ถ้าเราเอาตัวเองถอยห่างออกมาในระยะไกล แล้วมองกลับเข้าไปที่วงการ ‘นม’ เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงและเคลื่อนไหวไปมาอย่างมีสีสันและสนุกสนาน ไม่หยุดนิ่ง ที่ผ่านมาเราเห็นการพัฒนาจากนมธรรมดา มาเป็นนมพร่องมันเนย จากนมพร่องมันเนยเป็นนมพร่องมันเนยผสมวิตามิน D (เพราะวิตามิน D ส่วนใหญ่จะถูกสกัดแยกออกไปพร้อมกับไขมัน) จากนมพร่องมันเนยผสมวิตามิน D เราเริ่มได้เห็นนมแลคโตสฟรี
สำหรับการขยับขยายการขายออกไปในหลายประเทศทั่วเอเชียของ Oatside เบเนดิกต์ให้ความสำคัญกับการสื่อสารกับคนในประเทศนั้นๆ จะทำยังไงให้พูดในภาษาที่คนในประเทศนั้นเข้าใจ เล่นมุกยังไงให้คนในประเทศนั้นรู้สึกสนุกไปด้วย เบเนดิกต์ให้สัมภาษณ์กับ The Beat Asia ว่า
นอกจากการสื่อสารและภาษาแล้ว จะเห็นว่าเบเนดิกต์ให้ความสำคัญกับอารมณ์ขันและความอารมณ์ดี นั่นจึงเป็นที่มาของการใช้การ์ตูนเพื่อเป็นมาสคอตของแบรนด์และปรากฏอยู่บนกล่อง Oatside เบเนดิกต์เองเล่าใน The Beat Asia ว่า
แม้หลายคนจะมีธุรกิจส่วนตัวที่น่าสนใจ แต่การเดินทางมาพบเจอกันครั้งนี้เราอยากชวนพวกเขาเล่าเกี่ยวกับรีเทลสร้างสรรค์แห่งใหม่ที่ทำร่วมกันในชื่อ Happie Land แบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่อยากเป็น tourist destination ของสยามเมืองยิ้ม
นอกจากความน่าสนใจของสเปซที่พวกเขาเล่าว่าจำลองมากจากสภาวะ high ดั่งล่องลอยในชั้นบรรยากาศแล้ว สินค้าไลฟ์สไตล์ แฟชั่นและเครื่องประดับหลากคอลเลกชั่นของแบรนด์ยังแฝงอารมณ์ขันและหยิบจับสตอรีความเป็นไทยแสนคอนทราสต์มาไว้ในสเปซสุดโมเดิร์นได้อย่างกลมกลืน
Hip District of Happie Land
Charoenkrung 82 District คือย่านสุดคูลแห่งใหม่ของเหล่านักออกแบบและนักสร้างสรรค์ที่มีจุดเริ่มต้นจากการทำออฟฟิศของ Trimode Studio ซึ่งตั้งอยู่ที่ซอยเจริญกรุง 82 ตั้งแต่ปี 2018
อารมณ์สนุกของแบรนด์นี้มีที่มาจากคำว่า Land of Smile หรือ สยามเมืองยิ้มที่เป็นภาพจำประเทศไทยของคนทั่วไป ส่วนชื่อแบรนด์ Happie Land มาจากคำว่า happy land ที่สื่อถึงความหมายเดียวกันคือประเทศที่คนยิ้มง่าย เห็นอะไรก็อมยิ้ม
นอกจากนั้นชื่อ Happie ยังสามารถอ่านได้ว่า Have – Pie แปลว่าดินแดนที่มีกัญชา ส่วนคำภาษาไทยก็ยังอ่านแบบผสมอารมณ์ขันได้ว่า ‘แฮพพี้’ ซึ่งเป็นอีกความหมายแฝงที่ตั้งใจให้คนอมยิ้ม
สเปซที่จำลองสภาวะ high
นิซึ่งเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญงานออกแบบพื้นที่สร้างสรรค์บอกว่าเนื่องจากกัญชาเป็นกิมมิกหนึ่งที่ตั้งใจเลือกใช้เพื่อทำให้แบรนด์ดูมีความสนุกหรือความสุขเกินร้อย ทีมจึงอยากจำลองสภาวะ high ที่มีความสุขล้นเหลือออกมาไว้ในสเปซ
“ก่อนหน้านี้เราใช้กัญชาบรรเทาอาการนอนไม่หลับและหลับไม่สนิท เวลาเราใช้ก็พยายามเรียนรู้ว่ามีเอฟเฟกต์อะไรเกิดขึ้นในร่างกายและสมองเราบ้างแล้วเปลี่ยนปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในร่างกายตอนเสพและเอฟเฟกต์ที่เกิดขึ้นจริงในสมองเรามาทำให้เกิดเป็นสเปซที่จับต้องได้ แปลงประสบการณ์เป็นงานศิลปะที่เป็นรูปธรรม เหมือนหลักในการทำ installation art ทุกอย่าง มีที่มาจากการแปรความหมดเลยในนั้น”
นอกจากประสบการณ์ high ที่อยากให้คนสัมผัสได้เวลาเดินเข้าไปในสเปซแล้ว สินค้าแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ และเครื่องประดับของแบรนด์ยังนำเสนอ happy experience ที่ไม่ว่าใช้หรือเห็นสตอรีแล้วต้องอมยิ้ม
ในส่วนสินค้าแน่นอนว่าต้องมีกัญชาตามคอนเซปต์ร้าน โดยกัญชาของ Happie Land ตอนนี้มี 3 แบบ คือ Happy Day, Happy Night และ Happy Party ที่เทพบอกว่าอยากอธิบายสรรพคุณให้เข้าใจง่าย
“Happy Day เหมาะสำหรับใช้ระหว่างวัน สามารถทำงานได้อย่างโฟกัสและครีเอทีฟ ไม่ง่วง ไม่ซึม ถ้าอยากหลับก็ใช้ Happy Night สำหรับตอนกลางคืน ส่วน Happy Party จะเป็นมู้ดสวิงแบบไฮบริด มีความสนุกสนาน
เขาบอกว่าไม่ได้มองทิวทัศน์และสิ่งของรอบตัวว่าเป็น object อะไร แต่จะมองกราฟิกต่างๆ ในเมืองให้ผสมกันเกิดเป็นความหมาย เกิดเป็นลาย graphic on street ที่มาอยู่บนสินค้า
เสื้อสกรีนลาย Weed Not Drive คู่กับภาพท้ายรถหน้ายิ้มเป็นหนึ่งในคอลเลกชั่นที่เกิดจากการสแนปรูปบนท้องถนนซึ่งเทพอธิบายคอนเซปต์ของเสื้อตัวนี้ว่า “เวลา weed อย่าไปขับรถ เพราะเวลาขับรถไปด้วยแล้วหลายๆ อย่างจะทำให้เราหลุดขำ”
LINE MAN ที่ควบรวมกิจการบริษัทกับ Wongnai กลายเป็น LINE MAN Wongnai มีการขยายบริการทั่วประเทศมากขึ้น และการขยับตัวที่น่าสนใจกับข่าวลือที่จะซื้อ foodpanda ประเทศไทย หากเป็นจริงและเจรจาซื้อกิจการสำเร็จ LINE MAN Wongnai จะขึ้นแท่นแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีเบอร์ 1 ในไทยทันที และน่าจะกระทบกับผู้บริโภคไม่น้อย
“การร่วมกัน การซื้อกิจการแน่นอนว่าตลาดจะเล็กลง การแข่งขันจะเหลือแค่ Grab, LINE MAN และ Robinhood ซึ่งก็เหมือนกับตลาดโอเปอเรเตอร์ที่หากมีผู้เล่นน้อยราย การฟาดฟันก็จะน้อยลงตาม พอทางเลือกน้อยลงย่อมกระทบกับผู้บริโภคแน่ๆ”
ดร.พิพัฒน์ อธิบายว่าเพราะดอกเบี้ยต่ำและราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีคำที่เขาใช้กัน 2 คำคือ TINA ที่ย่อมาจาก There Is No Alternative ที่แปลว่า การไม่มีทางเลือกเพราะดอกเบี้ยถูกมากต้องยอมไล่ซื้อสินทรัพย์เสี่ยง และ FOMO หรือ Fear of Missing Out คือเห็นคนอื่นได้กำไร กลัวที่จะพลาดโอกาสไป กลัวที่จะไม่รู้เหมือนที่คนอื่นรู้ กลัวตกกระแสหรือตกเทรนด์
1. Back to the old normal – focus on fundamentals and valuation : การวางแผนการลงทุนต้องดูแลปัจจัยพื้นฐานมากขึ้น กลับไปดูราคาหุ้น กลับไปดูว่าซื้อแล้วได้อะไร อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเป็นอย่างไร P/E เป็นยังไง
2. Risk-aware but not risk-averse – inflation, rates, growth : นักลงทุนต้องให้ความสำคัญกับความเสี่ยง โดยรับรู้ว่าความเสี่ยงในการลงทุนคืออะไร แต่ไม่ใช่ว่าต้องหลบเลี่ยงความเสี่ยงโดยเฉพาะเรื่องเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ อาจจะกลายเป็นโอกาสที่สำคัญหากเรารับรู้ความเสี่ยง และบริหารความเสี่ยงในแง่ของการลงทุนได้ดี
3. The return of asset allocation : แม้ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ค่อนข้างแย่ของการลงทุนในแง่ของการทำ asset allocation และการลงทุนในระยะยาว แต่เชื่อว่าปีหน้าด้วยผลตอบแทนของการลงทุนในพันธบัตร ในตราสารหนี้ปรับเพิ่มสูงขึ้นมาแล้ว เพราะฉะนั้นการวางแผนทางการเงิน การใช้ asset allocation น่าจะกลับมามีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ