ความเชื่อและกลยุทธ์ที่ทำให้ REV RUNNR ก้าวสู่มัลติแบรนด์อันดับต้นๆ ที่รันธุรกิจวิ่งในไทย 

ชื่อของ REV RUNNR  ได้รับความสนใจมากขึ้นตามกระแสนิยมการวิ่งในไทยที่เติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ 

ในมุมของนักวิ่งความน่าสนใจของมัลติแบรนด์แห่งนี้คือเป็นร้านที่มีอุปกรณ์การวิ่งที่ครบครันทั้งสำหรับนักวิ่งมือใหม่และนักวิ่งสายเพอร์ฟอร์แมนซ์ มีแบรนด์ที่อยู่ทั้งในและนอกกระแสให้เลือกมากมาย ร้าน REV RUNNR จึงดึงดูดใจให้เหล่านักวิ่งเข้าไปเดินเล่นกันอยู่เสมอ 

ส่วนในมุมธุรกิจความน่าสนใจของ REV RUNNR คือการเป็นสเปเชียลตี้สโตร์ที่มีการเติบโตเรื่อยมา ระยะเวลา 5 ปีสามารถแตกกิ่งก้านออกมาเป็น 35 สาขา ทำให้แบรนด์รองเท้าวิ่งที่มีความเฉพาะทางอย่าง HOKA, Saucony หรือ On Running เป็นที่รู้จักมากขึ้นในไทย ทั้งยังทำให้ไทยเป็นประเทศแรกของโลกที่มีช็อปของ HOKA อีกด้วย

เป็นการบุกเบิกทางเลือกใหม่ๆ ที่ยังไม่มีใครเคยทำมาก่อน

จนเมื่อได้พูดคุยกับ พรศักดิ์ ชินวงศ์วัฒนา ผู้บริหารและเจ้าของ REV RUNNR จึงได้รู้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำสิ่งใหม่ๆ และพวกเขาไม่ใช่หน้าใหม่ในสนามธุรกิจนี้ เพราะหากนับจากประสบการณ์ REV RUNNR ทำธุรกิจอุปกรณ์กีฬามานานกว่า 22 ปีแล้ว 

เขาเป็นคนแรกในไทยที่ทำ Nike คอนเซปต์สโตร์ซึ่งเป็นร้าน Nike แบบสแตนด์อะโลนแห่งแรกในไทยที่อยู่นอกห้าง, เป็นผู้นำเข้ารองเท้า Crocs เข้ามาในไทยตั้งแต่ยุคสมัยที่หลายคนมองว่ารองเท้ามีรูยี่ห้อนี้รูปร่างแปลกประหลาด, เป็นคนนำแบรนด์ Champion กลับมาทำตลาดในไทยอีกครั้งหลังจากที่เคยห่างหายไป 16 ปี 

และเป็นผู้เล่นคนสำคัญที่ช่วยรันให้ธุรกิจวิ่งในไทยเติบโตอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

Checkpoint 1 : จุดสตาร์ท 

ด้วยความที่เติบโตมาในครอบครัวนักกีฬา มีพ่อเป็นนักบาสทีมชาติ ส่วนแม่แม้ไม่ได้เป็นนักกีฬาอาชีพแต่ก็เล่นเทนนิสอย่างจริงจังทุกวัน สิ่งนี้หล่อหลอมให้พรศักดิ์ชอบเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็ก ทว่าเมื่อตอนเรียนมหาวิทยาลัยเขากลับเลือกเรียนในสายโทรคมนาคมตามคำขอของที่บ้านเพื่อจะได้กลับมาสานต่อธุรกิจครอบครัวที่ทำเกี่ยวกับโครงข่ายซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ให้กับบริษัทโทรคมนาคมอีกที 

“ตอนเรียนผมทำตามที่บ้านขอแล้ว ตอนทำงานผมเลยขอเลือกทางของตัวเอง” เขาเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้นักศึกษาซึ่งจบด้านโทรคมนาคม หันมาทำธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์กีฬา

จากประสบการณ์ที่เคยไปเรียนอยู่ที่อเมริกามา 2 ปี พรศักดิ์ได้เห็นช็อปกีฬาในรูปแบบที่หลากหลายและมีการสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าที่มาร้าน แต่เมื่อมองย้อนกลับมาที่ไทยช็อปกีฬาส่วนใหญ่ในสมัยนั้นยังอยู่แต่ในห้างสรรพสินค้า รองเท้ากีฬาจะถูกหุ้มด้วยพลาสติกแล้ววางบนเชลฟ์ที่แขวนอยู่บนชั้นไม้ข้างกำแพง ส่วนเสื้อก็มีถุงพลาสติกครอบแล้วเอาไปวางแขวนบนราวสเตนเลสอีกที ลูกค้าจะจับจะสัมผัสกับของก็ลำบาก ครั้นจะให้พนักงานช่วยแกะพลาสติกให้ก็ดูเป็นเรื่องที่ไม่ใช่สักเท่าไหร่ สิ่งนี้เองจุดประกายให้พรศักดิ์เกิดความคิดที่ว่ามันน่าจะมีวิธีการนำเสนอสินค้าได้ดีกว่านี้ ทำให้เขานึกถึงภาพคอนเซปต์ช็อปที่เคยเห็นจากต่างประเทศ 

และนั่นคือที่มาของ Sport Revolution ซึ่งเป็นชื่อแรก ก่อนในเวลาต่อมาจะเปลี่ยนมาเป็น REV RUNNR

จุดเริ่มต้นของ Sport Revolution มาจากการที่พรศักดิ์ได้เป็นตัวแทนในการทำช็อป Nike แบบสแตนด์อะโลนสาขาแรกในไทย และในการทำช็อป Nike นี้ก็มาจากการที่เขาใช้เวลาพูดคุยกับ Nike เป็นเวลานานกว่า 1 ปี

“ตอนนั้นผมเพิ่งอายุแค่ 20 กว่าๆ ไม่ได้มีแบ็กกราวนด์ในการทำธุรกิจเลย แต่มีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตในช็อปกีฬา รู้ประวัติต่างๆ ของแบรนด์กีฬา แล้วคิดว่านี่เป็นโอกาสธุรกิจในไทย ถามว่าทำยังไงให้เขาเชื่อ ก็คือผมตื๊ออย่างเดียวเลยครับ โทรไปเขาไม่รับสายเราก็ไปนั่งรอที่ออฟฟิศ จนได้เจอกับเขา แรกๆ คุยกันก็ไม่เคยเซย์เยส แต่เราก็ไปคุยเรื่อยๆ เล่าไอเดียให้ฟังว่าอยากทำร้านไซส์นี้ รูปแบบประมาณนี้ หกเดือนแรกใช้เวลาไปกับการบอกเขาว่าคนไทยพร้อมแล้วสำหรับการมีคอนเซปต์สโตร์ อีกหกเดือนหลังใช้เวลาไปกับการทำให้เขาเชื่อมั่นว่าแม้เราจะเป็นเด็กแต่ก็พร้อมจะทำธุรกิจนี้จริงๆ 

“เริ่มคุยกับ Nike ปี 1999 จนในที่สุดปี 2000 ก็ได้เปิด Nike คอนเซปต์สโตร์ที่แรกในไทย ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท พื้นที่ร้านราวๆ 500 ตารางเมตรซึ่งถ้าเทียบกับช็อปอื่นๆ ในขณะนั้นเขาจะมีพื้นที่กันราวๆ 100-150 ตารางเมตร”

แม้จะได้รับสิทธิ์ให้ทำคอนเซปต์สโตร์เป็นเจ้าแรกในไทยจาก Nike แล้ว แต่สเตปถัดไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับพรศักดิ์ เพราะแม้ชื่อของ Nike จะติดตลาด แต่หากย้อนกลับไปเมื่อ 20 ก่อนหน้าพฤติกรรมของผู้คนส่วนใหญ่ยังมักจะซื้อรองเท้ากีฬาจากในห้างอยู่ดี ถึงจะตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องขายรองเท้าให้ได้วันละ 10 คู่ ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจเลี้ยวรถเข้ามา จอดรถหลังร้าน แล้วเดินเข้าร้านมาอีกที

ทว่าด้วยประสบการณ์ที่สัมผัสกับคอนเซปต์สโตร์ในต่างประเทศมามากรวมกับ gut feeling ส่วนตัวที่มี ก็ทำให้พรศักดิ์สามารถขายของได้เกินกว่าที่ตั้งเป้าเอาไว้

จนเมื่อคอนเซปต์สโตร์สาขาแรกประสบความสำเร็จ Nike จึงวางใจให้ Sport Revolution ช่วยดูแลสาขาอื่นเพิ่ม รวมๆ แล้วกว่า 12 สาขาทั้งในกรุงเทพฯ และพัทยา

และเมื่อเห็นว่า Sport Revolution ทำคอนเซปต์สโตร์ให้กับ Nike จนประสบความสำเร็จ ก็ดึงดูดให้แบรนด์อื่นทั้ง Adidas, Puma รวมถึง Converse เข้ามาหา ทำให้ Sport Revolution ได้ทำแบรนด์ช็อปให้กับแบรนด์เหล่านี้ และก็สร้างเครดิตให้บริษัทที่เพิ่งสร้างมาได้ไม่นานได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์กีฬาชื่อดังมากขึ้นเรื่อยๆ

Checkpoint 2 : The Revolution

หลังเป็นดีลเลอร์ให้แบรนด์ต่างๆ มาได้สักระยะ จนเมื่อธุรกิจเดินทางเข้าถึงช่วงปีที่ 5-6 พรศักดิ์เริ่มมีความคิดอยากจะขยับธุรกิจ จากเดิมที่เคยเป็นแค่ดีลเลอร์หรือตัวแทนจำหน่าย สู่การเป็นดิสทริบิวเตอร์หรือผู้นำสินค้าเข้ามาเอง เขาเริ่มมองหาแบรนด์สินค้าที่น่าสนใจ 

จนปี 2006 ก็กลายมาเป็นผู้นำเข้าอุปกรณ์กอล์ฟแบรนด์ญี่ปุ่นอย่าง Srixon ถัดมาในปี 2007 ก็นำ Crocs เข้ามา จากนั้นก็ใช้เวลาไปกับการพัฒนา Nike, Srixon และ Crocs ให้เป็นธุรกิจที่แข็งแรงในไทย 

กระทั่งปี 2015 ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ Sport Revolution เนื่องจากได้สองแบรนด์ใหญ่อย่าง Asics และ Under Amour เข้ามาอยู่ในพอร์ต นั่นทำให้พรศักดิ์ต้องขยายทีมเพื่อรองรับกับขนาดของธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น และกว่าการขยับปรับทีมในครั้งนั้นจะลงตัวก็ต้องใช้เวลากว่า 3 ปี  

เล่ามาถึงตรงนี้ก็เป็นเวลา 10 กว่าปีแล้วที่ Sport Revolution คือผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์กีฬาดังๆ ในไทยมากมาย กระทั่งในช่วงปี 2018 ก็ถึงจุด Revolution ครั้งสำคัญที่ทำให้บริษัทฯ ซึ่งอยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด ได้ก้าวขึ้นมาอยู่ข้างหน้า และกลายเป็นที่รู้จักของนักวิ่งไทย 

“มองย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ถึงจะมีแบรนด์รองเท้าวิ่งเข้ามาทำตลาดในบ้านเรามากมาย เอาที่อยู่ในมือเราเองก็มีไม่น้อย แต่สิ่งที่ไม่มีในตอนนั้นคือเชนร้านมัลติแบรนด์ที่รวมทุกแบรนด์วิ่งเอาไว้ด้วยกัน ประกอบกับช่วงนั้นกระแสวิ่งในไทยเริ่มมา แล้วก็มีแบรนด์วิ่งในระดับโลกเกิดใหม่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Hoka, On Running หรือ Newton ผมก็เลยคิดว่ามันน่าจะมีการรวมแบรนด์อุปกรณ์วิ่งเอาไว้ในที่เดียวกันได้แล้ว

“ก็เลยเกิดเป็น REV RUNNR ขึ้นมา”

แม้จะมีประสบการณ์ในธุรกิจนี้มาสิบกว่าปี แต่พรศักดิ์ก็บอกว่าการทำ REV RUNN นั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่าย มีสิ่งใหม่ที่เขาต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา จากที่เคยทำร้านเพื่อแบรนด์ใดแบรนด์นึง คราวนี้ต้องปรับกลยุทธ์ธุรกิจเอาหลายๆ แบรนด์มารวมอยู่ในร้านเดียวกัน 

จากที่ช็อปนึงเคยติดต่อแค่แบรนด์เดียว แต่พอเป็นมัลติแบรนด์ก็กลายเป็นว่าในช็อปนึงต้องติดต่อ 20 กว่าแบรนด์ ไหนจะมีปัญหาสินค้าเข้าไม่เหมือนกัน แบรนด์โน้นขายได้เยอะกว่า แบรนด์นี้ไม่มีของมาเติมให้ แต่ด้วยประสบการณ์ของทีมงาน จากร้านแรกซึ่งทำเป็นไพลอตโปรเจกต์อยู่ที่เดอะมอลล์โคราช ไม่นานนักก็ขยับออกมาเป็นร้าน REV RUNNR สาขาแรกอย่างเป็นทางการซึ่งตั้งอยู่ที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า

“ช่วงแรกๆ ที่เปิด REV RUNNR ลูกค้าน้อยมาก เพราะเขายังไม่รู้จักว่า REV RUNNR คือใคร อย่างที่บอก 10 กว่าปีที่ผ่านมาเราอยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด ช่วงแรกที่เปิดตัวเราเลยต้องอัดกิจกรรมเยอะมาก เพื่อทำให้ลูกค้ารู้จัก มีโปรแกรมสำหรับนักวิ่งมือใหม่ไปจนถึงนักวิ่งสายเพอร์ฟอร์แมนซ์ ทำกิจกรรมอยู่ตลอดเวลาจนเข้าสู่ปีที่ 2 ของแบรนด์ REV RUNNR ก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ”

ระหว่างทางในการเล่าเรื่องเส้นทางการสร้าง REV RUNNR ประเด็นหนึ่งที่พรศักดิ์มักกล่าวถึงเสมอคือ ‘ทีมงาน’ 

“ผมว่าสิ่งที่ทำให้ REV RUNNR สำเร็จและเดินทางมาได้จนถึงทุกวันนี้ 99% ต้องยกเครดิตให้กับทีมงาน ผมโชคดีที่มีทีมงานที่เก่งมาก จำได้ว่าวันแรกๆ ที่มีแนวคิดอยากทำมัลติสโตร์ด้วยความที่ผมสื่อสารไม่ดี ทีมงานก็เลยถามว่าทำไมเราต้องทำมัลติแบรนด์ด้วยในเมื่อเราเป็นตัวแทนจำหน่ายอยู่แล้ว แต่พอได้อธิบายใหม่ เลยทำให้ทีมงานทุกเห็นภาพเดียวกัน แล้วความเก่งกาจของทีมงานก็ช่วยนำพา REV RUNNR ไปถึงเส้นชัยอย่างที่ตั้งใจไว้ได้”

Checkpoint 3 : รันวงการ

ว่ากันในเชิงธุรกิจ เมื่อการวิ่งเป็นกีฬาที่มีรองเท้าแค่คู่เดียวก็ออกไปวิ่งได้ มียอดค่าใช้จ่ายต่อบิลที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับกอล์ฟ เทนนิส แบดมินตัน หรือกีฬาอย่างอื่นที่ล้วนแต่ต้องใช้อุปกรณ์มากกว่ารองเท้าแค่คู่เดียว แล้วแบบนี้ธุรกิจที่โฟกัสไปแค่ที่การวิ่งมีแท็กติกในการทำธุรกิจยังไง–เราตั้งคำถาม 

“ที่บอกว่ามีรองเท้าวิ่งคู่เดียวก็ออกไปวิ่งได้แล้วคือถูกต้องเลย แต่ถ้าอยากวิ่งให้สนุกขึ้นนักวิ่งหลายคนก็จะซื้ออุปกรณ์เสริม เมื่อวิ่งสนุกขึ้นก็ทำให้กลับมาวิ่งบ่อยขึ้น และมีโอกาสที่จะกลับมาซื้ออุปกรณ์ของเราบ่อยขึ้นด้วยเช่นกัน

“ซึ่งการที่มีรองเท้าแค่คู่เดียวก็ออกไปวิ่งได้นี่แหละ มันเลยทำให้การวิ่งเป็นกีฬาที่มี barrier to entry ที่ต่ำ หรือหมายถึงมีอุปสรรคในการเข้ามาเล่นน้อย เมื่ออุปสรรคน้อย คนเลยออกมาเล่นเป็นจำนวนมาก อย่างในช่วงก่อนโควิดทาง สสส.เคยทำตัวเลขออกมาว่าในไทยมีคนที่วิ่ง 13 ล้านคน ขณะที่กอล์ฟนั้นมีคนเล่นแค่ 600,000 คน

“ทีนี้มันอยู่ที่เราแล้วแหละว่าจะทำยังไงให้นักวิ่ง 13 ล้านคนที่ว่านี้รู้จักเราให้ได้ และทำให้เขาเชื่อมั่นว่าเราเป็นร้านขายอุปกรณ์วิ่งที่มีคุณภาพ”

Checkpoint 4 : สายตามองระยะไกล

ตลอดการพูดคุยเรื่องการเดินทางของ REV RUNNR สิ่งหนึ่งที่เราสังเกตเห็นจากคู่สนทนาที่นั่งตรงข้าม คือสายตาในการมองสิ่งใหม่ได้อย่างเฉียบขาด

ไล่ตั้งแต่การทำคอนเซปต์สโตร์ของ Nike สาขาแรกในไทย ตัดสินใจทำเชนร้านขายอุปกรณ์วิ่งที่เป็นมัลติแบรนด์อย่าง REV RUNNR เอาแบรนด์รองเท้าวิ่งที่ช่วงแรกยังเป็น niche market อย่าง Hoka, Saucony, On Running เข้ามาขาย หรือการนำ Crocs เข้ามาในไทยตั้งแต่วันที่หลายคนยังมองว่านี่คือรองเท้าหัวโตมีรูที่มีรูปร่างประหลาด 

คำถามที่น่าสนใจคือเขามีวิธีมองหาสิ่งใหม่ที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตได้ยังไง

“เวลาเลือกว่าจะเอาอะไรเข้ามา ผมไม่ได้เลือกด้วยเหตุผลที่ว่าแบรนด์ไหนจะทำกำไรให้เราได้มากที่สุด แต่จะดูว่ามันเป็นแบรนด์ที่มีคุณภาพไหม มีศักยภาพในการเติบโตหรือเปล่า ถ้าพื้นฐานของแบรนด์ดี ก็จะเติบโตและต่อยอดไปยังผู้บริโภคได้ไม่ยากเท่าไหร่ เพียงแต่ช่วงแรกอาจต้องใช้ความพยายามในการผลักดัน เพราะมันเป็นแบรนด์ที่คนไทยยังไม่คุ้นกันมากนัก

“หรืออย่าง Crocs ผมก็เริ่มไปศึกษาประวัติความเป็นมาของเขาว่าเป็นยังไง ต้นกำเนิดจริงๆ ของ Crocs คือการเป็น boat shoes หรือรองเท้าสำหรับใส่ในเรือ และได้ไปออกงานโชว์ที่ฟลอริด้า ปรากฏว่าอยู่ดีๆ คนก็เครซี่กันมาก จู่ๆ ก็ฮิตขึ้นมา ผมก็เห็นว่ามันมีศักยภาพแล้วก็ไม่ได้มองว่า Crocs หน้าตาประหลาดนะ คิดว่ามันเป็นอะไรที่ยูนีกมากกว่า ก็เลยนำเข้ามา

“ช่วงแรกๆ ในการทำธุรกิจ ผมอาจจะเลือกด้วยประสบการณ์และ gut feeling ที่มีอยู่ แต่ตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา ธุรกิจเริ่มขยาย จะเลือกจากความรู้สึกอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ต้องใช้ข้อมูลที่ได้มาจากทีมงานมาประกอบการตัดสินใจอย่างมาก แล้วก็คิดร่วมกันกับทีมงานว่าแบรนด์ไหนจะเวิร์กหรือไม่”

Checkpoint 5 : ส่งไม้ต่อ

แม้แบรนด์ต้นทางที่อยู่ในระดับโลกจะมีความแข็งแรง มีคุณภาพของสินค้าที่ดี แต่หากขาดดิสทริบิวเตอร์ที่ดีผู้ซึ่งเป็นเหมือนนักวิ่งที่คอยส่งไม้ต่อจากแบรนด์ไปยังลูกค้า ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้แบรนด์ระดับโลกประสบความสำเร็จในประเทศต่างๆ ได้

และด้วยประสบการณ์ในการเป็นดิสทริบิวเตอร์มาร่วม 10 ปี ทำหน้าที่เป็นนักวิ่งที่ส่งไม้ต่อของหลายต่อหลายแบรนด์ไปยังผู้บริโภคคนไทยแล้วมากมาย เราจึงถามพรศักดิ์ไปว่าการจะเป็นดิสทริบิวเตอร์ที่ดีจนได้รับความไว้วางใจจากทั้งแบรนด์และลูกค้าต้องทำยังไง สิ่งที่เขาตอบกลับมาไม่ได้มีแค่เรื่องของการจัดการคลังสินค้า การบริหารหน้าร้าน แต่ยังหมายรวมไปถึง ‘การไม่มีอีโก้’ ด้วยเช่นกัน

“ผมว่าการเป็นดิสทริบิวเตอร์เราต้องลบคำว่าอีโก้ออกจากตัวเองทั้งหมด เราอย่าเอาตัวเองไปใหญ่กว่าแบรนด์ ที่แบรนด์ประสบความสำเร็จมาได้ก็เพราะเขามี principle ของเขา ตอนอายุ 20 ต้นๆ ผมก็เคยเถียงกับแบรนด์แบบหัวชนฝาเหมือนกันนะ แต่ก็เริ่มเรียนรู้มาเรื่อยๆ เขาให้ไดเรกชั่นมาเราก็ต้องมาดูว่าอะไรทำได้ อะไรที่ดูแล้วเวิร์กก็ทำมากหน่อย แต่อะไรที่เขาให้มาดูแล้วไม่เหมาะกับตลาดในไทยเราก็ต้องทำอยู่ดี เพียงแค่อาจจะต้องทำน้อยหน่อย แค่นั้นเอง 

“ผมเคยเห็นคนที่เป็นดิสทริบิวเตอร์ที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงเหมือนกัน แล้วไปฝืนกับไดเรกชั่นที่แบรนด์ให้มา ซึ่งปรากฏว่าผลที่ออกมามันก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่”

Checkpoint 6 : สนามถัดไป 

อยู่ในวงการมาร่วม 22 ปี สร้าง REV RUNNR ให้เป็นที่รู้จักของเหล่านักวิ่งมาเป็นเวลากว่า 5 ปี เส้น

ชัยต่อไปที่พรศักดิ์อยากพา REV RUNNR วิ่งไปให้ถึง คือการขยายธุรกิจให้เชนร้านรองเท้าวิ่งที่เป็นมัลติแบรนด์ของคนไทย สามารถยืนหยัดได้ใน South East Asia เพราะที่ผ่านมาล้วนแต่มีเชนที่เป็นของต่างชาติเท่านั้น

และไม่ใช่แค่ความคิดลอยๆ เพราะหนึ่งวันก่อนหน้าจะมาพบกันเขาเพิ่งเดินทางกลับมาจากมาเลเซีย เพื่อพูดคุยธุรกิจเป็นเหมือนการซักซ้อมก่อนให้ REV RUNNR ได้ลงสนามจริงนอกประเทศไทยอย่างที่ตั้งใจไว้ 

จะได้เห็นนักวิ่งชาวไทยอย่าง REV RUNNR ได้ลงแข่งในสนามต่างประเทศเมื่อไหร่

เป็นเรื่องที่น่าตามเชียร์กันต่อไป

Horse Unit & Woot Woot ร้านวินเทจในโกดังของคู่รักนักสะสมที่เปลี่ยนแพสชั่นเป็นธุรกิจ

การตกหลุมรักในแพสชั่นเดิมซ้ำๆ จนสร้างธุรกิจที่มีสไตล์เฉพาะจากความชอบของตัวเองนั้นทำยังไง น่าจะเป็นสิ่งที่หลายคนสงสัยและใฝ่ฝัน

Horse Unit ของ บาส–ธรรมนูญ ใหม่พิมพ์ กำลังเดินทางสู่ขวบปีที่หก

Woot Woot ของ ตวง–พันธ์นันท์ ธนินเตชพัฒน์ มีอายุก้าวย่างสู่ปีที่สี่ในปีนี้

โกดังวินเทจที่ Warehouse 30 ย่านเจริญกรุงน่าจะเป็นที่สะดุดตาของใครหลายคนที่ได้ไปเยือน แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าข้าวของที่สะสมด้วยความรักในโกดังแห่งนี้มาจากความหลงใหลที่ผสมกันของชายหญิงสองคน

ทั้งคู่เป็นคู่รักที่เริ่มพบกันจากความชอบในของวินเทจ ขยับขยายจากการเป็นนักสะสมสู่การขายเป็นงานอดิเรกก่อนปักหลักเปิดร้านโดยแบ่งพื้นที่ให้โกดังชั้น 1 ขายงานวินเทจสไตล์ Military, Workwear, Tool ของบาสและชั้น 2 เป็นที่ที่มีกลิ่นอายของงานคราฟต์และเต็มไปด้วยของกระจุกกระจิกอย่างเครื่องเขียน เครื่องประดับ เซรามิก ฯลฯ ที่ตวงชื่นชอบ แบ่งปันจักรวาลแห่งสมบัติที่แต่ละคนหลงใหลแก่เหล่าคนรักของวินเทจ

‘ถ้าเรารักอะไรสักอย่าง มันจะพาเราไปสักที่’ ประโยคนี้ไม่เกินจริงสำหรับบาสและตวงที่แพสชั่นในของวินเทจเปิดทางให้เจอโอกาสทางธุรกิจและความรัก 

เนื่องในเดือนกุมภาพันธ์ ขอชวนคนที่ใฝ่ฝันถึงการเปลี่ยนสิ่งที่ตกหลุมรักมาเป็นธุรกิจหรือคนที่มีพาร์ตเนอร์เป็นคู่รักมาฟังเรื่องราวความรักที่บาสและตวงมีแด่ข้าวของแต่ละชิ้นรวมถึงการดูแลโกดังของหัวใจที่ทั้งคู่อยู่ดูแลเคียงข้างกันมายาวนานพอๆ กับระยะเวลาที่ดูแลความสัมพันธ์

แรกรักของนักสะสม

เวลารู้จักคนที่มีแพสชั่นหลงใหลคลั่งไคล้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างจริงจัง คำถามที่อยากชวนคุยคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หวั่นไหวในสิ่งนั้นคืออะไร

สำหรับบาส รสนิยมจากการทำงานในสายกราฟิกดีไซเนอร์ของเขาทำให้เริ่มต้นค้นพบความชอบของวินเทจจากความประณีตของตัวอักษรที่สลักไว้บนสิ่งของหลากหลายแบบทั้งกล่องไม้ กล่องอาหาร กล่องเหล็ก ป้ายแบรนด์ ป้ายโฆษณา ร่มโฆษณาสมัยเก่า กระป๋องน้ำมัน ฯลฯ 

“เมื่อก่อนเคยออกแบบตัวอักษรด้วยเลยชอบงาน typography เวลาไปเดินตามตลาดของเก่าแล้วไปเห็นตัวอักษรที่อยู่บนสิ่งของและบรรจุภัณฑ์ต่างๆ รู้สึกว่าสวยดี ชอบเลยซื้อมาเพราะผูกพันกับตัวหนังสืออยู่แล้ว”

เสน่ห์ของงาน typography คือการออกแบบฟอนต์และลวดลายที่บาสยกตัวอย่างว่ากระป๋องน้ำมันยุคก่อนจะมีความโดดเด่นของอัตลักษณ์แบรนด์ ใช้โลโก้และคู่สีที่สวยเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละยี่ห้อ เช่น โลโก้โมบิลรูปม้าบิน โลโก้เชลล์รูปหอย ทำให้เป็นที่จดจําง่าย แม้ดูเรียบง่ายและคลาสสิกแต่ถูกออกแบบการจัดวางองค์ประกอบไว้หมดซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานออกแบบสำหรับเขาด้วย

จากความชื่นชอบในลวดลาย typography นี้เองทำให้บาสชอบเดินตลาดวินเทจและแตกความชอบเป็นเสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ เครื่องมือช่างวินเทจเพิ่มขึ้นอีกมากมายในภายหลัง 

ส่วนตวงเรียนออกแบบเครื่องประดับที่มหาวิทยาลัยศิลปากร จากความหลงใหลในแร่หินดิบที่ไม่ได้ผ่านการเจียระไนสำหรับนำไปทำเครื่องประดับทำให้เธอค้นพบความชอบอื่นๆ จากการหาวัสดุและของตกแต่งสำหรับทำเป็นพร็อพสำหรับเครื่องประดับในโปรเจกต์สมัยมหาวิทยาลัย 

“นอกจากหินแล้วเราเจอของเล็กๆ น้อยๆ ที่เจ้าของร้านสะสมหรือใช้ตกแต่งร้าน เริ่มจากแท่นวางหินและเครื่องราง ทำให้เปิดมุมมองใหม่ของเราว่ายังมีของที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง”
ตวงเริ่มต้นซื้อพินหรือเข็มกลัด 2-3 อันจากการไปเดินตลาดวินเทจในช่วงแรกด้วยความรู้สึกที่น่าจะคล้ายกับคนที่หลงใหลในสิ่งของที่ผ่านกาลเวลามายาวนาน

“เราคิดว่าถ้าไม่ซื้อของชิ้นนี้ต้องเสียดายแน่ เลยซื้อมาสะสมไว้ พินแต่ละอันมีเสน่ห์ไม่เหมือนกันและเก็บความทรงจำทำให้นึกถึงมุมต่างๆ เวลาเราไปเที่ยว”

พรหมลิขิตที่เกิดจากแพสชั่น

จากความชอบแบบงานอดิเรกในฐานะผู้สะสมงอกงามเป็นความอยากแบ่งปันข้าวของที่หลงรักแก่คนที่ถูกใจในสิ่งเดียวกัน

พอซื้อของวินเทจมาเยอะแยะเราก็เอามากองไว้ เพื่อนเห็นแล้วสนใจ เริ่มมีคนขอซื้อ จังหวะพอดีกับได้เจอพี่ที่จัดงาน Made by Legacy เขาเห็นผมมีของอยู่แล้วเลยชวนไปขาย เป็นงานที่ได้ผลตอบรับดีเลยเป็นจุดเริ่มต้นแรกจากตอนนั้น” บาสย้อนเล่าถึงหมุดหมายที่เป็นจุดเปลี่ยน

หลังจากขายของตามตลาดวินเทจไปสักพัก บาสก็ได้รับการชักชวนให้มาเปิดร้านที่ Warehouse 30 ซึ่งตอนแรกร้านของเขายังไม่ใช่โกดังขนาดใหญ่เท่าปัจจุบันแต่เริ่มจากโซนหนึ่งในโกดัง

ส่วนตวงที่ชื่นชอบการเดินเล่นตลาดของเก่าทำให้มีโอกาสได้เจอบาสหลายครั้งจนได้เริ่มบทสนทนาในแพสชั่นที่ทั้งคู่มีตรงกัน เราไปเดินงาน Union Camp ที่พี่บาสไปออกบูทขายของ วันรุ่งขึ้นก็ชวนเพื่อนมาเดินเล่นที่ Warehouse 30 ตอนนั้นเป็นโกดังเพิ่งเปิดใหม่ที่คนยังรู้จักไม่เยอะเท่าไหร่ มาซื้อของพี่บาสเหมือนลูกค้าทั่วไป รู้สึกว่าคนนี้หน้าคุ้นเป็นคนที่เราเพิ่งเจอเมื่อวานที่งานวินเทจ” 

บทสนทนากับคนรักงานวินเทจที่แต่ละคนมีความชอบไม่เหมือนกันเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ทำให้เจ้าของร้านอย่างบาสได้รู้จักลูกค้าแต่ละคนมากขึ้น ส่วนใหญ่ลูกค้าผม ถ้ามาคุยกันแล้วเราจะรู้ว่าคนนี้ชอบของวินเทจจริง ตวงเปิดรูปให้ดูว่าสะสมพินอยู่ ผมคิดว่าของน่าสนใจ เป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับร้านผม เลยชวนว่าอยากลองมาฝากขายที่ร้านไหม”

ร้านวินเทจของบาสจึงมีของสะสมเพิ่มเป็นพินนับตั้งแต่นั้น ทั้งคู่ชวนกันไปเดินหาของดิสเพลย์สำหรับวางขายพินที่ตลาดและเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์ทั้งในแง่พาร์ตเนอร์คนขายของและคู่รักจากจุดนั้น    

ตวงเล่าที่มาที่ไปในการแตกร้านเป็นแบรนด์ของตัวเองว่า พอความชอบของเรามีเยอะขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มปะปนกับเขาเยอะเกินไป ก็เริ่มเกรงใจพี่บาสเลยแยกเป็นสัดส่วนของตัวเองไปเลย”  

หากใครเป็นแฟนตัวยงที่มีโอกาสได้มาเยี่ยมเยียนร้านเมื่อสมัยเปิดใหม่จะจำได้ว่าใกล้ๆ กับโซนสินค้าทหารและเครื่องมือช่างมีบ้านหลังเล็กสีขาวที่เต็มไปด้วยแร่หินและพินซึ่งเป็นพื้นที่ของตวง

หลังจากขายมาราวสามปีทั้งคู่ก็ขยับขยายมาเป็นโกดังใหม่ที่กว้างขว้างขึ้นที่ Warehouse 30 แห่งเดิมซึ่งเป็นที่ปัจจุบันโดยวางแผนกันไว้ตั้งแต่แรกว่าจะแบ่งพื้นที่กันชัดเจนเป็นชั้นล่างในนาม Horse Unit ของบาสและชั้นบนในนาม Woot Woot ของตวง

“จังหวะมันได้ โกดังนี้ว่างพอดี พอพื้นที่ใหญ่ขึ้น ของก็ค่อยๆ เยอะขึ้นตามไปด้วย เราต้องมาคิดว่าจะทำยังไงให้ของเติมเต็มพื้นที่ได้” หลายครั้งที่บาสเล่าว่าโอกาสที่ได้มาเพราะจังหวะเป็นใจแต่พรหมลิขิตคงไม่อาจเกิดขึ้นได้หากเขาและเธอไม่มีแพสชั่นอย่างจริงจังจนความหลงใหลนั้นดึงดูดโอกาสเข้ามา

การออกแบบในยุคสงครามผ่านความสนใจของ Horse Unit 

Horse Unit เป็นชื่อแบรนด์ที่บาสตั้งให้คล้องจองกับ Duck Unit บริษัทออกแบบที่เขาเคยตั้งชื่อไว้กับเพื่อน “อยากเก็บคำว่า unit ไว้ให้เชื่อมโยงกัน อยากได้ชื่อสัตว์ที่เป็นพยางค์เดียวเลยนึกถึงม้าที่วิ่งเร็วปราดเปรียว กระฉับกระเฉง”

ทุกวันนี้บาสนิยามสไตล์ของวินเทจในความชอบของเขาชัดเจนเป็น Vintage, Military, Workwear, Tool มีของหลายประเภททั้งเสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้าน อุปกรณ์ช่าง ฯลฯ ส่วนใหญ่เป็นของจากอเมริกาเป็นหลัก เบื้องหลังความชอบงานวินเทจของเขาไม่ใช่แค่รูปลักษณ์แต่เป็นเสน่ห์เบื้องหลังการออกแบบเหมือนเมื่อครั้งเริ่มต้นชอบงาน typography

หมวด Military มีความโดดเด่นคือลายพรางของชุดทหารเรียกว่า camouflage ซึ่งมีชื่อลายเฉพาะของแต่ละลายแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศและฤดูกาลรบ บาสบอกว่าลาย camouflage นั้นลึกซึ้งมากและมีหนังสือที่เล่าเรื่องราวการออกแบบอย่างละเอียด

“ลวดลายและลักษณะของแถบที่อยู่บนเสื้อจะบอกประวัติหมดว่ามาจากปีไหน ประเทศไหน ดีไซเนอร์จะคิดมาเลยว่าตอนนั้นทหารไปรบที่ประเทศอะไร สภาพภูมิอากาศเป็นยังไง ควรใช้ผ้าแบบไหน ถ้าอากาศหนาวหน่อย ผ้าก็จะหนา ถ้าต้องพรางตัวอยู่ในป่า ควรเป็นลายแบบไหนที่เอามาใช้งานจริงได้ บางทีมีลายแตกต่างกันอยู่สองฝั่งของเสื้อตัวเดียวกันด้วยสำหรับสลับใช้ในสนามรบแต่ละที่”

ความชอบสินค้าในหมวด Military ทำให้บาสบอกว่ามีของกระจุกกระจิกที่เกี่ยวพันกับยุคสงคราม
เยอะมากทั้งหนังสือพิมพ์ แฟ้มทหาร ถุงผ้า โปสเตอร์ และแผนที่สมัยเก่า ปฏิทินเก่าแฝงฟังก์ชั่นคลาสสิกที่สมัยนี้ไม่มีคนทํา

กระดุมและเข็มกลัดวินเทจส่วนใหญ่ก็เป็นเครื่องประดับที่ใช้กับเสื้อทหารด้วยเช่นกัน บางส่วนผลิตสำหรับเป็นที่ระลึกเพื่อสะสม ได้มาจากทั้งฝรั่งเศสและอเมริกา บาสชี้ให้ดูว่าเขาคัดเลือกของมาเองจากความชอบไม่ว่าจะเป็นตรายูเอฟซีเมอร์ลินของทหาร เข็มกลัดรูปจักรยานจากความชอบยานพาหนะ

เขาสรุปประวัติศาสตร์ผ่านของสะสมให้ฟังว่าสไตล์งานวินเทจของแต่ละยุคมีความแตกต่างกัน

“ยุคที่คนนิยมเล่นของวินเทจกันคือยุค ’40 ช่วงสงครามโลก, ยุค ’50 เป็นสงครามเกาหลี, ยุค ’60 คือสงครามเวียดนาม เสื้อผ้ายุคสงครามโลกครั้งที่สองจะป๊อปปูลาร์เป็นพิเศษ” 

ช่างซ่อมหนุ่มที่รู้จริงในฟังก์ชั่นและการจัดดิสเพลย์ 

เฟอร์นิเจอร์อย่างเก้าอี้และโต๊ะของ Horse Unit ส่วนมากนําเข้าจากอเมริกา พระเอกเด่นในร้านคือเก้าอี้โทเลโดสำหรับใช้เขียนแบบในสมัยก่อนที่มีเอกลักษณ์ของทรงเก้าอี้ที่คนเห็นแล้วจดจำได้ทันที 

ข้าวของที่มีจำนวนเยอะขึ้นและชิ้นใหญ่ขึ้นทำให้บาสมีอุปกรณ์ซ่อมมากขึ้นตามมาโดยปริยาย

“หมวดช่างจะเป็นอุปกรณ์ช่างเก่าๆ สำหรับใช้มิกซ์กับเสื้อผ้า workwear เวลาเราซื้อเก้าอี้มาจะได้อุปกรณ์สำหรับซ่อมมาด้วย เลยทําแผงเครื่องมือช่างไว้สำหรับใช้เองให้พร้อมหยิบใช้ง่าย บางทีก็ใช้เครื่องมือช่างซ่อมของที่ร้าน เวลาได้โคมไฟเก่ามาก็ซ่อมแซมเพื่อเซอร์วิสให้ใช้งานได้ก่อนที่จะขาย”

ดิสเพลย์เครื่องมือช่างที่เรียงรายอัดแน่นเหมือนโรงช่างไม้สมัยเก่าเกิดจากไอเดียของบาสที่อยากเรียงของให้เป็นระเบียบเพื่อหยิบใช้งานง่าย มองเห็นของที่อยากหยิบใช้ได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องเปิดกล่องว่ามีของอะไรบ้าง

บาสบอกว่าของหลายหมวดล้วนเชื่อมโยงกันหมด เครื่องมือช่างอย่างผ้ากันเปื้อน ผ้าช่างสมัยเก่า สินค้าช่างไม้ กล่องไม้ ลังไม้ รวมถึงตะกร้า กล่องใส่ขวดนม ต่างก็มีเสน่ห์ของการเล่น typography ที่เป็นความชื่นชอบแรกของเขาในสายตาของนักออกแบบ เมื่อเริ่มสะสมกระป๋องน้ำมันลายคลาสสิก สิ่งที่ซื้อตามมาก็แตกออกไปเป็นตู้หัวจ่ายน้ำมันที่อยู่ตามปั๊มสมัยเก่า เครื่องเล่นแผ่นเสียงมาคู่กับแผ่นเสียงไวนิลจากเพื่อนที่เป็นคอเพลงสายแอนะล็อก โต๊ะวินเทจมาพร้อมกับการซื้อเครื่องประดับบนโต๊ะอย่างโคมไฟวินเทจที่ปรับระดับได้และลูกโลกแก้วเรืองแสงที่ตั้งโชว์ไว้แต่ไม่ได้ขาย

บรรยากาศในร้านที่ร้อยเรียงเป็นสไตล์เดียวกันคือสิ่งที่บาสพยายามทำ เขาเลือกรางแขวนเสื้อผ้ารุ่น Dry Cleaning – Storage Conveyors by White Mach. Co. Kenilworth, N.J., U.S.A จากร้านซักรีดสมัยเก่าที่เลื่อนรางได้และมีตัวเลขที่รางคล้ายไม้วัดเพื่อให้เข้ากับสไตล์ของเสื้อผ้าวินเทจที่แขวนไว้

เมื่อตัดสินใจว่าอยากเอาตู้ถ่ายรูปสติ๊กเกอร์มาตั้งในร้าน บาสกับตวงยังให้เพื่อนผู้สร้างสรรค์ผลงานออกแบบตัวอักษรอย่าง บึก–สุชาล ฉวีวรรณ มาเพนต์ตู้ให้เป็นสไตล์วินเทจเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศร้าน 

“พอเอาตู้มาตั้งก็คิดว่าจะทำยังไงให้ตู้มีความวินเทจเหมือนร้าน เราไปรีเสิร์ชเรฟเฟอร์เรนซ์มาจากหนังเก่าที่มีตู้โฟโต้บูทแล้วรู้สึกว่าถ้าติดสติ๊กเกอร์ตกแต่งตู้จะไม่ได้ฟีลลิ่ง เลยเพนต์สดด้วยมือซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกับการเพนต์ชื่อร้านแบบปิดทองที่หน้าร้าน” ตวงเล่าถึงรายละเอียดที่คิดมาอย่างดี

การขุดสมบัติที่เจียระไนผ่านสายตาของ Woot Woot

ส่วน Woot Woot เป็นพื้นที่สะสมงานคราฟต์ที่เกิดจากความชอบในงานแฮนด์เมดและของที่ใช้วัตถุดิบธรรมชาติจากศิลปินท้องถิ่นที่ตวงเล่าว่าเริ่มสะสมตั้งแต่สมัยเรียนออกแบบเครื่องประดับ 

“ตอนนั้นเรียนทุกอย่างตั้งแต่วาด ออกแบบ ขึ้นรูป เชื่อม ขัด ดุน ปั้น เคาะ ฝังเพชร ที่เป็นพื้นฐานของการทําจิวเวลรีทั้งหมด ช่วยเปิดโลกเรื่องความคิดสร้างสรรค์ การจัดวางคอมโพส การเลือกวัสดุต่างๆ พอเรียนเองเลยรู้ว่างานคราฟต์ที่ไม่ได้ผ่านโรงงานอุตสาหกรรมทำยากมาก กว่าจะออกมาเป็นของแต่ละชิ้น เลยสนใจงานพวกนี้เป็นพิเศษ”  

การเรียนออกแบบทำให้ตวงมีสายตาเฉียบคมที่มองเห็นความพิเศษและรายละเอียดในข้าวของสิ่งละอันพันละน้อย แม้ทุกวันนี้เธอไม่ได้สร้างสรรค์ผลงานเองแล้วแต่ก็รวบรวมผลงานเครื่องประดับของเพื่อนพ้องที่ออกแบบเองมาวางขายที่ร้าน ผลงานจิวเวลรีที่เธอคัดสรรมามีทั้งงานออกแบบที่เป็นงานอดิเรกและวางขายในจำนวนจำกัดไปจนถึงแร่หินธรรมชาติที่ลูกค้าต่างชาตินิยมซื้อพกไว้ด้วยความเชื่อเรื่องพลังงานบำบัดและโชคลาง

ทั้งนี้ตวงบอกว่านิยามคำว่า ‘สมบัติ’ ของเธอยังรวมถึงของอีกหลายหมวดนอกเหนือจากเครื่องประดับ

“ตอนเห็นโกดัง เรานึกถึงคําว่า cabinet of curiosity อยากให้ทุกมุมของร้านเรามีสมบัติต่างๆ ที่ซ่อนอยู่และรอให้คนมาค้นหา บางทีลูกค้าบอกว่าเขาตามหาของชิ้นนี้มานานและไม่คิดเลยว่าจะได้เจอที่นี่ มาที่ร้านแล้วดีใจมากเลยที่เจอ บางครั้งคนอเมริกามาเจอของวินเทจจากเมืองเขาแล้วรู้สึกขอบคุณมาก ข้าวของเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ทําให้รู้สึกมีความสุขได้”

ความสามารถพิเศษของเธอคือการมองเห็นมูลค่าในของเก่าที่หลายคนอาจมองผ่านไป ทั้งหนังสือและรูปภาพอาร์ตพรินต์ที่รวบรวมใบไม้และดอกไม้นานาพันธ์ุ รังไหมและเส้นใยจากโรงงานทอผ้า หรือแม้แต่กรอบรูปเก่า 

“อย่างกรอบรูปไม้นี้ได้มาจากโรงงานกรอบรูปเก่า โรงงานเขาคิดว่าไม่มีใครชอบและเก่าแล้วเลยอยากโละทิ้งแต่เรามองเห็นว่ามันคือสมบัติ เลยเอามาทํากระดานใหม่แต่ยังคงลวดลายของกรอบรูปวินเทจที่คงโครงไม้ดั้งเดิมและมีความคลาสสิก ด้วยเทคนิคการทำที่ละเอียด คงหาใครมานั่งทำกรอบรูปแบบนี้ในสมัยนี้ยากแล้ว พอเราเห็นก็ตื่นตาตื่นใจมาก บางทีไม่ได้เจอของพวกนี้จากตลาดวินเทจแต่บังเอิญเจอจากชาวบ้าน ต้องหมั่นสังเกต สอบถาม พูดคุยกับเขา หลายที่มักมีของซ่อนไว้ข้างหลัง”   

หากมาเดินเล่นที่ร้านจะพบว่าสมบัติของ Woot Woot ถูกซุกซ่อนไว้ทุกมุม ด้วยการตกแต่งร้านที่เน้นความคราฟต์ไปในทางเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะที่ดิสเพลย์สินค้ามีทั้งโต๊ะจากช่างไม้ไทยและเคาน์เตอร์ตัดเย็บสมัยเก่าที่ตวงบอกว่าลูกค้าขอซื้อเยอะแต่ไม่ได้ขาย หรือมุมหนึ่งของร้านที่มีอุปกรณ์ลักษณะคล้ายเครื่องมือช่างวางอยู่ที่พื้น ซึ่งตวงเฉลยว่าเป็นที่ทําสมุดซึ่งเธอเอามาประยุกต์ใช้เป็นที่ทับดอกไม้แห้ง  

คิวเรเตอร์สาวที่ชวนเพื่อนมาแสดงผลงานที่รัก

ความตั้งใจหนึ่งของตวงคืออยากสร้างคอมมิวนิตี้ art & craft ด้วยการชวนนักสร้างสรรค์มาขายของ
ด้วยกัน

“เราชวนเพื่อนและพี่ที่ทำแบรนด์น่าสนใจมาวางขายที่ร้านเรา เขาอาจไม่ได้จำเป็นต้องมีชื่อเสียงมากหรือโปรโมตมากมายอะไร แต่เรามองเห็นเอกลักษณ์ของแบรนด์เหล่านี้ มองเห็นโอกาสที่เราสามารถเป็นสื่อกลางในการทําให้ลูกค้าเห็นและสามารถต่อยอดให้เขาได้ไปต่อ”

คณะมัณฑนศิลป์ที่ตวงเรียนแตกออกเป็นหลายภาควิชา เธอจึงมีเพื่อนที่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ของตัวเองในหลายศาสตร์ นอกจากเครื่องประดับแล้วยังมีเซรามิก ประยุกต์ศิลป์ เพนต์ และอีกมากมาย สามารถทำความรู้จักผลงานของพวกเขาได้ที่ Woot Woot 

ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจก็อย่างเช่น สีน้ำธรรมชาติ craft colour ที่ศึกษาวิธีการทำสีน้ำธรรมชาติขึ้นมาเองจากการแพ้สีเคมี, printwood stamp ตัวปั๊มที่ออกแบบลายเส้นเองตามเทคนิคการทำตัวปั๊มผ้าสมัยโบราณของอินเดีย มีความพิเศษคือคอลเลกชั่นตัวปั๊มที่ออกตามฤดูกาล ช่วงคริสต์มาสมีรูปต้นคริสต์มาส เกล็ดหิมะ ช่วงฮัลโลวีนมีรูปหัวกะโหลก มีรูปช้างที่เป็นที่นิยมสำหรับชาวต่างชาติที่อยากซื้อเป็นที่ระลึก, แบรนด์เซรามิก mamo & things ที่ปั้นเซรามิกชิ้นต่อชิ้นด้วยมือทำให้แต่ละชิ้นออกมาไม่เหมือนกันเลย, สมุด dibdee.binder ของเพื่อนจากเชียงใหม่ที่เย็บสมุดเอง ทํามือเองหมดทุกขั้นตอน มีทั้งปกหนังและปกไม้สักโดยแต่ละเล่มมีเทคนิคการเย็บที่แตกต่างกัน, ไม้กวาด Baan Boon (บ้านบูรณ์) ที่ชวนมาขายเป็นที่แรกในช่วงโควิด-19 และเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่เป็นงานอดิเรกของคุณลุงบ้านบูรณ์  

นอกจากของกระจุกกระจิกทำมือจากเพื่อนแล้ว ตวงยังนำเข้าเครื่องเขียนสไตล์วินเทจจากต่างประเทศ ทั้งหมดนี้ทำให้เธอนิยามความเป็น Woot Woot จากแง่มุมที่เธอประทับใจในของวินเทจด้วยคำว่า nostalgia

“เวลาคนมาที่ร้านแล้ว ของวินเทจมักทำให้นึกถึงความทรงจำในอดีต บางทีสมาชิกครอบครัวสามเจเนอเรชั่น คุณตาคุณยาย คุณพ่อคุณแม่และรุ่นหลานมาด้วยกัน พอมาที่ร้านแล้วคุณตาคุณยายเห็นของที่รู้สึกเชื่อมโยงและนึกถึงเรื่องราวความทรงจำในอดีต เขาก็เล่าสตอรีของชิ้นนั้นให้หลานฟัง รู้สึกว่าสิ่งของชิ้นหนึ่งเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างวัยได้ เราว่าสตอรีเหล่านี้เป็นความพิเศษที่น่าสนใจ”

อยากเป็นตัวเองที่คลาสสิกมากกว่าวิ่งไล่ตามเทรนด์ 

เมื่อถามตวงและบาสว่ามีวิธีตามเทรนด์ของวินเทจยังไง ทั้งคู่ตอบอย่างใจตรงกันว่าอยากตั้งใจเลือกของที่ชอบและสื่อตัวตนของแบรนด์เป็นหลักมากกว่าตั้งใจตามเทรนด์หรือตามกระแส

ตวงมองว่าแม้บางช่วงจะมีสินค้าฮิตที่คนนิยมแต่ก็ไม่จำเป็นต้องตามเทรนด์เสมอไป “ถ้าตามกระแสทุกครั้งจะทำให้เหนื่อยและไม่มีคาแร็กเตอร์ของตัวเอง การมีจุดยืนที่ชัดเจนของตัวเองในการพรีเซนต์สินค้าทำให้เวลาคนเห็นในในโซเชียลมีเดียแล้วรู้เลยว่าสไตล์นี้คือ Woot Woot” 

ส่วนบาสมองว่าของวินเทจคือความคลาสสิกที่อยู่ได้เรื่อยๆ ความนิยมในสินค้ามีขึ้นและลงขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นคนนิยมเล่นอะไรกัน ชิ้นที่ผู้คนชอบสะสมเยอะจะมีราคาแพง หากจำนวนผลิตน้อยและหาซื้อยาก ราคาจะยิ่งพุ่งสูงขึ้น ส่วนชิ้นไหนที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยม ราคาก็จะถูกลง แฟนคลับงานวินเทจนั้นมีความชอบจำเพาะของแต่ละคน การมีของหลายหมวดและแบ่งพื้นที่เป็นหลายโซนทำให้ตอบโจทย์ลูกค้าที่มีความชอบหลากหลาย

ทั้งนี้การไม่เน้นตามกระแสเทรนด์ไม่ได้แปลว่าแบรนด์หยุดนิ่งหรือไม่เสาะหาของใหม่ ทั้งคู่ต่างมีความชอบที่สะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลาและหมั่นศึกษาเรื่องราวเบื้องหลังข้าวของแต่ละชิ้นเพิ่มเติมเพื่อเล่าสตอรีเหล่านั้นให้ลูกค้าฟัง 

สำหรับบาสการได้สัมผัสงานวินเทจอย่างลงลึกเหมือนได้เรียนประวัติศาสตร์ รายละเอียดเบื้องหลังของแต่ละชิ้นที่ไม่เหมือนกันทำให้ตกหลุมรักซ้ำๆ ในขณะที่ตวงก็ประทับใจเสน่ห์และสตอรีของแต่ละแบรนด์ที่ตั้งใจนําเสนอความพิเศษในแบบของตัวเอง  

จากวันแรกที่หลงใหลของวินเทจจนถึงวันนี้ เมื่อถามว่าการตกหลุมรักในสิ่งเดิมซ้ำๆ มันเป็นยังไง ความชอบในสิ่งเดิมที่ชอบมานานหลายปีเปลี่ยนไปยังไงบ้างไหม ทั้งคู่ต่างบอกว่าความชอบโดยพื้นฐานยังเหมือนเดิม ตวงบอกว่าทุกวันนี้ยังพบสิ่งที่ชอบเพิ่มขึ้นเวลาออกเดินทางแล้วเจอสิ่งที่น่าสนใจ 

“เราสองคนชอบเที่ยวญี่ปุ่นเพื่ออัพเดตสินค้าใหม่และเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการเดินทางเพราะญี่ปุ่นมีความเร็วเรื่องแฟชั่นวินเทจ พอเห็นอะไรน่าสนใจก็กลับมาศึกษาต่อ”

โกดังของหัวใจ

ตวงบอกว่าการตัดสินใจย้ายมาอยู่โกดังที่ใหญ่ขึ้นเป็นอีกสเตปหนึ่งของการเติบโตที่ทำให้ทั้งคู่ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในการทำงานและรู้จักกันมากขึ้นทั้งในแง่พาร์ตเนอร์แบบคู่รักและธุรกิจซึ่งเป็นการรู้จักกันในคนละมุม

“ถ้าไม่ได้ทำธุรกิจด้วยกันจะไม่ได้รู้จักอีกฝ่ายในเรื่องการตัดสินใจ มุมมองเวลาต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า วิธีการดีลกับลูกค้า” 

ทั้งคู่บอกว่าแม้จะอยู่ในโกดังเดียวกันแต่สไตล์การทำงานและความชอบของแต่ละคนแตกต่างกันตั้งแต่สไตล์การจัดดิสเพลย์ในร้าน ความชอบในสินค้าคนละหมวด ไปจนถึงคาแร็กเตอร์และสิ่งที่แต่ละคนถนัด

สิ่งเล็กๆ ที่ต่างทำให้กันทุกวันคือการช่วยสนับสนุนกันทุกเรื่องในโกดังหลังใหญ่แห่งนี้ โดยตวงยกตัวอย่างให้ฟังว่า “เวลาได้เฟอร์นิเจอร์มาเพิ่มจะช่วยกันคิดว่าวางตรงไหนดี บางทีของขนาดใหญ่มาเพิ่มชิ้นหนึ่งก็ต้องจัดวางของใหม่ทั้งร้าน เป็นความสนุก หรือเวลาตู้ชิ้นหนึ่งขายไป ทุกอย่างก็ต้องถูกจัดใหม่หมดว่าอะไรจะขึ้นมาอยู่แทนที่เดิม เราจัดร้านใหม่กันเกือบทุกเดือน เวลาทำคอนเทนต์ออนไลน์ การถ่ายและตัดต่อวิดีโอก็จะช่วยกันทำ พี่บาสเป็นคนถ่าย เราเป็นฝ่ายตัดต่อ นามบัตรของทั้งสองแบรนด์และตู้โฟโต้บูทก็ช่วยกันออกแบบ”  

ทั้งนี้บาสบอกว่าแม้ Horse Unit และ Woot Woot มีความแตกต่างกันแต่มีความเชื่อมโยงกันอยู่

“ส่วนที่แยกกันชัดเจนคือชื่อแบรนด์และเพจในโซเชียลมีเดียเพราะแยกกันทําสินค้าคนละหมวด แต่มีกลุ่มลูกค้าที่ผสมกันและเชื่อมโยงกันอยู่ อย่างเคาน์เตอร์จ่ายเงินเราก็ใช้ร่วมกัน”

สำหรับคนที่ได้เจอกันทุกๆ เวลาตวงบอกว่า “เวลากลับบ้าน เราสองคนต้องมีช่วงเบรกที่หยุดพูดเรื่องงานก่อน ไม่คุยและคิดเรื่องงานตลอด 24 ชั่วโมง มีช่วงรีแลกซ์ ใช้ชีวิตและมีเวลาส่วนตัวของแต่ละคนบ้าง”  

เมื่อเป็นตัวของตัวเองจึงช่วยเติมเต็มกันและกันให้เป็นจักรวาลแห่งสมบัติที่กว้างใหญ่ขึ้น สร้างโกดังของหัวใจที่มีความหมาย รวมความหลงใหลในของวินเทจเป็นฝันเดียวกัน

Add to cart
6 สินค้าภูมิใจนำเสนอของ Horse Unit & Woot Woot 

Horse Unit :

  1. 1940s Vintage O.C. White Desk Lamp โคมไฟวินเทจปรับระดับได้จากอเมริกา 
  2. 1950s Coca Cola Vending Machine Cavalier CM-51V ตู้เย็นแช่โค้กที่ใช้งานได้จริง
  3. 3. Toledo Chair เก้าอี้โทเลโด เป็นเก้าอี้ที่นิยมใช้เขียนแบบในยุคก่อน 

Woot Woot : 

  1. Baan Boon’s Broom ไม้กวาดบ้านบูรณ์ ไอเทมที่คนนิยมซื้อ
  2. Printwood Stamp ตัวปั๊มแสตมป์รูปดอกไม้ ต้นไม้ สัตว์ ผีเสื้อ และอื่นๆ
  3. Ceramic from Mamo & Things เซรามิกที่ทุกชิ้นมีความพิเศษของตัวเอง

Day 1 ของ Shine ผู้พาแบรนด์กระดาษพิเศษอายุหลักร้อยปี เช่น Mohawk, G.F.Smith และ Gruppo Cordenons เข้ามาในประเทศไทย

Shine

Shine Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Shine

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Day 1 คือรายการพ็อดแคสต์เล่าเรื่องธุรกิจจาก Salmon Podcast และ Capital ที่พาไปพบกับวันแรกของการลุกมาทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือการปรับธุรกิจเพราะอยากทำธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ขายดีขึ้น เป้าหมายที่เคยมีใหญ่ขึ้น หรืออยากให้คนทำงานมีความสุขมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ รายการ Day 1 เคยจัดอยู่ที่ Salmon Podcast แต่กลับมารอบนี้ Day 1 ย้ายมาอยู่ภายใต้บ้านใหม่ ในสถานีพ็อดแคสต์ ‘Capital Listen’ ซึ่งจะเผยแพร่ผ่าน Capital อย่างที่ทุกคนเห็นอยู่นี้

เราเชื่อว่า business ไม่ได้สร้างเสร็จภายใน one day การย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นและดูเส้นทางการเติบโตจนสำเร็จของธุรกิจต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจคนอื่นน่าเรียนรู้ และเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Day 1 หรือวันไหนๆ ของธุรกิจก็ตาม

Noma ร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลกที่จะปิดตัวเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นความยั่งยืนในวงการอาหาร

เสียงลือเสียงเล่าอ้างที่พร่ำบอกต่อกันมาว่า ร้านอาหารที่ได้รับดาวมิชลินมักจะเป็นร้านอาหารที่มีเรื่องราวและเรื่องเล่าอยู่ในจานอาหารนั้นๆ เช่น สเต๊กเนื้อจานนี้ทำมาจากวัวที่ถูกเลี้ยงโดยการปล่อยให้เดินไปกินหญ้าเองตามธรรมชาติ เนื้อวัวจึงมีความนุ่มละมุนเพราะวัวถูกเลี้ยงอย่างมีความสุข ซอสที่ราดท็อปบนฟัวกราส์ชิ้นนี้ถูกรังสรรค์มาอย่างดีจากการผสมผสานของผลไม้รสเปรี้ยวและเบอร์รีหลากชนิดที่ขึ้นเองตามธรรมชาติตามริมเขาของประเทศ

เรื่องราวที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังอาหารแต่ละชิ้น แต่ละจาน ก็อาจจะเป็นส่วนสำคัญที่ส่งให้ร้านอาหารแต่ละร้านได้รับดาวมิชลินมาประดับ แต่การที่ร้านอาหารสักร้านจะขึ้นมายืนหนึ่งและถูกกล่าวขานในวงการว่าเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลก คงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเล่าในอาหารเพียงลำพัง หากแต่ยังประกอบไปด้วยส่วนสำคัญของสิ่งอื่นอีกมากมาย

และร้านอาหารที่หลายคนว่ากันว่าเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลก ก็คือ Noma

ร้าน Noma ตั้งอยู่ที่โคเปนเฮเกน เดนมาร์ก เปิดมาตั้งแต่ปี 2003 โดยเชฟเรเน่ เรดเซปี (René Redzepi) และหุ้นส่วนคนสำคัญอย่าง คลอส เมเยอร์ (Claus Meyer) นอกจากการที่ Noma ได้รับ 3 ดาวมิชลิน ในปี 2021 (ซึ่ง ณ ปัจจุบันการได้รับ 3 ดาวมิชลินถือเป็นการได้รับการจัดอันดับที่สูงที่สุดของมิชลิน) หรืออีกนัยหนึ่งคือการได้รับการยกย่องว่าเป็นร้านอาหารที่ยอดเยี่ยม ควรค่าแม้จะต้องเดินทางไกลเพื่อไปชิม Noma ยังเป็นร้านที่มีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากที่ทำให้โลกต้องหันมามองสแกนดิเนเวียและจดบันทึกผืนดินแถบนี้ไว้เข้ามาอยู่ในแผนที่วงการร้านอาหารโลก

The Financial Times ถึงขนาดยกย่องว่า Noma ทำให้โคเปนเฮเกนเป็นเมกกะแห่งวงการอาหาร เป็นดินแดนยูโทเปียที่เต็มไปด้วยโอกาสและความเป็นไปได้อย่างไม่สิ้นสุด

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะความหนักแน่นในการใช้แนวทางของนอร์ดิกเข้ามาเป็นธีมหลักของการทำร้านอาหารตั้งแต่บรรยากาศของร้านไปจนถึงวัตถุดิบที่ใช้ในการทำอาหาร ล้วนแล้วแต่มาจากแถบสแกนดิเนเวียนทั้งสิ้น การนำเอาความสแกนดิเนเวียนมาพัฒนาและนำเสนออกมาในรูปแบบของอาหารได้อย่างยอดเยี่ยม ตั้งแต่ตอนเปิดร้านในปี 2003 จนถึงวันนี้ ปี 2023 Noma และ เรดเซปี ได้นำพาความเป็นนอร์ดิกให้โลกได้ประจักษ์ว่า ถ้าโลกเคยจดจำชาวไวกิ้งในฐานะนักรบอันยิ่งใหญ่ในอดีต ในปัจจุบันเรดเซปีก็ทำให้โลกรู้ว่าอาหารสแกนดิเนเวียนก็เกรียงไกรได้ไม่แพ้ชาติใดในโลกเช่นกัน

สิ่งที่ทำให้ Noma ถูกเรียกว่าเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลก อาจจะต้องยกให้ทุกสิ่งทุกอย่างทุกรายละเอียดและองค์ประกอบ สิ่งละอันพันละน้อยของ Noma ทั้งการเดินมาต้อนรับทักทายแขกที่เป็นลูกค้าตั้งแต่หน้าร้านของพนักงาน Noma, การเดินพาลูกค้าผ่านสวนเขียวและเรือนกระจกที่ใช้ปลูกสมุนไพรและดอกไม้ป่าพร้อมคำบรรยายระหว่างทางไปจนถึงตัวอาคารร้านอาหาร, การตกแต่งภายในร้านที่ให้ความอบอุ่นแต่ชุ่มชื้นด้วยต้นไม้ใบเขียว โทนสีอบอุ่นของร้านและเฟอร์นิเจอร์ไม้แบบสแกนดิเนเวียน รวมไปจนถึงการเสิร์ฟอาหารและการบอกเล่าเรื่องราวของอาหารแต่ละจานของพนักงาน Noma เมื่อนำอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะของลูกค้า

ประสบการณ์ทุกอย่างที่ลูกค้าได้รับจาก Noma ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในร้านทั้งความอบอุ่นสบายตามสไตล์ฮุกกะ (Hygge–คุณภาพของความอบอุ่นและสุขสบายซึ่งมักเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมเดนมาร์ก) แต่ก็แฝงไว้ด้วยความหรูหราในราคาของค่าบริการ คงจะสมบูรณ์ไม่ได้เลยหากขาดองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของร้าน

นั่นคืออาหาร!

เรดเซปีแบ่งเมนูอาหารของร้าน Noma ออกเป็น 3 ช่วงฤดูกาลด้วยกัน

มกราคม-มิถุนายน เสิร์ฟอาหารทะเล

มิถุนายน-กันยายน เสิร์ฟอาหารจำพวกผัก

ตุลาคม-ธันวาคม เสิร์ฟเนื้อสัตว์ป่าและอาหารป่า

ทั้งหมดทั้งมวลเกิดมาจากแนวคิดของเรดเซปีที่อยากนำวัตถุดิบทั้งหมดจากท้องถิ่นมาผลิตและปรุง ดังนั้นในช่วงฤดูหนาวที่อากาศเย็นจัดจนพืชผักไม่สามารถเติบโตได้ ในช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่ Noma จะหาอาหารทะเลมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักเพื่อเสิร์ฟให้ลูกค้า จากนั้นเมื่อถึงฤดูกาลที่พืชดอกออกผล Noma จะสามารถเลือกพืชพรรณที่มีอยู่เป็นร้อยชนิดมาทำเมนูให้ลูกค้าได้ชิม จากนั้นเมื่อมาถึงฤดูที่อากาศเริ่มกลับมาเย็นลงอีกครั้งและใบไม้เริ่มร่วงจึงเป็นฤดูกาลแห่งการกินเนื้อสัตว์และผลไม้จากป่า เช่น เบอร์รีและเห็ด

แรกเริ่มตอนที่เริ่มก่อตั้งร้าน Noma เรดเซปีอายุเพียงแค่ 20 กลางๆ แต่ด้วยคอนเซปต์ของร้านที่ชัดเจน แน่วแน่และหนักแน่น นั่นคือเน้นเอาวัตถุดิบท้องถิ่นในสแกนดิเนเวียมาผลิตในร้านเท่านั้น ผนวกกับความคิดสร้างสรรค์ เทคนิคการทำอาหารที่น่าตื่นตาตื่นใจ และคาแร็กเตอร์ของเรดเซปี ที่ The World’s 50 Best Restaurants (ลิสต์จัดอันดับร้านอาหารที่โด่งดังที่สุดจากสื่ออังกฤษ) เคยนิยามเอาไว้ว่าเป็นคุณลักษณะที่โดดเด่นที่สุดของเขา นั่นคือ ‘การสร้างขึ้นมาใหม่’ (reinvention) ผลักดันให้ร้าน Noma และเรดเซปี ประสบความสำเร็จอย่างมากในวงการอาหารโลก

แล้วอะไรคือความหมายของคำว่า ‘สร้างขึ้นมาใหม่’?

ความหมายที่ The World’s 50 Best Restaurants หมายความถึงนั้น อาจตีความออกเป็น 2 นัย 

นัยแรกน่าจะหมายถึงการเปิดร้านแบบป๊อปอัพของ Noma และเรดเซปี ที่หลายประเทศทั่วโลกทั้งเม็กซิโก ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ซึ่งนั่นหมายความถึงการต้องหาทีมใหม่ หาผู้ร่วมงานใหม่ สร้างฐานรากทุกอย่างขึ้นมาใหม่ทุกครั้งที่ไปเปิดป๊อปอัพสโตร์

หรือการที่เรดเซปีได้นำพาความ Noma ไปยังอาณาบริเวณที่ทีมของเขาไม่ได้มีความเชี่ยวชาญมาก่อน นั่นคือการเปิดร้านขายเบอร์เกอร์ที่ชื่อ POPL (มาจากภาษาละติน Populus ที่แปลว่าประชาชน) ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 จากเดิมที่ร้าน Noma ขายอาหาร 18 คอร์สที่ราคาโดยประมาณอยู่ที่ 300 ยูโรต่อมื้อต่อคน เมื่อมาทำร้านเบอร์เกอร์ เรดเซปีขายเบอร์เกอร์ในราคาที่จับต้องได้อยู่ที่ราคาอันละ 17 ยูโรต่อชิ้น แต่ความใส่ใจในรายละเอียดและวิธีการทำเบอร์เกอร์ขึ้นมาแต่ละชิ้นแต่ละสูตรยังคงความเข้มข้นและละเมียดละไมเช่นเดียวกันกับที่สร้างสรรค์เมนู 18 คอร์สที่ Noma 

สรุปคือ การ ‘สร้างขึ้นมาใหม่’ ในความหมายแรกก็คือการคิดใหม่ สร้างใหม่ สร้างทีมขึ้นมาใหม่ ครั้งแล้วครั้งเล่า

ส่วนนัยที่สองที่ The World’s 50 Best Restaurants น่าจะหมายความถึง คงจะเป็นการที่เรดเซปีชอบรังสรรค์อาหารใหม่ๆ ขึ้นมาทำให้ลูกค้าได้ตื่นตาตื่นใจอยู่เสมอ เช่น เมนู shrimp ที่ด้านนอกทำจากโรสฮิปและกู๊สเบอร์รี แต่สอดไส้เนื้อกุ้งจริงๆ ไว้ด้านใน, Beetle ที่ทำจากผิวของเบอร์รีและกระเทียมดำ, เค้กที่มีรูปร่างเป็นเหมือนกระถางต้นไม้ที่มีพืชปลูกอยู่ แต่อันที่จริงมันคือเค้กกลิ่นกุหลาบ

พูดง่ายๆ คือการจับเอาวัตถุดิบอาหารชนิดต่างๆ มาเล่าเรื่องราวใหม่ทั้งหมดให้รูปลักษณ์แตกต่างออกไปจากเดิม หรืออาจจะเรียกว่าการสร้างขึ้นมาใหม่ ทำให้วัตถุดิบนั้นๆ ดูเป็นเหมือนอาหารอีกชนิดหนึ่งโดยที่คนกินไม่สามารถคาดเดารสชาติได้เลยเพียงแค่ตาเห็น ต้องลองใช้ลิ้นชิมรสดูเท่านั้นถึงจะเข้าใจรสชาติที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่

ทั้งคอนเซปต์ที่แข็งแรง ความคิดสร้างสรรค์อันเฉียบคม และความกล้าหาญอันดุดันที่กล้านำเอาวัตถุดิบหนึ่งมาเสกสรรให้เป็นเมนูอาหารอีกชนิดหนึ่ง ทำให้ Noma ได้รับรางวัลร้านอาหารที่ดีที่สุดจาก The World’s 50 Best Restaurants รางวัลที่ CNN เรียกเอาไว้ว่าเป็นรางวัลออสการ์แห่งวงการ fine dining มาถึง 5 ครั้งด้วยกันในปี 2010, 2011, 2012, 2014 และ 2021

การเปิดร้านอาหารแล้วสามารถยืนระยะได้ยาวนานถึง 20 ปี พร้อมกับ 3 ดาวมิชลินและรางวัลออสการ์แห่งวงการอาหารคงเป็นเหตุผลที่หนักแน่นพอควรที่ใครๆ ต่างเรียกที่นี่ว่าเป็น ‘ร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลก’

  แต่แล้วเมื่อต้นเดือนมกราคม 2023 Noma ได้ออกแถลงข่าวช็อกวงการอาหารด้วยการประกาศว่าในฤดูหนาวปี 2024 จะเป็นฤดูกาลสุดท้ายที่พวกเขาจะให้บริการลูกค้า จากนั้น Noma จะเข้าสู่การเดินทางในบทใหม่ในปี 2025 นั่นคือพวกเขาจะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นห้องแล็บครัวที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ รสชาติใหม่ๆ ให้กับวงการอาหาร

ในเว็บไซต์ของ Noma ได้กล่าวไว้ว่าพวกเขาจะยังคงเปิดป๊อปอัพสโตร์อยู่และจะยังคงเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้าต่อไป แต่การเป็นร้านอาหารจะไม่ใช่นิยามของ Noma อีกต่อไปแล้ว เวลาส่วนใหญ่ของทีม Noma จะใช้ไปกับการทำโปรเจกต์และคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขึ้นมาให้กับลูกค้า

การประกาศนี้ทำให้วงการอาหารต้องสั่นคลอน The New York Times เขียนถึงการปิดตัวร้านอาหาร Noma ครั้งนี้ว่า เปรียบเสมือนการที่ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดประกาศปิดตัวสนาม Old Trafford แต่ในขณะเดียวกันก็บอกว่าทีมยังคงเล่นต่อไป 

คำถามที่ทุกคนสงสัยคือ เกิดอะไรขึ้นกันถึงขนาดที่ว่า ร้านอาหารที่ได้รับการยอมรับจากคนทั้งโลกว่าดีที่สุดในโลกอยู่ๆ จึงอยากจะปิดตัวลง?

หลายสื่อชั้นนำพากันไปสัมภาษณ์เรดเซปี และทีม Noma นอกจากใจความข้างต้นที่ทางเว็บไซต์ของ Noma ได้แถลงไว้ว่าที่ Noma ต้องปิดตัวลงเพราะพวกเขาตัดสินใจจะเดินบนเส้นทางสายใหม่ในวงการอาหาร เหตุผลอีกประการที่สำคัญไม่แพ้กันที่เรดเซปีตัดสินปิดตัวร้านอาหาร Noma เพราะว่า เขาไม่เห็นด้วยกับวัฏจักรและวัฒนธรรมการทำงานในร้านอาหารที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

วัฒนธรรมที่เขาไม่เห็นด้วยนั้นคืออะไร? มันหนักหนาพอที่จะทำให้เขาปิดตัวสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาเองกับมือเลยหรือ?

หากคุณเคยทำงานในร้านอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านสตรีทฟู้ดข้างทางหรือร้าน fine dining คุณจะได้พบเห็นกับวัฒนธรรมการทำงานร้านอาหารที่ทุกคนน่าจะมีความเห็นตรงกันว่า เป็นงานที่หนักที่ต้องใช้ทั้งร่างกาย จิตใจ และเวลา ในคราวเดียวกัน ไม่เพียงแต่เฉพาะเจ้าของร้านเท่านั้นที่ต้องคร่ำเครียดกับยอดขายและการบริหารร้าน หรือในบางกรณีเจ้าของร้านต้องลงแรงกายทำหน้าที่เป็นเชฟหลักปรุงอาหารเองด้วยซำ้ไป 

ทุกคนที่ทำงานในร้านอาหารล้วนแล้วแต่ต้องเสียสละออกแรงกายเพื่อเสิร์ฟ ผัด ปรุง แรงใจที่จะต้องรับมือกับความกดดันในครัวเมื่อออร์เดอร์หลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดในวันที่ร้านขายดี หรือการรับมือกับลูกค้าที่มีความคาดหวังที่หลากหลายกันออกไป ทั้งหมดที่ว่ามา ทุกคนในร้านล้วนต้องสละเวลาที่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการทำงานเป็นกะที่ยาวนาน และแทบจะไม่สามารถปลีกตัวไปมีเวลาส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ ในระหว่างเวลางานได้เลย

จริงอยู่ว่างานทุกงานบนโลกนี้ล้วนต้องแลกมาซึ่งการทุ่มเทแรงกาย แรงใจ และเวลาทั้งสิ้น แต่หากการทุ่มเททั้งสุขภาพกาย ใจ และเวลา แต่ยังคงได้ค่าตอบแทนที่ไม่คุ้มค่ากลับมาเป็นค่าจ้าง เช่นนี้คงไม่ใช่งานที่น่าพิสมัยแน่ๆ

The New York Times เขียนถึงประเด็นนี้ไว้ว่าการประกาศปิดตัวลงของ Noma เป็นหนึ่งในสัญญาณที่ส่งถึงร้านอาหารหรูหราชั้นนำทั่วโลกที่ส่วนใหญ่จ่ายค่าแรงแสนถูกหรือบางทีก็ไม่จ่ายเลยให้กับพนักงานที่ทำงานในร้าน (เพราะใช้แรงงานจากเด็กฝึกงาน) ซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความยั่งยืนของวงการร้านอาหาร fine dining

เรดเซปีให้สัมภาษณ์กับ The New York Times ว่า หากคิดคำนวณออกมาแล้วการจะรักษาสมดุลให้อาหารออกมามีคุณภาพดี และรักษามาตรฐานที่สูงทั้งคุณภาพของการบริการไว้ตลอดเวลาพร้อมๆ กับการจ่ายค่าแรงพนักงานประมาณ 100 กว่าคนให้สมเหตุสมผลกับจำนวนชั่วโมงการทำงานอย่างหนักของพวกเขา มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้สมการนี้เป็นจริงได้

“พวกเราต้องกลับมานั่งคิดใหม่กันหมดเลยครับ ทั้งวงการเลย…การทำงานแบบนี้มันหนักเกินไป เราต้องหาทางทำงานแบบใหม่กันครับ”

Kim Mikkola เชฟชาวฟินแลนด์ผู้เคยทำงานที่ Noma มาแล้ว 4 ปี กล่าวไว้เช่นเดียวกันว่า fine dining, เพชร และบัลเลต์ มีจุดร่วมที่เหมือนกันคือ กระบวนการก่อนจะได้สามสิ่งนี้มา จะต้องผ่านความเจ็บปวดมาก่อน 

หลายต่อหลายครั้งที่ Noma เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเด็กฝึกงานอย่างไม่เป็นธรรม สื่อชั้นนำอย่าง The Financial Times เคยเขียนบทความเกี่ยวกับด้านมืดของวงการและกล่าวถึง Noma ว่า ก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 Noma รับเด็กฝึกงานมาฝึกที่ร้านรอบละ 30 คน โดยประมาณ (โดยทั้งหมดไม่ได้รับค่าจ้างใดๆ) เช่นในปี 2019 Noma จ้างเชฟทั้งหมด 34 คน ซึ่งนั่นหมายความว่าร้าน Noma ถูกขับเคลื่อนโดยที่แรงงานส่วนใหญ่มาจากแรงงานของเด็กฝึกงานที่ไม่ได้รับค่าจ้างนั่นเอง

แหล่งข่าวรายหนึ่งที่เคยฝึกงานที่ Noma ให้สัมภาษณ์กับ The Financial Times ว่า “การฝึกงานที่ Noma ขูดรีดทั้งแรงกายแรงใจ เราต้องทำงานกันประมาณ 5 วันครึ่งต่อสัปดาห์ ตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงตี 2” 

เธออ้างต่อว่า ครั้งหนึ่งที่ Noma ต้องทำเมนูเป็ดเพื่อเสิร์ฟลูกค้า เธอเห็นเด็กฝึกงาน 6 คนต้องนั่งถอนขนเป็ดที่ด้านนอกตอนฝนกำลังตกและอากาศกำลังเหน็บหนาว ในขณะที่ถอนขนเป็ดไปด้วย มือของเด็กฝึกงานก็สั่นเทาไปด้วย โดยขนเป็ดเหล่านั้นหลุดออกจากตัวเป็ดแต่มาติดตามตัวเด็กฝึกงานพวกนั้นแทน

ทั้งนี้มีเด็กฝึกงานหลายคนที่เคยฝึกงานที่ Noma อ้างว่าพวกเขาถูกทำให้เข้าใจผิดโดย ‘ข้อตกลงการทำงาน’ ที่ Noma ให้เซ็นก่อนที่จะมาฝึกงานที่นี่ โดยคนที่เคยฝึกงานกับ Noma คนหนึ่งในปี 2018 เล่าว่า เขาเก็บหอมรอมริบเพื่อเดินทางจากอเมริกากลางเพื่อมาฝึกงานที่ Noma โดยได้เซ็นสัญญาไว้ว่าจะมาฝึกงานที่ Noma สัปดาห์ละ 37 ชั่วโมง แต่เมื่อมาถึงที่ Noma ปรากฏว่าเขาต้องทำงานถึง 70 ชั่วโมง (หรือมากกว่านั้น) ต่อสัปดาห์ จนภายหลัง Noma จึงเปลี่ยนหัวกระดาษที่ให้เด็กฝึกงานเซ็นสัญญาว่าเป็น ‘ข้อตกลงอย่างไม่เป็นทางการในการทำงาน (informal agreement)’

ตัวแทนของ Noma ออกมาโต้เถียงกรณีต่างๆ ที่ถูกกล่าวหาว่า อันที่จริงแล้ว Noma ออกหาวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารนอกสถานที่ตลอดทั้งปี ส่วนเงื่อนไขของการทำงานและสถานที่การทำงานของเด็กฝึกงานที่ Noma ก็ถูกพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ข้อกล่าวหาที่ว่า Noma ปฏิบัติกับเด็กฝึกงานอย่างไม่เป็นธรรมจนทำให้พวกเขาได้รับประสบการณ์อันเลวร้ายนั้นไม่เป็นความจริง ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เด็กฝึกงานที่ Noma ต่างได้รับประสบการณ์ที่ทรงคุณค่า และในหลายครั้งคราว การได้ฝึกงานที่ Noma เป็นบันไดชั้นดีที่นำพาให้พวกเขาไปสู่อาชีพเส้นทางครัว

แม้ว่าปัจจุบันมีการคาดการณ์ว่า Noma ใช้เด็กฝึกงานน้อยลงอยู่ที่จำนวนโดยประมาณเพียงแค่ 15-20 คนเท่านั้น และ Noma เริ่มจ่ายค่าตอบแทนให้กับเด็กฝึกงานเหล่านี้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022 เท่ากับว่า Noma มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอยู่ที่เดือนละประมาณ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ

การที่ต้องจ่ายเงินค่าจ้างเด็กฝึกงานเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายให้ Noma แต่เหตุผลหลักอีกประการที่ทำให้เรดเซปีตัดสินใจปิดตัว Noma ลงเพราะ เขาคิดว่าวิถีแห่งเชฟแบบ fine dining นั่นมันไม่ยั่งยืนเอาเสียเลย

ตลอดระยะเวลาที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 เรดเซปีใช้เวลาอยู่กับตัวเอง เขานั่งภาวนา ทำสมาธิ เข้าคลาสบำบัด เพื่อที่จะกำจัดวิญญาณของเชฟเกรี้ยวโกรธ บ้างานที่สิงสถิตอยู่ในตัวเขามาตั้งแต่อายุ 20 กลางๆ สมัยที่เขาเปิดร้าน Noma เรดเซปีสัมภาษณ์กับ The New York Times เอาไว้ว่า

“มันไม่ยั่งยืนเอาเสียเลย…ทั้งทางด้านการเงิน ด้านอารมณ์ ในฐานะนายจ้างและในฐานะเพื่อนมนุษย์”

การตัดสินใจปิดตัว Noma ของเรดเซปีเป็นการตัดสินใจที่เขาคิดว่า มันคือการเริ่มต้นปฐมบทใหม่แห่งวงการอาหาร เขาจบบทบาทความเป็นเชฟ fine dining ลงเพื่อเปิดตัวใหม่ในฐานะหัวหน้าครีเอทีฟทีมแล็บครัวอาหารแทน หรือนี่เองอาจจะเป็นสิ่งที่เขาถนัดที่สุดตามที่ The World’s 50 Best Restaurants เคยนิยามเรดเซปีเอาไว้อย่าง ‘การสร้างขึ้นมาใหม่’

เพียงแต่คราวนี้สิ่งที่เขาสร้างขึ้นใหม่อาจยิ่งใหญ่กว่าเดิม เพราะมันไม่ใช่เพียงแค่ทีมงานทีมใหม่หรืออาหารจานใหม่ 

แต่เขากำลังสร้างวัฒนธรรมใหม่ให้วงการอาหารโลก

ที่มา