2023 เป็นปีที่เราได้ยินคำว่า AI บ่อยกว่าปีไหนๆ การมาถึงของ ChatGPT, Bard และ CoPilot AI เปลี่ยนโลกการทำงานของหลายคนไปอย่างสิ้นเชิง เช่นเดียวกับดาต้าที่หลายแบรนด์หันมามองหาเครื่องมือในการบริหารจัดการอย่างจริงจัง เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าแล้วตอบโจทย์พวกเขาได้อย่างตรงจุด
AI จะแย่งงานพวกเราทุกคนหรือไม่ ทักษะใดที่จะทำให้เราอยู่รอดในโลกที่มี AI และทิศทางการเติบโตของดาต้าจะเป็นยังไงในปี 2024 นี่คือคำถามที่ผู้ประกอบการหลายคนอยากรู้
เราเดินทางมาพบกับ เต่า–ไชยณัฐ สัจจะปรเมษฐ Managing Director of Data and Interactive Business Unit ของบริษัท Rabbit’s Tale ที่เชี่ยวชาญเรื่องการทำดาต้าด้านการตลาด (ปัจจุบัน Rabbit’s Tale เป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Accenture ประเทศไทย)เพื่อหาคำตอบ
มองมายังฝั่งปัญญาประดิษฐ์ ไชยณัฐมองว่า 2023 คือปีที่ Generative AI เริ่มมีผลต่อชีวิตประจำวันของผู้คน คนทำงานหลายคนนำ AI มาช่วยเขียนอีเมลหรือทำงานแทน และองค์กรส่วนใหญ่กำลังอยู่ในช่วงของการสำรวจว่าพวกเขาจะสามารถนำ AI มาช่วยงานได้ยังไงบ้าง
“เรามองว่าจริงๆ แล้ว AI อยู่ในชีวิตประจำวันของเรามานานแล้ว เพียงแต่ว่ามันไม่ได้เป็น AI แบบที่ใส่คำสั่ง (prompt) ลงไป AI ที่เรามักจะเห็นบ่อยๆ คือ Recommendations ถ้าเธอชอบสิ่งนี้ เธอน่าจะชอบสิ่งนั้นด้วย อย่าง Netflix เวลาเราดูหนังของเขาไปสักพัก เขาจะแนะนำได้ว่าเราน่าจะชอบเรื่องไหน หรือแพลตฟอร์มซื้อ-ขายอย่าง Shopee และ LAZADA ก็เช่นกัน”
เมื่อมองในมุมธุรกิจ AI เข้ามาช่วยทอนเวลาในการทำงานบางงานที่มักจะเป็นงานที่ทำซ้ำๆ (routine) ทำให้คนทำธุรกิจมีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่น ที่เห็นได้ชัดคือระบบต่างๆ ที่รันแบบอัตโนมัติ
“หรืออย่างเคสการปิดการขายก็เช่นกัน หากลูกค้าทักเข้ามาในกล่องข้อความ ระบบ AI และฐานข้อมูลจะตรวจสอบได้ว่าเขาเคยมาซื้อครั้งแรกหรือเปล่า เมื่อปิดการขายเสร็จระบบก็สามารถแนะนำบริการอื่นๆ เพื่อจูงใจให้เขากลับมาซื้อซ้ำได้อีก เหมือนระบบปฐมนิเทศสำหรับลูกค้า นี่เป็น use case มาตรฐานในโลกของดาต้า”
ส่วนฝั่ง AI เทรนด์ที่ไชยณัฐคาดการณ์คือ AI จะเติบโตและแทรกซึมเข้าไปในผลิตภัณฑ์ที่เราคุ้นเคย ยกตัวอย่าง ในอดีตเราเข้าโปรแกรมคำนวณเช่น MS Excel หรือ Sheet แล้วต้องพิมพ์สูตรเอง ทว่าในอนาคตอาจสั่งการด้วยภาษามนุษย์แล้วให้ AI แปลงเป็นสูตรอีกที เช่นเดียวกับ Powerpoint หรือ Slide ที่ AI อาจเนรมิตสไลด์ทั้งหน้าได้ในคลิกเดียว
อย่างไรก็ดี มีงานมากมายที่ไชยณัฐเชื่อว่า AI ทำแทนมนุษย์ไม่ได้ เขายกตัวอย่างงานคอนเทนต์ ซึ่งแม้เราจะสั่งให้ AI หาข้อมูลและเขียนได้ แต่สุดท้ายยังต้องใช้มนุษย์ตัดสินใจว่างานชิ้นนั้นดีหรือไม่ “เราเชื่อว่า AI จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเหมือนที่เราใช้อินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตไม่ได้ทำให้คนตกงานทั้งโลกฉันใด AI ก็เป็นแบบนั้น เพียงแต่เราต้องใช้ AI ให้เป็น นั่นคือทักษะที่เหล่าคนทำงานต้องปรับตัว
โดย MORE ยังยึดหลักสวยและราคาเข้าถึงได้เพราะอยากให้ลูกค้าสามารถช่วยรักษ์โลกด้วยการซื้อของจาก waste ที่ใช้ได้จริง ใช้ได้นาน และใช้ได้เยอะ ไม่ใช่ซื้อใหม่แล้วทิ้งจนกลายเป็นการสร้างขยะชิ้นใหม่
ความท้าทายของทีม MORE คือการสื่อสารให้ลูกค้ารับรู้ว่าเบื้องหลังการผลิตสินค้ารักษ์โลกนั้นมีต้นทุนที่สูงกว่าสินค้าจากวัสดุทั่วไป บาสเล่าว่าเป้าหมายของทีมคืออยากลบภาพจำว่าของใช้ที่แปรรูปจากขยะเหล่านี้มักมีราคาถูก
Promotion & Place Bring the World Closer to Sustainability
ในการสร้างแบรนด์และการตลาด MORE ใช้คุณภาพของสินค้าเป็นตัวนำเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า เมื่อคาแร็กเตอร์ของแบรนด์แข็งแรงก็ทำให้สื่อสารความตั้งใจถึงลูกค้าได้ชัดเจน
career คือระดับที่มองงานว่าเป็นความก้าวหน้า มองหาโอกาสเลื่อนขั้นในที่ทำงาน เห็นภาพอนาคตของตนเองในตลาดแรงงานว่าทำอย่างนี้ เพื่อที่ตัวเองจะไปอยู่ในจุดไหน
ในงานศึกษา Mass media and astrology as a reflection of the culture industry เผยแพร่ในปี 2021 พูดถึงการเติบโตขึ้นของโหราศาสตร์ที่เติบโตขึ้นอย่างสำคัญโดยมีสื่อสารมวลชนเป็นพื้นที่สำคัญในการขยายความนิยมของโหราศาสตร์และการพยากรณ์ ถ้าเรามองในภาพกว้าง โหราศาสตร์เป็นศาสตร์โบราณ บางส่วนเกี่ยวข้องกับการตอบเรื่องฝนฟ้าอากาศที่สัมพันธ์กับเกษตรกรรม บางส่วนพูดเรื่องการปกครอง เรื่องการรบ และถ้าพูดกันด้วยมุมของความเป็นสมัยใหม่ โหราศาสตร์เป็นเรื่องที่น่าจะไม่เข้ากับยุคสมัยคือการเป็นโลกวิทยาศาสตร์และการใช้เหตุผล รวมถึงนัยของโลกสมัยใหม่ที่มนุษย์เชื่อในเจตจำนงเสรี เชื่อในการกำหนดชีวิตตัวเอง แต่ทว่าทำไมความคิดเรื่องการถูกกำหนดหรือการมีอิทธิพลโดยสิ่งอื่นถึงได้กลับมาเฟื่องฟูในหน้าตาของสื่อสมัยใหม่- ในที่นี้คือการเกิดขึ้นและแพร่ขยายของหนังสือพิมพ์
คำอธิบายที่น่าสนใจหนึ่งมาจากตัวพ่อด้านความเชื่อและบริบทวัฒนธรรมของมนุษย์ คาร์ล กุสตาฟ ยุง (Carl Gustav Jung) นักจิตวิเคราะห์ผู้สนใจเรื่องเล่า ตำนาน และความเชื่อ พูดถึงโหราศาสตร์ที่กลับมาในโลกสมัยใหม่ใน The Secret of the Golden Flower (เป็นตำราเต๋าของจีนที่แปลเป็นฉบับอังกฤษ ฉบับแปลมีคอมเมนต์ของคาร์ล ยุง ที่เขียนอยู่ในนั้น) คาร์ล ยุง อธิบายว่า ‘โหราศาสตร์เป็นเหมือนการกลับมาของศาสนาในโลกสมัยใหม่ โหราศาสตร์เป็นคลังความรู้ของอดีต ในขณะมนุษย์ยุคใหม่แบบเราๆ ล้วนกำลังมองหาความหมายและเราเองก็ได้เอาศาสนากลับมาตีความในทางโลก (secular)’ พูดง่ายๆ คือศาสนาหรือความเชื่อถูกเอามาใช้ใหม่ในบริบทของเราเช่นเรื่องการค้า เรื่องชีวิตสมัยใหม่