DYSON แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่คนยอมควักกระเป๋าซื้อ จุดเริ่มต้นจากเจ้าของหงุดหงิดเครื่องดูดฝุ่น

เชื่อไหมว่า ความหงุดหงิดที่มีต่อ ‘เครื่องดูดฝุ่น’ จะกลายมาเป็นแรงผลักดันให้ชายคนหนึ่งลุกขึ้นมาพลิกวงการเครื่องใช้ไฟฟ้า และเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องเทคโนโลยีในบ้านไปตลอดกาล

เรากำลังพูดถึงแบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมในชีวิตประจำวันอย่าง Dyson

หลายบ้านมีเครื่องใช้ไฟฟ้าของ Dyson อย่างน้อยหนึ่งชิ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดูดฝุ่นไร้ถุง พัดลมไร้ใบพัด เครื่องฟอกอากาศ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เคยเป็นกระแสในบ้านเราอย่างไดร์เป่าผม 

แม้จะฟังดูเป็นอุปกรณ์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าสามัญภายในบ้านตามปกติ แต่ด้วยความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยี วิศวกรรมล้ำหน้า การออกแบบ ทำให้ Dyson แตกต่าง ไม่ใช่แค่เรื่องผลิตภัณฑ์ แต่หมายรวมถึงแนวคิดที่กล้าท้าทายอุตสาหกรรมทั้งมวล จนทำให้ประสบความสำเร็จในระดับโลก

จากจุดเริ่มต้นของการ ‘ไม่ยอมรับ’ สิ่งเดิมๆ สู่การตั้งคำถาม และความพยายามที่จะ ‘สร้าง’ สิ่งที่ดีกว่า จากการทดลองนับพันครั้ง ที่ประสบทั้งความล้มเหลว และการลุกขึ้นใหม่ ทำให้ Dyson ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่เป็นสัญลักษณ์ของความคิดสร้างสรรค์ที่เปลี่ยนวิถีชีวิตและเปลี่ยนโลกได้จริง

จุดเริ่มต้นของแบรนด์มาจากไหน ‘ชายคนหนึ่ง’ ที่ว่าคือใคร และเรื่องราวของแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทุกคนหลงรักและ ‘ยอมจ่าย’ แม้จะมีราคาสูงเป็นยังไง คอลัมน์ Biztory ครั้งนี้จะพาไปสำรวจเบื้องหลังความสำเร็จเหล่านี้พร้อมกัน

เด็กชายจากครอบครัวนักการศึกษา

เจมส์ ไดสัน (James Dyson) เกิดที่เมืองโครเมอร์, นอร์ฟอล์ก ประเทศอังกฤษ ในครอบครัวฐานะธรรมดา

พ่อของเขา อเล็ก ไดสัน (Alec Dyson) เป็นครูผู้ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความมีหลักการ วินัย และความทุ่มเทด้านการศึกษา เขาส่งเสริมให้เจมส์มีความอยากรู้และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซึ่งสร้างพื้นฐานความเป็นนักสงสัย ความพยายาม รวมถึงการแก้ปัญหาและการพึ่งพาตนเองให้กับเจมส์อย่างมาก ขณะที่ แมรี่ ไดสัน (Mary Dyson) แม่ของเจมส์ก็เป็นผู้สนับสนุนที่ดีให้แก่ลูกของเธอ

จุดเปลี่ยนแรกของเจมส์เกิดขึ้นในวัย 9 ขวบ หลังจากพ่อของเขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง เหตุการณ์นี้ส่งผลให้เขาต้องพึ่งพาตัวเองและมีความเข้มแข็งตั้งแต่วัยเด็ก อย่างไรก็ดี การเติบโตมาในครอบครัวครู นักการศึกษา บวกกับการเป็นเด็กขี้สงสัยและมีความมุ่งมั่นสูงเป็นทุนเดิม ก็กลายเป็นรากฐานและคุณสมบัติสำคัญที่ติดตัวเขาในเวลาต่อมา

เจมส์เริ่มต้นการศึกษาที่ Gresham’s School ในเมืองโฮลต์ ที่นั่น เขาสนใจด้านศิลปะและการออกแบบ ซึ่งทำให้เขามีความเข้าใจเรื่อง รูปร่าง การจัดวาง และการใช้งานของวัตถุ 

แต่แม้จะเริ่มต้นจากความสนใจในศิลปะ เจมส์ก็มีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับการทำงานของสิ่งต่างๆ รอบตัวตั้งแต่เด็ก จึงมีนิสัยแงะหรือทดลองปรับปรุงอุปกรณ์ของเล่น เครื่องมือ หรือสิ่งของในบ้านเพื่อดูการทำงานเป็นประจำ หรือแม้กระทั่งทำโครงการทดลองเล็กๆ ที่บ้าน เช่น ปรับปรุงเครื่องมือเก่าๆ หรือสร้างอุปกรณ์เล็กๆ เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน

หลังการศึกษาที่ Gresham’s School เจมส์เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนด้านศิลปะ Byam Shaw School of Art ก่อนเปลี่ยนมาเรียนด้านการออกแบบที่ Royal College of Art (RCA) ในกรุงลอนดอน 

ที่นี่เองเขาเริ่มเปลี่ยนจากสายศิลปะมาสนใจการออกแบบผลิตภัณฑ์ (Industrial Design) และวิศวกรรม ซึ่งจะกลายเป็นรากฐานความคิดสร้างสรรค์ตลอดชีวิตการทำงานในอนาคต

เส้นทางนักประดิษฐ์

หลังจบการศึกษาที่ RCA ในปี 1970 เจมส์เริ่มต้นอาชีพวิศวกรที่บริษัท Rotork บริษัทวิศวกรรมที่ผลิตระบบควบคุมอุตสาหกรรม ที่นั่นเขาทำงานภายใต้ เจเรมี ฟราย (Jeremy Fry) วิศวกรและผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียง ซึ่งกลายมาเป็นผู้ให้คำปรึกษาและแรงบันดาลใจคนสำคัญ

Jeremy Fry
Jeremy Fry

แม้เจมส์จะเริ่มต้นด้วยพื้นฐานการออกแบบ ไม่ใช่วิศวกรรมแบบดั้งเดิม แต่ที่ Rotork เจมส์ได้เรียนรู้ระบบกลไกไฮดรอลิกและการแก้ปัญหาเชิงปฏิบัติ ช่วงเวลานี้เองที่ช่วยให้เขาเชื่อมโยง ‘การออกแบบ’ เข้ากับ ‘วิศวกรรม’ อันเป็นรากฐานที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของเขาในอนาคตมีทั้งความสวยงามและประสิทธิภาพ

ขณะทำงานที่ Rotork เจเรมีคือผู้ที่สนับสนุนให้เจมส์คิดอย่างอิสระ กล้าลองสิ่งใหม่ การชี้แนะนี้เสริมสร้างความมุ่งมั่นและความกล้าที่จะท้าทายวิธีแก้ปัญหาแบบเดิมๆ เจมส์จึงเริ่มทดลองสร้างสิ่งประดิษฐ์ด้านอุตสาหกรรมและการขนส่ง จนนำมาสู่สิ่งประดิษฐ์ใหญ่ชิ้นแรกของเขาอย่าง ballbarrow รถเข็นล้อทรงกลม ที่ทำให้ใช้งานง่ายขึ้นบนพื้นอ่อนนุ่ม ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นใหม่ของ wheelbarrow แบบดั้งเดิม

Ballbarrow
Ballbarrow

หลังจากนั้นเจมส์ได้พัฒนาสิ่งประดิษฐ์อีกหลายชิ้น เช่น Sea Truck หรือเรือขนส่งความเร็วสูงท้องแบนสำหรับขนรถและสินค้า และต้นแบบอื่นๆ เช่น ยานพาหนะแบบล้อและแบบใช้งานทางบกและน้ำ 

Sea Truck
Sea Truck

โครงการต่างๆ เหล่านี้ช่วยให้เขาได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ได้แก้ปัญหา รวมทั้งเข้าใจกระบวนการทดสอบ ความล้มเหลว และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือมันสะท้อนแนวคิดของเขาที่ต้องการแก้ปัญหาชีวิตประจำวันด้วยการออกแบบ

อาจกล่าวได้ว่า ที่ Rotork คือโรงเรียนการทำงานจริงที่ทำให้เจมส์ได้ทดลองและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการสร้าง ‘นวัตกรรม’ อย่างแท้จริง และด้วยการชี้แนะของเจเรมี ก็ยิ่งเสริมความมุ่งมั่นและความกล้าที่จะท้าทายวิธีแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ซึ่งกลายเป็นลักษณะเด่นของเจมส์ในเวลาต่อมา

แน่นอนว่ารวมถึงจุดกำเนิดของแบรนด์เปลี่ยนโลกอย่าง Dyson

กำเนิด Dyson และการทดลองกว่าห้าพันครั้ง

ช่วงปลายทศวรรษ 1970 ตลาดเครื่องดูดฝุ่นถูกครอบครองโดยแบรนด์ใหญ่อย่าง Hoover, Electrolux และ Miele ซึ่งใช้ระบบ ‘ถุงเก็บฝุ่น’ ที่เมื่อใช้งานไปสักพัก ‘แรงดูด’ จะลดลง เนื่องจากฝุ่นที่ไปอุดตันถุงกรองหรือฟิลเตอร์ หากแต่ในเวลานั้น แม้จะเป็นข้อเสียที่ผู้ใช้งานทั่วไปรู้กัน แต่กลับไม่มีแบรนด์ใดลงมือแก้ไขอย่างจริงจัง

เจมส์ ไดสัน คือหนึ่งในผู้ใช้งานเครื่องดูดฝุ่น และหงุดหงิดกับข้อเสียดังกล่าวเช่นกัน

วันหนึ่ง เขามีโอกาสเข้าเยี่ยมชมโรงเลื่อยไม้แห่งหนึ่ง และสังเกตว่า โรงงานใช้ระบบ ‘ไซโคลน’ หรือ Cyclonic Separation ในการแยกฝุ่นออกจากอากาศโดยไม่ต้องใช้ฟิลเตอร์หรือถุงกรอง

เขานึกไปถึงประสบการณ์ส่วนตัวของการใช้งานเครื่องดูดฝุ่นและสังเกตว่า ปัญหาจากระบบถุงเก็บฝุ่นในเครื่องดูดฝุ่นทำให้ลูกค้าต้องเปลี่ยนถุงบ่อย จึงเป็นการเพิ่มต้นทุนระยะยาว ขณะที่ประสิทธิภาพของเครื่องก็ลดลงชัดเจนเมื่อใช้งานต่อเนื่อง 

และเมื่อไม่มีนวัตกรรมใหม่ในตลาดที่ช่วยแก้ปัญหานี้อย่างแท้จริง เขาจึงมองเห็นช่องว่างในการนำไอเดียระบบไซโคลนที่เห็นจากโรงเลื่อยไม้มาประยุกต์เข้ากับเครื่องดูดฝุ่น นั่นเป็นจุดเริ่มให้เขาสร้างเครื่องดูดฝุ่นไร้ถุงเก็บฝุ่น (bagless vacuum) โดยมีแนวคิดหลักคือ การใช้แรงเหวี่ยงหมุนอากาศเพื่อแยกฝุ่นออก ไม่ใช่ถุงกรองฝุ่นอีกต่อไป และรักษาแรงดูดให้คงที่ตลอดการใช้งาน

แต่เนื่องจากไม่เคยมีนวัตกรรมดังกล่าวมาก่อน เจมส์จึงต้องใช้เวลาในการลองผิดลองถูกเป็นเวลานาน

หลังจาก 5 ปีแห่งการทดลอง และต้นแบบกว่า 5,127 ชิ้น ในที่สุด เมื่อปี 1983 มาถึง เจมส์ ไดสัน ก็เปิดตัวเครื่องดูดฝุ่น ‘G-Force’ เวอร์ชั่นแรกได้สำเร็จ แต่ประเทศที่เปิดตัวสินค้ากลับไม่ใช่อังกฤษบ้านเกิด เขาเคยเสนอผลงานให้บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่อย่าง Hoover และ Electrolux ด้วยแต่ถูกปฏิเสธ เนื่องจากบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ทำกำไรมหาศาลจากการขายถุงเก็บฝุ่นสำรอง 

ขณะที่ญี่ปุ่นเป็นยุคที่ผู้บริโภคนิยมสินค้าที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย และมีคนสนใจอุปกรณ์ดังกล่าวอย่างมาก แม้จะวางขายในราคาพรีเมียม จนทำให้ผลิตภัณฑ์ของเจมส์ได้รับรางวัลด้านการออกแบบ

ความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ที่ญี่ปุ่นมากพอที่จะช่วยให้เจมส์ก่อตั้งบริษัท Dyson Ltd. ได้ในปี 1991 เขาจึงตัดสินใจเปิดบริษัทของตนเอง เพื่อนำสิ่งประดิษฐ์ออกสู่ตลาด หากแต่ก็เป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างเสี่ยง เนื่องจากเขามีทรัพยากรจำกัด และยังต้องเผชิญการแข่งขันกับยักษ์ใหญ่ในตลาด

ก้าวกระโดดสู่ภาพลักษณ์สินค้าพรีเมียม

ปี 1993 ถือเป็นก้าวสำคัญในอังกฤษของเจมส์จากการเปิดตัว ‘DC01’ เครื่องดูดฝุ่นรุ่นแรกภายใต้แบรนด์ Dyson ด้วยสโลแกน ‘No Loss of Suction’ หรือ ‘แรงดูดไม่ตก’ ซึ่งเป็นการท้าทายเครื่องดูดฝุ่นแบบดั้งเดิมโดยตรง

แม้ช่วงแรกจะมีอุปสรรคอยู่บ้างจากการที่ร้านค้าปลีกไม่มั่นใจ เพราะสินค้าของ Dyson มีราคาสูงกว่าปกติ ขณะที่มีการกีดกันไม่ให้พวกเขาเข้าสู่ตลาดจากคู่แข่ง แต่ Dyson ก็ใช้การบอกต่อและโฆษณาที่สร้างสรรค์จนเริ่มได้รับความนิยม และในเวลาเพียง 2 ปี เจ้า DC01 ก็กลายเป็นเครื่องดูดฝุ่นขายดีที่สุดในสหราชอาณาจักร พลิกสถานะเจมส์ ไดสัน จากนักประดิษฐ์ที่เคยถูกปฏิเสธ สู่ผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงระดับโลกในเวลาเพียงไม่กี่ปี ขณะที่แบรนด์ Dyson กลายเป็นสัญลักษณ์ของนวัตกรรมที่พลิกวงการ เพราะเป็นเครื่องดูดฝุ่นไร้ถุงรายแรกๆ ที่ได้รับความนิยม

เมื่อประสบความสำเร็จจากเครื่องใช้ไฟฟ้าในกลุ่มเครื่องดูดฝุ่น Dyson เริ่มขยายการเติบโตอย่างรวดเร็วผ่านหลายแนวทาง ทั้งการขยายผลิตภัณฑ์จากเครื่องดูดฝุ่นไปยังพัดลมไร้ใบพัด, เครื่องเป่ามือ, อุปกรณ์จัดแต่งทรงผม, เครื่องฟอกอากาศ, ไดร์เป่าผม และอีกมากมาย แต่ยังคงยึดปรัชญาเดิมคือการ ‘แก้ปัญหาด้วยการออกแบบ’

อีกสิ่งที่ Dyson ให้ความสำคัญอย่างมากคืองานวิจัยและพัฒนา (R&D) บริษัทลงทุนหลายพันล้านปอนด์ในศูนย์วิจัย เช่น Hullavington Airfield (UK) และในสิงคโปร์ การลงทุนอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ทำให้บริษัทมีวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยวิศวกรรมและนวัตกรรม ขณะที่แนวคิดการออกแบบที่เน้นทั้งประสิทธิภาพและความล้ำสมัยด้านดีไซน์ ก็ทำให้สินค้าของ Dyson ถูกมองว่าเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ได้จริงและมีงานออกแบบที่สะดุดตา

นั่นทำให้บริษัทขยายการขายไปยังยุโรป สหรัฐอเมริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ ถึงแม้จะต้องเจอการแข่งขันจากแบรนด์ใหญ่ 

Dyson Airblade
Dyson Airblade

เมื่อทศวรรษ 2000 มาถึง Dyson จึงเริ่มขยายสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อสร้างภาพลักษณ์ในฐานะแบรนด์เทคโนโลยีที่ไม่ใช่แค่เครื่องดูดฝุ่น เริ่มตั้งแต่การเปิดตัวเครื่องดูดฝุ่นแบบ Ball Technology ที่ใช้ลูกบอลแทนล้อ ทำให้หมุนและเคลื่อนที่ง่ายขึ้น (2001) หรือเปิดตัว ‘Dyson Airblade’ เครื่องเป่ามือที่ใช้ลมแรงความเร็วสูง แห้งเร็วกว่าและประหยัดพลังงานมากกว่าเครื่องเป่ามือทั่วไป (2006) 

และในปี 2007 ก็เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น เมื่อเจมส์ ไดสัน ได้รับการแต่งตั้งเป็น Sir หรือยศอัศวิน จากผลงานด้านธุรกิจ และกลายเป็นหนึ่งในนักประดิษฐ์และผู้ประกอบการที่โดดเด่นที่สุดของอังกฤษ

ขณะที่ Dyson ก็เริ่มสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ในฐานะสินค้าหรูที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ราคาสูงกว่าคู่แข่ง แต่ขายได้เพราะคุณภาพและดีไซน์ จึงนำมาสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่าง ‘Dyson Air Multiplier’ หรือ พัดลมไร้ใบพัด ในปี 2009 ที่กลายเป็นผลิตภัณฑ์ดีไซน์ล้ำที่สร้างความฮือฮาทั่วโลก กระทั่งการมาถึงของไดร์เป่าผมที่สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมความงามอย่าง ‘Dyson Supersonic’ ในปี 2016

Dyson Supersonic
Dyson Supersonic

Dyson Supersonic มีจุดเด่นทางวิศวกรรมที่แตกต่างจากไดร์ทั่วไปหลายข้อ เช่น มอเตอร์ที่เล็ก เบา แต่ทรงพลัง มีระบบควบคุมความร้อนอัจฉริยะ มีตัวเซนเซอร์วัดอุณหภูมิอากาศประมาณ 20 ครั้งต่อวินาที แล้วไมโครโปรเซสเซอร์จะปรับระดับความร้อนทันที เพื่อป้องกันการทำร้ายเส้นผม และถูกออกแบบด้านเสียงให้ทำงานเงียบลงด้วยเทคนิคการลดความถี่รบกวนและใส่แผ่นซับเสียง ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นการแก้ปัญหาจากสิ่งที่ผู้ซื้อไดร์เป่าผมทั่วไปเคยเผชิญ 

การเปิดตัว Dyson Supersonic ได้เข้ามายกระดับมาตรฐานคุณภาพในตลาดไดร์เป่าผม และแม้จะตั้งราคาที่สูงกว่าตลาดทั่วไป คือเกือบ 400 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ผู้บริโภคจำนวนมากก็ยอมจ่าย เพราะเชื่อในนวัตกรรมและคุณค่าที่เพิ่มขึ้น เสมือนเป็นการเปิดทางให้เกิดตลาดไดร์เป่าผมระดับพรีเมียมด้วย

ที่สำคัญคือมันเป็นการตอกย้ำปรัชญาการทำงานของ Dyson ในการนำวิศวกรรมมาใช้ในการออกแบบ โดยเฉพาะในตลาดของอุปกรณ์เพื่อความงาม ทำให้ตลาดเริ่มมองว่า อุปกรณ์เสริมสวยนั้นสามารถมีเทคโนโลยีที่จริงจังเข้ามาเกี่ยวข้องได้

เทคโนโลยีและดีไซน์ เบื้องหลังราคาที่คนยอมจ่าย

“คนส่วนมากชอบคิดว่า ตนเองจะได้ไอเดียสุดยอดมาจากในห้องน้ำ แต่ไม่ใช่สำหรับผม เพราะมันมักมาจากการมองเห็นปัญหาและค้นหาวิธีแก้ แล้วพยายามหาทางออก พูดตรงๆ ว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องของความฉลาด แต่เป็นแค่การใช้เหตุผล ความมีระบบขั้นตอน และไม่กลัวการล้มเหลว”

เจมส์ ไดสัน เคยให้สัมภาษณ์ไว้เช่นนั้น

หนึ่งในความโดดเด่นของแบรนด์ Dyson ที่จับต้องได้คือ ‘หน้าตา’ ของเครื่องใช้ไฟฟ้า หลายคนรู้สึกว่าดีไซน์ของแบรนด์ Dyson นั้นช่าง ‘ล้ำ’ เหลือเกิน นั่นเพราะ Dyson มีการออกแบบที่ขับเคลื่อนด้วยฟังก์ชั่น

กล่าวคือ Dyson ไม่ได้ออกแบบสินค้าเพียงเพื่อดึงดูดสายตา แต่ยึดหลักว่าฟังก์ชั่นต้องมาก่อนความสวยงาม การออกแบบทุกชิ้นจึงตั้งต้นจากปัญหาการใช้งานจริงของผู้บริโภคตามปรัชญาของผู้ก่อตั้งอย่างเจมส์ ไดสัน สินค้าแต่ละชิ้นจึงมีรูปร่างและวัสดุที่ออกแบบมาเพื่อประสิทธิภาพ เช่น หัวดูดฝุ่นที่โปร่งใสเพื่อให้เห็นฝุ่นชัดเจน หรือรูปทรงของพัดลมไร้ใบที่ลดแรงต้านลม สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อจิตวิทยาของผู้ใช้งานที่ได้ ‘เห็นการทำงาน’ และรู้สึกถึงประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ขณะที่การเลือกใช้สีของผลิตภัณฑ์ ก็ยิ่งแสดงถึงความล้ำสมัยและความพรีเมียม

นอกจากดีไซน์ เบื้องหลังของผลิตภัณฑ์นั้นกลับซ่อนไว้ด้วยความซับซ้อนของกลไกการทำงาน ซึ่งเป็นผลมาจากเทคโนโลยีการผลิตที่ Dyson ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีในทุกองค์ประกอบของสินค้า เช่น ระบบหมุนของมอเตอร์ดิจิทัล ระบบไซโคลน หรือการควบคุมความร้อนแบบแม่นยำในไดร์เป่าผม หรือเทคโนโลยีพัดลมไร้ใบพัด ซึ่งล้วนต้องอาศัยการวิเคราะห์วิศวกรรมขั้นสูงทั้งสิ้น

และนี่เองคือเหตุผลว่าทำไมสินค้าของ Dyson จึงมีราคาสูงแต่ได้รับความนิยม เพราะมีเทคโนโลยีที่ ‘สัมผัสได้จริง’ มีการออกแบบที่เหนือชั้น สวย ทันสมัย โดดเด่น เหมาะกับบ้านยุคใหม่ ทั้งยังเป็นของตกแต่งได้ภายในตัวเอง อีกเหตุผลคือความน่าเชื่อถือของแบรนด์ โดยเฉพาะการลงทุนมหาศาลในเรื่อง R&D ที่ทำให้ผู้บริโภคเชื่อว่าแพงแต่คุ้ม ขณะที่ราคาที่สูงก็ทำให้สินค้าของ Dyson ไม่ใช่สินค้าแบบ ‘แมส’ ซึ่งทำให้แบรนด์ดูพิเศษ และผู้ได้ครอบครองสามารถภูมิใจได้

สื่อสารอย่างชาญฉลาด

ถึงแม้ Dyson จะเน้นสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมสูง และไม่ได้ลงแข่งขันในตลาดด้วยราคาที่ถูก แต่สิ่งที่ทำให้แบรนด์ก้าวไปไกล นอกจากประสิทธิภาพของสินค้า ก็คือกลยุทธ์การส่งเสริมการขายที่ชาญฉลาดและเฉพาะเจาะจง

ที่ร้านหรือบูทจัดแสดงตามห้างสรรพสินค้าของ Dyson จะมีการสาธิตประสิทธิภาพ เพื่อให้ลูกค้าสามารถทดลองสินค้า สัมผัสความต่าง และพิสูจน์ประสิทธิภาพได้ด้วยตนเอง บางแห่งถึงกับมีการไลฟ์สาธิตผลิตภัณฑ์และระบบแบ่งปันหน้าจอหรือวิดีโอ 360 องศา ที่ทำให้ลูกค้ารับชมการทำงานจริงแม้ไม่ได้อยู่หน้าร้าน เรียกว่าเล่นใหญ่มากๆ

อีกเรื่องคือการใช้สื่อเพื่อสื่อสารอย่างฉลาด หากใครเคยดูการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของ Dyson ก็อาจนึกเทียบไปถึงการเปิดตัวสินค้าใหม่ของแบรนด์เทคโนโลยีอย่าง Apple เลย โดยการเปิดตัวพร้อมปลุกกระแสผ่านทีเซอร์ วิดีโอ ทำแคมเปญล่วงหน้า ซึ่งแคมเปญก็มักไม่ได้เน้นแค่คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ แต่จะพูดถึงเบื้องหลังการพัฒนา การทดลอง เรื่องวิศวกรรม และปัญหาที่ Dyson แก้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ทำไมผลิตภัณฑ์จึงเหนือกว่า ก่อนจะนำไปสู่การจัดอีเวนต์

นอกจากการขายผ่านเว็บไซต์ Dyson โดยตรง ก็ยังมีการจับมือกับร้านค้าพันธมิตร ร้านค้าปลีกชั้นนำ เพื่อทำ ‘Dyson Experience’ ให้ลูกค้าได้สัมผัสและทดลองใช้ Dyson โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ รวมถึงจัดแสดงเทคโนโลยีของ Dyson และโซนพิเศษ เช่น Beauty Lab สำหรับผม หรือ Hair Care Wall รวมถึงโปรโมชั่นเฉพาะที่ร้าน อย่างในประเทศไทยก็มี Dyson Demo ที่เมกาบางนา ซึ่งเป็นสาขาใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย 

ประสบการณ์ดังกล่าวช่วยให้ลูกค้าสามารถทดลองผลิตภัณฑ์ก่อนตัดสินใจซื้อและได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสร้างความมั่นใจในตัวผลิตภัณฑ์ทั้งสิ้น

ทศวรรษถัดไปกับการเป็นแบรนด์เทคโนโลยีสำหรับชีวิต

ปัจจุบัน Dyson มีศูนย์เทคโนโลยีและศูนย์วิจัยใหญ่ในสหราชอาณาจักร สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ มีบุคลากรทั่วโลกหลายหมื่นคน โดยเฉพาะในส่วนการวิจัย วิศวกรรม และการผลิต แค่เฉพาะในส่วนของ R&D ก็มีการเพิ่มงบการวิจัยและพัฒนามากกว่า 40% ในปี 2023 เลยทีเดียว 

ขณะที่ในทศวรรษถัดไป Dyson ตั้งเป้าไม่เพียงแค่เป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน แต่จะเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นสูงที่เข้าไปในหลายกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ได้ สะท้อนจากการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ เทคโนโลยีแบตเตอรี โครงสร้างพื้นฐาน และ AI ไม่แน่ว่าในอนาคตเราอาจได้เห็น Dyson ก้าวเข้าสู่ ‘เทคโนโลยีสำหรับชีวิต’ ที่มากขึ้น อย่างหมวดอุตสาหกรรมความงาม หรือประเภท Wearables อย่างสมาร์ตวอตช์ ไปจนถึงหูฟังก็ได้

แต่ไม่ว่าจะก้าวไปสู่จุดไหน หัวใจสำคัญที่ Dyson ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ก็ยังคงเป็นการมองเห็นปัญหาและลงมือแก้ไขมันด้วยความมุ่งมั่น โดยไม่ยอมแพ้ต่อข้อจำกัดและความคุ้นชินเดิมๆ เพื่อนำไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีขึ้น

ครั้งหนึ่ง เจมส์ ไดสัน เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า

“ผมมีความปรารถนาที่จะแตกต่าง มันเป็นโรคที่ผมเป็นมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงค่อนข้างยินดีที่จะไม่เห็นด้วยกับคนอื่น”

ใครจะไปคิด ว่าความหงุดหงิดที่มีต่อเครื่องดูดฝุ่นในวันนั้น จะทำให้เขากลายเป็นท่านเซอร์ที่สร้างแบรนด์เปลี่ยนโลกอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ใหญ่โตขนาดนี้

อ้างอิง 

คุยกับดุจดาวถึง wisdom ในหมวกนักธุรกิจเบื้องหลัง SOULSMITH และรสชาติชีวิตที่ขมแต่หวานปลาย

หลายคนที่สนใจเรื่องจิตบำบัดอาจคุ้นเคยกับชื่อของ ดุจดาว วัฒนปกรณ์ นักจิตบำบัดและผู้ก่อตั้ง Empathy Sauce กับ SOULSMITH กันมาบ้าง บทสนทนากับดุจดาวตามสื่อมักเล่าเรื่องราวผ่านบทบาทนักจิตบำบัดด้านศิลปะการเคลื่อนไหว (Dance Movement Therapist) หรือนักแสดงละครเวที แต่วันนี้ Capital อยากชวนคุยกับดุจดาวในหมวก ‘นักธุรกิจ’ 

เริ่มจากอยากรู้ว่าดุจดาวมองตัวเองเป็นนักธุรกิจไหม 

“ถ้าใช้คําว่านักธุรกิจ สําหรับเรานะ ดาวคิดว่าต้องเก่ง หรือมันไม่จําเป็นนะ เพราะนักแสดงก็ยังมีนักแสดงที่ไม่เก่งได้เลย ดาวจะเป็นส่วนหนึ่งก็แล้วกัน เพราะมีหลายแบ็กกราวนด์ เป็นคนหลาย ‘นัก’ เป็นนักแสดง ผู้กํากับ Therapist และมีหมวกนักธุรกิจอยู่หลายวันต่อสัปดาห์”

ช่วงหลังเทรนด์ mindfulness กำลังกลายเป็นกระแสจากกลุ่มธุรกิจสุขภาพที่กำลังโตขึ้น ซึ่งถึงแม้จะเป็นเรื่องดี แต่ดุจดาวมองว่าภาพจำของการดูแลใจเริ่มกลายเป็นความขาวใสที่มีความขุ่นมัวปนไม่ได้เลย และกําลังทอดทิ้งคนที่รู้สึกว่ายังจัดการตัวเองไม่ได้ หรือยังมีความรู้สึกขุ่นในใจอยู่ ทำให้อยากดึงภาพจำของการบำบัดใจให้เป็นภาพที่ไม่ต้องเพอร์เฟกต์หมดจด

SOULSMITH ให้บริการทางด้าน mental health และ soul well-being สำหรับคนทั่วไป ปีนี้จึงจัดเทศกาล Mental Matters Fest 2025 ธีม Honoring Life’s All Shades ในเดือนตุลาคม เพื่อเฉลิมฉลองทุกเฉดรสชาติของชีวิต ทั้ง ขม หวาน กลมกล่อม เปรี้ยว เผ็ดร้อน

“ปีนี้เราก็กล้ามากเลยในการดึง mental health มาเป็นงานไลฟ์สไตล์ที่มีสีสันและหลายรสชาติ มันต้องมีพาร์ตที่เปรี้ยว พาร์ตที่มันไม่ต้องถูกต้องทั้งหมด สถานที่จัดงานปีนี้เลยเป็นโรงแรม The Fig Lobby ที่มีความเปรี้ยวซ่าสุดๆ แต่เป็นพื้นที่ที่พูดเรื่อง mental health ได้ไหม…ต้องได้สิ จัดการแสดงเพิ่มได้ไหม…ต้องได้สิ  หรือแม้กระทั่งการมาเฉลิมฉลองกัน หรือจัดทอล์ก เราก็ทำให้มันมีความฉูดฉาด มีนักแสดงละครเวทีเพิ่มขึ้นมาเพื่อมาดึงรสชาติของการแสดง”

ดุจดาวในวันที่สวมหมวกนักธุรกิจบอกกับเราว่ารสชาติชีวิตของตัวเองในวันนี้เหมือน ‘มะระขี้นก’  ซึ่งเป็นเมนูค็อกเทลที่เพิ่งไปชิมจากบาร์แถวเยาวราชเมื่อหลายเดือนที่แล้ว

“รสมะระขี้นกคือขมจัดเลย เคี่ยวกรํา สมบุกสมบันจนคิดว่า ความขมในชีวิตมันตั้งอยู่อยู่แล้ว แล้วมันก็เป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งบางอย่างของตัวดาวเอง ณ วันนี้ แต่ว่ารอบๆ ก็ยังมีรสชาติหอมหวาน สดชื่นแล้วก็ท้าทายไปกับก้อนน้ำแข็งเย็นๆ สี่เหลี่ยมตรงกลางแก้ว”

“มันเป็นรสชาติที่พาเราไปแตะจุดที่มันลึกจนเกือบจะเป็นแกนของชีวิต เพราะฉะนั้นแปลว่าทุกครั้งที่เราสัมผัสรสขม มันทำให้เราระลึกว่าเราผ่านมาทุกรส แล้วก็ได้ดําดิ่งไปเจอตัวเองในจุดที่มันลึกซึ้งมาก ลึกจนเราสามารถเรียกพื้นที่ตรงนั้นเป็น wisdom ของชีวิต มันไม่ใช่ความรู้ด้วยนะ ไม่ใช่แค่ know-how แต่มันคือการซ้อนทับของประสบการณ์ทั้งชีวิต เหมือนใบไม้ ต้นไม้ แล้วข้างล่างมันคือปุ๋ย รสขมพาเราไปเจอ essence นั้นของชีวิต เราเป็นคนไม่กินหวาน ถ้าให้แตะหวานรสเดียว จะไม่ชอบหวานแบบนั้น แต่มันจะมีรสหวานปลายที่เกิดจากความขมอยู่”

เรื่องราวการทำธุรกิจบำบัดใจของดุจดาวในวันนี้เป็นรสขมที่หวานปลายเช่นกัน หากพร้อมแล้วตามไปนั่งฟังบทสนทนาที่ SOULSMITH พร้อมๆ กัน  

Infinite Service  

ในฐานะคนทั่วไปที่ไม่มีความรู้ด้านจิตวิทยา คำถามที่เราสงสัยคือ ในเมื่อบริการบำบัดเปรียบเหมือน infinite service ที่ต้องรักษาต่อเนื่องแทบไม่มีที่สิ้นสุด คาดการณ์ระยะเวลาที่บาดแผลทางใจจะดีขึ้นไม่ได้แน่นอน บางรายอาจต้องใช้ระยะเวลารักษาใจหลายปี และชีวิตมนุษย์ที่ยืนยาวก็มีแผลใหม่ เรื่องราวใหม่ให้ต้องดูแลใจตลอด แล้วการทำธุรกิจจะคาดการณ์ระยะเวลาบริการและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ยังไง

มุมมองที่น่าสนใจจากดุจดาวคือ การออกแบบการบำบัดควรเป็น user-centric ที่ยึดผู้ใช้บริการเป็นศูนย์กลาง และมอบอำนาจทางการตัดสินใจในรูปแบบและระยะเวลาการรักษาแก่ลูกค้าด้วย

“SOULSMITH ตั้งขึ้นมาในโมเดลที่เราพยายามจะลด pain point ของเซอร์วิส therapy ที่เคยปรากฏอยู่ในคลินิกจิตเวช เพราะดาวเคยอยู่คลินิกจิตเวชมาก่อน ซึ่งความคิดเห็นว่าควรจะหยุดบำบัดเมื่อไหร่ อํานาจจะอยู่ที่ Therapist ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยในการบอกว่า ฉันคิดว่าคุณน่าจะมาต่อนะ หรือคิดว่าน่าจะเบรกได้แล้วนะ  ซึ่งสําหรับบางคน เขาจะรู้สึกว่า แล้วฉันล่ะ ฉันไม่มีสิทธิ์บอกว่าไม่อยากทำต่อหรือโอเคแล้วตอนไหนเหรอ เราก็เลยทําสิ่งที่เรียกว่า private practice ซึ่งเมืองนอกก็ทํากัน คือการบำบัดในเซตติ้งที่ไม่ใช่คลินิก” 

แนวคิดของ SOULSMITH คือการผสานศาสตร์บำบัดหลากหลาย (mixologist service) เพื่อตอบโจทย์ผู้คนที่แตกต่างกัน

“เราตั้งใจมีหลายศาสตร์เพราะว่า ณ ตอนนี้ การจะดูแลจิตใจใครสักคนหนึ่งที่อยากทํางานกับตัวเอง มันเข้าได้หลายประตู แล้วมันไม่มีประตูใดประตูหนึ่งที่ดีทั้งหมด การรู้ว่าคนเราแต่ละคนจะเหมาะกับการรักษาแบบไหน มันก็ต้องหาวิธีเหมือนกันนะ ถ้าเรามีทางเลือกน้อยก็จะนึกว่าหาทางแก้ไม่เจอ หรือไม่ fit in”

การสร้างทางเลือกหลากหลายไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้รับบริการรู้สึกได้รับความเข้าใจและการสนับสนุน แต่ยังลดความเสี่ยงของการหยุดบำบัดกลางทางในขณะที่ยังรักษาแผลใจไม่หาย และยังสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความต่อเนื่องของบริการ

หลายครั้งผู้รับบริการอาจมีบาดแผลหลักในใจที่อยากทำงานภายใน แต่ก็มีแผลเล็กๆ ประเด็นอื่นประกอบ การบำบัดจากหลายศาสตร์จะช่วยรักษาแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งมิติด้านจิตใจและร่างกาย แม้หลายคนจะติดภาพจำว่าการบำบัดคือการพูดคุยเพียงอย่างเดียว แต่ความจริงแล้ว กระบวนการรักษาที่เรียกว่า psychotherapy (การบำบัดด้วยการพูดคุยกับนักจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต) ต้องอาศัยการขบคิด ตีความ และสื่อสารภายในกับตัวเองเยอะ

หากบางคนเหนื่อยล้ากับการเป็นนักสู้ที่คิดเยอะตลอดเวลา การสลับไปทำบำบัดแบบรับพลังงาน เช่น sound bath ที่เปิดโอกาสให้นอนฟังคลื่นเสียงโดยไม่ต้องสู้ด้วยตัวเอง ก็จะช่วยคลายพลังงานบางอย่างออกไป และช่วยให้การรักษาเดินหน้าเร็วขึ้น หรือหากใช้ศิลปะบำบัดถ่ายทอดอารมณ์ออกมาแล้วรู้สึกนามธรรม อธิบายความรู้สึกในใจเป็นคำพูดไม่ได้ ก็อาจสลับมาเป็นคุยบำบัดด้วยภาษาพูด

บริการของ SOULSMITH จึงเป็นการออกแบบเฉพาะตามรายบุคคล (customize) และเพื่อความง่ายในการรักษาจึงวางแพ็กเกจพื้นฐานในการบำบัดอยู่ที่ 5 และ 10 ครั้ง เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริการรับรู้ว่ามีจุดตัดสินใจร่วมกันในทุกห้วงเสมอระหว่างการรักษา ภายใต้ความเข้าใจร่วมกันว่า หากวิธีบำบัดยังไม่ตรงกับตัวเรา ไม่ได้หมายความว่าการบำบัดไม่สำเร็จ แต่เป็นเรื่องของการเลือกเครื่องมือให้เหมาะสมที่สุด

“เพราะฉะนั้นเราไม่ได้ไปหาลูกค้าที่ป่วยหรือเป็นโรคแล้วเท่านั้น นั่นไม่ใช่กลุ่มหลักของเรา เรามองกลุ่มคนที่ยังไม่ต้องรักษาโรค แต่มีประเด็นในใจบางอย่างที่วิ่งวนคนเดียวจนรู้สึกทรมานแล้ว  พอมาเจอเรา เราก็จะออกแบบโดยตัดสินใจร่วมกันว่าอยากรักษานานแค่ไหน”

Impactful Customers

แม้คนจำนวนมากที่ก้าวเข้ามาหาบริการจิตบำบัด จะเป็นผู้ที่ ‘รู้ตัว’ ว่ามีบางสิ่งในใจที่อยากจัดการ แต่ก็มีไม่น้อยที่ ‘ไม่รู้ตัว’ ด้วยซ้ำว่าบาดแผลทางใจของตนส่งผลกระทบต่อคนรอบข้าง คำถามที่น่าสนใจในเชิงธุรกิจคือ เมื่อมีทั้งคนที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว แล้วในการทำธุรกิจจะเลือกกลุ่มลูกค้ายังไง

คำตอบของดุจดาวคือ เน้นกลุ่มลูกค้าที่มีผลกระทบสูงต่อสังคม

ณ ปัจจุบันเรามองกลุ่มมนุษย์วัยทํางานที่มีหลายหมวก และการตัดสินใจของเขาจะส่งผลต่อคนหลายคน ซึ่งก่อนที่จะมองกลุ่มนี้ ความจริงเราย้ายกลุ่มเป้าหมายมาหลายแบบ ก่อนหน้านี้เรามองคนที่หลุดตะแกรง mental wellbeing ที่มีอยู่ เช่น คนที่เป็น masculine figure หรือ leader ที่เขารู้สึกว่า การบำบัดไม่ใช่เรื่องของคุณผู้ชาย ไม่ใช่เรื่องของผู้นำเพราะเขาแข็งแรงอยู่แล้ว

“อีกกลุ่มคือสายไลฟ์สไตล์ที่ไม่ได้อยากใช้ชีวิตแบบต้องเป็นคนดีเป๊ะทุกอณู เป็นสายปาร์ตี้ที่เพิ่งกลับจากเทศกาล wonderfruit หรือมิวสิกเฟสติวัล เพิ่งกลับจากต่างประเทศ แล้วเขารู้สึกว่าเวลาไปบำบัดในกิจกรรมตอนนั้นน่ะเขาโดนดุในท่าทีที่ว่า คุณก็รู้ว่าสิ่งที่คิดหรือทำมันไม่ดี แล้วจะทำทําไม ซึ่งมันก็ทําให้เขารู้สึกว่าไม่อยากโดนดุ แต่อยากถูกซัพพอร์ต เราที่มีแบ็กกราวนด์สายอาร์ตอยู่แล้ว ก็เลยรู้สึกว่าดีลกับคนเหล่านี้ดีกว่า แล้วแก๊งนี้ก็เป็นลูกค้ากลุ่มแรกๆ ของเราเลย

“พอทํามาเรื่อยๆ แล้วประเด็นพวกนี้มันเริ่มคลี่คลาย คนทั่วไปรู้สึกว่าไม่เห็นต้องอายที่จะมาหา psychotherapy แล้ว ณ ปัจจุบันเราก็เลยมองกลุ่มคนวัยทํางานที่เป็นทั้งหัวหน้า พ่อแม่ คู่ครอง ที่ถ้าสุขภาพจิตของคุณไม่ดีหนึ่งคน จะส่งผลไปทุกที่ เราเองก็เป็นคนเหล่านี้”

ดุจดาวเล่าว่าจิตวิยาเป็นศาสตร์ eurocentric ที่กำเนิดจากโซนยุโรป ซึ่งในต่างประเทศ ธุรกิจประเภทนี้ถือเป็นเรื่องปกติทั่วไปและไม่ต้องสร้างความเข้าใจเพิ่มเติมกับตลาดมากนัก แต่ในไทยยังต้องสื่อสารกับผู้ใช้บริการ ทั้งในแง่ของการให้ข้อมูลและการปรับความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการ รวมถึงปรับวิธีการสื่อสารให้เข้ากับลูกค้าคนไทย ซึ่งมีความเชื่อและกรอบวัฒนธรรมแตกต่างจากโซนตะวันตก

“การนำจิตวิทยาเข้ามาในสังคมไทยจึงมีพื้นที่เปิดให้สำรวจและสร้างสรรค์เยอะ แต่นั่นก็แปลว่าต้องแม่นจรรยาบรรณว่าเส้นไหนที่เราจะต้องไม่ข้าม เส้นไหนที่ต้องยึดเป็นกฎเหล็กในการบำบัด” ธุรกิจที่เกี่ยวพันกับจิตใจยังมีลักษณะเฉพาะคือ ต้นทุนหลักไปลงกับนักบำบัดและบริการบำบัด แถมเรื่องจิตใจยังไม่สามารถนำเสนอเป็นสรรพคุณหรือโฆษณาแบบตรงไปตรงมาเหมือนบริการอื่นได้ ทำให้ต้องทุ่มทั้งแรงและเวลาเป็นสองเท่าในการสื่อสารบริการให้เข้าใจง่าย

แม้ธุรกิจสาย mental wellbeing ในไทยจะเติบโตมากขึ้นตามเทรนด์โลกแล้ว แต่ดุจดาวก็ยังมองว่า จะหยุดสื่อสารกับคนทั่วไปไม่ได้ เพราะโครงสร้างพื้นฐานและกฎหมาย ระบบระเบียบของประเทศไทยยังไม่รองรับการทำงานบำบัดอย่างเต็มรูปแบบ

“ก่อนหน้านี้เรามองเรื่องการสื่อสารเพื่อปูพรมทางวัฒนธรรมว่า คนเราสามารถขอซัพพอร์ตทางใจจากนักบำบัดได้ การทำพ็อดแคสต์ R U OK (พ็อดแคสต์เล่าเรื่องสุขภาพจิต) ก็ทําให้การบำบัดใจกลายเป็นเรื่องปกติที่แพร่หลายมากขึ้น ตอนนี้เลยหันมาให้ความรู้เรื่องการสร้างประสบการณ์และการให้ข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น ว่าบริการเฉพาะทางในศาสตร์ต่างๆ มีฟังก์ชั่นการรักษายังไง หานานแค่ไหนถึงจะดีขึ้น เข้ามาแล้วจะเจออะไร เพื่อที่เวลามาขอคำปรึกษาแล้วช่วยลดความกังวล สำหรับคนที่เคยมาแล้วถอยหลัง หรือเคยมาแล้วไม่แน่ใจว่ามันใช่ไม่ใช่เรา”

ความท้าทายในการทำ SOULSMITH จึงเป็นเรื่องการทำให้เข้าถึงง่ายขึ้น หาท่าการเติบโตของธุรกิจที่ไม่ละทิ้งใครในสังคม และถ้าเป็นไปได้ ดุจดาวก็บอกว่าไม่อยากให้บริการบำบัดกระจุกอยู่แค่ในกรุงเทพฯ ชั้นในเท่านั้น

 In Honour of Empathy  

นอกจากกลุ่มลูกค้าที่มีผลกระทบสูงต่อสังคมแล้ว ในระดับ B2B ธุรกิจในส่วน Empathy Sauce ของดุจดาวยังเน้นสื่อสารกับกลุ่มคนทำงาน (workplace people) โดยจัดเวิร์กช็อป ออกแบบคอร์ส และ toolkit เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติต่อกันอย่างเห็นอกเห็นใจกันและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ส่งเสริมให้เรื่อง empathy และ leadership ในองค์กรเป็นเรื่องพื้นฐาน โดยออกแบบคอร์สให้พนักงานทุกระดับตั้งแต่ปฏิบัติการไปจนถึงผู้บริหารผ่าน Empathy Sauce Academy

“ความยากอยู่ที่การเรียงลำดับในการเข้าไปทำกระบวนการ ถ้าเราทำงานกับฝ่ายปฏิบัติการ ส่วนใหญ่จะเข้าไปในเชิง reactive approach คือมีประเด็นอะไรเกิดขึ้นเราก็เข้าไปแก้ปัญหาปลายทาง หรือไปสื่อสารบางอย่าง แต่ถ้าเราได้เข้าไปแตะในพาร์ตของ executive หรือ top management ความท้าทายคือเราไม่เคยได้เวลาเยอะ แต่ข้อดีคือ ถ้าผู้บริหารเข้าใจในสิ่งที่เราพูด มันจะส่งแรงกระเพื่อมไปสู่ความยั่งยืนขององค์กรได้

“ส่วนพาร์ตที่รู้สึกว่าเราเข้าไปถูกที่คือพนักงานระดับ middle management เพราะเป็นส่วนที่ขับเคลื่อนองค์กรที่ท้าทายหลายอย่าง  บางคนจะชินกับการทำงานแบบโอเปอเรชั่นมาก่อน พอเลื่อนตำแหน่งขึ้นมา ก็ยังใช้ทักษะเดิมที่ติดตัวมา แต่ทักษะการบริหาร การจัดการเรื่องคน หรือการสื่อสาร ยังไม่เคยเรียนมาก่อน ซึ่งถามว่าคนเราเรียนเรื่องสื่อสารกันมาจากไหน ไม่มี มาจากประสบการณ์ มันเลยเป็นคลาสที่ค่อนข้างจะท้าทายเสมอเลย เพราะเราไม่รู้ว่าส่วนผสมของทีมในแต่ละบริษัทเป็นคนแบบไหนบ้าง ซึ่งถ้าเราทําได้โดยไม่ไปลดทอนกําลังใจในการพัฒนาตัวเองของใคร ก็จะเห็นประโยชน์ของมันหลายเลเยอร์”

เวลาที่ต้องออกแบบกระบวนการสำหรับองค์กรที่มีปัญหาซับซ้อน เช่น วัฒนธรรมลำดับขั้นหรือการเมืองภายในที่ฝังรากลึก ดุจดาวแชร์ว่า สิ่งสำคัญคือการได้รับข้อมูลจากคนในองค์กรอย่างตรงไปตรงมาเพื่อมองเห็นภาพใหญ่ตรงกัน และให้คำปรึกษาอย่างซื่อตรงว่าการทำเทรนนิ่งเพื่อเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรต้องใช้เวลา

“Empathy Sauce มีหลักการคือ เราจะไม่ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ คนในองค์กรเก่งหลายเรื่อง แต่เรื่องเข้าใจคนก็เป็นเรื่องยากจริงๆ เราเลยออกแบบกระบวนการไม่ให้เกิดความรู้สึกว่า ฉันไม่รู้อะไรเลยซะเหลือเกิน เราจะไม่เข้าไปสอนแล้วทําให้ทุกคนรู้สึกว่า คนนํากระบวนการใช้สิทธิ์ดุจดาวเก่งเหลือเกิน แล้วฉันช่างอ่อนด้อย  ไม่มีทาง เราจะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนวิทยายุทธ์จากกันและกันได้ แล้วสร้างการเรียนรู้แบบที่ทำให้แต่ละคนรู้สึกว่าตัวเองโคตรเก่ง”

Ignite the Conversation

การจุดประกายบทสนทนาด้านจิตใจในชีวิตประจำวัน สร้างพื้นที่ปลอดภัยที่เปิดกว้างขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นอีกสิ่งที่ดุจดาวเชื่อว่าจะช่วยทำให้คนเข้าใจและเข้าถึงบริการบำบัดมากขึ้น ทีม SOULSMITH จึงจัด Mental Matters Fest ในรูปแบบที่เข้าถึงง่าย โดยมีหนึ่งในกิจกรรมหลักคือ mental monologue

“เรามักจะได้ยินแต่เรื่องที่ประสบความสําเร็จและเรื่องราวเจ๋งๆ ของผู้คน แล้วคนทั่วไปก็จะมองว่า
ก็เพราะคนเหล่านั้นเก่งไง ก็เลยผ่านมันมาได้ เราก็เลยคุยกันว่า มันสามารถเปิดให้ทุกคนรู้ว่าแม้กระทั่งซูเปอร์แมน คนเก่งๆ ทั้งหลายก็มีมุมที่ติดขัดเหมือนกัน คนที่จะขึ้นเวทีของเราเลยเป็นจอมยุทธ์ไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง เพื่อจะทําให้ทุกคนรู้ว่า จอมยุทธ์ก็มีพาร์ตเหล่านี้เหมือนกัน แต่เขาไม่มีพื้นที่จะเล่า เพราะโลกเราโฟกัสแต่ความสําเร็จ” 

กติกาของกิจกรรม mental monologue คือ การเชิญเหล่าจอมยุทธ์ทั้ง ศิลปิน ผู้ประกอบการ และผู้ทรงอิทธิพลในหลากหลายวงการ มาเล่าเรื่องจริงของตัวเอง ผ่านบทพูดเดี่ยวที่ไม่ได้เน้นความสำเร็จ แต่เล่าถึงช่วงเวลายากๆ ที่เคยเจอ แชร์จากประสบการณ์ตรงว่าอะไรบ้างที่เวิร์กและไม่เวิร์กในการดูแลใจตัวเอง โดยทีม SOUSLMITH สนับสนุนให้ทุกคนเล่าเรื่องในแบบที่เป็นตัวเองที่สุด ไม่ว่าจะเล่าเปล่าๆ หรือผสมผสานการแสดง พร็อพ หรือพรีเซนเทชั่น

นอกจาก mental monologue แล้ว ยังมีกิจกรรมที่ออกแบบให้ผู้เข้าร่วมได้คลี่ดูสภาวะภายในของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นทอล์ก เวิร์กช็อปศิลปะ การเคลื่อนไหว ดนตรี การใช้ประสาทสัมผัส รวมถึงการแสดงเดี่ยว Innerforce ที่กำกับโดยดุจดาว และกิจกรรมบำบัดรูปแบบสร้างสรรค์ที่ฉีกกรอบจากเดิม เช่น การเรียนรู้ mindfulness ผ่านการเต้น Swing Dance, บอร์ดเกมชีวิต Actual Life Game, และวงไพ่ Mind Magnifying

ดุจดาวเล่าอินไซต์จากการจัดงานในปีก่อนๆ ว่า “หลายคนจะบอกว่าไม่อยากให้งานแมสขึ้นเลย ปกติทุกคนจะรู้แหละว่าการบำบัดแบบ 1 ต่อ 1 เป็นพื้นที่พิเศษ ที่พอเราเข้าไปแล้วจะสามารถเปิดได้หมดใจ แล้วก็เจอคนที่ปลอดภัย งานปีที่ผ่านมาทุกคนก็จะทึ่งว่า นี่มันงานอีเวนต์ระดับที่บางคืนมีผู้ฟัง 80 คนนั่งฟัง ทำยังไงให้ผู้ฟังทั้ง 80 กว่าคนเหล่านั้นอยู่ด้วยกันในพื้นที่ปลอดภัยได้ รู้สึกว่ามันเป็นเสน่ห์มาก

“มันเป็นคอมมิวนิตี้ที่ลึกซึ้งและเป็นอีเวนต์ที่เซนซิทีฟ คนที่มางานไม่ได้เดินเข้ามาแบบฉาบฉวย แล้วเดินออกไป กลายเป็นว่ามาแล้วนั่งหย่อนตัว หย่อนใจ เราแทบจะปฏิบัติต่อเขาเหมือนคนมางานอีเวนต์ทั่วไปแทบไม่ได้เลย เพราะเราไม่รู้ว่าจริงๆ ที่เขานั่งอยู่เงียบๆ แต่ละคนอยู่ตรงจุดไหนของการเดินทางภายใน”

Innerforce 

เบื้องหลังการแสดง Innerforce ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือเล่มใหม่ของดุจดาวที่เล่าถึง ‘กําลังภายใน’  เรื่องราวแห่งการค้นพบว่าตัวเราเองสามารถผลิตกำลังภายในได้ด้วยตัวเองท่ามกลางเส้นทางที่ไม่แน่นอนและความเปลี่ยนแปลง

“ในจังหวะที่เราใช้ชีวิตกัน เรามักจะรอให้มีกําลังจากภายนอกมาอัดฉีดเราในวันที่ข้างนอกมันยาก แต่ความจริงแล้วเราทุกคนมีกําลังภายใน คราวนี้พอมาทําเป็นการแสดง เราไม่ได้จะมาบอกทุกคนว่านี่คือกําลังภายในของฉัน เราตั้งใจทําการแสดงโดยเอานักแสดงละครเวที (อรอนงค์ ไทยศรีวงศ์) ที่เก่งมากมาแสดง เพื่อทำให้ทุกคนระลึกว่าเราต่างมีกําลังภายในเป็นของตัวเอง แต่เราต้องหา ค่อยๆ จูนกับตัวเอง แล้วก็อันล็อกมันออกมาใช้

“เพราะโลกใบนี้มันเริ่มหมุนเร็วขึ้น มีความไม่แน่นอน อะไรที่เคยเป็นแหล่งพลังของเราจากข้างนอกที่แน่นอน มันก็ไม่แน่นอนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ก็เลยอยากให้ทุกคนได้เจออะไรบางอย่างผ่านการค้นหาของ ‘อรอนงค์’ การแสดงจะเป็นเหมือน physical theater ที่เน้นการเคลื่อนไหวเป็นหลัก เราจะไม่ได้ใช้เรื่องเล่ามากนัก เพื่อเปิดพื้นที่ให้ทุกคนตีความกันเอง”

เช่นเดียวกับศาสตร์บำบัดศาสตร์อื่น การทำ dance movement psychotherapy เหมาะสำหรับผู้ที่อยากบำบัดใจในประเด็นไหนก็ได้ สามารถเคลื่อนไหวแบบฟรีฟอร์มในท่วงท่าอิสระ (improvise) ไปก่อน โดยที่ยังไม่ต้องรู้ล่วงหน้าชัดเจนว่าอยากให้ท่าทางเหล่านั้นมีความหมายอะไร เป็นกระบวนการทํางานกับร่างกายที่ไม่ต้องใช้ความคิด เพราะบางครั้งความคิดก็สับขาหลอกตัวเรา

และเมื่อปล่อยให้ได้ลองเงี่ยหูฟัง ประสานตัวเองกับร่างกายซึ่งเป็นภาษาแรกของมนุษย์ พินิจพิเคราะห์ข้อมูลผ่านเนื้อตัว ก็จะเกิดกระบวนการทางจิตวิทยาที่เรียกว่า free association คือการเริ่มจับต้นชนปลายได้ว่าท่าทางเหล่านั้นสื่อสารความหมายหรือความรู้สึกบางอย่างในใจเรา เป็นพื้นที่ที่ยังไม่ต้องรู้คำนิยามตั้งแต่แรก แต่ใจความจะปรากฏภายหลังการเคลื่อนไหว

บทสรุปการเติบโตภายในจากการทําธุรกิจ SOULSMITH กับ Empathy Sauce ของดุจดาวก็มีความคล้ายกัน คือแม้จะเต็มไปด้วยความไม่รู้ในศาสตร์ธุรกิจตั้งแต่แรก แต่ก็บ่มเพาะกำลังภายในจนทำให้ธุรกิจค่อยๆ เติบโตขึ้นมาได้ จากการลงมือ ‘ขยับ’ และปรับตัวทีละนิด เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงหน้างานที่คาดเดาไม่ได้ ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นที่ต้องปรับโมเดลธุรกิจฉับพลันเพราะการมาถึงของโควิด-19 ไปจนถึงการเรียนรู้วิธีทำงานแบบไร้กระบวนท่าที่ต้องยืดหยุ่นอยู่เสมอ

“เราเป็นคนชัดเจนตั้งแต่เด็กจนโต แม้กระทั่งการได้มาเป็น dance movement psychotherapist ก็เพราะชอบเต้นตั้งแต่เด็ก เราไม่ได้ชอบเรียนขนาดนั้น เรียนไม่เก่ง แต่จะชอบเต้น ชอบเรื่องจิตวิทยา ชอบการแสดง จะใช้ชีวิตตามสิ่งที่เราชัดเจนตลอดเวลา แล้วก็เลือกแม่นด้วย แต่นั่นแปลว่าดาวก็ไม่เลือกหลายอย่างมาตลอดเวลาเหมือนกัน” 

“พอวันหนึ่งเริ่มอยากทําสิ่งที่เราจัดการและกําหนดเองได้ค่อนข้างเยอะ แต่เพื่อจะได้ทำสิ่งนั้น โอ้โห มันต้องใช้ทักษะเยอะกว่าสิ่งที่เป็นหมุดหมายแกนหลักของตัวเรา แต่มันก็ทําให้เรารู้ว่า ยึดความอยากและแรงปรารถนาเอาไว้ให้มั่นเลยนะ เพราะหลังจากนั้นมันคือการหาความเป็นไปได้ใหม่ในตัวเองให้เกิดขึ้นให้ได้ แล้วมันก็เป็นไปได้ มันมาจากทักษะที่เราแอบสะสมตกค้างเอาไว้ ก่อนหน้านี้เราแค่ไม่เคยเอามาใช้แล้วคิดว่าตัวเองไม่มี มันก็เลยทําให้สัมผัสได้ว่า มนุษย์นี่วิเศษจังเลย มันมีกําลัง มี wisdom และความเป็นไปได้ในการที่จะเพิ่มศักยภาพได้เยอะเลย”

ความท้าทายของการทําธุรกิจของดุจดาวในวันนี้คือการผ่านช่วงเวลาทรานส์ฟอร์มเพื่อสเกลธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องมีตัวเองอยู่ในทุกการบำบัด “ตอนที่ยังทำ SOULSMITH เป็นแค่ยูนิตหนึ่งและยังไม่ได้เกิดมาเป็นอีกธุรกิจ เราตั้งใจจะทําเป็นระดับโฮมเมด คือทำเล็กๆ แล้วพอวันหนึ่งเราไม่ได้ทำแบบโฮมเมดอีกต่อไป มันก็เป็นจังหวะที่เราต้องทรานส์ฟอร์มทุกอย่าง”

“แต่เดิมเวลาคนจะมาทําจิตบําบัดกับเรา คนก็จะมาหาดุจดาว เพราะก่อนหน้านี้มันมีแต่ดุจดาวคนเดียว มันมากองอยู่ที่ดาว วันหนึ่งพอเราจะมีผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายศาสตร์ให้เลือกมากขึ้น ก็ต้องผลักให้เซนเตอร์อยู่ที่แบรนด์ SOULSMITH แทนดุจดาว ตอนนี้คนเริ่มรู้จักกิจกรรมของนักบำบัดคนอื่นที่ไม่ใช่ดุจดาวแล้ว Empathy Sauce ก็เช่นกัน”

เรื่องของใจจะทำเป็นธุรกิจแบบโฮมเมดไม่ได้ ถ้าอยากขยายผลการสร้างอิมแพกต์ นี่น่าจะเป็นคำอธิบายของรสหวานปลายจากความขมในหมวกนักธุรกิจของดุจดาว ที่แม้ธุรกิจจะไม่ใช่ศาสตร์ถนัดดั่งยาขม แต่ก็ยังสนุกและเรียนรู้ไปกับมัน

ขอบคุณรูปจาก SOULSMITH

สำหรับผู้ที่สนใจเทศกาล Mental Matter Fests ที่จัดขึ้น ณ วันที่ 17-19 ตุลาคม 2025 ณ โรงแรม The Fig Lobby สามารถติดตามได้เพิ่มเติมที่เพจ Mental Matters Fest

เปิดบ้านหลังใหม่ Format BKK ที่รวม Gadhouse ทุกรุ่นกับการสร้างคอมมิวนิตี้ของคนรักเสียงเพลง

ท่ามกลางความพลุกพล่านของย่านอารีย์ แหล่งรวมคาเฟ่และร้านอาหารสุดชิค หากขับรถเข้ามาในซอยเจริญพร 1 จะให้ความรู้สึกสงบเหมือนหลุดมาอีกโลก ด้วยบรรยากาศที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นเมืองใหม่ที่ร่วมสมัย และเมืองเก่าสุดคลาสสิก

ท่ามกลางบ้านเรือนบริเวณนั้น มีบ้านหลังหนึ่งที่เปิดประตูเข้าไป เราจะได้พบกับบรรดาเครื่องเล่นแผ่นเสียงของ Gadhouse ครบทุกรุ่น หูฟังจากแบรนด์ดังอย่าง AIAIAI สารพัดลำโพงจาก Audio Pro และแผ่นเสียงวงในตำนานที่ควรค่าแก่การสะสม พร้อมสไตล์การตกแต่งร้านที่ให้ความรู้สึกเหมือนย้อนไปในยุค ’60s-’70s

เล่ามาถึงตรงนี้บางคนอาจจะเดาถูกแล้วว่าเรากำลังพูดถึงบ้านหลังใหม่ของ Format BKK พื้นที่ที่เป็นดั่ง music community ให้คนรักเสียงดนตรีได้มาพักผ่อน ฟังเพลง พูดคุย ทดลองใช้เครื่องเสียงและอุปกรณ์ต่างๆ เสมือนมานั่งเล่นบ้านเพื่อน

หลังจาก Format BKK ประกาศปิดบ้านหลังเดิมในซอยเอกมัย 12 ไปเมื่อต้นปี ก็พร้อมเปิดบ้านต้อนรับสาวกผู้รักในเสียงดนตรีและแผ่นเสียงอีกครั้ง เพิ่มเติมคือมีกิจกรรมและเวิร์กช็อปเกี่ยวกับเสียงเพลงให้มาร่วมสนุกกัน

เราจึงถือโอกาสเปิดประตูมาดูบ้านหลังใหม่ พร้อมพูดคุยกับเจ้าบ้านอย่าง ‘เพชร–วัชรพล เตียวสุวรรณ์’ เจ้าของร้าน Format BKK หรือที่หลายคนรู้จักกันในฐานะผู้ปลุกปั้นแบรนด์ Gadhouse ถึงการเปิดพื้นที่แห่งนี้ให้เป็นมากกว่าร้านขายสารพัดสิ่งเกี่ยวกับดนตรี แต่เป็นการสร้างคอมมิวนิตี้ที่ไม่ว่าจะฟังเพลงแบบไหนก็มาเอนจอยกันได้ทุกคน

จากวันแรกที่เปิดร้านมาจนถึงวันนี้ คุณยังมีความตั้งใจเหมือนเดิมหรือเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง

เหมือนเดิมตรงไอเดียของ Format จะเป็นคอนเซปต์ที่เราอยากจะสร้างคอมมิวนิตี้ อยากจะสร้างพื้นที่ให้กับคนที่ชอบฟังเพลง อาจจะไม่ต้องฟังเพลงแนวเดียวกัน ก็มารวมกันอยู่ในที่แห่งนี้ได้ ก็เลยใช้ชื่อร้านว่า Format เพราะเราไม่ปิดกั้นรูปแบบใดๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นรูปแบบไหนก็มาแฮงเอาต์กันได้ มาแชร์แนวเพลงที่ฟังได้

เพิ่มเติมคือพอเราย้ายร้านแล้วมีพื้นที่มากขึ้น ก็อยากจะชวนกลุ่มคนอื่นๆ มาทำกิจกรรมที่หลากหลายขึ้น เพราะตอนอยู่ที่เอกมัยพื้นที่น้อยเลยไม่ค่อยได้จัดเวิร์กช็อป จะเป็นแนวมีเครื่องดื่มและเป็นไนต์ไลฟ์ซะมากกว่า

ตอนแรกที่ร้านของคุณอยู่ในซอยเอกมัย 12 อะไรเป็นจุดเปลี่ยนให้คุณตัดสินใจย้ายร้านมาอยู่แถวอารีย์

ช่วงนั้นหมดสัญญาพอดี เราก็เลยมองหาที่ใหม่ แล้วบังเอิญเจอที่นี่ พอมาดูสถานที่จริงก็ตัดสินใจได้เลยว่าจะย้ายมาที่นี่แหละ เพราะว่า space กว้างกว่าที่เอกมัย แล้วด้วยคอนเซปต์ของเราคืออยากให้เป็นบ้าน ทรงของร้านนี้ก็ดูเหมือนบ้านเลย และมีที่จอดรถด้วย ค่อนข้างตอบโจทย์มากๆ

อีกอย่างเราก็ชอบย่านอารีย์ที่บรรยากาศทำให้รู้สึกไม่เหมือนอยู่กลางเมือง แต่รู้สึกเหมือนอยู่ต่างจังหวัดเลย ดูก้ำกึ่งระหว่างการเป็นย่านเมืองเก่ากับเมืองใหม่ ฝั่งถัดไปจากถนนพระราม 6 ก็จะเป็นโซนดุสิต ซึ่งเป็น old town ย่านเก่าแก่ ส่วนถัดมาฝั่งนี้ก็จะเป็นย่านใหม่ที่ค่อนข้างร่วมสมัย คิดว่าดูกลางๆ ดี ต่างจากย่านเอกมัยที่แออัดไปนิดหนึ่ง

ทำเลร้านเมื่อก่อนอยู่ติดถนน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเลือกมาอยู่ในซอยที่ค่อนข้างลึก

ตอนอยู่เอกมัย ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะคนญี่ปุ่น เราก็จะเห็นคนที่มาวอล์กอินเยอะ เหมือนสุ่มเดินเข้าร้านมา แต่ด้วยสินค้าของเรา niche หรือเฉพาะกลุ่มอยู่แล้ว เราไม่สามารถปิดการขายคนเหล่านั้นได้

เราก็เลยเก็บสถิติว่าลูกค้าส่วนมากเป็นคนที่ตั้งใจมาร้านเราหรือเดินผ่านหน้าร้านแล้วแวะ สรุปว่า 70% เป็นลูกค้าที่ตั้งใจมา ก็เลยคิดว่าถ้าเราย้ายไปที่ไหน ไม่จำเป็นต้องอยู่ริมถนนหรือว่าอยู่ในทำเลที่เห็นได้ชัดขนาดนั้นก็ได้

มีบทเรียนอะไรบ้างไหมที่คุณได้รับจากร้านเดิม แล้วนำมาปรับในการเปิดร้านครั้งใหม่ 

คิดว่าเป็นเรื่องความชัดเจนของคอนเซปต์ร้าน ช่วงแรกๆ เรายังจับทางไม่ค่อยได้ ก็มีทั้งขายเครื่องเล่นแผ่นเสียง มีทั้งบาร์ที่เปิดถึงเที่ยงคืน ตี 1 คนก็มองเราว่าเป็นบาร์มากกว่า แล้วเราก็เคยลองขายกาแฟ ทำเป็นคาเฟ่เล็กๆ ในร้าน ก็หาคนมาคิดสูตรให้ แต่เราไม่ได้ถนัดเรื่องนี้ ก็เลยไม่ได้เปิดเป็นคาเฟ่แบบสม่ำเสมอ

แต่พอหาจุดยืนของได้แล้วว่าเราจะเน้นในเรื่อง music community เป็นหลัก พอมาทำร้านใหม่ก็ทำคอนเซปต์นี้ให้มันชัดเลย แล้วก็มีเครื่องดื่มเล็กๆ น้อยๆ ติดร้านไว้ เพื่อให้คนเอนจอยเพิ่มขึ้นตอนมาลองสินค้าหรือทำเวิร์กช็อป

เวิร์กช็อปที่พูดถึงมีหน้าตาเป็นแบบไหน

การจัดเวิร์กช็อปเป็นสิ่งที่เราทดลองทำอยู่ เพราะอยากให้พื้นที่นี้จุดประกายไอเดียของผู้คนด้วย คอนเซปต์ของการจัดเวิร์กช็อปก็จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับดนตรีเป็นหลัก และอยากช่วยปูพื้นฐานแบบสนุกๆ ให้คนมาเอนจอยกัน เหมาะสำหรับคนที่สนใจเรื่องนั้นๆ อยู่แล้วแต่ยังไม่เคยเข้าไป

อย่างคนที่สนใจอยากเป็นดีเจ แต่ไม่มีเวลาเลย เราก็จัดเวิร์กช็อปสั้นๆ 2 ชั่วโมง ให้ลองมาเรียนการเป็นดีเจ 101 สมมติว่าการเป็นดีเจมี 10 บท เราก็ขอสอนบทแรก เพื่อให้คนมาลองเรียนดูก่อน เช่น การทำเสียง การสังเคราะห์เสียง แล้วถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าชอบก็สามารถไปเรียนลงลึกต่อที่อื่นได้

เรามีจัดเวิร์กช็อปเรื่องประวัติศาสตร์ดนตรีในยุค ’80s-’90s ก็มีทั้งเด็ก จนไปถึงคนที่อายุ 40-50 ปีมาร่วมเวิร์กช็อป เพราะอยากรู้เรื่องเพลงสมัยก่อน เหมือนว่าทุกคนมีความสนใจเรื่องนี้ โดยไม่จำกัดอายุ หัวข้อเวิร์กช็อปเราแต่ละครั้งจึงขึ้นอยู่กับความสนใจของกลุ่มเป้าหมายเราด้วย

นอกจากเวิร์กช็อปเรามีกิจกรรมให้คนมาครีเอตอะไรใหม่ๆ ด้วย อย่างการทำ Mini CD NFC ให้เลือกสร้างเพลย์ลิสต์เพลงและภาพหน้าปกเอง แล้วใช้เทคโนโลยี NFC ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายระยะใกล้ ที่ทำให้สื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างอุปกรณ์สองชิ้นที่อยู่ใกล้กัน ทำให้พอเอามาแตะกับโทรศัพท์ก็ฟังเพลงได้ด้วย บางคนก็ทำไปฝากเพื่อน ฝากแฟนบ้าง เราอยากจัดกิจกรรมให้คนได้มาละเลงความคิดสร้างสรรค์ ผ่านการใช้อุปกรณ์หรือเทคโนโลยีต่างๆ 

คิดว่าการจัดเวิร์กช็อปและจัดกิจกรรมเหล่านั้นส่งผลดีต่อธุรกิจของคุณยังไง

คิดว่าคนได้มาลองสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น เพราะปกติคนที่มาซื้อสินค้าในร้านเราจะเป็นกลุ่มคนที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน อย่างลูกค้าประจำจะเป็นคนที่มีเครื่องเล่นแผ่นเสียงอยู่แล้ว ก็จะมาซื้อแผ่นเสียง อีกกลุ่มหนึ่งคือยังไม่มีเครื่องเล่น แต่สนใจอยากเข้าวงการนี้ก็จะมาลองเครื่องดูก่อน

ส่วนคนที่มาเวิร์กช็อปก็จะมีความหลากหลายมากกว่า บางคนเขาอาจจะไม่ได้รู้จักสินค้าเราเลย แต่มาเพราะสนใจหัวข้อเวิร์กช็อป ก็ทำให้เขาได้เข้ามาลองสินค้า ได้มาฟังเสียงก่อน ได้มาทดลองใช้เครื่อง ได้มีโอกาสทำความรู้จักกับเรามากขึ้นด้วย

ตอนนี้ในร้านมีสินค้าแบรนด์อะไรบ้าง และคุณมีวิธีเลือกสินค้าเข้าร้านยังไง

เราอยากให้ Format BKK เป็นหน้าร้านหลักของ Gadhouse จึงมีเครื่องเล่นของ Gadhouse ครบทุกรุ่นเลย มีหูฟังสัญชาติเดนมาร์กอย่าง AIAIAI มีลำโพงของ Audio Pro จะเป็นทั้งลำโพงที่ติดตามร้านและลำโพง portable หรือลำโพงพกพา มีแผ่นเสียงให้เลือกหลายแนว มีเทปคาสเซตเพลงเก่าๆ และแผ่น CD นอกนั้นก็จะเป็นเมอร์แชนไดส์หรือสินค้าที่เราผลิตมาขายในร้านนี้โดยเฉพาะ เช่น หมวก กระเป๋า

เราพยายามเลือกสินค้าให้หลากหลาย ไม่อยากให้คนรู้สึกว่ามาร้านนี้แล้วมีแต่แนวร็อก หรืออินดี้เกินไป เราเลือกของแบบกว้างๆ มีสินค้าแมสบ้างให้เข้าถึงได้ทุกคน ส่วนแบรนด์ที่เลือกมาก็เป็นแบรนด์ของบริษัทเราเอง และแบรนด์ที่นำเข้ามาจำหน่ายอยู่แล้ว ซึ่งล้วนเป็นแบรนด์ที่เราคิดว่าน่าสนใจ

ในมุมมองของคุณคิดว่าตลาดแผ่นเสียง จากเมื่อก่อนกับตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปยังไง

ตั้งแต่โควิดเหมือนคนค้นหาสิ่งที่ทำในบ้านได้ ซึ่งการฟังเพลงผ่านเครื่องเล่นแผ่นเสียงก็เป็นอีกกิจกรรมที่ทำในบ้านได้ บางคนก็ผันตัวมาเป็นครีเอเตอร์สร้างสรรค์ผลงาน อย่างการเป็นดีเจ เพราะทุกวันนี้อุปกรณ์ราคาถูกลง มีอุปกรณ์เฉพาะทางมากขึ้น เช่น หูฟังที่เหมาะกับดีเจโดยเฉพาะ ส่วนเรื่องดีไซน์ของอุปกรณ์ต่างๆ หรือเครื่องเล่นแผ่นเสียงก็ดูปรับให้ดูมินิมอลมากขึ้น มีการทำเครื่องขนาดเล็กให้พกพาง่ายขึ้นด้วย

ทุกวันนี้ที่เทรนด์นอสทัลเจียกำลังเป็นที่นิยม คนหันมาสนใจแผ่นเสียงกันมากขึ้น ถือว่าเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจคุณด้วยมั้ย

เหมือนเทรนด์นี้จะมีมาสักระยะหนึ่ง ตั้งแต่ช่วงโควิดแล้ว เทรนด์กลายเป็นสิ่งที่ย้อนกลับไปในอดีต อย่าง 5 ปีที่แล้ว คนก็คิดว่าอะไรที่เคยนิยมในปี 2000 อย่างซีดี เทป กล้องดิจิทัล ก็กลายเป็นเทรนด์ Y2K ขึ้นมา เพราะเด็กรุ่นใหม่เห็นสิ่งเหล่านี้ผ่านโซเชียล แล้วเขาไม่ทันกับไลฟ์สไตล์พวกนั้น ก็จะมองว่าเป็นสิ่งใหม่ และเริ่มกลายเป็นแฟชั่น

ตอนนี้เรามองว่าแผ่นเสียงไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นไลฟ์สไตล์ไปแล้ว กลายเป็นความชื่นชอบอย่างหนึ่ง เป็นทางเลือกในการฟังเพลงอีกอย่างหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี และเป็นโมเดลธุรกิจที่เราทำให้กับร้านนี้และแบรนด์ของเรา โดยเฉพาะ Gadhouse ที่พยายามดึงยุคสมัยเก่าๆ กลับมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่

อย่างหูฟังเฮดโฟนที่ชื่อว่ารุ่น Wesley เราเอาความนิยมในยุค ’80s ที่คนชอบฟังเพลงผ่านวอล์กแมนกับหูฟังมีสาย อันนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งใหม่ที่เรายังไม่เคยทำ เพราะปกติเราจะทำแต่เครื่องเล่นแผ่นเสียงกับลำโพง แต่พอมาทำหูฟังเฮดโฟนแบบนี้ก็จะมีความเรโทรมากๆ ทำให้แตกต่างจากหูฟังรุ่นอื่นที่มีอยู่ในตลาดตอนนี้

หัวใจสำคัญในการทำร้าน Format BKK คืออะไร

ความจริงใจกับลูกค้า ตั้งแต่สินค้าที่ขายต้องมีคุณภาพทั้งหมด และการบริการที่เวลาลูกค้าเข้ามาอยากให้เขารู้สึกเหมือนได้มาบ้านหลังหนึ่ง แล้วเราก็ทำเหมือนเวลาเพื่อนมาบ้าน ก็จะหยิบน้ำมาให้ ค่อยพูดคุยดูแลเขาให้ดีที่สุด ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้มาฟังเพลงที่บ้านเพื่อน และทำให้เกิดคอมมิวนิตี้ที่ทุกคนได้มาเป็นเพื่อนกัน ฟังเพลงด้วยกัน

ภาพ Format BKK ที่คุณอยากเห็นหลังจากนี้จะมีหน้าตาเป็นยังไง

เราอยากจะจัดกิจกรรมทุกเดือน เพื่อให้คนเกิดภาพจำว่าที่นี่มันมีอะไรเปลี่ยนไปตลอด อาจจะมี live session ที่อบอุ่นมากๆ โดยเราจะเชิญศิลปินทั้งในไทย ในเกาหลีมาไลฟ์เล่นดนตรีสดๆ ที่นี่ ตอนนี้ก็ทดลองโมเดลนี้กันอยู่ เผื่อในอนาคตมีเปิดขายบัตรให้มาฟังเพลงกันด้วย และคิดว่าถ้าช่วงสิ้นปีอากาศดีๆ อยากทำเป็นตลาดไวนิลเล็กๆ ที่ชวนร้านขายแผ่นเสียงมือสองมาเปิดบูทขายของที่นี่ก็น่าจะสนุกดี

ส่วนตัวร้านเรากำลังพัฒนาเป็น phase by phase ไปเรื่อยๆ ไม่ได้รีโนเวตทุกอย่างทีเดียว อย่างเฟสแรกอันนี้ก็จะเป็นร้าน Format BKK ขายของที่เกี่ยวกับดนตรี

เฟสที่สอง ตรงพื้นที่ข้างๆ จะมีพาร์ตเนอร์มาเปิดเป็นร้านไวน์และร้าน bespoke suit ที่ให้บริการตัดสูท ตอนกลางวันอาจจะมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงอยู่มุมหนึ่งสัก 4-5 ตัว ให้คนหยิบแผ่นเสียงจากร้านเรามาฟังเพลงตรงนี้ เป็นเหมือน music library ที่เขาไม่ต้องซื้อ แต่ว่ามาฟังเพลงฟรีๆ ได้ เพื่อให้เกิดภาพคอมมิวนิตี้ที่คนมาเอนจอยกันเหมือนอยู่บ้านในพื้นที่แห่งนี้

Health Resort แห่งใหม่ที่ภูเก็ตจาก ‘ตรีวนันดา’ ผสานแนวคิด Longevity Hub ระดับโลกจากสวิตเซอร์แลนด์

หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า Regenerative Community Development บ่อยขึ้นในช่วงหลังที่เทรนด์สิ่งแวดล้อมกำลังได้รับความสนใจ แต่เคยสงสัยไหมว่าแนวคิดนี้หมายถึงอะไร? 

โมเดลธุรกิจนี้ก้าวไปไกลกว่าการพัฒนาอย่างยั่งยืน (sustainability) เพราะไม่ได้เพียงลดผลกระทบหรือแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ปลายเหตุเท่านั้น แต่ยังมุ่งสร้างพื้นที่ฟื้นฟูธรรมชาติ พร้อมให้สังคมและผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูล โดยไม่ต้องรอให้เกิดปัญหาก่อน

แนวคิด Regenerative Community นี้เป็นวิสัยทัศน์ของตรีวนันดา (Tri Vananda) โครงการ health resort ในภูเก็ต ภายใต้เครือมนทาระ ฮอสพิตาลิตี้ กรุ๊ป (Montara Hospitality) ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 230 เอเคอร์ และรักษาพื้นที่กว่า 85% ให้เป็นผืนป่าและทะเลสาบ ออกแบบโดยยึดหลักสถาปัตยกรรม biophilic design ที่เปิดรับธรรมชาติอย่างเต็มที่ ทั้งวิลล่าที่โปร่ง โล่ง สว่างด้วยแสงแดด และมีการถ่ายเทอากาศอย่างดี พร้อมส่งเสริมการใช้ชีวิตแบบองค์รวม ทั้งอาหารจากฟาร์มท้องถิ่น กิจกรรมเพื่อสุขภาวะ และเป้าหมายสู่การเป็นคาร์บอนเนกาทีฟภายใน 30 ปี

ภายในงาน Dragonfly Summit 2025 งานสัมมนาด้านภาวะผู้นำและสุขภาวะที่ผ่านมา ตรีวนันดาได้นำเสนอแนวคิดเรื่องความกลมกลืน การฟื้นฟู และการมีอายุยืนอย่างมีคุณภาพ (Longevity Method) ผ่านเวทีเสวนาและนิทรรศการเชิงปฏิสัมพันธ์ ซึ่งชวนตั้งคำถามว่า ในอนาคต การพัฒนาเมืองและที่อยู่อาศัยควรเดินหน้าไปในทิศทางใด หากไม่ใช่เพียงเพื่อความสะดวกสบาย แต่เพื่อสร้างการเติบโตที่มีคุณภาพและยั่งยืนร่วมกันของทุกชีวิต

People don’t find the land, The land finds people

อะไรจะดีไปกว่าการใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติในชีวิตประจำวัน และไม่เกินจริงนักหากจะกล่าวว่า ‘People don’t find the land, The land finds people’ เพราะพื้นที่ที่สร้างคุณค่าและความสมดุลย่อมดึงดูดผู้คนที่เห็นคุณค่าเดียวกันให้มาอยู่ร่วมกัน

‘กิตติศักดิ์ ปัทมะเสวี’ ประธานกรรมการบริหาร มนทาระ ฮอสพิตาลิตี้ กรุ๊ป อธิบายว่าที่ตรีวนันดา ความกลมกลืนระหว่างผืนดิน ชุมชน และผู้คน เป็นหัวใจของทุกการตัดสินใจ การร่วมมือกับคลินิก ลา แพรรี (Clinique La Prairie) เพื่อเปิด health resort ในปี 2569 จึงได้นำความเชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ป้องกันและการมีอายุยืนมาผสานกับวิถีชีวิตที่เน้นความสมดุลกับธรรมชาติ ทำให้แนวคิดเรื่อง Longevity และการฟื้นฟูสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในชีวิตประจำวัน

วิลล่าที่ตรีวนันดาออกแบบมีทั้งความโดดเด่นและฟังก์ชั่นที่คำนึงถึงประสิทธิภาพ เช่น Vana Villa ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากผืนป่าไทยเพื่อสร้างเอกลักษณ์ ขณะที่ Nanda Villa ออกแบบตามหลักภูมิอากาศเพื่อลดการใช้พลังงานและปล่อยคาร์บอนต่ำ แต่ละวิลล่ามีบริเวณพักผ่อน สระว่ายน้ำส่วนตัว ลานกลางแจ้งพร้อมต้นไม้ที่ได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตท่ามกลางทิวทัศน์อันสวยงามของภูเก็ต ซึ่งเป็นตัวอย่างของการวางผังและออกแบบที่คำนึงถึงความยั่งยืนและตอบโจทย์การอยู่อาศัยสำหรับครอบครัวหลายช่วงวัย

Longevity is Quality of life 

‘อายุยืนยาวไม่ใช่เพียงการเพิ่มจำนวนปีในชีวิต แต่ยังรวมถึงการทำให้ปีที่ยืนยาวเหล่านั้นมีคุณภาพ เต็มไปด้วยพละกำลัง ความสมดุล และความกลมกลืนในทุกๆ ช่วงวัย’ 

นี่คือแนวคิดของคลินิก ลา แพรรี (Clinique La Prairie) ที่ก่อตั้งตั้งแต่ปี 1931 ในสวิตเซอร์แลนด์ และขยายบริการสู่ Longevity Hub ในหลายเมืองทั่วโลก เช่น มาดริด กรุงเทพฯ โดฮา และดูไบ พร้อมแผนเปิดรีสอร์ตเพื่อสุขภาพปี 2026 ในอามาอาลา ซาอุดีอาระเบีย และตรีวนันดา ภูเก็ต

Longevity Method™ ของคลินิก ลา แพรรี เปลี่ยนงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ให้กลายเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน โดยเริ่มจากการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อระบุความเสี่ยงและแนวโน้มของสุขภาวะ จากนั้นจัดทำแผนการดูแลเฉพาะบุคคลใน 4 เสาหลัก ได้แก่ เวชศาสตร์ โภชนาการ การเคลื่อนไหว และการมีสุขภาวะ และติดตามผลอย่างต่อเนื่องผ่าน Longevity Master Assessment ซึ่งครอบคลุมตัวชี้วัดกว่า 300 รายการ ช่วยให้ทั้งผู้ให้บริการและผู้เข้ารับบริการเห็นภาพรวมเชิงลึกของสุขภาพและแนวทางป้องกันตามวัย กลยุทธ์นี้ไม่เพียงสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า แต่ยังเพิ่มมูลค่าของบริการและขยายตลาดผู้บริโภคระดับพรีเมียมได้อย่างยั่งยืน

Trust is the Foundation of Business

คำว่า ‘ตรีวนันดา’ หมายถึงป่าแห่งความสุขอันยั่งยืน และสำหรับก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพและการท่องเที่ยวในเอเชีย การสร้าง ethos หรือค่านิยมหลักขององค์กรจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการสร้างความเชื่อใจ

ภายในงาน Dragonfly Summit ที่ผ่านมา ตรีวนันดาได้จัดนิทรรศการเชิงปฏิสัมพันธ์ Harmony Bee Maze ซึ่งเป็นเกมทดสอบสไตล์การเป็นผู้นำและ Trust Frequency เฉพาะตัวของแต่ละบุคคล ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มสมุนไพรที่รังสรรค์ตามสไตล์การเป็นผู้นำที่ Jampa Bar ซึ่งช่วยให้ผู้ร่วมงานได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของการสร้างความเชื่อใจ
แนวทางนี้สะท้อนวิธีการทำธุรกิจของตรีวนันดา ที่ไม่ได้เน้นเพียงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่รวมถึงการยกระดับจิตใจ สุขภาพกายและใจ และสร้างชุมชนที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืนและยั่งยืน

ผู้ที่สนใจเล่นเกมทดสอบสามารถค้นหา Trust Frequency และสไตล์การเป็นผู้นำของคุณผ่านแบบทดสอบสั้นๆ ได้ที่ form.typeform.com/to/M6vjFGgO และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ trivananda.com

‘ดมตะ’ แบรนด์ยาดมจากใต้ที่เสิร์ฟกลิ่นเมล็ดกาแฟชั้นดีจนสินค้า sold out ในงาน Coffee Fest 

‘รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันฉันใด มนุษย์ย่อมขับเคลื่อนด้วยกาแฟฉันนั้น’

ผิวเผินดูเป็นประโยคหยิกแกมหยอก แต่ในความเป็นจริง ทั้งผู้เขียนหรือคนอ่านส่วนใหญ่ล้วนต้องการสารคาเฟอีนจาก ‘กาแฟ’ ดีๆ สักแก้วช่วยกระตุ้นร่างกายให้กระปรี้กระเปร่าพร้อมออกไปใช้ชีวิต

ถามว่าคอกาแฟในบ้านเรามีจำนวนมากแค่ไหน ก็ต้องยกตัวสถิติจากกระทรวงพาณิชย์ ปี 2568 ที่ระบุว่า คนไทยหนึ่งคนดื่มกาแฟเฉลี่ย 340 แก้วต่อปี และรายได้ในอุตสาหกรรมธุรกิจกาแฟมีเงินสะพัดถึง 6.5 หมื่นล้านบาทแม้ในยามเศรษฐกิจซบเซา 

ต้องบอกว่ากาแฟหนึ่งแก้วให้อะไรเรามากกว่าที่คิด นอกเหนือจากตัวเลขมูลค่าทางเศรษฐกิจแต่เป็นการแข่งขันสร้างสรรค์สินค้าใหม่ๆ ดังกรณีของ ‘เพชร–ธนเชษฐ์ กองสิงห์ และแซนด์–ศุภิสรา โกศลพฤทธ์’ อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ที่ตัดสินใจร่วมกันทำแบรนด์ยาดมกลิ่นกาแฟที่มีชื่อว่าดมตะซึ่งสร้างปรากฏการณ์บูทแตกถล่มทลายในงาน Coffee Fest Thailand 2022

ณ เวลานี้ดมตะถูกยกให้เป็นอีกหนึ่งแบรนด์สตาร์ทอัพที่น่าจับตามอง เราจึงชวนซีอีโอทั้งสองมาร่วมสนทนาถึงการปลุกปั้นแบรนด์ยาดมแบรนด์นี้ตั้งแต่วันแรก การทำโปรดักต์ให้ถูกใจคอกาแฟ และอีกสารพัดคำตอบที่มาพร้อมกับคำเชิญชวนให้ ‘ดมตะ’  ผ่านคอลัมน์ 5P ตอนนี้

Product
กาแฟที่ไม่ต้องดื่ม

“ส่วนตัวผมชอบกาแฟเป็นทุนเดิม หัดดื่มจากกาแฟใส่นมจนมาเป็นกาแฟดำ นานวันเข้าก็เริ่มหัดดริปกาแฟดื่มเอง จนวันหนึ่งเกิดความรู้สึกว่ากลิ่นกาแฟมันหอม หอมเกินกว่าจะอยู่แค่ในเครื่องดื่ม” 

เพชรเท้าความให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของแบรนด์ดมตะด้วยแววตาเป็นประกาย ในฐานะคอกาแฟที่ดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนนี้เป็นประจำทุกวี่วัน แม้กระทั่งระหว่างบทสนทนาก็มีแก้วกาแฟวางอยู่ไม่ไกลมือ 

วันธรรมดาวันหนึ่งเมื่อราว 5 ปีก่อน ขณะที่เพชรซึ่งกำลังศึกษาในคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ท่ามกลางบรรยากาศง่วงเหงาหาวนอนในคลาสเรียนเขาเกิดความรู้สึกเล็กๆ ในใจว่าตอนนี้ถ้าได้กาแฟสักแก้ว หรือแค่ได้สูดกลิ่นคั่วหอมๆ จากเมล็ดกาแฟก็ยังดี 

สิ้นความคิดดังกล่าวพลันบังเกิดเป็นไอเดียว่า งั้นทำไมไม่ลองทำยาดมกลิ่นกาแฟไปเลยล่ะ?

“ผมคิดว่ากาแฟมันน่าจะมีดีมากกว่าแค่การดื่ม พอไปรีเสิร์ชก็พบว่า ‘กลิ่น’ ของกาแฟมันมีประโยชน์ช่วยให้กระปรี้กระเปร่าโดยไม่ต้องดื่ม ประจวบกับช่วงที่ใกล้เรียนจบเลยเสนออาจารย์ว่าอยากทำโปรเจกต์จบเกี่ยวกับยาดมกลิ่นกาแฟ แต่อาจารย์มองว่าโปรเจกต์ที่เสนอต้องใช้เวลานานพอสมควรและหัวข้อไม่ตรงกับสิ่งที่เรียนมา สุดท้ายโปรเจกต์นี้เลยถูกพับเก็บไปก่อน” เพชรกล่าว

แต่อย่างที่ว่า หากรักสิ่งไหน สิ่งนั้นจะนำพาเราไป ระหว่างใกล้จบการศึกษาเพชรชวนแฟนสาวอย่างแซนด์และเพื่อนสนิทอีกหนึ่งราย ร่วมกันปัดฝุ่นหยิบโปรเจกต์ยาดมกลิ่นกาแฟกลับมาอีกครั้ง โดยวางคอนเซปต์ของแบรนด์คือ ‘กาแฟที่ไม่ต้องดื่ม’ ภายใต้ชื่อ ‘ดมตะ’ ที่หมายถึง ‘ลองดม’ ตามพื้นเพของพวกเขาที่มาจากภาคใต้

ความฝันของเพชรและทีมเริ่มขึ้นภายหลังชนะการประกวดในโครงการพัฒนาระบบนิเวศเพื่อสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Entrepreneurial Ecosystem Development) ของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ด้วยเงินรางวัลจำนวน 100,000 บาท ถูกแปรเป็นเงินทุนสำหรับลองผิดลองถูกเพื่อทดลอง ‘essential oils’ หรือ ‘น้ำมันหอมระเหย’ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำยาดมกาแฟ

“การที่กลิ่นของเมล็ดกาแฟจะอยู่ได้นานเป็นเรื่องยาก เมล็ดกาแฟปกติถ้านำมาวางทิ้งไว้กลิ่นจะอยู่ได้นานสุดแค่ 15 นาที ซึ่งตัวน้ำมันหอมระเหยจากเมล็ดกาแฟที่สกัดได้ก็มีปริมาณไม่มาก ผมเลยปรึกษากับอาจารย์ท่านหนึ่งจากจุฬาฯ เพื่อหาวิธีสกัดที่ได้น้ำมันหอมระเหยจากกาแฟมากที่สุด”

วิธีการที่ว่าลงเอยที่การสกัดแบบ Supercritical CO2 จากนั้นจึงนำไปพัฒนาต่อร่วมกับอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่มีเครื่องมือในการทดลอง กว่าจะสำเร็จก็ใช้เวลานานถึง 2 ปี แต่ใช่ว่าได้น้ำมันหอมระเหยแล้วจะจบเท่านั้น สิ่งที่ยากที่สุดลำดับต่อมาคือจะพรีเซนต์กลิ่นออกมาได้ชัดเจนมากที่สุดยังไง

“ตอนแรกเราทดลองใส่หินพัมมิสเป็นที่เก็บกลิ่นในการหยดน้ำมันหอมระเหย แต่ผลลัพธ์คือผู้ใช้งานเจอปัญหาเรื่องฝุ่นเมื่อปล่อยทิ้งไว้ จนมาลงเอยกับการทำเป็นแบบยาดมซึ่งด้านในบรรจุสำลีธรรมชาติ ที่การหยดน้ำมันหอมระเหยหนึ่งครั้งสามารถอยู่ได้ 2-3 วัน โดยรวมคือซื้อหนึ่งเซตจะอยู่ได้ราวๆ 2 เดือน

“ความจริงก่อนหน้านี้เราออกสินค้ารุ่นทดลองให้มีดีไซน์คล้ายกับกล่องหูฟังด้วยกรรมวิธี 3D printer แต่เราฉุกคิดได้ว่ายิ่งผลิตในจำนวนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งใช้จำนวนพลาสติกมากขึ้นเท่านั้น ผลลัพธ์คือมีส่วนทำให้โลกร้อน ยิ่งโลกร้อนการปลูกเมล็ดกาแฟก็จะทำได้น้อยลง เราเลยตัดสินใจเปลี่ยนแพ็กเกจจิ้งจากพลาสติกมาเป็น ‘กระดาษรีไซเคิล’ และเปลี่ยนดีไซน์ให้เป็นแบบกระบอกที่ได้คอนเซปต์มาจากเครื่องบดกาแฟแบบมือหมุน (Manual Coffee Grinder)” เพชรอธิบายถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้แพ็กเกจจิ้งโปรดักต์ของดมตะออกมาหน้าตาดังที่เห็นทุกวันนี้

ยาดมจากเมล็ดกาแฟชั้นดีที่แม้แต่คนแพ้กาเฟอีนก็ดมได้

ยาดมดมตะหนึ่งชุดประกอบด้วยกระบอกยาดม 1 หลอด และขวดน้ำมันหอมระเหยขนาด 3 มิลลิลิตร เมื่อต้องการใช้เพียงเปิดฝากระบอกยาดมตามด้วยหยดน้ำมันหอมระเหย 1 หยด เป็นอันเสร็จพิธีพร้อมสูดดมให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า

“อย่างเราเองที่ร่างกายไวต่อคาเฟอีนก็ดมได้โดยไม่มีผลข้างเคียง” แซนด์เสริมให้เราฟังถึงข้อดีของยาดมกลิ่นกาแฟ เป็นการทลายข้อจำกัดของคนที่อยากลิ้มรสกาแฟแต่มีอาการแพ้คาเฟอีน โดยยังได้ผลลัพธ์เหมือนกันคือร่างกายรู้สึกประปรี้กระเปร่าสมองปลอดโปร่ง ทั้งยังต่างจากยาดมสมุนไพรตามท้องตลาดที่สูดดมแล้วได้ความรู้สึกเย็นสดชื่น

ปัจจุบันดมตะมียาดมทั้งหมด 3 กลิ่น ได้แก่ 

1. Nutty : ฮีโร่โปรดักต์และโปรดักต์ชิ้นแรกที่เป็นซิกเนเจอร์ของดมตะ ได้น้ำมันหอมระเหยจากการสกัดเมล็ดกาแฟที่ปลูกใน ‘โซยิ ปางขอน คอฟฟี่’ (Soyi Pangkhon Coffee) ไร่กาแฟชื่อดังจากอำเภอปางขอน จังหวัดเชียงราย ซึ่งเมล็ดที่ใช้เป็นเมล็ดที่ติด 1 ใน 5 จากการประกวดเวที Specialty Coffee ถึง 3 ปีซ้อน สูดดมให้ความหอมหวานในแบบเมล็ดกาแฟคั่วสดใหม่ โดยมีกลิ่นถั่วแซมเล็กน้อย

2. Floral : กลิ่นที่ได้จากเมล็ดกาแฟสายพันธุ์เอธิโอเปีย G1 อีกหนึ่งสายพันธุ์เมล็ดกาแฟระดับโลกจากผืนแผ่นดินประเทศเอธิโอเปีย โดดเด่นด้วยกลิ่นดอกไม้แห้ง ช่วยลดความเครียดได้ดี

3. Strawberry : อีกหนึ่งกลิ่นที่เกิดจากการคอลแล็บกับ Jason Roaster Factory ร้านคาเฟ่และโรงคั่วกาแฟชื่อดัง ตัวกลิ่นมีความสลับซับซ้อน ลึกล้ำ โดยมีกลิ่นหอมหวานของสตรอว์เบอร์รีเป็นฉากหลัง 

“กลิ่นต่างๆ ที่เราคิดค้นต้องบอกว่าได้ไอเดียจากลูกค้าแทบจะเป็นหลัก เวลาไปออกบูทตามงานต่างๆ ก็จะมีรีเควสต์มาตลอดว่าทำไมไม่ลองกลิ่นนี้ล่ะหรืออยากลองดมกลิ่นเมล็ดกาแฟพันธุ์นี้ เราพยายามตอบรับฟีดแบ็กที่ได้ อย่างกลิ่น Floral ก็มาจากการจับกระแสในปีนั้นซึ่งเมล็ดกาแฟพันธุ์เอธิโอเปียกำลังมาแรง

“กลิ่น Floral ก็มาจากการที่เรารู้จักกับพี่ที่เป็นเกษตรกรซึ่งเขาเป็นสายประกวดเมล็ดกาแฟ ซึ่งเราลงพื้นที่ไปคัดเลือกด้วยตัวเอง ลองไปทดลองสกัดให้พี่เขาดม เขาก็ตอบกลับมาว่ากลิ่นแบบนี้เหมือนที่เขาคั่วเมล็ดเลย หรือกลิ่น Strawberry ก็มาจากที่เราคอลแล็บกับร้าน Jason Roaster Factory ที่รู้จักกันในกลุ่มสเปเชียลคอฟฟี่ เป็นเหมือนการแชร์ไอเดีย แชร์วัตถุดิบที่มี ทางร้านดูแลเรื่องวัตถุดิบส่วนเราดูแลเรื่องวิธีการ ซึ่งกลิ่นสตรอว์เบอร์รีที่ได้แทบจะเหมือนที่อยู่ในเมล็ดกาแฟ 100%” เพชรเล่าด้วยสีหน้าจริงจังถึงโปรดักต์ทั้ง 3 ประเภทในมือ

Price
สมราคากลิ่นกาแฟระดับสเปเชียลตี้

สำหรับราคาของยาดมกลิ่นกาแฟยี่ห้อดมตะเริ่มตั้งแต่เซตละ 295 บาท ไปจนถึงราคา 525 บาท 

หากเทียบกับยาดมสามัญประจำบ้านทั่วไปอาจดูแพงกว่าหลายเท่าตัว แต่ทั้งเพชรและแซนด์มองว่า คุณภาพของดมตะนั้นมีความพรีเมียมแทบไม่ต่างจากเครื่องหอมยี่ห้ออื่น

“เรามองว่าเราเองก็เป็นเครื่องหอมชนิดหนึ่ง ซึ่งเครื่องหอมปกติราคาขายจะอยู่ในเรตราคาประมาณ 300, 400,  หรือ 500 ถ้าเทียบกับแบรนด์ยาดมอาจจะดูราคาสูงกว่า และเรามองว่าจุดที่เรายืนอยู่ก็อยู่ในตลาดที่เป็นเฉพาะกลุ่ม

“คนที่ซื้อดมตะนอกจากจะเป็นคอกาแฟ ยังมีกลุ่มคนอีกประเภทก็คือกลุ่มที่เก็บสะสมกลิ่นเครื่องหอม นั่นทำให้แบรนด์เราสามารถเจาะตลาดกลุ่มผู้บริโภคได้ทั้ง 2 กลุ่ม” แซนด์อธิบายฐานกลุ่มผู้บริโภคของดมตะ

เพชรยังเสริมอีกว่าการตั้งราคานั้นสอดคล้องกับความพรีเมียมของวัตถุดิบที่ใช้ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เมล็ดกาแฟสายพันธุ์ดีที่ได้รับรางวัลจากการประกวด เมื่อนำมาแปรสภาพเป็นน้ำมันหอมระเหยที่การสกัดหนึ่งล็อตได้ปริมาณจำกัด ทำให้ราคาต้นทุนต้องปรับสูงตามไปด้วยนั่นเอง

“การสกัดน้ำมันหอมระเหย 1 ล็อต ผมต้องใช้เมล็ดกาแฟถึง 15 กิโลกรัม โดย 1 ล็อตจะได้น้ำมันหอมระเหยประมาณ 800 มิลลิลิตร จากนั้นค่อยนำมาแยกบรรจุขายขวดละ 3 มิลลิตร ถามว่าได้กำไรไหม ต้องบอกว่าแทบไม่ได้เลย ต้นทุนเอาเรื่องมาก แต่เราอยากพรีเซนต์สิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้ามากกว่า” 

Place 
เติบโตจากการออกบูทและคอมมิวนิตี้คนรักกาแฟ

“ตอนที่ออกบูทครั้งแรกคนก็มามุงที่หน้าร้าน ถามว่าเราขายอะไร ทำไมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” 

เพชรย้อนความให้ผมฟังถึงบรรยากาศการออกร้านครั้งแรกของดมตะในงาน Thailand Cofee Fest 2022 ในครั้งนั้นสินค้าของดมตะ sold out ถึงขั้นต้องมีการสั่งพรีออร์เดอร์สินค้าล่วงหน้า 

แซนด์เสริมต่อว่า จากปรากฏการณ์บูทคนล้นในครั้งนั้นกลายมาเป็นข้อดีที่ทำให้ผู้บริโภคบอกข้อดีของดมตะปากต่อปาก สร้างการรับรู้โดยไม่ต้องมีหน้าร้านเป็นของตัวเอง นำมาสู่การขายดีเป็นเทน้ำเทท่าทุกครั้งที่ออกงานกาแฟ ณ ที่ต่างๆ 

“ต้องบอกว่าคนรักกาแฟอยู่กันแบบคอมมิวนิตี้ ในคอมมิวนิตี้นี้ไม่ได้มีแค่คนผลิตกาแฟ นักดริปกาแฟ แต่ยังมีคนที่จำหน่ายเอสเซสเซอรีต่างๆ พอเราไปออกบูธเลยเหมือนเป็นความแปลกใหม่ในคอมมิวนิตี้ 80% ของลูกค้าเรามาจากการได้ไปออกบูท เพราะการมาที่งานทำให้เขาได้ลองดมกลิ่น ได้เทสต์ว่าสินค้าเราเป็นยังไง”

นอกจากการวางขายแบบออนไลน์และออกบูทเป็นช่องทางหลัก ดมตะยังมีการกระจายสินค้าผ่านร้านกาแฟต่างๆ ที่เป็นพันธมิตรซึ่งส่วนใหญ่รู้จักกันผ่านการออกงาน และเร็วๆ นี้พวกเขายังมีแผนที่จะวางขายสินค้าในแหล่งใจกลางเมืองอย่างสยามดิสคัฟเวอรี่ 

“การเลือกสยามดิสคัฟเวอรี่เป็นการเพิ่มโอกาสให้คนเห็นแบรนด์เรามากขึ้น และเราสามารถพรีเซนต์สินค้าได้ชัดเจน ผมอยากให้คนมองเราเป็นครีเอเตอร์ด้านกลิ่น คือเราเป็นบาริสต้าแต่เราไม่ได้เสิร์ฟเครื่องดื่ม แต่เสิร์ฟกลิ่นกาแฟ และถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะขยายสเกลของแบรนด์ให้สินค้าไปอยู่ในร้านกาแฟที่เป็นระดับสเปเชียลตี้ ซึ่งผมเชื่อว่าในนั้นมีกลุ่มผู้บริโภคที่เข้าใจสินค้าของเรา” เพชรกล่าว

“มองถึงเรื่องการส่งออกต่างประเทศบ้างไหม” ผมถามต่อ

“จริงๆ เราวางแผนเรื่องการส่งออกไว้เหมือนกัน แต่ติดปัญหาข้อหนึ่งคือสินค้าของเรามันใหม่มาก แม้แต่เครื่องสกัดของเราก็ยังใหม่ ใหม่จนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไม่สามารถจดทะเบียนได้ว่าสินค้าเราควรอยู่ในหมวดเครื่องหอมหรือยารักษาโรค เป็นเรื่องที่เราต้องทำการบ้านเพิ่มเติมเพื่อจะไปถึงจุดนั้น” แซนด์เสริมถึงความท้าทายที่ดมตะกำลังเผชิญอยู่ในเรื่องของการส่งออก ซึ่งเป็นเป้าหมายในอนาคตที่แบรนด์แบรนด์นี้ตั้งใจที่จะก้าวไปให้ถึง 

Promotion 
คอนเทนต์จากคอกาแฟถึงเพื่อนคอกาแฟ

ตามที่เกริ่นนำไปว่าดมตะเริ่มนับหนึ่งแบรนด์จากการออกบูท พวกเขาจึงนำจุดแข็งนี้มาต่อยอดด้วยการสร้างการรับรู้ผ่าน ‘โซเชียลฯ’ โดยเพชรบอกว่าสิ่งนี้กลายเป็นคอมมิวนิตี้ที่ดึงดูดคนที่มีความชอบเดียวกัน จนกลายเป็นจุดแข็งของพวกเขาในที่สุด

“เรามองว่ามันเป็นการสร้าง awareness สิ่งสำคัญคือเราจะมีกลยุทธ์การสื่อสารส่งไปถึงผู้บริโภคยังไง อย่างคอนเทนต์และอาร์ตเวิร์กก็ต้องสื่อสารให้ชัดเจนเข้าใจง่าย ให้เขารู้ว่าวัตถุดิบที่เราใช้มีความพรีเมียมยังไง เป็นเหมือนการ์ดเชิญให้คนเข้ามารู้จักกับแบรนด์ จากนั้นถึงใช้กลิ่นเป็นไม้ตายปิดการขาย”

เพชรยังเล่าต่อว่านอกจากช่วยในการขาย โซเชียลฯ ยังเป็นอีกเครื่องมือในการรับฟีดแบ็กจากผู้บริโภคเพื่อปรับปรุงคุณภาพสินค้า ไปจนถึงเป็นไอเดียในการสร้างสรรค์โปรดักต์ใหม่ เหมือนที่ล่าสุดเพิ่งออกยาดมกลิ่นชามะลิและชายูสุเพื่อตอบโจทย์คนที่ดื่มชา

“อย่างที่บอกว่าเราเปรียบตัวเองเป็นบาริสต้า ซึ่งการเป็นบาริสต้าไม่ได้ทำเป็นแค่กาแฟแต่รวมถึงเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น ชาหรือมัทฉะ ซึ่งกลิ่นเครื่องดื่มอย่างชามะลิและยูสุที่เพิ่งออกใหม่ก็มาจากที่ลูกค้ารีเควสต์ ถ้าไม่เกินความสามารถเราก็ทำให้ได้

“เรามองว่ายาดมกลิ่นชาเองเข้าถึงคนหมู่มากได้กว่ากาแฟ เพราะมีกลิ่นที่หอมสดชื่น โดยเฉพาะกลิ่นส้มยูสุที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 ตอนนี้เราจึงแยกชัดเจนว่า ผลิตภัณฑ์ยาดมกลิ่นกาแฟเหมาะสำหรับคนรักกาแฟสเปเชียลตี้ ส่วนยาดมกลิ่นชาอยู่ในกลุ่มแมสที่ไม่ต้องดื่มกาแฟก็ทำความเข้าใจได้”

ทั้งนี้ข้อดีของยาดมกลิ่นใบชาคือมีกรรมวิธีที่ง่ายกว่า สามารถใช้ใบชาอบแห้งเบลนด์เข้ากับ essential oils โดยไม่ต้องผ่านการสกัดเหมือนเมล็ดกาแฟ ให้ความรู้สึกสดชื่นจากกลิ่นมะลิและกลิ่นส้มยูสุที่หอมติดจมูกชัดเจน ไม่ฉุนแม้แต่น้อย โดยเพชรและแซนด์แย้มให้ฟังอีกว่า เร็วๆ นี้จะมีการออกกลิ่นมัทฉะเพื่อเอาใจเทรนด์มัทฉะเลิฟเวอร์ที่กำลังมาแรงในปีนี้

Perfectionist
สารจากนักออกแบบกลิ่น

 P สุดท้ายที่เพชรและแซนด์นิยามไว้คือคำว่า Perfectionist ซึ่งในที่นี้หมายถึงการตั้งใจออกแบบโปรดักต์ด้วยความพิถีพิถัน สิ่งนี้ตรงกับความตั้งใจของดมตะตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำ คือการเสิร์ฟกลิ่นกาแฟพรีเมียมไปถึงคอกาแฟตัวจริง

“ผมคิดว่าเรามีมาตรฐานเป็นของตัวเอง เราไม่ค่อยพอใจกับอะไรง่ายๆ ไม่อย่างงั้นคงไม่ใช่เวลาถึง 2 ปีกว่าถึงจะกล้าออกวางขาย ในฐานะคอฟฟี่เลิฟเวอร์เรารู้ดีอยู่แล้วล่ะ ว่าคนที่ดื่มกาแฟเขาชอบกลิ่นประมาณไหน ฉะนั้นคงยอมไม่ได้ถ้าเราจะทำกลิ่นกาแฟที่เป็นกลิ่นกาแฟเฉยๆ ไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อน 

“เคยมีลูกค้า B2B (business-to-business) ขอให้เราทำโปรดักต์แบบก้านหอม แต่พอทำออกมาแล้วไม่ได้มาตรฐานเท่าโปรดักต์แบบยาดมเราก็ไม่ปล่อยวางขาย ผมและทีมมองว่าสิ่งนี้สำคัญมากๆ กับการเซตมาตรฐานใหักับแบรนด์ที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้า” เพชรยืนยันด้วยเสียงหนักแน่น

ถึงตรงนี้ดมตะกำลังเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด แน่นอนว่าการขยับขยายแบรนด์ย่อมมีนานาอุปสรรคตามมาอย่างช่วยไม่ได้ โดยเฉพาะบริษัทสตาร์ทอัพที่เริ่มจากคนเพียง 3-4 คน แต่เพชรและแซนด์กลับมองในแง่ดี ว่านี่เป็นบทเรียนล้ำค่าที่หาจากที่ไหนไม่ได้

“บทเรียนสำคัญในการทำธุรกิจคือคุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาได้เลย พอเราแก้ปัญหาหนึ่งจบ อีกปัญหาหนึ่งก็จะตามมา อยู่ที่ว่าคุณจะยอมแพ้ให้กับมันง่ายๆ หรือเปล่า อย่างช่วง 2 ปีแรกที่เราทำดมตะเราเจอปัญหาสารพัด แต่เรามีความเป็นนักสู้มากพอที่จะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้” ซีอีโอผู้ริเริ่มแบรนด์ดมตะกล่าว

“อีกข้อคือต้องมีความเชื่อมั่นในทีม” แซนด์เสริม “เราและทีมเชื่อมั่นในไอเดียของเพชรมากๆ อาจจะมีบางไอเดียที่มันฟุ้งเกิน หน้าที่ของเราคือช่วยตบให้เข้ารูปเข้ารอย หรือบางไอเดียที่เรามองว่าสามารถต่อยอดได้ก็จะนำมาพูดคุยกันและลงมือทำสักตั้ง ถ้าสามารถทำออกมาได้จริงเราก็แฮปปี้”

“ยังมีอีกหลายอย่างเลยแหละที่ผมและทีมอยากทำ แต่ที่อยากเห็นมากๆ คือการได้เห็นโปรดักต์ของดมตะได้ขยับขยายพื้นที่การขายจากร้านกาแฟไปสู่ที่ที่มีคนเห็นมากขึ้นอย่างห้างสรรพสินค้า หรือมีช็อปเป็นของตัวเอง” เพชรกล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม