อค้าหมูปิ้ง เปิดบริษัทสถาปนิก จนกลายมาเป็นผู้ก่อตั้งช่องเทพลีลาของพ่อลูกสอง เราได้เห็นทั้งความผิดหวังและความสำเร็จของชายผู้นี้ คำถามสุดท้ายก่อนแยกย้ายเราจึงอยากชวนเขาทบทวนว่าหลังการก้าวผ่านทุกย่างก้าวของช่วงชีวิตมาจนถึงวันที่น่าจะเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ ความสุขในชีวิตเขาวันนี้คืออะไร

“ความสุขของผมในวันนี้คือ อย่างตอนนี้ ผมได้นั่งคุยกับคุณ ได้เล่าเรื่องของผม ได้หัวเราะ แค่นี้ผมก็แฮปปี้มีความสุขแล้ว เรื่องเล็กๆ แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว เราไม่จำเป็นต้องไปหาความสุขที่ยิ่งใหญ่มาจากไหน วันนี้จริงๆ ผมเครียดมาตลอดทั้งวันเลย ผมมีปัญหาทั้งวันในการทำงาน แต่ผมรู้ว่า เดี๋ยวผมก็ไปหาทางแก้ เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาผมก็เครียด เพราะเรื่องที่ผมกังวลอยู่ตอนนี้มันค่อนข้างใหญ่ 

“แต่เมื่อผมเจอตุ๊ก เจอลูกผม ผมได้กอดเขา ชีวิตผมก็แฮปปี้แล้ว” 

รสชาติชีวิต

รสหวาน

“ช่วงเด็ก เพราะเหมือนลูกอม ไม่ต้องซีเรียส ชีวิตก็เล่นไป เล่นตลอด เล่นกับเพื่อนแถวบ้าน เล่นกับพี่ เล่นสนุก ชีวิตวัยนั้นมันเหมือนลูกกวาด ชีวิตมีแต่ความสนุก ทุกข์อย่างมากก็แม่ตี แม่ว่าเรา แม่ด่าเรา คือชีวิตตอนนั้นไม่ได้รวยแต่ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ได้เครียด 

  “คือผมคงไม่ตอบว่าช่วงที่หวานที่สุดคือตอนเจอตุ๊ก มีความรัก มันไม่ใช่ มันไม่หวานแบบนั้น เพราะช่วงที่เจอตุ๊ก คือช่วงที่เซตอัพบริษัทสถาปัตย์และแอนิเมชั่น มันมีแต่ความเครียด คือชีวิตช่วงนั้นมันไม่ได้ผ่องใสหวาน ไม่ได้ puppy love”

รสขม

“ช่วงอายุ 39-40 ช่วงที่เลิกจาก 9 ศาสตรา เพราะตอนนั้นชีวิตผมเสี่ยงมาก ผมไม่รู้ว่าผมจะทำให้ครอบครัวผมไปได้ดีไหม ช่วงนั้นเครียดมากที่สุด ขมที่สุด เป็น depress”

รสเปรี้ยว

“อาจจะเป็นช่วงประมาณที่ทำบริษัทสถาปัตย์มั้ง เพราะมันมีหลายรสชาติ กำลังทำบริษัทขึ้นมา มันมีความหวือหวาของชีวิต ผมกลับบ้านดึก เที่ยวนั่นเที่ยวนี่ ไปนั่นไปนี่ ไปเลานจ์ด้วย เป็นช่วงที่ชีวิตมันหลากหลาย กินเหล้า สูบบุหรี่ เละเทะไปหมด”

รสเผ็ด

“ช่วงนี้เลย เพราะช่วงที่ชีวิตผมมีสิ่งที่ต้องทำเต็มไปหมด เหมือนเวลากินอาหารเผ็ดแล้วมันอร่อย คือผมชอบกินของรสจัด ผมรู้สึกว่าช่วงนี้คือความสุข คือเผ็ดก็เผ็ด แสบปากก็แสบปาก แต่อร่อย อยากกินว่ะ อยากกินให้หมดจาน แต่ก็กลัวจะแสบท้อง แต่ก็อยากสั่งเพิ่มว่ะ มันคือความท้าทายในแต่ละอย่างผสมกันไปหมด 

“ตอนนี้ผม 47 นะ ก็ครึ่งชีวิตแล้ว แต่ชีวิตยังจัดจ้านอยู่เลย มันมีหลายรสดี มีหลายบทบาทดี ผมก็กะว่าผมอยากจะอยู่ถึงร้อยปี”

New Year’s Blues อาการซึมเศร้าที่เกิดขึ้นหลังวันหยุดเทศกาล

10 9 8 7 6 5 4 3 2 1 – Happy New Year 🎉

เพียงเสียงพลุดังสนั่นหายไป เพียงฟื้นเข้าสู่วันใหม่ หลายคนอาจรู้สึกเฟรชเพราะจะได้เป็น New Year, New Me สักที แต่อีกหลายคนกลับรู้สึกเศร้าซึมและเกิดคำถามมากมายในหัว หากใครเป็นคนจำพวกแรก เราขอแสดงความยินดีด้วย แต่หากใครยกมือว่าเป็นคนจำพวกที่สอง คุณอาจมีภาวะ New Year’s Blues

ความหมายของ New Year’s Blues

คำว่า New Year’s Blue หรือ ‘อาการซึมเศร้าในช่วงปีใหม่’ เกิดขึ้นหลังวันหยุดเทศกาล มักรู้สึกเศร้าซึม เหนื่อยล้า กังวล หงุดหงิด รู้สึกผิด และมีปัญหาในการโฟกัส

สาเหตุของ New Year’s Blues

  1. ในเมืองหนาวมักสัมพันธ์กับช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวที่มีสภาพอากาศหนาวเย็นและแสงอาทิตย์น้อยนิด
  2. แต่ถ้าไม่ใช่เพราะสภาพอากาศ เช่นไทยแลนด์แดนพระอาทิตย์นั้น ส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับความรู้สึกผิดหวังที่ตัวเองไม่สามารถเป็น new me ได้อย่างที่ตั้งใจ บางคนก็เครียดจากการที่ใช้เงินไปจำนวนมากในช่วงเทศกาลแห่งความอบอุ่นซึ่งยิงยาวตั้งแต่ต้นธันวาคม
  3. เชื่อว่าอีกเหตุผลที่หลายคนรู้สึกเศร้าซึมไม่ไหว โดยเฉพาะพนักงานเงินเดือนทั้งหลาย ก็เพราะช่วงเวลาแห่งความสุขเหมือนฝันนั้นหมดไป ช่วงเวลาที่ได้อยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว ได้ไปเที่ยวที่ที่ตั้งเป้าไว้กำลังหมดลง เหลือเพียงหัวหน้าที่เอาแต่บ่น เพื่อนร่วมงานสุดท็อกซิกที่ไม่อาจหนีให้พ้น จากวันนี้จะมีเรา เรา และงานเท่านั้น

ถ้าดูข้อมูลทางสถิติโดยสมาคมจิตวิทยาอเมริกันพบว่าผู้คนมากถึง 56% เผชิญกับความเครียดในที่ทำงานมากที่สุดในช่วงเวลานี้ เพราะเป็นช่วงที่เหลือเพียงงานที่รอเรากลับไปสะสาง ทั้งยังเป็นช่วงที่ไม่มีอะไรให้ตั้งตารอแล้ว คล้ายกับ Post-Vacation Blues หรืออาการซึมเศร้าหลังวันหยุดยาวนั่นเอง แต่ความรู้สึกนี้อาจยิงยาวไปจนถึงปลายมกราคมจนบางคนก็เรียกว่าเป็น January Blues ไปเลยก็มี

พนักงาน เหล่า HR และผู้บริหารจะจัดการอาการ New Year’s Blues ได้ยังไงบ้าง?

  1. สำหรับเหล่าพนักงานทั้งหลายอาจจะเริ่มจากการตั้งเป้าหมายเล็กๆ ระหว่างสัปดาห์ เพื่อให้มีอะไรให้เราตั้งตารอ เช่น หลังทำงานเสร็จจะออกไปซื้อกาแฟ หลังเลิกงานจะออกไปเดินห้าง
  2. กองทัพต้องเดินด้วยท้อง สมองขาดอาหารไม่ด๊าย! Harvard Medical School บอกว่าสมองของเราต้องการเชื้อเพลิงในการสร้างแรงขับเคลื่อน บริษัทจึงอาจจัดหาของอร่อยๆ ให้พนักงานทานแก้เครียดระหว่างวัน
  3. การวิจัยจาก Redbooth พบว่าเดือนมกราคม ตามด้วยกุมภาพันธ์เป็นเดือนที่งานไม่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเพราะสองเดือนนี้เป็นเดือนที่ไม่มีอะไรให้ตั้งตารอ ผู้นำจึงควรจัดประชุมเพื่อพูดถึงความสำเร็จในปีที่ผ่านมา รวมถึงปัญหา วิธีแก้ และแผนงานใหม่ๆ เพื่อให้มีอะไรให้ตั้งเป้าหมาย ทั้งแบบกลุ่มและแบบเดี่ยว
  4. ทางออกนี้อาจใช้งบประมาณ แต่เชื่อเถอะว่าหลายบริษัทระดับโลกให้ความสำคัญ นั่นคือการมีบริการด้านสุขภาพกายและใจให้พนักงาน รวมถึงสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ทำให้พนักงานกล้าปรึกษาปัญหาที่เผชิญ

อย่างสุขภาพกาย การวิจัยจากสมาคมจิตวิทยาอเมริกันแสดงให้เห็นว่าคนที่ออกกำลังกายก่อนทำงานจะมีประสิทธิผลมากขึ้น 15% ตลอดทั้งวัน และมีโอกาสน้อยที่จะรู้สึกซึมเศร้าจากงาน บางบริษัทจึงมียิมภายในอาคาร บางแห่งมีคลาสออกกำลังกายให้พนักงานเล่นโดยไม่เสียเงิน และอีกหลายแห่งก็จัดกิจกรรมแข่งกีฬา

เรื่องสุขภาพใจ ขอยกตัวอย่าง โปรแกรม Microsoft Cares จาก Microsoft ที่ให้พนักงานปรึกษาสุขภาพจิตได้ฟรีๆ หรือ Unilever ที่มุ่งเน้นที่สุขภาพโดยรวมของพนักงาน มีการอบรมเรื่องจิตใจ มีแอพพลิเคชั่นให้ข้อมูลด้านสุขภาพซึ่งพนักงานสามารถขอความช่วยเหลือเร่งด่วนได้ ทำให้พนักงานกล้าปรึกษาโดยไม่กลัวการถูกตีตรา

ตอนนี้หลายคนคงกำลังรู้สึกแบบนี้อยู่แน่ๆ เชื่อเถอะว่าภาวะนี้จะหายไปในที่สุดแต่ถ้ายังเป็นนานข้ามเดือนก็ต้องรีบไปปรึกษานักจิตวิทยาแล้วล่ะ ส่วนผู้ บ.ทั้งหลายก็อย่าลืมเตรียมการเพื่อให้พนักงานรู้สึกรีเฟรชก่อนเริ่มงานนะ

อ้างอิง

10 สินค้าสำคัญแห่งปีที่มอบบทเรียนพิเศษให้ 10 ผู้ประกอบการ

ถ้าการตั้ง New Year’s Resolution เป็นหมุดหมายของการเริ่มต้นปี การสรุปบทเรียนประจำปีคงเป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมที่อยู่ใน to-do list ของหลายคน

ในปี 2566 ซึ่งเป็นปีที่เรียกได้ว่าหลายธุรกิจกลับมาลืมตาอ้าปากได้อย่างเต็มที่หลังโควิด-19 โจมตีอยากหนักในปีที่ผ่านมา หลายแบรนด์ขยายสาขามากขึ้นในปีนี้ บางแบรนด์แตกไลน์ธุรกิจหลากหลายกว่าเดิม และอีกหลายแบรนด์ที่หยิบพลังที่อั้นไว้ในช่วงสถานการณ์โรคระบาดมาพัฒนาเป็นสารพัดสินค้าให้คนได้จับจ่าย

เพื่อสรุปจบปีอย่างสมบูรณ์ Capital ชวนผู้ประกอบการไทย 10 แบรนด์ ทั้งแบรนด์สุดแมสและสุด niche มาแชร์ 10 บทเรียนสำคัญจาก 10 สินค้าแห่งปี เสมือนกลับไปทบทวนบทเรียนที่ได้รู้จากสินค้าที่ได้ launch ในปีนี้กัน และบทเรียนเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์กับคุณในปี 2024

Product : DISNEY | RAVIPA
Brand : Ravipa
สา–ธนิสา วีระศักดิ์ศรี

“คอลเลกชั่น DISNEY | RAVIPA ที่ร่วมคอลแล็บกับทางดิสนีย์ทำให้ RAVIPA ก้าวไปอีกขั้น ต้องขอบคุณดิสนีย์ที่โปรโมตแคมเปญ Disney100 อย่างต่อเนื่อง ทำให้แฟนดิสนีย์ทั่วโลกได้รู้จักเรา แล้วพอเขามาเที่ยวประเทศไทยเขาก็มาซื้อกลับไป

“ปัจจุบันเราเป็นแบรนด์ไทยแบรนด์แรกที่ได้เข้าไปอยู่ใน Disney Store 3 แห่งในห้างสรรพสินค้า The Hyundai Seoul ของประเทศเกาหลีใต้

“สินค้าตัวนี้เลยยิ่งทำให้เห็นว่าการทำแบรนด์นั้น เราไม่ควรล่องเรือสวนกระแส เราควรจะไหลไปพร้อมๆ กับมันมากกว่า เพราะเมื่อเราทำตัวเองให้ทันไปกับกระแส ผลลัพธ์คือหนึ่งบวกหนึ่งไม่ได้เท่ากับสองนะ แต่มันจะคูณเป็น 2 3 4 5 เท่า”

Product : Body Perfume
Brand : Summerstuff.marine
ปริม–วริศรา จำปาทอง และ แมส–นันทิกร อิงครัตน์

“สินค้าชิ้นแรกของแบรนด์คือเทียนหอม ก่อนที่เราจะต่อยอดมาทำเครื่องหอมที่ใช้กับร่างกาย เช่น ครีมอาบน้ำ โลชั่น ซึ่งสินค้าเหล่านี้ลูกค้าก็จะใช้ในบ้านเป็นหลัก แต่เมื่อคนเริ่มออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านกันมากขึ้นหลังโควิด–19 ซาลง เราก็เริ่มคิดอยากทำ body perfume หรือน้ำหอมสำหรับฉีดร่างกายขึ้นมา เหมาะกับการพกพาออกไปฉีดระหว่างวันได้

“ตอนแรกเราไม่ได้คิดว่ามันจะขายดี แต่กลายเป็นว่าตั้งแต่วางขายช่วงต้นปีจนถึงตอนนี้ เรารีสต็อกไปหลายครั้งแล้ว ช่วงแรกยอดขายไม่ได้โดดเด่นขนาดนั้น แต่พอมีอินฟลูเอนเซอร์ซื้อไปใช้แล้วรีวิว คนก็เริ่มแนะนำกันปากต่อปาก

“สินค้าชิ้นนี้ไม่ได้ให้บทเรียนกับเราแค่เรื่องของการปรับตัวให้ทันกับพฤติกรรมของคน แต่ยังสอนเราเรื่องระยะเวลาด้วย เพราะบางทีเราคาดการณ์ผิดไปจนของมาไม่ทันช่วงแคมเปญที่คนรอซื้อ มันก็อาจจะทำให้ยอดไม่ดีได้ เราเลยแก้ปัญหาด้วยการเปิดให้ลูกค้าพรีออร์เดอร์ไว้ก่อน แม้จะแก้ปัญหาเบื้องต้นไปได้แต่ลูกค้าก็ต้องรอของอยู่ดี เราเลยคิดว่าเรื่องเวลานั้นสำคัญมาก”

Product : ศาลตายายพลัสไซส์
Brand : Kafbo
โน้ต–ขวัญชนก อมรธนานุบาล

“ช่วงกลางปีเราออกศาลพระภูมิแมวซึ่งทำร่วมกับ Gluta Story ด้วยไอเดียที่มันแตกต่างและน่ารัก ตอนนั้นขายดีมากจนตั้งตัวไม่ทัน ต้องเปิดพรีออร์เดอร์ และผลิตออกมากี่รอบๆ ก็ขายหมด แต่ก็มีฟีดแบ็กออกมาว่าศาลพระภูมิไซส์เล็กเกินไป แมวอ้วนหรือแมวพันธุ์เข้าไม่ได้ เราเลยทำศาลตายายซึ่งเป็นแบบพลัสไซส์ออกมาขาย หลังจากศาลเซตแรกออกมาได้ 2 เดือน

“เราก็คิดเอาไว้แล้วว่ายอดขายคงไม่ปังเท่าอันแรก เพราะคนเขาก็มีกันหมดแล้ว แล้วมันก็ยอดไม่ปังจริงๆ (หัวเราะ) เขาอาจจะรอกันไม่ไหวและกระแสก็ไปแล้ว ครั้งนี้ก็สอนเรานะว่าเราควรจะรู้จักจับจังหวะให้ดีขึ้น พอเห็นกระแสแล้วเราควรจะรีบพัฒนามันออกมา”

Product : ON EARTH WE’RE BRIEFLY GORGEOUS เราต่างงดงามแล้วจางหาย
Brand : Salmon Books
กาย–ปฏิกาล ภาคกาย

“บางครั้งการทำหนังสือก็เหมือนการเดินคลำทางในความมืด ไม่มีทางรู้เลยว่าข้างหน้าจะมีอะไรรออยู่ ต้นฉบับที่ได้รับจะตรงกับที่คิดไว้มั้ย หรือหนังสือที่เราพึงพอใจจะไปได้ดีในแผงหรือเปล่า บ่อยครั้งการทำหนังสือในแบบของสำนักพิมพ์แซลมอนเลยเหมือนการวัดดวง ได้แต่คาดคะเนว่าผู้อ่านจะชอบเหมือนกัน และได้แต่หวังว่าหนังสือจะไปถึงมือผู้อ่าน

“แต่หนังสือเป็นสื่อที่ต้องใช้เวลา ไม่มีวันเข้า-ออกแบบภาพยนตร์ ไม่มีกำหนดการตายตัวแบบคอนเสิร์ต บางเล่มอาจถูกเปิดอ่านในอีก 2 ปีให้หลัง บ่อยครั้งเลยพานให้สงสัยว่าหนังสือที่เราทำ หนังสือที่เราชอบอาจไม่เป็นที่ต้องการก็ได้

“ON EARTH WE’RE BRIEFLY GORGEOUS เราต่างงดงามแล้วจางหาย ก็เป็นเล่มที่ไม่ค่อยมั่นใจ ด้วยความที่มันเป็นนวนิยายซึ่งมีประเด็นเกี่ยวกับครอบครัวเวียดนามที่อพยพไปอยู่อเมริกา และตัวผู้เขียนซึ่งอาจถือว่าหน้าใหม่ เลยทำให้ตอนนั้นเรามองไม่เห็นว่าผู้อ่านเล่มนี้คือใคร จะมีคนสนใจมั้ย แต่ก็คลำในความมืดต่อไป เพราะเห็นตรงกันว่านี่คือหนังสือที่เราชอบ หนังสือที่เราอยากทำ หนังสือที่ทีมงานทุกส่วนอยากส่งต่อ และเราก็อาจโชคดีที่พอเสร็จเป็นเล่ม มันเป็นหนังสือที่มีคนอยากอ่าน

“อาจดูเป็นบทเรียนที่หาได้ทั่วไป แต่การที่เล่มนี้ได้พิมพ์ซ้ำก็ให้บทเรียนที่สำคัญว่า เราคาดเดาอะไรไม่ได้เหมือนเดิมนั่นแหละ การทำหนังสือให้คนอยากอ่านไม่มีสูตรสำเร็จหรือทางลัด สิ่งที่เราทำได้คือ หาเล่มที่เราชอบ หาเล่มที่อยากทำให้เจอก่อนก็พอ”

Product : รองเท้าเด็ก
Brand : Ving Thailand : Marathon Sandal – รองเท้าแตะวิ่งมาราธอน
เวย์–วาที วิเชียรนิตย์

“ก่อนหน้านี้มีคำถามถึงรองเท้าเด็กมาเรื่อยๆ เราเลยตัดสินใจทำขึ้นมา แต่กลายเป็นว่ามันขายไม่ดี มันก็ทำให้เรากลับมาคิดหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการทำมาร์เก็ตติ้งที่อาจจะน้อยเกินไป เพราะเราไม่ใช่มัลติแบรนด์ที่จะเอาอะไรมาขายแล้วคนก็ซื้อ ขนาดเป็นมัลติแบรนด์เขายังต้องโปรโมตแยกเลย

“อีกอย่างคือมันมีดีมานด์ก็จริง แต่เราไม่ได้คำนึงว่า journey ของลูกค้าเด็กกับผู้ใหญ่นั้นต่างกัน เวลาพ่อแม่จะซื้อรองเท้าให้ลูก เขาต้องพาไปลองจริงๆ เราก็ปรับจากออนไลน์ไปวางหน้าร้าน แต่ก็ยังไม่พอ เพราะเวลาพ่อแม่พาลูกไปซื้อรองเท้าเขาก็ต้องไปซื้อที่แผนกเด็กซึ่งเราไม่ได้อยู่ตรงนั้น มันเหมือนเป็นรองเท้าที่ถ้าพ่อแม่มาซื้อแล้วเห็นถึงจะซื้อไปมากกว่า

“รองเท้าของเรายังเป็นรองเท้าที่เน้นฟังก์ชั่นซึ่งผู้ใหญ่ให้ความสำคัญมาก แต่กับเด็กเขาอาจจะเน้นความชอบมากกว่า สีหรือรูปแบบที่อาจจะน้อยเกินไปเลยอาจจะไม่ตอบโจทย์”

Product : Clara ‎French Press
Brand : Yellow Stuff
เอก–สมเดช เหลืองทวีบุญ และ ไช้–อังศุธร หอมเทียนทอง

“พอเป็นบริษัทเล็กๆ ก็แทบไม่มีใครมานั่งทำรีเสิร์ช ส่วนใหญ่เราใช้ gut feeling ในการตัดสินใจ บางครั้งมันก็เวิร์ก ถ้าไม่เวิร์กก็ต้องแก้ปัญหากันไป

“อย่าง Fellow เป็นแบรนด์อุปกรณ์กาแฟที่ทำอะไรออกมาก็ขายดี ตอนที่เครื่องบดกาแฟ Ode ออกมา เราก็ตัดสินใจซื้อเข้ามาขาย 200 ตัว ที่ถ้าขายไม่ดีคือเจ๊งแน่เพราะเงินหมดเกลี้ยง แต่กลายเป็นว่ามันขายดีมากจนเราต้องสั่งเข้ามาใหม่

“แต่มันก็มีตัวที่ผิดคาด เพราะเราเชื่อมั่นแบรนด์เกินไปจนฝืนตลาดไทยที่ไม่ได้สนใจการชงแบบ French Press เราเลยคิดว่าถ้าเอา Clara French Press เข้ามาก็น่าจะขายได้ โดยที่ไม่ได้รีเสิร์ชตลาดมากขนาดนั้น กลายเป็นว่ามันขายไม่ได้เลย นั่นหมายความว่าเงินทุนมันจะไปจมอยู่ในนั้น

“ที่ว่ามาแต่ละตัวไม่ได้วางขายในปีนี้นะ แต่สำหรับวงการกาแฟที่ cycle ของสินค้ามันนาน 2-3 ปีถึงจะเปลี่ยน ตอนนี้เราก็สามารถสรุปได้แล้วว่าอะไรที่มันเวิร์กหรือไม่เวิร์ก”

Product : คีย์บอร์ด K2 Pro และ K4 Pro
Brand : GadgetStory
ชุ–ชุติพัทธ์ ตั้งกุศลจิต

“ช่วงปลายปีเราเพิ่งปล่อยคีย์บอร์ด K2 Pro และ K4 Pro ที่ต่อยอดความสำเร็จจากรุ่นยอดนิยม ด้วยการลงทุนทำคีย์แคบแบบดับเบิลช็อตซึ่งปกติมีแค่เฉพาะต่างประเทศที่ทำกัน เรายังร่วมกับ Cadson Demak ออกแบบฟอนต์สำหรับคีย์บอร์ดโดยเฉพาะ เพื่อแก้ pain point ของคีย์บอร์ดทั่วไปที่ฟอนต์ไม่ค่อยสวย บางทีก็มองเห็นยาก

“เราเชื่อว่าในไทยยังไม่มีเจ้าไหนทำได้แบบเราเลยเพราะสเปกเหล่านี้เพราะมันต้องใช้เวลาและเงินทุน ความต่างตรงนี้ทำให้ยอดขายของ K2 Pro และ K4 Pro ดีเลย แต่ในความขายดีนั้นมันก็ยังให้บทเรียนกับเราเรื่องการจัดสรรเวลานะ เพราะตอนแรกเราคิดว่าจะใช้เวลาพัฒนาแค่ 3-4 เดือน แต่กลายเป็นว่าใช้เวลาพัฒนานานถึง 1 ปี

“ลูกค้าบางคนก็รอตั้งแต่ที่เราประกาศว่าเราจะมีสเปกแบบนี้ออกมา บางคนเขารอไม่ไหวก็ซื้อรุ่นที่เราออกในปีนี้กันไปแล้ว แต่ถ้าย้อนกลับไป เราก็ไม่เลือกที่จะรีบปล่อยมันออกมาอยู่ดีนะ เรายังยืนยันที่จะพัฒนาให้มันดีที่สุดเพื่อให้ลูกค้าได้ของดีจริงๆ”

Product : LEAF SET
Brand : knitCircle
แบงค์–วีระ เจริญสินทวีคูณ, พลจัง–พงศ์ณรงค์ จริงจามิกร และมาย–มายพัชรินทร์ สัจจะ

“LEAF SET เป็นเซตซิกเนเจอร์แรกๆ ของแบรนด์ซึ่งเรารู้สึกว่าแตกต่างจากท้องตลาด แต่ขณะเดียวกันก็พรีเซนต์ความเป็น knitCircle ได้อย่างภาคภูมิใจจริงๆ เพราะลายผ้านั้นมีรายละเอียดเยอะ วิธีการทำซับซ้อนและควบคุมยาก เนื่องจากใช้เส้นด้ายที่เหลืออยู่ในโรงงานร้อยเปอร์เซ็นต์

“แต่เราก็ทำมันออกมาเพราะชอบโดยที่ไม่รู้ว่าลูกค้าจะชอบไหม ถือเป็นเซตที่ลองเสี่ยงดวงมากๆ แต่สุดท้ายฟีดแบ็กก็ออกมาเกินที่คาดหวังไว้ ทำให้เรามีแรงบันดาลใจอยากออกไอเทมลักษณะนี้ออกมาอีกในโอกาสและเวลาที่เหมาะสม”

Product : Original Chumchum Grocery Merchandise
Brand : Chumchum Grocery
เอม–เอมนิกา ยิ้มอำพัน

“เราเริ่ม Chumchum Grocery จากการขายของวินเทจ เช่น นาฬิกาดิสนีย์ ซึ่งมันขายดีมาตลอดอยู่แล้วเพราะเป็นคาแร็กเตอร์ที่ใครๆ ก็รู้จัก

“เมื่อปลายปีที่แล้วเราและเพื่อนที่เป็นกราฟิกดีไซเนอร์ซึ่งทำร้านร่วมกัน อยากจะมีสินค้าจากคาแร็กเตอร์ของเรากันบ้าง ต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาเราได้ทยอยปล่อยออกมา โดยเริ่มจากแก้ว mug คอลเลกชั่น Daliy Routine

“คนอาจจะไม่ได้สนใจมากเท่าของวินเทจที่เราขายแต่เดิม แต่ในความรู้สึกของเรา การที่ลูกค้าบางส่วนซื้อของเหล่านี้ไปเราก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วนะ ทั้งที่เป็นตัวการ์ตูนที่คนยังไม่รู้จักแต่เขาก็ยังซัพพอร์ต เราว่ามันคือจุดเริ่มต้นดีๆ ให้กับปีถัดไปที่เราตั้งใจผสมผสานสินค้าวินเทจและของที่เราทำขึ้นเอง

“เพราะสำหรับเรา วันหนึ่งของวินเทจก็ต้องลดน้อยลง ถ้าเราสร้างของเราเองขึ้นมาได้ มันก็จะไปต่อได้ในทางของเรา ดังนั้นเวลาคนถามว่าคอนเซปต์ของ Chumchum Grocery คืออะไร เราว่ามันคือทุกสิ่งที่เราสนใจและคิดว่าคนอื่นก็น่าจะสนใจ มันจะเป็นของแบบไหนก็ได้ที่ออกมาจากตัวตนของเรา เพียงแต่มันต้องดู lively และนั่นแหละมันก็คือคาแร็กเตอร์ Chumchum ที่เป็นคนไม่มีเพศ ไม่มีอายุ เลยไปปรากฏบนอะไรก็ได้”

Product : June Chair
Brand : Flo
นรุตม์ ปิติทรงสวัสดิ์

“9 ปีก่อน ผมทำเก้าอี้ตัวแรกอย่าง Joy ออกมา มันเป็นการผสมเหล็กเข้ากับไม้ สัดส่วนอาจจะแปลกๆ นิดหน่อย ที่สำคัญคือมันหนัก พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผมก็ตั้งใจพัฒนาให้มันเบาลง เพรียวลง ราคาถูกลงจนได้ออกมาเป็น June ที่เปิดตัวจริงจังช่วงที่จัดนิทรรศการครบรอบ 9 ปี

“ดูภายนอกมันอาจจะเหมือนเดิม แต่ถ้าลงลึกจริงๆ เก้าอี้ Joy และ June แตกต่างกันมาก เช่น พนักพิงที่จากเดิมใช้ไม้ 5 ชิ้นก็เหลือ 3 ชิ้น แกนของเก้าอี้ก็ซับซ้อนขึ้นมากจนผมต้องลงมาทำเอง ถ้าเป็นศัพท์ญี่ปุ่นเขาเรียกไคเซ็น เหมือนเป็นตัวตอกย้ำวิธีการออกแบบของ FLO ที่ต้องพัฒนาให้ดีขึ้นทีละนิดๆ ตัวปัจจุบันต้องพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าตัวก่อนหน้าเสมอ ขณะเดียวกันก็ยังต้องพรีเซนต์ความเป็น FLO ได้ด้วย

“การที่เราจะพัฒนาตัวใหม่ให้ดีขึ้นได้ เราต้องวิเคราะห์ให้ดีว่าของเก่ามันไม่ดียังไง จุดอ่อนคืออะไร จุดไหนที่ควรเก็บไว้ ฟีดแบ็กของลูกค้าว่ายังไง ที่สำคัญ ตัวใหม่ก็ต้องไม่ออกมาฆ่าตัวเก่าด้วย เก้าอี้ June จึงเหมือนบทสรุปของนิทรรศการครบรอบ 9 ปีของ FLO”