เติมความสุขและสภาพคล่องให้ชีวิตด้วย ‘สินเชื่อ GSB บ้านแลกเงิน’ จากธนาคารออมสิน

ไม่ว่าช่วงเวลาใด สถานการณ์ไหน เราต่างยอมรับว่าเงินคือปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต แต่ความจริงที่ว่ายิ่งปรากฏชัดยามเกิดวิกฤตต่างๆ และช่วงสองปีที่ผ่านมาปัจจัยต่างๆ ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศล้วนส่งผลกระทบให้คนทำงานหรือผู้ประกอบการล้วนเผชิญปัญหากับเศรษฐกิจขาลงและเงินสดขาดมือ และแน่นอนว่าเมื่อเงินขาดมือก็กระทบต่อความสุขในการดำเนินชีวิต

นอกจากการพยายามหาทางออกด้วยวิธีการต่างๆ แล้ว หลายคนก็พยายามยื่นมือขอความช่วยเหลือจากธนาคาร และหนึ่งในธนาคารที่เป็นที่พึ่งสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบทางการเงินด้วยเหตุผลต่างๆ คือธนาคารออมสิน ‘ธนาคารเพื่อสังคม’ จึงให้ความสำคัญกับการออกแบบผลิตภัณฑ์สินเชื่อต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆ

ผลิตภัณฑ์สินเชื่อหนึ่งที่น่าจะตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ขาดสภาพคล่องทางการเงิน คือ ‘สินเชื่อ GSB บ้านแลกเงิน’ ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงินด้วยการเปลี่ยนบ้าน ที่ดิน คอนโดฯ เป็นเงิน โดยสินเชื่อ GSB บ้านแลกเงิน เป็นสินเชื่ออเนกประสงค์ที่เปิดกว้างสำหรับผู้ที่มีวัตถุประสงค์ในการขอกู้หลากหลาย ไม่ว่าจะกู้ไปเพื่อลงทุนประกอบธุรกิจ เริ่มต้นอาชีพใหม่ หรือรีไฟแนนซ์เงินกู้ที่มีภาระดอกเบี้ยสูง รวมถึงผู้ที่ต้องการใช้เงินยามจำเป็น หรือใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ก็สามารถยื่นกู้ได้

สำหรับ ‘สินเชื่อ GSB บ้านแลกเงิน’ นั้นมีวงเงินกู้สูงสุดถึง 10 ล้านบาท ระยะเวลาชำระเงินกู้สูงสุดถึง 30 ปี และสามารถใช้หลักทรัพย์ที่ปลอดจำนองมาเป็นหลักประกันได้ ทั้งที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ห้องชุดคอนโดมิเนียม รวมถึงที่ดิน 

โดยธนาคารคิดอัตราดอกเบี้ย 6 เดือนแรก อยู่ที่ 3.00% ต่อปี (MRR-3.245%) หรือคิดเป็นเงินงวดผ่อนต่ำใน 6 เดือนแรก เพียงแสนละ 555 บาทต่อเดือนเท่านั้น ส่วนดอกเบี้ยหลังจากนั้นเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

ส่วนคุณสมบัติของผู้ที่ต้องกู้ก็ไม่ได้ซับซ้อน เพียงเป็นบุคคลที่มีอาชีพและรายได้แน่นอน หากเป็นผู้มีรายได้ประจำ อายุผู้กู้กับระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 65 ปี มีอายุงาน 6 เดือนขึ้นไป กรณีประกอบอาชีพอิสระหรือเจ้าของกิจการ อายุผู้กู้กับระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 70 ปี ทำกิจการมาแล้ว 1 ปีขึ้นไป

สำหรับใครที่กำลังทุกข์ใจด้วยปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน บางที ‘สินเชื่อ GSB บ้านแลกเงิน’ อาจเป็นอีกหนึ่งทางออกที่นำความสุขกลับมาอีกครั้ง

ถึงตรงนี้ใครที่สนใจสามารถยื่นกู้ได้แล้วที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ – 31 มกราคม 2566 หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ gsb.or.th/personals/home4cash

หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา หรือ GSB Contact Center 1115 และติดตามข้อมูลข่าวสารอื่นๆ ได้ที่ gsb.or.th หรือเพจเฟซบุ๊ก GSB Society

เบื้องหลังความสำเร็จของ Oatside แบรนด์นมโอ๊ตสตาร์ทอัพที่คิดต่างจนปัจจุบันวางขายทั่วเอเชีย

ถ้าเราเอาตัวเองถอยห่างออกมาในระยะไกล แล้วมองกลับเข้าไปที่วงการ ‘นม’ เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงและเคลื่อนไหวไปมาอย่างมีสีสันและสนุกสนาน ไม่หยุดนิ่ง ที่ผ่านมาเราเห็นการพัฒนาจากนมธรรมดา มาเป็นนมพร่องมันเนย จากนมพร่องมันเนยเป็นนมพร่องมันเนยผสมวิตามิน D (เพราะวิตามิน D ส่วนใหญ่จะถูกสกัดแยกออกไปพร้อมกับไขมัน) จากนมพร่องมันเนยผสมวิตามิน D เราเริ่มได้เห็นนมแลคโตสฟรี 

และในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นเทรนด์ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศคือ ผลิตภัณฑ์นมที่มาจากพืช ทั้งนมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์และนมโอ๊ต ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยนมเหล่านี้มักจะเป็นนมทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการโปรตีนแต่ไม่ต้องการดื่มผลิตภัณฑ์นมที่มาจากสัตว์

เมื่อนมทางเลือกเริ่มเข้ามามีบทบาทในธุรกิจนม จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่วงการนมทางเลือกจะคึกคักและมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาแวะเวียนแนะนำตัวอยู่ในสนามธุรกิจนี้เสมอ 

หนึ่งในนมทางเลือกที่เรากำลังพูดถึงและเป็นที่น่าจับตามองทั้งในประเทศไทยและในตลาดเอเชียคือ นมโอ๊ตแบรนด์ Oatside

ด้วยดีไซน์ของอาร์ตเวิร์กบนกล่องที่ร่วมสมัยเก๋ไก๋ ตัวอักษรบอกชื่อยี่ห้อขนาดใหญ่ พร้อมลายการ์ตูนน้องหมีสีน้ำตาลใส่เสื้อฮาวาย จากรูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นโดนใจคนรุ่นใหม่จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่นมโอ๊ต Oatside จะเป็นที่นิยมในหมู่คนรุ่นใหม่และคาเฟ่ดังๆ หลายแห่งทั้งในไทยและต่างประเทศ

แต่ทั้งเราและคุณคงต่างรู้ดีว่า เฉพาะรูปลักษณ์ภายนอกของแพ็กเกจจิ้งสินค้าเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้สินค้าอย่างใดอย่างหนึ่งเติบโตอย่างยั่งยืนได้ ความสำเร็จที่แท้จริงจึงต้องมาจากตัวสินค้าเอง การสร้างแบรนด์ การสื่อสารกับผู้คนและการแทรกซึมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คนได้ต่างหากจึงจะทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จ

และ Oatside กำลังทำสิ่งที่ว่ามาทั้งหมดอยู่ในขณะนี้

อันที่จริงที่มาทั้งหมดของความหอมมันมอลต์ ครีมมี่ และสัมผัสที่นุ่มนวลของนมโอ๊ต Oatside เริ่มต้นมาจากชายชาวสิงคโปร์คนหนึ่งที่มีความหลงรักในอาหาร เขาคนนั้นคือ เบเนดิกต์ ลิม (Benedict Lim) ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Oatside

เดิมทีเบเนดิกต์ทำงานอยู่ที่ Kraft Heinz บริษัทสัญชาติอเมริกันที่ผลิตสินค้าเกี่ยวกับอาหารมากมาย เช่นซอสมะเขือเทศ Heinz, Kraft Mac & Cheese, เยลลี่ Jell O โดยเขาทำงานอยู่ที่ Heinz จนไต่เต้าขึ้นไปถึงตำแหน่ง CFO (Chief Financial Officer) และประจำอยู่ที่ออสเตรเลียและอินโดนีเซียตามลำดับ

ด้วยความที่มีความรักความชอบในอาหารเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ประกอบกับการได้มาทำงานคลุกคลีกับบริษัทอาหารยักษ์ใหญ่ระดับโลก เบเนดิกต์จึงเริ่มมีไอเดียที่จะทำผลิตภัณฑ์อะไรสักอย่างของตัวเองออกมา 

ว่าแต่ว่าทำอะไรดีล่ะ?

ก่อนที่จะตัดสินใจทำ Oatside เบเนดิกต์เล็งเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างรสชาติของนมจากโอ๊ต กับนมที่มาจากอัลมอนด์และถั่วเหลือง เขาบอกเอาไว้กับ Prestige ว่า นมโอ๊ตแต่ละยี่ห้อในท้องตลาดมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก

ทั้งในเรื่องรสชาติและรสสัมผัส ไม่เหมือนกับนมถั่วเหลืองและนมอัลมอนด์ที่แต่ละยี่ห้อจะมีความใกล้เคียงกันอยู่ เหตุตรงนี้น่าจะเกิดมาจากความซับซ้อนของกระบวนการการสกัดนมออกมาจากโอ๊ต

เมื่อสัมผัสได้ถึงความหลากหลายและแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดของนมโอ๊ตในแต่ละยี่ห้อ เบเนดิกต์จึงตัดสินใจว่าเขาจะทำนมโอ๊ตนี่แหละออกมาเป็นแบรนด์ของตัวเอง โดยคอนเซปต์ของการทำนมโอ๊ตของเขาคือ จะต้องเป็นนมที่มีรสชาติของความคุ้นเคย ความคุ้นเคยที่ว่ามันจะพาให้นมโอ๊ตของเขาเข้าไปนั่งอยู่ในใจผู้คนได้

“ผมว่าผมเข้าใจเหตุผลว่าทำไมนมจากพืชถึงยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่นัก เพราะรสอาฟเตอร์เทสต์ของนมที่มาจากพืชส่วนใหญ่จะให้ความรู้สึกถึงถั่วอย่างรุนแรง หรือไม่ก็เป็นความรู้สึกกระด้างๆ ไปเลย”

นั่นคือที่มาของคอนเซปต์ ‘การเป็นรสชาติที่คุ้นเคย’ ของ Oatside เบเนดิกต์เริ่มต้นด้วยการลองทำนมโอ๊ตเอง โดยความตั้งใจของเขาคือ เขาตั้งใจที่จะทำนมโอ๊ตที่ให้ทั้งรสชาติและรสสัมผัสที่มีความครีมมี่ นุ่ม และมีรสมอลต์ ซึ่งน่าจะเป็นลักษณะที่ชาวเอเชียนคุ้นเคยเมื่อเอ่ยถึง ‘นม’

จะว่าไปอันที่จริงแล้วคนเอเชียนิยมดื่มนมจากพืชมาแต่ไหนแต่ไร เช่นว่า ถ้าเราจะนับว่า ‘น้ำเต้าหู้’ ก็คือนมชนิดหนึ่งที่บดออกมาจากถั่วเหลืองแล้วบีบเค้นคั้นจนออกมาเป็นเนื้อนมนวลเนียน นั่นก็คือนมที่มาจากพืชที่พวกเราชาวเอเชียนดื่มกินกันตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ดังนั้นวัฒนธรรมการกินนมจากพืชในหมู่คนเอเชียจึงไม่ใช่เรื่องใหม่และเรื่องไกลตัวอะไร เบเนเดิกต์เองเล็งเห็นถึงความคุ้นเคยกับนมพืชนี้ ของชาวเอเชีย คอนเซปต์ ‘รสชาติที่คุณคุ้นเคย’ จึงถูกเอามาใช้ต่อยอดจากความคิดนี้ ด้วยเชื่อว่าหากเราได้กินอะไรสักอย่างที่เราคุ้นเคย เราจะรู้สึกสบายใจ เมื่อเรารู้สึกสบายใจนอกจากเราจะเลือกหยิบเลือกกินมันบ่อยๆ แล้วเรายังจะพยายามดัดแปลงอะไรต่างๆ นานา ให้เข้ากับมันได้ไม่มีที่สิ้นสุด

พอคิดว่าได้ส่วนผสมและรสชาติของนมโอ๊ตที่เบเนดิกต์ต้องการต้องมีลักษณะแบบไหน คอนเซปต์ของแบรนด์ก็เป็นอีกสิ่งที่เขาให้ความสนใจ โดยเบเนดิกต์กำหนดชัดเจนว่าแบรนด์จะต้องมีความสนุกสนาน มองโลกในแง่ดี มาสคอตของแบรนด์ต้องเป็นการ์ตูนที่สื่อสารกับผู้ใหญ่ได้

ทั้งหมดของการสร้างแบรนด์ของเบเนดิกต์ เขาเรียกมันว่าการทำแบรนด์ Oatside แบบ full stack หรือการพัฒนาและผลิตทุกอย่างให้อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท 

นั่นหมายความว่าเขาจะต้องมีขั้นตอนการ R&D (research and development), พัฒนาคอนเซปต์แบรนด์, ระดมทุน, สร้างโรงงาน, และหาลูกค้าเองทั้งหมด ซึ่งนั่นอาจจะไม่ใช่โมเดลธุรกิจที่สตาร์ทอัพหลายๆ ที่ใช้ เพราะส่วนใหญ่แล้วเอกลักษณ์ของเป็นธุรกิจแบบสตาร์ทอัพน่าจะเป็นการทำบริษัทให้ไขมันน้อยที่สุด ลีนที่สุด คล่องตัวที่สุด การจะสร้างทีม สร้างโรงงานการผลิตขึ้นมาเองไม่น่าจะอยู่ในพจนานุกรมของธุรกิจสตาร์ทอัพทั่วไป

แต่กับเบเนดิกต์นั้นไม่ใช่

เบเนดิกต์เองมีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะทำให้รสชาติของ Oatside เป็นรสชาติที่ดีในระดับที่แตกต่างจนมีนัยสำคัญต่อลูกค้า เบเนดิกต์เองจึงมีความจำเป็นต้องทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป โดยหมายรวมไปถึงการหาวัตถุดิบที่มีความเฉพาะเจาะจงแบบที่เบเนดิกต์และทีมต้องการ เครื่องจักรที่จะสกัดโอ๊ตต้องมีความพิเศษและทำหน้าที่ในแบบที่เค้นรสชาติออกมาได้ในแบบที่เบเนดิกต์จินตนาการเอาไว้ได้ ดังนั้นการทำโรงงานขึ้นมาจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเบเนดิกต์และ Oatside

แต่การเป็นสตาร์ทอัพและการสร้างโรงงานขึ้นมาเป็นของตัวเองดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เป็นคู่ขนานและไม่น่าจะมาบรรจบกันได้เลยนี่สิ

เบเนดิกต์ให้สัมภาษณ์กับ Yahoo Finance ว่า “สิ่งที่ท้าทายที่สุดในการทำ Oatside คือการระดมเงินทุน พวกเราอยากจะสร้างไลน์ผลิตขึ้นมาเป็นของตัวเอง พวกเราจึงต้องระดมทุนจำนวนมากกว่าปกติ มีบริษัทร่วมทุนและนักลงทุนหลายคนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่จะต้องลงทุนมากมายมหาศาลในขณะที่ยังไม่มีสินค้าพร้อมจำหน่าย

“แต่ต่อมาบริษัทกองทุน Proterra Investment Partners ซึ่งเป็นที่ที่ผมไปฝึกงานสมัยผมยังเรียนอยู่มองเห็นและเข้าใจวิสัยทัศน์ของผมและพวกเขาให้เงินลงทุนก้อนแรกมา 22 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ นั่นเป็นสิ่งที่ผมซาบซึ้งใจและไม่มีวันลืมเลยครับ”

โรงงานของ Oatside จึงได้เริ่มก่อตั้งขึ้นที่บันดุง อินโดนีเซีย และเริ่มขายนมโอ๊ต Oatside ครั้งแรกในปี 2021 ปัจจุบัน Oatside ขยายการขายออกไปที่ 11 ประเทศทั่วเอเชีย

สำหรับการขยับขยายการขายออกไปในหลายประเทศทั่วเอเชียของ Oatside เบเนดิกต์ให้ความสำคัญกับการสื่อสารกับคนในประเทศนั้นๆ จะทำยังไงให้พูดในภาษาที่คนในประเทศนั้นเข้าใจ เล่นมุกยังไงให้คนในประเทศนั้นรู้สึกสนุกไปด้วย เบเนดิกต์ให้สัมภาษณ์กับ The Beat Asia ว่า

“เราต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ ภาษาที่แตกต่างกันก็เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก พอคนละภาษา มุกตลกแต่ละมุกก็อาจจะไม่เหมือนกัน บางมุกถ้าเล่นแล้วมันตลกในภาษาอังกฤษ เราก็ต้องพยายามหาทางให้มันตลกให้ได้ด้วยในภาษาเกาหลีในหมู่คนเกาหลี แบบนี้เป็นต้น”

ด้วยเหตุนี้เองในทุกประเทศที่ Oatside ไปทำการตลาดและนำสินค้าไปวางขาย Oatside จะจ้างคนจากประเทศนั้นๆ เป็นพนักงานให้คอยดูแลเรื่องราวของการสื่อสารและจัดการธุรกิจในประเทศนั้นๆ เช่น Oatside ประเทศไทยจะมีพนักงานเป็นคนไทย, Oatisde เกาหลี จะมีพนักงานในทีมเป็นคนเกาหลีทั้งหมดเช่นกัน

นอกจากการสื่อสารและภาษาแล้ว จะเห็นว่าเบเนดิกต์ให้ความสำคัญกับอารมณ์ขันและความอารมณ์ดี นั่นจึงเป็นที่มาของการใช้การ์ตูนเพื่อเป็นมาสคอตของแบรนด์และปรากฏอยู่บนกล่อง Oatside เบเนดิกต์เองเล่าใน The Beat Asia ว่า 

“บนกล่อง Barista Blend Pack เราจะเห็นว่ามีผู้ชายสองคนหน้าดำคร่ำเครียดทำงานกับคอมพิวเตอร์ ในขณะที่มีหมีใส่เสื้อฮาวายยืนชิลล์อยู่ใกล้ๆ ในคาเฟ่ พวกเราล้วนอยากจะเป็นหมีตัวนั้นใช่ไหมครับ ไม่ต้องรู้ร้อนรู้หนาวอะไร ไม่ต้องแบกรับเรื่องเครียดๆ อะไรไว้บนบ่า ”

เบเนดิกต์คิดว่าน้องหมีสวมเสื้อฮาวายเป็นกิมมิกที่ตลกและเท่ดี เขาจึงใส่มันไว้บนกล่อง ในขณะเดียวกันเมื่อเชื่อมโยงกับชื่อเเบรนด์ Oatside ที่สะท้อนถึงแนวคิดเชิงบวกของเบเนดิกต์และแบรนด์ เบเนดิกต์เล่าว่าเขารู้สึกว่าคำว่า ‘Oatside’ คือคำที่มีความหมายอิ่มเอมใจ มันอาจหมายถึงสถานที่ หมายถึงไลฟ์สไตล์ หมายถึงสิ่งที่ผ่อนคลายจิตใจ ซึ่งอาจจะเหมือนหมีที่ใส่เสื้อฮาวายข้างกล่อง Oatside ก็เป็นได้

ว่าถึงเรื่องของการเป็นรสชาติที่คุ้นเคย และสร้างความรู้สึกที่คุ้นเคย นอกจากการเสาะหาลูกทีมในแต่ละประเทศให้เป็นคนจากประเทศนั้นๆ Oatside ยังพยายามไปจับมือกับแบรนด์อาหาร คาเฟ่ ร้านชา ร้านกาแฟต่างๆ ในแต่ละประเทศ สิ่งที่ Oatside พยายามทำอยู่เสมอคือ พยายามผลักดันให้นมโอ๊ต รส Barista Blend ไปอยู่ในซีนกาแฟของแต่ละประเทศให้ได้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นในร้านกาแฟ หรือจับมือกับแบรนด์ต่างๆ ในประเทศ 

ในฮ่องกง นม Oatside รส Barista Blend ถูกนำไปผสมกับขนมอบหลายอย่างจากเบเกอรีพื้นถิ่น เช่น ทาร์ตไข่ ขนมปังครีมคัสตาร์ด หรือที่น่าสนใจไปไม่น้อยกว่ากันก็อย่างเช่นที่ไต้หวัน ที่ Oatside จับมือกับแบรนด์ Hot Pot ชื่อดังอย่าง Haidilao ในการเสิร์ฟซุปเบสนมโอ๊ต ซึ่งตรงนี้เองเบเนดิกต์เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า

“รสหวานกับความครีมมี่อาจฟังดูแล้วแปลกๆ หน่อยนะครับ แต่อันที่จริงแล้วมันเข้ากันอย่างดีกับ Hot Pot เลยนะครับ”

ไม่ว่าจะใช้ผสมกับชา กาแฟ ผสมเป็นเบสของซุป ผสมเป็นเบสของขนม หรือเป็นนมที่ใช้ดื่มกินทั่วไป Oatside ก็ดูจะบรรลุภารกิจการเป็นรสชาติที่คนคุ้นเคยตามที่เบเนดิกต์เคยตั้งความหวังไว้ตั้งแต่ทีแรกแล้ว 

ที่เหลือก็เพียงแต่ว่า รสชาติที่คุณคุ้นเคยแบบนี้เราจะอยากให้เขาอยู่ในชีวิตประจำวันข้างๆ กายเราไปอีกนานเท่านานหรือไม่

หรือรสที่คุ้นเคยนี้จะเปลี่ยนรูป แปลงร่างมาให้เราเจอในชีวิตประจำวันได้ในแบบไหนอีกเราคงต้องรอดูกันต่อไป

อ้างอิง

‘รู้จักตัวของคุณในโลกไซเบอร์’ กับโปรเจกต์ Capital x AIS อุ่นใจ CYBER

ในโลกของโซเชียลมีเดียก็คล้ายโลกจริงล่ะเนอะที่เราจะมีคาแร็กเตอร์แตกต่างกันไป

บางคนเป็นน้องเด็กน่ารัก บางคนเป็นมนุษย์ลุงมนุษย์ป้า บ้างอาจจะเป็นคุณน้าคุณอาผู้โอบอ้อมอารี ด้วยโลกของโซเชียลมีเดียรวมคนหลากหลายประเภทเอาไว้ เราเห็นหลากหลายคาแร็กเตอร์ในโลกออนไลน์ บ้างเป็นคุโด้ ชินอิจิ นักสืบจิ๋วโซเชียล บางคนเป็นสายข่าวบันเทิง อักษรย่อดาราเคสไหนเป็นต้องรู้ หรือบางคนเป็นเหยี่ยวข่าวสาวประจำกรุ๊ปไลน์ผู้คอยอัพเดตข่าวสารบ้านเมือง

สำหรับตัวคุณเอง คิดว่าตัวเองมีนิสัยแบบไหน และท่ามกลางนิสัยต่างๆ ที่พบเจอบนโลกออนไลน์เราเองมีคาแร็กเตอร์แบบไหน แต่หากยังไม่รู้คำตอบ เราอยากชวนมาร่วมหาคำตอบกับ ‘Cyber Survivor Quiz’ โปรเจกต์ Capital x AIS อุ่นใจ CYBER ที่อยากชวนคุณมาสำรวจตัวเองว่ามีคาแร็กเตอร์ชาวเน็ตแบบไหน ผ่านคำถามตรวจเช็กทัศนคติ พฤติกรรม รวมถึงให้คำแนะนำที่จะช่วยให้สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้อย่างรู้เท่าทันอีกด้วย

ถ้าพร้อมแล้วไปทำควิซกันเลยว่าคุณจะได้คาแร็กเตอร์ไหนกัน คลิกเพื่อทำแบบทดสอบ

Cyber Crime Warrior! นักสู้อาชญากรรมออนไลน์

ตำรวจแห่งโลกออนไลน์ที่ปกป้องตัวเองจากอาชญากรรมไซเบอร์เก่งเป็นที่หนึ่ง คุณขยันเปลี่ยนพาสเวิร์ดทุกสัปดาห์ คอยเช็กความผิดปกติในโซเชียลมีเดียและแอพฯ ธนาคารทุกวัน มากกว่านั้นคืออัพเดตทริกของสแกมเมอร์ที่มาหลอกดูดข้อมูล แถมยังพอรู้กฎหมายว่าด้วยโลกออนไลน์ เพราะฉะนั้นใครหน้าไหนจะมาลองดีกับคุณ เจอกันในศาลขอรับคำขอโทษเป็นเงินเท่านั้น!

Cyber Sniper! นักส่องสายซุ่ม

เป็นสมาชิกของโซเชียลมีเดียแทบทุกอันแต่เพื่อนๆ เห็นความเคลื่อนไหวของคุณน้อยมาก คุณทำตัวเป็นสายซุ่ม เน้นส่องเป็นหลัก นานๆ จะเจอสเตตัสหรือโพสต์ที่คุณแชร์สักทีซึ่งนั่นก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะเป็นอินโทรเวิร์ตในชีวิตจริงหรอกนะ นอกโซเชียลฯ คุณจะเป็นอินโทรเวิร์ต เอกซ์โทรเวิร์ตหรือชอบเข้าสังคมแบบสุดๆ ก็ได้ แต่คุณแค่รักความเป็นส่วนตัวเป็นที่หนึ่งจึงไม่ค่อยเล่าเรื่องตัวเองในโซเชียลฯ เท่านั้น

The Reporter! นักรายงานข่าวประจำกรุ๊ป

นักรายงานข่าวประจำกลุ่ม คนที่เพื่อนๆ มักจะขอให้สรุปข้อมูลประเด็นร้อนออนไลน์เสมอ คุณอัพเดตทุกข่าวไวยิ่งกว่าสรยุทธ์ สืบเก่งกว่าหนุ่ม กรรชัย ที่สำคัญ ก่อนจะสรุปข่าวให้ใครคุณยังตรวจสอบความถูกต้องอย่างแม่นยำจนเพื่อนๆ มั่นใจได้ว่าสิ่งที่คุณแชร์มาจะไม่จกตา ไม่โดนช็อตฟีลในอนาคตแน่ๆ

The Super (News) Spreader! นักข่าวภาคสนามอารมณ์

เหยี่ยวข่าวผู้เลิฟการเสพดราม่าเป็นชีวิตจิตใจ เจอประเด็นร้อนออนไลน์เมื่อไหร่ก็พร้อมจะโดดลงไปคลุกวงในด้วยเสมอ คุณไม่อายที่จะแท็กเพื่อนมาดูโพสต์แซ่บๆ และแชร์ทุกอย่างที่(คุณคิดว่า)น่าสนใจให้คนบนโซเชียลเห็น โดยอาจจะลืมเช็กข้อเท็จจริงจนหลายครั้งก็เผลอแชร์ข้อความที่สุ่มเสี่ยงว่าจะผิดกฎหมายหรือบางครั้งก็แชร์ข้อมูล ส่วนตัวมากเกินเบอร์จนอาจนำอันตรายตามมา

The Tour Stopper! ยอดมนุษย์หยุดทัวร์ลง

นักบุญออนไลน์สายปลอบประโลม คิดก่อนพิมพ์เสมอ และเล่นโซเชียลอย่างมี empathy กับทุกคน แถมยังชอบเสพคอนเทนต์ดีต่อใจ บางครั้งก็แบ่งปันข้อความฮีลใจให้เพื่อนชาวเน็ตรู้ว่าพวกเขาไม่ได้กำลังเผชิญสิ่งยากๆ อยู่ลำพัง ที่สำคัญคือมีดราม่าทัวร์ลงบนไทม์ไลน์เมื่อไหร่คุณมักเป็นฝ่ายประนีประนอม เพราะคุณเข้าใจว่าอินเทอร์เน็ตส่งผลต่อสุขภาพจิตไม่แพ้โลกนอกจอเลย

Recycle Day Thailand ระบบจัดการขยะแบบครบวงจรที่ช่วยให้แยกขยะได้สนุกและท้าทายเหมือนเล่นเกม

หลายคนคงรู้ดีว่าการแยกขยะไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าขั้นตอนการแยกขยะนั้นซับซ้อน แถมเมื่อแยกแล้วก็ไม่รู้จะไปส่งขยะที่ไหน เรียกซาเล้งมารับก็มาบ้างไม่มาบ้าง ครั้นจะขนออกไปส่งที่โรงรับซื้อด้วยตัวเองก็ดูไม่คุ้มทุนและยุ่งยาก 

สารพันปัญหาที่เกิดขึ้นตรงนี้เองที่หลายคนต้องลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างเพื่อให้การแยกขยะไม่ยากจนเกินไป เช่น สอนแยกขยะอย่างง่าย รวมรายชื่อโรงงานรับขยะให้คนรู้ว่าต้องส่งขยะที่ไหน กระทั่งการสร้างระบบสอนแยกและรับขยะแบบครบวงจร เช่น Recycle Day Thailand ที่ทำให้การแยกขยะดูไม่ยากจนอยากล้มเลิกความตั้งใจ

ว่ากันง่ายๆ Recycle Day Thailand คือระบบเรียกรถจัดการขยะแบบครบวงจรที่มีคู่มือสอนแยกขยะอย่างง่าย มีแอพพลิเคชั่นให้เรากดเรียกรถมารับขยะถึงบ้าน หรือถ้าไม่อยู่ในพื้นที่ที่รถจะเดิน ก็ยังมีจุดดร็อปขยะใกล้ๆ ให้เราไปส่ง ในแอพพลิเคชั่นยังบันทึกว่าเราแยกขยะไปแล้วเท่าไหร่ ขยะเหล่านั้นได้พอยต์สำหรับแลกของรางวัลหรือได้เงินคืนอีกแค่ไหน

เรียกว่าไม่เพียงช่วยอำนวยความสะดวกให้คนที่แยกขยะอยู่แล้วรู้ว่าขยะที่แยกจะเดินทางไปไหน แต่ยังสร้างเกมขนาดย่อมไว้ดึงดูดให้คนที่ไม่ได้สนใจเริ่มหันกลับมามอง แต่ภายใต้ความง่ายนี้กลับแฝงไปด้วยความยากในแง่มุมคนทำธุรกิจเพราะไม่เพียงต้องใช้แรงใจมหาศาลแต่ยังต้องมีแรงเงินหมุนเวียนด้วย 

เราจึงชวน ‘ชนัมภ์ ชวนิชย์’ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รีไซเคิลเดย์ จำกัด มาพูดคุยถึงเรื่องราวเบื้องหลัง Recycle Day Thailand และโมเดลธุรกิจที่แม้ปัจจุบันจะยังไม่คืนกำไรแบบเป็นกอบเป็นกำ แต่ระบบการจัดการและการพัฒนาของทีมงานก็ค่อยๆ เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีๆ 

Pain point ของคนแยกขยะ

ก่อนกระโดดเข้าสู่แวดวงขยะรีไซเคิล ชนัมภ์และผู้ร่วมก่อตั้งคนอื่นๆ เป็นพนักงานในบริษัทใหญ่ที่มีโครงการจัดการขยะและพลังงานอยู่แล้ว การคลุกคลีในโครงการเหล่านี้เองที่ทำให้พวกเขาเห็นช่องโหว่ในระบบการจัดการขยะของไทยที่ต่อให้รณรงค์เท่าไหร่ ก็ยากจะไปถึงฝั่งฝัน

“ประเทศที่เจริญแล้วเกือบทุกประเทศมีการแยกขยะอย่างชัดเจนเพื่อแปรรูปขยะให้นำกลับมาใช้ใหม่ได้ แต่ในประเทศไทย การคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทางไม่ค่อยประสบความสำเร็จ เมื่อ 5 ปีก่อน กระแสสตาร์ทอัพกำลังมาแรงในไทย ผมกับเพื่อนๆ ก็มองว่าเราควรจะทำอะไรสักอย่าง”

ด้วยองค์ความรู้ที่มี ชนัมภ์และผู้ร่วมก่อตั้งคนอื่นๆ ลงความเห็นว่าขยะที่จัดการได้ง่าย สื่อสารไม่ยาก ใกล้ตัวทุกคน และน่าจะมีโอกาสทางธุรกิจได้ด้วยคือขยะรีไซเคิล มากกว่าจะเป็นขยะอุตสาหกรรมหรือขยะชุมชน โมเดลแรกๆ ของ Recycle Day Thailand จึงค่อยๆ ก่อตัวขึ้นจากการแชร์ pain point ของคนแยกขยะกันไปมา

“ตัวผมเองอยู่บ้าน ผมเจอปัญหาว่าผมแยกขยะไม่ได้เพราะแยกแล้วไม่รู้จะส่งไปที่ไหน จะเรียกซาเล้งมารับ บางหมู่บ้านก็ไม่ให้เข้า หรือบางทีซาเล้งก็ไม่มาเสียเองเพราะปริมาณขยะที่ได้รับมันไม่คุ้มทุน ขณะที่เพื่อนที่อยู่คอนโดกลับแยกขยะได้ง่ายเพราะจะมีคนมารับขยะจากลูกบ้านทุกวันเสาร์ 

“ผมจึงเริ่มหันไปดูการจัดการขยะในประเทศอื่นบ้างว่าเขาทำกันยังไง พบว่าแต่ละเทศบาลก็จะระบุวันชัดเจนไปเลยว่าวันไหนบ้างที่จะเข้ามารับขยะประเภทไหน ตรงนี้เองที่ทำให้คิดว่าถ้าเราทำแบบเดียวกันบ้างจะเป็นไปได้ไหม” ชนัมภ์เล่า 

ฟื้นขยะให้มีค่าด้วยระบบแบบครบวงจร

“ธุรกิจของเราเป็นธุรกิจที่ทำงานกับคนจำนวนมาก ทั้งพนักงานของเราเองและกับทั้งลูกค้า การมีเครื่องมืออย่างแอพพลิเคชั่นและระบบการจัดเก็บขยะที่ดีจึงจำเป็นมากเพื่อให้การสื่อสารมันง่าย การเก็บข้อมูลก็ไม่ยาก การนำข้อมูลไปวิเคราะห์ต่อและคุยกับโรงงานที่รับซื้อก็ไม่ซับซ้อน อีกอย่าง เราไม่ได้อยากเป็นซาเล้งที่มารับขยะแล้วซื้อมาขายไป แต่เราอยากค่อยๆ แก้ไขพฤติกรรมคนด้วย” ชนัมภ์เกริ่นถึงความตั้งใจในการเริ่มธุรกิจนี้ 

เพราะความตั้งใจนั้น Recycle Day Thailand จะต้องถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นระบบ ส่วนของสมาชิกที่แยกขยะ ระบบที่ว่าจะประกอบด้วยแอพพลิเคชั่นที่มีคู่มือสอนแยกขยะ ระบบนัดรถมารับขยะ และระบบเก็บบันทึกปริมาณขยะที่ขายได้ซึ่งจะแปลงมาเป็นพอยต์เพื่อแลกของรางวัล  

“ทุกคนควรจะรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ อีกอย่างถ้าการแยกขยะมันสนุกขึ้น คนก็น่าจะมีแรงจูงใจและกำลังใจในการแยกต่อไป เราจึงพัฒนาให้มีระบบพอยต์และของรางวัล เพราะราคาขยะรีไซเคิลนั้นขึ้น-ลงอยู่ตลอด แทนที่เขาจะเก็บขยะเพื่อแลกเงินไม่กี่บาท ก็ให้เขาเก็บสะสมพอยต์นั้นมาแลกของรางวัลที่น่าสนใจดีกว่า” ชนัมภ์อธิบายแนวคิด

จัดการระบบให้สมาชิกแล้ว ก็ต้องจัดการระบบเพื่ออำนวยความสะดวกคนทำงานด้วย การเก็บขยะของ Recycle Day Thailand นั้นมีอยู่ 2 แบบ แบบแรกคือรถเก็บขยะที่จะขับไปในโครงการหมู่บ้าน สำนักงาน หรือคอนโด โดยทีมงานและนักพัฒนาจะจัดเส้นทางรับขยะให้คุ้มค่ามากที่สุด 

ส่วนใครที่อยู่นอกเส้นทาง จำเป็นต้องแยกขยะให้ได้ 30 กิโลกรัมจึงจะเรียกรถเข้ารับได้ จึงนำมาสู่แบบที่สองอย่างจุดดร็อปขยะ ที่ชนัมภ์ร่วมกับห้างสรรพสินค้าต่างๆ เพื่อสร้างจุดดร็อปขยะให้สมาชิกที่อยู่นอกบริเวณรถผ่านมาส่งขยะได้อย่างสะดวก เพียงยื่นขยะให้พนักงาน จากนั้นก็สามารถไปทำธุระต่อได้เลย

“ที่ต้องทำระบบให้ครบวงจรขนาดนี้เพราะผมก็อยากจะเห็นว่าถ้าเราทำให้ขนาดนี้แล้ว คนจะแยกขยะกันไหม ซึ่งก็ต้องบอกตามตรงว่าตลอดเวลาที่ทำมา พฤติกรรมคนนั้นเปลี่ยนยากมากๆ แต่เราก็เห็นอีกเหมือนกันว่ามันเปลี่ยนได้ หลายคนที่แยกขยะให้เราแต่แรกก็ยังแยกอยู่จนทุกวันนี้ บางคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ได้แค่ 2 เดือน การแยกขยะก็กลายเป็นกิจวัตรของเขาไปแล้ว” ชนัมภ์อธิบาย

ถ้าเลือกเอาเวอร์ชั่นของแอพพลิเคชั่นเป็นตัวมาร์กจุดของธุรกิจ ขยะที่ได้จากแอพพลิเคชั่นเวอร์ชั่น 2 นั้นรวมๆ แล้วประมาณ 900 ตัน แต่หากรวมขยะตั้งแต่เวอร์ชั่นแรกสุด Recycle Day Thailand และสมาชิกร่วมกันคัดแยกขยะไปหมื่นกว่าตันแล้ว ตัวชี้วัดนี้เองที่ทำให้โครงการหมู่บ้านต่างๆ ก็เริ่มติดต่อเข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์ ส่วนห้างร้านต่างๆ ก็ให้ความร่วมมือกับการตั้งจุดดร็อปขยะเป็นอย่างดี

ธุรกิจที่ต้องแก้ไขปัญหาตลอดเวลาและใช้แรงใจสูง

ธุรกิจที่ทำงานกับพฤติกรรมของคน แถมยังเป็นธุรกิจค่อนข้างใหม่เช่น Recycle Day Thailand จำเป็นต้องเป็นธุรกิจที่หมั่นปรับปรุงและแก้ไขปัญหาอยู่ตลอด ยิ่งในช่วงแรกที่ต้องพิสูจน์กับทั้งตัวเอง พนักงาน และสังคมว่าธุรกิจนี้จะไปได้ ก็ยิ่งต้องใช้ความอดทนและแรงใจในการทำงานสูง

กว่าระบบของ Recycle Day Thailand จะครอบคลุมขนาดนี้ ชนัมภ์บอกว่าใน 2-3 ปีแรก เขาและเพื่อนๆ จำเป็นต้องตั้งเป้าเดินหน้าทดลองระบบมากกว่าตั้งเป้าหากำไร ตั้งแต่การดูว่าขยะแบบไหนบ้างที่รับได้หรือไม่ได้ ทดลองวิธีการนัดรับขยะผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ หาวิธีจ่ายเงินให้ลูกค้า กระทั่งเดินแจกโบรชัวร์ตามหมู่บ้าน 

“ช่วงแรก เราพยายามเข้าไปชักชวนหลายๆ โซนของกรุงเทพฯ เลยนะ เราก็จะเห็นว่าบางโซนอาจจะเวิร์ก บางโซนก็ไม่เวิร์ก แต่ที่พยายามเสี่ยงเข้าไปหลายโซนขนาดนี้ก็เพราะเราอยากทดลองและเราเชื่อว่าถ้าไม่มีคนเริ่ม การจัดการขยะมันก็จะไม่เกิด

“เมื่อก่อนเราก็รับขยะหลายรูปแบบกว่านี้ เช่น โลหะ เครื่องใช้ไฟฟ้า แต่กลายเป็นว่าคนเขาอยากจะเคลียร์ของเหมือนเราเป็นร้านรับซื้อของเก่ามากกว่า ผมเลยเลือกที่จะปฏิเสธขยะบางประเภทออกไป เพราะเงินที่ได้ก็ไม่คุ้มกับลูกค้า เราก็จัดการขยะลำบาก แถมพฤติกรรมของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแบบที่เราตั้งใจ”

นอกจากการปรับเปลี่ยนเหล่านี้แล้ว ชนัมภ์และทีมงานยังตั้งเป้าปรับเปลี่ยนวิธีการจัดหาของรางวัลให้จูงใจคนมากกว่านี้ สรรหาทีมงานเพื่อขยายการรับขยะในแต่ละพื้นที่ให้มากขึ้น และพัฒนาการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความตระหนักรู้และเชิญชวนให้คนเป็นส่วนหนึ่งของ Recycle Day Thailand 

ธุรกิจเพื่อสังคมที่ต้องอยู่ได้ด้วยตัวเองและมีคนเป็นทุนสำคัญ

การแยกขยะเพื่อส่งต่อให้ Recycle Day Thailand นั้นเป็นเพียงเศษหนึ่งส่วนสามของระบบเท่านั้น เพราะ Recycle Day Thailand ยังต้องนำขยะไปแยกประเภทให้ละเอียด จัดเก็บ และขนส่งขยะไปยังโรงงานแปรรูปขยะอีก แน่นอนว่าในทุกๆ ขั้นตอน ย่อมแฝงค่าใช้จ่ายเรื่องคนและค่าขนส่งจำนวนมาก

คำถามที่เราสงสัยคือ Recycle Day Thailand จะสามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืนจริงไหม ชนัมภ์ไม่ลังเลที่จะบอกกับเราว่าธุรกิจนี้มีโอกาสและคุ้มทุน เพียงแต่ต้องค่อยๆ พัฒนาโมเดลและปรับปรุงระบบให้สอดคล้องและครอบคลุมกับความต้องการให้ได้ รวมถึงบริหารจัดการคนทำงานให้ดีกว่าเดิม 

“ผมว่าผมได้ทีมงานที่ดีมากๆ แล้วผมก็ว่าเขาค่อนข้างภูมิใจในงานที่ทำ มันเหมือนเป็นงานบริการเหมือนกันนะ เพราะอย่างจุดดร็อปขยะบางแห่งที่เปิดทุกวัน ทีมงานเราก็ต้องไปสแตนด์บายเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า หรือบางทีดึกแล้ว เขาก็ยังเข้าไปตอบคำถามที่คนสงสัย เพราะแบบนี้เราจึงต้องให้ความมั่นใจกับพนักงานทุกคน 

“เป็นที่มาว่า Recycle Day Thailand จะต้องเป็นธุรกิจที่อยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ด้วยสปอนเซอร์ การมีสปอนเซอร์ช่วยสนับสนุนย่อมดีอยู่แล้ว แต่ถ้าเราสามารถควบคุมและจัดการทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ธุรกิจมันจะขยายต่อไปได้และเป็นธุรกิจที่ยั่งยืน ณ ตอนนี้ เราอาจจะยังไม่ได้คืนกำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่เราเห็นว่ามันมีความหวัง เห็นว่าเรากำลังจะทำอะไร และรายได้ในอนาคตจะเป็นยังไง”  

ความตั้งใจที่ว่าและแผนที่เขาเกริ่นว่าต้องพัฒนา Recycle Day Thailand ไปในทิศทางไหน ไม่ใช่แค่เพื่อให้ Recycle Day Thailand ทะลุเป้าเก็บขยะได้วันละ 10 ตัน จากที่ปัจจุบันทำได้ 4 ตันเท่านั้น แต่ยังเพื่อให้การจัดการขยะนั้นยั่งยืน และทำให้ธุรกิจนี้หล่อเลี้ยงทีมงานที่ตั้งใจด้วย 

ขบถด้วยกิมมิก วิธีคิดการออกแบบร้าน Happie Land แบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่อยากเป็น tourist destination

แค่ได้ยินว่ามีร้านไลฟ์สไตล์แห่งใหม่เปิดที่ Charoenkrung 82 District โดยกลุ่มนักออกแบบและครีเอทีฟ ก็ดึงดูดให้เรารู้สึกสนใจได้ไม่ยาก ด้วยชื่อของสมาชิกผู้ก่อตั้งแต่ละคนก็ล้วนวนเวียนอยู่ในแวดวงธุรกิจสร้างสรรค์ 

ไม่ว่าจะเป็น นิ–ชินภานุ อธิชาธนบดี แห่ง Trimode Studio ที่โดดเด่นด้านงานออกแบบ อินทีเรียร์พื้นที่สร้างสรรค์ ไลฟ์สไตล์ เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ, เทพ–พงศ์เทพ อนุรัตน์ แห่ง Lunla Studio Bangkok และผู้ร่วมก่อตั้งร้านเผ็ดมาร์ค ที่ชื่นชอบการทำแบรนด์ดิ้งและมีทักษะในการออกแบบกราฟิก, หลุยส์–ชัชวาล มั่นสัตย์รักสกุล ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการปลูกกัญชาและและผู้ก่อตั้งร้าน TROPICAL GALAXY ที่ถนนข้าวสาร, ตังกวย–ธนกฤต บุษบก เจ้าของอีเวนต์สายเขียวอย่าง Hightable.bangkok และหุ้นส่วนอีก 2 คนที่ทำแบรนด์เครื่องประดับได้แก่ เดล–ธนะรัฐ วงศ์มาศา เจ้าของแบรนด์ Parcthai (พากย์ไทย) และ จัน–จันทรา จันทร์พิทักษ์ชัย Creative Director แบรนด์ไลลา กำไลมูเตลู

แม้หลายคนจะมีธุรกิจส่วนตัวที่น่าสนใจ แต่การเดินทางมาพบเจอกันครั้งนี้เราอยากชวนพวกเขาเล่าเกี่ยวกับรีเทลสร้างสรรค์แห่งใหม่ที่ทำร่วมกันในชื่อ Happie Land แบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่อยากเป็น tourist destination ของสยามเมืองยิ้ม

นอกจากความน่าสนใจของสเปซที่พวกเขาเล่าว่าจำลองมากจากสภาวะ high ดั่งล่องลอยในชั้นบรรยากาศแล้ว สินค้าไลฟ์สไตล์ แฟชั่นและเครื่องประดับหลากคอลเลกชั่นของแบรนด์ยังแฝงอารมณ์ขันและหยิบจับสตอรีความเป็นไทยแสนคอนทราสต์มาไว้ในสเปซสุดโมเดิร์นได้อย่างกลมกลืน

Hip District of Happie Land 

Charoenkrung 82 District คือย่านสุดคูลแห่งใหม่ของเหล่านักออกแบบและนักสร้างสรรค์ที่มีจุดเริ่มต้นจากการทำออฟฟิศของ Trimode Studio ซึ่งตั้งอยู่ที่ซอยเจริญกรุง 82 ตั้งแต่ปี 2018

นิบอกว่าไม่ได้ตั้งต้นจากการอยากปั้นให้เป็นย่านที่มีนักท่องเที่ยวเยอะ ความตั้งใจแรกคือแค่อยากทำออฟฟิศ แต่ความคิดเปลี่ยนไปเมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติและวัยรุ่นเริ่มแวะเวียนมาแถวนี้อย่างต่อเนื่อง

จุดเปลี่ยนคือการขยายออฟฟิศเพื่อรองรับสมาชิกทีมที่มากขึ้นจึงย้ายสำนักงานมาเป็นตึก 5 ชั้นหน้าปากซอยใกล้บริเวณเดิม แล้วจัดนิทรรศการ installation art ร่วมกับ Bangkok Design Week ที่ชั้น 1-2

“หลังจากนั้นแถวนี้เลยเริ่มมีความคึกคักขึ้นมา พอ Design week จบลงแต่คนยังมาชมงานอยู่ บวกกับออฟฟิศมีส่วนที่ทำกาแฟอยู่แล้ว เลยทำเป็นคาเฟ่ Tangible เพื่อให้งานดีไซน์และไลฟ์สไตล์ใกล้ชิดกับคนทั่วไปมากขึ้น” 

เนื่องจากเช่าพื้นที่ในแถบนี้อยู่แล้วและมีต้นทุนค่าเช่า จึงเกิดไอเดียอยากเปลี่ยนพื้นที่เก็บของตรงข้ามออฟฟิศเป็นร้านรีเทลในช่วงโควิด-19 สร้างให้เป็นย่านคอมมิวนิตี้ทางเลือกของผู้คนในเชิงสร้างสรรค์

ตั้งแต่นั้นร้านรวงและคาเฟ่มีดีไซน์ของเหล่านักออกแบบจึงผุดขึ้นตามมา ทั้งร้านเครื่องหอมแบรนด์ Copenn. ของรุ่นน้อง และ House of Creative Event ของ Void Bkk จนบริเวณนี้กลายเป็นย่านสุดฮิปที่เดินถึงกันได้ มีสวนสามเหลี่ยมขนาดเล็กคั่นระหว่างถนน ให้ความรู้สึกถึงความเป็นเพื่อนบ้านกัน

และร้านน้องใหม่ที่เปิดล่าสุดปลายปีที่ผ่านมาก็คือ ‘Happie Land’ ที่เกิดจากการรวมตัวของพลพรรคเพื่อนพ้องคนสายอาร์ตและไลฟ์สไตล์ที่แฮงเอาต์ด้วยกันตั้งแต่วัยรุ่นและตัดสินใจมาทำธุรกิจด้วยกัน

‘Happie Land’ ชื่อแบรนด์เวอร์ชั่นกวนที่มาจากสยามเมืองยิ้ม            

แรงบันดาลใจร่วมของทุกคนที่ก่อตั้งแบรนด์ขึ้นมาคือความตั้งใจทำแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่ถ่ายทอดมุมมองสร้างสรรค์สู่ความเป็นไทยร่วมสมัยด้วยรอยยิ้ม

เทพเล่าถึงการตั้งคำถามที่เป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ว่า “ทำไมญี่ปุ่นมีแบรนด์กอม (COMME des GARÇONS) มี A BATHING APE นิวยอร์กก็มี Supreme ส่วนสตรีทแบรนด์ ไลฟ์สไตล์แบรนด์ของไทยที่ต่างชาติรู้จักคือแบรนด์อะไร ก็เลยอยากลองทำดูว่ามันจะไปได้ไกลแค่ไหน หุ้นส่วนทุกคนมองเป็นอินเตอร์แบรนด์ อยากให้คนต่างชาติ ฝรั่ง จีน ฯลฯ เดินเข้ามาแล้วรู้สึกว่าเป็นแบรนด์ไทยที่เป็นสากล”

ความแปลกใหม่ที่ยังไม่มีใครทำคือ ‘ถ่ายทอดมุมมองสร้างสรรค์ สู่ความเป็นไทยด้วยรอยยิ้ม’ ที่นิเองนิยามว่า “คือการจับวิถีการใช้ชีวิตในบริบทต่างๆ ในไทยที่รู้สึกว่าสนุกสนาน ดูแล้วเอนจอย เอามาผลักดันให้ผู้คนได้สัมผัสมุมมองใหม่ ตั้งใจเป็นแบรนด์ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์และศิลปะนำ” 

อารมณ์สนุกของแบรนด์นี้มีที่มาจากคำว่า Land of Smile หรือ สยามเมืองยิ้มที่เป็นภาพจำประเทศไทยของคนทั่วไป ส่วนชื่อแบรนด์ Happie Land มาจากคำว่า happy land ที่สื่อถึงความหมายเดียวกันคือประเทศที่คนยิ้มง่าย เห็นอะไรก็อมยิ้ม

หนึ่งในกิมมิกความสนุกและอารมณ์ดีของแบรนด์คือคำว่า ‘pie’ ในชื่อแบรนด์ Happie มาจากคำว่า hippie ซึ่งเชื่อมโยงกับพืชอย่างกัญชาที่ประเทศไทยเพิ่งเปิดเสรีไปเมื่อปีที่ผ่านมา เพราะอย่างที่รู้กันว่า กัญชาคือหนึ่งในภาพจำของชาวฮิปปี้

นอกจากนั้นชื่อ Happie ยังสามารถอ่านได้ว่า Have – Pie แปลว่าดินแดนที่มีกัญชา ส่วนคำภาษาไทยก็ยังอ่านแบบผสมอารมณ์ขันได้ว่า ‘แฮพพี้’  ซึ่งเป็นอีกความหมายแฝงที่ตั้งใจให้คนอมยิ้ม 

สเปซที่จำลองสภาวะ high 

นิซึ่งเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญงานออกแบบพื้นที่สร้างสรรค์บอกว่าเนื่องจากกัญชาเป็นกิมมิกหนึ่งที่ตั้งใจเลือกใช้เพื่อทำให้แบรนด์ดูมีความสนุกหรือความสุขเกินร้อย ทีมจึงอยากจำลองสภาวะ high ที่มีความสุขล้นเหลือออกมาไว้ในสเปซ

“ก่อนหน้านี้เราใช้กัญชาบรรเทาอาการนอนไม่หลับและหลับไม่สนิท เวลาเราใช้ก็พยายามเรียนรู้ว่ามีเอฟเฟกต์อะไรเกิดขึ้นในร่างกายและสมองเราบ้างแล้วเปลี่ยนปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในร่างกายตอนเสพและเอฟเฟกต์ที่เกิดขึ้นจริงในสมองเรามาทำให้เกิดเป็นสเปซที่จับต้องได้ แปลงประสบการณ์เป็นงานศิลปะที่เป็นรูปธรรม เหมือนหลักในการทำ installation art ทุกอย่าง มีที่มาจากการแปรความหมดเลยในนั้น”

จากห้องทรงกลมก็หลอกตาให้สเปซดูขยายกว้างขึ้นด้วยแผงกระจกล้อมเป็นวงกลมที่ทำให้เกิดภาพสะท้อนของคนและวัตถุอย่างไม่สิ้นสุดท่ามกลางบรรยากาศห้องโทนขาวสว่างตา

“คีย์คอนเซปต์คือ เราจะทำให้ห้องมีความ endless รู้สึกถึงมิติ เป็นกระจกที่สะท้อนต่อเนื่องเชื่อม

ต่อกันเรื่อยๆ พอเราวางกระจกแบบเอน พื้นจริงจะดูสูงกว่าพื้นข้างในกระจกที่ดูเหมือนหักลงและลาดต่ำลงไป เราใช้กฎการสะท้อนนี้มาสร้างเอฟเฟกต์ เวลาคนเดินเข้ามาจะรู้สึกว่าพื้นที่ในร้านอยู่สูงกว่าพื้นที่รอบๆในกระจกข้างล่างซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่มีอยู่จริง เป็นพื้นในจินตนาการ”

วัสดุสีขาวและโปร่งแสงยังจำลองความรู้สึกดั่งลอยในชั้นบรรยากาศเหมือนอยู่ในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงที่แปลกแยกออกมาจากความวุ่นวายของกรุงเทพฯ 

“นี่แหละคือการสร้างความรู้สึก high ล่องลอย เหมือนอยู่บนยอดเขา เปลี่ยนให้วัสดุทั้งหมดเป็น

สีเงิน สีขาว สี Mirror ให้รู้สึกว่าข้างล่างเป็นเหมือนเมฆ ข้างบนเป็นชั้นบรรยากาศ แล้วเราก็คุยกันว่า ถ้าเราไปเปิดร้านป๊อปอัพไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ก็จะใช้เอฟเฟกต์นี้ที่เป็นกฎของการสะท้อนไปกำหนดสเปซ” 


ดิสเพลย์สินค้าสร้างสรรค์มีสตอรี

นอกจากประสบการณ์ high ที่อยากให้คนสัมผัสได้เวลาเดินเข้าไปในสเปซแล้ว สินค้าแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ และเครื่องประดับของแบรนด์ยังนำเสนอ happy experience ที่ไม่ว่าใช้หรือเห็นสตอรีแล้วต้องอมยิ้ม

ในส่วนสินค้าแน่นอนว่าต้องมีกัญชาตามคอนเซปต์ร้าน โดยกัญชาของ Happie Land ตอนนี้มี 3 แบบ คือ Happy Day, Happy Night และ Happy Party ที่เทพบอกว่าอยากอธิบายสรรพคุณให้เข้าใจง่าย

“Happy Day เหมาะสำหรับใช้ระหว่างวัน สามารถทำงานได้อย่างโฟกัสและครีเอทีฟ ไม่ง่วง ไม่ซึม ถ้าอยากหลับก็ใช้ Happy Night สำหรับตอนกลางคืน ส่วน Happy Party จะเป็นมู้ดสวิงแบบไฮบริด มีความสนุกสนาน

“เราเอาดาต้าของกัญชามาพัฒนาเป็นสินค้ารุ่นใหม่ จัดหมวดหมู่ว่าสรรพคุณของแต่ละตัวเป็นยังไง เหมือนจัดกัญชาเป็นอินโฟกราฟิกเพื่ออธิบายให้คนเข้าใจง่ายขึ้น ไม่ได้เล่าลงลึกว่าสายพันธุ์อะไรเพราะไม่อยากสื่อสารในเชิงวิทยาศาสตร์และสายพันธ์ุเยอะเกินไป ท้ายที่สุดแล้วคนจะชอบอะไรที่มันง่ายๆ โฟกัสที่ความครีเอทีฟ”

ทั้งนี้ศาสตร์สายเขียวมีความเป็นวิทยาศาสตร์ที่ต้องศึกษามากทั้งเรื่องเคมีในสมองกับสายพันธุ์ต่างๆ กว่าจะออกมาเป็นสิ่งที่เรียบง่ายต้องศึกษาข้อมูลไม่น้อย โดยหลุยส์คือผู้เชี่ยวชาญด้านกัญชาในทีม ทั้งศึกษาการปลูกเอง รู้ลึกด้านการบำรุงดอกให้ได้ผลผลิตท็อปฟอร์มที่สุด

โดยในระยะยาววางแผนจะพัฒนาสายพันธุ์ของตัวเองด้วย ส่วนอินไซต์และคอนเนกชั่นของคนผู้ใช้กัญชานั้นมาจากตังกวย ผู้ทำ Hightable.bangkok คอมมิวนิตี้สร้างสรรค์ของสายเขียวที่คอนเนกต์กับผู้คนด้วยอาหาร ดนตรี และศิลปะ

เมื่อรู้ลึกในความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้า ที่ร้านจึงมีสินค้าเกี่ยวกับกัญชาและสินค้าไลฟ์สไตล์อื่นๆ ที่ออกแบบมาอย่างดีคุมโทนไปกับสเปซ คอลเลกชั่นโดดเด่นคือเครื่องเงินที่ collaboration กับแบรนด์ชื่อ ‘พากย์ไทย’ ของเดล หุ้นส่วนที่ทำจิวเวลรีลายไทยร่วมสมัย

พากย์ไทยเป็นเครื่องประดับเงินที่เอาลายไทยมาตัดทอนให้เป็นสากล เมื่อนำมาตีความในแบบของ Happie Land ก็กลายเป็นเครื่องเงินในเวอร์ชั่นที่มีความกวนและแปลกตามากขึ้น นอกจากสิ่งที่เกี่ยวข้องกับกัญชาอย่างไฟแช็คเงิน ยังมีสร้อยไข่ปลาที่ทำตัวล็อกพิเศษขึ้นมาโดยเฉพาะ แท่งสูบสปริงแบบ one-hitter ทำจากเงินทั้งแท่ง แหวน Happie Land ที่ต้องใส่สองนิ้วเท่านั้น เป็นแหวนที่สื่อถึงเอกลักษณ์ความกวนในสไตล์ของแบรนด์

ในฐานะที่ทำแบรนด์เครื่องประดับมาก่อนเหมือนกัน จันบอกว่า “Happie Land ไม่ต่างจากจิวเวลรีที่เราเคยทำมา เป็นของไทยเหมือนกัน แค่นำเสนอให้เป็นสากลมากขึ้น ชอบการหยิบ Thai joke ไม่ว่าจะเป็น bad joke หรือ good joke เอามาสร้างสรรค์ให้ดูมีมิติ” 

โมเดิร์นสเปซที่ดูด graphic on street สุดคอนทราสต์มาไว้บนสินค้า

แม้สไตล์ของสเปซและสินค้าเครื่องเงินมีความเรียบง่ายแบบโมเดิร์น แต่เทพบอกว่าแรงบันดาลใจของหลายคอลเลกชั่นมาจากบรรยากาศความรกอีรุงตุงนังของประเทศไทยที่เพียงแค่เปิดประตูร้านออกไปก็มองเห็นทั้งสายไฟ ข้าวของอัดแน่นในร้านโชห่วย ห้องแถวและตึกโทนฉูดฉาดหลากสีสัน ฯลฯ 

เขาบอกว่าไม่ได้มองทิวทัศน์และสิ่งของรอบตัวว่าเป็น object อะไร แต่จะมองกราฟิกต่างๆ ในเมืองให้ผสมกันเกิดเป็นความหมาย เกิดเป็นลาย graphic on street ที่มาอยู่บนสินค้า 

เสื้อสกรีนลาย Weed Not Drive คู่กับภาพท้ายรถหน้ายิ้มเป็นหนึ่งในคอลเลกชั่นที่เกิดจากการสแนปรูปบนท้องถนนซึ่งเทพอธิบายคอนเซปต์ของเสื้อตัวนี้ว่า “เวลา weed อย่าไปขับรถ เพราะเวลาขับรถไปด้วยแล้วหลายๆ อย่างจะทำให้เราหลุดขำ”

นิเสริมว่า “เวลานั่งรถด้วยกัน อยู่ดีๆ พี่เทพก็จะหัวเราะขึ้นมาคนเดียว เป็นอารมณ์สนุกสนานที่มองความไม่เป็นระเบียบและยุ่งเหยิงของประเทศให้สนุกและสร้างสรรค์ เวลาเราเห็นฝาท่อมีรอยแตกอยู่ รอยแตกอาจจะเหมือนปาก ตรงอื่นอาจจะเป็นตา”

ไอคอนของแบรนด์ที่เป็นกระดุมหน้ายิ้มสีเงินบนเสื้อเชิ้ต Happie Land ก็มาจากการมองสิ่งรอบตัวเป็นหน้ายิ้มเช่นกัน แม้จะดูเป็นไอเดียที่เรียบง่ายและน้อย แต่การทำสิ่งที่ง่ายแล้วสื่อสารได้ เล่นกับคนได้นั้นต้องเกิดจากการสะสมประสบการณ์

เทพอธิบายว่า “ของพวกนี้มันอยู่รอบตัว เพียงแต่คนต้องสังเกตและเข้าใจมอง งานของเราจะเหมือนการนำเสนอให้คนในสังคมมองเห็นสิ่งเล็กๆ ที่มองข้ามไป ไม่ได้มองแต่แรกว่าใครจะใส่หรือไม่ในราคาเท่าไหร่ แต่ถ้าเราเห็นว่ามันงาม เราก็จะเลือกหยิบสิ่งที่เห็นว่างามมานำเสนอ”
 

อาร์ตสเปซที่นำเสนองานศิลปะอารมณ์ดีที่เสียดสีสังคม

นิยังบอกว่ารอยยิ้มไม่ได้มีความหมายแค่ happy เท่านั้น สเปกตรัมของอารมณ์สุขมีหลายระดับและมีความหมายหลายแบบ เนื่องจากสมาชิกหุ้นส่วนทุกคนล้วนทำงานเกี่ยวข้องกับศิลปะและการออกแบบ ทุกคนจึงมองว่าสินค้าของแบรนด์เป็นงานอาร์ตที่สื่อสารอารมณ์ออกมา

“มีการยิ้มหลายรูปแบบ ยิ้มด้วยอารมณ์ทะลึ่งทะเล้น ว้าว เซอร์ไพรส์ บางทีตกใจ ภาพกราฟิกที่เห็นตามท้องถนน บางอันก็หน้าบึ้ง บางอันเป็นหน้าสงสัย หน้าเท่ หน้ายิ้มหวาน เราอยากเก็บรอยยิ้มในหลายอารมณ์เหล่านั้นมาถ่ายทอด”

คอลเลกชั่นสามพรานของ Happie Land เป็นหนึ่งตัวอย่างที่นำเสนอความ happy ในแบบเสียดสีได้ดี คนทั่วไป เวลามองเสื้อ Lacoste อาจจะเห็นแค่โลโก้แบรนด์รูปจระเข้ แต่เทพมองเห็นไปไกลกว่านั้น คือนึกถึงโชว์จระเข้อ้าปากที่สามพราน นักแสดงผู้กล้าจะโชว์เอาหัวแหย่เข้าไปในปากจระเข้ เทพได้จำลองฉากนี้มาไว้บนเสื้อด้วยการเอาไอคอนหน้ายิ้มไปวางคู่กับโลโก้จระเข้ของ Lacoste

สำหรับใครที่สงสัยว่าแล้วงานอาร์ตเป็นยังไง แบบไหนถึงเรียกว่าอาร์ต นิอธิบายว่า “งาน Hotel Art Fair ครั้งล่าสุดจะมีศิลปิน painter ที่ทำงาน sculpture มาโชว์ในงาน งานของเราก็คล้ายกัน ถ้าเราเป็น painter เราก็คงจะวาดรูปจระเข้กับหน้ายิ้มลงไปในเฟรม แต่เราเลือกสื่อสารงานอาร์ตในรูปแบบของ object ที่จะเอาไปเข้ากรอบใส่เฟรมก็ได้ หรือจะเอามาสวมใส่ที่ร่างกายเป็นอาร์ตก็ได้ เรามองมันอย่างนั้น

“แล้วมันเป็นอาร์ตยังไง ลองนึกภาพคนดูทั้งหมดในโชว์จระเข้ เขาจะสนุกสนานมาก แต่ความสนุกนั้นมันเกิดมาจากความเสี่ยงที่เราก็ไม่รู้ว่าจระเข้จะงับหัวคนหรือไม่ มันคือการประชดประชันในวัฒนธรรมแล้วถ่ายทอดออกมาเป็นแบรนด์ คนที่แสดงโชว์เขาก็ยิ้มนะ ยิ้มแล้วค่อยๆ ปล่อยมือด้วย เอาหัวเข้าไปในปากจระเข้ ทุกคนในนั้นก็หัวเราะ ตื่นเต้น เฮฮา หวาดเสียว เราก็เลยเอาความหมายต่างๆ เหล่านี้มาตอกย้ำว่ามันก็ดึงใจเหมือนกันนะ นี่แหละมันคืออาร์ต”

ราคาคอลเลกชั่นสามพรานอยู่ที่ 9,000 บาท ส่วนเสื้อเชิ้ตที่มีกระดุม Happie Land หน้ายิ้มขายตัวละ 15,000 บาท เมื่อถามว่าทำไมถึงกล้าตั้งราคาสูงขนาดนี้ เทพตอบว่า “คุณค่าของสินค้าคือแบรนด์ดิ้ง ถ้าสตอรีพวกนี้ไปอยู่ในที่ทั่วไปที่คนไม่จำ มันก็จะอยู่ของมันแบบนี้”

เมื่อมองสินค้าเป็นงานศิลปะ จึงตั้งราคาแบบงานศิลปะด้วยเช่นกัน ไม่ได้ตั้งราคาแบบ commercial ทั่วไป ซึ่งเทพบอกว่าคนที่มาซื้อคือคนที่มองเห็นคุณค่าของแบรนด์ นักท่องเที่ยวที่เข้าใจสตอรีเวลามาเห็นแล้วถูกใจก็ตัดสินใจซื้อ

ขบถด้วยกิมมิก
under construction

หากมองจากภายนอกนิบอกว่า Happie Land ใช้คอนเซปต์ขบถที่ทาสีเหมือนกำลังทำ hoarding wall หรือผนังชั่วคราวในงานก่อสร้าง “ด้านหน้าคือฉากกั้นที่ไม่เสร็จ เหมือนเวลาเดินห้างแล้วเจอพื้นที่กำลังก่อสร้างที่มีเทปสีมาแปะ เป็นการปิดกั้นเหมือนการทำพื้นที่ก่อนเปิดใช้จริง

“จริงๆ แล้วถ้าตามหลักการออกแบบรีเทลเราคงต้องทำให้เสร็จเรียบร้อย แต่เราเลือกที่จะให้มันแปลกแยกออกมา เพื่อพรางว่ามันยังเป็นไซต์งานที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เพราะตอนนี้เรามีกัญชาด้วย ไม่อยากให้เด็กนักเรียนเดินไปเดินมาแล้วมาเห็น เพราะฉะนั้นเลยทำให้เหมือนกับยังก่อสร้างไม่เสร็จ

“ตั้งใจให้เหมือนคุณเดินอยู่บนถนนแล้วคนได้เดินโฉบหลุดเข้ามาในพื้นที่ เหมือนหลุดไปอีกโลกหนึ่งเลย คนที่เดินอยู่หรือคนในละแวกนี้เขาก็จะรู้สึกว่าร้านนี้ยังก่อสร้างอยู่ ยังไม่เสร็จ”

อยากเป็น museum shop ไทยร่วมสมัยสุดไฮป์

นิและเทพกล่าวว่านิยามสเปซของแบรนด์คือ museum shop หรือ shop gallery ที่คาบเกี่ยวกับการเป็นร้าน souvenir ไลฟ์สไตล์ และกัญชา

“พูดให้ง่ายคือเป็นร้านของฝากที่มาเมืองไทยแล้วต้องแวะมา ที่เราหวังคือวันหนึ่งนักท่องเที่ยวมาไทยแล้วต้องมาซื้อของไทยร่วมสมัยที่นี่เพื่อเอากลับไปฝากเพื่อน เพื่อนๆ ก็ฝากซื้อ”

อนาคตตั้งใจออกคอลเลกชั่นใหม่ที่เป็นงานคราฟต์มากขึ้น ทำงานคราฟต์ให้ดูสมัยใหม่และขายได้  เข้ากับวิถีชีวิตการแต่งบ้านยุคใหม่ สินค้าที่ coming soon ได้แก่ เสื่อกก ผ้าพันคอ ผ้าไหม วัสดุรีไซเคิลต่างๆ ฯลฯ

ทั้งนี้ทุกอย่างต้องมีกิมมิก เช่น คอลเลกชั่นที่เล่นกับเวลาว่างของชาวบ้านในช่วงที่เว้นว่างจากการเก็บเกี่ยว เกิดเป็นสินค้าลิมิเต็ดเฉพาะบางฤดูกาล เน้นความเป็นไทยสากลของ Happie Land ที่ใช้ได้จริง ใช้แล้วไม่เคอะเขิน ไม่เป็นไทยที่โบราณจ๋า ถ้าเป็นผ้าขาวม้าก็ต้องสามารถใส่ได้ในชีวิตจริง 

นิปิดท้ายว่า “เราตั้งนิยามไว้ว่าอยากพยายามทำแบบนี้ เป็นการทดลองทางศิลปะของเราด้วยว่ามันจะไปได้สุดที่ไหน มันจะไปถึงไหนต่อ เอาความสนุก ความเป็นไทยที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์มาทำและจะต่อยอดไปเรื่อยๆ เพื่อสร้างความสุข”

เทรนด์ e-Commerce ปี 2566 หมดยุคเผาเงิน เน้นทำกำไร สินค้าจีน และ affiliate marketing มาแรง

ใน 1 ปีที่ผ่านมา คุณกดซื้อของ ช้อปปิ้งออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ไปทั้งหมดกี่ครั้ง

ใน 1 เดือนที่ผ่านมา คุณซื้อสินค้าตามเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ไปเยอะแค่ไหน

ใน 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา คุณเข้าแอพฯ กดสั่งอาหาร และใช้บริการเรียกรถ ถี่แค่ไหนกัน

เราเชื่อว่าคำตอบส่วนใหญ่ที่ได้คงไม่ต่ำกว่า 10 ครั้งแน่ๆ เพราะการทำธุรกิจ และพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปแล้ว e-Commerce เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันอย่างคุ้นชิน และกำลังนำไปสู่เทรนด์ใหม่ๆ ที่ไม่สามารถใช้ตำราการทำธุรกิจแบบเดิมได้อีกต่อไป

ปี 2566 ที่กำลังมาถึงนี้ อุตสาหกรรม e-Commerce จะเกิดการเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง เราชวน ป้อม–ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์ โซลูชั่น จำกัด และผู้ก่อตั้ง TARAD.com ที่ใครหลายคนเรียกเขาว่าเจ้าพ่อ e-Commerce มาสรุปและมองเทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้นให้ฟัง โดยเขามั่นใจว่า เทรนด์ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้มาแน่ ทั้งสินค้าจีนบุกไทยเต็มสูบ หมดยุคเผาเงินของเหล่า e-Marketplace และหันมาเร่งทำกำไรแข่งกัน รวมทั้งการเกิดขึ้นของซูเปอร์แอพฯ ของเหล่าบรรดาผู้ให้บริการเดลิเวอรี

สิ่งสำคัญนอกจากจะรู้ว่าเทรนด์ไหนกำลังมา คือผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้บริโภคต้องปรับตัว พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลง และหาโอกาสใหม่ๆ ในการทำธุรกิจ

มูลค่าการค้าออนไลน์ขยับขึ้นอีกครั้ง

เราอาจเห็นผู้คนปรับพฤติกรรมไปสั่งซื้อของออนไลน์ สั่งเดลิเวอรีมากขึ้นจนกลายเป็นเรื่องปกติ และน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ตลาด e-Commerce โต แต่นั่นอาจถูกเพียงครึ่งเดียว เพราะหากมองทั้งอุตสาหกรรมแล้วมูลค่าตลาด e-Commerce ลดลงจากสถานการณ์โควิด-19

ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) พบว่า มูลค่า e-Commerce ปี 2563 อยู่ที่ 3.78 ล้านล้านบาท ส่วนปี 2562 อยู่ที่ 4.05 ล้านล้านบาท 

“แม้ว่าอุตสาหกรรมการค้าปลีกและการค้าส่งยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่สาเหตุหลักเกิดจากตัวเลขของ e-Commerce ประเทศไทยครึ่งหนึ่งมาจากการท่องเที่ยว การเดินทาง สายการบิน และการผลิตต่างๆ เมื่อมีสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด ไม่มีการเดินทางท่องเที่ยว จึงส่งผลกระทบทำให้ภาพรวมมูลค่า e-Commerce ไทยลดลง”

จากการที่ไทยเริ่มเปิดประเทศมาได้สักระยะก็ทำให้ตัวเลข e-Commerce เริ่มฟื้นตัวกลับมา ภาวุธมั่นใจว่า ปี 2566 มูลค่า e-Commerce ของไทยน่าจะกลับเป็นบวกแบบเต็มที่ และเติบโตแบบก้าวกระโดด ประกอบกับโมเมนตัมของธุรกิจเข้าสู่ออนไลน์เต็มรูปแบบแล้ว

e-Marketplace : The End of War

หากย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน เชื่อว่าหลายคนยังไม่รู้จัก และไม่เคยใช้บริการ e-Marketplace ทั้ง Lazada และ Shopee ด้วยซ้ำ ระหว่างทางทั้ง Lazada และ Shopee ปี้ทุ่มตลาดใช้เม็ดเงินลงไปกับการทำโปรโมชั่น นำเสนอบริการต่างๆ ให้คนไทยรู้จักและใช้งานมากขึ้น

ภาวุธบอกว่า สิ่งที่ทำมาตลอดหลายปีนั้นได้ผล ยิ่งพอมาเจอกับสถานการณ์โควิด-19 ผู้คนก็ยิ่งคุ้นเคยกับการซื้อของออนไลน์จนกลายเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้สงครามของการใช้เงินมาถล่มกันเริ่มลดน้อยลง และบรรดา e-Marketplace ต่างๆ กำลังเริ่มเข้าสู่การเปลี่ยนโหมดตัวเอง

จากที่เน้น growth โดยการใช้เงินลงทุนทำให้ตัวเองเติบโต ก็เริ่มปรับเปลี่ยนตัวเองสู่ธุรกิจเพื่อทำกำไรอย่างชัดเจน Lazada เก็บค่าบริการมากขึ้น ส่วน Shopee ก็ลดคน ปิดบริการที่เพิ่งเปิดไม่นาน และโฟกัสการทำกำไรมากขึ้นกว่าเดิม

“Lazada ทำกำไรได้แล้ว เป็นการทำกำไร 2 ปีติดกัน และการที่เขาทำกำไรได้แล้ว เขาใช้เงินในการทำการตลาดน้อยลง เริ่มโฟกัสที่การสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น เห็นได้ชัดจากที่เริ่มมีการเก็บเงินจากลูกค้าและร้านค้าเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการปรับเพิ่มค่าบริการมากขึ้น และหากมองภาพรวมธุรกิจของ Lazada ที่ยังมีบริการทั้ง Lazada Pay, Lazada Express หรือบริการด้านดิจิทัลอื่นๆ จะพบว่ารายได้ทั้งหมดของกลุ่ม Lazada ในปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 38,000 กว่าล้านบาท มีกำไรประมาณ 3,200 กว่าล้านบาท”

“Shopee ยังขาดทุนอยู่ ปี 2564 Shopee ขาดทุนประมาณ 4,900 กว่าล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดทุนสะสมติดต่อกันมา 7 ปี เห็นได้ชัดว่าปีที่แล้ว Shopee มุ่งเน้นการเติบโตทางธุรกิจมากกว่าการทำกำไร แต่ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมามีการปรับโครงสร้างเนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจค่อนข้างถดถอย ทำให้ Shopee มีปัญหาเรื่องการระดมเงินจากนักลงทุน Shopee เริ่มเน้นกลยุทธ์การทำกำไรมากขึ้น เริ่มจากการลดคน ปิดบริการในแต่ละประเทศที่ไม่ทำกำไรหรือเพิ่งดำเนินการ พร้อมกลับมาโฟกัสที่การทำกำไรแทน สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ งบประมาณในการทำการตลาดของ Shopee ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในช่วง 11.11 ที่ผ่านมา”

นั่นเป็นสัญญาณว่าทุกเจ้าจะลดงบการตลาด การทำคูปองจะน้อยลง การลดราคาจะลดลง งบที่ใช้จะยังมีอยู่แต่จะไม่ใช่จาก e-Marketplace แต่จะเป็นงบที่เรียกเก็บจากบรรดาร้านค้าที่มาใช้บริการทั้งสิ้น ส่งผลให้ร้านค้าขายของได้น้อยลง และกำไรไม่ได้ดีเท่าเดิม

ที่สำคัญ e-Marketplace ในไทย กลายเป็นสมรภูมิการแข่งขันของต่างชาติเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะคู่แข่งอีกรายอย่าง JD Central กลุ่มเซ็นทรัลได้มีการถอนตัวออกจาก JD.com และในฟากของ JD ในประเทศไทยก็จะมีการถอนตัวจากตลาดประเทศไทยและอินโดนีเซียแล้ว แม้จะมีแพลตฟอร์มของไทยอย่าง Shop24 ในเครือ CP All ที่ยังทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องก็ตาม

“ความน่ากลัวคือ infrastructure ไม่ใช่ของไทย เวลาที่เราจะพัฒนาอะไรขึ้นมาเพื่อรองรับกับพฤติกรรมคนไทยมันอาจจะไม่ได้อินขนาดนั้น พอเป็นของต่างชาติหมดแบบนี้ และคนไทยเป็นเพียงผู้ใช้ธรรมดา ในระยะยาวอาจไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ในอนาคตธุรกิจเชื่อว่าจะเป็นแบบ multi-national มากขึ้น เพราะฉะนั้นต้องย้อนกลับมาถามว่าเราจะเป็นแค่ผู้ใช้หรือผู้ให้บริการ”

ผู้เล่นไทยจะไม่ได้เป็นแค่ผู้ใช้อย่างเดียวได้ยังไง คำตอบคือมายด์เซตในการทำธุรกิจ เพราะนักธุรกิจเมืองไทยไม่สามารถทนกับการขาดทุนเป็นระยะเวลานานๆ ได้เหมือนต่างชาติ

“ต้องบอกว่าคนไทยยังมีมายด์เซตแบบเก่าที่ลงทุนและหวังผลกำไรในระยะสั้น แต่สำหรับต่างชาติ เขาลงทุนและมองผลกำไรที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว ยอมขาดทุนหลายหมื่นล้านก่อนก็ได้ คำถามคือหากให้เจ้าสัวเมืองไทยมาขาดทุนเป็นหมื่นๆ ล้าน เขาคงไม่เอา และถามว่าทำไมต่างชาติถึงมาลงทุนได้ เพราะมันคือเกมของนักลงทุนที่ยอมทุ่มตลาดเพื่อให้เป็นเบอร์หนึ่งได้ เป็นมายด์เซตใหม่ที่ในไทยยังไม่ค่อยมีแนวคิดนี้เท่าไหร่”

สินค้าจีน is very coming

e-Marketplace เป็นหัวใจในการขายของของใครหลายๆ คน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าใน e-Marketplace เป็นที่ที่สินค้าจีนกำลังบุกไทยเต็มสูบ 

จากเดิมที่สินค้าส่งจากจีนมาไทยใช้เวลา 7-10 วันหรือมากกว่านั้น  แต่ตอนนี้แค่กดสั่งไม่กี่วันของก็มาถึง เพราะผู้ผลิตผู้นำเข้าสินค้าจีนต่างยกขบวนมาตั้ง warehouse ในประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว

“ผมเคยพูดว่าสินค้าจีนจะมาบุกไทยเมื่อ 5 ปีที่แล้ว วันนี้เป็นจริงแล้ว ช่วงหลายปีที่ผ่านมาไทยมีผู้ให้บริการนำสินค้าจากจีนเข้ามาเป็นจำนวนมาก infrastructure ของจีนเริ่มเชื่อมต่อเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะทางรถ ทางราง ทางน้ำ เอื้อต่อผู้ให้บริการสามารถส่งสินค้าจากจีนเข้ามาไทยได้ในไม่กี่วัน แต่ตอนนี้ผู้ผลิตผู้นำเข้าสินค้าจีนต่างยกขบวนมาตั้ง warehouse ในประเทศไทยในพื้นที่รอบๆ กรุงเทพฯ และเริ่มใช้สื่อออนไลน์เป็นช่องทางที่จะขายสินค้าตรง จากสินค้าใน warehouse ในไทยตรงสู่ผู้บริโภค”

การที่ผู้ผลิตต้นทางมาตั้ง warehouse นั้นทำให้ราคาสินค้าของจีนถูกลงมากๆ แม้อาจจะดีกับผู้บริโภคที่ได้ซื้อ ได้ใช้สินค้าราคาไม่แพง แต่ในทางกลับกันกลายเป็นความเสียเปรียบของฝั่งผู้ประกอบการ ร้านค้าที่เป็นคนไทยเองที่จะผลิตสินค้าต้องมีมาตรฐานการ การควบคุมคุณภาพให้ผ่านมาตรฐาน มอก.หรือ สคบ. ซึ่งเป็นเรื่องที่ภาครัฐต้องเร่งแก้ไข

“สินค้าจีนที่เข้ามาก็มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบที่ดำเนินธุรกิจถูกต้องตามกฎหมาย มีการเสียภาษี ผ่านขั้นตอนชัดเจน แต่ก็มีบางส่วนที่ยังผิดกฎหมาย นำเข้ามาค้าขายในโลกออนไลน์ โดยไม่ผ่านขั้นตอนการตรวจสอบหรือขออนุญาตตามมาตรฐานของไทยที่หาซื้อได้ใน e-Marketplace จากที่ไม่ผ่านมาตรการต่างๆ ก็ทำให้มีต้นทุนถูกลง ทำให้สามารถนำสินค้าเข้ามาเป็นจำนวนมากๆ ผู้ประกอบการไทยหลายคนปิดกิจการไปเพราะเหตุนี้”

“หรือแม้กระทั่งไปเดินสำเพ็ง เสือป่า แต่ก่อนเจอร้านที่เป็นของคนไทย แต่ตอนนี้กลับเจอแต่ร้านคนจีน กลายเป็นว่าเราเจอระบบนิเวศคนจีนซ้อนอยู่ในระบบนิเวศของคนไทยอีกที มันอาจจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนอันใหม่ก็ได้”

On-Demand Commerce ฟู้ดเดลิเวอรีต้องมีมากกว่าแค่ส่งอาหาร

สงคราม e-Marketplace จบลง แต่การแข่งขันของ On-Demand Commerce หรือพวกแพลตฟอร์มเดลิเวอรีกำลังเริ่มต้นขึ้น ต้องเริ่มเปลี่ยนตัวเองให้มีมากกว่าแค่บริการส่งอาหาร ช่วงที่ผ่านมาเราเห็นผู้ประกอบการหลายรายเริ่มออกบริการใหม่ๆ มากขึ้น และในปีหน้าจะแข่งขันกันเยอะกว่าเดิม และจากแค่แอพฯ เดลิเวอรี จะกลายเป็น Super App กันมากขึ้น

Grab ครองส่วนแบ่งตลาดมากสุด ไม่ได้มีแค่บริการส่งอาหารและบริการเรียกรถ แต่ยังมีทั้ง GrabMart, GrabHome, GrabTukTuk

Robinhood ที่มีจุดเด่นด้วยการไม่เก็บค่า GP ไม่มีค่าสมัครสมาชิก และมีบริการบางอย่างที่ดีกว่ารายอื่น ทำให้ร้านค้าหลายร้านหันมาขายผ่าน Robinhood เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน Robinhood ก็เริ่มมีการขยายธุรกิจ มีบริการจองโรงแรม บริการซื้อของ และบริการใหม่ที่จะเพิ่มเข้ามาเร็วๆ นี้ โดยมีโมเดลการทำกำไรจากการขายโฆษณาและบริการอื่นๆ

LINE MAN ที่ควบรวมกิจการบริษัทกับ Wongnai กลายเป็น LINE MAN Wongnai มีการขยายบริการทั่วประเทศมากขึ้น และการขยับตัวที่น่าสนใจกับข่าวลือที่จะซื้อ foodpanda ประเทศไทย หากเป็นจริงและเจรจาซื้อกิจการสำเร็จ LINE MAN Wongnai จะขึ้นแท่นแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรีเบอร์ 1 ในไทยทันที และน่าจะกระทบกับผู้บริโภคไม่น้อย

“การร่วมกัน การซื้อกิจการแน่นอนว่าตลาดจะเล็กลง การแข่งขันจะเหลือแค่ Grab, LINE MAN และ Robinhood ซึ่งก็เหมือนกับตลาดโอเปอเรเตอร์ที่หากมีผู้เล่นน้อยราย การฟาดฟันก็จะน้อยลงตาม พอทางเลือกน้อยลงย่อมกระทบกับผู้บริโภคแน่ๆ”

บริการการเงินออนไลน์ หัวใจสำคัญผลักดันให้ e-Commerce เติบโตมากขึ้น

Digital Financial Services คือบริการทางการเงินดิจิทัลการเงินทางออนไลน์ ซึ่งในปัจจุบันเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น ผู้ให้บริการเหล่านี้จะไม่ใช่ธนาคาร หรือที่เรียกว่า non-bank เช่น บริการรับชำระเงิน, บริการกู้เงินทางออนไลน์, บริการประกันออนไลน์, บริการดูแลความมั่งคั่ง ดูแลสินทรัพย์ออนไลน์ หรือการโอนเงินออนไลน์ โอนเงินต่างประเทศ แนวโน้มการใช้บริการ digital financing เหล่านี้เริ่มมีการเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการผลักดันให้ e-Commerce ของประเทศไทยเติบโตมากขึ้น

“บริการทางการเงินออนไลน์กำลังเติบโต มากินส่วนแบ่งในบริการของธนาคารมากขึ้น อย่าง Grab, Shopee, Lazada  ที่มีบริการใช้ก่อนจ่ายที่หลังแบบ Buy Now, Pay Later ซึ่ง Food Panda หรือ Lazada เริ่มมีการให้บริการทางการเงินให้กับคู่ค้ามากขึ้น” 

short video commerce มาแล้ว และการเกิดการแข่งขันในแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่

“ปฏิเสธไม่ได้ว่า TikTok คือผู้ปลุกกระแสวิดีโอสั้น ทำให้โซเชียลมีเดียต่างๆ ทั้ง Youtube, Facebook และ Instagram กระโดดลงมาแข่งขัน หรือแม้แต่ผู้ให้บริการอย่าง Line ก็ลงมาแข่งในสนามวิดีโอเช่นกัน“

ดังนั้นกลยุทธ์ที่จะมาดึงดูดผู้บริโภคจะไม่ใช่แค่ทำมาเพื่อให้บริการเพียงอย่างเดียว แต่มีบริการอื่นของ e-Commerce เช่นการเปิดร้านค้าเข้ามาเสริมให้สั่งซื้อสินค้าผ่านผ่านแพลตฟอร์มได้เลย

และนำมาซึ่งเทรนด์ในการแข่งขันของแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ที่ทุกเจ้ามี ecosystem รองรับ และส่งเสริม e-Commerce มากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกค้ากระโดดข้ามไปใช้บริการของคู่แข่ง

Facebook มี Facebook Shop, Facebook Live, Facebook Marketplace, Facebook Messenger

Line มี Line Chat, Line OA, Line Shop, Line Pay

TikTok มี TikTok Video, TikTok Ads, TikTok Shop 

โฆษณาออนไลน์ที่มีทางเลือกมากขึ้น

จากที่ทั้งแบรนด์ เจ้าของกิจการมักจะเลือกโฆษณาผ่านเฟซบุ๊กเป็นอันดับต้นๆ เพราะเข้าถึงผู้คนได้มาก แต่ปัจจุบันผู้โฆษณา พ่อค้าแม่ค้าหันไปทางเลือกอื่นแทน ด้วยเหตุผลที่การโฆษณาผ่านเฟซบุ๊กประสบปัญหาของการได้ผลลัพธ์ที่น้อยลงและมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น

“เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่าง TikTok ผู้คนเห็นแล้วว่าการโฆษณาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า แนวโน้มที่เกิดขึ้นคือ แบรนด์และผู้โฆษณาเริ่มเปลี่ยนไปโฆษณาผ่าน TikTok เพิ่มมากขึ้น และใช้เม็ดเงินกับเฟซบุ๊กน้อยลง รวมถึงการสร้างแพลตฟอร์มของตัวเองเพื่อเสริมให้ลูกค้าขายของได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน”

เพราะฉะนั้นในปีหน้าการทำการตลาดออนไลน์โดยเฉพาะเรื่อง performance marketing จากที่จะอยู่กับเฟซบุ๊กเป็นหลัก เราจะได้เห็นการกระจายไปยังหลากหลายช่องทาง หลากแพลตฟอร์มมากขึ้น นั่นก็หมายความว่า คนที่เหนื่อยมากขึ้นคือบรรดาพ่อค้าแม่ค้า เจ้าของกิจการที่ต้องบริหารช่องทางเพื่อเข้าถึงลูกค้าให้ได้ดีกว่าเดิม

การตลาดผ่านการบอกต่อยังได้ผล

คำที่ว่า ยุคนี้ลูกค้าไม่เชื่อในสิ่งที่แบรนด์พูด แต่เชื่อในเรื่องการบอกต่อ และการีวิว ยังคงเป็นจริงเสมอ ทำให้การทำการตลาดแบบ affiliate marketing หรือการตลาดผ่านการบอกต่อ กำลังเป็นเทรนด์ที่มีการเติบโตอย่างมาก แพลตฟอร์มอย่าง TikTok, Shopee, Lazada เริ่มมีการผลักดันบริการดังกล่าวมากขึ้น และเชื่อว่าในปีหน้าจะมีอีกหลากเจ้าลงมาทำการตลาดผ่านการบอกต่อเช่นกัน

ภาวุธอธิบายว่าเพราะคนเริ่มเป็นอินฟลูเอนเซอร์มีฐานลูกค้าตัวเองมากขึ้น ทำให้เรามีความสามารถบอกต่อสินค้าไปยังกลุ่มเพื่อนๆ และเราเองสามารถได้ส่วนแบ่งกำไรเมื่อเพื่อนที่เราบอกต่อกดซื้อสินค้าผ่านลิงก์และทำการสั่งซื้อสินค้าชิ้นนั้นๆ  

 “MarErce” = MarTech + e-Commerce

จากเมื่อก่อนคนทำการตลาดจะเน้นเรื่องการตลาด และคนค้าขายออนไลน์ก็เน้นเรื่องการขาย แต่ปัจจุบันจะไม่ใช่วิธีการแบบเดิมอีกต่อไป เพราะปัจจุบันมาร์เกตติ้งกับ e-Commerce ถูกผสานรวมเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ 

“ผมเรียกมันว่า MarErce คือคำว่า MarTech + e-Commerce  ผู้ให้บริการด้าน MarTech ก็จะเริ่มมีแพลตฟอร์มที่ไม่ใช่การทำการตลาดเท่านั้น แต่จะเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยทำให้เกิดออร์เดอร์ เกิดการซื้อ-ขาย และเมื่อเกิดการขายแล้ว ทางฝั่ง MarTech จะเริ่มนำเทคโนโลยีย้อนกลับไปทำ CRM หรือ retention เพื่อทำให้ลูกค้าเกิดการซื้อซ้ำต่อไปอีกที ฉะนั้นใครที่ปรับตัวไม่ได้อันนี้เริ่มน่ากลัว เพราะต่อไปมันจะ automate มากขึ้น และเริ่มเข้ามาถึงกลุ่ม SME มากขึ้น”

ดังนั้น มาร์เอิร์ซ (MarErce) จะเป็นหัวใจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการซื้อ-ขายแบบ direct-to-consumer ที่โรงงานผู้ผลิตเปิดช่องทางการตรงไปยังผู้บริโภคเองมากขึ้น นั่นเท่ากับว่าเป็นการตัดตัวกลางทางการค้าออกไปจากห่วงโซ่

“โรงงานเริ่มขายของออนไลน์มากขึ้น ขายตรงไปยังผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบให้ธุรกิจค้าปลีกท้องถิ่นเริ่มถดถอย เพราะคนรุ่นใหม่เริ่มซื้อสินค้าจากร้านในท้องถิ่นน้อยลงและหันมาซื้อสินค้าผ่านออนไลน์มากขึ้น ทำให้ในแง่ของธุรกิจท้องถิ่นจะมีผู้ที่เป็นตัวกลาง หมดโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าเพราะพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไป”

สุดท้ายสิ่งที่ภาวุธย้ำคือเรื่องของการขาดดุลดิจิทัลของประเทศไทย เพราะไทยไม่เคยประเมิน หรือสอดส่องว่าประเทศไทยมีการขาดดุลทางการค้าดิจิทัลอย่างไร เพราะฉะนั้นควรนำตัวเลขนี้ไปคำนวณ วิเคราะห์เรื่องของการขาดดุลของระบบประเทศไทยด้วยเช่นกัน เพราะมูลค่าการขาดดุลเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลย

“กรมสรรพากรได้ออกกฎหมายจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากแพลตฟอร์มผู้ให้บริการต่างประเทศเมื่อ 1 กันยายน 2564 และจากข้อมูลล่าสุดมีผู้ให้บริการต่างชาติที่ขึ้นทะเบียนแล้วจำนวน 127 ราย ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บสะสม 6 เดือน (ตุลาคม 2564 – มีนาคม 2565) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4,200 กว่าล้านบาท 

“มีการคาดการณ์ว่าอาจจะเก็บภาษีได้ถึงเกือบหมื่นล้านเมื่อครบปี และมีผู้ให้บริการหลายรายยังไม่ได้มาขึ้นทะเบียน ซึ่งเมื่อคาดการณ์เม็ดเงินที่ใช้ซื้อ-ขายบริการจากแพลตฟอร์มผู้ให้บริการต่างประเทศของคนไทยอาจจะขึ้นไปสูงถึงเกือบๆ สองแสนล้านบาทเลย”

ทั้งหมดทั้งมวลนี้นับเป็นสิ่งที่ต้องจับตาต่อไป และหากใครปรับตัว และเรียนรู้สิ่งใหม่ไม่ทันก็อาจจะไม่สามารถอยู่รอดในยุคที่ e-Commerce เข้ามามีบทบาทและเปลี่ยนแปลงไปทุกวันได้

การเงินปี 2566 แม้ยังมีความเสี่ยง แต่โอกาสลงทุนยังมี เทคโนโลยีมีบทบาทในโลกการเงินมากขึ้น

ปี 2565 ที่เพิ่งผ่านไป หลายคนบอกว่าเป็นหนึ่งในปีที่แย่ที่สุดของโลกของเศรษฐกิจและการเงิน ซึ่งจากสถานการณ์ที่เราเห็นมาตลอดปีคำพูดนี้ก็คงไม่ผิดนัก

ไล่เรียงให้ดูคร่าวๆ ปีที่ผ่านมาเราเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอย่างการเกิดสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซีย ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าทั่วโลก การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) สถานการณ์เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ค่าเงินของหลายประเทศอ่อนค่าในรอบหลายสิบปี

ไทยเองก็เจอกับสถานการณ์เงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 14 ปี  และค่าเงินบาทอ่อนค่ามากสุดในรอบ 16 ปี ทะลุ 38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งสารพัดค่าครองชีพ ค่าน้ำมัน ค่าไฟ ค่าสินค้าอุปโภคบริโภค ก็พุ่งสูงขึ้น

หรือแม้แต่ตลาดคริปโตฯ ที่เคยร้อนแรง ก็เจอกับปรากฏการณ์ฟองสบู่สินทรัพย์ดิจิทัล นักลงทุนไทยและทั่วโลกเจ็บตัวไม่น้อย 

มองไปทางไหนก็ไม่มีที่ไหนเศรษฐกิจดี เจอสารพัดปัจจัยลบรุมเร้า โลกการเงินเจอความผันผวนและดูจะลากยาวมาถึงปีนี้ ก่อนจะเริ่มปี 2023 เราจึงชวน ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ รองหัวหน้าสายงานวิจัย ฝ่าย KKP Research บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) มาพูดคุยกันถึงทิศทางภาพรวมของภาคการเงิน การลงทุน และการธนาคารปี 2566 จะเป็นไปในทิศทางใด และโอกาสในการลงทุนมีมากน้อยแค่ไหน 

3 Shock ที่ยังต้องเจอต่อในปีหน้า

ภาคการเงิน การธนาคารมีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นหากเศรษฐกิจแย่ภาคธนาคารก็เหนื่อยไปด้วย

ดร.พิพัฒน์บอกว่าสิ่งที่เห็นคือ ภาคการเงินเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างรวดเร็ว เพิ่งผ่านพ้นจากสถานการณ์โควิด-19  มา ซึ่งหากย้อนกลับไปตอนโควิด-19 มาใหม่ๆ เราบอกว่าแย่แล้ว แต่พอตอนดอกเบี้ยลด กลายเป็นว่าการลงทุน ตลาดหุ้น ดีหมดเลย พอมาปีที่ผ่านมาเราเจอ Shock 3 เรื่องใหญ่ๆ คือ เงินเฟ้อสูงมาก (inflation shock) ส่งผลให้ประเทศขนาดใหญ่ต้องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอย่างรวดเร็ว (rate shock) และการเติบโตทางเศรษฐกิจ และกำไรของบริษัทได้รับผลกระทบด้วย (growth shock) 

ทั้งสามสิ่งเป็นเหตุการณ์ที่จะต่อเนื่องไปในปี 2566 ซึ่งเป็นแรงต้าน (headwind) ที่ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโลก และอาจมีความเสี่ยงตามมาถึงเศรษฐกิจไทยด้วย

  “สิ่งที่ต้องเจอแน่ๆ คือ สถานการณ์เงินเฟ้อยังคงสูงอยู่แม้จะปรับตัวลดลงก็ตาม ภาคครัวเรือนก็จะเหนื่อยหน่อย เพราะฐานะทางการเงินยังไม่กลับมาสู่ภาวะปกติ”

 เศรษฐกิจเหมือนโรเลอร์โคสเตอร์ 

“เรียกว่าปีที่ผ่านมาเป็นหนึ่งปีที่การลงทุนแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ในรอบ 100 ปี ปกติการจัดพอร์ตแบบ asset allocation หรือการกระจายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์หลายรูปแบบ เช่น ตราสารหนี้ หุ้น เงินสด เพื่อลดความเสี่ยงเป็นการลงทุนที่ดีและความเสี่ยงต่ำ เพราะปกติปีไหนหุ้นไม่ดีตราสารหนี้จะดีและช่วยลดความเสี่ยงโดยรวม แต่ปี 2565 กลับตาลปัตรสินทรัพย์ส่วนใหญ่ติดลบเกือบหมด ใครกระจายการลงทุนปีที่ผ่านมานับเป็นปีที่แย่ที่สุดปีนึงเลย ถ้าไม่ได้ซื้อหุ้นน้ำมัน ถือเงินสดเยอะหน่อยนี่เหนื่อยมาก”

ส่วนหนึ่งเพราะภาพที่เราเห็นก่อนหน้านี้อาจบอกได้ว่าดีเกินจริง เศรษฐกิจเหมือนโรเลอร์โคสเตอร์ 

ปี 2563 เจอโควิด-19 หนักมาก สิ่งที่เกิดขึ้นคือธนาคารทั่วโลกลดดอกเบี้ยเป็นศูนย์ ทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบของนโยบายทางการเงินที่ใช้รับมือกับปัญหาการชะลอตัวลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะ

ปี 2564 เป็นปีที่ภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจหนักมากเพื่อบรรเทา และฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เกิดผลกระทบจากสถานการณ์โควิด -19

“ช่วงที่ผ่านมาเราเห็นตลาดหุ้นขึ้นโดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีที่มีผลมาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คน หลายบริษัทมีมูลค่าบริษัท (market cap) เพิ่มขึ้นมหาศาล เกิดการสร้างดีมานด์เทียมขึ้นมาและเชื่อว่าสิ่งที่เคยเป็นอยู่ก่อนหน้าจะยังเติบโตต่อ แต่พอโลกแห่งความเป็นจริงกลับมาไม่ได้เป็นเช่นนั้น”

ปี 2565 จนถึงตอนนี้เหมือนการกลับจากภาวะดีเกินจริงสู่ภาวะปกติ

“ตอนเงินเฟ้อต่ำ ดอกเบี้ยเป็นศูนย์ ก็มีคำถามว่าจะทำยังไงให้เงินเฟ้อสูงขึ้นได้ พอโลกหลังโควิดเงินเฟ้อสูงขึ้นมาจริงๆ ก็เกิดปัญหาว่า จะทำอย่างไรให้เงินเฟ้อลงให้ได้”

Crypto Bubble

จากที่ 2 ปีก่อนนับเป็นปีทองของตลาดคริปโตฯ แต่พอมาตอนนี้ก็นับเป็นขาลงแบบสุดๆ และยังคงลากยาวต่อ ราคาของสินทรัพย์ลงทุนเฟ้อเกินปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์ลงทุนนั้นไปมากจนเริ่มไม่สมเหตุสมผล พอสภาพคล่องหดเลยทำให้เกิดภาวะฟองสบู่แตกในตลาดคริปโตฯ

ดร.พิพัฒน์ อธิบายว่าเพราะดอกเบี้ยต่ำและราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีคำที่เขาใช้กัน 2 คำคือ TINA ที่ย่อมาจาก There Is No Alternative ที่แปลว่า การไม่มีทางเลือกเพราะดอกเบี้ยถูกมากต้องยอมไล่ซื้อสินทรัพย์เสี่ยง และ FOMO หรือ Fear of Missing Out คือเห็นคนอื่นได้กำไร กลัวที่จะพลาดโอกาสไป กลัวที่จะไม่รู้เหมือนที่คนอื่นรู้ กลัวตกกระแสหรือตกเทรนด์  

“เพราะหากย้อนกลับไปคนพูดถึงคริปโตฯ มากมาย หลายคนกลายเป็นเศรษฐีจากการเทรดคริปโตฯ เมื่อภาพเป็นแบบนั้นหลายคนก็เข้าไปในตลาดแบบไม่รู้ข้อมูล ไม่ได้ศึกษาเพราะกลัวตกเทรนด์ เพราะราคาสินค้าขึ้นเร็วมาก เกินปัจจัยพื้นฐาน ส่วนใหญ่ก็คาดว่าจะมีคนมาซื้อต่อในราคาที่สูงขึ้น แต่พอสภาพคล่องหด ฟองสบู่ก็เลยแตก”

“การเกิดฟองสบู่มันคือการดึงทรัพยากรเจ๋งๆ ดีๆ ของโลกเข้าไปในอุตสาหกรรมด้วยเช่นกัน  ข้อดีคืออาจเป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน digital asset อะไรบางอย่างในอนาคต แต่ digital asset  สิ่งที่ต้องพิสูจน์นั้นไม่ใช่แค่เรื่องของราคา แต่ต้องมองว่าสิ่งที่สร้างขึ้นมาสามารถเพิ่มมูลค่าอะไรกับเศรษฐกิจจริงๆ บ้าง”

เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทในโลกการเงินมากขึ้น

นอกจากพร้อมเพย์ที่มาช่วยขับเคลื่อนศักยภาพด้านการชำระเงินของประเทศในช่วงที่ผ่านมา  ตอนนี้เราก้าวหน้าไปอีกขั้นด้วยบริการการยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ (NDID) ที่มาช่วยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมทางการเงิน เทรนด์ที่จะเห็นในภาคการเงิน การธนาคารยังคงเป็นเรื่องของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะมาซัพพอร์ตให้เราสามารถทำธุรกรรมทางดิจิทัล ธุรกรรมบนมือถือได้ดียิ่งขึ้น บริการอะไรต่างๆ ในอดีตที่มีตัวกลาง ต้องเจอหน้ากันจะลดน้อยลง ธนาคารอาจจะมีบริการใหม่ๆ ที่สามารถทำบนมือถือได้ง่ายขึ้น

“ยกตัวอย่างเช่นการกู้เงินบนมือถือ ที่ปกติการกู้เงินต้องใช้หลักฐานพิสูจน์รายได้ หรือการให้กู้โดยมีสินทรัพย์ค้ำประกัน ตอนนี้เราจะเห็นการใช้ข้อมูลอื่นๆ เช่น รายการเดินบัญชี หรือพฤติกรรมอื่นในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งก็อยู่ในขั้นทดลองเพราะยังมีอีกหลายปัจจัยให้พิจารณาประกอบกัน

“Buy Now, Pay Later ก็เป็นหนึ่งสิ่งที่จะมา ซึ่งเอาจริงๆ ใครมีบัตรเครดิตก็ทำโมเดลช้อปก่อนจ่ายทีหลังมานานแล้ว แต่ Buy Now, Pay Later ที่กำลังมานี้เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มาตอบโจทย์คนที่ไม่มีหลักฐานพิสูจน์รายได้ ไม่มีบัตรเครดิต ซึ่งค่อนข้างน่าเป็นห่วงว่าบริษัทที่ทำจะบริหารความเสี่ยงที่จะเกิดตามมาได้ยังไง เพราะไม่มีอะไรการันตีเรื่องรายได้ และความสามารถในการใช้จ่าย แต่ใช้แค่ Alternative Credit Scoring หรือแค่ทรานแซ็กชั่นต่างๆ ข้อมูลการใช้แอพพลิเคชั่นมาพิจารณา”

มองในแง่ดีคือเป็นช่องทางให้คนที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงินได้มากขึ้น แต่ในอีกมุมหากใช้จ่ายเกินกว่ากำลังที่มีสิ่งที่จะตามคือความเสียหายต่อทั้งตัวผู้ประกอบการและผู้บริโภคเอง และอาจจะส่งผลให้หนี้ครัวเรือนมากขึ้น

ปี 2566 โอกาสการลงทุนยังมี

ความเสี่ยงที่เราเจอในปีที่ผ่านมาอาจจะยังไม่หมดไป ทั้งในแง่ภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจระยะสั้น เงินเฟ้อที่แม้จะปรับลดลงบ้าง แต่ยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูง แน่นอนว่าธนาคารกลางจะยังคงขึ้นดอกเบี้ย และคงอัตราดอกเบี้ยที่สูงไว้ 

“ตอนนี้เศรษฐกิจไทยกำลังผงกหัวขึ้น การฟื้นตัวของภาคบริการจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นตามนักท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมา แต่เราก็มีปัญหาใหญ่คือเศรษฐกิจโลกอาจจะกำลังชะลอตัว ที่จะส่งผลต่อการส่งออกของไทย ปี 2566 ท่องเที่ยวอาจจะเป็นเครื่องจักรเครื่องเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว แม้ความเสี่ยงจะยังมี แต่โอกาสในการลงทุนก็มีเช่นกัน”

ดร.พิพัฒน์เชื่อว่าขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นปีแห่งโอกาสก็ได้ เพราะหากเราดูย้อนหลังกลับไปถ้าในปีก่อนหน้าราคาสินทรัพย์ปรับตัวลงเยอะๆ มันอาจจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของอีกปีที่ฟื้นตัว ก็เป็นโอกาสที่เราจะเข้าซื้อสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดีในราคาที่ถูกลงมากเช่นกัน

สิ่งสำคัญคือต้องให้ความสำคัญต่อเรื่องปัจจัยพื้นฐาน และเรื่องที่ว่าลงทุนแล้วได้อะไร และความรู้เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานในการจัดพอร์ต ในแง่ของการระมัดระวังความเสี่ยง ไม่ว่าจะความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อ เรื่องอัตราดอกเบี้ย เรื่องการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ก็เป็นสิ่งที่ต้องนำกลับมาพิจารณามากขึ้นเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้นการกระจายการลงทุนในแง่ asset allocation ต่อจากนี้ไปต้องให้ความสำคัญกับปัจจัยสำคัญ 4 ข้อ ต่อไปนี้

1. Back to the old normal – focus on fundamentals and valuation : การวางแผนการลงทุนต้องดูแลปัจจัยพื้นฐานมากขึ้น กลับไปดูราคาหุ้น กลับไปดูว่าซื้อแล้วได้อะไร อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเป็นอย่างไร P/E เป็นยังไง 

2. Risk-aware but not risk-averse – inflation, rates, growth : นักลงทุนต้องให้ความสำคัญกับความเสี่ยง โดยรับรู้ว่าความเสี่ยงในการลงทุนคืออะไร แต่ไม่ใช่ว่าต้องหลบเลี่ยงความเสี่ยงโดยเฉพาะเรื่องเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ อาจจะกลายเป็นโอกาสที่สำคัญหากเรารับรู้ความเสี่ยง และบริหารความเสี่ยงในแง่ของการลงทุนได้ดี

3. The return of asset allocation : แม้ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ค่อนข้างแย่ของการลงทุนในแง่ของการทำ asset allocation และการลงทุนในระยะยาว แต่เชื่อว่าปีหน้าด้วยผลตอบแทนของการลงทุนในพันธบัตร ในตราสารหนี้ปรับเพิ่มสูงขึ้นมาแล้ว เพราะฉะนั้นการวางแผนทางการเงิน การใช้ asset allocation น่าจะกลับมามีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ

4. Opportunity to buy. Start buying bonds then equity : เชื่อว่าปีหน้าจะเป็นโอกาสในการลงทุน อาจจะเริ่มง่ายๆ ถ้าเราเห็นผลตอบแทนของพวกตราสารหนี้ดีขึ้น ก็อาจจะเริ่มซื้อตราสารหนี้ที่มีระยะเวลาของพันธบัตรระยะไม่ยาวมากนัก และถ้าเราเริ่มกังวลว่าเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะชะลอตัว หรือ recession เราก็ค่อยๆ ไปซื้อพันธบัตรที่มีอายุยาวขึ้น เพราะส่วนใหญ่เวลาที่เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะลอตัว พันธบัตรที่มีอายุค่อนข้างยาวมักจะให้ผลตอบแทนค่อนข้างดี และเป็นโอกาสในการซื้อหุ้นด้วย

จากสิ่งที่ ดร.พิพัฒน์ได้เล่ามา น่าจะเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า ไม่ว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาเย้ายวนใจชวนให้เข้าไปลงทุนมากเพียงใด ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่เราควรดูไม่น้อยไปกว่าผลตอบแทนปลายทาง คือการดูพื้นฐาน มองความเป็นจริง ซึ่งยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญอยู่เสมอ