ความลับของฟ้าว่าด้วยการมีอิสระทางเวลา สุขภาพ และเงินทอง

ผมได้อ่านโพสต์ที่อาจารย์ธงทอง จันทรางศุ เขียนไว้ในเฟซบุ๊ก อาจารย์ได้ฟังปรารภธรรมของพระเถระผู้ใหญ่ที่วัดโสมนัสวิหารท่านหนึ่งในระหว่างงานสรงศพโดยมีใจความว่า

“เมื่อตอนเราเป็นเด็ก อยากกินอะไรก็ไม่มีกิน พอมาถึงตอนนี้ ไม่ได้ขาดแคลนเรื่องของกินแต่กินไม่ได้เสียแล้วเพราะหมอห้าม หรือกินได้นิดเดียวก็อิ่มแล้ว เรื่องนอนก็เหมือนกัน ตอนเป็นเด็ก เรียนหนังสือง่วงหลับไป ครูต้องปลุก พออายุ 80 ปีอย่างนี้ นอนได้ไม่นานก็ตื่นเสียแล้ว เพราะนอนไม่หลับ ชีวิตก็เป็นอย่างนี้นะอาจารย์ “

ผมอ่านแล้วก็นึกถึงคำผู้ใหญ่หลายๆ ท่านที่เคยบอกผมตอนหนุ่มๆ ว่า ของสามอย่างนั้นจะไม่มาพร้อมกัน ก็คือเวลา เงินทอง และสุขภาพ ผมฟังในตอนหนุ่มก็ไม่เข้าใจนัก รู้แต่ในมุมของตัวเองคือในตอนเป็นเด็กๆ รู้สึกว่าไม่มีสตางค์พอใช้เลย ตอนทำงานใหม่ๆ ก็ชักหน้าไม่ถึงหลัง อยากได้อะไรเต็มไปหมดเหมือนคนอื่นก็ไม่เคยจะมีเงินไปซื้อมา

พอทำงานไปพักใหญ่ หน้าที่การงานเริ่มเติบโต เวลาคือหายไปกับงาน ไม่มีเวลาไปทำอะไรที่ชอบเลย พอเริ่มมีเงินทองก็มีอันต้องเจ็บป่วยเข้าโรงหมอตอนใกล้ 40 มาช่วงนี้ชีวิตเริ่มสมดุลขึ้น แต่ก็มีข่าวคนรุ่นเดียวกันและผู้สูงอายุหลายคนเจ็บไข้ได้ป่วย แถมเจอโควิดไปไหนก็ลำบาก มีเงินทองมากมาย เกษียณอายุมีเวลาถมเถแต่ก็ไม่มีสุขภาพที่ดีพอที่จะไปไหนมาไหนตามใจคิดได้

ที่ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่บอกว่า เวลา เงินทอง และสุขภาพ นั้นไม่มาด้วยกัน ผมคิดว่าเป็นเพราะการใช้ชีวิตที่ไม่ได้วางแผนหรือลงทุนอะไรให้ตัวเองล่วงหน้า แล้วตัวเองต้องมาเผชิญกับการที่หาเงินหาทองไว้มากมายแต่ใช้ไม่ได้เพราะป่วย หรือไม่มีเวลาให้คนที่เรารักจนสายเกินไปเพราะมัวทำแต่งาน เป็นความ ‘รู้งี้’ ของคนอายุล่วงเลยมาเกินกลับไปแก้ ก็เลยจะพยายามเตือนน้องๆ ที่ยังมีพลัง มีสุขภาพที่ดี มีแรงทำอะไรได้ในวัยหนุ่มวัยสาว ให้คำนึงถึงเรื่องสามเรื่องนี้ไว้ให้มาก คนเราอาจจะไม่ได้โชคดีมีสามอย่างได้อย่างสมบูรณ์แต่ก็อาจจะสามารถมีชีวิตที่สมดุลได้ตามแต่ละช่วงอายุ

แล้วหัวใจสำคัญในเรื่องที่จะมีอิสระทั้งทางด้านเวลา สุขภาพ และเงินทองพร้อมๆ กันนั้นคืออะไร

คิปโชกี เจ้าของสถิติโลกในฐานะมนุษย์คนแรกที่วิ่งมาราธอนระยะทาง 42.195 กิโลเมตรในเวลาต่ำกว่าสองชั่วโมง มีประโยคสะเทือนความคิดที่ย้อนแย้งกับความรู้สึกมากว่า

“Only the disciplined ones in life are free. If you are undisciplined, you are a slave to your moods and your passions.”

ซึ่งพอไตร่ตรองดีๆ แล้ว มันมีความจริงซ่อนอยู่ในนั้น เราเองต้องการเป็นอิสระทางการเงิน มีอิสระด้านเวลา หรือสุขภาพ การที่จะมีสามสิ่งสำคัญนั้นได้ การมีวินัยคือกุญแจหลักสู่อิสรภาพที่เราอยากได้ไม่ว่าจะเป็นช่วงไหนของอายุก็ตาม

คุณจอคโค วิลลิงก์ อดีต navy seal และ consult ระดับโลกเคยให้สัมภาษณ์และอธิบายไว้ได้ชัดเจน ผมสรุปจากคุณจอคโคไว้ได้ประมาณว่า

“ดูเหมือนวินัยกับอิสระนั้นจะอยู่ตรงข้ามเป็นโลกคู่ขนานกัน แต่จริงๆ แล้วมันเชื่อมโยงและสัมพันธ์กันอย่างน่าประหลาด อิสรภาพนั้นเหมือนจะเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนาที่อยากจะทำอะไรก็ได้ตามใจ อยากมีชีวิตอิสรเสรี แต่ทางเดียวที่เราจะมีอิสระได้อย่างแท้จริงนั้นอยู่ที่การมีวินัย

“ถ้าเราอยากมีอิสรภาพทางการเงิน มีเงินมากพอที่จะไม่ต้องกังวลเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย อยากไปไหนก็มีเงินไปเที่ยว เราก็ต้องมีวินัยทางการเงิน รู้จักเก็บออม รู้จักลงทุนให้เป็นเพื่อให้เงินงอกเงย (ไม่เล่นหุ้นปั่น ไม่ซื้อของที่ไม่ได้ต้องการ… ผมเติมเอง) 

“ถ้าเราอยากมีเวลามากๆ ทำอะไรที่อยากทำได้ เราก็ต้องมีวินัยที่จะควบคุมตัวเองให้ทำในสิ่งที่ต้องทำก่อน ต้องมีวินัยพอที่จะปฏิเสธเรื่องไร้สาระที่ใช้เวลาแบบไร้ประโยชน์เช่นดูยูทูบ เล่น TikTok แบบไร้จุดหมาย หรือไปหลงกดพวกเว็บ clickbait อ่านไปเรื่อยๆ หรือแม้แต่งานอะไรที่ไปรับปากซี้ซั้วทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากไป แล้วเราจะเหลือเวลาไปทำในสิ่งที่อยากทำเช่นอยู่กับคนที่เรารักหรือใช้เวลากับงานอดิเรกที่เราชอบ วินัยที่นำไปสู่อิสรภาพนั้นสามารถเอาไปใช้ได้กับทุกเรื่อง ถ้าเราต้องการมีอิสระในทางใดก็ตาม เราก็ต้องยิ่งมีวินัย”

ผมมาคิดต่อจากคุณจอคโคก็เห็นจริงจากประสบการณ์ตัวเองอีกเรื่องหนึ่งก็คือสุขภาพ ยิ่งถ้าเราอยากมีอิสระที่จะเดินไปไหนก็ได้ เที่ยวทั่วโลกได้อย่างมีความสุข กินอะไรก็ได้ เรายิ่งต้องมีวินัยเรื่องการออกกำลังกายและโภชนาการ ยิ่งเรามีวินัยด้านออกกำลังกายและการใช้ชีวิตเพื่อการมีสุขภาพดีมากเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะมีอิสระทางร่างกาย มีเวลาไปเที่ยว สามารถพึ่งตัวเองได้นานยิ่งขึ้นอีกหลายปีหรือเป็นสิบปี ผมต้องป่วยเข้าโรงพยาบาลแทบจะเอาตัวไม่รอดก่อนถึงจะเริ่มเข้าใจ

คุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม อากู๋แห่งแกรมมี่เจ้านายเก่าของผมผู้ซึ่งฟิตปั๋งในวัย 74 ยังวิ่ง 5 กิโลฯ ว่ายน้ำเป็นชั่วโมง ยกเวตอยู่ทุกวัน เคยสอนไว้ว่า คนเรามีความเข้าใจผิดเรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ว่าเป็นธรรมชาติฝืนไม่ได้ แต่จริงๆ แล้ว เราเกิด แก่ แล้วตายได้เลยโดยไม่ต้องเจ็บ ถ้าเรามีวินัยในการออกกำลัง กินอาหารที่ดี มีประโยชน์ เราก็จะไม่ต้องเจ็บป่วยในเวลาที่อายุมาก ซึ่งคุณไพบูลย์ก็เป็น living proof ในเรื่องนี้เป็นอย่างดี

วินัยจะพาเวลา เงินทอง และสุขภาพมาพร้อมกันได้…

Through discipline comes freedom. ยิ่งมีวินัยยิ่งนำมาซึ่งอิสระ เป็นความลับของฟ้าข้อสุดท้ายที่ชัดเจนที่สุดอีกข้อหนึ่งครับ

หลัก 4P+1 ของ ‘บังกะโล’ พัดลมดีไซน์สวยที่แก้ pain point คนแต่งบ้าน โดย โต๋ slowmotion

สำหรับคนรักการแต่งบ้าน พัดลมดูจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าเจ้ากรรมที่คอยตามจองล้างจองผลาญให้บ้านที่ออกแบบตกแต่งมาอย่างดีตกม้าตายในที่สุด 

โต๋–นุติ์ นิ่มสมบุญ ก็เคยประสบปัญหาเดียวกัน 

ปัญหาที่ว่าคืออะไร เราขอเล่าแบบติดสปีด เร็ว แรง เหมือนพัดลมเบอร์สาม

พัดลมบังกะโลเริ่มจากนุติ์ ซึ่งเป็นนักออกแบบเจ้าของสตูดิโอออกแบบชื่อดัง slowmotion เขาไม่ชอบพัดลมพลาสติกที่บ้านของแม่ แล้วที่บ้านแม่มีส่วน semi-outdoor เยอะมาก ยิ่งต้องใช้พัดลมพลาสติกเยอะตามไปด้วย เขารู้สึกขัดใจ และคิดถึงพัดลมเหล็กสมัยเด็ก

วันหนึ่งเพื่อนวัยเด็กผู้เป็นเจ้าของโรงงานผลิตมอเตอร์เปรยขึ้นมาว่าอยากทำพัดลมเหล็กจัง นุติ์ตาลุกวาว จับเข่าคุยว่าใช่เลย อยากทำมาก ถึงไม่มี know-how อะไรสักอย่างแต่ก็จะลุย 

สู้เพื่อพัดลมเหล็ก! 

ความบ้าจี้ในวันนั้นเลยนำพาให้เขาตามหาโรงงานที่มีคุณภาพและคราฟต์พัดลมได้สมใจ จนก้าวมาเป็น CEO แบรนด์พัดลม บังกะโล ในบัดดล

ตัดภาพมาตอนนี้ เราอยู่ในห้องทำงานของนุติ์เรียบร้อยแล้ว ทั้งห้องนอกจากจะตกแต่งสวยงามไม่เสียชื่อนักออกแบบ ยังมีพัดลมตั้งเรียงรายอยู่แทบทั่วทั้งห้อง คอยท้าทายว่าให้มองฉันสิ ฉันอยู่ตรงไหนก็สวยไม่ขัดตา

พาลให้สงสัยว่านอกจากหลักการและความสามารถในการออกแบบที่นุติ์ใช้จนได้พัดลมหน้าตาดีที่ใครเห็นก็ให้คะแนน 10/10 นุติ์ยังใช้หลักการตลาดอะไรมารันแบรนด์พัดลมนี้อีก 

เริ่มถามจากปากเขากัน!

Product
พัดลมบังกะโล วางปุ๊บ ห้องสวยปั๊บ

เพราะนิยามคำว่าโปรดักต์ที่ดีของนุติ์คือ โปรดักต์ที่เห็นแล้วไม่ขัดตา ใช้แล้วไม่ขัดใจ เมื่อคิดอยากทำพัดลมให้ตรงอุดมคติ นักออกแบบอย่างเขาจึงพุ่งเป้าไปที่การพัฒนาหน้าตาของสินค้าเป็นประเด็นแรก  

“เราเริ่มออกแบบจากโลโก้ก่อนเลย โลโก้ต้องสวยก่อน” ผู้ผ่านงานออกแบบโลโก้มานับชิ้นไม่ถ้วนอย่างนุติ์ตอบแกมหัวเราะ แล้วค่อยไล่ถึงส่วนประกอบอื่นๆ ที่เขาใส่ใจลงดีเทลไม่ต่างกัน

ตั้งแต่ฝาตะแกรงเหล็กครอบแบบแบนที่นอกจากจะประกอบด้วยมือ ยังออกแบบโดยใช้สายตาของความเป็นพ่อ ทำให้ถี่เพื่อป้องกันเด็กๆ เอานิ้วแหย่ 

จำนวนของใบพัดที่แม้จะไม่มีผลกับระดับความเย็นแต่ก็ช่วยทำให้ดูเก๋

มอเตอร์ทรงเหลี่ยมที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษของแบรนด์ 

ไปจนถึงสีที่นอกจากจะใช้เซนส์ด้านการออกแบบที่มีอยู่ดั้งเดิม เขายังเอามาผูกรวมกับรูปแบบการแต่งบ้านของคนไทย ที่มีทั้งบ้านไทย บ้านมินิมอล บ้านหวานๆ สไตล์โคโลเนียลชายทะเล 

บังกะโลจึงไม่ใช่แค่เครื่องใช้ไฟฟ้าให้ความเย็น หากแต่เป็นประหนึ่งเฟอร์นิเจอร์ที่จะทำให้บ้านดูเต็มขึ้น

บังกะโล

“เวลาจะออกแบบพัดลมมาสักรุ่นเราจะคิดถึงสถานที่ที่พัดลมจะไปอยู่ก่อน ต้องคิดค่ากลางว่าบ้านแบบนี้ ต้องใช้สีโทนไหนที่เวลาเอาไปตั้งแล้วจะเข้ากันได้กับทุกอย่าง ต้องดูเทรนด์ว่าตอนนี้คนชอบสีอะไร สีไหนกำลังมา แล้วทำให้มีทางเลือกมากกว่าตลาด” นุติ์อธิบาย ยกตัวอย่างให้ฟังถึงวิธีการออกแบบของตัวเอง 

“คนไทยมีบ้านไทย บ้านไม้เยอะ สีดำทองเลยน่าจะเหมาะ แต่ก็ต้องดูรายละเอียดด้วยว่าจะให้เป็นดำด้าน ดำเงา สีทองก็ธรรมดาไม่ได้ ต้องให้ดูเก่าๆ หน่อย มันถึงจะเข้ากับบ้านไทยมากกว่า” 

นุติ์บอกว่าตอนเริ่มทำแบรนด์ เขามองภาพว่าอยากให้บังกะโลเป็นเหมือนกับฮาตาริ เป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่คนทั่วไปยอมรับและใช้งานกันคู่บ้าน เป็นเหมือน SMEG ที่สวยและคุณภาพดี 

นอกจากจะทำหน้าตาให้ดูดี เตรียมเซอร์วิสศูนย์ซ่อมให้พร้อม เขาจึงพยายามนำข้อเสียหรือปัญหาของพัดลมแบบเดิมมาอุดรูรั่วให้มากที่สุด

ในห้องทำงานของเขาจึงเต็มไปด้วยพัดลมบังกะโลทั้งแบบสำเร็จแล้ว และแบบที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา 

“อย่างรุ่น honolulu หน้าตามันอาจจะดูธรรมดา แต่เราทำมาเพื่อร้านอาหาร สังเกตว่าเวลานั่งในที่เอาต์ดอร์คนจะชอบแย่งพัดลมกัน เพราะมันมีไม่พอ เราเลยพยายามเอาเทคโนโลยีเข้ามาใส่ ทำให้ตัวใบพัดข้างในส่ายได้ ลมเลยจะกระจายโดนทุกคน” นุติ์เว้นวรรค

“เวลาคิดจะทำโปรดักต์อะไรขึ้นมาเราจะดูก่อนว่าเราสู้ได้ไหม ถ้าสู้ได้เราก็กล้าบ้า กล้าใส่พลัง เพราะทุนของเราคือความบ้า แต่ถ้าทำออกมาแล้วยังกลางๆ ก็ให้แบรนด์อื่นที่ดีอยู่แล้วเขาขายไปดีกว่า

“ถามว่าทุกวันนี้เราแพ้พัดลมพลาสติกไหม แพ้ ตอบได้ตรงๆ เลย เรื่องแรงลม เราก็สู้ไม่ได้ แต่จุดที่สู้ได้แน่คือวางแล้วเปลี่ยนโลก วางแล้วบ้านสวยเลยนี่แหละ” 

บังกะโล

Price
ให้ราคากับความคราฟต์

แม้พัดลมบังกะโลจะมีราคาสูงกว่าพัดลมในท้องตลาดทั่วไป คืออยู่ที่ 4,000-8,000 บาทโดยประมาณ แต่นุติ์ก็บอกเราด้วยรอยยิ้มว่าช่วงแรกเขามั่นใจเต็มร้อยว่ายังไงก็คงมีคนคอเดียวกันสนใจ 

และที่ราคาสูง ก็มีเหตุผลรองรับ 

เป็นเพราะกระบวนการผลิตนั้นไม่ได้ทำโดยระบบอุตสาหกรรมทั่วไปด้วย นอกจากจะส่งไปผลิตถึงเมืองนอกเพื่อให้ได้มาตรฐานตามที่นุติ์ยอมรับ การผลิตยังเป็นแบบทำมือ ต้องค่อยๆ ขด ค่อยๆ เคาะเหล็กทีละก้าน เพื่อให้เห็นดีเทลความสวย เห็นความแข็งแรง 

“มันเป็นความคราฟต์ที่เรายอมเสีย” เขาว่า “เรารู้แหละว่าถ้าราคาอยู่ที่พันต้นๆ คนจะจ่ายเงินซื้อง่ายกว่า แต่ถ้าจ่ายง่ายแล้วมันพังง่ายด้วย เราก็ขอทำให้ได้ในสิ่งที่เราชอบทั้งดีไซน์ ชอบทั้งคุณภาพออกมาดีกว่า

“เราพยายามคำนวณราคาให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดันทุรังเฉพาะชิ้นส่วนที่จำเป็นกับอายุการใช้งานจริงๆ เท่านั้น อย่างตัวเลขตรงปุ่มปรับระดับลมจริงๆ ก็ยังขัดใจนะ คิดว่าน่าจะทำให้เนี้ยบกว่านี้ได้ แต่ถ้ามันใช้งานได้แล้วก็ไม่ได้กระทบอะไร งั้นก็อย่าไปเพิ่มต้นทุนตรงนี้เลย เลือกเสียเฉพาะส่วนสำคัญๆ ที่ปล่อยผ่านไม่ได้ เช่น ข้อต่อที่เชื่อมกับส่วนหัว ส่วนคอ เปลี่ยนให้เป็นเหล็กทั้งหมดเพื่อที่ว่าจะได้ไม่หักง่าย ยืดอายุการใช้งาน

“อะไรที่จะเป็นปัญหาในอนาคตเราก็เพิ่มบัดเจ็ต เพิ่มสเปกให้มันแข็งแรงอยู่ได้นานขึ้น”

ถึงราคาจะต่ำลงกว่านี้ไม่ได้ แต่ บังกะโล ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ นุติ์กวักมือเรียกลูกค้า บอกว่าเขาก็พยายามออกโปรโมชั่นมาดึงดูดใจลูกค้าบ่อยๆ อยู่เหมือนกัน 

Promotion
ถ้าเข้าใจลูกค้า การส่งเสริมการขายจะได้ผล

“เราลองทำโปรโมชั่นมาหมดแล้ว 3:3 4:4 ตามวันต่างๆ ใน Lazada ในห้าง เข้าร่วมหมดเลย” นุติ์ยืนยัน 

“ทำมาหมดจนมาเข้าใจเอาตอนหลังว่าโปรโมชั่นแบบนั้นมันส่งผลต่อยอดขายน้อย” 

เขาบอกว่าขึ้นชื่อว่าโปรโมชั่น จริงๆ มันก็ได้ผลกับลูกค้าเสมอนั่นแหละ เพียงแต่เท่าที่สังเกตโปรโมชั่นที่ทำงานกับลูกค้าของบังกะโลจะต้องเป็นโปรโมชั่นแบบเข้าใจคน เข้าใจจุดประสงค์ของการนำไปใช้งานมากกว่า

“เหมือนเราต้องช่วยสร้างภาพให้ลูกค้าเห็นนิดนึงว่าช่วงนี้เขาต้องใช้พัดลมแล้วนะ พยายามหาอินไซต์มาขายของ” 

เรื่องคาดไม่ถึงอย่างหนึ่งที่นุติ์ได้จากอินไซต์ก็คือ จริงๆ แล้วช่วงเวลาขายดีของพัดลมไม่ใช่ช่วงหน้าร้อนอย่างที่คิด 

บังกะโล

“บางทีเราลืมคิดไปว่าจริงๆ อากาศเย็นเปิดพัดลมมันเหมาะกว่า แค่เปิดพัดลมตัวเดียวก็จบแล้ว หรืออย่างช่วงเวิร์กฟรอมโฮม ทุกคนก็ตั้งใจเซฟค่าแอร์

“การตั้งชื่อเลยช่วยได้เหมือนกัน เช่น Work From Home Sale, Winter Sale,  Save ค่าไฟ Sale หาอะไรที่รีเลตกับเขามาเป็นตัวเชิญชวน”

นอกจากจะหาเรื่องราวใกล้ตัวมาจุดประเด็นกระตุ้นต่อมช้อปของลูกค้า บังกะโลยังมีการคอลแล็บกับร้านขายดอกไม้อย่าง Plant House เพื่อเนรมิตของขวัญให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น สำหรับใครที่อยากได้พัดลมไปเป็นของขวัญงานขึ้นบ้านใหม่ งานแต่ง หรือแม้แต่งานศพก็สามารถสั่งพัดลมจากบังกะโลแล้วให้ Plant House จัดเป็นเซตดอกไม้ให้ได้ 

กลเม็ดอีกอย่างที่ช่วยเพิ่มยอดขายให้บังกะโลก็คือการคุย การให้คำแนะนำกับลูกค้า ซึ่งวิธีของนุติ์ก็ไม่ธรรมดา เพราะบางทีเขาก็แปลงตัวเป็นอินทีเรียร์ดีไซเนอร์ในคราบแอดมิน รีทัช ตัดแปะพัดลม กับบ้านของลูกค้า เป็นตัวอย่างให้เห็นกันตรงๆ ว่าพัดลมรุ่นไหน สีอะไรจะเหมาะกับบ้านของพวกเขามากที่สุด

บังกะโล

Place
ยิ่งคนเห็นมาก โอกาสขายออกก็มาก

เพราะพัดลมบังกะโลทำมาซะสวยเนี้ยบตรงตามปก หากจะขายแต่ในช่องทางออนไลน์ก็เป็นสิ่งน่าเสียดาย การนำพัดลมไปจัดแสดงจริงให้คนเห็นความสวย เลยเป็นหนึ่งในกลยุทธิ์ที่นุติ์มองว่ามีส่วนช่วยเพิ่มยอดขาย 

นี่เลยเป็นเหตุผลที่ว่าไม่ว่าจะเป็นงานแฟร์อย่างบ้านและสวน หรือตลาดนัดวินเทจอย่าง Made by Legacy บังกะโลจึงขอร่วมออกบูทด้วยตลอด แม้กระทั่งงานออกร้านภริยาทูตเขาก็ไปออกบูทมาแล้ว

“บางที่เรารู้อยู่แล้วว่าขายไม่ได้หรอก แต่อย่างน้อยเราก็ขอไปอธิบาย ไปให้คนเห็น 

“อย่างงานออกร้านภริยาทูต มันจะเป็นฟีลเหมือนเอาของดีของแต่ละที่มาขายกัน อิตาลีเขาก็พาไวน์มาขาย มีน้ำมันมะกอก เราเห็นแล้วก็เออ ใช่ว่ะ งานนี้มีแม่บ้านเลยลองไป แต่กลายเป็นว่าไปแล้วขายไม่ได้เลย คนไม่ได้อยากจะมาซื้อของชิ้นใหญ่ เขาเน้นซื้อของกระจุกกระจิกซะมากกว่า” นุติ์เล่าไปหัวเราะไป ก่อนตอบสิ่งที่เราสงสัยว่าแม่บ้านเกี่ยวข้องยังไงกับเรื่องนี้

คำตอบคือถึงพัดลมบังกะโลจะออกแบบให้ unisex แล้ว แต่นุติ์ก็ยังรู้สึกว่ากลุ่มแม่บ้านคือกลุ่มลูกค้าหลักที่มีอำนาจตัดสินใจซื้อของเข้าบ้านอยู่ดี สถานที่วางขายส่วนใหญ่ที่เขาเลือกไป จึงจำเป็นต้องมีแม่บ้านมาเป็นแขกคนสำคัญ

บังกะโล

“เราเลือกห้างที่เหมาะกับเราด้วย อย่างที่ Chic Republic ก็จะมีคนที่ชอบบ้านสไตล์โคโลเนียลอยู่ หรือเซ็นทรัล ชิดลม ก็จะเห็นเลยว่าคนที่ตัดสินใจซื้อเป็นคุณแม่แน่นอน ส่วนใหญ่ถ้ามาเป็นคู่ภรรยาก็มักจะเป็นคนตัดสินใจ สามีชอบอันไหน ภรรยาเป็นคนตบท้าย”

เพราะแต่ละที่ที่ไปวางขาย คาแร็กเตอร์ของกลุ่มลูกค้าก็ต่างกันชัดเจน เวลาออกงานที เขาจึงต้องเลือกรุ่นให้เหมาะสมกับกลุ่มตลาดนั้นๆ ด้วย

เพื่อยืนยันว่าเมื่อสถานที่ต่าง กลุ่มลูกค้าก็ต่าง นุติ์จึงเล่าถึงช่วงแรกๆ ที่เขาไปออกแฟร์ให้ฟัง

“ช่วงแรกเราจะโดนจัดไปอยู่ที่เครื่องใช้ไฟฟ้าตลอด พอตอนหลังถึงรู้ว่ามันไม่เหมือนกัน อยู่หมวดนั้น เราจะโดนถามแต่เรื่องสเปกของพัดลม กี่เฮิร์ต ซ่อมยังไง ข้างในทำด้วยขดไฟฟ้าแบบไหน ต่างกับตอนย้ายมาฝั่งของแต่งบ้านมาก 

“แต่ข้อดีก็คือตอนนี้เราตอบเรื่องพวกนั้นได้หมดแล้ว ซ่อมยังไง ใช้ไฟแบบไหน เรามีประสบการณ์แนะนำลูกค้าได้ทั้งสองฝั่ง บริการลูกค้าได้ทุกแบบ”

บังกะโล

Placement
ที่เหมาะที่ควร

เมื่อถามนุติ์ว่า ‘P’ สุดท้ายที่เขายึดถือคืออะไร นุติ์รีบตอบแบบไม่ลังเลว่าคงเป็น placement เพราะสิ่งนี้เป็นหัวใจสำคัญที่เขาใช้มาตั้งแต่การคิดชื่อแบรนด์ว่า ‘บังกะโล’ แล้ว 

“เราอยากให้คนนึกภาพว่าได้อยู่ในบ้าน ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ได้อยู่ในที่ที่เขาได้พักผ่อน ตากอากาศ” 

ชื่อรุ่นพัดลมของแบรนด์เลยมีกิมมิกเป็นชื่อเมืองตากอากาศ ที่สะท้อนถึงภาพลักษณ์และลักษณะเด่นของรุ่นนั้นๆ อย่าง Istanbul นุติ์ก็มองว่าเป็นเมืองที่มีทั้งความเป็นตะวันออกและตะวันตก เมืองไม่ได้ดูเป็นเมืองชายทะเลจ๋า สีทองดำจึงเหมาะกับรุ่นนี้ที่สุด หรือ Hampton ก็เป็นพัดลมสีขาวผสมนิกเกิล สะท้อนความหรูหราเช่นเดียวกับเมือง

“เราติดใจกับพัดลมที่บ้านมาตลอด อยากให้พัดลมมันสวยเข้ากับบ้าน ตอนนี้เลยรู้สึกว่ามันค่อยๆ ตรงกับภาพที่เราตั้งใจไว้ตอนแรกแล้ว โรงแรม คน ที่เราอยากให้พัดลมไปอยู่ ก็ได้อยู่แล้ว รู้สึกว่ามันอยู่ได้ถูกที่

“สถานที่ที่เรามีภาพว่าอยากให้มันไปถึง เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด เพราะมันทำให้เราแฮปปี้ ฟูลฟิล

“ย้อนกลับไปตอนต้นไงว่าเราขัดใจเรื่องนี้มาตลอด บางทีดูสัมภาษณ์รายการเยี่ยมบ้าน เอ้า บ้านสวย แต่มาตายที่พัดลม จากวันที่นั่งนึกภาพว่าคนแบบนี้น่าจะมาซื้อของเรา จนวันนี้ที่เขามาซื้อจริงๆ แค่นั้นก็แฮปปี้แล้ว”

บังกะโล

‘เพ้อเจ้อริ่ง’ ศาสตร์แห่งการตั้งชื่อร้านอาหารของ ปลา อัจฉรา แห่งอาณาจักร iberry

iberry คือ ร้านไอศครีมสีสันสดใสที่ทีเด็ดอยู่ที่ไอศครีมผลไม้เมืองร้อนหลากหลายให้เลือกลอง

iBERISTA คือร้านขายกาแฟภายใต้ชายคา iberry Group

กับข้าว’ กับปลา, รส’นิยม, เจริญแกง คือร้านอาหารไทยที่มีสไตล์ที่ต่างกันออกไป

โรงสีโภชนา และข้าวต้มกุ๊ยโรงสี คือร้านขายอาหารสไตล์ไทย-จีน มีทั้งอาหารแบบภัตตาคารและอาหารแบบข้าวต้มกุ๊ย

ฟ้าปลาทาน คือร้านขายข้าวต้มปลา เสิร์ฟส่งถึงบ้านลูกค้าอย่างร้อนๆ แถมสั่งง่ายสั่งสะดวกเพียงแค่ปลายนิ้วคลิก

เบิร์นบุษบา คือร้านขายยำรสแซ่บ เผ็ดสะเด็ดใจ สมกับคอนเซปต์ ‘ยำไฟแล่บ ย่างไฟลุก’ ของร้าน

ทองสมิทธ์ คือร้านก๋วยเตี๋ยวเรือที่แม้ไม่ได้อยู่ในเครือ iberry Group แต่ก็เป็นร้านที่ปลา อัจฉรา ร่วมหุ้นกับเพื่อนๆ ช่วยกันสรรค์สร้างขึ้นมาจนกลายเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเรือชื่อดัง

หากอ่านดูเพียงแค่ชื่อร้านแบบผ่านๆ แค่ทีเดียว บางร้านอาจทำให้เราต้องคิดถึงหลายตลบว่า ตกลงว่าร้านนี้ขายอะไรกันแน่ แต่เมื่อรู้ความเชื่อมโยงระหว่างชื่อกับคอนเซปต์ร้านก็ล้วนประทับใจในศิลปะการตั้งชื่อร้านอาหารที่ไม่เหมือนใครของ ปลา–อัจฉรา บุรารักษ์ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารร้านอาหารในเครือ iberry Group

ชื่อร้านไอศครีมของเธอไม่มีคำว่า ‘ไอศครีม’, ชื่อร้านข้าวต้มของเธอที่ไม่มีคำว่า ‘ข้าวต้ม’ หรือชื่อร้านยำของเธอไม่มีคำว่า ‘ยำ’ นี่ไม่ใช่เพลงใหม่ของเก็ตสึโนวา แต่เป็นแนวทางในการตั้งชื่อร้านของปลา อัจฉรา

ความแหวกแนวและแตกแถวของหลักการการตั้งชื่อร้านของเธออาจทำให้ร้านของเธอดูน่าสนใจและเชิญชวนให้คนเดินเข้าร้าน แต่หากคุณเคยเป็นลูกค้าของร้านอาหารในเครือ iberry Group คุณจะเข้าใจว่า ‘อาหาร’ ในร้านของเธอต่างหาก ที่เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้ากลับมากินซ้ำจนกลายเป็นลูกค้าประจำ

อย่างไรเสีย ชื่อร้านก็คือหน้าต่างบานแรกของหัวใจ ก่อนที่จะพาลูกค้ามารักอาหารในร้านของเธอ

“เชื่อไหมว่าการตั้งชื่อร้านเป็นเรื่องที่ให้ความสำคัญเป็นอันดับ 1 เลยนะเวลาทำแบรนด์” ปลา อัจฉรา กล่าวเปิดการสนทนา พร้อมกับพรั่งพรูถึงหลักการในการตั้งชื่อแบรนด์ของเธอ

“ถ้าชื่อแบรนด์เราดี มันจะเป็นต้นทุนที่ดีในการคลอดแบรนด์ มันช่วยเรื่องการมองเห็น การจดจำ การรับรู้ของคน ถ้าเรา pick ชื่อที่ใช่ มันจะส่งให้แบรนด์เราติดตลาดได้เลยนะ พอคิดได้ว่าเราอยากจะขายอะไร เราก็เริ่มคิดชื่อเลย แล้วก็ตอนที่เราตั้งชื่อแบรนด์ เราแทนตัวแบรนด์นั้นให้เป็นคนนะ แต่ละแบรนด์เลยจะมีคาแร็กเตอร์ที่เป็นคนที่ลุคต่างกันออกไป”

ปลา อัจฉรา บัญญัติศัพท์ใหม่ในพจนานุกรมของเธอเองว่า เธอใช้หลักการ ‘เพ้อเจ้อริ่ง’ ในการตั้งชื่อแบรนด์ แต่ละครั้งที่เธอ ‘เพ้อเจ้อริ่ง’ อาจจะใช้เวลานานเป็นเดือน หรือหลายเดือน ก่อนที่จะคลอดแบรนด์นั้นออกมา

และนี่คือเบื้องหลังความคิดการตั้งชื่อแบรนด์แต่ละชื่อจากปลายปากกาของเธอ ที่อาจทำให้คุณงุนงงในแวบแรกแต่หลงรักในแวบสองด้วยคุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหารและรสชาติที่ถูกปากคนไทย

iberry

ร้านไอศครีมที่ทำให้ไอศครีมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป 

ในวันนี้ที่เรามีไอศครีมกินกันอย่างหลากหลายในทุกรูปแบบ เราคงคิดกันไม่ออกเลยว่า เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ไอศครีมเป็นที่ฮือฮามากๆ คือไอศครีมที่เลือกเอาผลไม้แบบไทยๆ มาใช้เป็นส่วนผสมของไอศครีม เช่น กระท้อน มะยม น้อยหน่า

นี่คือส่วนผสมที่เลือกสรรจนเป็นที่มาของไอศครีมร้าน iberry ที่ทำให้เรารู้จักคำว่า ‘ความคิดสร้างสรรค์’ ผ่านของกินเล่นหวานเย็นในถ้วยเล็กๆ นี้ จนเกิดกระแสทอล์กออฟเดอะทาวน์

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของฉายา ‘ปลา iberry’

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1999 สมัยที่อินเทอร์เน็ตยังไม่ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับการหายใจเข้า-ออกของผู้คนอย่างทุกวันนี้ วิถีทางที่จะตามล่าหาร้านอาหาร ร้านขนมอร่อยๆ สักร้าน คงจะหนีไม่พ้นการแนะนำแบบปากต่อปาก จากเพื่อนสู่เพื่อนบอกกันต่อเป็นทอดๆ ออกไปเรื่อยๆ

ช่วงนั้นเอง ประชาชนชาวสุขุมวิททั้งคนไทย คนต่างชาติต่างพากันฮือฮาพูดถึงร้านไอศครีมน้องใหม่ใจกลางเมืองที่ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 24 ว่าเป็นร้านที่เสิร์ฟไอศครีมรสชาติแปลกใหม่ มีไอศครีมรสผลไม้ให้เลือกมากมาย ทั้งผลไม้ไทย ผลไม้เทศ หรือจะเป็นไอศครีมรสชาติคลาสสิกแบบนิยมนมเนย ก็มีให้เลือกเช่นกัน แถมโลโก้ สีสัน การตกแต่งของร้านก็ดูสดใสแปลกตา ช่วงนั้นถ้าแวะไป (สุขุมวิท) ซอย 24 ไม่มีใครไม่พูดถึงร้านนี้ ‘iberry’

“iberry เกิดจากการผสมคำของเราเอง คือ ice cream บวกกับคำว่า berry” 

นี่คือความคิดตั้งต้นของการเปิดร้านไอศครีมในวัย 22 ของปลา อัจฉรา การเอาคำว่าไอศครีมซึ่งเป็นสินค้าชูโรงของแบรนด์ มาผนวกกับเบอร์รีซึ่งเป็นผลไม้ตระกูลเปรี้ยวที่นิยมเอามาผสมให้เป็นส่วนหนึ่งของรสชาติไอศครีม ทั้งสตรอว์เบอร์รี, บลูเบอร์รี, ราสเบอร์รี, กูสเบอร์รี จึงเป็นที่มาของจุดเริ่มต้นของคำว่า iberry และอาณาจักรร้านอาหารก็เริ่มต้นที่นี่

“ตอนนั้นเราเปิดร้านตอนอายุ 22 iberry คือตัวเราเองเลย เป็นผู้หญิงวัยรุ่น มันคือตัวเราในตอนนั้นเลย”

ทุกอย่างจึงถูกสะท้อนออกมาในแนวทางนั้น ทั้งสีสันสดใส กราฟิกน่ารักมีสไตล์ถูกถ่ายทอดออกมาจากลักษณะของเจ้าของแบรนด์ iberry ในวัย 20 ต้นๆ

กับข้าว’ กับปลา

กินข้าวที่ไหนก็เหมือนได้กินข้าวกับปลา อัจฉรา

หาก ‘iberry’ นำเสนอความเป็นปลา อัจฉรา ที่แสน ’เปรี้ยวจี๊ด’ ในวัย 22 

ร้าน ‘กับข้าว กับปลา’ ก็คงเป็นร้านอาหารที่นำเสนอความเป็นปลา อัจฉรา ในวัยที่มีวุฒิภาวะมากขึ้น เป็นวัยที่เรียนรู้เรื่องราวของธุรกิจร้านอาหารมาพอตัว จนอยากเชิญชวนทุกคนมานั่งกินกับข้าว’ กับปลา (อัจฉรา)

อาหารไทยหลากหลายเมนู มีทั้งที่เป็นจานเดี่ยวกินง่ายๆ อย่างก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ก๋วยจั๊บญวน จนถึง ‘กับ’ ที่กินกับ ‘ข้าว’ แบรนด์นี้ถือเป็นแบรนด์ที่สองของเธอที่ขยายฐานจากแค่ขายไอศครีมมาขายอาหารคาวอย่างเต็มตัว

ชื่อ กับข้าว’ กับปลา เป็นชื่อที่สรุปรวมความทั้งการสื่อสารกับลูกค้าว่าร้านนี้ขายสิ่งใดบ้าง ไปจนถึงการสื่อสารกับลูกค้าว่าถ้าคุณเดินเข้ามาในร้านนี้ เท่ากับว่าคุณกำลังกินข้าว ‘กับปลา (อัจฉรา)’

ตอนตั้งชื่อนี้เรารีเลตถึงตัวเราเองนี่แหละ เราคิดว่าจะขายของที่เป็น sharing goods ที่คนแบ่งกันทานบนโต๊ะ มันก็คือพวกกับข้าวใช่ไหม แล้วก็คิดถึงชื่อตัวเราเอง เลยออกมาเป็นกับข้าว’ กับปลา”

“ถ้าเปรียบเป็นคน เราว่ากับข้าว’ กับปลา เป็นผู้หญิงที่มีความโมเดิร์นนะ มีความ authentic แล้วก็รสนิยมดี”

รส’นิยม

อาหารรสมือคุณป้า

ร้านอาหารไทย ขายอาหารกินง่ายๆ ที่เป็นเมนูยอดนิยมสำหรับคนไทย ทั้งขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้, ข้าวราดกะเพรา, ผัดไทย, ลูกชิ้นทอด แบรนด์ที่ 3 ตามมาหลังจากที่การบุกเบิกเส้นทางร้านอาหารคาวของกับข้าว’ กับปลาสำเร็จไปด้วยดี

หลังจากที่เป้าหมายชัดเจนแล้วว่า อยากจะขายของกินที่เป็นที่นิยมของคนทั่วไป ชื่อ รส’นิยม จึงถือเป็นชื่อที่ถูกตั้งตามโจทย์ของที่จะขายเป็นอย่างดี

“เราคิดถึงการเป็นรสชาติที่เป็นที่นิยมนะ กับคำว่า good taste การมีรสนิยมที่ดี คิดไปคิดมาเลยออกมาเป็นชื่อ รส’นิยม แล้วเชฟคนแรกของร้านนี้เป็นคุณป้าคนนึงซึ่งเข้ากับบุคลิกของแบรนด์นี้เลย เรารู้สึกว่าเวลานึกถึงแบรนด์นี้ เรานึกถึงคุณป้าโบราณๆ ทำอาหารอร่อยๆ คนนึงมานั่งทำกับข้าวให้เรากิน”

iberry

iBERISTA

ร้านกาแฟในนิยามของอัจฉรา

เราอาจคุ้นชินกับร้าน iberry แต่อาจไม่ได้คุ้นเคยกับคำว่า iBERISTA สักเท่าไหร่นัก นั่นเป็นเพราะว่าการเปิดแบรนด์ iBERISTA อาจเรียกได้ว่าเป็นการเปิดแบรนด์ด้วยความบังเอิญ

ความบังเอิญที่ว่า คือการได้พื้นที่ที่จะเปิดร้าน กับข้าว’ กับปลา สาขาเกษรพลาซ่ามาค่อนข้างใหญ่ ปลา อัจฉราเลยคิดว่า อย่าว่ากระนั้นเลย ลองขยายไลน์จาก iberry ดูก็ไม่เห็นเสียหาย ถ้าอย่างนั้นเปิดเป็นร้านกาแฟเลยก็แล้วกัน ร้าน ‘iBERISTA’ จึงถือกำเนิดขึ้นที่นี่เป็นที่แรก

“iBERISTA นี่เป็นการรวมคำของเราเลย คือเอา iberry บวก barista ตอนนั้นเรากำลังจะเปิดร้าน แล้วเราได้พื้นที่มาค่อนข้างใหญ่ เลยคิดว่า เออ ขายกาแฟดีกว่า เป็นชื่อ iBERISTA ก็แล้วกัน คาแร็กเตอร์ของแบรนด์นี้คือคนชงกาแฟเลย ให้นึกถึงบาริสต้าที่ยืนชงกาแฟให้เรา แบรนด์นี้คือแบบนั้นเลย”

iberry

โรงสีโภชนา

ร้านอาหารที่เล่าเรื่องเหลา

หากเปรียบการเปิดธุรกิจร้านอาหารของปลา อัจฉรา เป็นหนัง ‘ไตรภาค’ แล้ว มาถึงจุดนี้เธอมีโอกาสเปิดร้านอาหารไทย ร้านไอศครีม ร้านกาแฟ และสอบผ่านในสามด่านสำคัญของธุรกิจอาหารมาแล้วทั้งสิ้น

เส้นทางสายใหม่จึงเริ่มขึ้น เธอริเริ่มอยากทดลองเปิดตลาดร้านอาหารที่เธอไม่เคยเยื้องกรายเข้าไป นั่นคือร้านอาหารแนวไทย-จีน

เดิมที ‘โรงสีโภชนา’ ไม่ใช่ชื่อแรกของแบรนด์นี้ แต่แรกเริ่มแบรนด์นี้เกิดมาจากการไปได้พื้นที่ในการเปิดร้านที่ล้ง 1919 แถบเจริญนคร ปลา อัจฉรา เดินตรวจตราพื้นที่ก่อนตัดสินใจว่าเธอจะเช่าพื้นที่ตรงนี้เพื่อขยายอาณาจักรของเธอดีหรือไม่ อาจจะเพราะลมเย็นๆ ที่พัดโชยอ่อนจากริมเจ้าพระยา หรืออาจจะเพราะกลิ่นสดชื่นของอากาศริมน้ำที่ทำให้นักธุรกิจสาวคนนี้ตัดสินใจเช่าพื้นที่ตรงนั้น

“เราก็เดินดูพื้นที่รอบๆ ทีนี้เราเห็นว่าพื้นที่มันตั้งอยู่ริมน้ำ ตรงล้ง 1919 มันเคยเป็นโกดังเก็บข้าวมาก่อน เราก็เลยคิดถึงคำว่า โรงสี ขึ้นมา ประกอบกับมันอยู่ริมน้ำ เลยเอาเป็น โรงสีริมน้ำ ก็แล้วกัน ทีนี้พอเราย้ายร้านนี้ไปที่หลังสวน (ซึ่งพื้นที่ตรงหลังสวนไม่ได้ติดริมน้ำ) แต่เราก็ยังอยากให้มัน Chinese อยู่ ประกอบกับเราอยากใช้คำที่มันโบราณๆ ที่มันสื่อถึงความเป็นร้านอาหารและ old school ก็เลยคิดถึงคำว่า ‘โภชนา’ ขึ้นมาได้ ก็เลยเอามาผสมกัน เป็น ‘โรงสีโภชนา’

“แสดงว่าคาแร็กเตอร์ของ ‘โรงสีโภชนา’ คืออาเจ็กหรืออาแปะจีนๆ ใส่เสื้อสีขาว กางเกงผ้าแพรมายืนผัดผักบุ้งให้เราใช่ไหม” เราสงสัย

“นี่แสดงว่าเราประสบความสำเร็จนะ ที่ทำให้คนสามารถเห็นภาพตามแบบที่เราเห็นได้” ปลา อัจฉราตอบพลางแย้มยิ้มดีใจที่จิ๊กซอว์ที่เธอวางเอาไว้ถูกนำมาต่อเป็นภาพรวมกันจนลูกค้าสามารถเกิดภาพเห็นเป็นภาพเดียวกับที่เธอจินตนาการ

นึกถึงขนมผักกาด, เป็ดพะโล้, ผัดถั่วแขก, หรือปลาหมึกทอดคั่วพริกเกลือแบบจีนๆ เมื่อไหร่ โรงสีโภชนาคือคำตอบ

iberry

ข้าวต้มกุ๊ยโรงสี

ลูกพี่ลูกน้องของโรงสีโภชนา

“จริงๆ แล้วเรียก ข้าวต้มกุ๊ยโรงสี ว่าเป็น subset ของโรงสีโภชนาจะเหมาะกว่า” 

ปลา อัจฉราเปรยขึ้นก่อนเล่าถึงแบรนด์ที่เปิดขายเมนูจำพวกข้าวต้มกุ๊ยและกับข้าวในแพลตฟอร์มออนไลน์ delivery

“ไอเดียมันเกิดจากการที่เราอยากเติม transaction ช่วงเย็นแล้วเห็นช่องว่างตรงนี้ เพราะมันดูเหมือนกับว่าตอนเย็นคนเขาอาจจะไม่ได้อยากกินอาหารหนักๆ แล้ว เราเลยคิดว่าทำแบรนด์นี้มาขายใน cloud kitchen ดีกว่า พวกข้าวต้มกุ๊ยนี่แหละ มีกลิ่นความเป็นจีน ความเป็นแต้จิ๋วมากๆ เลยเรียกมันว่า ข้าวต้มกุ๊ยโรงสี” 

iberry

ทองสมิทธ์

หล่อเหลา หรูหรา วากิว

นาทีนี้ถนนทุกสายของคนรักก๋วยเตี๋ยวเรือเนื้อวากิว คงมุ่งหน้าตรงกันเพื่อไปที่ ‘ทองสมิทธ์’ ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือพรีเมียมที่มีดีตั้งแต่รสน้ำซุป เส้นก๋วยเตี๋ยว ความสดของเนื้อหมู เนื้อวัว หรือจะเป็นกากหมูเจียวที่ถึงแม้ว่าคุณจะกำลังลดความอ้วนอยู่ แต่ถ้าคุณไปถึงทองสมิทธ์ยังไงคุณก็ต้องสั่ง

อันที่จริงทองสมิทธ์ไม่ได้อยู่ภายใต้เครือร้านอาหาร iberry Group แต่เป็นแบรนด์ที่ปลา อัจฉราร่วมหุ้นกับเพื่อนๆ สร้างแบรนด์นี้ขึ้นมา ซึ่งการตั้งชื่อแบรนด์ว่า ‘ทองสมิทธ์’ เกิดจากการระดมสมองของทั้งเธอและเพื่อนๆ ในทีม

“เรามีกรุ๊ปไลน์กัน แล้วพี่ก็โยนไปในกลุ่มว่า เราชอบคำว่า ‘ทอง’ นะ มันดูหนักแน่น สื่อถึงความหรูหรา ดูมีคุณค่า ทีนี้เราเลยลองหาคำมาผสมกัน เลยคิดถึงคำว่า ‘สัมฤทธิ์’ คือทำอะไรก็สัมฤทธิ์ผล และก็ไปค้นดู ไปเจอว่าคำว่า ‘สมิทธ์’ ซึ่งมันมีรากศัพท์มาจากที่เดียวกันนะสองคำนี้ (คำว่า สัมฤทธิ์กับสมิทธ์) ลองเอาคำว่า ทอง กับ สมิทธ์ มาผสมกัน ปรากฏว่าเป็นคำที่เพราะเลย เขียนสวยด้วยทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ฝรั่งก็ออกเสียงง่ายด้วยนะ

“เลยเป็นทองสมิทธ์นี่แหละ”

แม้ว่าจะเป็นแบรนด์ที่ทำกับเพื่อนๆ แต่ปลา อัจฉราก็ไม่วายเห็นภาพ ‘ทองสมิทธ์’ เป็นตัวละครในหัวจนได้ “เราคิดว่า ‘ทองสมิทธ์’ คือหนุ่มนักเรียนนอกนะ แบบสมัย ร.5 ที่ไปเรียนเมืองนอก แล้วโก้ๆ”

iberry

เจริญแกง

ชื่อร้านที่คัดมาจาก 108 ชื่อที่ตั้งไว้

“งานด่วนมาก (ลากเสียงยาว) แบรนด์นี้ พอโควิดมาเราต้องรีบหาทางจัดการวัตถุดิบที่มี แบรนด์นี้เลยเกิดเร็วมาก ‘เจริญแกง’ นี่คลอดเร็วมาก” 

ตั้งแต่คุยกันมานี่คือแบรนด์ที่ปลา อัจฉราออกปากว่า เป็นแบรนด์ที่เกิดขึ้นเร็วที่สุด

“เราเริ่มมานั่งคิดว่า จริงๆ แล้ว ข้าวแกงที่มันอร่อยๆ หากินยากนะ ว่าไหม แล้วด้วยช่องว่างที่หาข้าวแกงได้ยากในแพลตฟอร์ม delivery เราเลยคิดว่า เอาล่ะ จะขายข้าวแกง (หัวเราะ) แล้วก็ออกมาเป็นชื่อนี้เลย เจริญแกง”

แต่ก่อนจะมาเป็นชื่อนี้ ปลา อัจฉราย้อนเล่าว่าเธอคิดมาเป็น 108 ชื่อ ขนาดที่เธอบ่นว่าเป็นงานรีบงานด่วนก็ยังไม่วายวางมาตรฐานว่าต้องเป็นชื่อที่ถูกใจเสียก่อนในบรรดา 108 ชื่อ กว่าจะเป็น ‘เจริญแกง’ ซึ่งพอเอ่ยถามถึงคาแร็กเตอร์ตัวละครของเจริญแกง ปลา อัจฉราตอบอย่างทันควันว่า

“เป็นคุณแม่เลย กับข้าวที่ขายในเจริญแกงนี่กับข้าวแบบรสมือแม่เลยนะ เพราะฉะนั้นแบรนด์นี้คือคุณแม่เลย” 

คุณแม่ที่ทำกับข้าวแบบโฮมเมด ใช้ของคุณภาพดีทำกับข้าวรอเรากลับมากินข้าวยามเย็นที่บ้าน อย่างไข่พะโล้หมูสามชั้น, หมูก้อนทอด 3 เกลอ หรือแกงจืดมะระผักกาดดองกระดูกหมู

iberry

ฟ้าปลาทาน

ชื่อนี้ที่ฟ้าประทาน

ร้านฟ้าประทาน ไม่ใช่ว่า ฟ้าที่ไหนมาประทาน แต่คือ ปลา อัจฉราที่ตั้งชื่อและคลอดแบรนด์นี้ เพื่อให้คนมากินข้าวต้มปลา (อ่านแล้วอย่าเพิ่งงงกันนะว่ามีกี่ปลาในย่อหน้านี้)

ร้านข้าวต้มสารพัดปลาที่คุณสรรหา คุณจะพบได้ที่ ‘ฟ้าปลาทาน’ ไม่ว่าจะเก๋า, กะพง, จะละเม็ดทอง หรือจะหมึกและกุ้ง คุณจะอิ่มหนำได้ร้อนๆ แบบสบายท้องที่แบรนด์นี้แหละ

“เราคิดอยากขายข้าวต้มปลาอร่อยๆ เลยเริ่มคิดว่า เอ…เราจะตั้งชื่อยังไงดีให้มีคำว่า ‘ปลา’ อยู่ในชื่อแบรนด์ แบรนด์นี้พี่ก็เหมือนเดิมนะ คือไม่มีหลักเกณฑ์ในการตั้งชื่อ ลองผสมคำไปเรื่อยๆ อยากได้คำที่มีความหมายใหม่ๆ” ครั้นพอเธอคิดถึงคำว่า ‘ฟ้าประทาน’ ขึ้นมาได้ ไอเดียจึงเริ่มบังเกิด

“ฟ้าปลาทาน ชื่อนี้แหละมันทำให้เรารู้สึกว่า โหย อร่อยเหมือนฟ้าประทาน ฟ้าส่งมาให้เลย”

เมื่อเราพูดถึงข้าวต้ม คงจะหนีไม่พ้นที่จะจินตนาการถึงคนจีน อาตี๋ อาหมวย ปลา อัจฉรา ก็เช่นกัน

“ฟ้าปลาทาน คืออาหมวย อาซ้อ แบบที่ชอบกินข้าวต้มร้อนๆ อร่อยๆ แบบนั้นเลย”

iberry

เบิร์นบุษบา

น้องสาวคนเล็กของบ้าน iberry Group

น้องสาวคนเล็กของบ้าน iberry Group ที่ขายของเผ็ดจานเด็ดๆ ที่สาวกยำ ตำ ต้องชอบ ปลา อัจฉราตั้งต้นที่เดิมตรงที่ว่า เธอคิดถึงโปรดักต์ที่เธอจะนำมาขายก่อนแล้วจึงคิดชื่อตามขึ้นมา

“เราไม่อยากตั้งชื่อร้านยำให้มีคำว่า ยำ ต้องไม่มีคำว่า ยำ แซ่บ เผ็ด” 

โจทย์ข้อนี้ของเธอดูเรียบง่ายแต่ซับซ้อน คุณจะบอกคนอื่นได้ยังไงว่าคุณขายของเผ็ด โดยไม่มีคำว่าเผ็ดอยู่ในชื่อร้านเลย

แล้วร้านขายของเผ็ดที่ไม่มีคำว่าเผ็ดจะเป็นยังไง

“เราพยายามคิดชื่อที่เรียบง่าย อินเตอร์ คือชื่อมันต้องเผ็ดร้อนนั่นแหละ ต้อง catchy, แปลก, เรียบง่าย, ฟังครั้งเดียวต้องจำได้เลย แล้วพี่อยากสื่อถึงความเป็นไทยด้วย พอนึกถึง ‘บุษบา’ ก็คิดว่า เออ ฝรั่งออกเสียงได้นะคำนี้ แล้วเราก็ลองหาคำมาสมาสดู” 

“เลยได้เป็นเบิร์นบุษบา”

เมื่อถามถึงคาแร็กเตอร์ของ ‘เบิร์นบุษบา’ ว่าคือตัวละครแบบไหน ปลา อัจฉราตอบกลับมาอย่างทันควันว่า

“เป็นเจ๊เลย เจ๊ขายยำเผ็ดๆ แซ่บๆ เลยนะ จะเห็นว่าทุกช่องทางการสื่อสารของเบิร์นบุษบา จะเรียกแทนตัวเองว่า เจ๊เสมอเลย เพราะภาพในหัวพี่ก็เห็นเป็นแบบนั้น”

สังเกตว่า ทุกครั้งที่ปลา อัจฉราพูดถึงที่มาของแบรนด์และการตั้งชื่อแบรนด์ เธอมักจะใช้คำว่า ‘คลอด’ อาจเป็นเพราะเธอรักแบรนด์แต่ละแบรนด์ของเธอประหนึ่งลูกสาวลูกชาย ที่กว่าจะชุบชูปลุกปั้นขึ้นมาได้เธอใช้ทั้งพลังสมอง พลังกาย พลังใจไปไม่น้อย และเหมือนดั่งเธออ่านใจเราออก ก่อนปิดการสนทนาเธอจึงเปรยขึ้นเองว่า

“ขนาดเรามีลูก เรายังอยากให้ลูกเราสวยเก๋เลย ฉะนั้นพอเราจะคิดชื่อแต่ละทีเราคิดอย่างดีเลยล่ะ”

ปลา อัจฉราบอกว่าเธอไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ ทั้งสิ้น นำคำมาผสม ประกอบกันไปเรื่อยๆ จนเมื่อหัวใจเธอมันบอกว่าชื่อนี้แหละที่ ‘ใช่’ เธอจึงจะตกลงใจใช้ชื่อนั้น เมื่อไหร่ที่เธอมีธงในใจว่าจะต้องตั้งชื่อแบรนด์ เธอจะใช้สมองคิดชื่อแบรนด์ตลอดเวลา คิดทุกนาที บางครั้งก็นานเป็นหลายเดือน

“อย่างตอนนี้ที่เราคุยกัน เราก็คิดอยู่นะ ระหว่างคุยกันสมองส่วนหนึ่งของเราก็คิดชื่อไปด้วยนะ เชื่อไหม”

ตามหาแม่บ้านให้เกา Fast & Feel Love ‘ธุรกิจแม่บ้านออนไลน์’ เทรนด์สำหรับคนไม่มีเวลา

ว่ากันว่าในบรรดาหมวดภาพยนตร์ทั้งหมด หนังตลกถือเป็นหมวดที่ทำยากที่สุดเพราะเส้นความขำของคนดูแต่ละคนแตกต่างกัน อย่างเราเองจะขำหึๆ กับมุกกะเทยด่ากันในหนังพชร์ อานนท์, ตลกความดั้นด้นของตัวละครในหนังของ Paul Feig แต่ไม่เคยหลุดก๊ากกับตลกสังขารในหนังเรื่องไหนเลยสักเรื่อง

Fast and Feel Love เป็นหนังเรื่องที่ 8 ของเต๋อ–นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ที่ออกตัวว่าเป็นแนวแอ็กชั่น-คอเมดี้ตั้งแต่แรกโปรโมต และอาจเป็นโชคดีของเราที่จูนติดกับเซนส์ความตลกของนวพลได้เสมอ (แม้ว่าเรื่องที่ผ่านมาจะไม่ได้เป็นแนวตลกจ๋า) ตลอด 2 ชั่วโมงกว่าๆ ของเรากับหนังเรื่องนี้จึงเต็มไปด้วยการขำหึๆ ขำก๊าก ไปจนถึงขำจนต้องตบเข่า

Fast and Feel Love เล่าเรื่องของ ‘เกา’ (ณัฏฐ์ กิจจริต) นักกีฬา Sport Stacking ที่รักกีฬาคว่ำแก้วมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เขาฝึกฝนจนเชี่ยวชาญและพาตัวเองไปเป็นแชมป์โลกได้สำเร็จ โดยมีแรงสนับสนุนของ ‘เจ’ (อุรัสยา เสปอร์บันด์) แฟนสาวที่คอยจัดการทุกอย่างในชีวิตซัพพอร์ตอยู่เบื้องหลัง เป็นทุกอย่างที่หมายถึงทุกอย่างจริงๆ ตั้งแต่จัดการเอกสารส่วนตัวของเกา ซื้อบ้าน ทำความสะอาดบ้าน พาแม่เกาไปวัด ฯลฯ ทั้งหมดทั้งมวลเพื่ออยากให้เกาได้โฟกัสเรื่องการฝึกคว่ำแก้ว ไม่เสียเวลาไปกับการทำ ‘อย่างอื่น’

รู้ตัวอีกที เกากับเจก็อยู่กันมาแบบนี้จนอายุ 30 ในวัยนี้เจได้ค้นพบความฝันที่อาจซ่อนอยู่ลึกๆ ในใจของเธอมานาน นั่นคือการมีลูกและมีครอบครัวที่อบอุ่น ในเวลาเดียวกัน การแข่งขันคว่ำแก้วระดับโลกก็ประกาศว่าปีนี้จะเป็นปีแรกที่พวกเขาแข่งขันกันแบบออนไลน์ ผู้ชนะจะได้ไปทัวร์รอบโลก เกาผู้อยากไปจากที่นี่มานานก็พบว่าความฝันของเขากับแฟนไม่ได้ดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน

นี่คือเวลาที่พวกเขาต้องเดินออกจากชีวิตกัน เกาต้องฝึกฝนกีฬาคว่ำแก้ว ขณะเดียวกันก็ต้องฝึกฝนการใช้ชีวิตคนเดียว

ในความเพลิดเพลินจากมุกตลกที่ปล่อยมาแบบไม่บันยะบันยัง Fast and Feel Love มีหัวใจที่พูดถึงเรื่องความฝันและ ‘อย่างอื่น’ ในชีวิตที่อาจดูไม่ยิ่งใหญ่เท่าฝัน แต่สำคัญพอๆ กัน เราสนุกกับการได้เห็นเกาเอาตัวรอดจากปัญหาต่างๆ ที่ประดังประเดเข้ามาหาเขาอย่างไม่บันยะบังยัง ทั้งปั๊มน้ำดัง งูเข้าบ้าน เปลี่ยนผ้าปูที่นอน คีบเศษเส้นผมในห้องน้ำไปทิ้ง ฯลฯ ซึ่งบางทีเป็นปัญหาที่หลายคนมองว่าต้องเจอในชีวิตประจำวันแต่เกากลับไม่เคยแก้ด้วยตัวเอง  

สารพัดเรื่องจุกจิกทั้งหลายเข้ามากวนใจจนถึงจุดที่ชายหนุ่มทนไม่ไหว เขาจึงมองหาใครสักคนมาช่วย อาจเป็นโชคดีของเกาที่ได้เจอ ‘เมทัล’ (อนุสรา กอสัมพันธ์) แม่บ้านผู้ทำงานในคลาสเรียนแสต็กที่เขาไปสอนพอดี การดีลให้มาช่วยงานที่บ้านจึงเกิดขึ้น

เราเชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยประสบปัญหาเดียวกับเกา บางทียุ่งกับเรื่องอื่นจนไม่เหลือเวลาทำงานบ้าน จะปล่อยให้บ้านสกปรกก็ทนอยู่ไม่ไหว (มีผลสำรวจออกมาว่าบ้านที่สะอาดนั้นส่งผลต่อสุขภาพจิตและสมรรถภาพในการทำสิ่งต่างๆ ของเราโดยตรง) และหนึ่งในทางที่แก้ปัญหาได้ชะงัดคือการหาคนมาทำแทน 

Fast & Feel Love

ทุกวันนี้แม่บ้านไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ที่บ้านใครบ้านมันอีกต่อไป และไม่ได้จำกัดว่าจะต้องทำใน ‘บ้าน’ เท่านั้น ในระดับสากล อุตสาหกรรมการทำงานบ้านนั้นถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ป๊อปปูลาร์มากที่สุดในยุคโรคระบาด Franchisehelp.com ระบุว่าในปี 2020 มีเงินหมุนเวียนอยู่ใน cleaning industry กว่า 46 ล้านล้านบาท มีคนที่ทำงานในอุตสาหกรรมนี้มากถึง 1.7 ล้านคนในอเมริกา และจะเติบโตขึ้นอีก 10% ในปี 2026 

โดยกลุ่มที่ใช้บริการมากที่สุดตามผลสำรวจ ก็คือคนกลุ่มที่มีอายุระหว่าง 30-50 ปี (วัยเดียวกับเกาใน Fast and Feel Love นั่นแหละ) แถมการถูกจ้างงานให้ไปทำความสะอาดสถานที่อื่นนอกจากบ้าน เช่น ออฟฟิศ ก็มีมากถึง 55% นอกจากนี้ยังมีบริการทำความสะอาดเฉพาะจุดที่ผุดขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการพิเศษ เช่น บริการทำความสะอาดหน้าต่าง พื้น และพรมที่ต้องใช้อุปกรณ์และความเชี่ยวชาญพิเศษในการดูแล เป็นต้น

หันกลับมามองในบ้านเรา นอกจากบริษัทจัดหาแม่บ้านที่เราสามารถโทรไปปรึกษาและเลือกใช้บริการตามความต้องการของเราได้แล้ว ไม่กี่ปีมานี้เรายังเห็นธุรกิจทำความสะอาดเติบโตในโลกออนไลน์ มีแอพพลิเคชั่นแม่บ้านออนไลน์มากมายที่เรียกใช้ได้แค่ปลายนิ้ว แถมยังช่วยสร้างงานสร้างเงินให้กับกลุ่มแม่บ้านในช่วงวิกฤตโรคระบาด

หนึ่งในนั้นคือ BeNeat ธุรกิจแม่บ้านออนไลน์ที่ให้บริการเน้นคุณภาพทั้งงานทำความสะอาดและการบริการลูกค้า (customer service) โดยมาพร้อมอุปกรณ์และน้ำยาทำความสะอาด แถมยังมีประกันความเสียหายให้ลูกค้าด้วย แม่บ้านในแอพฯ ก็มีหลายประเภท ทั่งคนที่ทำงานบ้านเป็นงานประจำอยู่แล้วกับคนที่อยากรับจ๊อบเสริมในเวลาว่าง ซึ่งบางคนมีรายได้มากที่สุดต่อเดือนสูงถึง 40,000 บาทเลยทีเดียว ถือเป็นเทรนด์ใหม่ที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับคนอยากหารายได้เสริมในยุคเศรษฐกิจฝืดเคือง (แต่เหนืออื่นใดคือแม่บ้านทุกคนต้องผ่านการเทรนให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพก่อนนะ)

นอกจากแม่บ้าน ยังมีอาชีพเฉพาะอีกหลายอย่างที่มีแอพพลิเคชั่นให้บริการ อย่างช่างประปา ช่างแอร์ และช่างไฟฟ้า ที่เราสามารถเรียกมาใช้บริการได้เช่นกัน

คิดขำๆ แค่เกามีมือถือเครื่องเดียวก็หาทุกคนมาทำงานให้ตัวเองได้หมดแล้ว เจก็เจเถอะ

Fast & Feel Love

อ้างอิง

checkraka.com

franchisehelp.com

youtube.com/watch?v=SCptRCvX-yI

วิธีทำธุรกิจที่ทำให้ DEX อยู่กับเด็กไทยมาได้ 23 ปี ตั้งแต่กันดั้ม วันพีซ มาจนถึงดาบพิฆาตอสูร 

ในขณะที่เพื่อนร่วมคณะวิศวฯ จุฬาฯ แยกย้ายไปทำงานเป็นวิศวกรตามโรงงานรถยนต์หลังเรียนจบ เช่นเดียวกับ กฤษณ์ สกุลพานิช ทว่าโรงงานที่วิศวกรหนุ่มอย่างเขาเลือกทำนั้นไม่ได้ผลิตรถยนต์ที่เห็นกันตามท้องถนน แต่เป็นโรงงาน Bandai ที่ผลิตรถยนต์ของเล่นอย่าง Tamiya

เมื่อทำงานไปได้สักระยะ วิศวกรผู้ดูแลการประกอบรถ Tamiya ก็ได้รับทุนจากบริษัทให้ไปเรียนต่อด้านบริหาร หลังเรียนจบเขากลับมาทำงานที่บริษัทเดิมในตำแหน่งใหม่นั่นคือฝ่ายการตลาด โดยหนึ่งในผลงานที่ทำให้กับบริษัทคือการนำการ์ตูน ขบวนการ 5 สี ไปฉายทางทีวี เพราะเป็นของเล่นที่ Bandai ขายอยู่ในเวลานั้น และหากการ์ตูนดังก็ย่อมทำให้ของเล่นขายดีตามไปด้วย 

สุดท้ายมันก็กลายเป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้กฤษณ์เห็นโอกาสในธุรกิจการนำลิขสิทธิ์การ์ตูนจากญี่ปุ่นเข้ามาในไทย ทว่าด้วยความเป็นบริษัทข้ามชาติที่มีกฎเกณฑ์และข้อจำกัดมากมาย ความคิดที่จะนำลิขสิทธิ์การ์ตูนเข้ามาฉายในบ้านเกิดจึงไม่บังเกิด

แต่ด้วยความเชื่อมั่นในสิ่งที่คิด กฤษณ์จึงตัดสินใจลาออก และการลาออกจาก Bandai ในครั้งนั้นก็เป็นเหมือนบันไดขั้นแรกที่ทำให้เขาเริ่มทำบริษัท Dream Express หรือที่หลายคนรู้จักในนามของ DEX ขึ้นมา 

โดยมีมาสก์ไรเดอร์และกันดั้มเป็นสองเรื่องแรกที่ DEX เลือกนำเข้ามาฉาย เพื่อหวังว่าจะทำให้ยอดขายของเล่นของการ์ตูนทั้งสองเรื่องนั้น ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ Bandai–บริษัทที่เป็นเหมือนโรงเรียนสอนวิชาทำธุรกิจของเขาให้เติบโตตามไปได้ด้วย

นับจากวันที่กฤษณ์ลาออกจาก Bandai ตอนอายุ 32 จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลากว่า 23 ปีแล้วที่เขาและ DEX ได้ทำหน้าที่นำเข้าความฝันให้กับเด็กไทยผ่านการ์ตูนหลากหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น อุลตร้าแมน, วันพีซ รวมไปถึงการ์ตูนที่โด่งดังในยุคนี้อย่างลิขสิทธิ์ผลิตสินค้าของดาบพิฆาตอสูร ก็เพิ่งเข้ามาอยู่ภายใต้การดูแลของ DEX ด้วยเช่นกัน 

อยู่ในวงการการ์ตูนมา 23 ปี คุณมองเห็นการเปลี่ยนผ่านอะไรของเด็กในแต่ละยุคสมัยบ้าง 

ก่อนหน้านี้เด็กดูการ์ตูนผ่านดีวีดี วีซีดี แต่พออินเทอร์เน็ตมาเด็กก็เปลี่ยนมาดูกันบนยูทูบแทน หรือกับหนังสือการ์ตูนที่เด็กหันมาอ่านผ่าน eBook มากขึ้น ซึ่งเป็นอะไรที่ต่างจากยุคผมที่มักจะชอบจับกระดาษ ชอบดมกลิ่นกระดาษ และเอาหนังสือการ์ตูนไปนั่งอ่านในห้องน้ำ (หัวเราะ)

แล้วการมาของอินเทอร์เน็ตก็ส่งผลกับธุรกิจของเล่นด้วยเช่นกัน เด็กเล่นของเล่นน้อยลงเพราะหันไปเล่นเกมในมือถือมากขึ้น แล้วพอเล่นฟรีพ่อแม่บางคนก็อาจจะมองไม่เห็นผลเสียที่ปล่อยให้เด็กอยู่กับหน้าจอทั้งวัน แต่ในระยะยาวการที่เด็กอยู่แต่กับหน้าจอมากไปมันทำให้เขาได้ฝึกใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กน้อยลง ไม่ได้เรียนรู้ว่าอะไรร้อน-เย็น อะไรแหลมคม อะไรหยิบจับได้หรือไม่ได้มากเท่ากับเด็กสมัยก่อน 

ส่วนของ DEX เอง อินเทอร์เน็ตเข้ามาดิสรัปต์ทำให้ยอดขายจากดีวีดี วีซีดี หายวูบไปเป็นร้อยล้านบาท ยอดขายของเล่นลดลง เราก็เลยต้องปรับตัวหันมาขายเสื้อผ้าที่เป็น merchandise จากการ์ตูนเรื่องต่างๆ ปรับมาทำ eBook หรือกับการทำ Flixer ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับดูอนิเมะ เพราะเด็กสมัยนี้เขาไม่ได้ตื่นมาดูการ์ตูนช่อง 9 เหมือนกับยุคผมแล้ว

ณ ปัจจุบัน ภาพรวมของธุรกิจนำเข้าลิขสิทธิ์ที่คุณทำอยู่เป็นยังไง

ภาพรวมตอนนี้มันมีลิขสิทธิ์จากหลายประเทศเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นจากญี่ปุ่น จีน เกาหลี หรือฝรั่งเองก็ตาม ส่วนในแง่ของกลุ่มเป้าหมายในธุรกิจนี้ก็ไม่ได้มีแค่เด็ก แต่ยังรวมไปถึงผู้ใหญ่ด้วยที่พอโตมามีงานทำมีรายได้ก็จะมีกำลังซื้อสินค้าจากการ์ตูนเรื่องต่างๆ ที่เคยชอบดูตอนเด็ก อย่างของ DEX เองลูกค้าของเราเป็นเด็กครึ่งนึง ผู้ใหญ่ครึ่งนึงเลย 

ส่วนในแง่ของการแข่งขันกับคนอื่นๆ ที่อยู่ในธุรกิจนำเข้าลิขสิทธิ์เหมือนกันนั้น เอาจริงๆ แล้วมันแทบไม่ได้แข่งขันอะไรกันเลย เพราะคาแร็กเตอร์แต่ละตัวเป็นสิ่งที่ทดแทนกันไม่ได้ ไม่ใช่ว่าถ้าฉันไม่ชอบโดเรม่อนแล้วงั้นขอไปชอบกันดั้มดีกว่า อะไรแบบนี้เป็นต้น

อะไรคือความยาก-ง่ายของการทำธุรกิจนำเข้าลิขสิทธิ์

เรียกว่าเป็นข้อได้เปรียบแล้วกัน นั่นคือการที่เราไม่ต้องเริ่มทำการตลาดตั้งแต่ศูนย์ เพราะลิขสิทธิ์

มันก็เป็นเหมือนเครื่องมือการตลาดชนิดหนึ่งอยู่แล้ว 

ส่วนความยากก็คือด้วยความที่เราทำธุรกิจกับญี่ปุ่นมันก็เลยมีข้อควรระวังมากมาย ห้ามไปดัดแปลงตรงโน้นตรงนี้ แต่ในอีกมุมหนึ่งเราก็ต้องเอามันมาปรับให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เป็นคนไทยด้วยเช่นกัน ทีนี้มันก็เลยเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งว่าเราจะต้องมาหาสมดุลที่ทำให้คาแร็กเตอร์ที่เขาสร้างมามันไม่บิดเบี้ยวและเข้ากับคนไทยได้ เทียบให้เห็นภาพง่ายๆ มันก็อาจจะเหมือนกับอาหารญี่ปุ่นในบ้านเรา คือมันยังมีความเป็นญี่ปุ่นอยู่นะ แต่ก็มีรสชาติที่ถูกปากคนไทยด้วยเช่นกัน

หัวใจสำคัญของการทำธุรกิจนำเข้าลิขสิทธิ์คืออะไร 

คืออย่าไปทำอะไรเลอะเทอะกับสิ่งที่คนเขารักอยู่แล้ว หน้าที่ของเราคือต้องพาคาแร็กเตอร์ต่างๆ ไปอยู่ในที่ที่ถูกที่ควร ทำให้คนที่รักตัวละครนั้นรู้สึกว่า โอ้โห นี่แหละสิ่งที่ฉันอยากเห็น เช่นสมมติอยากเห็นลูฟี่อยู่บนรถไฟฟ้า อยากเห็นอุลตร้าแมนอยู่บนเครื่องบินอะไรแบบนี้ เป็นต้น

แล้วคุณมีวิธีทำให้ตัวละครต่างๆ อยู่ในที่ที่ถูกที่ควรได้ยังไง 

เราจะมี Brand Manager หลายคนสำหรับการ์ตูนแต่ละเรื่อง ซึ่งแต่ละเรื่องก็จะมีคนที่เหมือนเป็น ‘เสาหลัก’ เป็นเซียนการ์ตูนที่เข้าใจว่า ‘แก่น’ ของการ์ตูนเรื่องนั้นๆ คืออะไร กลิ่นอายของมันเป็นแบบไหน เวลาทีมขายหรือทีมการตลาดจะเอาข้อมูลอะไรก็สามารถไปถามคนที่เป็นเสาหลักของแต่ละเรื่องได้ พอมีคนที่รู้จริงในการ์ตูนเรื่องนั้นๆ ก็จะทำให้เราไม่ทำอะไรที่มันบิดเบี้ยวไปจากสิ่งที่คนรักอยู่แล้ว

ไปหาคนที่เป็นเสาหลักของแต่ละเรื่องมาจากไหน

ตอนเริ่มบริษัทเราก็ไปอยู่ในกลุ่มคนที่ชอบคอมิก ไปเอาแฟนพันธุ์แท้อุลตร้าแมน แฟนพันธุ์แท้ไอ้มดแดงมาทำงานกับเรา ซึ่งพวกเขาเก่งกันมากๆ แล้วก็เลยไปขอความรู้ที่เขามีเอามาปรับใช้กับธุรกิจของเรา

เช่นเดียวกับตอนนี้ หนึ่งในวิธีเลือกคนทำงาน คือผมไม่ได้ใช้เกณฑ์ของเกรดหรือคณะที่จบมามากไปกว่าการที่เขาอินกับการ์ตูนเรื่องนั้นๆ มากน้อยแค่ไหน

การ์ตูนหนึ่งเรื่องเอามาแตกเป็นธุรกิจอะไรได้บ้าง

ยกเว้นก็แต่ของเล่น ที่เหลือก็สามารถเอาไปปรับใช้ได้ในหลากหลายรูปแบบเลย เช่น เอาการ์ตูนมาฉาย, อีเวนต์, merchadise ต่างๆ หรือแม้แต่เอาคาแร็กเตอร์ไปแปะอยู่บนสินค้าของแบรนด์สินค้าเพื่อช่วยส่งเสริมการขาย 

แต่บางทีก็จะมีข้อยกเว้นเหมือนกัน ว่าบางเรื่องเอาไปทำกับสินค้าบางอย่างไม่ได้ เช่น ดาบพิฆาตอสูร ไม่สามารถเอาไปอยู่บนดาบหรือพาวเวอร์แบงก์ได้ เพราะหากเกิดความเสียหายขึ้นมาก็จะเป็นอะไรที่กระทบกับภาพลักษณ์ของตัวการ์ตูนตามไปด้วย 

ตอนนี้ DEX นำเข้าลิขสิทธิ์การ์ตูนจากญี่ปุ่นมาในไทยกี่เรื่อง

หลักๆ แล้วมี 9 เรื่องคือ กันดั้ม, วันพีซ, อุลตร้าแมน, มาสก์ไรเดอร์, ซอร์ดอาร์ตออนไลน์, แร็กนาร็อก, Chi’s Sweet Home หรือเหมียวจี้, ดาบพิฆาตอสูร และล่าสุดเลยที่เพิ่งย้ายมาอยู่กับเราคือเจ้าหมีคุมะมง 

สายตาคุณโฟกัสอะไรเวลาคัดสรรแต่ละเรื่องเข้ามา 

ด้วยความที่ผมต้องดูภาพรวม เลยอาจไม่ได้ดูการ์ตูนอย่างลงลึกในทุกเรื่อง การเลือกการ์ตูนแต่ละเรื่องมันเลยมีเรื่องของดาต้าเข้ามาช่วยตัดสินใจ ยกตัวอย่างเช่น ดาบพิฆาตอสูร ที่ค่าลิขสิทธิ์สูงมาก มันก็เลยเป็นอะไรที่ตัดสินใจยากมากตามไปด้วย เพราะตอนที่เราคิดว่าจะซื้อลิขสิทธิ์เรื่องนี้ดีไหม เวลานั้นหนังยังไม่เข้าโรง ไม่ได้เป็นกระแสมากเหมือนอย่างทุกวันนี้ แต่เห็นตัวเลขจาก LINE TV ที่มีคนดูเยอะ เห็นว่าเป็นอนิเมะที่ติด Top 10 Netflix ในไทย มีคนกระซิบมาว่าตอนนี้มังงะเรื่องนี้ขายดีมาก มีสินค้าผิดลิขสิทธิ์เข้ามาแล้วด้วย ซึ่งก็เป็นอะไรที่สะท้อนถึงกระแสบางอย่าง สุดท้ายก็เลยตัดสินใจเอามาในที่สุด และหลังจากนั้นหนังก็ดัง ตอนนี้เองโออิชิก็ซื้อลิขสิทธิ์ดาบพิฆาตอสูรไปแปะข้างขวดชาเขียว

เมื่อคุณมองเห็นว่าการ์ตูนที่เลือกมามีศักยภาพในการทำรายได้ แน่นอนว่าคนอื่นย่อมเห็นเหมือนกัน แล้วอะไรที่ทำให้ญี่ปุ่นตัดสินใจให้ DEX เป็นผู้ดูแล 

ผมคิดว่ามันคือสองคำอย่าง trust และ treat คำว่า trust ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าคุณมีทุนจดทะเบียนบริษัทมากแค่ไหน แต่คือผลงานที่ผ่านมาว่าเป็นยังไง ทำธุรกิจแบบมีความซื่อสัตย์หรือเปล่า

ส่วนคำว่า treat หมายถึงว่าถ้าเรา treat เพื่อนยังไง ก็ให้ treat คู่ค้าของเราแบบนั้น ได้เงินมาก็แบ่งกัน จะทำอะไรก็บอกเขาก่อน ไปปรึกษาว่าแบบนี้ได้ไหม แบบนั้นได้หรือเปล่า หรือถ้าเขาไม่ให้ทำอะไรก็พยายามอย่าไปฝืน แม้บางอย่างเราอาจไม่เห็นด้วยกับเขา แต่อย่าลืมว่าเราเป็นผู้นำเข้าลิขสิทธิ์ของเขาเข้ามา และคนก็รักที่ความเป็นเขานั่นแหละ

คุณเรียนรู้อะไรจากการทำงานกับคนญี่ปุ่น 

จากเดิมที่เราเป็นวิศวกรมาก็จะไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ แต่การทำงานกับญี่ปุ่นทำให้เราเป็นคนที่มีระบบระเบียบมากขึ้น มองอะไรอย่างละเอียดลึกซึ้งมากขึ้น มีการเอาหลักที่เรียกว่า Ho-Ren-So ที่ว่าด้วยเรื่องของการทำงานการสื่อสารระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องให้ราบรื่นมาปรับใช้มากขึ้น 

แล้วก็ได้รู้เรื่องการตลาดขั้นสูงที่ทำให้การ์ตูนเก่าๆ ยังคงอยู่มาได้นานหลายปี เช่น อุลตร้าแมน ที่เขามีการรีแบรนด์ดิ้งตัวเองอยู่ตลอดเวลา ปรับโน่นนิดปรับนี่หน่อยเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป มีการออกหนังใหม่ทุกปี 

หรืออย่าง กันดั้ม ที่ตอนนี้เด็กๆ 7-8 ขวบก็เริ่มต่อกันดั้มกันแบบง่ายๆ แล้ว ส่วนผู้ใหญ่เองก็ไม่เลิกเล่น ยิ่งโตขึ้นยิ่งมีงานทำมีเงินก็ซื้อกันดั้มมาเล่นมาต่อเติมความฝันในวัยเด็กของตัวเองด้วย

นอกจากลิขสิทธิ์การ์ตูน DEX มีแผนจะขยายไปยังธุรกิจอื่นอีกไหม 

บอก Capital ที่แรกเลยแล้วกัน เรากำลังจะเอา Japan Drama เข้ามา เป็นซีรีส์ญี่ปุ่นที่จะเอาไปลงในแพลตฟอร์ม Flixer ของเราเอง 

เห็นโอกาสอะไรในการนำซีรีส์ญี่ปุ่นเข้ามา ทั้งที่ตอนนี้ซีรีส์จากเกาหลีและจีนก็กินเวลานอนของผู้คนไปมากแล้ว

สารภาพเลยว่าเห็นโอกาสบางๆ แต่อยากทำมาก แล้วนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในแผนใหญ่ของ DEX ที่จะนำเข้าวัฒนธรรมญี่ปุ่นอีกหลากหลายรูปแบบ เช่น เกม หรือร้านอาหารญี่ปุ่น อาจเป็นร้านที่แบบอร่อยที่สุด มีแค่ร้านเดียว เป็นสุดยอดราเมนแบบที่ญี่ปุ่น อะไรแบบนี้เป็นต้น 

เพราะในมุมหนึ่งคนไทยก็เปิดรับวัฒนธรรมญี่ปุ่นอยู่แล้ว ก่อนมีโควิดนี่คนไทยเดินทางไปญี่ปุ่นมหาศาล หรือกับข้อมูลที่ JETRO ออกมาบอกว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีร้านอาหารญี่ปุ่นมากเป็นอันดับสองของโลกรองจากโตเกียว ก็เป็นสิ่งที่ตอกย้ำในเรื่องการเปิดรับวัฒนธรรมญี่ปุ่นของคนไทย

คุณเคยคิดไหมว่าสิ่งที่ชอบดูตั้งแต่เด็ก วันหนึ่งมันจะกลายเป็นธุรกิจได้

โห (ลากเสียง) ไม่เลย มันเป็นอะไรที่ไกลตัวมากๆ เด็กรุ่นผมค่านิยมคือถ้าเรียนวิศวกร จบมาก็ต้องเข้าบริษัทใหญ่ๆ แต่ตอนนี้เวลากลับไปเจอเพื่อนเก่าที่เรียนวิศวะมาด้วยกัน เราก็คุยกันภาษาเพื่อน เพื่อนบอกเราว่า “กูขายเหล็กยอดขายเป็นพันล้านเลยนะ แต่ทำงานไม่สนุกเท่ามึงหรอก เพราะวันๆ เจอแต่เหล็ก”

แล้วความสนุกในการทำธุรกิจของคุณคืออะไร 

มันคือการที่ทุกๆ วันได้เดินจากตรงนู้น (หน้าออฟฟิศ) มาตรงนี้ (ห้องทำงาน) มันเหมือนกับว่าวันนี้ดอกไม้จะบานอีกแล้วนะ มีปัญหานั้นปัญหานี้ มีข่าวดีข่าวร้ายปะปนกันไป มันทำให้ชีวิตดำเนินไปแบบเป็นธรรมชาติ  ในแต่ละวันมีเรื่องให้ทำ อีกอย่างงานที่ผมทำมันเป็นคอนเทนต์ที่แตกต่างกันไป แม้เราจะทำงานเดิมแต่ก็จะมีอะไรใหม่ๆ มาให้คิดอยู่ตลอดเวลา

ตั้งแต่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการ์ตูนมา คุณคิดว่าเรื่องไหนตรงกับความเป็นตัวเองมากที่สุด 

อาจจะไม่ได้มีที่ตรงกับตัวเองเป๊ะๆ ขนาดนั้น แต่มีเรื่องที่สร้างแรงบันดาลใจก็คือ หน้ากากเสือ มันทำให้เราเห็นว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่ถ้ามายุคปัจจุบันหน่อยเรื่องที่รู้สึกชอบเลยก็คือ วันพีซ เพราะเป็นเรื่องที่ว่าด้วยความกล้าหาญ การปกป้องผู้ที่อ่อนแอและการมีน้ำใจต่อคนอื่น

Self-health วางแผนทำประกันสุขภาพและประกันอื่นๆ ระดับเริ่มต้น

ช่วงนี้คนไม่สบายเยอะค่ะ ซึ่งตามมาด้วยค่าใช้จ่ายเพื่อการตรวจและรักษาพยาบาลมากมาย มีคำถามจากผู้อ่านว่าด้วยเรื่องการทำประกันสุขภาพและประกันอื่นๆ ที่ไม่ใช่ประกันชีวิต ประกันมีความสำคัญอย่างไร และทำไมเราถึงควรทำประกัน 

Wealth Done ตอนที่ผ่านๆ มา เราคุยกันถึงเรื่องการทำให้เงินงอกเงย ซึ่งมีศัพท์ทางการเงินว่า wealth creation คำนี้ยังหมายรวมถึงการนำเงินไปซื้อสินทรัพย์บางอย่าง เกิดเป็นดอกเบี้ยต่างๆ เช่น การซื้อบ้าน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ เป็นการทำให้เกิดทรัพย์สินงอกเงย 

สิ่งที่สำคัญคือ ทำอย่างไรทรัพย์สินที่เรามีอยู่เหล่านั้นจะไม่เสียไป เรียกว่า wealth protection เป็นเรื่องของการปกป้องสินทรัพย์หรือการทำประกันนั่นเอง

การประกันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร และในสถานการณ์ไหน

สำหรับเหตุการณ์ที่ผลกระทบที่เกิดขึ้นมีน้อยหรือเหตุนั้นเกิดขึ้นบ่อยๆ ประกันจะไม่เข้ามาหรือรับเรื่อง แต่ประกันจะเข้ามามีบทบาทในเรื่องที่ผลกระทบจากเรื่องนั้นใหญ่ และโอกาสที่เกิดขึ้นมีไม่มาก เช่น อุบัติเหตุต่อรถยนต์หรือที่อยู่อาศัย ไม่ว่าเรื่องไฟไหม้หรือการโจรกรรมงัดแงะที่ส่งผลแก่ชีวิต บาดเจ็บทุพพลภาพ เป็นต้น ประกันจะเข้ามามีบทบาทกับเหตุการณ์ในลักษณะนี้

Wealth Done ตอนนี้จะชวนคุยเรื่องศาสตร์ของ wealth protection ว่ามีแบบไหนบ้าง ซึ่งศาสตร์เรื่องการประกันชีวิตเราจะขอแยกเป็นอีกตอนหนึ่งเลย เพราะชีวิตถือว่าเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของคุณ ทำไมคุณไม่ดูแลสิ่งที่มีค่าที่สุดของคุณก่อน วันนี้เราจะพูดถึงสิ่งที่เป็น non-life เช่น ประกันบ้าน ประกันรถ ประกันวิชาชีพ 

เคยได้ยินมั้ยคะ ที่คุณหมอทำงานแล้วมีความเสี่ยงจะถูกฟ้องร้อง หรือวิศวกรไปสร้างตึกแล้วอาจเกิดเหตุการณ์ถล่ม พวกเขาก็จะต้องมีการทำประกันวิชาชีพ อย่างตัวผู้เขียนที่ทำงานในฐานะกรรมการบริษัท ก็ต้องทำประกันวิชาชีพ เพราะถ้าเกิดเหตุอะไรก็แล้วแต่ก็จะมีประกันในเรื่องนี้ไว้ 

ในส่วนของบุคคลธรรมดาก็จะมี เช่น ประกันสุขภาพ (health insurance) ซึ่งบางคนอาจจะทำประกันสุขภาพรวมไปกับประกันชีวิต สังเกตว่าถ้าเป็นประกัน non-life หรือประกันวินาศภัย จะเป็นการประกันปีละครั้ง ต่ออายุเป็นรายปี สุขภาพก็ประกันรายปีเช่นเดียวกัน เรามักจะพบว่าคนที่อยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาวจะมีสุขภาพแข็งแรงจึงไม่ค่อยได้สนใจประกัน หรือถ้าเป็นพนักงานบริษัทก็จะมีประกันสังคม หรือแม้แต่มีสวัสดิการทำประกันสุขภาพกลุ่มเป็นต้น แต่ถ้าใครมีความสามารถเพียงพอ เรากำลังพูดถึงการซื้อประกันสุขภาพเอง ซึ่งขอแนะนำให้เลือกประกันที่เลือกสิ่งที่พรีเมียมได้มากกว่าเช่น ถ้าคุณอยากทำฟันแบบพิเศษ จัดฟัน หรือสุขภาพอื่นๆ ซึ่งมีหลายบริษัทที่เสนอแพ็กเกจประกันสุขภาพลักษณะนี้ ยิ่งไปกว่านั้น การทำประกันยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้อีก 

จริงๆ แล้ว การซื้อประกันสำหรับเราถือเป็น ‘ฮู้’ หรือยันต์ป้องกันภัย เราซื้อประกันเพราะเราไม่อยากให้เกิดเหตุร้ายกับเรา สังเกตมั้ยคะ มันเป็น Murphy’s law ชัดๆ Anything that can go wrong, will go wrong. พอเกิดเหตุที่ไรประกันขาดทุกที 

เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราอยากให้เกิดที่สุด คือเราไม่ได้ต้องการให้เกิดเหตุร้าย ด้วยการจ่ายเงินสักเพียงนิดหน่อย หรือแม้แต่ประกันการเดินทางเวลาไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ไม่จำเป็นต้องเกิดอุบัติเหตุ ถ้าเครื่องบินดีเลย์หรือกระเป๋าเดินทางหายเขาก็จ่ายเงิน ยิ่งเดินทางไปในประเทศที่เราพูดภาษาเขาไม่ได้ มีเพื่อนคนหนึ่งไปเกิดเหตุที่เมืองชนบทเล็กๆ ในญี่ปุ่น โชคดีที่เขามีประกัน พอเขาโทรหาประกันเขาก็สามารถหาคนที่พูดภาษาญี่ปุ่นมาช่วยสื่อสารและประสานหารถพากลับเข้าโตเกียวได้เลย

เมื่อเทียบราคาที่ต้องจ่ายแล้วจริงๆ มันน้อยมากเลยนะ สมมติประกันการเดินทางที่คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล 5 ล้านบาทสำหรับทริป 14 วัน ค่าเบี้ยอาจจะแค่ 800 บาท แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาสมมติขาหักระหว่างเดินทาง ประกันก็จ่ายค่ารักษาทุกอย่าง

ดังนั้นการทำประกันก็เหมือนมีเบาะรองนั่ง หรือมีตาข่ายกันตก ถือเป็นการใช้ชีวิตแบบไม่ประมาท ขอบอกเลยว่าถ้าคุณเข้าใจกลไกเรื่องนี้ คุณจะรู้ว่าเรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อตัวเรามากๆ โดยเฉพาะกับสิ่งที่สำคัญและมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิต เช่น บ้านที่อยู่ รถที่ขับ วันนี้เราทำประกันหรือยัง 

บางคนบอกว่าเสียดายเงินที่จ่ายค่าเบี้ยประกันเวลาที่ไม่เกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นมา 

เพื่อนเราคนหนึ่งซื้อประกันตอนคลอดลูกคนแรกแบบคุ้มครองสูงสุด ถ้าเด็กเกิดมาแล้วมีอาการผิดปกติที่ต้องรักษา ประกันจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด เขายอมจ่ายค่าเบี้ยในราคาที่สูง ปรากฏลูกคนแรกแข็งแรงดีมาก พอจะคลอดคนที่สองเกิดประมาท ตั้งใจจะซื้อประกันอยู่แล้วแต่ดันเจ็บท้องคลอดออกมาก่อน เขาก็คิดว่าไม่เป็นอะไร หลังคลอดลูกคนที่สอง เด็กออกมาไม่สบายตลอด เพื่อนเราก็เสียใจจนทุกวันนี้ยังคิดตลอดว่าถ้าซื้อประกันไว้แต่แรก ลูกคนที่สองต้องออกมาแข็งแรงเหมือนคนแรกแน่นอน

คนเราไม่รู้อนาคตแต่การทำประกันก็ช่วยได้ อย่างน้อยถ้าอนาคตไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง คุณจะไม่ได้รับผลกระทบมากจนเกินไป เราต้องการแค่นี้แหละ เรารู้ว่าอาจจะมีโอกาสวิ่งหกล้ม แต่อย่าให้ชนกับพื้นที่เป็นซีเมนต์ตลอด อย่างน้อยหกล้มไปเจอพื้นยางบ้าง ล้มแล้วคุณก็จะยังลุกได้ แต่ถ้าคุณไม่ได้ทำประกันไว้เลย เช่น บางธุรกิจโรงงานไฟไหม้ ถ้าคุณไม่ทำประกันไว้คุณไม่เหลืออะไรเลยแถมยังมีภาระหนี้อีก การทำประกันก็เพื่อลดความร้ายแรงของเรื่องราวลง

พูดถึงเรื่องนี้ผู้เขียนขอแวะเข้าเรื่องศาสนา อย่างเรานับถือศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธจะบอกว่า มนุษย์เกิดมาเพื่อใช้กรรม และกรรมนั้นจะไม่ย่อยสลายหายไป เปรียบกรรมเป็นเกลือ น้ำในแก้วเป็นความดี ไม่มีทางที่เกลือจะออกจากแก้วน้ำใบนี้ได้ สิ่งที่ทำได้คือเติมน้ำลงไปเพื่อให้น้ำแก้วนั้นไม่เค็มเกินไป การซื้อประกันก็เหมือนการทำให้น้ำแก้วนี้ทานได้เท่านั้นเอง 

เราเชื่อว่า ใครๆ ก็คงอยากลองใช้ชีวิตแบบที่ได้เจอเรื่องที่ไม่คาดหวังบ้าง ซึ่งถ้าเป็นเรื่องที่ดีเราไม่กลัว สิ่งที่ไม่คาดหวังแต่เป็นเรื่องที่ไม่ดีต่างหากที่เรากลัว ขอเพียงแค่เราเจอมันแล้วไม่รุนแรง จนเกินรับไหวก็คงจะดีมาก

ทั้งหมดคือการวางแผนชีวิตที่เราอยากให้ทุกคนได้ลองนำไปใช้ ส่วนเรื่องประกันชีวิตที่ต้องแยกออกมา เพราะการประกันชีวิตเกี่ยวข้องกับการวางแผนที่ลึกซึ้ง และหลายครั้งเราก็ได้รู้ว่าการมอบกรมธรรม์ประกันชีวิตให้กับใครนั้นไม่เกี่ยวกับทายาท ไม่เกี่ยวกับมรดกใดๆ คุณมีสิทธิจะมอบกรมธรรม์ให้ใครก็ได้ ทั้งนี้ผู้รับผลประโยชน์จะไม่ต้องข้องเกี่ยวกับหนี้สินใดๆ ที่เกิดขึ้นทั้งสิ้น ซึ่งจะขอเก็บไว้เล่าใน Wealth Done ตอนต่อๆ ไป


WEALTH DONE คอลัมน์ที่อยากผลักดันให้คนหันมาวางแผนการเงิน หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนที่เกิดขึ้นรอบตัวและสงสัยใคร่รู้เป็นพิเศษ ส่งมาบอกพวกเราได้ที่ [email protected] หรือทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Capital แล้วรออ่านคำตอบพร้อมกันทุกวันพฤหัสบดีเว้นวันพฤหัสบดี ที่ capitalread.co

เมื่อโฆษณาหยิบองค์ประกอบต่างๆ มาสร้างชุดข้อมูลที่สะท้อนความต้องการลึกๆ ของผู้บริโภค

มันจะมีอินไซต์อันหนึ่ง คือคนเรามักจะมีความเป็นไปได้ที่จะเชื่อหรือคล้อยตามชุดข้อมูลอะไรก็ตามที่ออกมาจากสื่อ

เช่นข้อมูลที่ออกมาจากรายการข่าว ข้อมูลที่ออกมาจากสารคดี หรือข้อมูลที่ออกมาจากรายการอะไรสักอย่าง

เพราะลึกๆ แล้วคนเราจะเชื่อว่าข้อมูลเหล่านั้นมันได้รับการกลั่นกรองมาหลายชั้น มีความน่าเชื่อถือ ผ่านตาหลายคนก่อนที่จะออกอากาศ สิ่งที่พวกเรานักโฆษณาทำ ก็คือการหยิบองค์ประกอบความน่าเชื่อถืออย่างละนิดอย่างละหน่อยมาประกอบให้เป็นชุดข้อมูลใหม่ ที่ส่งเสริมความต้องการลึกๆ บางอย่างของพวกเขา

หนึ่งในประเภทหนังโฆษณาที่ยากเสมอคือหนังท่องเที่ยว

เราลองมาจินตนาการดูก่อนว่า หนังโฆษณาทั่วไปหนึ่งเรื่องประกอบด้วยอะไรบ้าง

1. ภาพ ไม่ว่าจะเป็นพระเอกนางเอก บรรยากาศออฟฟิศ ท้องถนน ตึก ท้องฟ้า ทะเล ภูเขา ทุกอย่างที่ตาเราเห็น

2. เสียง เสียงบรรยายของโฆษก ไดอะล็อกของตัวละคร 

3. เพลง ถึงจะเป็นหมวดเดียวกับเสียง แต่ก็ขอแยกส่วนกัน เพราะผมถือว่ามันทำงานกันคนละฟังก์ชั่น

หนังโฆษณาแต่ละเรื่องมันจะมีอะไรประมาณนี้แหละ แต่ภาพและเสียงและเพลงของโฆษณาแต่ละตัวจะต่างกันด้วยสินค้าที่เราขาย เครื่องดื่มชูกำลังก็จะไปทางนึง อุปกรณ์ไฟฟ้าก็จะไปอีกทาง มันจะมีคล้ายหรือต่างกันนิดหน่อย

แต่หนังท่องเที่ยว ที่มีสินค้าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมันยากกว่านั้น

เพราะเจ้าสถานที่ท่องเที่ยว ยังไงมันจะไม่ใช่เป็นภาพใหม่ เพราะในยุคโซเชียลแบบนี้ สถานที่ท่องเที่ยวบนโลกถูกถ่ายไปหมดแล้ว

ดังนั้นสถานที่ท่องเที่ยวมันจะเป็นภาพที่คนเคยเห็นเคยผ่านตาอยู่แล้วไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

แล้วสมมติว่าวันนึงจะเกิดสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็น super unseen ยังไม่เคยมีคนเคยเห็นมาก่อนก็ตาม แต่สุดท้ายมันก็จะได้ภาพ ทะเล ภูเขา ท้องฟ้า หน้าผา ป่า ตึก แสงไฟ หรือพูดอีกอย่าง สถานที่ท่องเที่ยวไม่ว่าใหม่ยังไง ความรู้สึกของคนดูมันก็จะมีความซ้ำ ความคล้ายกับที่ใดที่หนึ่งเสมอ

มีครั้งหนึ่งเราได้รับโอกาสจาก Air Asia ให้ถ่ายทำโฆษณาเปิดรูตใหม่ กรุงเทพฯ-ฟุกุโอกะ 

หรือชื่อตามเคมเปญคือ ‘เปิดประตูสู่เกาะคิวชู’ แปลว่า สิ่งที่ต้องอยู่ในหนังจะไม่ใช่แค่สถานที่ท่องเที่ยวแค่ในฟุกุโอกะละ แต่จะเป็น สถานที่ท่องเที่ยวทั่วเกาะคิวชู 

อย่างที่เกริ่นไปตอนแรก หนังโฆษณาท่องเที่ยวจัดว่าเป็นงานหินประมาณนึง

เราจึงมาเริ่มต้นคิดก่อนว่าหนังโฆษณาการท่องเที่ยวที่ผ่านๆ มาส่วนใหญ่เล่าอะไรบ้าง

วัยรุ่นหน้าตาดีชาย-หญิงวิ่งไปมาอย่างมีความสุข ยิ้มปากกว้าง หนังเล่าสถานที่ท่องเที่ยวเร็วๆๆๆๆๆๆ มีภาพโดรนเห็นภาพมุมสูงเพื่อแสดงความอลังการของธรรมชาติ แล้วตัดกลับมาวัยรุ่นหน้าตาดีชาย-หญิงคู่เดิมที่กำลังสวีตมีความสุขกับกิจกรรมอะไรบางอย่าง (กินข้าวใต้แสงเทียน ดำน้ำดูปะการัง เล่นบันจี้จัมป์) ภาพตัดกลับไปที่สถานที่ท่องเที่ยวชุดใหม่อีกรอบ แล้วก็จบ.

อย่างแรกเลย เรารู้สึกหนังโฆษณาประเภทนี้ไม่ได้ทำงานกับเราสักเท่าไหร่ 

คือมันสวยมั้ย มันก็สวย มันน่าเที่ยวมั้ย มันก็น่าเที่ยว แต่มันก็แค่นั้น เราพบว่าภาพสถานที่ท่องเที่ยวมันตัดเร็วมากจนเรายังไม่ทันรู้ว่าอะไรคืออะไร หรือพูดง่ายๆ คือ ข้อมูลมันเยอะและเร็วเกินไปด้วย

ที่เขียนนี่คือเข้าใจธรรมชาติการทำงานหนังท่องเที่ยวเลยนะครับ ว่าต้องเน้นสถานที่ แล้วการเดินทางจากที่หนึ่ง ไปยังอีกที่หนึ่งมันใช้เวลานานมาก ทำให้ต้องถ่ายให้เยอะ แต่ต้องตัดให้กระชับ ดังนั้นในฐานะคนทำก็ต้องยอมรับอย่างใจจริงว่าหนังแบบที่ผมเล่ามาเมื่อกี้ มันถ่ายยากจริงๆ และในโจทย์นี้เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาทำลายกำแพงการทำหนังโฆษณาอะไร เราตั้งเป้าว่าจะถ่ายแบบนั้นแหละ แต่เราต้องเติมอะไรบางอย่างเข้าไป

ถ้าหนังโฆษณาแบบที่เราดูมันทำให้เรารู้สึกอยากไปเที่ยวถ้ามีโอกาส

หนังที่อยากทำคือ หนังที่คนดู ดูแล้วอยากเที่ยว…เดี๋ยวนี้

กลับมาที่เงื่อนไขของโจทย์ ทาง Air Asia กำหนดมาเรียบร้อยว่า ในหนังจะต้องเห็นภาพสถานที่ท่องเที่ยวอะไรบ้าง ไฮไลต์คือที่ไหน ตรงไหน กี่แห่ง กี่ตำแหน่ง เวลาทำงานลักษณะแบบนี้ สิ่งแรกที่ต้องคิดให้ได้คือไอเดียคอนเซปต์คืออะไร

ไอเดียคอนเซปต์เหมือนตระกร้าใหญ่ที่ใส่ของเล็กๆ น้อยๆ จุกๆ จิกๆ (ที่เป็นจุดขาย) ให้อยู่ในที่เดียวกัน

ไอเดียคอนเซปต์เหมือนไม้เสียบลูกชิ้น ที่เป็นแกนกลางร้อยลูกชิ้นสี่ห้าลูก (ที่เป็นจุดขาย) ให้อยู่ในไม้เดียวกัน

ดังนั้นความยากคือเราจะรวบตึงทุกอย่างให้มาอยู่ภายใต้ไอเดียคอนเซปต์เดียวกันได้ยังไง

อันนี้ต้องไปหาจากกลุ่มเป้าหมาย

สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ การท่องเที่ยวต่างประเทศเดี๋ยวนี้มันง่ายลงจากแต่ก่อนมาก เราไม่ต้องมีเงินเยอะเท่าเมื่อก่อนก็เที่ยวต่างประเทศได้แล้ว พอการเที่ยวต่างประเทศมันราคาถูกลงเยอะ ทำให้เราเที่ยวได้บ่อยขึ้น และถี่ขึ้น สิ่งที่ค่อยๆ หายไปคือ การเที่ยวต่างประเทศมันไม่ได้เป็นกิจกรรมใหญ่ประจำปีขนาดนั้น พอการท่องเที่ยวมันทำได้ง่ายขึ้นและถี่ขึ้น เราเลยพบว่ามันมีคีย์เวิร์ดคำนึงเกิดขึ้นกับการท่องเที่ยวนั่นก็คือคำว่า บำบัด ขนาดที่ว่าหลายคนไม่ได้เที่ยวแต่โพสต์รูปตัวเองตอนเที่ยว ก็ถือว่าเป็นการบำบัดได้แล้ว

เราพบว่าคำว่า ‘บำบัด’ เป็นคำที่ดี เอามาทำงานต่อได้

ทีนี้เราลองมาดูว่ารอบๆ คำว่า ‘บำบัด’ มันมีคำว่าอะไรได้อีก ก็พบว่ามันมีอีกคำคือคำว่า ‘บำรุง’

บำบัด แปลว่าผ่อนคลาย อะไรที่ตึงก็ทำให้คลายลง สบายขึ้น

บำรุง แปลว่า ทำให้เจริญงอกงาม

กลับไปที่สินค้าของเราอีกครั้ง–ฟุกุโอกะ และเกาะคิวชู จุดเด่นของฟุกุโอกะและเกาะคิวชูที่เชิดหน้าชูตาคือ แหล่งรวมการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ 

ถ้าโตเกียวคือแหล่งท่องเที่ยวแนวช้อปปิ้ง ส่วนเกียวโตคือแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม จุดเด่นของคิวชูก็คือธรรมชาติ

ทำให้เรานึกถึงคีย์เวิร์ดสำคัญที่ได้ยินอยู่เป็นประจำในโฆษณาทีวี ‘สารบำรุงจากธรรมชาติ’

ถ้าในสมการที่เราคิดงานอยู่นี้

การท่องเที่ยวเท่ากับการบำรุง 

คิวชูเท่ากับธรรมชาติ

แปลว่า การเที่ยวคิวชู ก็เท่ากับ รับสารบำรุงจากธรรมชาติ

พอเรามานึกต่อ คำว่า สารบำรุงจากธรรมชาติ ส่วนใหญ่จะอยู่กับ อาหารเสริม และสกินแคร์

ทำให้คิดถึงธรรมชาติเวลาคนทักทายกันมักจะพูดคำว่า “โห ช่วงนี้แกดูโทรมจังวะ ไปพักผ่อนหน่อยมั้ย”

คำว่า ดูโทรม ส่วนใหญ่คนเราจะทักทายจากสิ่งที่เห็น ขอบตาดำ หน้าซีด หน้าตาหมอง ใดๆ

งั้น! เรามาทำหนังโฆษณาการท่องเที่ยวในคอนเซปต์ ‘ครีมฟุกุโอกะ’

ซึ่งเราเคยทำโฆษณาลักษณะครีมแบบนี้ในโฆษณาถุงยางวันทัชไปละ แต่อันนี้ต้องยอมกลับมาใช้วิธีการนี้อีกรอบเพราะคอนเซปต์ครีมฟุกุโอกะสามารถกลับไปแก้เงื่อนไขของโจทย์ที่ต้องมีแหล่งท่องเที่ยวหลายจุดได้ ด้วยการแปลงให้แหล่งท่องเที่ยวเหล่านั้นเป็นกิมมิกส่วนประกอบของครีมบำรุงผิวไปซะเลย

พอถอดรหัสได้ว่า การท่องเที่ยวเท่ากับการบำบัดบำรุง แล้วใครคือคนที่ควรได้รับการบำรุงล่ะ?

จากเดิมที่หนังโฆษณามักจะไม่เล่าถึง คนทั่วๆ ไป ใครก็ได้

พอเรามาในท่าทีการบำรุงแล้ว เราจึงต้องเจาะจงลงไปเลยว่า ใคร

ซึ่งก็จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก มนุษย์เงินเดือนทั้งหลายยังไงล่ะ?

ตรงนี้เราก็หยิบ pain point จากการทำงาน จิกกัดได้อย่างสนุกสนาน ไปสายเพราะสแกนนิ้วไม่ติด อยู่ในห้องประชุมก็โดนคนอื่นแย่งยกมือแสดงความคิดเห็นไปก่อนแล้ว ไหนจะโดนเมาท์จากแผนกข้างๆ ความรู้สึกกระอักกระอ่วนจากการอยากกลับบ้านตรงเวลา เพื่อมาสรุปว่า ก่อนที่คุณจะหมดไฟก่อนวัยอันสมควร คุณควรดูแลตัวเองด้วย ‘ครีมฟุกุโอกะ’ นะ

จากนั้นเราก็หยิบชุดคำจากโฆษณาครีมบำรุงผิวจำพวก ปรนนิบัติผิวคุณ, สารสกัดเข้มข้น นอกจากนี้เรายังหยิบเอาภาพจำกราฟิกจากโฆษณาบำรุงผิวมาใช้ นอกจากนั้นก็ยังเชิญพี่รัดเกล้า อามระดิษ มาลงเสียงอีกรอบ (พี่รัดเกล้าบอก เอาอีกแล้วพวกนี้ เอากูมาเสียผู้ใหญ่อีกแล้ว 5555)

นักแสดง จากที่วัยรุ่นสุดแฮปปี้วิ่งไปมา ก็กลายเป็นวัยรุ่นเฟิสต์จ็อบเบอร์ที่ซัฟเฟอร์กับการทำงาน แล้ววิ่งไปเที่ยวญี่ปุ่นอย่างมีความสุข โดยเราคิดกิมมิกว่า อยากให้นักแสดงคนนี้ใส่ชุดพนักงานออฟฟิศห้อยบัตรพนักงานแล้วไปวิ่งเล่นอยู่ญี่ปุ่น ก็ได้ภาพที่ตลกน่าสนใจดี

พอแก้โจทย์ในเชิงบทได้ เราก็ต้องมาเจอโจทย์ต่อมา คือการถ่ายทำ

เนื่องจากว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องถ่ายทำมันเยอะมากเกินไป เราก็เลยต้องเลือกแค่สถานที่ที่เราไปได้จริงๆ

เราเลยแบ่งสถานที่ตามวิชวลที่เห็น หมวดธรรมชาติ (เขา, หญ้า, ท้องฟ้า) หมวดตึกรามบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้าง และหมวดสถานที่ท่องเที่ยว (น้ำพุร้อน สะพานแขวน) เอาแค่นี้พอ

ความยากเย็นทั้งหมดนี้ต้องยกความดีความชอบให้ โปเต้, ผู้ช่วยผู้กำกับที่วางแผนการถ่ายทำได้อย่างรอบคอบ และครอบคลุม ทำให้การถ่ายทำราบรื่นอย่างไม่น่าเชื่อ เสียอย่างเดียวคือ เราไปผิดฤดูไปหน่อย

เนื่องจากช่วงเวลาที่เราได้ไปถ่ายทำเป็นช่วงปลายฤดูหนาว ระหว่างกำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ทำให้หลายที่ไม่สวยเท่าที่ควร ส่วนใหญ่จะได้ภาพภูเขาสีเทาๆ แห้งๆ และปัญหาต่อมาคือ หนาวชิบหาย!

โลเคชั่นแรกที่ถ่ายทำคือ สะพานแขวนยูแมะ, จังหวัดโอคิตะ ภาพที่อยากได้คือน้องนักแสดงวิ่งไปมาในชุดพนักงานอย่างมีความสุข

ภาพของจริงคือ อุณหภูมิ 1 องศา และลมแรงม้ากกกก ลมแรงแบบเจ็บหู

คือน้องต้องอยู่ในชุดกันหนาวหนาๆ บรีฟน้องว่า “ออกไปวิ่งร่าเริงแบบเอลซ่าเลยนะ”

พอสั่งแอ็กชั่นน้องก็วิ่งออกไปยิ้มร่าเริง สั่งคัตน้องวิ่งไม่คิดชีวิตกลับมาหาเสื้อกันหนาว

เกือบโฟรเซ่นของจริงมั้ยล่ะมึง

แต่โดยรวมการถ่ายทำที่ญี่ปุ่นงานนี้ ก็ราบรื่นมากที่สุดกองหนึ่งของแซลมอนเฮาส์ มีผิดแผนบ้าง บางโลเคชั่นไม่ได้ของเลยก็มี แต่บางโลเคชั่นก็ได้มาอย่างฟลุกๆ แบบไม่มีในแผน (มีโลฯ หนึ่งอยู่หน้าโรงแรมร้าง ที่น่ากลัวมาก แต่เราได้ภาพลำธารสวยๆ ที่มาช่วยชีวิตพวกเราตอนตัดต่อ)

ความยากของหนังเรื่องนี้คือ จังหวะทวิสต์จากหนังขายครีม มาเป็นหนังขายสายการบิน

ตรงนี้เบนซ์ ธนชาติ ดีไซน์จังหวะคล้ายหนังตั้งแต่จุดพีคของหนังที่ดนตรีเร่งอารมณ์เต็มที่แล้วมีจังหวะเล็กๆ ที่นางเอก รำพึงขึ้นมาว่า

“เดี๋ยวนะ นี่มันดีไปปะเนี่ย” แล้วหนังจะไต่จุดพีคต่อ และมาเฉลยว่า ครีมนี้ไม่มีขายตามเคาน์เตอร์แบรนด์ทั่วไป

ก่อนที่นางเอกจะตบรับว่า “นั่นไง กูว่าละ”

จุดนี้เราดีเบตกับลูกค้าอยู่พอสมควร เพราะเราต้องการให้มีคำว่า “กูว่าละ” แต่ลูกค้าพยายามไม่ให้มีคำว่ากู อันนี้เข้าใจได้

แต่สำหรับแง่บท เราก็ต้องยอมรับว่า เรากำลังหลอกคนดูอยู่ มันไม่มีอะไรหรอกนะไอ้ครีมที่ว่า

ดังนั้นวิธีที่เราทำคือ ทำให้ตัวละครในหนังรู้เท่าทันคนดู ตั้งแต่ประโยคที่พูดว่า “เดี๋ยวนะ นี่มันดีไปปะเนี่ย”

ก่อนที่จะพูดแทนใจคนดูในจังหวะที่โฆษณาเฉลยว่าไม่มีขาย ด้วยประโยคกระแทกว่า “นั่นไง กูว่าละ” อันนี้อยู่ที่ความแม่นของผู้กำกับแล้วว่าอยากให้มาจังหวะไหนของหนัง ไดเรกต์ประโยคอยู่นานมาก เพราะเบนซ์อยากได้อารมณ์เบื่อๆ เอือมๆ เสียรู้นิดหน่อย โกรธมั้ย ไม่ขนาดนั้น แค่เอือมๆ

ก่อนที่จะมาโยงสองเรื่องเข้ากันด้วยคำว่า “ไม่มีขายตามเคาน์เตอร์แบรนด์ทั่วไป” …แต่… “เคาน์เตอร์ Air Asia ตอนนี้เปิดรูตใหม่ไปฟุกุโอกะ”

หนัง ครีมฟุกุโอกะ เลยเป็นโฆษณาท่องเที่ยว ที่ทำให้การท่องเที่ยวมีความเป็น functional โดยใช้ครีมบำรุงผิวเป็นไอเดียคอนเซปต์

มันสร้างเหตุและผลให้การท่องเที่ยวเป็นกิจกรรมที่ต้องทำ การท่องเที่ยวไม่ใช่แค่การพักผ่อนแล้ว แต่มันคือการบำบัดจิตใจ บำรุงกำลังใจให้หน้าใส ใจฟู กลับมาสู้งานหนักอีกครั้ง

ถือเป็นช่วงเวลาที่ดี ที่เราได้ไปถ่ายทำหนังโฆษณาต่างประเทศกันเดือนเว้นเดือน

โดยที่ไม่รู้เลยว่า ปลายปีนั้นโลกจะมีสิ่งที่เรียกว่าโควิด แล้วทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิม ตอนนี้หน้าหมองใจเหี่ยวมาก

ไม่ต้องถึงครีมฟุกุโอกะแล้ว แค่ครีมหัวหินก็ยิ้มแล้วครับ