ตอนไหนที่แบรนด์ต้องรีแบรนด์? 4 คำถามเช็กธุรกิจก่อนชุบชีวิตแบรนด์ใหม่

ในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แบรนด์ที่อยู่รอดผ่านคลื่นลมมาได้คือแบรนด์ที่รู้จักปรับตัวกับคลื่นมรสุมแห่งความเปลี่ยนแปลง แบรนด์ที่ครั้งหนึ่งประสบความสำเร็จหรือเป็นที่รักก็ไม่ได้มีอะไรการันตีว่าสิ่งเหล่านั้นจะคงอยู่ไปตลอด

หลังจากดำเนินกิจการมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง หลายแบรนด์อาจพบว่าภาพลักษณ์ของแบรนด์เริ่มล้าสมัย หรือไม่ตรงกับความสนใจของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป หลายๆ ธุรกิจจึงมองหาวิธีแก้ไขให้แบรนด์กลับมาเป็นที่จดจำอีกครั้ง ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ รีแบรนด์ (rebranding)

ก่อนจะไปเจาะลึกคำว่ารีแบรนด์ เราอาจต้องทำความเข้าใจคำว่าแบรนดิ้ง (branding) ให้ชัดก่อน

ในโลกธุรกิจ ‘แบรนดิ้ง’ คือการสร้างคาแร็กเตอร์อันเป็นภาพจำของแบรนด์ ที่เมื่อลูกค้ามองเข้ามาแล้วจะนึกถึงหรือเห็นภาพว่าเป็นแบรนด์อะไร ขายอะไร รวมถึงสร้างความรู้สึกหรือความประทับใจของผู้บริโภคต่อสินค้าและบริการนั้นๆ ผ่านการโฆษณาและประสบการณ์การใช้สินค้าและบริการของแบรนด์

แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จมักหาวิธีการทำให้ผู้บริโภคมีความผูกพันจนรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ แต่ถ้าแบรนด์ของคุณไม่อาจเข้าไปอยู่ในใจลูกค้าได้ หรือครั้งหนึ่งเคยทำสำเร็จ แต่มนตร์เสน่ห์เดิมๆ ใช้ไม่ได้ผลในยุคสมัยปัจจุบันแล้วบางทีอาจถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจของคุณควรได้รับการ ‘รีแบรนด์’ หรือปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นโลโก้ ตัวสินค้า และคาแร็กเตอร์ เพื่อสร้างจุดยืนในตลาดให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น ตอนเปิดร้านใหม่ๆ ลูกค้าเป็นกลุ่มวัยรุ่น เมื่อเวลาผ่านไปจากวัยรุ่นผันเปลี่ยนเป็นวัยทำงาน วัยกลางคน และสูงอายุตามลำดับ ถ้าแบรนด์ไม่ปรับตัวเพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ก็อาจทำให้แบรนด์ค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตาของผู้บริโภค

การรีแบรนด์จึงเป็นการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ให้เท่าทันกับการรับรู้ของลูกค้า เพื่อลดช่องว่างระหว่างแบรนด์กับกลุ่มลูกค้า ซึ่งระยะเวลาในการรีแบรนด์นั้นไม่มีตัวเลขที่แน่นอน

‘แบรนด์ของคุณถึงเวลารีแบรนด์หรือยัง?’

สำหรับใครที่ยังสงสัยว่าถึงเวลาที่แบรนด์เราต้องรีแบรนด์แล้วหรือยัง เรามี 4 คำถามให้คุณได้สำรวจตัวเอง

  1. แบรนด์กำลังเข้าสู่ช่วงถดถอยหรือไม่

ในแง่ของการใช้ชีวิตเราอาจปล่อยให้สิ่งต่างๆ ดำเนินต่อไปได้ แต่ในแง่ของแบรนด์นั่นหมายความว่า แบรนด์กำลังเข้าสู่ช่วงอ่อน และต้องได้รับการปัดฝุ่น รีเฟรชก่อนล้มหายตายจาก

  1. กลุ่มลูกค้าเดิมเปลี่ยนไปไหม 

เมื่อไหร่ก็ตามที่แบรนด์ต้องการเติบโตไปพร้อมกับกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ โดยยังคงรักษาลูกค้าเดิมไว้ การรีแบรนด์จึงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ทำให้แบรนด์ขยายฐานลูกค้าได้ง่ายขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องทำให้ลูกค้าเดิมรู้สึกว่า เรายังเป็นคนเดิม แต่เป็นคนเดิมที่ดีขึ้น ทันสมัยขึ้น และภาพลักษณ์ดีขึ้น

  1. แบรนด์ผ่านวิกฤตหรือเหตุการณ์ที่ทำให้เสื่อมเสียหรือไม่

หลังผ่านเรื่องอื้อฉาวในโลกออนไลน์ เกิดกระแสสังคมในแง่ลบ ที่ส่งผลต่อองค์กร สินค้า หรือประเด็นใดๆ ก็ตามที่ทำให้ชื่อเสียงต้องเสื่อมเสียจนแก้ไขไม่ได้ แบรนด์อาจหาทางออกด้วยการปรับภาพลักษณ์ใหม่ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของลูกค้าให้กลับมาอีกครั้ง

  1. แบรนด์มีจุดยืนหรือเอกลักษณ์ที่ชัดเจนหรือไม่

เป็นธรรมดาของแบรนด์ที่อยู่มานานมักจะได้ความเชื่อใจจากลูกค้าเดิม ดังนั้น ให้แบรนด์เดินหน้าต่อไปได้ท่ามกลางการแข่งขันมากมาย แบรนด์จำเป็นต้องรีแบรนด์ปรับภาพลักษณ์ใหม่ เพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าแบรนด์พร้อมที่จะปรับตัวอยู่เสมอ

หากใครถามคำถามต่างๆ ข้างต้นแล้วมีองค์ประกอบเหล่านี้ครบถ้วน นั่นหมายความว่าอาจถึงเวลาที่ต้องทำการรีแบรนด์แล้ว

‘แล้วถ้าจะรีแบรนด์ต้องทำอะไรบ้าง?’

  • การทำ market research ทั้งกลุ่มลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ ซึ่งการทำ market research ครั้งนี้ไม่ได้ทำเพื่อหาจุดกึ่งกลางระหว่างลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นการหาสิ่งที่ทั้ง 2 กลุ่มชอบให้เจอ
  • การแปลงโฉม เราอาจทำให้โลโก้ดูใหม่ขึ้น โดยยังคงไว้ซึ่งตัวตนและจุดยืนของแบรนด์ อาจมีการปรับหน้าร้านให้ได้มู้ดแอนด์โทนใหม่ๆ ปรับการสื่อสารใหม่ ใช้แพ็กเกจจิ้งใหม่ เป็นสื่อกลางในการสื่อสารทั้ง 2 กลุ่ม เช่น กลุ่มลูกค้าเดิมคือ Baby Boomer ที่ชอบความคุ้มค่าคุ้มราคา ในขณะที่กลุ่มเจนฯ Z จะซื้อสินค้าโดยคำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เราอาจใช้โปรดักต์เป็นสื่อกลางในการทำให้ความชอบของลูกค้าทั้ง 2 กลุ่มอยู่ในชิ้นเดียวกัน ซึ่งเป็นการรักษาลูกค้าเดิมเอาไว้ พร้อมเข้าถึงลูกค้าใหม่ไปด้วย
  • การหาสะพานเชื่อมใจระหว่างลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ ไม่ว่าจะทำแบรนด์ใดก็ตาม ตัวกลางสำคัญที่ช่วยลดช่องว่างของอายุแบรนด์ได้คือ การยังคงไว้ซึ่งสิ่งเดิมที่ดีอยู่แล้ว เพื่อยังดึงดูดลูกค้าเดิมไว้ และเสริมสิ่งใหม่ด้วยการนำเสนอแบบสดใหม่ การเล่าเรื่องที่ตรงใจ ก็ช่วยให้เราชนะใจลูกค้าได้

ถึงตรงนี้อยากฝากข้อควรระวังไว้สักนิด สำหรับใครที่กำลังจะรีแบรนด์ ควรหาข้อมูลไว้ก่อนเยอะๆ อย่าทำแบบไร้ทิศทาง หรือหลุดกรอบจากคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ไปเลย เพราะอาจทำให้แบรนด์สูญเสียจุดยืนและสูญเสียตัวตนแบรนด์ ดังนั้นก่อนรีแบรนด์จึงควรเก็บข้อมูลจากหลายๆ

นอกจากการรีแบรนด์แล้ว แบรนด์ยังสามารถใช้กลยุทธ์อื่นๆ เพื่อเพิ่มความยั่งยืน เช่น

  • Brand Refreshing เพื่อเพิ่มจุดจดจำ
  • Brand Reboot เพื่อหาตำแหน่งการตลาดใหม่ๆ ที่จะพาแบรนด์ไปได้ไกลกว่าเดิมอีกขั้นนั่นเอง

สุดท้ายเมื่อเรามีไอเดียที่ดี อย่าลืมวางกลยุทธ์การรีแบรนด์ เพื่อให้แบรนด์ที่ตั้งใจสร้าง เข้าถึงกลุ่มลูกค้าตามที่ต้องการ

จากแว่นสายตาในเกาหลีใต้ สู่ Gentle Monster แบรนด์แว่นกันแดดดีไซน์สุดล้ำที่ฮิตทั่วโลก

หากจะให้เอ่ยชื่อของแว่นตากันแดดขึ้นมาสักแบรนด์ เราเชื่อว่าหลายๆ คนคงนึกถึงเหล่าแบรนด์แว่นตาที่พบเจอบ่อยครั้งในร้านแว่นทั่วไป ชื่อของแบรนด์สัญชาติฝรั่งเศส อิตาลี อังกฤษ หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกา ดูเหมือนว่าจะผุดขึ้นมาในหัวทันที

ซึ่งชื่อของลักชัวรีแบรนด์ที่ถูกเอ่ยขึ้นมาส่วนใหญ่มักเป็นแบรนด์แฟชั่นที่มีสินค้าหลากหลาย ไม่ได้โฟกัสเพียงแว่นตากันแดดเป็นสินค้าหลัก

แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อ 13 ปีก่อนหรือใน ค.ศ. 2011 ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ฮันกุก คิม (Hankook Kim) อดีตคุณครูก็ได้ริเริ่มก่อตั้งแบรนด์ที่ผลิตแต่แว่นสายตาที่ชื่อว่า ‘Gentle Monster’ (เจนเทิลมอนสเตอร์) ขึ้นมา แม้จะรู้ดีว่าโปรดักต์อย่างแว่นสายตานั้นจะยังไม่ได้รับความนิยมมากนักในประเทศเกาหลีใต้ ส่งผลให้ในเวลาถัดมาฮันกุก คิม จึงตัดสินใจหันมาออกแบบโปรดักต์แว่นตาไลน์ใหม่ หรือแว่นตากันแดดเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คนมากขึ้น

แม้ Gentle Monster จะเป็นแบรนด์แว่นตาแฟชั่น-แว่นตากันแดดที่ก่อตั้งมาได้เพียง 10 กว่าปี แต่เมื่อเราค้นลึกลงไปในบรรดาผลงานต่างๆ ของแบรนด์ ตลอดจนผลงานคอลแล็บร่วมกับเหล่าดารา ศิลปิน เซเลบริตี้ระดับโลกแล้ว แบรนด์ Gentle Monster ที่แต่เดิมเป็นเพียงแค่แบรนด์แว่นสายตาของชายเกาหลีคนหนึ่งนั้น มาได้ไกลเกินฝัน 

ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่ติดตามข่าวสารในแวดวงแฟชั่น หรือแม้แต่คนทั่วไปที่เพียงแค่เล่นโซเซียลมีเดียเอง ก็รู้จักชื่อแบรนด์แว่นตาสัญชาติเกาหลีแบรนด์นี้กันอย่างดิบดี

และล่าสุดในเดือนสิงหาคม ปี 2023 ที่ผ่านมา แฟล็กชิปสโตร์สาขาแรกของ Gentle Monster ณ ประเทศไทยก็เปิดตัวที่เอ็มควอเทียร์

เราเชื่อว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่สนใจเส้นทางการเติบโตอย่างรวดเร็วของแบรนด์แว่นตาแฟชั่น-แว่นตากันแดดสัญชาติเกาหลีแบรนด์นี้ Biztory ตอนนี้จึงอยากชวนทุกคนไปทำความรู้จักกับ Gentle Monster ให้มากขึ้น ตลอดจนกลยุทธ์ในการทำธุรกิจให้กลายมาเป็นแบรนด์แฟชั่นลักชัวรีที่ปฏิวัติวงการแว่นตาระดับโลก 

1. ชื่อแบรนด์ที่ให้ความหมายขั้วตรงข้ามอย่าง ‘Gentle’ และ ‘Monster’ 

ชื่อของแบรนด์อย่าง ‘Gentle Monster’ ถูกคิดขึ้นโดยฮันกุก คิม ผู้ก่อตั้งแบรนด์ โดยคำว่า ‘Gentle’ สำหรับเขาหมายถึงความสุภาพ ถ่อมตน และดีไซน์ของแว่นตาที่สามารถสวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน กลับกัน คำว่า ‘Monster’ นั้น แสดงให้เห็นถึงแง่มุมความคิด ทัศนคติ รวมไปถึงความยูนีกของแบรนด์

โดยชื่อแบรนด์อย่าง ‘Gentle Monster’ สำหรับฮันกุก คิม ก็ยังหมายถึงแบรนด์แว่นตาที่ไม่ว่าใครก็สามารถเลือกซื้อ เลือกใส่ได้ในทุกๆ วัน ทั้งยังเหมาะกับลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่ต้องการสวมใส่แว่นตาดีไซน์โก้เก๋ เหมาะสำหรับวันเจ๋งๆ ของใครบางคนอีกด้วย 

 “เพราะผมเป็นหนึ่งคนที่สวมใส่แว่นตาในทุกๆ วัน ผมจึงมีความสนใจในแว่นตาเป็นพิเศษและสนใจมากกว่าสิ่งอื่นๆ ที่ผมหยิบใช้ในชีวิตประจำวันไปเลยด้วย โดยนับตั้งแต่ที่ผมได้เข้ามามีส่วนร่วมอยู่ในวงการแว่นตาอย่างในฐานะเจ้าของแบรนด์ Gentle Monster ผมพบว่าตัวผมเองมีความพยายามที่จะประดิษฐ์คิดค้นทางเลือกใหม่ๆ ที่จะทำให้ธุรกิจแว่นตาของผมแตกต่างจากแบรนด์แว่นตาที่มีอยู่ในท้องตลาด

“เมื่อโปรดักต์ของผมได้ถูกดีไซน์และผลิตออกไปแล้ว มันยังทำให้ผมนึกขึ้นได้อีกว่าทุกๆ ดีไซน์ที่เกิดขึ้นมันคือการใส่แพสชั่นของผมที่มีต่อแว่นตาลงไปด้วย” ฮันกุก คิม บอกเล่าถึงช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านในอาชีพคุณครูอย่างรวดเร็วของเขา สู่ครีเอทีฟไดเรกเตอร์และเจ้าของแบรนด์ Gentle Monster ในบทสัมภาษณ์ของ Selfridges & Co. ห้างสรรพสินค้าบนเกาะอังกฤษที่มีสินค้าแบรนด์เนมจากทั่วโลกมารวมไว้ในที่เดียว รวมไปถึงสินค้าของ Gentle Monster ด้วยนั่นเอง

จากตอนแรกที่ Gentle Monster ก่อตั้งในปี 2011 โดย ฮันกุก คิม เพียงคนเดียว ในระยะเวลาไม่นาน Gentle Monster ก็ได้นักลงทุนชาวเกาหลีอย่าง แจอุค โอ (Jae-Wook Oh) มาร่วมงานในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์อีกคน

2. เพราะเป็นแบรนด์สัญชาติเกาหลี จึงเข้าใจรูปหน้าของคนเอเชียเป็นอย่างดี

อย่างที่รู้กันตั้งแต่แรกว่า Gentle Monster คือแบรนด์แว่นสายตา แต่ด้วยความที่ประชากรผู้หญิงโดยส่วนใหญ่ของเกาหลีนั้นไม่นิยมสวมแว่นสายตาในชีวิตประจำวัน แต่กลับเลือกที่จะทำเลสิกหรือสวมใส่คอนแทกต์เลนส์กันมากกว่า ส่งผลให้โปรดักต์อย่างแว่นสายตาของ Gentle Monster เข้าถึงได้แค่กลุ่มลูกค้าผู้ชายเพียงอย่างเดียว นี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ฮันกุก คิม ต้องหันกลับมานึกคิดกลยุทธ์และดีไซน์ใหม่ๆ ของทั้งโปรดักต์หลักของแบรนด์และภาพลักษณ์ของ Gentle Monster เองด้วย 

ดูเหมือนว่าโชคจะเข้าข้างฮันกุก คิม อยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อย้อนกลับไปในช่วง 10 กว่าปีก่อน โปรดักต์อย่างแว่นตากันแดดมักจะถูกผลิตโดยหลากหลายแบรนด์ฝั่งตะวันตก และผลิตออกมาด้วยจุดประสงค์ที่จะตีตลาดตามรสนิยมของผู้คนในยุโรป ด้วยความอยากแตกต่างจากแบรนด์ตะวันตกเหล่านั้น ฮันกุก คิม จึงย้อนกลับมาคิดได้ว่าเขาควรจะโฟกัสไปที่การดีไซน์กรอบแว่นเพื่อตีตลาดเอเชียอย่างจริงจัง

แต่การจะตีตลาดเอเชียได้นั้น แว่นที่ดีไซน์ออกมาก็จำจะต้องผลิตมาเพื่อรูปหน้าของคนเอเชียโดยเฉพาะ ฮันกุก คิม จึงตัดสินใจดีไซน์กรอบแว่นที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย เพราะไม่ว่าใครที่ได้สวมใส่จะทำให้ใบหน้าดูเล็กลง เรียกได้ว่าเป็นการคิดค้นมาเพื่อตอบโจทย์การใส่แว่นกันแดดเพื่อปิดบังโครงหน้าที่อาจจะใหญ่หรือเหลี่ยม ที่เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คนเอเชียหลายๆ คนรู้สึกไม่มั่นใจ 

ไม่ใช่แค่เพียงกรอบแว่นที่ถูกดีไซน์ให้มีไซส์ที่ใหญ่ขึ้น แต่ดีไซน์บริเวณสะพานจมูกของแว่นตากันแดดทั่วๆ ไปมักจะถูกผลิตมาเพื่อรองรับสันจมูกที่โด่งของคนยุโรป ซึ่งเวลาชาวเอเชียสวมใส่แว่นตากันแดดจึงมักหล่นจากสันจมูกลงมาอยู่ที่ตรงกลางหรือปลายจมูก แต่แว่นของ Gentle Monster จะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะ ฮันกุก คิม ที่เป็นคนเอเชียคนหนึ่งตระหนักถึง pain point ตรงนี้ นี่จึงนับเป็นจุดแข็งหลักของแบรนด์ ทั้งยังเป็นก้าวสำคัญสู่ตลาดแว่นตาของ Gentle Monster แบรนด์แว่นตาโดยคนเอเชียที่ฟิตกับรูปหน้าของคนเอเชียได้อย่างลงตัว

3. แม้ไม่มีคู่แข่ง ก็ผลักดันตัวเองได้ 

ด้วยการโฟกัสในโปรดักต์ที่ตรงจุดและการเล็งเห็นถึงกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน แบรนด์ Gentle Monster จึงสามารถก้าวเข้าสู่ตลาดแว่นตาได้โดยแตกต่างจากคู่แข่ง แต่ถึงอย่างนั้นทางแบรนด์ก็ยังคงทุ่มเทไปกับการลงทุนในแง่คุณภาพของวัสดุที่จะนำมาผลิตเป็นสินค้าแต่ละชิ้นด้วยการซื้อโรงงานในเมืองแทกู (Daegu) ประเทศเกาหลีใต้ หรือพื้นที่ที่เคยเป็นศูนย์กลางของโรงงานผลิตกรอบแว่นตาในเครือ Luxottica Group บริษัทสัญชาติอิตาลีที่จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับแว่นตาที่ใหญ่ที่สุดในโลก เช่น Ray-Ban, Persol, Sunglass Hut และ Oakley  

ด้วยการกว้านซื้อพื้นที่และโรงงานเพื่อผลิตในประเทศเอง แว่นตาของ Gentle Monster จึงสามารถผลิตออกมาในคุณภาพที่สูงและยังสามารถวางขายในราคาที่ย่อมเยาได้ โดยนอกจากวัสดุของกรอบแว่นที่ทางแบรนด์เลือกใช้เป็นเหล็กและ cellulose acetate (อะซิเตท) หรือพลาสติกที่ผลิตจากพืช พลาสติกที่ได้รับการยอมรับว่ามีความแข็งแรง ทนทาน น้ำหนักเบา และยืดหยุ่น รวมไปถึงยังมีสีสันให้เลือกอีกหลากหลาย ตลอดจนความใสที่ก็มีให้เลือกหลายระดับในรุ่นดั้งเดิมที่ได้สร้างสแตนดาร์ดที่ดีให้กับแบรนด์แล้ว ในผลงานที่ผ่านมากว่าหนึ่งทศวรรษของการทำแบรนด์ Gentle Monster ก็ยังเคยทดลองใช้วัสดุอย่างโครเมียม ไทเทเนียม และโลหะเกรดพรีเมียมในการผลิตโปรดักต์ของตัวเองเช่นกัน

ไม่ใช่แค่เพียงกรอบแว่นที่ Gentle Monster ตั้งใจคัดสรรวัสดุคุณภาพสูง แต่ตัวเลนส์ที่ถูกบรรจุอยู่ภายใต้กรอบแว่นดีไซน์สุดเก๋แต่ละชิ้นนั้น คือเลนส์ Zeiss (ไซส์) หรือเลนส์แว่นตาพรีเมียมจากประเทศเยอรมนี ที่ได้รับสมญานามว่าเป็นเลนส์ที่มีมาตรฐานสูงที่สุดในโลกอีกด้วย 

4. การตกแต่งสโตร์แต่ละสาขาด้วยคอนเซปต์ที่เหนือชั้นและไม่จำเจ

จุดเด่นของ Gentle Monster ไม่ได้อยู่แค่ดีไซน์ของกรอบแว่นตาหรือเลนส์ที่ฮันกุก คิม เลือกใช้แต่เพียงวัสดุคุณภาพสูงเท่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ Gentle Monster โด่งดังไปทั่วโลกเห็นจะเป็นการดีไซน์ของสโตร์ที่มาพร้อมกับคอนเซปต์เหนือชั้นที่ไม่จำเจเลยสักสาขา

เราเชื่อว่าภาพจำร้านแว่นตาของใครๆ หลายคนคือการเดินเข้าไปร้านที่รายล้อมไปด้วยเคาน์เตอร์และชั้นวางแว่นตาหลากหลายประเภท โดยร้านแว่นตาเหล่านี้ก็ยังอาจจะล้อมรอบไปด้วยกระจกเพื่อให้เราได้ลองสวม ลองใส่แว่นตา ก่อนจะตัดสินใจเลือกซื้อสักชิ้นที่เหมาะกับเราที่สุด ไม่เว้นแม้แต่การเดินเข้าช้อปลักชัวรีแบรนด์ที่ก็รายล้อมไปด้วยเคาน์เตอร์และชั้นวางของเช่นกัน จะแตกต่างก็เพียงหมวดหมู่ของสินค้าที่ถูกจัดวางแบ่งออกเป็นโซนๆ

แต่สำหรับสโตร์ของ Gentle Monster แล้ว ความยูนีกคือหัวใจหลักสำคัญของการทำแบรนด์ ดังนั้นในสโตร์ทุกๆ สาขาก็จะถูกตกแต่งออกมาภายใต้คอนเซปต์ที่ล้ำสมัยเสมือนอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ เหนือธรรมชาติ (hyperreality) หรือจะว่าไป ในบางสโตร์ของ Gentle Monster เองก็ยังให้บรรยากาศคลับคล้ายกับการหลุดไปอยู่โลกเสมือนแห่งอนาคตที่ห้อมล้อมไปด้วยเหล่านวัตกรรมสุดล้ำ จากการตกแต่งด้วยผลงาน 3D ขนาดใหญ่ยักษ์และผลงานศิลปะที่เคลื่อนไหวได้ (kinetic sculpture) ภายในสโตร์ พูดให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คงไม่ต่างอะไรกับการเข้าชมแกลเลอรีศิลปะหลายๆ ที่นั่นแหละ

5. Gentle Monster ในขวบปีที่ 11 กับหลากผลงานคอลแล็บระดับโลก

การออกคอลเลกชั่นลิมิเต็ดนั้นดูจะเป็นเรื่องปกติของการทำแบรนด์ แน่นอนว่าในระยะเวลากว่าหนึ่งทศวรรษ Gentle Monster ก็ได้ออกไลน์สินค้าลิมิเต็ดไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นแว่นกันแดดรุ่น ‘Rick 01’ กับ ‘Frida 01’ ผลงานคอลแล็บกับผู้นำเข้าหลากหลายแบรนด์แว่นตาลักชัวรีเจ้าแรกของฮ่องกงอย่าง Puyi Optical หรือถ้าจะมองใกล้ลงมาอีกหน่อย ก็คงเป็นคอลเลกชั่นแว่นกันแดด ‘Bangkok Limited Edition’ ที่ถูกผลิตขึ้นมาสำหรับการเปิดตัวแฟล็กชิปสโตร์สาขาแรกในไทยเมื่อเดือนสิงหาคม 2023 นั่นเอง 

นอกเหนือจากผลงาน collaboration ที่ Gentle Monster ได้ปล่อยออกมาตามวาระโอกาสต่างๆ แล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้ Gentle Monster เติบโตและโด่งดังเทียบเท่ากับลักชัวรีแบรนด์ระดับโลกที่ก่อตั้งมาอย่างยาวนาน เห็นจะเป็นการดึงเหล่าศิลปินที่สร้างอิมแพกต์อย่างใดอย่างหนึ่งให้กับผู้คนในสังคม อย่างเจนนี่ BLACKPINK หรือคุน (KUN) ศิลปินชาวจีน ผู้เป็นหัวหน้าแห่งยูนิต WayV ของวงเคป๊อป NCT

รวมไปถึงผลงานคอลแล็บที่ Gentle Monster ได้ร่วมงานกับแบรนด์ลักชัวรีสุดเก๋ ทั้งแบรนด์ที่อยู่ในกระแสและแบรนด์ที่ครองใจผู้คนมาโดยเสมอ เช่น Maison Margiela, alexanderwang, Moncler, Marine Serre และ Coperni เป็นต้น
หรือหากคุณไม่ใช่สายไลฟ์สไตล์หรือสายแฟชั่น แต่เป็นสายวิดีโอเกม Gentle Monster ก็มีคอลเลกชั่นแว่นตาเลนส์สีที่คอลแล็บกับวิดีโอเกมชื่อดังอย่าง Overwatch 2 และวิดีโอเกมสุดคลาสสิก World of Warcraft ที่จะมาพร้อมกับสกินในเกมให้สายเกมได้ไปสนุกกันต่อด้วย 

6. จากแบรนด์แว่นสายตาในประเทศ สู่แบรนด์แว่นสุดลักชัวรีที่โด่งดังไปทั่วโลก

ในปัจจุบัน Gentle Monster แบรนด์แว่นตาสัญชาติเกาหลีที่มีอายุเพียง 11 ปี สามารถขายแว่นตาที่ตั้งใจดีไซน์และผลิตออกมาให้เข้ากับรูปหน้าของคนเอเชียได้ในราคาเริ่มต้นที่ 200 ดอลลาร์สหรัฐ ไปจนถึงราคา 500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 7,000-17,500 บาท ซึ่งเทียบเท่ากับแบรนด์ลักชัวรีสัญชาติอื่นๆ ถือเป็นแบรนด์แฟชั่นของคนเอเชียที่มีการเติบโตไปทั่วโลก และประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมียอดขายที่เพิ่มขึ้น 3-4 เท่าตัวในทุกๆ ปี 

แค่ยอดขายเพียงอย่างเดียวก็ดูเหมือนจะการันตีถึงความสำเร็จของตัวแบรนด์ แถม Gentle Monster ยังมีแฟล็กชิปสโตร์หลายๆ สาขาใน 10 กว่าประเทศทั่วโลก ทั้งยังมีตัวแทนจำหน่ายอย่างถูกต้องมากกว่า 20 ประเทศ

ก่อนที่ในเดือนกันยายน ปี 2017 บริษัทอย่าง LVMH ที่ดูแลธุรกิจแบรนด์หรูที่ใหญ่ที่สุดโลก หรือบริษัทแม่ของแบรนด์ลักชัวรีอย่าง Celine, Dior, Louis Vuitton, Bulgari และอีกกว่า 70 แบรนด์ ก็ยังได้รวมลงทุนในแบรนด์ Gentle Monster ไปแล้วด้วย

และนี่ก็คือเส้นทางการเติบโตของ Gentle Monster กับกลยุทธ์ในการสร้างคุณค่าของแบรนด์ที่สามารถนำพาแบรนด์เอเชียเข้าสู่ตลาดโลกได้ในระยะเวลาเพียงหนึ่งทศวรรษ

ภาพ : Gentle Monster

อ้างอิง

ทิศทาง AI & Data ในปี 2024 คนทำธุรกิจและพนักงานต้องปรับตัวยังไงเพื่อให้ไม่โดนแย่งงาน

2023 เป็นปีที่เราได้ยินคำว่า AI บ่อยกว่าปีไหนๆ การมาถึงของ ChatGPT, Bard และ CoPilot AI เปลี่ยนโลกการทำงานของหลายคนไปอย่างสิ้นเชิง เช่นเดียวกับดาต้าที่หลายแบรนด์หันมามองหาเครื่องมือในการบริหารจัดการอย่างจริงจัง เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าแล้วตอบโจทย์พวกเขาได้อย่างตรงจุด

AI จะแย่งงานพวกเราทุกคนหรือไม่ ทักษะใดที่จะทำให้เราอยู่รอดในโลกที่มี AI และทิศทางการเติบโตของดาต้าจะเป็นยังไงในปี 2024 นี่คือคำถามที่ผู้ประกอบการหลายคนอยากรู้ 

เราเดินทางมาพบกับ เต่า–ไชยณัฐ สัจจะปรเมษฐ Managing Director of Data and Interactive Business Unit ของบริษัท Rabbit’s Tale ที่เชี่ยวชาญเรื่องการทำดาต้าด้านการตลาด (ปัจจุบัน Rabbit’s Tale เป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Accenture ประเทศไทย) เพื่อหาคำตอบ

What Happened with AI & Data World in 2023

“โลกของดาต้ามันใหญ่มาก เราอาจตอบเรื่องดาต้าไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด เพราะในแต่ละอุตสาหกรรมและบริษัท ก็จะมีบริบทของดาต้าที่ไม่เหมือนกัน” ไชยณัฐออกตัวก่อนสนทนา แล้วขยายความต่อว่าดาต้าที่เขาเชี่ยวชาญและทำงานด้วยมาหลายปีคือดาต้าด้านการตลาด 

ผ่านจุดที่ทุกคนไฮป์–เขานิยามแบบนั้น การใช้ดาต้าเพื่อทำการตลาดไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยเฉพาะช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาที่เทคโนโลยีด้านการตลาดหรือ MarTech เติบโตขึ้นมาก

“สมัยก่อนเวลาเราพูดคำว่ามาร์เก็ตติ้งเราจะนึกถึงการสื่อสารกับลูกค้า เช่น การทำหนังโฆษณาเพื่อออกฉาย แต่ยุคนี้การตลาดมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง เห็นได้เลยว่าช่วงไม่กี่ปีนี้ วงการ MarTech เมืองไทยโตมาก พอมันโต data-driven marketing ก็โตตาม ตอนนี้เราไม่ได้อยู่ในช่วงของการลองผิดลองถูกแต่เป็นช่วงที่ทำเรื่องดาต้าอย่างจริงจัง มีเครื่องมือให้ใช้เยอะแยะ และองค์กรส่วนใหญ่มีการขับเคลื่อนเรื่องดาต้าแล้ว” ไชยณัฐวิเคราะห์

ในบริบทของการตลาด ดาต้าช่วยให้องค์กรเข้าใจพฤติกรรมลูกค้ามากขึ้น เราอยู่ในยุคที่องค์กรตระหนักว่ามนุษย์ทุกคนมีความแตกต่าง มีความชอบ และความสนใจไม่เหมือนกัน หากต้องทำการตลาดก็ต้องมีวิธีการที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคน 

เป็นเหตุผลว่ายุคนี้เราจึงได้ยินคำว่า ‘การตลาดเฉพาะบุคคล’ หรือ personalization บ่อยๆ

“มันหมดยุคที่คนทั้งโลกดูทีวีแล้วต้องดูโฆษณาตัวเดียวกันแล้ว เห็นไหมว่าเดี๋ยวนี้เวลาเห็นแอดฯ ในมือถือ ทุกคนเห็นแอดฯ ไม่เหมือนกัน สิ่งเหล่านี้แหละถูกขับเคลื่อนด้วยดาต้า”

มองมายังฝั่งปัญญาประดิษฐ์ ไชยณัฐมองว่า 2023 คือปีที่ Generative AI เริ่มมีผลต่อชีวิตประจำวันของผู้คน คนทำงานหลายคนนำ AI มาช่วยเขียนอีเมลหรือทำงานแทน และองค์กรส่วนใหญ่กำลังอยู่ในช่วงของการสำรวจว่าพวกเขาจะสามารถนำ AI มาช่วยงานได้ยังไงบ้าง

“เรามองว่าจริงๆ แล้ว AI อยู่ในชีวิตประจำวันของเรามานานแล้ว เพียงแต่ว่ามันไม่ได้เป็น AI แบบที่ใส่คำสั่ง (prompt) ลงไป AI ที่เรามักจะเห็นบ่อยๆ คือ Recommendations ถ้าเธอชอบสิ่งนี้ เธอน่าจะชอบสิ่งนั้นด้วย อย่าง Netflix เวลาเราดูหนังของเขาไปสักพัก เขาจะแนะนำได้ว่าเราน่าจะชอบเรื่องไหน หรือแพลตฟอร์มซื้อ-ขายอย่าง Shopee และ LAZADA ก็เช่นกัน”

เมื่อมองในมุมธุรกิจ AI เข้ามาช่วยทอนเวลาในการทำงานบางงานที่มักจะเป็นงานที่ทำซ้ำๆ (routine) ทำให้คนทำธุรกิจมีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่น ที่เห็นได้ชัดคือระบบต่างๆ ที่รันแบบอัตโนมัติ

“ลองนึกภาพร้านค้าที่ต้องจ้างพนักงานหน้าร้าน หากมีพนักงานเก่ง ปิดการขายได้ ร้านนั้นก็ขายดีไป แต่หากพนักงานทำงานหลุดๆ ไปบ้าง สมมติลูกค้าซื้อแล้วต้องแนะนำบริการให้เขากลับมาซื้อซ้ำ แต่พนักงานดันลืม นี่ก็เสียโอกาสในอนาคต มันคือความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์ ระบบ automation เข้ามาช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดตรงนี้ได้

“จริงๆ automation ในมุมของดาต้าก็กำลังมา เพราะต้องทำควบคู่ไปกับการทำ personalization สมมติเรามีลูกค้าอยู่ 10,000 คนและเชื่อว่าคนทุกคนไม่เหมือนกัน เราจึงอยากส่งอีเมลที่ไม่เหมือนกันเลยให้ทุกคน แน่นอนว่าเราไม่สามารถมานั่งเขียนอีเมลทุกฉบับได้ เพราะฉะนั้น ยิ่งเรา personalize มาก automation ยิ่งสำคัญ 

“หรืออย่างเคสการปิดการขายก็เช่นกัน หากลูกค้าทักเข้ามาในกล่องข้อความ ระบบ AI และฐานข้อมูลจะตรวจสอบได้ว่าเขาเคยมาซื้อครั้งแรกหรือเปล่า เมื่อปิดการขายเสร็จระบบก็สามารถแนะนำบริการอื่นๆ เพื่อจูงใจให้เขากลับมาซื้อซ้ำได้อีก เหมือนระบบปฐมนิเทศสำหรับลูกค้า นี่เป็น use case มาตรฐานในโลกของดาต้า” 

What’s NEXT for 2024?

ในยุคที่เรามีเครื่องมือจัดการดาต้าเต็มไปหมด ไชยณัฐมองว่าในปี 2024 เทรนด์ที่กำลังจะมาคือธุรกิจต่างๆ จะกลับมามองผ่านเลนส์ของลูกค้ามากขึ้น ยิ่งประเทศไทยมีการประกาศใช้กฎหมาย PDPA หลายคนก็ระมัดระวังในการแชร์ข้อมูลของตัวเองให้คนอื่น โจทย์ของแบรนด์คือจะทำยังไงให้ลูกค้าไว้ใจมากพอ 

“คำว่าไว้ใจคือไว้ใจที่จะให้ ถ้าให้แล้วเธอไม่เอาข้อมูลไปหลุดรั่วที่ไหน ปลอดภัย แบรนด์จะไม่ให้ทำชีวิตเขาวุ่นวายหรือแย่ลง” ไชยณัฐย้ำ

อีกเทรนด์ที่จะอยู่ยั้งยืนยงต่อไปคือการทำ personalization หรือการตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะตัวของลูกค้าแต่ละคน “มีงานวิจัยออกมาเลยนะว่ายิ่งทำ personalization แบรนด์ก็จะขายได้มากขึ้น ตัวอย่างชัดมากเลย ลองนึกภาพเราเข้า Shopee หรือ LAZADA ถ้าเข้าไปแล้วมีโปรดักต์ที่ตรงใจเราโชว์ขึ้นมา มันก็มีโอกาสที่เราจะซื้อ เพราะโปรดักต์ที่อยู่ในแพลตฟอร์มเหล่านี้มีเป็นล้านๆ ชิ้น โจทย์คือทำยังไงให้ลูกค้าเห็นสิ่งของที่ตรงใจเขา

“สุดท้ายการเก็บดาต้ามันคือพื้นฐานของการทำ personalization แบรนด์ต้องรู้ว่าลูกค้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน คำถามคือถ้าจะทำ personalization วันนี้คุณรู้จักลูกค้าของคุณแล้วหรือยัง”

ส่วนฝั่ง AI เทรนด์ที่ไชยณัฐคาดการณ์คือ AI จะเติบโตและแทรกซึมเข้าไปในผลิตภัณฑ์ที่เราคุ้นเคย ยกตัวอย่าง ในอดีตเราเข้าโปรแกรมคำนวณเช่น MS Excel หรือ Sheet แล้วต้องพิมพ์สูตรเอง ทว่าในอนาคตอาจสั่งการด้วยภาษามนุษย์แล้วให้ AI แปลงเป็นสูตรอีกที เช่นเดียวกับ Powerpoint หรือ Slide ที่ AI อาจเนรมิตสไลด์ทั้งหน้าได้ในคลิกเดียว

“ในโลกดาต้า สมัยก่อนเราจะเอาดาต้ามาทำเป็นกราฟก็ต้องใช้วิศวกรข้อมูลและนักวิเคราะห์ข้อมูลในการเตรียมข้อมูลให้พร้อมและทำกราฟ แต่เราว่าต่อไปคนทำธุรกิจอาจจะสามารถสั่งด้วยภาษามนุษย์ เช่น ช่วยทำกราฟเปรียบเทียบยอดขายปีนี้กับปีที่แล้วของสินค้าตัวนี้ให้ดูหน่อย สุดท้ายแล้วเราได้กราฟที่หน้าตาเหมือนกัน”

วันหนึ่ง AI จะมาทำงานแทนคนได้ไหม เราสงสัย

“ส่วนหนึ่งอาจทำงานแทนคนได้จริงๆ แต่เรามองว่า มันจะแทนในงานที่ไม่มี value เลย เป็นงานที่เป็นแพตเทิร์นมากๆ ทำได้อัตโนมัติ หรือเป็นงานที่จริงๆ แล้วคนขี้เกียจทำ เช่น งานเอกสาร งานเขียนอีเมล งานเหล่านี้ต่อไปจะถูกระบบทำให้เป็นอัตโนมัติมากขึ้น”

อย่างไรก็ดี มีงานมากมายที่ไชยณัฐเชื่อว่า AI ทำแทนมนุษย์ไม่ได้ เขายกตัวอย่างงานคอนเทนต์ ซึ่งแม้เราจะสั่งให้ AI หาข้อมูลและเขียนได้ แต่สุดท้ายยังต้องใช้มนุษย์ตัดสินใจว่างานชิ้นนั้นดีหรือไม่ “เราเชื่อว่า AI จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเหมือนที่เราใช้อินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตไม่ได้ทำให้คนตกงานทั้งโลกฉันใด AI ก็เป็นแบบนั้น เพียงแต่เราต้องใช้ AI ให้เป็น นั่นคือทักษะที่เหล่าคนทำงานต้องปรับตัว 

“แต่สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปยังไง ทักษะที่จำเป็นคือการเข้าใจมนุษย์ เพราะลูกค้าของเราเป็นมนุษย์ ทักษะการสื่อสารก็ยังสำคัญไม่ว่าจะเป็นการคุยกันในองค์กรหรือการคุยกับลูกค้าให้รู้เรื่อง สกิลเหล่านี้ไม่ได้เป็นสกิลทางเทคนิคเลย”

จริงอยู่ที่องค์กรบางแห่ง หรือการทำงานบางอย่างอาจไม่จำเป็นต้องใช้ AI หรือเกี่ยวข้องกับดาต้าเลย แต่อย่างน้อยที่สุด ไชยณัฐมองว่าสิ่งที่ทุกองค์กรทำได้คือการสร้างวัฒนธรรมที่อ้าแขนรับความเป็นไปได้และเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้พนักงานได้ลองใช้เพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม เพราะ AI เติบโตเร็วมากในยุคนี้ และบางครั้งกฎหมายก็ยังตามไม่ทัน บางครั้งการเลือกใช้เครื่องมือต่างๆ ภาคธุรกิจก็ต้องคิดให้ดีว่าเครื่องมือที่เลือกใช้นั้นถูกลิขสิทธิ์ ผ่านการสร้างสรรค์อย่างถูกต้องและโปร่งใส

เราถามต่อว่า ในยุคนี้ที่ทุกอย่างเติบโตอย่างรวดเร็ว จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจ้าของธุรกิจยังไม่ลองใช้ AI หรือดาต้า

“เขาอาจจะถูก force (บีบบังคับ) ให้ใช้ได้” ไชยณัฐตอบ “เหมือนอินเทอร์เน็ตนั่นแหละ ยุคนี้คนรอบข้างของเราใช้อินเทอร์เน็ตกันหมด ทุกคนใช้อีเมล คุยกันผ่านออนไลน์ ถ้าคุณบอกว่าไม่ เราไม่อยากใช้สมาร์ตโฟน วันหนึ่งเราก็จะถูกบีบจนไม่สามารถอยู่รอดได้ AI ก็จะเป็นแบบนี้เช่นกัน เพียงแต่จะใช้เวลามากน้อยขนาดไหนเราไม่รู้”

เครื่องมือ AI และ Data ที่ไชยณัฐแนะนำ

ไชยณัฐออกตัวว่า ทุกวันนี้มีเครื่องมือ AI และการบริหารจัดการข้อมูลหลากหลาย ไม่ว่าจะแบรนด์ไทยหรือแบรนด์ต่างประเทศ 

  • อย่างไรก็ดี ในมุมมองของเขา เครื่องมือพื้นฐานในการทำธุรกิจคือเครื่องมือ CRM (Customer Relation Management) หรือเครื่องมือบริหารความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจทุกภาคส่วน เพื่อใช้เก็บข้อมูลลูกค้าและจูงใจให้พวกเขากลับมาซื้อต่อ
  • ทุกวันนี้โปรแกรม CRM มีให้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ก็มีให้ใช้ทั้งหมด ที่สำคัญคือมีทั้งแบบจ่ายเงินและที่ให้ดาวน์โหลดไปใช้แบบฟรีๆ
  • เช่น Google Sheet เครื่องมือในการเก็บข้อมูลที่หลายคนคุ้นชิน มองเผินๆ แล้วเป็นโปรแกรมเล็กๆ ที่ให้บริการฟรี แต่หลายร้านก็นำมาใช้เก็บฐานข้อมูลลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพทีเดียว

หลัก 4P+1 ของ MORE ที่พัฒนาวัสดุทางเลือกใหม่จากขยะเหลือทิ้งเป็นเฟอร์นิเจอร์พรีเมียม

สโลแกนของแบรนด์ MORE คือ Waste is MORE ด้วยความเชื่อที่ว่า waste หรือวัสดุเหลือใช้เป็นมากกว่าขยะ แต่เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า

‘เยื่อกาแฟจากธุรกิจกาแฟ’ ‘ฝุ่นไม้จากโรงงานไม้’ ‘ฝาขวดไม่ใช้แล้วจากขวดที่ใช้ในธุรกิจ’ และของใกล้ตัวอีกมากมาย ไม่น่าเชื่อว่าวัสดุเหล่านี้สามารถนำมาแปลงร่างให้กลายเป็นเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์สวยในราคาพรีเมียมได้

แม้ในทุกวันนี้แต่ละธุรกิจจะมี waste เป็นขยะเหลือทิ้งจากการผลิตอย่างล้นหลาม แต่ทีม MORE บอกว่าความท้าทายที่สุดในการนำวัสดุมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ไม่ใช่ในเชิงเทคนิคหรือเชิงวิทยาศาสตร์ แต่จะทำยังไงให้ลูกค้ายินดีจะซื้อสินค้าจากขยะไปใช้ ทำยังไงให้ลูกค้าเปิดรับวัสดุทางเลือกใหม่และแต่ละธุรกิจหันมาสนใจสิ่งที่เป็นมากกว่าแค่กำไร

ด้วยเหตุนี้ บาส–จิระวุฒิ จันเกษม และ นัท–เจตนัตว์ ศุภพิพัฒน์ Co-founder ทั้ง 2 ท่านของ MORE จึงสร้างแบรนด์และทำธุรกิจร่วมกันขึ้นมาเพราะเชื่อว่าการสร้างโมเดลธุรกิจคือคำตอบที่ยั่งยืนของการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม

ด้วยโมเดลธุรกิจที่แปลกใหม่และน่าสนใจ วันนี้เราจึงขอชวนคุยกับผู้ร่วมก่อตั้งทั้ง 2 ท่านและ เน็ท–จุมพล โซ่เจริญธรรม Senior Designer ถึงหลัก 4P+1 ในการทำธุรกิจภายใต้แบรนด์ MORE ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่ควรคำนึงนอกจาก product, price, place, promotion เพื่อสร้างแบรนด์รักษ์โลกได้อย่างยั่งยืน 

Product
Turn Innovation to Brand

บาสเล่าว่าจุดเริ่มต้นคือเขาซึ่งมีบทบาทเป็นนักวิจัยพัฒนาวัสดุของสถาบันนวัตกรรม ปตท. ได้มีโอกาสเยี่ยมชมโรงคั่วกาแฟ Amazon ซึ่งมีเยื่อกาแฟเหลือใช้และได้รับโจทย์สำหรับงานวิจัยในห้องแล็บของสถาบันนวัตกรรม ปตท. ว่าจะสร้างมูลค่าใหม่จากเยื่อกาแฟได้ยังไง 

ส่วนนัทผู้เป็นเจ้าของแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ ‘ฮูก’ (HOOG) ก็มีโรงงานและต้นทุนที่พร้อมอยู่แล้วในการทำเฟอร์นิเจอร์ทั้งด้านการผลิตและกลยุทธ์การตลาดเพื่อเข้าถึงลูกค้า เมื่อทีมวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยพัฒนาวัสดุและเจ้าของโรงงานผู้ผลิตได้เจอกันจึงเริ่มลองผิดลองถูกร่วมกันในการพัฒนานวัตกรรมและปรับคุณสมบัติของวัสดุให้มีคุณภาพเหมาะสมกับการนำมาพัฒนาเป็นเฟอร์นิเจอร์ โดยตั้งต้นจากเยื่อกาแฟเป็นวัสดุแรกในการวิจัย 

กระบวนการพัฒนาคือการนำพลาสติกรีไซเคิลมาผสมกับวัสดุต่างๆ แล้วนำมาขึ้นรูป ออกมาเป็นวัสดุทางเลือกในชื่อใหม่อย่าง PlassCoff (coffee + plastic), sawdust (sawdust + plastic), bottle cap เป็นต้น ซึ่งบาสเล่าว่าวัสดุเหล่านี้เกิดจากการต่อยอดพัฒนาองค์ความรู้ไปเรื่อยๆ

“พอมานั่งคุยกัน เราก็รู้สึกว่า เยื่อกาแฟเป็นเพียง waste ตัวหนึ่งจากธุรกิจหนึ่ง พอเราทำแล็บไปเรื่อยๆ เราก็รู้สึกว่าที่จริงแล้ว เรามี know-how ของคนไทย ที่ไม่ได้พึ่งพิงคนต่างประเทศแม้แต่นิดเดียวและยังใช้ waste ของคนไทย แล้วปัญหาขยะก็เริ่มมีมากขึ้นทุกวัน ก็เลยเอากระบวนการตรงนี้มาขยายผลต่อ และเอาวัสดุอื่นๆ มาลองทำ”  

ในฐานะดีไซเนอร์ เน็ทบอกว่า MORE โฟกัสที่การชูวัสดุเป็นหลักและใช้คอนเซปต์ที่เรียกว่า replace หรือสร้างวัสดุทดแทนที่เลียนแบบให้คล้ายวัสดุจริงที่สุด

“สมมติวัสดุที่ดูเหมือนไม้ เราก็จะพยายามทำ waste นั้นให้ดูเหมือนไม้ คือถ้าสังเกตสินค้าของเราจะไม่ได้ดูปุ๊บแล้วรู้ทันทีว่าทำมาจาก waste เราจะออกแบบให้แสดงความโดดเด่นและเอกลักษณ์ของวัสดุที่มาจาก waste โดยตรงทั้งจากสีสันและพื้นผิว และพยายามออกแบบให้เรียบง่ายเพื่อช่วยลดการสูญเสียทรัพยากร กล่าวคือลดความซับซ้อนลง ทำให้โครงสร้างเรียบง่ายเพื่อเป็นการลดการเกิด waste ให้ได้มากที่สุดด้วย”

โครงสร้างในการออกแบบที่เรียบง่ายที่เน็ตหมายถึง เช่น การสามารถถอดแยกชิ้นส่วนได้เพื่อให้ซ่อมแซมได้ง่ายในส่วนที่เชื่อมต่อกันระหว่างไม้กับพลาสติกรีไซเคิล ขาเหล็กที่สามารถแยกกับพื้นนั่งได้ซึ่งทำให้ง่ายต่อการนำกลับมารีไซเคิลด้วย เป็นต้น

นอกจากนี้วัสดุทางเลือกใหม่ที่ MORE คิดค้นนั้นยังมีตัวเลือกหลากหลายทั้งแบบที่มีความพร้อมในการผลิตเชิงแมส ที่มีการเก็บรวบรวมวัสดุ สต็อกวัตถุดิบ และพัฒนากระบวนการผลิตที่นิ่งหมดแล้ว และยังมีวัสดุอีกแบบคือหมวด customize ซึ่งเป็นสนามเด็กเล่นของทีมที่ทดลองวัสดุใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้นอกจากสินค้าของ MORE ที่เห็นในวันนี้ ในอนาคตอาจมีสินค้าจากวัสดุทางเลือกใหม่และสินค้าชิ้นใหม่ที่เกิดขึ้นจากความคิดสร้างสรรค์อย่างไม่จำกัด 

Price
Added Value from Waste 

ในมุมธุรกิจ นัทอธิบายว่า “เราอยู่ในโพซิชั่นพรีเมียมแมส การตั้งราคาของเราจะสูงกว่าพวกเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นไม้ยางพาราประมาณ 20% และใช้หลักการ cost-based (อิงจากราคาต้นทุน) ในการตั้งราคา”  

โดย MORE ยังยึดหลักสวยและราคาเข้าถึงได้เพราะอยากให้ลูกค้าสามารถช่วยรักษ์โลกด้วยการซื้อของจาก waste ที่ใช้ได้จริง ใช้ได้นาน และใช้ได้เยอะ ไม่ใช่ซื้อใหม่แล้วทิ้งจนกลายเป็นการสร้างขยะชิ้นใหม่

ความท้าทายของทีม MORE คือการสื่อสารให้ลูกค้ารับรู้ว่าเบื้องหลังการผลิตสินค้ารักษ์โลกนั้นมีต้นทุนที่สูงกว่าสินค้าจากวัสดุทั่วไป บาสเล่าว่าเป้าหมายของทีมคืออยากลบภาพจำว่าของใช้ที่แปรรูปจากขยะเหล่านี้มักมีราคาถูก

“คนจะลืมคิดไปว่า ถึงแม้เราจะเอาวัตถุดิบที่เรียกว่าขยะมาทำ แต่วันนี้เราขายของที่ไม่ใช่ขยะนะ เราไม่ได้ขายเก้าอี้ที่ดูแล้วเป็นขยะ แต่ขายเก้าอี้ที่ดูเป็นเก้าอี้เหมือนปกติที่คุณใช้ เพราะฉะนั้นต้นทุนมันก็เลยจะสูง เราพยายามทำให้สินค้าดีที่สุด มีคุณภาพ ทำให้ทุกคนรู้สึกว้าวว่ามันมาจาก waste จริงเหรอ ถ้าผมไม่บอก คุณรู้ไหมว่ามันมาจาก waste ภาพของมันจะไม่ได้ต่างจากเก้าอี้ไม้ที่คุณเคยซื้อ เราพยายามจะทำลายความเชื่อว่าสินค้าจาก waste ไม่สะอาด ไม่ปลอดภัย ดูไม่ดี ดูราคาถูก”

ทั้งนี้บาสเสริมว่าโมเดลธุรกิจของ MORE ไม่ใช่แค่การเพิ่มมูลค่าให้สินค้าเท่านั้น แต่เป็นการนำองค์ความรู้ทั้งหมดมาเพิ่มมูลค่าให้วัสดุในหลายรูปแบบ “เราไม่ได้บอกว่า MORE ขายเฉพาะเฟอร์นิเจอร์ มันเป็นแค่สินค้าหมวดแรกๆ ที่เราอยากจะผลักดันด้วยความพร้อมของทีมพวกเราเอง ความจริงแล้วเราอยากจะบอกว่า MORE ขายทุกอย่างที่ใช้วัสดุจาก waste โมเดลของเราจึงไม่ใช่คนรับซื้อ waste แต่ชวนคนที่สนใจเปลี่ยน waste เป็นสินค้ามาคุยกัน พัฒนาวัสดุจากขยะของคุณแล้วคุณต้องรับซื้อสินค้านี้กลับไป ต้องพยายามที่จะพัฒนาและขายสินค้าที่ทำมาจาก waste ของคุณเอง ถ้าคุณอยากจะลด waste ของคุณ”

“เราพยายามจะนำเสนอลูกค้าให้เอา waste มาคุยกับเราและต้องรับผิดชอบในการซื้อผลิตภัณฑ์กลับไปแบบนี้ เพราะไม่งั้นมันกลายเป็นว่าทุกคนที่มี waste จะเอามาขายกับ MORE แล้วเราจะไม่ต่างอะไรกับร้านรับซื้อของเก่า waste ก็จะแค่ย้ายมากองที่เรา แต่เราก็จะไม่ได้ลดขยะให้กับใคร เจ้าของ waste ก็จะมองง่ายว่าสามารถใช้เงินให้จบไปแต่ไม่ได้รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมา เขาก็จะไม่ตระหนักเรื่องของสิ่งแวดล้อมอะไรเลย แต่วันนี้เราจะเปลี่ยน waste ให้มันเป็นความภูมิใจของบริษัทเขาเอง นั่นคือความตั้งใจของเรา”

Promotion & Place 
Bring the World Closer to Sustainability 

ในการสร้างแบรนด์และการตลาด MORE ใช้คุณภาพของสินค้าเป็นตัวนำเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า เมื่อคาแร็กเตอร์ของแบรนด์แข็งแรงก็ทำให้สื่อสารความตั้งใจถึงลูกค้าได้ชัดเจน

“แบรนด์คาแร็กเตอร์ของเรามี 3 เสาหลัก คือเรื่องของ sustainability เพราะ waste คือทรัพยากรที่มีคุณค่าซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นแกนหลักของเรา แกนที่ 2 คือ innovation ที่ ณ วันนี้เรามีทีมทำวิจัยและพัฒนาวัสดุที่นำเทคโนโลยีมาใช้กับ waste เพื่อช่วยในการนำวัสดุกลับมา อย่างที่ 3 creativity คือการใช้ความคิดสร้างสรรค์ของดีไซเนอร์เพื่อที่จะเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ผ่านเทคโนโลยีและ resource ที่มาจาก waste ให้ถึงผู้บริโภค”

บาสมองว่าทั้ง 3 สิ่งเป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการเล่าตัวตนแบรนด์ว่า MORE มีเส้นทางการเดินทางเป็นวงกลมคือมีที่มาจากคนทิ้งขยะและผ่านกระบวนการที่ทำให้วัสดุเหลือใช้กลับไปถึงคนทิ้งขยะเหล่านั้นอีกครั้ง โดยนิทรรศการเปิดตัวที่เล่าคอนเซปต์เหล่านี้ของ MORE จัดขึ้นครั้งแรกที่ Bangkok Design Week ซึ่งชวนดีไซเนอร์ 8 ทีม มาต่อยอดไอเดียเปลี่ยน waste เป็นวัสดุ เพื่อแสดงให้เห็นว่าวัสดุเหล่านี้มีมูลค่าและคุณค่ามากกว่าที่ทุกคนคิด

ความพิเศษคือในกระบวนการคัดเลือก waste 8 อย่างเพื่อนำมาพัฒนาเป็นงานออกแบบนั้น มีการตั้งโจทย์จากปัญหาจริงที่ทำให้เกิดขยะในประเทศ นอกจากเยื่อกาแฟที่นำมาพัฒนาเพราะมี know-how อยู่แล้ว บาสบอกว่าเกณฑ์ในการเลือกวัสดุมีที่มาจากปัญหาที่พบเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน 

“อย่าง PM2.5 เป็นเรื่องที่ทุกคนคำนึงถึง มีการรณรงค์ให้ทุกคนเลิกเผา แต่แล้วรัฐบาลมีทางออกให้กับเกษตรกรแล้วหรือยัง เราก็มาคิดต่อว่าอย่างใบอ้อย ถ้าเกษตรกรไม่เผา น่าสนใจไหมที่จะเอามาพัฒนาเป็นวัสดุ” นอกจากนี้ยังมีวัสดุตั้งต้นที่เป็นสิ่งเหลือทิ้งปริมาณมากจากการผลิตแบบแมสจากอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างฝุ่นไม้จากโรงงานไม้ ฝุ่นผ้าจากโรงงานผ้า อลูมิเนียมฟอยล์จากกล่องนม ฝาขวดที่ผู้คนยังไม่นิยมนำไปรีไซเคิล ไปจนถึงวัสดุเหลือทิ้งในครัวเรือนอย่างเปลือกไข่ 

“พอดีไซเนอร์เขาเห็นวัสดุเรา มันก็เป็นของเล่นใหม่สำหรับเขาในการที่จะไปทำงานต่อ บางทีเขาก็แนะนำดีไซเนอร์ด้วยกันให้เข้ามาคุยกับเรา พอเราเปิดตัวปุ๊บ คนก็เริ่มเดินเข้ามา แล้วก็เริ่มเกิด node ของคนที่เริ่มรู้จักเราแล้ว”

นอกจากสามารถเดินดูเฟอร์นิเจอร์และเข้ามาปรึกษาได้ที่โชว์รูมของ MORE ที่สุขุมวิทแล้ว นัทบอกว่า สามารถพบ MORE ได้ตามนิทรรศการและงานแฟร์ด้านดีไซน์ชื่อดังต่างๆ ที่หมุนเวียนไปจัดแสดง ที่ผ่านมา MORE เป็นแบรนด์แรกๆ ที่เล่าเรื่องนวัตกรรมวัสดุอย่างจริงจังทั้งในงานบ้านและสวนแฟร์, SX Sustainable Expo, FIND – Design Fair Asia, Maison&objet ฯลฯ

“ถ้าเป็นคนทั่วไปก็มักจะติดตามแบรนด์ได้ในแพลตฟอร์ม อิสตาแกรม เฟซบุ๊กของเรา ส่วนลูกค้าจะรู้จักจากทาง direct sales ที่เราวิ่งเข้าไปหาบ้าง” ซึ่งนัทมองว่าการติดต่อเข้าหาลูกค้า B2B สำหรับ MORE เป็นเรื่องไม่ยากเพราะตลาดมีความต้องการอยู่แล้ว อย่างคาเฟ่ Amazon ที่ต้องซื้อโต๊ะเก้าอี้อยู่แล้ว ก็เปลี่ยนจากซื้อเฟอร์นิเจอร์ทั่วไปมาเป็นสินค้าเดิมจากเยื่อกาแฟของตัวเองที่ทำให้ธุรกิจได้รับผิดชอบในกระบวนการผลิตของตัวเองด้วย

นอกจากคาเฟ่ Amazon แล้วก็ยังมีคาเฟ่อื่นๆ อีกมากมายที่อยากรับผิดชอบต่อวัสดุเหลือทิ้งของตัวเองแล้วนำมาเปลี่ยนเป็นเฟอร์นิเจอร์อย่าง Boncafé Thailand, Roots, Sizzler, Siwilai ที่ตั้งใจเก็บขวดเหลือมาเปลี่ยนทำเป็นวัสดุและของใช้สำหรับ Siwilai radical club 

“ในมุมของแบรนด์ สิ่งที่เราอยากสื่อสารกับคนทั่วไปคือเราอยากให้ทุกคนลด waste เราไม่ได้บอกว่าเราต้องการจะมีความท้าทายที่เยอะมหาศาลขนาดนี้ ให้ทุกคนช่วยกันก่อนในการลด waste แล้วหลังจากนั้นจะเป็นหน้าที่ของเราที่จะเข้าไปช่วยพวกคุณอีกทีหนึ่งในการเอา waste ที่ลดแล้วไปพัฒนาต่อ” บาสสรุปความตั้งใจที่ไม่อยากเป็นทีมเดียวที่รักษ์โลก แต่อยากสร้างคอมมิวนิตี้ของสังคมที่ทุกคนช่วยกันในการบริหารจัดการทรัพยากรที่ล้นหลาม 

Preservation
Keep Going to Expand Community 

สำหรับบาส ‘preservation’ หรือการรักษาไว้ให้ได้คือสิ่งสำคัญในการทำ MORE ที่อยากให้การทำธุรกิจมีความสมดุลตรงกลางระหว่างการอนุรักษ์กับธุรกิจ

“ทีมเรามานั่งตกผลึกด้วยกันว่า ถ้าเราอยากจะทำสิ่งนี้ไปนานๆ มันควรจะทำให้เป็นธุรกิจ เพราะถ้าเรารักสิ่งแวดล้อมแต่สุดท้ายบริษัทมีเงินทุนไม่พอ ก็จะต้องตัดเรื่องสิ่งแวดล้อมออกไป มันเลยเป็นที่มาว่ามาตั้งแบรนด์และทำแบรนดิ้งกัน

“ในมุมธุรกิจ เราก็ต้องเลี้ยงตัวเอง ถ้าเกิดเราอยากทำเรื่องนี้แล้วเลี้ยงตัวเองไม่ได้ เราจะไม่มีทรัพยากรในการทำต่อ ณ วันนี้เราเลยจำเป็นต้องเข้ามาทำตรงนี้ ด้วยความที่คิดถึงเรื่องของสิ่งแวดล้อมก่อนและอยากจะเปลี่ยนให้เป็นธุรกิจ แต่สำหรับคนที่มีธุรกิจอยู่แล้ว ที่มุ่งหวังผลกำไรเราก็อยากให้เขามีมุมนี้บ้าง นิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี เราอยากให้ธุรกิจในโลกใหม่ๆ คิดถึงเรื่องของสิ่งแวดล้อมด้วย ไม่ใช่คิดถึงผลประโยชน์อย่างเดียว”

บาสเล่าอินไซต์ว่าเวลาคุยกับ waste owner หรือบริษัทผู้มีวัสดุเหลือใช้ก็พบว่าบางบริษัทยังมองเรื่องรักษ์โลกเป็นเพียงกิมมิกหรือทำเพราะอยากอินเทรนด์เท่านั้น ซึ่งการไม่พร้อมลงแรงและลงใจอย่างจริงจังเป็นอุปสรรคที่ทำให้ทำงานร่วมกันยาก

“เราอยากจะให้คำว่า preservation เป็นอีกคำหนึ่งที่ ณ วันนี้ เราเชื่อเราทำแบบนี้ แต่เราคาดหวังว่าวันหนึ่ง เราอาจจะมีแรงโอเปอเรตและส่งต่อไปถึงบริษัทอื่นๆ ที่คิดถึงคำนี้ด้วยเหมือนกัน เลยเลือกคำนี้มา” ความฝันของทีมคืออยากขยายต่อความตั้งใจไปเรื่อยๆ และปั้นให้ MORE เป็นแพลตฟอร์มของคอมมิวนิตี้ที่ธุรกิจต่างๆ ช่วยกันรักษาทรัพยากรของโลกใบนี้ควบคู่กับการทำธุรกิจไปด้วยกัน


TikTok x กรมการพัฒนาชุมชน กับภารกิจเพิ่มเสริมทักษะดิจิทัล และมูลค่า OTOP ไทย

ด้วยปริมาณของผู้ประกอบการ OTOP ที่มากกว่า 100,000 คนทั่วประเทศ กลายเป็นกลุ่มคนสำคัญที่พร้อมจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศอย่างมหาศาล โจทย์ใหญ่ในวันนี้จึงไม่ใช่การเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการ แต่จะทำอย่างไรให้ผู้ประกอบการ OTOP เติบโตได้ด้วยตนเอง เข้าใจตลาด เข้าถึงเทคโนโลยี การขายของออนไลน์ และใช้งานแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซได้เต็มที่

โดยหนึ่งในภาคธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการ OTOP กับการเพิ่มศักยภาพและส่งเสริมทักษะดิจิทัลคือ TikTok ทั้งการสื่อสาร ให้ความรู้ และฝึกฝนผู้ประกอบการ OTOP จนกลายเป็นนักขายออนไลน์มืออาชีพ ภายใต้โครงการ #ช้อปได้ทุกถิ่น โดยทำงานร่วมกับ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ที่มีเป้าหมายและนโยบายการทำงานสอดคล้องกัน

ในโครงการ #ช้อปได้ทุกถิ่น เป็นความร่วมมือระหว่าง TikTok Shop แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ ภายใต้การดูแลของ TikTok และกรมการพัฒนาชุมชน ที่ต้องการปลดล็อกศักยภาพทางธุรกิจและโอกาสทางเศรษฐกิจให้ผู้ประกอบการรายย่อย หรือกลุ่ม OTOP และผลักดันให้ผู้ประกอบการก้าวข้ามข้อจำกัดในการเข้าถึงทรัพยากรและช่องทางดิจิทัล ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของผู้ประกอบการ OTOP ไทย

โดยกระบวนการของโครงการนี้อธิบายให้เห็นภาพคือ เริ่มต้นจากการที่ TikTok จะเป็นผู้ให้ความรู้ และส่งเสริมการเพิ่มช่องทางการขายบนแพลตฟอร์ม TikTok Shop โดยจะสอนตั้งแต่การดาวน์โหลด TikTok การแนะนำฟีเจอร์ต่างๆ ไปจนถึงการลงทะเบียนสมัครเป็นผู้ขายบน TikTok Shop ส่วนกรมการพัฒนาชุมชนจะทำหน้าที่รวบรวมผู้ประกอบการจากทั่วประเทศ โดยแบ่งเป็น 5 จังหวัด ประกอบด้วย ลำปาง นครราชสีมา นครศรีธรรมราช เพชรบุรี และสระบุรี ซึ่งในเฟสแรกมีผู้ประกอบการเข้าร่วมกว่า 530 ราย มีสินค้ารวมกันกว่า 1,600 ชิ้น

TikTok Meet กรมการพัฒนาชุมชน 

มาถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นอย่าง TikTok ถึงต้องจับมือกับหน่วยงานรัฐ

เพื่อไขข้อสงสัย ชนิดา คล้ายพันธ์ Head of Public Policy – Thailand, TikTok เล่าให้ฟังว่า การร่วมมือในครั้งนี้เป็นการลงนาม MOU ร่วมกัน เพื่อต้องการยกระดับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อย ซึ่งเป็นไปตามนโยบาย Smart City หรือเมืองอัจฉริยะ ที่ภาครัฐกำหนดไว้ 7 ด้าน โดยหนึ่งในนั้นคือ Smart  Economy ที่มีกลุ่ม OTOP ซึ่งภายใต้โครงการดังกล่าว TikTok ต้องการยกระดับ SMEs ให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล เพิ่มรายได้ให้ประเทศ รวมถึงพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและวัฒนธรรมเชิงท้องถิ่น 

และอีกหนึ่งเป้าหมายของโครงการคือ การกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเข้าใช้ TikTok Shop เพื่อเพิ่มช่องทางการขาย และสร้างการรับรู้ไปสู่คนรุ่นใหม่ให้สนใจสินค้า OTOP มากขึ้น

ซึ่งการทำงานของโครงการนี้เกี่ยวกับผู้ประกอบการ OTOP โดยตรง และแน่นอนว่า TikTok เองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องต่างๆ ในการทำธุรกิจที่กระทบต่อผู้ประกอบการ และผู้ค้าใน TikTok Shop อยู่แล้ว ทั้งเรื่องของการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ OTOP มีทักษะดิจิทัล เข้าใจเทรนด์พฤติกรรมของนักช้อปออนไลน์ และใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังเป็นการสร้างรายได้ให้เหล่าครีเอเตอร์ในแพลตฟอร์มด้วยการทำ affiliate ขายสินค้า OTOP

โดยวิธีการที่ TikTok ใช้ในการสร้างทักษะดิจิทัลให้ผู้ประการ OTOP คือการลงพื้นที่พูดคุยกับผู้ประกอบการ เดินสายจัดโร้ดโชว์ใน 5 จังหวัด สอนทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิด ในขณะเดียวกัน TikTok ก็นำครีเอเตอร์ลงพื้นที่ไปด้วย เพื่อสอนทำคอนเทนต์ สอนติดตะกร้า และทำไลฟ์สตรีม ซึ่งในโครงการดังกล่าว ยังมีการจัดแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการด้วยกัน และได้ผู้ชนะทั้งสิ้น 50 ร้าน โดยทาง TikTok จะช่วยโปรโมตผ่านไลฟ์ โดยมี นลิน–ฉัตร์ณลิณ โชติจิรวราฉัตร รองอันดับ 1 Miss Universe Thailand ปี 2023 และ Miss Intercontinental ปี 2023 เป็นแขกพิเศษรสำหรับโครงการนี้

กว่าจะมาเป็นโครงการ #ช้อปได้ทุกถิ่น ที่เห็นวันนี้ TikTok ได้เข้าไปศึกษาและคลุกคลีอยู่กับผู้ประกอบการ OTOP จนได้รู้ว่า จุดอ่อนของสินค้า OTOP อยู่ที่ช่องทางการขาย หรือต้องขายผ่านพ่อค้าคนกลาง ทำให้ลูกค้าต้องจ่ายแพงขึ้น แต่ถ้าผู้ประกอบการหรือผู้ผลิตขายเองก็ไม่ต้องจ่ายค่านายหน้า และสามารถซื้อ-ขายได้ตลอดเวลา ซึ่งเป็นข้อดีของการขายของผ่านออนไลน์ เพราะอย่างไรก็ตาม การค้าอีคอมเมิร์ซถือเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทยที่สร้างมูลค่าเม็ดเงินมหาศาล

ชนิดาเล่าว่า “เป้าหมายของ TikTok สำหรับการทำโครงการนี้ไม่ใช่เพื่อสร้างรายได้ แต่เป็นการสร้างการรับรู้ให้คนทั่วไปรู้ว่าสินค้า OTOP มีจำหน่ายใน TikTok Shop แล้ว โครงการช้อปได้ทุกถิ่นจึงเป็นเหมือนการเปิดประตูให้ว่าจริงๆ แล้วไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็ช้อปได้ทุกที่ และฝั่งคนขาย ก็ขายได้ทุกที่เหมือนกัน”

จนกระทั่งในช่วงต้นปี TikTok ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงกับกรมการพัฒนาชุมชน ที่นับว่าเป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิดกับผู้ประกอบการ OTOP ที่สุด ในฐานะที่ TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่เข้าถึงคนทุกเพศทุกวัย มี TikTok Shop ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก และเพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายได้จริง นอกจากจะช่วยเพิ่มช่องทางการขายแล้ว ชนิดายังบอกอีกว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ TikTok ทำแคมเปญกับกลุ่มผู้ประกอบการที่ยังเข้าไม่ถึงเทคโนโลยี เนื่องจากแต่ละคนมีความรู้ความเข้าใจแตกต่างกัน มีทักษะการใช้ดิจิทัลไม่เหมือนกัน นี่จึงเป็นช่องว่างที่ต้องการเข้าไปเติมเต็ม ตามแนวคิด Smart People ที่ต้องการอัพสกิลให้ผู้ประกอบการเข้าถึงโลกดิจิทัลได้มากขึ้น

ทั้งนี้ #ช้อปได้ทุกถิ่น ไม่ใช่โครงการที่จัดขึ้นครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นโครงการระยะยาวที่แบ่งออกเป็นหลายเฟส โดยในเฟสแรกนี้ สินค้า OTOP ที่ขายผ่าย TikTok Shop มีมากกว่า 1,600 รายการ และสร้างยอดขายให้กับชุมชนได้ 8.5 ล้านบาทใน 3 เดือน

ชนิดาเล่าว่า ในเฟสแรก TikTok อยากให้โอกาสกับผู้ประกอบการที่ยังไม่เก่งเรื่องเทคโนโลยีก่อน เพราะทราบดีว่า TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่แมส มีผู้ใช้งานเยอะ เราอยากให้ผู้ผลิตทุกคนเข้าถึงแพลตฟอร์มและสร้างรายได้ด้วย ผลตอบรับสำหรับเฟสแรกถือว่าดีทีเดียว มีผู้ประกอบการอีกหลายรายที่อยากเข้าร่วมโครงการนี้ ทำให้ในเฟสต่อไปเราตั้งเป้าไว้ที่ 1,000 คน

ด้าน ชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เล่าถึงการร่วมงานในครั้งนี้ว่า “ที่ผ่านมากรมฯ ทำงานร่วมกับผู้ประกอบการ OTOP ที่มีจำนวนกว่า 100,000 คนทั่วประเทศ เราทราบดีว่าสินค้า OTOP ของไทยไม่เป็นสองรองใคร ทุกชิ้นล้วนเป็นผลงานที่สะท้อนภูมิปัญญาและวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าของคนไทย จึงต้องการให้สินค้า OTOP มีช่องทางในการขายมากขึ้น สามารถส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

“นอกจากนี้เรายังเล็งเห็นศักยภาพของผู้ประกอบการไทยว่ายังไปได้อีก แต่ยังติดที่ตอนนี้ยังมีผู้ประกอบการบางส่วนที่ยังไม่เชี่ยวชาญเรื่องการทำตลาดออนไลน์ หรือยังเข้าไม่ถึงเทคโนโลยี นี่จึงเป็นที่มาของการจับมือระหว่างกรมการพัฒนาชุมชน กับ TikTok ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นโครงการที่ต้องทำงานร่วมกันในระยะยาว และไม่ใช่แค่การพัฒนาผู้ประกอบการ แต่ยังรวมถึงการกระตุ้นให้ข้าราชการที่ต้องทำงานใกล้ชิดกับประชาชนต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ไปด้วย เมื่อได้องค์ความรู้จากคนที่มีประสบการณ์อย่าง TikTok มาเติมเต็ม ก็ช่วยให้ผู้ประกอบการที่ถนัดเรื่องการผลิตได้พัฒนาทักษะการขายและเทคโนโลยี และฝั่ง TikTok ก็ได้สินค้าคุณภาพดีฝีมือคนไทยไปจำหน่ายในแพลตฟอร์ม”

ชัยวัฒน์แสดงมุมมองว่าแต่ละคนล้วนมีจุดแข็งแตกต่างกัน การดึงจุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาใช้จึงเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญของการร่วมมือกันครั้งนี้

“คนเราเก่งไม่เหมือนกัน บางคนทำของเก่ง แต่อาจขายไม่เก่ง ในขณะเดียวกันบางคนขายเก่ง แต่ผลิตไม่เก่ง ถ้าช่วยกันทำก็จะเป็นเรื่องที่ดี และทุกภาคส่วนมีความสำคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนสินค้า OTOP สำหรับโครงการนี้ ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะได้ประโยชน์คนเดียว แต่เป็นการได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ถือเป็นการเรียนรู้และทำงานร่วมกัน 

“ที่ผ่านมากรมฯ ถือเป็นตัวกลางระหว่างผู้ผลิตและผู้ซื้อมาตลอด มีการพูดคุยกับผู้ประกอบการ OTOP ในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้เชิงการตลาด เทรนด์การตลาดในเวลานี้ รวมถึงแนวโน้มพฤติกรรมและความชอบของผู้บริโภค ซึ่งก็มีหลายคนที่ปรับตัวนำสินค้าเข้าสู่ตลาดออนไลน์ได้เร็ว ขณะที่หลายคนยังต้องได้รับการส่งเสริมในเรื่องดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซอยู่บ้าง

“ช่วงหลังมานี้ เราพบว่าผู้ประกอบการมีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคเรื่องการซื้อสินค้าเปลี่ยนไป ทุกอย่างแทบจะอยู่ในออนไลน์ทั้งหมด สามารถซื้อ-ขายกันได้ 24 ชั่วโมง ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลาและระยะทาง นี่อาจเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้คนทำ OTOP ต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง”

OTOP เป็นเรื่องของคนทุกเจนฯ

หลายคนอาจมองว่าสินค้า OTOP เป็นสินค้าที่ผู้สูงอายุทำ เพื่อขายให้ผู้สูงอายุเท่านั้น ทำให้คนรุ่นใหม่ยังเข้าไม่ถึงสินค้า OTOP เท่าที่ควร ซึ่งนั่นเป็นโจทย์สำคัญอีกโจทย์ที่ต้องแก้

“นี่คือประเด็นที่กรมฯ รับรู้มาตลอด จึงมีโครงการชื่อว่า Young OTOP เป็นกลุ่มหนุ่มสาวที่ต้องการพัฒนาสินค้า OTOP ซึ่งคนเหล่านี้มีความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค เข้าใจรสนิยมความชอบของคนรุ่นใหม่ ทำให้ในวันนี้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของสินค้า OTOP หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นของกิน ของใช้ ของตกแต่ง เสื้อผ้า และสมุนไพรต่างๆ ที่ปรับตัวให้สินค้าเข้าถึงคนทุกเพศทุกวัย ทั้งการพัฒนาคุณภาพสินค้าและในส่วนของบรรจุภัณฑ์ เช่น ดีไซเนอร์ไทยออกแบบลายผ้าไทยให้สวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน เหมือนที่ศิลปินชื่อดัง ลิซ่า BLACKPINK ใส่ผ้าไทยไปเที่ยวอยุธยา จากนั้นก็มีคนใส่ตามมากขึ้นถือเป็นเรื่องที่ดีที่แสดงให้เห็นว่าสินค้า OTOP สามารถปรับตัวให้สอดรับกับการใช้ชีวิตและใช้งานได้”

ยุคนี้เราปฏิเสธคนเจนฯ ใดเจนฯ หนึ่งไม่ได้ เพราะในการผลิตสินค้าต้องอาศัยความรู้ของทุกฝ่าย เช่น การย้อมผ้า คนรุ่นพ่อแม่ก็มีความถนัดเรื่องการย้อมสีรู้ว่าต้องใช้วัตถุดิบใด ต้มกี่ครั้งถึงจะได้สีตามต้องการ แต่ในส่วนของลายผ้าก็เป็นงานถนัดของคนรุ่นลูกที่รู้ว่าลายแบบไหนกำลังมาแรง ทำออกมาแล้วจะถูกใจตลาด หรือจะทำคอนเทนต์ออนไลน์ยังไงคนสนใจ ถือเป็นการทำงานร่วมกัน ดังนั้นทุกคนจึงมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

“ปัจจุบันคนรุ่นใหม่กลับไปพัฒนาสินค้าในบ้านเกิดค่อนข้างเยอะ ซึ่งคนกลุ่มนี้มีความเชี่ยวชาญ และมีทักษะการใช้เทคโนโลยีอยู่แล้ว ต่างจากคนรุ่นก่อนที่ยังขายแบบดั้งเดิม หนึ่งในกรณีศึกษาที่เราพบคือ สุเมธแผนโบราณ OTOP จากจังหวัดขอนแก่น ที่มีกลุ่มคนรุ่นใหม่กลับไปพัฒนาชุมชน และเลือกใช้แพลตฟอร์ม TikTok Shop ในการสร้างคอนเทนต์ และเปิดร้านค้าออนไลน์ โดยมีการทำวิดีโอที่สนุกและไลฟ์ขายของร่วมด้วย ทำให้ร้านมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 40%” ชนิดากล่าวเสริม

@sumetphanboran

✅ยุงเยอะ👉🏻กดเลือกสเปรย์ตะไคร้หอม ✅ผ่อนคลาย👉🏻กดเลือกกลิ่นหอมจากดอกลาเวนเดอร์ นะครับ 🥰 #โอทอป #สุเมธแผนโบราณ #สมุนไพร #ไล่ยุง #ผ่อนคลาย #ของดีบอกต่อ #tiktokshopครีเอเตอร์ #ปีใหม่ @สมุนไพร สุเมธแผนโบราณ @สมุนไพร สุเมธแผนโบราณ @สมุนไพร สุเมธแผนโบราณ

♬ เสียงต้นฉบับ – สมุนไพร สุเมธแผนโบราณ – สมุนไพร สุเมธแผนโบราณ

นอกจากความตั้งใจที่ดีต่อผู้ประกอบการ OTOP แล้ว ชัยวัฒน์เล่าว่า ไม่ใช่แค่คนทำ OTOP เท่านั้นที่ต้องเรียนรู้ ผู้ผลิตสินค้าทุกประเภทก็ต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เพราะเทรนด์เปลี่ยนอยู่เสมอ 

“ในส่วนของสินค้า OTOP ที่ยังต้องใช้ภูมิปัญญา ศิลปวัฒนธรรมและวัสดุในท้องถิ่น อาจต้องมีการปรับรูปแบบการนำเสนอ พัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เช่น ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือหากเป็นผลผลิตทางการเกษตร ต้องปลอดสารเคมี เน้นวัตถุดิบจากธรรมชาติเป็นหลัก

“การจับมือระหว่าง TikTok และกรมการพัฒนาชุมชนในครั้งนี้ ทำให้เราเห็นภาพเส้นทางการทำงานร่วมกันระหว่างคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่าเพื่อสร้างคุณค่าและเพิ่มมูลค่าให้สินค้า OTOP ไทย ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ที่มีมูลค่ากว่า 300,000 ล้านบาท โดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ผสานร่วมกับภูมิปัญญาของผู้ประกอบการไทย เพื่อสร้างความตระหนักให้ผู้คนเห็นถึงความสำคัญของสินค้า OTOP และในขณะเดียวกันก็ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและกระตุ้น GDP ให้ประเทศด้วย”

ความน่าสนใจของการคอลแล็บในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เสริมทักษะดิจิทัล ในส่วนของการพัฒนาสินค้า OTOP เพื่อส่งออกต่างประเทศ ก็เป็นอีกหนึ่งภารกิจที่ทั้งสององค์กรเห็นชอบตรงกันว่าควรส่งเสริม 

“สินค้า OTOP ไทยมีความสร้างสรรค์ ที่สามารถถ่ายทอดวิถีชีวิตของชาวบ้านในแต่ละภูมิภาค สามารถนำเสนอความเป็นท้องถิ่นได้ ถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ควรส่งเสริมอย่างยิ่ง และทางทีม TikTok ก็พร้อมช่วยโปรโมตสินค้าให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นผ่านการไลฟ์บน TikTok Shop และการทำคอนเทนต์ที่ถ่ายทอดเอกลักษณ์ท้องถิ่นได้เต็มดี

“ในมุมของต่างชาติเอง ก็มองว่าสินค้า OTOP ไทยเป็นสินค้าที่มีความพิเศษ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร และมีเรื่องราวที่น่าสนใจ” ชนิดาเล่า

จากการทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ประกอบการ OTOP และตลาดต่างประเทศ ทำให้ชัยวัฒน์เห็นว่าต่างชาติให้ความสนใจสินค้า OTOP ไทยใน 2 ประเด็นหลักๆ คือ เป็นสินค้าที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ปลอดภัยต่อผู้ใช้ เพราะวัตถุดิบที่นำมาผลิตส่วนใหญ่ล้วนมาจากธรรมชาติ และมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การย้อมผ้าโดยใช้สีจากธรรมชาติ เมื่อย้อมเสร็จแล้วก็นำน้ำที่เหลือไปรดน้ำต้นไม้หรือเทลงดินได้ 

ต่อมาคือสินค้าที่มีไม่กี่ชิ้นในโลก เช่น ในกระบวนการย้อมผ้า ถ้าแช่ผ้าทิ้งไว้ต่างกันเพียงวันเดียว หรือนำวัตถุดิบมาใช้ต่างช่วงเวลา เช่น การเก็บผลมะเดื่อช่วงต้นปีและกลางปี เมื่อนำมาใช้ในวิธีเดียวกัน สีที่ได้อาจไม่เหมือนกัน เพราะสภาพอากาศ อุณหภูมิการเก็บในเวลานั้นแตกต่างกัน จึงทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าสินค้าที่ได้จะไม่ซ้ำกับใคร

“ผมว่าสินค้า OTOP ของไทย ค่อนข้างตอบโจทย์ตลาดต่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ถ้าอยากได้ของที่มีเอกลักษณ์ ไม่ซ้ำใคร มีเรื่องราว ฟังแล้วภาคภูมิใจ ผมว่านี่แหละคือเสน่ห์ของ OTOP ไทย” 

Goal to GO

อีกอย่างที่เหมือนกันของ TikTok และกรมการพัฒนาชุมชน คือทั้งสองต่างก็อยากเห็นความอยู่ดีกินดีของคนทำ OTOP แม้จะมีรูปแบบการทำงานที่ต่างกัน แต่เมื่อมีเป้าหมายเดียวกันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะร่วมมือกันส่งเสริมผู้ประกอบการ OTOP ในทุกมิติ

“สำหรับกรมการพัฒนาชุมชน การได้ทำงานร่วมกับ TikTok จะทำให้ผู้ประกอบการ OTOP มีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น เพราะผู้ผลิตมีเป้าหมายและทราบว่าเมื่อทำสินค้าออกมาแล้วจะขายให้ใคร ซึ่งหากมองภาพกว้างสินค้า OTOP ถือเป็นจุดเริ่มต้นของเศรษฐกิจหมุนเวียน เมื่อส่งขายต่างประเทศผู้ผลิตก็มีรายได้ เกิดการจ้างงานในชุมชน และนำเงินที่ได้ไปซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคต่อไป เป็นการกระจายรายได้หลายต่อ 

“ดังนั้นผมจึงมองว่าการทำงานร่วมกันครั้งนี้จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการ OTOP และประเทศชาติในระยะยาว” ชัยวัฒน์ฉายภาพของผลปลายทางที่วาดหวังไว้ ก่อนที่ชนิดาจะกล่าวถึงความตั้งใจทิ้งท้าย

“ในมุมของธุรกิจโครงการ #ช้อปได้ทุกถิ่น อาจไม่ได้สร้างรายได้ให้เราเป็นกอบเป็นกำ แต่สร้างความอิ่มเอมใจให้เราได้มากกว่า เพราะเป็นสิ่งที่เราอยากทำเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ซึ่งเรามองว่าในภาคเศรษฐกิจการเติบโตแบบแนวตั้ง หรือโตแค่ธุรกิจเดียวอาจไม่พอ เราก็ไม่อยากทิ้งใครไว้ข้างหลัง การทำงานร่วมกับผู้ประกอบการ OTOP ที่หลายคนมองว่าเป็นเพียงจุดเล็กๆ แต่การพัฒนาทักษะดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซเป็นการฝังเมล็ดพันธุ์ที่จะผลิดอกออกผลในอนาคต และเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย”

ตามไปอุดหนุนสินค้า OTOP ไทยได้ที่ #ช้อปได้ทุกถิ่น บน TikTok หรือหากผู้ประกอบการท่านใดสนใจเข้าร่วมโครงการในปีต่อไป ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ TikTok และ กรมการพัฒนาชุมชน

90,000 ชั่วโมงคือเวลาในชีวิตที่เราใช้ไปกับการทำงาน

‘หนึ่งในอาการใกล้สติแตกคือความเชื่อที่ว่างานของตัวสำคัญเสียเหลือเกิน’
– เบอร์แทรนด์ รัสเซลล์

“ฉันรู้นะว่าตัวเองอาจจะฟังดูน่ารำคาญมาก” เธอว่า “แต่นี่คือฉันทำงานแรกหลังเรียนจบ เป็นงานประจำแบบเข้าออฟฟิศ 9 โมงถึง 5 โมงเย็น ฉันต้องเดินทางเข้าเมือง ใช้เวลาเดินทางนานมาก แต่ย้ายไปอยู่ในเมืองยังไม่ไหว เรื่องนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย”

“ขึ้นรถไฟเที่ยวเจ็ดโมงครึ่งตอนเช้า กว่าจะกลับถึงบ้านเร็วสุดก็หกโมงสิบห้า ไม่มีเวลาทำอะไรเลย ได้แค่อาบน้ำ กินข้าวเย็น แล้วก็นอน ไม่มีเวลาหรือพลังงานจะทำอาหารเองหรือออกกำลังกายด้วยซ้ำ น่าหงุดหงิดมาก ไม่ได้พูดถึงแค่งานฉันเองนะ แต่การทำงาน 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็นนี่มันบ้ามาก”

“เข้าใจนะว่ามีงานที่ชั่วโมงยาวกว่านี้ แต่คนที่ทำงานแบบนี้ พวกคุณมีพลังงานเหลือได้ยังไง มีเพื่อนได้ยังไง มีเวลาที่ไหนไปหาแฟน หรือเดต ฉันไม่มีเวลาทำอะไรเลย เครียดมาก”

@brielleybelly123 อัพโหลดคลิปนี้ขึ้นบน TikTok ในวันที่ 19 ตุลาคม 2023 ปัจจุบันมีผู้ชมคลิปแล้วมากกว่า 3.3 ล้านครั้ง คลิปของเธอถูกนำไปเป็นข่าวที่ถูกพาดหัวแบบมีน้ำเสียง ‘สาวน้ำตาแตกเพราะทำงานแบบ 9-5’ จากคอมเมนต์ ความเห็นแตกออกเป็นสองฝ่ายชัดเจน ฝ่ายหนึ่งมองว่าเธอเป็นตัวตลก ‘ตื่นเหอะเจ้าหญิง ขอต้อนรับสู่โลกแห่งความเป็นจริง’ หรือ ‘สมัยฉันยิ่งกว่านี้อีก’ ‘พวกเจนฯ Z นี่มันจะเอาทุกอย่างจริงๆ’ ส่วนอีกฝ่ายเข้าใจและเห็นด้วยกับสิ่งที่เธอพูดทุกอย่าง ‘เหมือนเธอมาอ่านไดอารีฉันเลย’ ‘การทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์นี่มันล้าสมัยไปแล้ว ที่เธอรู้สึกน่ะถูกแล้ว’ ‘ทุกคนรู้สึกแบบนี้แหละแค่ไม่มีใครพูดอะไร’

สำหรับคุณแล้ว งานคืออะไรกันแน่

ตรงไปตรงมาที่สุด เราอาจตอบว่างานคือแหล่งรายได้ งานมาเงินไป ทำงานเพื่อเงิน เป็นการแลกเปลี่ยนตามข้อตกลงระหว่างคุณกับนายจ้างหรือลูกค้า (ข้อตกลงที่ยุติธรรมหรือไม่–ไว้ว่ากันอีกที)  ถอยมาอีกนิดงานอาจเป็นแหล่งสังคม มันให้สภาพแวดล้อม โจทย์ร่วม โอกาสในการผูกมิตรและให้ความท้าทายในแต่ละวัน และในระดับที่ลึกที่สุด งานอาจมอบความหมายในแต่ละวันและความหมายของชีวิตให้กับเรา

มีผู้แบ่งวิธีที่เรามองงานไว้เป็น 3 ระดับ คือ job, career และ calling

job คือระดับที่มองว่างานคือเงิน คือความมั่นคง คือสวัสดิการ ถ้าคุณไม่คิดว่างานเป็นแหล่งในการเรียนรู้ เติบโต สั่งสมประสบการณ์แล้ว มันเป็นแค่สิ่งที่ทำไปในแต่ละวันแล้วแค่รอรับเงินเดือนหรือค่าแรง คุณอาจจะมองงานว่าเป็น job

career คือระดับที่มองงานว่าเป็นความก้าวหน้า มองหาโอกาสเลื่อนขั้นในที่ทำงาน เห็นภาพอนาคตของตนเองในตลาดแรงงานว่าทำอย่างนี้ เพื่อที่ตัวเองจะไปอยู่ในจุดไหน 

ส่วน calling คือการมองเห็นงานในตัวเอง และเห็นตัวเองในงาน มองความสัมพันธ์ระหว่างงานกับเราแนบสนิท รู้สึกว่าการทำงานมีจุดประสงค์ที่ชัดเจน

ผมคิดว่าการแบ่ง 3 ระดับนี้ไม่ได้ตายตัวนัก ความคิดของเราลื่นไหลไปมา บางวันเราอาจมองงานเป็นแค่ job แต่บางวัน เราอาจอัพเกรดงานเป็น career หรือเป็น calling แต่พอโดนอะไรหนักๆ มันอาจกลับมาเป็น job เหมือนเดิม รวมถึงว่างานหนึ่งมีหลายด้าน เราอาจมองว่างานมุมหนึ่งเช่นการติดต่อกับผู้คนให้ราบรื่นเป็น calling–เป็นอะไรที่รัก ส่วนงานส่วนที่ต้องทำรายงานให้เจ้านายเอาไปขายชาวบ้านเป็น job–คือทำให้จบๆ ไป ไม่ได้อิน

หากลองเทียบการมองงาน 3 ระดับกับสิ่งที่งานมอบให้ อาจเทียบได้ว่า job–งานให้เงิน, career–งานให้ความท้าทายและจุดมุ่งหมายในเชิงอาชีพ, calling–งานให้ความหมาย

มีผู้แนะว่า การมองงานเป็น calling คือระดับที่พาให้ ‘พึงพอใจกับงาน’ ที่สุด อาจเหมือนคำพูดที่ว่า ‘ทำงานที่คุณรักแล้วคุณจะไม่รู้สึกว่าทำงานอีกเลยตลอดชีวิต’ 

แต่ความเป็นจริงอาจไม่ใช่อย่างนั้น การที่เรามอบตัวเองให้กับงาน กับเนื้องาน อาจทำให้เกิดความสัมพันธ์เหนียวแน่นและรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็จริง แต่นั่นย่อมแปลว่าวันที่งานไม่ได้ดังใจ ใจของเราก็จะไม่นิ่งตามไปด้วย เทียบกัน หากมองงานเป็น job และมีระยะห่างกับงานที่เหมาะสม งานไม่ใช่เราและเราไม่ใช่งาน ไม่เอาใจไปผูก วันที่งานทำร้ายเรา เราก็อาจไม่ถึงกับต้องดับดิ้นลงไป

ในการงานและอาชีพที่ผ่านมา ผม, เหมือนกับหลายคน, มีความสัมพันธ์กับงานทั้งสามระดับ–เป็นความสัมพันธ์ที่ถ้าตั้งบนเฟซบุ๊กคงเลือกออพชั่น It’s complicated–มันซับซ้อน มีทั้งช่วงที่รักงานปานจะกลืนกินและมอบทุกสิ่งในชีวิตให้กับมัน จนต้องอัญเชิญคำของเบอร์แทรนด์ รัสเซลล์ มาเตือนใจ และมีช่วงที่ไม่อินกับงานด้วยประการใดๆ และนั่งนับวันรอเก็บเงินได้ครบจะได้ลาออกเสียที มีทั้งความสัมพันธ์แบบที่เราเป็นนายงาน และงานเป็นนายเรา 

การครุ่นคิดเกี่ยวกับงานของผมเกิดขึ้นแทบตลอดเวลา เส้นทางอาชีพนำพาให้มีจุดสัมผัสกับงานต่างระยะกันตลอดวัยผู้ใหญ่ตอนต้น เคยเป็นทั้งฝ่ายถูกใช้งานและฝ่ายใช้งาน เคยทั้งใช้เงินตัวเองและใช้เงินคนอื่นทำงาน เคยทำงานทั้งแบบอิสรเสรีที่สุดและทำงานในระบบที่ตึงที่สุด–ระบบที่ต้องยักยอกอิสระและเสรีภาพออกมาใช้เองในแต่ละวัน การพลิกผันมาทำงานคอร์เปอเรตในช่วงหลังทำให้ครุ่นคิดกับงานหนักขึ้น เพราะบ่อยครั้งคำถามก็ดังขึ้นมาว่า–สุดท้ายแล้ว, มันแค่นี้เหรอ

‘แค่นี้’ มันแค่ไหน และทำไมเราส่วนหนึ่งจึงเป็นทุกข์–หรือมีความสัมพันธ์แบบลุ่มๆ ดอนๆ กับงานนัก 

คำตอบที่ได้สุดท้ายอาจเป็น ‘แค่นี้ก็ดีพอแล้วนะ’ ก็ได้ แต่ที่สำคัญอาจเป็นกระบวนการคิดระหว่างทางที่ไปให้ถึงคำตอบนั้น

ผมคิดว่าปัญหาที่ @brielleybelly123 จุดพลุขึ้นมาให้เห็นนั้นจริงและจริงยิ่งขึ้นในปัจจุบัน งานแบบ 9-5 ทำให้เกิดคำถามว่าสุดท้ายแล้วมันแค่นี้จริงเหรอ–มันมีอะไรที่มากกว่านี้อีกไหม โดยเฉพาะกับที่ที่เราควบคุมอะไรได้น้อย ปัญหานี้เป็นจริงเพราะความคาดหวังในการมองงานที่ไม่เข้ากัน ทั้งความคาดหวังของนายจ้างหรือผู้ถือทุนต่อลูกจ้าง ความคาดหวังระหว่างคนต่างยุคที่เหลื่อมกันออกไปเรื่อยๆ และความคาดหวังต่อสิ่งที่ควรเป็นกับสิ่งที่เป็นอยู่จริง

ตัวอย่างเช่น นายจ้างส่วนหนึ่งอาจคิดว่าลูกจ้างควรยกให้งานเป็น calling – ควรถวายชีวิตให้งาน ถ้าฉันเรียก แม้จะอยู่ในช่วงพักเบรก หรือวันหยุด ก็ควรจะตอบรับทันที ในหัวของนายจ้างเหล่านี้ลูกจ้างคือหน่วยการผลิตที่มอบผลลัพธ์เป็นผลกำไรของบริษัท เขาอาจคิดว่าการแลกเปลี่ยนระหว่างเงินเดือนหรือค่าแรงกับงานที่ลูกจ้างมอบให้นั้นจะยุติธรรมก็ต่อเมื่อลูกจ้างมอบงานให้อย่างคุ้มค่า (กับเงินที่เสียไป) 

กลับกัน ลูกจ้างอาจมองงานนี้เป็น job–เป็นเพียงงานที่จบแล้วจบกัน หาเลี้ยงชีพ the end ทำให้ตามเวลาแค่นั้น ไม่เกิน ไม่อยากได้ความรับผิดชอบเพิ่ม เพราะตอนที่สมัครงานมาก็บอกว่าสโคปของงานมีเท่านี้ ถ้าจะเอางานเพิ่มเงินก็ต้องเพิ่มด้วยและที่สำคัญที่สุดคือเขาควรมีสิทธิ์เลือกว่าจะไม่เอาหรือไม่เอา และแน่นอน เขามองว่าการแลกเปลี่ยนระหว่างเงินเดือนหรือค่าแรงกับงานที่ตนมอบให้จะยุติธรรมต่อเมื่อเงินคุ้มค่า (กับแรงที่ลงไป)

จุดคุ้มค่าหรือจุดที่ต่างฝ่ายมองว่ายุติธรรมไม่ตรงกัน และก็อีกนั่นแหละครับ–มันไม่ตรงกันมากขึ้นเรื่อยๆ 

เป็นการมองไม่ตรงกันที่ไม่แฟร์นัก เพราะฝ่ายหนึ่งมีอำนาจน้อยกว่าอีกฝ่ายชัดเจน เพราะมีแค่อำนาจในการทำหรือไม่ทำ ซึ่งการไม่ทำอาจเท่ากับการลดคุณภาพชีวิตลงมาก

เรื่องคลาสสิก–รุ่นพ่อรุ่นแม่ของคุณทำงานประจำงานเดียว อาจมีคนทำงานคนเดียวในครอบครัวด้วยซ้ำ ก็ซื้อบ้าน มีลูกและเลี้ยงขึ้นมาได้อย่างดีสองสามคน เทียบกัน รุ่นคุณ ทำงานงานเดียวอาจไม่พอเลี้ยงชีพ ต้องหางานเสริม ต้องลดค่าใช้จ่าย และยังอาจถูกตัดสินอีกหากซื้อกาแฟแพงๆ ไหนจะความไม่มั่นคงที่ไม่รู้ว่างานนี้ออฟฟิศนี้จะเลี้ยงเราไปถึงเมื่อไร สภาพเศรษฐกิจแบบนี้เขาจะปรับคนออกไหมหรือมีโอกาสโตไหม ไหนจะต้อง relearn ต้องมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต (เอาเวลาที่ไหนไปทำนะ–แต่ไลฟ์โค้ชเขาบอกว่าคนเรามี 24 ชั่วโมงเท่ากันนี่นา–งั้นความผิดต้องอยู่ที่เราแน่เลย) ไหนจะปัญญาประดิษฐ์ที่จะมา ‘แย่งงาน’ อีก 

สัญญาที่งานมอบให้จึงเป็นสัญญาที่อย่างน้อยหลายคนรู้สึกว่าไม่จริงขึ้นเรื่อยๆ ในทุกระดับ ทั้งระดับเงิน ที่งานก็ไม่ได้มอบเงินพอที่จะเก็บหรือสร้างอนาคตแล้วเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ ระดับความเติบโตก้าวหน้า ที่เหมือนเป็นเกมแข่งขันที่มีผู้ชนะจำกัด และระดับความหมายที่รู้สึกว่าคุณค่าเจือจางลง ทั้งด้วยการแบ่งงานเป็นส่วนย่อยจนไม่เห็นภาพใหญ่ (จนมนุษย์หลายคนกลายเป็นส่วนที่ถูกทดแทนได้) และด้วยการเข้ามาของระบบอัตโนมัติ

ทั้งหมดยังถูกซ้ำอีกทีด้วยความเชื่อแบบ meritocracy–ค่าของคนคือผลของงาน ผสมกับแนวคิดแบบ neoliberalism–โลกคือการแข่งขัน จะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวทำ–ที่นอกจากจะไม่ช่วยแล้วยังซ้ำอีก เหมือนโดนพร่ำบอกข้างหูตลอดว่า ‘ที่ชีวิตไม่ดีน่ะเพราะตัวแกเองไม่ใช่คนอื่น’ 

ผลลัพธ์ของความคลาดเคลื่อนในความคาดหวังกลายสภาพเป็นสนามรบย่อยๆ ที่เราเห็นได้ทั่วไปในปัจจุบัน เช่น

การต่อสู้ระหว่างการทำงานที่บ้าน (สงบกว่านะโว้ย ขอเวลาให้ตัวเองหน่อย ไม่ต้องเดินทางนะโว้ย) VS การกลับเข้าออฟฟิศเดี๋ยวนี้เถอะ (งานวิจัยบอกว่าประสิทธิภาพของทีมดีกว่านะ ต้องมีการแลกเปลี่ยน คุยกันแบบแคชชวล เดินไปคุยที่โต๊ะได้มันดีกว่าต้องคอลนะ) VS ทางสายกลาง (เข้าออฟฟิศ 3 วัน ทำงานที่บ้าน 2 วันได้ไหม) 

การลดเวลาทำงานเหลือ 3-4 วันต่อสัปดาห์ หรือระบบการทำงานแบบไม่ยึดเวลา VS ระบบทำงานแบบ 996 ของจีน (ทำงาน 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม 6 วันต่อสัปดาห์) หรือความเชื่อที่ว่าคนเราควรทำงาน 70 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ VS ทางสายกลาง (‘มันแล้วแต่ประเภทงานน่ะพวก’)

สนามรบแห่งการ quiet quitting (มันไม่ได้เรียกว่าลาออกเงียบ มันเรียกว่าทำงานตามหน้าที่ที่สมัครเข้ามาทำแต่ไม่ต้องทำเกิน) VS ‘คนรุ่นใหม่ทำไมเป็นแบบนี้’

สนามรบแห่งการ quitting จริงๆ ไปเลย เช่น ลัทธินอนเฉยๆ ในจีน (ไม่ไหวแล้ว โลกนี้ทำไมไม่แฟร์ ทำไปก็ไม่ได้อะไร งั้นขอเป็น ‘ลูกมืออาชีพ’ แล้วกัน อยู่กับพ่อแม่ ดูแลแกไป) VS ‘ทำไมคนรุ่นใหม่เป็นแบบนี้’

ความคิดเรื่อง universal basic income–เงินเดือนพื้นฐานเพื่อให้ดำรงชีวิตได้ เป็นรัฐสวัสดิการ VS ‘ทำไม่ได้จริงหรอก คนจะขี้เกียจเอา เอาเงินจากไหนมาทำ ประชานิยมเปล่า’

work-life balance VS work-life integration

แนวคิด postwork (งานคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์จริงหรือ มีวิธีมอบเงิน / สังคม / ความหมาย ให้กับมนุษย์ด้วยเครื่องมืออื่นไหม มาหาทางอื่นกันเถอะพวกเรา) VS workism (นอกจากงานจะเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจแล้ว มันยังมอบตัวตนและความหมายให้มนุษย์ด้วย มาทำงานกันเถอะพวกเรา)

ความคลาดเคลื่อนในความคาดหวังทำให้เราต้องกลับมาทบทวนอีกครั้งว่าสำหรับเราแล้วงานคืออะไรกันแน่ มันอาจเป็นแค่เครื่องมือเพื่อนำไปสู่อะไรบางอย่าง แต่ ‘บางอย่าง’ นั้นคืออะไร และได้มาด้วยเครื่องมืออื่นได้ไหม 

เราเห็นวิธีการต่อกรของมนุษย์งานด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งต่อสู้ฟาดฟันในระบบ (ในเมื่องานเป็นแบบนี้ ฉันจะเล่นเกมนี้ให้ชนะด้วยวิธีการของฉัน) หาวิธีเปลี่ยนนิยามของงานในใจ หาวิธีเปลี่ยนนิยามของงานในสังคมวงกว้าง หรือออกจากระบบงานไปเลย (ทั้งปั่นเงินจนออกอย่างรวดเร็วอย่างขบวนการ FIRE–อิสระทางการเงินรีไทร์เร็ว หรือเป็นลัทธิ ‘นอนเฉยๆ’ อย่างในจีน)

ที่จริงแล้ว เป็นไปได้ว่าการต่อสู้ทั้งหลายไม่ได้แบ่งฝักแบ่งฝ่ายชัดเจน แต่เป็นสเปกตรัมของความคิด ที่สำคัญเราไม่จำเป็นต้องเกาะแน่นอยู่กับจุดหนึ่งของแนวคิดตลอดเวลา แนวโน้มที่เป็นไปได้คือเราจะกระโดดไปมา ตามแต่ว่าจุดนั้นรับใช้เราในสถานการณ์หนึ่งๆ แค่ไหน

บางขณะ  เราอาจมองเห็นว่างานเป็นเกมบางอย่างที่ต้องเอาชนะ มีการอัพเลเวล มีการสั่งสมประสบการณ์ มีการเมืองในออฟฟิศ เป็นสิ่งที่ถ้าวางแผนให้ดี ก็ ‘ชนะ’ ได้ แต่เส้นตรงไหนที่เราจะไม่ข้าม เราจะชนะไปพร้อมกับคนอื่นๆ ได้ยังไง 

บางขณะ เราอาจมองเห็นว่างานเป็นสิ่งแปลกปลอม ไม่แนบสนิทกับชีวิตที่เหลือ รู้สึกเป็นอื่น เป็นเหมือนบทบาทที่ต้องสวมแต่ไม่ใช่ตัวเอง–มีวิธียังไงที่เราจะอยู่กับความเป็นอื่นนี้ มีวิธีประนีประนอมไหม หรือไม่ควรประนีประนอมเลย

บางขณะ เราอาจจินตนาการถึงอนาคตที่ไร้งาน ในวันนั้นเราจะกลายเป็นคนที่มารู้คุณของงานทีหลังไหม เมื่อไม่มีอะไรมามอบความหมายและมอบกิจกรรมให้ต้องทำในแต่ละวัน หรือเราจะเชื่อมั่นว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่รู้จักปรับตัว สุดท้ายมันก็มีทางไป และงานในความหมายปัจจุบันก็ไม่ใช่งานในความหมายที่เคยเป็นมาในอดีตอยู่แล้ว มันเป็นสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ผมคิดว่าการสำรวจเพื่อมองเห็นภาพรวมเพื่อมองเห็นทางเลือกและเห็นกรอบคิดที่แตกต่างนี้เอง ที่จะทำให้เรามีเครื่องมือเพื่อจัดการกับตัวเองในการวางระยะความสัมพันธ์กับงาน (และในทางที่เป็นไปได้ยากกว่า แต่ก็ไม่ควรละทิ้งความหวัง–จัดการกับสังคม) 

เราจะเลือกทางที่ไม่เหมือนกัน และคำตอบอาจสั่นคลอนหรือเปลี่ยนแปลงไป นั่นไม่ผิดอะไร อย่างน้อยมันจะเป็นชุดคำตอบที่เราเลือก เป็นคำตอบที่เป็นส่วนตัวอย่างถึงที่สุด เป็นคำตอบที่จะช่วยให้เราผ่านเวลาประมาณ 90,000 ชั่วโมงในชีวิตที่ใช้ไปกับการทำงาน อย่างไม่สร้างบาดแผลให้กับตัวเองและคนอื่นเกินไปนัก

อ้างอิง

เมื่อไหร่ที่เราอ่านดวง? ที่มาของคอลัมน์ดูดวง 12 ราศี และโหราศาสตร์ในสื่อต่างๆ

เราเป็นคนราศีสิงห์ เป็นคนไม่ชอบยุ่งกับใคร ส่วนราศีพิจิกเสน่ห์แรงเสมอ ปีใหม่ปีนี้เปิดอ่านดวงซะหน่อยว่าราศีของเราๆ จะเป็นยังไง ต้นปีก็อ่าน ต้นเดือน ต้นสัปดาห์ก็อ่านอีก

ใครๆ ก็ชอบอ่านคอลัมน์ดูดวง ในทศวรรษที่ผ่านมา เรามีหลายสื่อทั้งนิตยสารและหนังสือพิมพ์ ที่อันที่จริงแล้วเกือบทุกหัวมักจะมีคอลัมน์ดูดวงเป็นมาตรฐานของสื่อนั้นๆ เรามีคลีโอที่ค่อนข้างมีชื่อเรื่องการทำนายรายปี มีหมอทรัพย์สวนพลู ไปจนถึงดวงของคู่สร้างคู่สม ที่แต่ละที่ก็มีขึ้นชื่อเรื่องความแม่ ไปจนถึงทักษะวาทศิลป์ในการทำนายที่บางทีก็มีความแสบๆ คันๆ ให้กับเหล่าผู้อ่านที่พยายามจะหาแนวทางในการใช้ชีวิตในช่วงนั้นๆ

หัวใจหนึ่งของคอลัมน์ดูดวงคือการทำนายแบบกลางๆ โดยแบ่งคนออกเป็น 12 กลุ่มตามช่วงเวลาเกิดหรือจักรราศี แน่นอนว่าศาสตร์การทำนายหรือโหราศาสตร์เป็นศาสตร์เก่าแก่ อยู่คู่มนุษย์และวัฒนธรรมทุกวัฒนธรรมเป็นพันปีแล้ว ทว่าการทำนายแบบ 12 ราศีที่เราคุ้นเคยกันนี้ แท้จริงแล้วเป็นนวัตกรรมที่เพิ่งเกิดขึ้นและได้รับความนิยมจากอุตสาหกรรมหนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์นับเป็นอีกหนึ่งพื้นที่พิเศษที่เกิดขึ้นในโลกสมัยใหม่ ทว่าในโลกสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยเหตุผลและวิทยาศาสตร์นี้ ทำไมการดูดวงที่เป็นศาสตร์โบราณกลับมามีบทบาทชนิดกลายเป็นมาตรฐานของสื่อ และเป็นคอลัมน์ที่หยุดพักไม่ได้

ในช่วงต้นปีที่เราต่างเริ่มพลิกหาแนวทางคร่าวๆ เราขอชวนย้อนกลับไปหาที่มาว่าจุดเริ่มต้นของคอลัมน์ดูดวงที่แสนจะฮิตและกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลกได้ยังไง จากทำนายดวงอย่างเฉพาะเจาะจงในปี 1930 ในหนังสือพิมพ์ Sunday Express ของอังกฤษ จากการทำนายที่แม่นโดยบังเอิญจนบรรณาธิการขอให้เปิดเป็นคอลัมน์ และได้กลายเป็นคอลัมน์ทำนายภาพรวมโดยใช้การแบ่งตามดวงดาวซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของโลกของสื่อและโลกของการทำนายดวงในเวลาต่อไป รวมถึงคำถามที่ว่า ทำไมการดูดวงถึงสำคัญ สำคัญขนาดที่ว่าคนทั่วโลกอ่านดวง และเป็นคอลัมน์ที่ห้ามหยุดพัก ต้องลงตามกำหนดเท่านั้น

การกลับมาของโหราศาสตร์ในระดับแมส

ทุกวันนี้เรามีกระแสมู ที่หลายสื่อพยายามตอบคำถามว่าทำไมเรายิ่งก้าวสู่โลกดิจิทัล สู่ความสดใหม่ของโลกของเทคโนโลยีแล้ว แต่ความเชื่อ สิ่งที่ดูไม่เป็นเหตุเป็นผลกลับยิ่งได้รับความนิยม มีอิทธิพลกับชีวิต อันที่จริงถ้าเราย้อนดูการก่อตัวและแพร่กระจายของคอลัมน์ดูดวง ความฮิตของกระแสโหราศาสตร์ก็นับเป็นกระแสที่เกิดขึ้นในช่วงที่เราเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่กันอย่างจริงจังเช่นเดียวกัน สองสิ่งที่สัมพันธ์กันซึ่งดูจะเป็นเงื่อนไขในทำนองเดียวกันคือบริบทสังคมและบทบาทของสื่อ (mass media) ความเฟื่องฟูของโหราศาสตร์เริ่มต้นเฟื่องฟูอย่างจริงจังจนกลายเป็นมาตรฐานสื่อตั้งแต่ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จากยุโรปแพร่กระจายจนกลายเป็นปรากฏการณ์ในระดับโลก

ในงานศึกษา Mass media and astrology as a reflection of the culture industry เผยแพร่ในปี 2021 พูดถึงการเติบโตขึ้นของโหราศาสตร์ที่เติบโตขึ้นอย่างสำคัญโดยมีสื่อสารมวลชนเป็นพื้นที่สำคัญในการขยายความนิยมของโหราศาสตร์และการพยากรณ์ ถ้าเรามองในภาพกว้าง โหราศาสตร์เป็นศาสตร์โบราณ บางส่วนเกี่ยวข้องกับการตอบเรื่องฝนฟ้าอากาศที่สัมพันธ์กับเกษตรกรรม บางส่วนพูดเรื่องการปกครอง เรื่องการรบ และถ้าพูดกันด้วยมุมของความเป็นสมัยใหม่ โหราศาสตร์เป็นเรื่องที่น่าจะไม่เข้ากับยุคสมัยคือการเป็นโลกวิทยาศาสตร์และการใช้เหตุผล รวมถึงนัยของโลกสมัยใหม่ที่มนุษย์เชื่อในเจตจำนงเสรี เชื่อในการกำหนดชีวิตตัวเอง แต่ทว่าทำไมความคิดเรื่องการถูกกำหนดหรือการมีอิทธิพลโดยสิ่งอื่นถึงได้กลับมาเฟื่องฟูในหน้าตาของสื่อสมัยใหม่- ในที่นี้คือการเกิดขึ้นและแพร่ขยายของหนังสือพิมพ์

คำอธิบายที่น่าสนใจหนึ่งมาจากตัวพ่อด้านความเชื่อและบริบทวัฒนธรรมของมนุษย์ คาร์ล กุสตาฟ ยุง (Carl Gustav Jung) นักจิตวิเคราะห์ผู้สนใจเรื่องเล่า ตำนาน และความเชื่อ พูดถึงโหราศาสตร์ที่กลับมาในโลกสมัยใหม่ใน The Secret of the Golden Flower (เป็นตำราเต๋าของจีนที่แปลเป็นฉบับอังกฤษ ฉบับแปลมีคอมเมนต์ของคาร์ล ยุง ที่เขียนอยู่ในนั้น) คาร์ล ยุง อธิบายว่า ‘โหราศาสตร์เป็นเหมือนการกลับมาของศาสนาในโลกสมัยใหม่ โหราศาสตร์เป็นคลังความรู้ของอดีต ในขณะมนุษย์ยุคใหม่แบบเราๆ ล้วนกำลังมองหาความหมายและเราเองก็ได้เอาศาสนากลับมาตีความในทางโลก (secular)’ พูดง่ายๆ คือศาสนาหรือความเชื่อถูกเอามาใช้ใหม่ในบริบทของเราเช่นเรื่องการค้า เรื่องชีวิตสมัยใหม่ 

สำหรับการกลับมาของโหราศาสตร์ในที่นี้คือการเริ่มต้นและความนิยมของคอลัมน์ดูดวงในหนังสือพิมพ์ การกลับมาของศาสตร์เก่าแก่ ในระดับบริบทประวัติศาสตร์ก็อาจตอบได้ว่าโหราศาสตร์หรือการมูฯ ที่กลับมากำลังตอบสนองความยุ่งเหยิงของชีวิตหรือบริบทเฉพาะของยุคสมัยยังไง

ปี 1930 กับจุดเริ่มของมาตรฐานคอลัมน์ดูดวงโลก

การก่อตัวขึ้นของมาตรฐานการดูดวง ในที่นี้คือการดูดวงของแมส คือการวางคำทำนายของคนทั่วไปโดยเฉพาะการเป็นธรรมเนียมคอลัมน์ดูดวงในสื่อ ในหนังสือพิมพ์ เรามักย้อนไปในปี 1930 โดยมีหนังสือพิมพ์ Sunday Express และนักทำนายมืออาชีพชื่อ Richard Harold Naylor 

คือก่อนจะวาร์ปไปสู่จุดเริ่มของคอลัมน์ดูดวงและการดูดวงกว้างๆ ตามราศี จริงๆ จุดเริ่มของคอลัมน์ดูดวงก็สะท้อนภาพการมีอยู่ของโหราศาสตร์ได้คือความนิยมก็พอจะมีอยู่แล้วเช่นตัวคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ตอนแรกจะขอให้นักพยากรณ์ชื่อดังในขณะนั้นชื่อ William Warner นักอ่านลายมือที่มีชื่อเสียงจากการไปศึกษาศาสตร์ทำนายจากอินเดียมาทำนายให้ แต่ทว่าไม่ว่าง คุณวิลเลียมพอเป็นนักทำนายลายมือก็เปลี่ยนชื่อใหม่ Cheiro มาจากคำว่าศาสตร์แห่งลายมือ (cheiromancy) ซึ่งแกดังมาก เป็นหมอดูลายมือแห่งยุคสมัย เคยดูดวงให้กับคนดังๆ เช่น ออสการ์ ไวลด์ ไปจนถึงมกุฎราชกุมารแห่งเวลส์ที่ต่อมาคือพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7

จากนักดูดวงที่ทำให้เห็นภาพว่าการพยากรณ์มีอยู่ในโลกสมัยใหม่ แต่การแมสขึ้นก็มาจากหนังสือพิมพ์ Sunday Express ในปี 1930 ทางหนังสือพิมพ์ได้ขอให้ R.H. Naylor ผู้ช่วยหมอดูเบอร์หนึ่ง ซึ่งการทำนายแรกที่สำคัญในสื่อคือการทำนายดวงของเจ้าหญิงมาร์กาเร็ต (Princess Margaret) ในบทความชื่อ What The Stars Foretell For The New Princess ผู้ซึ่งเพิ่งพระราชสมภพในเดือนสิงหาคม 1930 ซึ่งเจ้าหญิงมาร์กาเร็ตคือพระขนิษฐาของพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ที่เพิ่งสวรรคตไป

ตัวคอลัมน์ดังกล่าวจึงเป็นคอลัมน์แรกๆ ที่นักทำนายได้แสดงแผนผังดวงดาว ว่าเจ้าหญิงเกิดในอิทธิพลดวงดาวแบบไหน คำทำนายค่อนข้างให้ภาพและใช้รวมๆ คืออธิบายว่าพระองค์จะมีชีวิตที่เต็มไปด้วยเรื่องราว (eventful) นอกจากคำทำนายของเจ้าหญิงแล้วยังมีการทำนายผู้ที่เกิดวันเดียวกันด้วย

หลังจากที่คอลัมน์แรกปล่อยออกไป ปรากฏว่าชาวอังกฤษและสหราชอาณาจักรให้ความสนใจคอลัมน์ทำนายอย่างถล่มทลาย มีการขอให้มีคำนายอื่นๆ เพิ่มเติม จากคอลัมน์ทำนายชะตาของเจ้าหญิงพระองค์น้อยที่เผยแพร่ไปในวันที่ 24 สิงหาคม ในคอลัมน์ต่อมาประจำเดือนกันยายนเนย์เลอร์ก็ออกอีกคำทำนายโดยทำนายชะตาของผู้ที่เกิดในเดือนกันยายน

จุดพีคของคอลัมน์ดูดวงของเนย์เลอร์คือคำทำนายประจำเดือนตุลาคม ซึ่งวางแผงในวันที่ 5 ตุลาคม เนย์เลอร์ทำนายว่า อากาศยานของอังกฤษจะประสบภัยอันตราย (A British aircraft will be in danger.) ในเดือนวันที่ 8-15 ตุลาคม แต่พลังของเนย์เลอร์รุนแรงกว่านั้น คือวันที่ 5 วันเดียวกับคำทำนายออก ในวันนั้นเองที่อังกฤษเกิดอุบัติเหตุเครื่องบิน R101 ประสบอุบัติเหตุจากพายุและร่วงในฝรั่งเศส มีผู้เสียชีวิต 41 ราย 

สำหรับคอลัมน์ครบรอบหนึ่งเดือนแม่นระดับขนลุกและกลายเป็นที่สนใจจากสาธารณชนอย่างท่วมท้น แน่นอนว่าทางหนังสือพิมพ์ Sunday Express จึงขอให้เนย์เลอร์เปิดคอลัมน์ดูดวงรายสัปดาห์เป็นคอลัมน์ประจำ นับเป็นนักพยากรณ์แรกที่เปิดคอลัมน์ของตัวเอง มีคำทำนายสำหรับสาธารณชนอย่างเป็นทางการ

อันที่จริงการย้ายมาทำนายดวงในระดับแมส ทั้งในการลงสื่อสาธารณะคือหนังสือพิมพ์ และการปรับการทำนายจากการทำนายเฉพาะบุคคล มาสู่การทำนายในภาพรวมและคิดเผื่อผู้อ่านจำนวนมากๆ ก็นับว่าเป็นนวัตกรรม หลังจากคอลัมน์ฮิต หนังสือพิมพ์ และสื่ออื่นก็เริ่มดำเนินรอยตามคอลัมน์โหราศาสตร์ เช่น 

The People ในปี 1933 ต่อมาคือ Daily Express ในต้นปี 1938

จุดเปลี่ยนสำคัญของคอลัมน์ดูดวงที่กลายเป็นต้นแบบของคอลัมน์ดูดวงคือการดูดวงโดยใช้จักรราศีและการแบ่งผู้คนโดยสัมพันธ์เข้ากับกลุ่มดาวบนท้องฟ้า เนย์เลอร์เริ่มทำนายโดยเชื่อมโยงดวงเข้ากับกลุ่มดาวในช่วงปี 1936 คือเริ่มมีการพูดถึงการโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เข้าสู่กลุ่มดาวต่างๆ เพื่อทำนายความเป็นไป จนในปี 1937 ที่เนย์เลอร์เริ่มแยกคำทำนายของผู้คนออกเป็น 12 กลุ่มตาม 12 จักรราศี (star sign) และให้คำทำนายเป็นรายสัปดาห์ ในการทำนายจาก 12 ราศีตามช่วงเวลาที่เกิดและเชื่อมโยงเข้ากับกลุ่มจักรราศีมีชื่อคอลัมน์ใหม่ตามชื่อว่า Your Star 

คอลัมน์นี้เนย์เลอร์ใช้วิธีแยกผู้คนโดยจำแนกช่วงเวลาที่เกิดว่าเราอยู่ในช่วงที่ดวงอาทิตย์โคจรใกล้กลุ่มดาวไหน เช่นถ้าเราเกิดในช่วงที่ดวงอาทิตย์โคจรผ่านกลุ่มดาว Capricornus (กลุ่มดาวแพะทะเล) ซึ่งคือช่วง 22 ธันวาคม ถึง 19 มกราคม ในยุคนั้นจะเรียกว่าเป็น sun sign และระบุว่าเป็น Capricorn หรือชาวราศีมังกร

วิวัฒนาการคอลัมน์ดูดวงของเนย์เลอร์ถือว่าอัจฉริยะก็ว่าได้ จากการทำนายดวงโดยทั่วไป จนเริ่มมีการระบุคำทำนายในลักษณะกึ่งเฉพาะเจาะจง คือทำให้เราโยงตัวเองเข้ากับราศีหรือคำทำนายนั้นๆ ในขณะเดียวกันการทำนายก็เต็มไปด้วยศิลปะทั้งการจูงใจและการให้ภาพคำทำนายที่กว้างๆ ไม่เฉพาะเจาะจงเช่นการทำนายในสมัยก่อน

แน่นอนว่าคอลัมน์ของเนย์เลอร์ฮิตเป็นพลุแตก และกลายเป็นรากฐานคอลัมน์ดูดวงรายวัน รายสัปดาห์ในหนังสือพิมพ์สมัยใหม่และกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรา ความพิเศษที่เราเริ่มเห็นคือหน้าตาและบทบาทของหนังสือพิมพ์ที่ไม่ได้เป็นแค่ข่าวสาร แต่เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต หนังสือพิมพ์เข้าไปอยู่ในทุกส่วนของชีวิตของผู้คน เราเห็นภาพการกินข้าวด้วยกันและการเอาดวงมาอ่าน พร้อมกันนั้นในหนังสือพิมพ์เดียวกันก็มีความบันเทิงอื่นๆ มีเกม มีครอสเวิร์ดไปจนถึงเทคนิคการดูแลบ้านประกอบอยู่

สำหรับเนย์เลอร์ ตัวแกกลายเป็นสุดยอดเหมือนหมอลักษณ์ฟันธงในยุคนี้ สัปดาห์หนึ่งมีรายงานว่าแกได้รับจดหมายอย่างน้อย 28,000 ฉบับ มีข้อสังเกตจากบรรณาธิการที่ร่วมสำนักของ Sunday Express ชี้ให้เห็นว่าคอลัมน์ดูดวงของเนย์เลอร์ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ และพลังนี้ส่งผลต่อแรงจูงใจไปจนถึงระบบเศรษฐกิจ ในข้อเขียนระบุว่าถ้าวันไหนเนย์เลอร์บอกว่าวันจันทร์เป็นวันที่ไม่ดีสำหรับการซื้อ ผลคือห้างร้านจะเงียบเหงาและคนซื้อจะรอวันต่อมาให้ดาวของเขาเดินดีซะก่อนค่อยทำการลงมือจับจ่ายข้าวของ

ถ้ามองจากบริบททางสังคม มีข้อสังเกตว่ายุคสมัยที่คอลัมน์ดูดวงถือกำเนิดซึ่งสอดคล้องกับความสนใจของผู้คนที่มีต่อการทำนายและการอยากหยั่งรู้อนาคต ทศวรรษ 1930 เป็นยุคสมัยแห่งความเปลี่ยนแปลง เป็นยุคที่เกิดตลาดหุ้นและเป็นสมัยหลังจากที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทล่มสลาย ในภาวะนั้นสังคมเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ความกลัวว่าจะตกงาน การที่สื่อมีแนวทางหรือชะตาชีวิตในภาพกว้างๆ ให้ก็นับเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ยึดเหนี่ยวและการให้แนวทางในการใช้ชีวิตอย่างคร่าวๆ ได้

ในทำนองเดียวกัน จากงานศึกษาเรื่องโหราศาสตร์และสื่อสารมวลชน ข้อสังเกตเดียวกันพบว่าโหราศาสตร์ที่ได้รับความนิยมขึ้นนั้นนอกจากต้นแบบจากอังกฤษแล้ว ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คอลัมน์ในทำนองเดียวกันรวมไปถึงความสนใจของโหราศาสตร์และการพยากรณ์ก็เฟื่องฟูและแพร่กระจายไปในยุโรป และทั่วโลกในเวลาต่อมา

ความน่าสนใจของการเกิดขึ้นของคำทำนายดวงในระดับมวลชนเมื่อ 70 ปีที่แล้ว หลายอย่างมีความใกล้เคียงกันกับโลกปัจจุบัน จากการเกิดขึ้นและแพร่กระจายของหนังสือพิมพ์ จากบริบทชีวิตที่ไม่แน่นอนและน่าหวาดหวั่น สู่โลกปัจจุบันที่ธุรกิจสายมูฯ การฟังดวง ไปจนถึงช่วงดูดวงทางยูทูบ หรือแอพฯ และการดูดวงที่ใช้พลังของเทคโนโลยีการทำนาย การเปลี่ยนเบอร์มงคล การสุ่มไพ่รายวัน ไปจนถึงฐานข้อมูลดวงดาวที่เราสามารถเช็กดวงได้ทันที ความเปลี่ยนแปลงและบริบทสังคมปัจจุบันเองก็สัมพันธ์กับความรู้สึกถึงความไม่แน่นอนในชีวิต ความไม่มั่นใจในการงานและความมั่นคงที่ไม่ค่อยจะมั่นคงเท่าไหร่

สุดท้ายนี้ อ่านจบแล้ว เพื่อความสบายใจ เราเองก็อาจจะเปิดดวงรายปีดูอีกสักรอบ ถ้าไม่ค่อยดีก็ขอเชื่อครึ่งเดียวและระวังตัวบ้างเล็กน้อย ถ้าไม่สบายใจอีก ก็ลองหาช่องแม่นๆ ใหม่ๆ ฟังเพลินๆ ก่อนนอน–อยากบอกว่าหลายช่องในยูทูบ แม่นใช้ได้

อ้างอิง

เศรษฐกิจ สงคราม เงินเฟ้อ ส่งต่อสู่ปรากฏการณ์ Shrinkflation และ Skimpflation ผู้บริโภคจ่ายเงินเท่าเดิม ได้ของน้อยลง

หนึ่งในทิศทางปี 2024 ที่เห็นเด่นชัดคือ แบรนด์ทั่วโลกต่างต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากสงคราม เศรษฐกิจ และภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งบางแบรนด์ยังไม่ทันจะฟื้นตัวจากช่วงโควิดที่วัตถุดิบต่างๆ ราคาสูงขึ้น การจะขึ้น 1 บาท หรือ 1,000 บาทย่อมส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคไม่ต่างกัน และการที่แบรนด์ขึ้นราคาก็อาจทำให้ผู้บริโภคมองว่าแบรนด์ใจร้าย ไม่เห็นใจลูกค้า 

แต่ต้องยอมรับว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาแบรนด์เองก็ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด เช่นล่าสุดที่สตาร์บัคส์ เชนร้านกาแฟที่มีสาขาไปทั่วโลก ประกาศปรับขึ้นราคา 5 บาท เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ ที่ทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและการจัดการเพิ่มสูงขึ้น โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสตาร์บัคส์ได้พยายามตรึงราคาไว้เพื่อไม่ให้กระทบต่อลูกค้า แต่ในท้ายที่สุดก็จำเป็นต้องปรับขึ้น 5 บาทเฉพาะในกลุ่มสินค้าเครื่องดื่ม

คำถามที่ตามมาคือ การปรับราคาจะส่งผลต่อความ loyalty ที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์หรือไม่

ต่อเนื่องจากกรณีสตาร์บัคส์ หลายคนอาจมองว่าการขึ้นราคาเครื่องดื่ม 5 บาทอาจไม่กระทบต่อกลุ่มลูกค้าหลักของสตาร์บัคส์เท่าไหร่นัก แต่ถ้ามองดีๆ การที่รายใหญ่ขยับตัวหรือปรับราคา เป็นสัญญาณว่าผู้ประกอบการรายอื่นก็สามารถใช้โอกาสนี้ปรับราคาได้เช่นกัน 

ต้องเข้าใจว่าทุกวันนี้ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากมายจนไม่ยึดติดกับแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งอีกต่อไป โดยเฉพาะแบรนด์ที่ปรับราคาสูงขึ้น หรือต่อให้ราคาเท่าเดิม แต่ลดขนาด ลดปริมาณ เปลี่ยนวัสดุ หรือปรับอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าคุณภาพลดลง ล้วนมีผลต่อความ loyalty หรือความจงรักภักดีต่อแบรนด์ทั้งสิ้น

ด้วยเหตุนี้ ทำให้แบรนด์ส่วนใหญ่พยายามตรึงราคาสินค้าไว้เท่าเดิม และหันมาให้ความสำคัญกับการลดต้นทุน และเซฟเงินในกระเป๋าผู้บริโภคให้มากที่สุด โดยการลดคุณภาพ ลดปริมาณ หรือตัดส่วนที่จำเป็นน้อยที่สุดออก ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคไม่พอใจ และหันไปเลือกสินค้าที่มีความใกล้เคียงกันแต่ราคาถูกกว่า

ทีนี้คำถามจึงวนกลับมาทางฝั่งแบรนด์ว่า บนต้นทุนที่น้อยลง หรือราคาที่เพิ่มขึ้น แบรนด์จะสร้างคุณค่าและประสบการณ์ให้ลูกค้าพอใจได้ยังไง 

หนึ่งในคำมั่นสัญญาที่แบรนด์มักมอบให้ผู้บริโภคเสมอคือ การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ผลิตสินค้าตามความต้องการ ตั้งราคาตามกำลังซื้อ หรือแม้แต่การจัดโปรโมชั่นเพื่อเอาใจ ทว่า สิ่งเหล่านี้กำลังถูกแทนที่ด้วยพิษเศรษฐกิจ ที่บังคับให้แบรนด์ต้องลดค่าใช้จ่าย ลดคุณภาพ หรือขึ้นราคาสินค้า ซึ่งปัจจัยเหล่านี้กำลังทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจ และประสบการณ์ที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์

ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้ทำให้เกิดคำศัพท์ใหม่ 2 คำที่สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจ และการผลิตสินค้าคือ Shrinkflation และ Skimpflation 

‘Shrinkflation ลดขนาด ลดปริมาณ ราคาเดิม’

ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในเวลานี้ ส่งผลให้เกิดภาวะ ‘Shrinkflation’ ซึ่งเป็นเทคนิคของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ใช้ปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในช่วงเศรษฐกิจถดถอย คือการลดขนาด ลดปริมาณ โดยยังคงราคาไว้เท่าเดิม เป็นเทคนิคการตลาดที่ผู้บริโภคไม่พอใจนัก เนื่องจากจ่ายเงินเท่าเดิม แต่ได้สินค้าน้อยลง ทำให้ผู้บริโภคหลงเบาใจไปว่าท่ามกลางยุคข้าวยากหมากแพง เรายังจ่ายเงินเท่าเดิม

ซึ่งกลยุทธ์นี้ทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสต้องออกกฎหมายหรือข้อบังคับว่า ผู้ผลิตต้องแจ้งเตือนลูกค้าว่าสินค้าลดปริมาณลง เช่น มันฝรั่งทอดถุงเท่าเดิม แต่ปริมาณมันฝรั่งที่ได้ลดลงเล็กน้อย หรือกาแฟ 3 in 1 เมื่อซื้อถุงใหญ่จากเดิมได้ 20 ซอง ซองละ 17.5 กรัม เหลือซองละ 16 กรัม แม้จะได้ 20 ซองเท่าเดิม แต่ในความรู้สึกของผู้บริโภคอาจเหมือนถูกหลอกลวง

‘Skimpflation ปรับสูตร ลดคุณภาพ เปลี่ยนส่วนผสม’ 

อีกหนึ่งทางออกที่แบรนด์เลือกใช้คือ ‘Skimpflation’ ซึ่งเป็นการปรับสูตรของสินค้า โดยการใช้วัตถุดิบที่มีราคาถูกกว่า คุณภาพน้อยกว่า และราคาเท่าเดิม ถือเป็นกลยุทธ์ที่หลอกตาผู้บริโภคได้ดี หากไม่สังเกต ไม่อ่านฉลากข้างกล่องบางคนก็อาจไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ ซึ่งกลยุทธ์ Skimpflation ส่วนใหญ่จะถูกนำมาใช้กับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ที่ต้องมีการปรับสูตร เปลี่ยนวัตถุดิบเพื่อให้ยังคงราคาเดิมไว้ได้อยู่ ซึ่งแบรนด์เองทำอย่างรอบคอบเพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด และอย่าทำให้ผู้บริโภครู้สึกเหมือนถูกเอาเปรียบ

ยกตัวอย่างกรณีของ Disney ในปี 2021 ที่งดให้บริการรถรับ-ส่ง ทำให้ลูกค้าที่มาใช้บริการต้องเดินเกือบ 2 กิโลเมตร โดยที่ต้องจ่ายค่าตั๋วเท่าเดิม ทำให้ลูกค้าเกิดความไม่พอใจอย่างมาก สุดท้าย Disney นำรถรับ-ส่งกลับมาให้บริการตามเดิม

ในแง่ของความคับข้องใจของผู้บริโภค ทั้ง Shrinkflation และ Skimpflation ไม่ใช่เทรนด์ แต่เป็นผลกระทบที่มีต่อการใช้จ่ายของผู้คน และทั้ง 2 คำมีความเหมือนกันตรงที่แบรนด์พยายามตรึงราคาสินค้าไว้ให้นานที่สุด เพื่อให้ผู้บริโภคยังใช้จ่ายเท่าเดิม แต่ส่วนผสมหรือปริมาณอาจเปลี่ยนไป ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดีแบบนี้ การที่สินค้าอุปโภคบริโภคยังราคาเดิม ผู้บริโภคอาจต้องพลิกข้างกล่องดูว่ามีส่วนผสมเปลี่ยนไปหรือไม่ และคำนวณค่าใช้จ่ายให้ดี

จากสถานการณ์ปัจจุบันที่เศรษฐกิจโลกยังต้องเผชิญกับความผันผวนมากมาย ซึ่งผลกระทบดังกล่าวไม่ได้อยู่แค่ในระยะสั้น แต่เป็นภาวะที่ธุรกิจต้องปรับตัว หาวิธีสร้างสมดุลระหว่างต้นทุนและกำไร โดยไม่กระทบหรือเพิ่มภาระให้ผู้บริโภค หรือเมื่อถึงคราวที่ต้องปรับราคา หรือลดปริมาณควรทำด้วยความจริงใจ มีการชี้แจงเหตุผล เชื่อว่าผู้บริโภคก็ยังรับได้ และยังมีความ loyalty อยู่ เพราะเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น ผู้คนมีกำลังซื้อมากขึ้น แบรนด์ของคุณก็ยังเป็น top-of-mind ของผู้บริโภคเหมือนเดิม

ข้อมูลจาก 

10 เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับโฆษณาและโซเชียลมีเดีย เมื่อผู้ประกอบการต้องฝ่าพายุ พิชิตยอดขาย 

หลังบาดเจ็บจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่ทันที่ธุรกิจจะฟื้นตัวได้เต็มที่ ก็ต้องเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจ และสงครามที่ตามมาอีก ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลก และอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาก็เป็นหนึ่งในนั้น

ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วราวกับเรือที่ถูกลมพัดอยู่ในทะเล ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องทยอยขึ้นฝั่งและหาจุดยึดให้เร็วที่สุด

เราจึงชวน ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด หรือ MI GROUP มาพูดคุยกันถึงภาพรวมของธุรกิจสื่อโฆษณาออนไลน์และออฟไลน์ในปี 2024 ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด และผู้ประกอบการ นักการตลาดจะมีเทคนิคการทรงตัวยังไงให้อยู่รอดปลอดภัยในปีนี้

1. สื่อดิจิทัลค่อยๆ หายใจรดต้นคอสื่อโทรทัศน์

เมื่อสิ้นสุดปี 2023 ทาง MI GROUP ได้ประเมินตัวเลขเม็ดเงินโฆษณาไว้ที่ 84,549 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าประมาณ 4.4% และในปี 2024 คาดการณ์ตัวเลขเม็ดเงินโฆษณาในไทยไว้ที่ 87,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิม 4% โดยมีปัจจัยบวกจากการท่องเที่ยว นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเติบโตของสื่อออนไลน์ และสื่อนอกบ้าน (out of home)

ภวัตเล่าว่า จริงๆ แล้วในช่วงปลายปี 2022 เราคาดการณ์ว่ามูลค่าโฆษณาไทยจะโต 8-10% เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ ที่ดำดิ่งมาหลายปี แต่เมื่อเข้าสู่ปี 2023 ผู้บริโภคยังมีข้อจำกัดในเรื่องการใช้จ่าย ผู้คนยังไม่มีกำลังซื้อมากนัก ทำให้ในปี 2024 เราคาดการณ์การเติบโตไว้เพียง 4% อยู่ที่ 87,960 ล้านบาท เพราะจากการประเมินของธนาคารแห่งประเทศไทย มีปัจจัยบวกมาจากเรื่องการท่องเที่ยว และดิจิทัลวอลเล็ตส่วนปัจจัยลบมีเต็มไปหมด ทั้งเรื่องหนี้ครัวเรือนที่แตะระดับ 90% ของขนาด GDP ประเทศ ค่าครองชีพสูงขึ้น หรือแม้แต่ราคาพืชผลทางการเกษตรที่ตกต่ำลง จนทำให้เกษตรกรไม่สามารถซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์สำหรับการเกษตรได้  

ในส่วนของภาพรวมการใช้สื่อ แน่นอนว่าสื่อหลักยังคงเป็นสื่อโทรทัศน์ แต่เม็ดเงินโฆษณากลับมีแนวโน้มลดลงติดต่อกัน ซึ่งเม็ดเงินเหล่านี้ถูกแบ่งไปยังสื่อที่โตขึ้นเรื่อยๆ อย่างสื่อดิจิทัล และสื่อนอกบ้าน ทำให้มูลค่าสื่อโฆษณาตลอดปี 2023 จบที่ 84,549 ล้านบาท แบ่งเป็น

  • สื่อโทรทัศน์ 36,199 ล้านบาท (ปี 2022–36,726 ล้านบาท)
  • สื่อดิจิทัล 28,999 ล้านบาท (ปี 2022–25,729 ล้านบาท)
  • สื่อนอกบ้าน 12,101 ล้านบาท (ปี 2022–11,002 ล้านบาท)
  • สื่ออื่นๆ (สิ่งพิมพ์ โรงภาพยนตร์ หนังสือพิมพ์ และวิทยุ) 7,250 ล้านบาท (ปี 2022–7,531 ล้านบาท)

จากข้อมูลข้างต้น แม้เวลานี้สื่อโทรทัศน์จะยังเป็นอันดับ 1 ทว่า สื่อดิจิทัลอยู่ในจุดที่หายใจรดต้นคอสื่อโทรทัศน์ ส่วนสื่อประเภทอื่นๆ อย่างสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ และโรงภาพยนตร์ มูลค่าสื่อโฆษณาค่อยๆ ลดลงไปทุกที หากคนสื่อเหล่านี้ไม่ปรับตัวก็อาจอยู่ไม่ได้ เพราะทุกวันนี้พฤติกรรมผู้บริโภคล้วนอยู่ในโลกออนไลน์ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ภวัตมองว่ามูลค่าสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์ยังไงก็ไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิม เพราะผู้บริโภคเปลี่ยนไปแล้ว

เมื่อเจาะลึกไปยังเม็ดเงินโฆษณาของสื่อออนไลน์ในไทย แน่นอนว่าแพลตฟอร์มภายใต้การดูแลของ Meta อย่าง Facebook และ Instagram ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่แบรนด์นิยมใช้มากที่สุด อาจมีเม็ดเงินโฆษณาอยู่ที่ประมาณ 8,183 ล้านบาท (อ้างอิงจากสมาคมโฆษณาดิจิทัล) รองลงมาคือ YouTube ที่มีมูลค่าประมาณ 4,700 ล้านบาท คาดว่าปี 2024 เม็ดเงินที่เคยหลั่งไหลเข้าสู่ 2 แพลตฟอร์มนี้จะถูกแชร์ไปยัง TikTok และ affiliate marketing มากขึ้น

2. คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่า 9 ชั่วโมงต่อวัน

เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ เวลานี้พฤติกรรมการใช้สื่อของคนไทยเปลี่ยนไปอย่างมาก คนทุกเพศทุกวัยถูกบังคับให้ต้องใช้งานดิจิทัลมากขึ้น คนรุ่นใหม่ในกลุ่มเจนฯ Z และเจนฯ Y อาจไม่ต้องปรับตัวเยอะเพราะเติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีอยู่แล้ว แต่ตัวแปรสำคัญคือเจนฯ X และ Baby Boomer ที่ต้องเรียนรู้การใช้งานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในช่วงโควิดที่ผ่านมาคนกลุ่มนี้ใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์มากที่สุด ทั้งการซื้อสินค้า การวิดีโอคอลล์เพื่อสื่อสารกับลูกหลาน หรือแชตคุยกับเพื่อน ส่งสติ๊กเกอร์สวัสดีวันจันทร์ หรือใช้เฟซบุ๊กเพื่อติดตามข่าวสารต่างๆ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ได้กลายเป็นความเคยชินมาจนถึงตอนนี้

ปัจจุบันคนไทยอยู่กับอินเทอร์เน็ตมากกว่า 9 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งมากกว่าปี 2022 ที่ใช้ประมาณ 8 ชั่วโมงต่อวัน แสดงให้เห็นว่า ผู้คนใช้เวลากับอินเทอร์เน็ตมากขึ้นและดูทีวีน้อยลง จากข้อมูลล่าสุดพบว่าทุกวันนี้เราดูทีวีไม่ถึง 3 ชั่วโมงต่อวัน โดยเวลาที่เหลือจึงอยู่ที่หน้าจอมือถือ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ยิงยาวมาตั้งแต่ช่วงโควิด 

3. ทุกเจเนอเรชั่นมีแพลตฟอร์มของตัวเอง

แต่ก่อนเราอาจเคยได้ยินว่าคนรุ่นใหม่ใช้ X (Twitter) เพื่อหนีพ่อแม่ แต่ปัจจุบันคนทุกเจเนอเรชั่นกระจายอยู่ในทุกแพลตฟอร์ม และแต่ละเจเนอเรชั่นมีคอมมิวนิตี้ของตัวเอง 

“ถ้าถามว่าตอนนี้แพลตฟอร์มไหนมาแรงที่สุด ก็ต้องเป็น TikTok ที่ร้อนแรงมาตลอดตั้งแต่เปิดตัว และสามารถแย่ง eyeball จากแพลตฟอร์มอื่นๆ ได้ แต่ถ้าพูดถึงแพลตฟอร์มที่ทรงพลังที่สุดไม่เคยจางหายคือเฟซบุ๊ก

“ที่น่าสนใจคือพฤติกรรมการใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของแต่ละเจเนอเรชั่นก็มีความแตกต่างกัน เช่น กลุ่มเจนฯ Z และเจนฯ Y ในไทยใช้ TikTok เพื่อทำคอนเทนต์ เสพความบันเทิง และไลฟ์ขายของ ใช้ X เพื่อติดตามศิลปินเกาหลี และเกาะกระแสข่าวการเมือง ส่วน Baby Boomer ใช้ไลน์และเฟซบุ๊กเพื่อติดตามข่าวสารและสื่อสารกับคนในครอบครัวและเพื่อน หรือในกรณีที่เป็นสายเกมเมอร์ แพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมคือ Discord หรือ Twitch ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มทุกคนก็มีตัวตนและสังคมของตัวเอง”

ดังนั้นในมุมของการทำตลาดและธุรกิจ คุณต้องหาให้ได้ว่าจริงๆ แล้วกลุ่มเป้าหมายอยู่ในแพลตฟอร์มไหน เป็นคนยังไง มีความชอบในเรื่องใด หรือภาษาที่ใช้คุยกันเป็นยังไง แล้วค่อยวางกลยุทธ์การสื่อสารในแพลตฟอร์มนั้น 

4. โซเชียลมีเดียเป็นสื่อกระแสหลัก 

ปัจจุบันโซเชียลมีเดียหรืออินเทอร์เน็ตกลายเป็นสื่อกระแสหลักที่มีอิทธิพลต่อคนไทยอย่างมาก ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ทุกคนต่างมีตัวตนอยู่บนโลกออนไลน์ เมื่อคนไทยใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น ย่อมได้รับอิทธิพลของโซเชียลมีเดียเต็มๆ 

“เดิมทีคนไทยจะเปิดรับข่าวสารจากโทรทัศน์ จะแสดงความคิดเห็นหรือความชอบโดยมีสารตั้งต้นจากรายการข่าวเป็นหลัก ทำให้ความคิดเห็นมักไปในทางเดียวกัน แต่เดี๋ยวนี้ต่างออกไป เพราะโซเชียลมีเดียได้ทำหน้าที่เป็นสื่อกระแสหลัก ผู้คนเปิดรับข่าวสารจากออนไลน์ เพราะฉะนั้น กระแสในโลกออนไลน์เป็นไปในทิศทางไหน ผู้คนก็จะคล้อยไปตามทิศทางนั้น ซึ่งเป็นแนวทางที่ชัดเจนตั้งแต่ช่วงโควิดจนกระทั่งถึงปีนี้” ภวัตอธิบาย

กระแสโซเชียลยังลามไปถึงการช้อปออนไลน์ ที่ผู้บริโภคจะหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต อ่านรีวิวจากอินฟลูเอนเซอร์หรือผู้ใช้งานจริง แล้วค่อยตัดสินใจซื้อ จึงเกิดเป็นโมเดลธุรกิจที่เรียกว่า affiliate marketing 

5. การใช้อินฟลูเอนเซอร์เปลี่ยนไป จากใช้เพื่อสร้างแบรนด์มาเป็น affiliate marketing

ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา หนึ่งในกลยุทธ์ที่แบรนด์ต่างๆ ใช้คือ อินฟลูเอนเซอร์เป็นกระบอกเสียงในการสร้าง word of mouth แต่สำหรับในปี 2024 ทิศทางการใช้อินฟลูเอนเซอร์จะเปลี่ยนไป จากการใช้เพื่อสร้างแบรนด์ เป็นการสร้างยอดขาย

ภวัตเล่าว่า “พลังของโซเชียลมีเดียถูกส่งต่อไปถึงธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ถ้าวันนี้นักการตลาดยังทำโฆษณาแบบเดิม ก็อาจอยู่รอดในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วได้ยาก อินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนวิธีการซื้อ-ขายของคนรุ่นใหม่ไปอย่างสิ้นเชิง ทุกวันนี้เวลาเราอยากซื้อของก็ต้องหาข้อมูลหรืออ่านรีวิวจากอินฟลูเอนเซอร์ก่อน ซึ่งอินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้ก็จะเชียร์ขายแบบสุดใจขาดดิ้น เพราะทุกการขายของเขาได้ส่วนแบ่ง ทำให้เทรนด์การใช้อินฟลูเอนเซอร์ขยับไปเป็น affiliate marketing”

ปี 2024 คำว่า affiliate marketing จะยิ่งชัดเจนขึ้น งานที่อินฟลูเอนเซอร์ได้รับจะยิ่งละเอียดขึ้น แบรนด์หรือนักการตลาดจะลงดีเทลกับการรีวิวมากขึ้นไปด้วย ทั้งหมดนี้เกิดจากอิมแพกต์ของโซเชียลมีเดีย และสัดส่วนการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนไทยที่สูงขึ้นเรื่อยๆ 

6. ก่อนขายสินค้าให้ตั้งหลักด้วยคำถามว่า “กำลังขายของให้ใคร”

เมื่อพฤติกรรมการเสพสื่อและการใช้โซเชียลมีเดียของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ผู้ประกอบการหรือคนทำธุรกิจต้องตั้งหลักด้วยคำถามว่า กำลังขายสินค้าให้ใคร เพราะถ้าเล็งกลุ่มเป้าหมายผิด ก็มีโอกาสที่จะขายไม่ได้เลยสักชิ้น เช่น แบรนด์แชมพูที่ทำโฆษณาทางโทรทัศน์หว่านแหไปยังกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ คุณอาจสร้างการรับรู้ได้ แต่จะแน่ใจได้ยังไงว่าเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกค้าจริงๆ ในทางกลับกัน ถ้าขายแชมพูโดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักศึกษาที่ไว้ผมยาว คุณจะรู้ว่าควรออกแบบหรือทำโฆษณาบนแพลตฟอร์มไหนให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด และรู้ว่าควรเลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์คนไหนที่จะช่วยปิดการขายได้

ดังนั้นผู้ประกอบการต้องทำการบ้านให้ดี ว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง มีการวางแผนและตีโจทย์ให้ได้ว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายหลัก ใครคือกลุ่มเป้าหมายรอง เพราะแต่ละแบรนด์มีงบการตลาดจำกัด การทำโฆษณาแบบ one for all หรือใช้โฆษณาชิ้นเดียวเพื่อเข้าถึงคนทุกเพศทุกวัยอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดี อย่าลืมว่าผู้บริโภคแต่ละกลุ่มมีภาษา ความชอบ ความสนใจ และปัญหาแตกต่างกัน คุณต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เพราะปีหน้าผู้บริโภคจะมีความเฉพาะตัวและกระจายตัวไปยังแพลตฟอร์มต่างๆ มากขึ้น

7. ทำโฆษณาออฟไลน์-ออนไลน์ ถ้าจะให้ดี ต้องทำคู่กัน

แม้ทุกวันนี้เราจะก้าวเข้าสู่โลกการค้าออนไลน์กันมาหลายปี แต่ก็ยังมีคำถามคาใจของนักการตลาดว่า จะทำโฆษณาออฟไลน์หรือออนไลน์ดี ถ้าทำโฆษณาออฟไลน์อย่างเดียวได้ไหม หรือทำออนไลน์อย่างเดียวได้ไหม

ภวัตตอบคำถามนี้ว่า เป็นคำถามที่ตอบยาก เพราะต้องดูว่าเป้าหมายที่ต้องการคืออะไร และทั้งออฟไลน์และออนไลน์ก็มีฟังก์ชั่นการใช้งานต่างกัน ถ้าต้องการสร้าง awareness เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากและรวดเร็วในครั้งเดียวก็ต้องใช้โทรทัศน์หรือสื่อนอกบ้าน แต่ถ้าต้องการกระตุ้นยอดขายก็ต้องใช้แพลตฟอร์มออนไลน์และอินฟลูเอนเซอร์

หากมองในทฤษฎี marketing funnel ที่แบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ upper funnel การรับรู้, middle funnel การดึงดูดความสนใจ และ lower funnel การซื้อ ปีนี้ผู้ประกอบการหรือนักการตลาดยังต้องโฟกัสที่ upper funnel และ middle funnel ต้องสื่อสารให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้ รู้จัก และสนใจสินค้าหรือบริการ ซึ่งการทำ TVC ทางโทรทัศน์ หรือยิงโฆษณาออนไลน์ pre-roll ในยูทูบจะทำให้เกิดการรับรู้ได้จริง แต่อาจไม่ทำให้เกิดรายได้ ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นหน้าที่ของ lower funnel ที่เน้นการสร้างแคมเปญให้เกิดยอดขาย ทั้งคูปอง ส่วนลด โปรโมชั่น เพื่อคัดกรองกลุ่มเป้าหมายให้เหลือแค่คนที่เป็นลูกค้าจริงๆ 

อย่างไรก็ตาม ในการทำโฆษณาไม่ใช่ว่าทำแค่ช่องทางใดช่องทางหนึ่ง แต่อยากให้มองเป็นช่องทางเดียว ทำออนไลน์และออฟไลน์ไปคู่กัน และมองที่ consumer journey เป็นหลัก 

8. consumer journey ไม่เป็นเส้นตรงเสมอไป

ที่ผ่านมาเราอาจคุ้นเคยกับการทำโฆษณา ยิงแอดเรียกความสนใจ ต้อนคนเข้าเว็บไซต์ ดึงดูดด้วยโปรโมชั่น และเกิดการสั่งซื้อ หรือทำโฆษณาทางทีวี ขึ้นป้ายบิลบอร์ด โปรโมตในหนังสือพิมพ์ เพื่อให้ผู้บริโภคไปห้างสรรพสินค้า และฟัง BA ประจำบูทอธิบายข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อทำให้เกิดความสนใจ ก่อนจะตบท้ายด้วยโปรโมชั่น

ภวัตเล่าว่า “นี่เป็น consumer journey แบบเดิม แต่ตามตำราของ MI ได้แบ่ง consumer journey ออกเป็น 7A ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการวางกลยุทธ์การสื่อสาร จากภาพจะเห็นว่า consumer journey ไม่ได้เป็นเส้นตรงอีกต่อไป แต่ทุก touch point ล้วนมีความจำเป็นและฟังก์ชั่นการใช้งานที่ต่างกัน โดยแบรนด์ไม่จำเป็นต้องใช้ครบทุก A แต่ควรพิจารณาตามโจทย์ของแบรนด์นั้นๆ” 

7A Consumer Journey ฉบับ MI ประกอบด้วย 

  • Ask: ผู้บริโภคค้นหาข้อมูล เมื่อมีปัญหา แบรนด์ควรมีคำตอบ หรือโซลูชั่นเพื่อตอบปัญหาลูกค้า
  • Aware: สร้างการรับรู้และรู้จักในแบรนด์
  • Associate: แบรนด์เริ่มเป็นตัวเลือกที่จะสามารถตอบความต้องการของผู้บริโภค
  • Appeal: แบรนด์เข้าไปอยู่ในการพิจารณาของลูกค้าแล้ว
  • Act: ผู้บริโภคซื้อหรือลงทะเบียน (take action)
  • Adore: ซื้อแล้วชอบ ใช้แล้วชอบ ใช้แล้วรัก
  • Advocate: ใช้แล้วชอบ ภูมิใจจนอยากบอกต่อ

ปัจจุบันเส้นทางของ consumer journey ไม่ใช่เส้นตรงแบบเดิมเสมอไป แต่ละขั้นตอนสามารถกระโดดไปมาได้ และไม่ใช่เส้นทางที่ผ่านครั้งเดียวแล้วจบ แต่ในบาง touch point อาจต้องย้ำซ้ำๆ เพื่อให้เคลื่อนจากขั้นตอนหนึ่งไปสู่อีกขั้นตอนหนึ่ง เช่น แบรนด์น้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นกุหลาบ แรกเริ่มผู้บริโภคอาจยังไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องใช้ แต่เมื่อเห็นโฆษณาจากสื่อนอกบ้านบนบีทีเอส และเห็นอินฟลูเอนเซอร์รีวิวในยูทูบก็ทำให้ผู้บริโภคเริ่มมีความอยากได้ หรือในขั้นตอนที่อยากได้สินค้าแต่ไม่รู้จะซื้อยี่ห้อไหน นักการตลาดต้องทำให้พวกเขารู้ว่าสินค้าของคุณโดดเด่นยังไง ด้วยการ aware สร้างการรับรู้ และการ adore โดยให้อินฟลูเอนเซอร์รีวิวการใช้งาน ซึ่งในแต่ละ touch point นักการตลาดต้องออกแบบและสร้างประสบการณ์ระหว่างทางที่ดี 

9. การทำโฆษณาออนไลน์ต้องมีศาสตร์และศิลป์

สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจและต้องการยิงแอด คนที่ยังไม่เคยทำอาจรู้สึกไม่กล้าที่จะลงเงินซื้อโฆษณาออนไลน์ เกิดความไม่มั่นใจว่าแอดที่ทำอยู่มาถูกทางหรือไม่

“สมมติว่าคุณทำธุรกิจขายกำไลข้อมือสายมู ต้องรู้ก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายคือใคร หากบอกว่ากลุ่มเป้าหมายคือผู้หญิงที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย มี 2 เรื่องหลักๆ ที่ต้องรู้คือศาสตร์และศิลป์”

ศาสตร์ในที่นี้ ภวัตอธิบายว่า หมายถึงเทคนิคในการตั้งค่าโฆษณา ซึ่งคุณต้องรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายจริงๆ คือใคร ซึ่งบางทีอาจไม่ใช่แค่กลุ่มนักศึกษา แต่คนทั่วไปก็สนใจเรื่องมูเตลูเช่นกัน แทนที่จะโฟกัสเรื่อง demographic ลองเปลี่ยนเป็นการเจาะกลุ่มเป้าหมายตามไลฟ์สไตล์หรือความชอบ คุณต้องหาให้ได้ว่าใครบ้างที่สนใจเรื่องโชคลาง เคยเช็กอินตามวัดดัง หรือแฝงตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มสายมูต่างๆ เพื่อดูว่ากลุ่มเป้าหมายชอบหรือไม่ชอบอะไร ถ้าหาความเชื่อมโยงเหล่านี้เจอ คุณจะรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ได้มีแค่นักศึกษา แต่ยังมีอีกหลายคนที่สนใจเรื่องมูเตลู หลังจากนั้นจึงเป็นเรื่องของการยิงแอด

สำหรับศิลป์ เป็นเรื่องของการทำคอนเทนต์ ความสวยงาม ศิลปะ และภาษา ทำยังไงให้โฆษณาน่าสนใจ และโฆษณาแต่ละชิ้นต้องสื่อสารให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เช่น โฆษณาสำหรับนักศึกษาอาจใช้ภาพและข้อความที่สื่อถึงเรื่องการเรียน ความรัก และโฆษณาสำหรับผู้สูงอายุต้องใช้เน้นเรื่องสุขภาพ อายุยืน ซึ่งบริบทการสื่อสารของคน 2 กลุ่มนี้แตกต่างกัน 

สำคัญที่สุดคือต้องหากลุ่มเป้าหมายให้เจอ อย่าโฆษณาแบบหว่านแห อย่าเพิ่งคิดว่าต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ ให้เริ่มจากการเจาะแค่คนที่ใช่เท่านั้น แล้วพุ่งเป้าไปที่คนกลุ่มนี้ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ไม่ต้องใช้เงินเยอะเกินไป 

10. ทำโฆษณาต้องถูกคน ถูกใจ ถูกที่ ถูกเวลา

โดยสรุป คัมภีร์การทำโฆษณาสำหรับปี 2024 ไม่ว่าจะออฟไลน์หรือออนไลน์ ต้องถูกคน ถูกใจ ถูกที่ ถูกเวลา 

  • ถูกคน คือหากลุ่มเป้าหมายให้เจอ ทุกวันนี้นักการตลาดไม่ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายว่าต้องเป็นเพศหญิงหรือชาย รายได้เท่าไหร่ แต่จะดูจากความสนใจหรือไลฟ์สไตล์
  • ถูกใจ คือใช้ภาษาเดียวกับกลุ่มเป้าหมาย
  • ถูกที่ คือรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายอยู่ในแพลตฟอร์ม แล้วยิงแอดไปให้ถึง
  • ถูกเวลา คือทำให้พวกเขาเห็นโฆษณาในช่วงที่สนใจ

“สำหรับการทำโฆษณาในปีนี้ บอกเลยว่าไม่ง่าย เพราะคุณไม่ได้เจอแค่คู่แข่งทางตรง แต่ยังเจอคู่แข่งทางอ้อมอย่างสภาพเศรษฐกิจ หนี้ครัวเรือน และกำลังซื้อที่ลดลง ผู้ประกอบการต้องตั้งรับและปรับตัวให้ทัน เตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่จะเกิดขึ้น ทุกชิ้นงานโฆษณาไม่ว่าจะหน้าบ้านหรือหลังบ้านต้องละเอียดขึ้น” ภวัตกล่าวทิ้งท้าย

เปิดตำราการบริหารคนของ SC Asset บริษัทด้านอสังหาฯ อันดับ 1 ที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วย ผ่านกลยุทธ์ 5P และเฟรมเวิร์ก Employee Thriving

ว่ากันว่า การบริหารคนนั้นยากแล้ว แต่การบริหารให้ได้ใจคนยากกว่า

โดยเฉพาะในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องบริหารคนจำนวนมาก หลายตำแหน่ง หลายทีม หรือแม้แต่หลายเจเนอเรชั่น ถือเป็นหนึ่งในมิชชั่นที่ปราบเซียนสำหรับสายบริหารอย่างมาก

คำถามสำคัญคือผู้บริหารองค์กรต้องทำยังไงถึงจะบริหารคนได้ลงตัว สามารถปลุกเร้าให้ทุกคนร่วมใจกันสร้างงานที่มีคุณภาพ ในขณะเดียวกันก็สามารถมัดใจพนักงานเก่งๆ ไว้ได้ เพราะยุคนี้องค์กรอาจไม่ใช่ผู้เลือกพนักงาน แต่เป็นพนักงานต่างหากที่เลือกองค์กร

คุณสมบัติสำคัญขององค์กรที่สามารถชนะใจคนรุ่นใหม่ได้มีหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคง สามารถเติมเต็มความต้องการในชีวิตมิติต่างๆ ซึ่ง SC Asset ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ติดหนึ่งในลิสต์องค์กรชั้นนำที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วย ประจำปี 2023 จัดอันดับโดย WorkVenture และเป็นบริษัทด้านอสังหาฯ อันดับ 1 ที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยในปีนี้

แนวคิด People Thriving

คุณญุตม์ อุบลศรี หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์การบริหารทรัพยากรบุคคล แห่ง SC Asset เล่าว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา SC Asset ให้ความสำคัญกับ ‘พนักงาน’ บนความเชื่อที่ว่า พนักงานเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักสำคัญที่ทำให้องค์กรขับเคลื่อนไปสู่จุดหมายที่ตั้งไว้ และ SC Asset ยกให้พนักงานเป็นกำลังหลักที่ทำหน้าที่สร้างประสบการณ์ดีๆ เพื่อส่งต่อไปยังลูกค้า ดังนั้นจึงต้องทำให้พนักงานมีความสุข ตามแนวคิด Thriving Together ที่บริษัทได้ตั้งไว้ โดยต้องการให้องค์กรเติบโตควบคู่ไปกับลูกค้า พนักงาน คู่ค้า และสิ่งแวดล้อม 

เมื่อเจาะลึกลงไปในหลักการบริหารคนของ SC Asset จะพบคีย์เวิร์ดสำคัญที่ทำให้ SC Asset เป็นองค์กรในใจของคนรุ่นใหม่ นั่นคือ ‘People Thriving’ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ทาง SC Asset พัฒนามาจาก Best Practice ขององค์กรชั้นนำระดับโลกเพื่อตอบสนองความต้องการของพนักงานผู้ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่สุดของบ้านที่ชื่อว่า SC Asset 

ภายใต้แนวคิด People Thriving ประกอบด้วย 5P หรือการเติมเต็มพนักงานใน 5 ด้าน ได้แก่

1. Pay ได้รับค่าตอบแทนเหมาะสมกับลักษณะงาน, ความสามารถ และผลงาน (Pay for 3Ps : Position, Person, and Performance) เติมเต็มด้านค่าตอบเเทนเหมาะสมกับทักษะเเละงานที่ได้รับผิดชอบ 

2. Perks มีสวัสดิการดูแลดี ทั้งสวัสดิการพื้นฐาน และ Flexi-Benefit ที่ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ของพนักงานเติมเต็มในด้านการพัฒนาคน 

3. People ทำงานได้ดี  ในทีมที่ดี และบรรยากาศการทำงานที่ดีเติมเต็มด้านสวัสดิการ เช่น พนักงานชาย คุณพ่อสามารถลาคลอดบุตร เพื่อช่วยคุณแม่ดูแลลูกที่เพิ่งเกิดได้

ทั้ง 3 ด้านนี้เติมเต็มเพื่อให้เกิดความรู้สึกมีพลังและอยากจะเรียนรู้และพัฒนาวิธีการทำงานให้ดียิ่งขึ้นในทุกวัน

4. Pride รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กร เติมเต็มด้านการรับรู้ความสำเร็จขององค์กร 

5. Purpose รู้ว่างานของตนเองมีความหมายและมีคุณค่าในการส่งมอบเช้าที่ดีให้กับลูกค้าทุกคนเติมเต็มด้านการทำงานที่มีคุณค่าเเละมีความหมาย 

อีก 2 ด้านนี้เติมเต็มเพื่อให้เกิดความรู้สึกมีคุณค่า อยากมีส่วนร่วม พร้อมทุ่มเททำงานด้วยความสุขและความสำเร็จที่ยั่งยืน

คิดถึงพนักงานก่อนเสมอ

เพื่อให้ 5P สมบูรณ์แบบที่สุด องค์กรต้องทราบอินไซต์ของพนักงานก่อน จึงเกิดเป็นการทำ People Thriving Survey เพื่อวิเคราะห์และทำความเข้าใจพนักงานแต่ละคน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ และส่งเสริมให้พนักงานกล้าพูด กล้าคิด กล้าทำได้อย่างอิสระ

ความน่าสนใจของ People Thriving Survey ไม่ใช่แบบสำรวจทั่วไป แต่เป็นแบบสำรวจสิ่งที่อยู่ในใจของพนักงานอย่างแท้จริง ช่วยให้บริษัททราบฟีดแบ็กของพนักงานแต่ละคนอย่างทั่วถึง ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้องค์กรรู้จักและเข้าใจพนักงานมากขึ้น รู้ว่าพวกเขาคิดยังไง มีเป้าหมายในชีวิตเรื่องใด และต้องการเติบโตไปทิศทางไหนในองค์กรนี้  ไม่ใช่แค่พนักงานได้บอกความต้องการของตนเอง ทางฝั่งองค์กรก็ได้รับรู้เเละช่วยส่งเสริมการเติบโตของพนักงาน เเละท้ายที่สุด ความสำเร็จนั้นก็จะส่งผลต่อองค์กรเช่นกัน

นอกจากนี้ SC Asset ยังมีแอพพลิเคชั่น SCinONE ที่ทำหน้าที่ให้บริการ 24/7 HR Services ผ่านฟีเจอร์ต่างๆ เพื่อส่งเสริมการทำงานแบบ work from anywhere และเพื่อความคล่องตัวในการทำงานในทุกๆ วัน

ทีม HR ที่เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ขององค์กร

ถ้าพนักงานเป็นหัวใจขององค์กร ทีม HR อาจเปรียบได้กับเส้นเลือดใหญ่ที่ทำหน้าที่เป็นคนกลางที่ช่วยเชื่อมโยงระหว่างผู้บริหาร พนักงาน และองค์กร ที่ SC Asset ทีม HR ยังเข้าถึง Manager ของแต่ละแผนกเพื่อสอบถามเกี่ยวกับการทำงานและบรรยากาศการทำงาน ต้องการพัฒนาทีมในด้านใด รวมถึงพูดคุยกับตัวพนักงานโดยตรงเพื่อนำเสียงสะท้อนเหล่านั้นมาพัฒนาหรือปรับปรุงต่อไป 

ทั้งหมดนี้เป็นบทสรุปว่าทำไม SC Asset ถึงกลายเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วย และยังได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ให้แก่องค์กรอื่นๆ ที่ต้องการร่วมงานกับคนรุ่นใหม่ ที่ไม่ใช่แค่ดึงดูดคนเก่งด้วยเงินเดือน แต่ยังมีกลยุทธ์ 5P ที่ใส่ใจชีวิตพนักงานในทุกมิติ ส่งเสริมให้พนักงานมีความสุขในการทำงาน และทำให้องค์กรประสบความสำเร็จไปด้วยเช่นกัน

ทำความรู้จักกับ SC Asset เพิ่มเติมได้ที่ https://m.scasset.com/K9OP