กรณีเจนนี่ฯ กับภาพสะท้อนธุรกิจ Live Commerce ในวันที่พ่อค้าแม่ขายยอมได้หมดเพื่อเงินล้าน

ระยะเวลา 18 ชั่วโมงกับจำนวนเงินมากกว่า 300 ล้านบาทคือสถิติตัวเลขที่ ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ ศิลปินหญิง, ยูทูบเบอร์ และเจ้าของค่ายเพลงได้หมดถ้าสดชื่นสามารถทำได้จากการไลฟ์มาราธอนผ่าน Tiktok เพื่อขายและโปรโมตสินค้า นี่ไม่ใช่แค่การไลฟ์สดโปรโมตสินค้าเพียง 1-2 ชั่วโมง แต่ลากยาวข้ามไปถึงอีกวัน ชนิดที่เริ่มกันตั้งแต่ตื่นนอนยันในฝัน ขณะเดียวกันยังมีเซเลบดารามากหน้าหลายตาสลับสับเปลี่ยนมาขึ้นกล้องเรียกกระแสไม่หยุดหย่อน 

ในขณะที่ผู้คนนอกแสงสปอตไลต์กำลังถกเถียงกันว่าปรากฏการณ์นี้เป็นเพียงอุปทานหมู่ตามแบบฉบับไทยมุงหรือเป็นความมหัศจรรย์ที่มีแต่คนดังเท่านั้นที่ทำได้ มีประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นคือกระแส  ‘Live Commerce’ ที่เจริญเติบโตและกำลังกลายเป็น ‘ภาพใหญ่’ ในโลกธุรกิจเร็วๆ นี้ 

กระแส Live Commerce ที่เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ไลฟ์ของเจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่นกำลังบอกอะไรกับเรา คอลัมน์ Recap ตอนนี้ขอชวนทำความเข้าใจไปพร้อมกัน

[ดราม่าที่เปลี่ยน micro influencer ให้เป็น real-time sales personality ที่ขายหมดจนสดชื่น]

ใครที่ติดตามข่าวคราวบันเทิงน่าจะพอทราบว่า สัปดาห์ที่ผ่านมามีเหตุการณ์ที่เจนนี่ฯ ออกมาไลฟ์ถึงกรณีที่เธอต้องชดใช้หนี้จำนวน 3 ล้านบาทให้แก่ผู้เป็นแม่ เรียกว่าเป็นมหากาพย์ เธอขึ้นไลฟ์จบ ฝั่งผู้เป็นแม่ก็ขึ้นมาตอบโต้ทันควัน สร้างความสนใจให้แก่ทั้งแฟนคลับขาประจำและขาจร กระทั่งวันที่ 9 ตุลาคม เจนนี่เลือกที่จะไม่ลงไลฟ์เหมือนปกติแต่โปรโมตขายสินค้าต่อทันที ด้วยกระแสดราม่ากลายเป็นดังลมใต้ปีกส่งเจนนี่ฯ ขายสินค้าดีเป็นเทน้ำเทท่า ส่วนหนึ่งของคนที่อุดหนุนคือคนที่เห็นใจเธอ และอีกส่วนหนึ่งคือคนที่อุดหนุนเพราะเห็นว่าสินค้ามีราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด 

จากยอดผู้ติดตามราว 10 ล้าน เพียง 5 วัน พุ่งพรวดถึง 19.9 ล้าน ในขณะที่เรตการโปรโมตสินค้าของเธอเปลี่ยนจาก 1 ชั่วโมง 2 แสนบาท เป็น 10 นาที 5 หมื่นบาท พร้อมตั้งกฎกติกาว่าเธอจะขอค่าส่วนต่างออร์เดอร์ละ 50 บาท ในกรณีที่ทำยอดได้ถึง 1,000 ออร์เดอร์ และหากขายออร์เดอร์หมดภายในระยะเวลาไม่เกิน 10 นาที สมมติเหลือเวลาอีก 5 นาที เธอจะจะถามแบรนด์กลางไลฟ์ทันทีว่าจะจ้างต่อในเวลาที่เหลือไหม

ผู้คนที่เข้ามาดูไลฟ์สนุกไปกับการที่เห็นเธอต่อรองกับแบรนด์ผู้ว่าจ้างจนแทบจะลืมเรื่องดราม่าโดยปริยาย เป็นชาลเลนจ์ในแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนในบ้านเรา แม้กระทั่งวันที่เจนนี่ฯ ไปออกรายการโหนกระแส เธอยังพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสด้วยการท้าทายพิธีกรอย่างหนุ่มกรรชัยให้ว่าจ้างเธอโปรโมตแบรนด์เซรั่ม ก่อนจะมีดาราเซเลบมากมายต่อคิวมาไลฟ์โปรโมตสินค้าร่วมกับเธอ หรือล่าสุดที่ไลฟ์ร่วมกับ ‘อั้ม พัชราภา’ ที่ผ่านไปแค่ 10 นาที ก็ทำยอดขายได้ถึง 60 ล้านบาทจาก 1 แสนคำสั่งซื้อ ท่ามกลางสายตาคนดูถึง 1 ล้านราย

ถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้ Micro Influencer ที่ได้รับความสนใจเฉพาะกลุ่มพัฒนากลายเป็น real-time sales personality สิ่งนี้ดูจะใกล้เคียงกับบทความของ McKinsey บริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการและกลยุทธ์ข้ามชาติของสหรัฐฯ ที่สังเกตการตลาด Live Commerce เบอร์ต้นอย่างประเทศจีน ทั้งในแพลตฟอร์ม Douyin , Kuaishou และ Taobao Live ที่พฤติกรรมของพ่อค้าแม่ขายไม่ได้มีแค่การนั่งไลฟ์บอกสรรพคุณสินค้า แต่ต้องครีเอทโชว์’, ชาลเลนจ์ หรือมีเรื่องราวน่าสนใจมาเล่าสู่กันฟัง เสมือนการออกแบบรายการหนึ่งที่ต้องมีการคิดสคริปต์ จัดไฟ รู้น้ำเสียงที่จะใช้คุยกับคนดู

Mckensy นิยามการไลฟ์แบบนี้ว่า  ‘consumption with companionship’  หรือก็คือทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนมีเพื่อนคอยอยู่ด้วย เมื่อรู้สึกได้ใกล้ชิดกับผู้ขายมากขึ้น หรือได้รับการเอนเตอร์เทนจนอิ่มเอม สิ่งนี้ยิ่งทำให้ผู้ซื้อยอมจ่ายเงินด้วยความพึงพอใจ คล้ายกับที่เจนนี่ฯ เริ่มเป็นที่สนใจจากดราม่าส่วนตัวก่อนจะเปลี่ยนเป็นการสร้างชาลเลนจ์ยอดขายไปจนถึงการเปิดโอกาสให้เพื่อนดาราเซเลปขึ้นไลฟ์ร่วมโปรโมตสินค้า 

สรุปข้อนี้คือหากรู้ว่าวิธีเอนเตอร์เทนแบบไหนที่จะจับจุดคนดูได้ เช่นรู้ว่าดาราคนไหนดัง อินฟลูคนไหนกำลังเป็นกระแส เจนนี่ฯ เลือกที่จะลัดคิวเรียกมาขึ้นไลฟ์ทันที ก็ยิ่งเพิ่มเปอร์เซ็นต์ที่จะต่อรองค่าตัวโปรโมตสินค้าและเพิ่มโอกาสการสร้างยอดขายมากขึ้นตามไปด้วย

[Live Commerce Marathon การตลาดแบบซีทรู เผยให้เห็นตั้งแต่ตื่นนอน-เข้านอน ยันในฝัน]

“เวลานอนก็นอนอยู่ละ ตอนนอนดันฝันว่าไลฟ์อยู่อีก ตื่นมาโคตรนอย โครตเหนื่อย ไม่ได้พักยันตอนนอนตอนฝัน” โพสต์จากเฟซบุ๊กส่วนตัวของ ‘ยิว-ฉัตรมงคล สมแก้ว’ แฟนหนุ่มของเจนนี่ฯ 

การไลฟ์สดของเจนนี่ฯ พัฒนากลายร่างเป็นการไลฟ์ข้ามวันข้ามคืนต่อเนื่องจากเย็นวันหนึ่งถึงรุ่งเช้าอีกวันหนึ่ง เผยให้เห็นถึงกิจวัตรประจำวันตั้งแต่สภาพหน้าสดตอนตื่นนอน นั่งกินข้าว พาลูกสาวอย่างน้องยูจินออกมาทักทายแฟนคลับ แม้กระทั่งจังหวะที่ยิวแฟนหนุ่มนุ่งผ้าขาวม้าเดินผ่านกล้องยังมีให้เห็น ถึงขั้นที่แฟนหนุ่มของเจนนี่ฯ ตัดพ้อเชิงขำขันว่าขนาดตอนนอนในฝันยังคิดถึงการไลฟ์  

การไลฟ์ข้ามวันข้ามคืนของเจนนี่ฯ ส่งผลให้ผู้คนสนใจเธอยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะเปิดแอพพลิเคชั่นตอนไหนก็เข้ามาจอไลฟ์ได้ โดยดีเจต้นหอม ศกุนตลา นิยามสิ่งนี้ว่าเป็น ‘การตลาดแบบซีทรู’ ที่เผยให้เห็นทุกอิริยาบถในชีวิตประจำวันของแม่ค้า หากมองไปที่ภาพรวมของตลาด Live Commerce กลยุทธ์การตลาดในลักษณะนี้เริ่มบูมเมื่อปี 2024 ซึ่งถูกนิยามว่า ‘Live Commerce Marathorn’ 

อันที่จริงการไลฟ์มาราธอนแบบนี้ไม่ได้มีในทุกๆ วันอย่างที่เห็นจากกรณีของเจนนี่ฯ แต่ส่วนใหญ่มีนัยยะแอบแฝงควบคู่กับช่วงเวลาแคมเปญพิเศษ ยกตัวอย่างกรณีของ ‘หลี เจี่ยฉี’ (Li Jiaqi) อินฟลูฯ ด้านความสวยความงามชาวจีน ที่ไลฟ์ติดต่อกัน 12 ชั่วโมงบนแพลตฟอร์ม Taobao ในวันที่มีการจัดแคมเปญ Singles’ Day 11.11 ผลลัพธ์คือการไลฟ์ครั้งนั้นหลี่ เจี่ยฉี สร้างยอดขายได้มากหลักหมื่นล้านหยวน  ขายลิปสติก 15,000 แท่งในเวลาเพียง 5 นาที จนต่อมาถูกขนานฉายาว่า ‘Lipstick King’

ในกรณีของ Zara แบรนด์แฟชั่นชื่อดังที่เริ่มจากการไลฟ์วันละ 45 นาทีก่อนขยับเป็นวันละ 5 ชั่วโมง ผ่านแพลตฟอร์ม Douyin สำหรับประเทศจีน และผ่านแพลตฟอร์ม Tiktok ในสหรัฐฯ และยุโรป เพื่อทดลองว่าจะสร้างการรับรู้ถึงผู้บริโภคได้มากน้อยแค่ไหน ปรากฏว่าการไลฟ์หนึ่งครั้งดึงดูดคนได้มากถึง 800,000 คน

ข้อมูลจากเว็บไซต์ China Daily ระบุว่าผลพวงจากกระแสไลฟ์มาราธอนที่กำลังบูมในประเทศจีนตลอดช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ขับเคลื่อนธุรกิจในขาธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มีมูลค่าตอนนี้มากถึง 5.8 ล้านล้านหยวน หรือช่วยให้เติบโตได้มากถึง 18% 

แต่เบื้องหลังความสำเร็จของโมเดลไลฟ์มาราธอนในประเทศจีนไม่ว่าจะทั้งในฝั่งแบรนด์ใหญ่หรืออินฟลูฯ คนดัง ล้วนมีการจัดการระบบหลังบ้านที่เป็นระเบียบ ตั้งแต่คุณภาพโปรดักชั่น, การสต็อกสินค้าให้มากพอต่อจำนวนผู้บริโภค, มีโปรโมชั่นแทรกระหว่างไลฟ์เพื่อดึงคนดูให้อยู่ในไลฟ์ และที่สำคัญคือมีทีมคำนวณเรื่องต้นทุน-ภาษีที่ต้องจัดการ

[ทำไมต้อง Live Marathon ข้ามวันข้ามคืน?]

คำถามค้างคาใจคือ ถ้าคอนเทนต์ดี, โปรดักชั่นดี, สินค้าก็ดี แล้วทำไมต้องไลฟ์ข้ามวันข้ามคืนด้วยล่ะ?

1. ในแง่ของความรู้สึก ยิ่งคุณเป็นคนดังหรือกำลังเป็นที่สนใจ ไฉนคนหมู่มากจะไม่อยากเห็นชีวิตคุณในแบบเรียลๆ ปราศจากการเติมแต่ง มุมนี้อาจจะมีมูลค่ามากกว่าที่เจนนี่ฯ แสดงโชว์บนเวทีด้วยซ้ำ

2. ในแง่เทคนิค ระบบอัลกอริทึมของ Tiktok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มหลักที่เจนนี่ใช้ไลฟ์เน้นสนับสนุนครีเอเตอร์ที่มีความ ‘สม่ำเสมอ’ ยิ่งคุณไลฟ์บ่อย ไลฟ์สม่ำเสมอ และไลฟ์นาน ระบบจะช่วยเสิร์ฟไลฟ์ของคุณขึ้นหน้าฟีดคนดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เคยกดเข้ามาดูแล้วครั้งหนึ่งก็จะได้เห็นทันทีเมื่อมีการไลฟ์ครั้งต่อไป เมื่อคนดังหนึ่งคนจับคู่ไลฟ์สดกับคนดังอีกหนึ่งคนซึ่งทั้งคู่มีฐานแฟนที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว อัลกอริทึมจะเปิดการรับรู้ไปถึงผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม  

ขณะเดียวกัน Tiktok จึงมีฟีเจอร์สนับสนุนการไลฟ์ อาทิ LIVE GMV Viewer Boost ที่ช่วยเสริมเรื่อง live viewership รวมไปถึงจัดอีเวนต์ส่งเสริมการ Live สม่ำเสมอ เช่น 9.9 วันไลฟ์แห่งชาติ ที่แจกโค้ดพิเศษกระตุ้นการขาย หรือกิจกรรม LIVE Marathon Rising ที่เปิดให้ครีเอเตอร์ไลฟ์มาราธอนเพื่อชิงเงินแสน

[Live Commerce โอกาสหรือแค่ฉาบฉวย?]

ถึงตรงนี้ผู้คนไม่ได้มองปรากฏการณ์เจนนี่ฯ เป็นแค่ความสีสันสนุกๆ แต่กำลังมองเป็น ‘โอกาส’ บางอย่าง ทั้งในแง่ของการเข้าหาเพื่อให้แสงปอร์ตไลท์ส่องลงมาที่สินค้าของตัวเองโดยไม่ต้องลงทุนโฆษณาหลักแสน, การเป็นพ่อค้าแม่ขายที่สามารถไลฟ์สดโปรโมตและขายสินค้าโดยไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านเพื่อลดต้นทุน หรือแม้กระทั่งเดินตามรอยเจนนี่ฯ ด้วยการเป็นนักโปรโมตสินค้าก็ตาม

ใดๆ ก็ตามสิ่งนี้กำลังเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่สังคมและกลไกการตลาดกำลังสร้างขึ้น เป็นการชวนตระหนักว่าจะทำอย่างไรให้ผู้คนที่สนใจสินค้าของคุณจากในไลฟ์กลายมาเป็น ‘brand loyalty’ ที่จดจำและเชื่อในคุณภาพสินค้าของคุณ แม้กระทั่งฝั่งนักไลฟ์โปรโมตเองที่ต้องตระหนักถึงการรับจ้างโปรโมต ตั้งแต่การกรองคุณภาพสินค้าก่อนรับมาโฆษณาหรือทำอย่างไรให้การพรีเซ็นต์ไม่เกินจริงจนเป็นการอวดอ้างแทน

แม้กระทั่งการอดหลับอดนอนหรือต้องสูญเสียพื้นที่ส่วนตัวเพื่อแลกมากับมูลค่าเงินมหาศาล เหล่านี้เป็นบรรทัดฐานใหม่ที่ต้องจับตาดูกันต่อไป 

อ้างอิง

อาหารอีสานสันดานญี่ปุ่น โดยอดีตดีไซเนอร์ที่คลั่งไคล้การจี่ ขายดีจนขยายจากขอนแก่นมาอารีย์

“ลูกค้าเข้าครับ”

“มาเด้อกินเข่า สวัสดีครับ จี่เกียยินดีต้อนรับครับ”

เสียงพนักงานต้อนรับเราอย่างแข็งขันตั้งแต่ประตูหน้าร้านเปิด ให้ความรู้สึกเหมือนเดินเข้าร้านอาหารญี่ปุ่น–ซึ่งไม่ผิด ครึ่งหนึ่งของจี่เกีย ร้านที่เราเดินเข้ามาตอนนี้ มีดีเอ็นเอของความเป็นญี่ปุ่นผสมรวมกับอีกครึ่ง ซึ่งก็คือความเป็นอีสาน

พูดให้ตรงตามสโลแกนร้าน คือเป็นร้านอาหารสันดานญี่ปุ่นนั่นเอง

ในยุคที่ร้านอีสานกายะ (ในความหมายนี้ก็คือร้านอาหารอีสานที่ตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่น) ตั้งกระจายอยู่ทั่วทุกมุมเมือง จี่เกียไม่อยากนิยามตัวเองด้วยคำนั้น เพราะ หมู–ทิฆัมพร ศรีคำแหง ผู้ก่อตั้งอยากให้ร้านยากิโทริแห่งนี้เป็นส่วนผสมของสองวัฒนธรรมอย่างแท้จริง ตั้งแต่วัตถุดิบ รสชาติอาหาร ไปจนถึงการบริการของพนักงาน หากจะมีคำไหนที่เหมาะสม เราขอถือวิสาสะใช้คำว่า ‘จริงใจ’ อย่างไม่เสแสร้ง

ทั้งจริงใจในวัตถุดิบที่มาจากท้องถิ่นอีสาน จริงใจในวิธีการเตรียมอาหารที่เคร่งครัดของคนญี่ปุ่น จริงใจในรสชาติที่ไม่ได้เคลมว่าเป็นอาหารอีสานจ๋าแต่เป็นรสชาติอาหารอีสานที่อยากให้คนกรุงเข้าถึงได้ ที่สำคัญคือจริงใจในการบริการที่อยากให้อยู่เหนือความคาดหมายของลูกค้า

นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมใน 2 ปี จี่เกียจึงขยายสาขาจากขอนแก่นไปโคราช และล่าสุดมาสู่อารีย์ใกล้บ้านเราได้สำเร็จ ในวาระเปิดร้านใหม่ เรานั่งคุยกับ ‘พี่หมู’ เจ้าของร้าน ย้อนกลับไปถึงรากเหง้าและความรักในอาหารสองวัฒนธรรม การยกระดับของกินอีสานให้เข้าถึงง่าย และสิ่งที่จี่เกียสอนเขาในเรื่องธุรกิจและชีวิต

1
ร้านปิ้งไก่ในขอนแก่น

สาขาแรกของจี่เกียเกิดขึ้นที่ขอนแก่นเมื่อ 2 ปีก่อน ก่อนหน้านั้นหมูทำร้านอาหารญี่ปุ่นแนวปิ้งย่างมากว่า 5 ปีแล้ว ชื่อร้านว่า Yakitori อิหยังวะ

หมูนับเป็นหนึ่งในคนที่ห่างไกลจากโลกของร้านอาหารแต่เข้าวงการมาด้วยความหลงใหล ย้อนกลับไปไกลกว่านั้น เขาเคยทำงานเป็นดีไซเนอร์ให้กับบริษัทผลิตยานพาหนะของญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง เดินทางไปกลับญี่ปุ่นอยู่บ่อยครั้ง แต่ละครั้งก็ไปอาศัยอยู่ที่นั่นนานหลายปี 

หมูเป็นสายกินดื่ม แถมยังชอบทำกับแกล้มเสิร์ฟวงเหล้าเป็นชีวิตจิตใจ ตอนไปอยู่ญี่ปุ่น เขาประทับใจในขั้นตอนการปรุงอาหารมาก โดยเฉพาะอาหารประเภทปิ้งย่าง “เขาทำสะอาด มีวินัย และใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบได้อย่างสมบูรณ์ สมมติไก่ตัวหนึ่ง เขาจะกินทุกส่วน พิถีพิถันกับการกินให้อร่อยมาก เช่น หลอดลมต้องย่างเกลือเท่านั้นนะ ห้ามย่างซอส เพราะรสสัมผัสจะแตกต่างกัน

“เขาเน้นแนวคิดแบบสัจจะวัสดุมากๆ หมายถึงว่าเขาเน้นทำอาหารโดยอิงจากวัตถุดิบจริงๆ ปรุงแต่งให้น้อย แต่มีเทคนิคการลงมีดต่างๆ มาช่วย ด้วยความเป็นคนชอบทำอาหาร เราเห็นอย่างนั้นมันก็เหมือนเติมเต็มเรา หลังจากนั้นก็เริ่มเรียนรู้และทำตามจากยูทูบกับเพื่อนที่เปิดเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น”

หมูคิดอยู่ตลอดว่าถ้ามีโอกาส เขาก็อยากเปิดร้านอาหารสไตล์นี้บ้าง แต่ไม่ได้วางแผนว่าจะทำเมื่อไหร่

“จุดเปลี่ยนคือช่วงหนึ่งเราต้องกลับบ้านที่ขอนแก่น เพราะคุณพ่อเสีย ต้องกลับไปดูแลคุณแม่ พอกลับบ้านคือเราต้องมองหาอาชีพใหม่ ตอนแรกไปเป็น GM ในร้านขายมอเตอร์ไซค์ท้องถิ่น แต่ผมไม่ถนัดเรื่องตัวเลขเลยจึงหาไอเดียอื่น ไอเดียหนึ่งที่คิดขึ้นมาได้คือเพื่อนๆ ชอบชมเราเวลาเราทำกับข้าว หรือลองเปิดร้านอาหารดีไหม เราก็ขอใช้พื้นที่หน้าร้านมอเตอร์ไซค์นั้นแหละเปิดเป็นร้านรถเข็นไม้เล็กๆ บอกเฮียเจ้าของร้านว่าผมขอเปิดร้านปิ้งไก่ แต่จริงๆ คือร้านอิซากายะ”

หมูใช้วิชาที่ครูพักลักจำมาจากญี่ปุ่นทั้งหมดกับเมนูในร้านนั้น มากกว่าอาหาร ตอนทำเขาก็จะเล่าความรู้เรื่องวัตถุดิบและวิธีการกินให้กับลูกค้าอย่างเอร็ดอร่อย กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ที่ลูกค้าบอกต่อกัน รู้ตัวอีกที ร้านปิ้งไก่รถเข็นไม้ก็จุลูกค้าได้ไม่พอ

ช่วงเปิดร้านแรกๆ หนึ่งในลูกค้าประจำดันเป็นเจ้าของคอมมิวนิตี้มอลแห่งหนึ่งในขอนแก่น เขาติดใจการปรุงและเรื่องเล่าของหมูมากจนชวนไปเปิดสาขาใหม่ที่นั่น ลูกค้าอีกคนบินจากเชียงใหม่มากินก็ติดใจเช่นกัน ไม่นานหลังจากนั้น สาขาที่เชียงใหม่ก็เกิดขึ้น

หมูบอกว่าปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าติดใจน่าจะเป็นรสชาติ

“กรรมวิธีของเราอิงตามญี่ปุ่นก็จริง แต่รสชาติต้องปรับให้เข้าปากคนไทย คนญี่ปุ่นกินเค็มก็จะเค็มสุด ถ้าจืดก็จะจืดเลย แต่คนอีสานติดนัว คำว่านัวคือกลมกล่อม เค็มนำ รสชาติอูมามิ เพราะฉะนั้นร้านปิ้งย่างของเราจึงมีรสชาติที่ไม่ใช่ญี่ปุ่นจ๋า เราต้มซอสเองให้มีความนัวมากกว่า แต่ยังไม่ได้ใส่ความเป็นอีสานลงไปเหมือนจี่เกีย”

2
นัวแบบอีสาน สะอาดแบบญี่ปุ่น

ไอเดียของจี่เกียเกิดขึ้นเพราะความรักในอาหารอีสานและความนัวของมัน

แต่เพราะเติบโตมากับอาหารอีสาน หนึ่งใน pain point ที่หมูอยากแก้คือทัศนคติที่หลายคนมองว่าอาหารอีสานไม่สะอาด

“มันอยู่ขั้วตรงข้ามกับอาหารญี่ปุ่นเลย เราคิดอยากจะทำให้อาหารอีสานขายได้ราคามากขึ้น อยากยกระดับอาหารอีสาน ขั้นตอนแรกจึงคิดถึงการทำอาหารอีสานให้สะอาดก่อน เราเริ่มต้มซอสทาเระ ซึ่งเป็นซอสตั้งต้นสำหรับทุกเมนูโดยใช้ปลาร้าเป็นฐาน มีความนัวของปลาร้าอยู่ แต่ปัญหาของปลาร้าคือหลายคนกินแล้วได้กลิ่นแรงก็เบือนหน้าหนี บางคนติดภาพว่าปลาร้าไม่สะอาด เราอยากลบภาพนั้นให้ได้ก่อน สุดท้ายก็ได้เป็นซอสทาเระปลาร้าที่คนไม่ชอบปลาร้าก็กินได้”

ตั้งต้นจากนั้น แล้วเมนูอื่นในร้านก็ตามมา โดยยึดหลักใช้วัตถุดิบจากในอีสานเป็นหลัก ถึงอย่างนั้นหมูก็ย้ำว่า เมนูในร้านจะไม่ใช่อาหารอีสานหรืออาหารญี่ปุ่นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่จะคือตรงกลางของสองวัฒนธรรมที่สะท้อนผ่านวัตถุดิบและกระบวนการทำอาหาร

เมนู ‘ดุกจี่’ คือตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เพราะได้แรงบันดาลใจมาจากเมนูปลาไหลญี่ปุ่นเสียบไม้ย่าง แต่เปลี่ยนวัตถุดิบเป็นปลาดุกแทน นำไปกำจัดเรื่องกลิ่นที่เคยเป็นจุดด้อยของปลาดุก ผ่านการแร่เนื้อและเบิร์นหนังให้กรอบสไตล์ญี่ปุ่น หรือเมนู ‘ข้าวจี่’ ที่ห่อมาเป็นก้อนสามเหลี่ยมให้ความรู้สึกเหมือนข้าวปั้นญี่ปุ่น กินคู่กับซุปมะเขือของคนอีสานที่ทำให้เนื้อแกงขลุกขลิก ผ่อนรสปลาร้าที่อาจจะแรงไปแล้วใส่ความหวานจากซอสแทน

“เราคิดอะไรก็ได้ภายใต้กรอบของอาหารอีสาน พลิกหน้าตาให้สวยได้ด้วย แต่กินไปก็นึกถึงความเป็นอีสานได้ อาหารที่ดีสำหรับเราคืออาหารที่ประดิษฐ์กำลังพอดี กินไปแล้วต้องอร่อย และรู้สึกว่าเป็นอาหารอีสานยกระดับ แต่ไม่ได้ยกระดับถึงขั้นไฟน์ไดนิง”  

3
มาเด้อกินเข่า

วิเคราะห์ดูแล้ว จี่เกียก็คืออิซากายะที่มีความเป็นอีสานผสมอยู่ หรือที่หลายๆ ร้านใช้คำว่า ‘อีสานกายะ’ 

แต่อีสานกายะในแบบของเขาจะไม่ใช่แค่การขายอาหารอีสานในร้านที่ตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่น เสิร์ฟในถ้วยชามญี่ปุ่น หรือให้พนักงานใส่กิโมนิ 

“เรามองว่าอย่างนั้นมันยังอยู่คนละขั้วอยู่ดี” เขาบอก จี่เกียจึงไม่อยากใช้คำว่าอีสานกายะในการโปรโมตร้าน แรกเริ่มเขาใช้ ‘อีสานทรงญี่ปุ่น’ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น ‘อาหารอีสานสันดานญี่ปุ่น’ ในภายหลัง แล้วยึดหลักนั้นกับทั้งอาหารและงานบริการ

“ในร้านอาหารอีสาน ความเป็นกันเองมันสูงมาก คนชอบคือชอบ คนไม่ชอบอาจจะไม่ชอบเลย เราเลยอยากเทรนการบริการในร้านให้เป็นแบบญี่ปุ่น การบริการแบบญี่ปุ่นคือทำตามหน้าที่ คือไม่ได้คิดถึงทิปหรือความรัก แต่ทำด้วยจิตวิญญาณของผู้ให้บริการ จะเกินคาดเสมอ ถ้าเราไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วเข้าร้านรองเท้า สังเกตว่าเขาจะมาถอดรองเท้าให้เรา หรือร้านอาหารญี่ปุ่น เขาจะมีไม้แขวนเสื้อโค้ตติดตั้งแต่หน้าร้าน เพราะเขาคิดมาละเอียดว่าความต้องการของผู้บริโภคคืออะไร”

ที่ญี่ปุ่น เวลาลูกค้าเข้าร้านเรามักจะได้ยินประโยค อิรัชชัยมาเสะ (ยินดีต้อนรับ) แต่เพราะจี่เกียคือส่วนผสมของสองวัฒนธรรม พนักงานจึงขานประโยคต้อนรับลูกค้าทุกคนเหมือนเดิม แต่ปรับเป็น ‘มาเด้อกินเข่า สวัสดีครับ จี่เกียยินดีต้อนรับครับ’

“สำหรับคนอีสาน การชวนกันกินข้าวเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเมื่อก่อนแผ่นดินแห้งแล้ง อาหารเป็นสิ่งที่หายาก เราไม่รู้หรอกว่าคนที่เดินผ่านกันเขาจะหิวโซหรือเปล่า เวลาคนเดินผ่านบ้านใคร เขาก็จะชวนกันกินข้าวเสมอ” ประโยคนั้นเรียกรอยยิ้มจากเรา

4
อีสานจริตคนเมือง

“ช่วงแรกๆ ต้องปรับตัวหาลูกค้าเยอะมาก เพราะร้านแรกของเราเปิดที่ขอนแก่น แล้วคนขอนแก่นคุ้นชินกับรสชาติความเป็นอีสานอยู่แล้ว ช่วงแรกๆ อาหารจึงถูกวิจารณ์ว่าทำไม่ถึง นัวไม่สุด เพราะเขาติดรสชาติอีสานนั้น” 

หมูเล่าความท้าทายในช่วงแรกๆ ของธุรกิจ

“หน้าที่เราคือเราทำคอนเทนต์อธิบายตัวตนให้มากขึ้น เราคือใคร ตั้งใจทำอะไร ที่รสไม่ได้เข้มข้นแบบนั้นเพราะเราต้องการสื่ออะไร พูดตามตรง อาหารของเราเป็นจริตคนเมืองแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นพอเริ่มมีสื่อไปจับเยอะ กลายเป็นคนกรุงเทพฯ จองตั๋วบินไปกิน กลายเป็นว่าคนกรุงเทพฯ รู้จักร้านเรามากกว่าคนขอนแก่น และคนขอนแก่นก็เพิ่งมาภูมิใจว่ามีร้านเราในยุคหลังๆ นี่เอง ช่วงแรกเขาไม่เก็ตว่าเราทำอะไร แต่เราสามารถทำให้คนที่อยากลองอาหารอีสานไปกินถึงร้านได้ เราตั้งใจแบบนั้นมาตั้งแต่แรก”

ความท้าทายอีกข้อคือเรื่องคน หมูบอกว่าร้านอีสานกายะไม่ได้เหมือนร้านอาหารทั่วไปที่บริการเสิร์ฟอาหารแล้วจบ แต่มันจำเป็นที่จะต้องใช้คนในการสื่อสารเรื่องราวของอาหาร เขาจึงต้องใช้เวลาเทรนพนักงานในร้านอย่างหนักทั้งเรื่องหัวใจของการบริหารและความรู้เรื่องอาหาร เพื่อที่พวกเขาจะไปเล่าให้ลูกค้าฟังได้ต่อ

เราสงสัยว่า อะไรทำให้จี่เกียประสบความสำเร็จจนสามารถเปิดสาขาที่ 2 ในโคราช และสาขาที่ 3 ในกรุงเทพฯ ได้

หมูตอบว่า ความชัดเจนในคอนเซปต์

“เรื่องนี้สำคัญที่สุด เราสื่อสารคอนเซปต์นี้ออกไป ความตั้งใจเราจะต้องไม่เป๋ ไม่ว่าลูกค้าจะคอมเมนต์สารพัด เช่น เรื่องข้าวจี่แข็ง ติดเกรียม ถ้าเรายอมแพ้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วเปลี่ยน คอนเซปต์ของเราก็จะไม่แข็งแรงอีกแล้ว เพราะเราต้องการสื่อว่า จี่ คือการย่างไฟที่คนอีสานกินแบบนี้เมื่อนานมาแล้ว มันจะให้ความหอมมากกว่า เราไม่เคยตอบโต้ลูกค้าเลยนะ แต่ต้องเปลี่ยนวิธีสื่อสารแทนที่จะเปลี่ยนวิธีทำ เพราะเห็นได้ชัดว่าลูกค้ายังไม่เข้าใจแก่นของร้านของเราว่ามันมีคนกินแบบนี้อยู่จริงๆ และมันเป็นรสชาติที่มันหายไป

“ตั้งแต่เปิดจี่เกียมา ร้านนี้สอนอะไรเราเยอะมาก อย่างแรกคือเรื่องธุรกิจและความถนัด เราได้รู้ว่าแต่ละคนก็มีจุดแข็งและสิ่งที่ไม่ถนัดไม่เหมือนกัน เราอาจถนัดครีเอทีฟ แต่ไม่ถนัดเรื่องการเงิน พาร์ตเนอร์ในการทำธุรกิจจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ก่อนหน้านั้นเราต้องรู้ตัวเองก่อนว่าเราถนัดหรือไม่ถนัดอะไร

“อีกอย่างที่จี่เกียสอนคือเรื่องชีวิต เมื่อก่อนเราพยายามเอาตัวเองออกไปจากบ้านด้วยหลายๆ เหตุผล แต่ตอนนี้เรามองว่าในพื้นที่ของเรา เราสามารถทำเงินจากมันได้เหมือนกัน แต่เราอยู่กับมันจริงๆ ได้ยังไง มีน้องหลายคนมาปรึกษาเราว่าอยากทำแบบเราบ้างในพื้นที่ของเขา แต่คำแนะนำของเราคือ ต้องดูว่าเราเปิดแบบนี้ได้จริงไหม คนจะตอบรับมันจริงไหม ลองเปิดเล็กๆ เป็นร้านปลาปิ้งก่อนไหมแล้วให้ความรู้คนไปเรื่อยๆ เหมือนเราที่เปิดจากร้านรถเข็นไม้ก่อน การอยู่จริงๆ กับอยู่ได้ด้วยความฝันมันต่างกัน เราไม่จำเป็นต้องทิ้งความฝัน แต่จะทำยังไงให้ความฝันเป็นจริง เราต้องรู้ว่าเราต้องการอะไรบ้างจนกว่าจะเดินทางไปถึงจุดนั้น”

What I’ve Learned

  • คอนเซปต์ต้องชัดเจน ตกผลึกให้ได้ว่าเราเป็นใคร จุดแข็งคืออะไร
  • คุณภาพอาหารและบริการต้องคงที่
  • ซื่อสัตย์กับผู้บริโภค
  • จากร้านของฝากเมืองกาญจน์ฯ ‘แก้ว Boutique’  ทำยังไงให้กลายเป็นแบรนด์ขนมไทยสุดไวรัล

    สารภาพได้อย่างเต็มปาก ฉันไม่ชอบกินขนมไทย

    เวลานึกถึงขนมไทย ทองหยิบ ทองหยอด ขนมชั้น วุ้นมะพร้าว หม้อแกง ภาพสารพัดขนมที่เคยกินเหล่านี้ล้วนแวบขึ้นมาในหัว ฉันไม่มีอคติกับขนมไทยหรือความเป็นไทยใดๆ หรอก แต่จากประสบการณ์ร้อยทั้งร้อยที่เคยลอง รสชาติมันหวานบาดคอเสียเหลือเกิน

    แต่เมื่อไม่นานมานี้ มีแบรนด์ขนมไทยเจ้าหนึ่งที่เปลี่ยนความรู้สึกต่อขนมไทยของฉันให้ไม่เหมือนเดิม เรื่องเริ่มจากเพื่อนตัวดีซื้อทองม้วนสดกรอบของร้านนี้มาฝาก แค่คำแรกคำเดียวเท่านั้น รู้ตัวอีกที เวลาผ่านบูทของร้านนี้ที่ไหนเป็นอันต้องต่อคิว วันใดที่ร่างกายต้องการความหวาน ก็ยอมสั่งเดลิเวอรีแม้ค่าส่งจะปาไปหลักร้อย

    ‘แก้ว Boutique’ คือแบรนด์แบรนด์นั้น แบรนด์ที่เปลี่ยนภาพจำและทำให้ฉันกลายเป็นแฟนคลับขนมไทยได้ เช่นเดียวกับลูกค้าหลายคนที่ยอมต่อคิวยาวๆ หน้าร้าน เช่นเดียวกับติ๊กต็อกเกอร์หลายแอ็กเคานต์ที่ทำคอนเทนต์ขนมแก้วจนเป็นไวรัล

    ขนมของแก้ว Boutique มีอะไรดี? นอกจากความอร่อย (ที่ถือว่าเป็นเรื่องปัจเจก) คำตอบอาจเป็นความคิดสร้างสรรค์ของเหล่าทายาทเจนฯ สอง พลอย–พิรดา ชัยมงคลานนท์, เพชร–เมธัส ชัยมงคลานนท์, แวน–วิวรรณ ล้อศิริ และ ลูกแก้ว–เจกิตาน์ ชัยมงคลานนท์ ที่เชื่อในศักยภาพของขนมไทยอย่างสุดหัวใจ จึงต่อยอดออกมาเป็นเมนูใหม่ที่ไม่เคยเห็น ออกแบบรสชาติและราคาให้ซื้อกินได้ทุกวัน ที่สำคัญคือใช้กลยุทธ์ออกบูทแบบป๊อปอัพ และการจับมือคอลแล็บกับแบรนด์ F&B อื่นๆ สร้างเมนูสุดปังจน win-win กันทุกฝ่าย

    เหล่านี้แหละคือ 4P ที่พวกเขาบอก แต่รายละเอียดจะเป็นยังไง และนอกจาก 4P ทางธุรกิจแล้ว พวกเขายังมีคุณค่าอะไรที่ยึดถือบ้าง เราขอบุกสาขาใหม่ที่ Central Park แล้วชวนพลอย เพชร และแวนมาเล่าให้คุณฟัง

    PRODUCT
    ของฝากร้านแก้ว

    ใครไปกาญจนบุรีแล้วอยากซื้อของฝากติดไม้ติดมือ มีความเป็นไปได้สูงที่คุณจะได้ยินชื่อ ‘แก้ว’ จากปากคนในท้องที่

    ใช่แล้ว ก่อนที่จะมาเป็นแบรนด์แก้ว Boutique แก้วเคยเป็น (และยังเป็น) ร้านขายของฝากคู่เมืองกาญจนบุรีมากว่า 40 ปี ก่อตั้งโดยคุณพ่อเมธา ชัยมงคลานนท์ โดยมีโปรดักต์แรกที่นำมะขามขึ้นชื่อของเมืองกาญจน์มาทำเป็นมะขามกวนรสเปรี้ยวหวาน ห่อด้วยกระดาษแก้วสีเหลืองทอง เป็นที่มาของการตั้งชื่อร้านว่าแก้ว และของฝากในตำนานนาม ‘มะขามแก้ว’ ที่ได้รับความนิยมในยุคก่อน นอกจากนี้ยังมีทองม้วนกรอบที่กลายเป็นสินค้าส่งออกไปยังอเมริกา จีน และออสเตรเลีย รวมถึงขนมสดอย่างทองม้วนสดไม่มีไส้ และขนมชั้น

    ร้านแก้วเคยเป็นแบบไหนก็ยังเป็นแบบนั้น กระทั่ง 5 ปีก่อนที่ทายาทรุ่น 2 มารับช่วงต่อ

    “ตอนเราเข้ามาร้านยัง traditional มากๆ ลูกค้าหลักคือนักท่องเที่ยวและคณะทัวร์ที่จะมาแวะซื้อของฝาก ช่วงโควิดเมื่อนักท่องเที่ยวบางตา เราจึงมีโอกาสรีโนเวตร้านใหม่ รวมถึงปรับปรุงกระบวนการผลิตใหม่ และปรับจุดขายบางอย่างด้วย“ พลอยเล่าเท้าความ

    “บางอย่างที่ว่าคือขนมสด หน้าร้านเรามีทำขนมสดมานานแล้ว แต่คนอาจจะยังไม่ได้รู้จักเราในมุมนี้ ลูกค้าที่มาหน้าร้านบางคนก็กลัวซื้อไปแล้วเสีย เขาเลยไปซื้อขนมแห้งมากกว่า ซึ่งเรารู้สึกว่าขนมสดของเราดี อร่อย แตกต่างจากเจ้าอื่น แต่เราถูกข้อจำกัดด้วยความเป็นร้านของฝากครอบไว้ เราจึงอยากขยายตลาดขนมสดให้ไปได้ไกลกว่านี้“

    เพราะเป็นร้านของฝาก โลเคชั่นที่ตั้งร้านและเส้นทางการสัญจรของลูกค้าเป็นเรื่องสำคัญมาก ช่วงนั้นมีถนนมอเตอร์เวย์ตัดใหม่ในกาญจนบุรี ทำให้แก้วเลือกขยับขยายจากร้านเดิมไปสร้างร้านใหม่ คอนเซปต์ใหม่ เพื่อเข้าถึงเด็กวัยรุ่นและคนเจนฯ ใหม่มากขึ้น พวกเขาเลือกสร้าง ‘แก้ว Boutique’ เป็นโครงการที่จะสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้ามากกว่าแค่ขายของฝากธรรมดา

    ในเวิ้งของแก้ว Boutique แห่งใหม่มีทั้งร้านขายของฝาก คาเฟ่ ร้านอาหาร ร้านไอศครีม และโซนฟูดคอร์ตที่รองรับลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ครบจบในที่เดียว

    ขนมร้านแก้ว

    หนึ่งในสิ่งที่ถูกส่งต่อมาตั้งแต่คนทำธุรกิจรุ่นก่อนหน้า คือแก้ว Boutique เชื่อว่า การขายขนมสดใหม่จะทำให้แบรนด์สดใหม่

    “เวลาเราขายของ ถ้าเราขายแบบแห้งๆ ร้านก็จะแห้งตาม แต่เมื่อเราขายขนมสด ร้านของเราก็จะสดใหม่ ขนมคือชีวิตของร้าน เพราะฉะนั้นนอกจากขนมของฝาก ร้านของเราจะมีการทำขนมหน้าร้าน ให้ลูกค้าได้เห็นมูฟเมนต์ที่ทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์แบบร้านแก้วจริงๆ” แวนบอก

    แต่ดีไซน์ประสบการณ์ให้ดียังไง ถ้ารสชาติขนมยังไม่ได้มาตรฐานทุกอย่างก็จบ สิ่งที่ทีมงานแก้ว Boutique ให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือวัตถุดิบ เช่น กะทิและมะพร้าวอ่อน หลายร้านใช้กะทิกล่องและมะพร้าวอ่อนแบบฟรีซเพื่อจัดการวัตถุดิบได้ง่าย ทว่าร้านแก้วยังยึดมั่นที่จะใช้กะทิคั้นสดกับมะพร้าวอ่อนสดใหม่ ซึ่งให้กลิ่น รสชาติ และเทกซ์เจอร์ที่โดดเด่น

    “สำหรับเรา ขนมไทยที่มีคุณภาพคือขนมที่กินแล้วรู้เลยว่าวัตถุดิบดี จริงๆ พื้นฐานของขนมมีไม่กี่ตัว คือแป้ง กะทิ น้ำตาล แป้งอาจจะไม่ได้ต่างกันมากในแต่ละร้าน น้ำตาลบางชนิดอาจจะเพิ่มความหอมมากขึ้น แต่วัตถุดิบที่เป็นคีย์หลักของเราคือกะทิ เพชรจะพูดบ่อยๆ ว่าถ้าเทียบกับครัวซองต์ กะทิดีๆ ก็เหมือนเนยดีๆ นั่นแหละ มันทำให้ขนมมีอโรม่า มีเทกซ์เจอร์ ความมัน ความนัวที่แตกต่าง” พลอยบอก

    ขนมแก้วรุ่น 2

    เมื่ออยากเจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ ขนมชั้นกับทองม้วนสดแสนธรรมดาก็อาจจะไม่ตอบโจทย์ 

    ยุคนี้ฟังก์ชั่นขนมที่คนรุ่นใหม่จะชอบไม่ใช่แค่รสชาติดี แต่ต้องทำคอนเทนต์ได้ด้วย

    “พลอยคิดถึงขนมที่เยิ้มๆ ถ่ายรูปสวยและทำคอนเทนต์ได้ ช่วงแรกเราเริ่มจากทำคอนเทนต์ขนมชั้นแซลมอนก่อน เราไปถ่ายกระบวนการผลิตเพื่อให้คนจำได้ว่านี่คือขนมชั้นของเรา หลังจากปล่อยไป ช่วงนั้นยอดขายออนไลน์เพิ่มขึ้นมาเป็น 2 เท่า” พลอยบอกเล่า

    “นั่นคือสัญญาณที่ทำให้เรารู้ว่า ขนมไทยไม่ต้องเป็นแค่ของฝากก็ได้นี่ มันสามารถเป็น everyday eat ได้เหมือนขนมปังที่เรากินได้ทุกวัน ซื้อได้สะดวก หน้าตาน่ารัก และไม่โบราณ เพราะหลายคนมักมองขนมไทยว่าเป็นขนมเก่าแก่ จะกินก็เขิน ซึ่งจริงๆ มันอร่อยและไม่ได้ทำง่าย ต้นทุนก็ไม่ได้ต่างจากขนมฝรั่งเลย”

    ภารกิจของการสร้างภาพจำใหม่ให้ขนมไทยเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่นั้น ปัจจุบันขนมของแก้ว Boutique แบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ คือขนมที่ทำเสร็จแล้ว ลูกค้าซื้อกลับบ้านได้เลยจำพวกขนมชั้น ทองม้วนกรอบ โรลมะพร้าว วุ้นมะร้าว กับอีกแบบคือขนมที่ทำสดใหม่หน้าร้าน อย่างทองม้วนสดและทองม้วนสดกรอบ 

    นอกจากวัตถุดิบที่ให้ความสำคัญ ขนมของแก้ว Boutique จะมีเช็กลิสต์ที่ขาดไปไม่ได้อีก 3 ข้อ หนึ่ง–หน้าตาขนมที่น่ารักจนเรียกได้เต็มปากว่า ‘น้อง’ สอง–รสชาติที่ไม่หวานเกินไปทำให้กินได้ทุกวัน และสาม–หลายเมนูมีการใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไป

    “เราใส่ความคิดสร้างสรรค์ผ่านการสร้างรสชาติใหม่ๆ ซึ่งมันจะทำให้ขนมของเรามีเอกลักษณ์ อย่างทองม้วนสดของเรา นอกจากเราจะมีทองม้วนสดดั้งเดิม เราก็ขยับไปทำทองม้วนสดใส่ไส้ ทองม้วนสดกรอบที่กรอบนอกนุ่มใน และมีเพิ่มเติมมากขึ้นเรื่อยๆ” พลอยบอก

    แท็กไลน์ Original, Not Ordinary ก็ช่วยขับการเป็นแบรนด์ขนมแห่งความคิดสร้างสรรค์ออกมาให้ชัดมากขึ้นไปอีก หากคุณสังเกต แก้ว Boutique จะไม่ได้ทำเมนูที่วิจิตรพิสดารที่คนกินเข้าไปไม่ถึง หลายเมนูก็เป็นขนมไทยที่คนคุ้นเคยนี่แหละ แต่ทวิสต์บางอย่างลงไปให้รู้สึกเซอร์ไพรส์ “เช่น ขนมชั้นของเรามีขนมชั้นข้าวเหนียวดำ ถ้าได้ลองชิมก็จะรู้สึกเหมือนกินข้าวหลามอยู่ มันคือ Thai on Thai ที่คนคุ้นเคยกันดีแต่ทำให้สนุกขึ้น” แวนยกตัวอย่าง

    แก้ว Boutique X…

    ไม่ใช่แค่หยิบวัตถุดิบขนมไทยมามิกซ์ได้อย่างสนุกสนาน แต่แก้ว Boutique ยังขยันไปจับมือกับแบรนด์ F&B แบรนด์อื่นๆ เพื่อสร้างเมนูใหม่ออกมา ที่ผ่านมาคือแบรนด์ไอศครีมขวัญใจใครหลายคนอย่าง Montagne, แบรนด์ทาร์ตไข่สุดฮิต YOLK, แบรนด์ชาดังอย่างชาตรามือ และร้านอาหารอิตาเลียน Ñam Ñam

    เกณฑ์ในการเลือกคอลแล็บนั้นเรียบง่าย เพชรบอกว่า “ลูกค้าของเราเป็นคนไทยเจนฯ Y ถึงเจนฯ Z เราก็พยายามมองหาแบรนด์ที่มีกลุ่มเป้าหมายคล้ายกัน บางแบรนด์เป็นแบรนด์ที่เราเป็นแฟนคลับ กินแล้วรู้เลยว่าเขาทำด้วยวัตถุดิบที่ดี เราก็อยากใช้การคอลแล็บเป็นโมเดลในการแชร์วัตถุดิบและสูตรให้แก่กัน เรานำวัตถุดิบเขามาพัฒนาเป็นขนมตัวใหม่ของเรา เขาก็ทำวัตถุดิบบางอย่างของเราไปทำขนมตัวใหม่ของเขา เป็นการแลกที่ win-win กันทั้งคู่”

    กับแบรนด์ Montagne ไอศครีมสไตล์ฝรั่งเศส ทีมแก้วก็นำช็อกโกแลตพราลินีแสนกลมกล่อมมาทำเป็นเมนูทองม้วนสดกรอบช็อกโกแลตพราลินี่มะพร้าวอ่อน ส่วน Montagne ออกไอติมปังปิ้งสังขยาใบเตยและไอติมงาดำมะพร้าวอ่อนแบบไทยๆ สร้างสีสันให้กับตู้ไอติมได้ช่วงใหญ่ 

    ขณะที่ YOLK หยิบสังขยาใบเตยในขนมชั้นไปทำทาร์ตไข่สังขยาใบเตยน้ำตาลโตนด ส่วนแก้ว Boutique ก็นำทาร์ตไข่อันโด่งดังมาเนรมิตเป็นเมนูทองม้วนสดกรอบทาร์ตไข่วนิลาคาราเมลมะพร้าวอ่อนที่ขายดีเทน้ำเทท่า  

    นี่ทำให้เราเห็นว่าการคอลแล็บไม่ใช่แค่เทรนด์ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่เป็นกลยุทธ์หนึ่งในการทำธุรกิจที่ทรงพลังหากจับคู่ได้อย่างเหมาะสม และต่อยอดความครีเอทีฟของแบรนด์ออกไปได้อย่างไม่รู้จบ

    PRICE

    ภาพจำขนมไทยของใครหลายคนคือขนมที่มีราคาถูก เราจึงสงสัยว่า ในฐานะขนมไทยที่รันโดยคนรุ่นใหม่ พวกเขามีวิธีการตั้งราคายังไง

    ทีมตอบว่า แม้จะเป็นขนมไทย แต่โลเคชั่นหลักที่แก้วไปตั้งร้านขายคือในห้างสรรพสินค้าและคอมมิวนิตี้มอลล์ “เราอยากตั้งราคากลางๆ ที่คนยังเข้าถึงได้ง่าย กินได้ทุกวัน เราเริ่มต้นที่ 50 บาท ไปจนถึงหลักร้อย อย่างทองม้วนสดกรอบจะอยู่ที่ร้อยกว่าๆ เป็นราคาที่ค่อนข้างซื้อง่ายขายง่ายสำหรับกลุ่มเป้าหมาย” พลอยอธิบาย

    “หากเทียบกันในตลาดขนมไทย แก้ว Boutique ถือว่าเป็นแบรนด์ขนมไทยโมเดิร์นที่ไม่ได้เหมือนใคร มีจุดยืนค่อนข้างมั่นคง เพราะเราไม่ได้ตามเทรนด์แต่เน้นทำตามใจตัวเอง ทำตามความชอบและสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้ทำ ถามว่าในตลาดนี้แข่งขันยากไหม พลอยว่ามันยากทุกแบรนด์แหละ เพราะวันหนึ่งคนจะกินขนมหวานสักกี่เจ้ากัน แต่อย่างน้อย เราก็อยากเป็น top-of-mind ที่คนนึกถึงขนมไทยจะนึกถึงเรา”

    PLACE

    เพราะเป็นขนมที่ทำสดใหม่ แก้ว Boutique จึงยึดมั่นกับการขายผ่านหน้าร้าน

    แต่กลุ่มลูกค้าร้านแก้วที่กาญจนบุรีเป็นนักท่องเที่ยวซึ่งจะแวะเวียนมาวันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น ทีมทายาทรุ่นสองมองเห็นว่า นี่แหละคือโอกาสที่จะขยับขยายไปเปิดสาขาใหม่ เพราะลูกค้ามาจากกรุงเทพฯ เยอะ พวกเขาจึงมองเมืองกรุงเป็นโลเคชั่นในใจ

    “รุ่นคุณพ่อเขาก็เตือนแหละว่าลงมาทำไม ไม่มีใครรู้จักเราหรอก แต่เราก็ดื้อ” พลอยบอก

    แต่แทนที่จะขยายสาขามาตั้งถาวร ทีมแก้ว Boutique เลือกที่จะขยายแบบ ‘ป๊อปอัพ’ มากกว่า จนถึงวันที่บทความนี้เผยแพร่ พวกเขาเปิดป๊อปอัพมาได้ 5 สาขาแล้ว เหตุผลหลักคืออยากลองบุกตลาดกรุงเทพฯ ดูโดยไม่ต้องลงทุนเยอะมากเกินไป อีกเหตุผลคือสามารถควบคุมคุณภาพวัตถุดิบจากครัวกลางที่กาญจนบุรีได้

    “ตอนแรกๆ เรามองโลเคชั่นของป๊อปอัพไว้หลายที่ โดยเริ่มจากเป็นนักท่องเที่ยวเยอะอย่างสยามพารากอนก่อน หลังจากนั้นเราเริ่มสังเกตได้ว่าลูกค้าของเราคือกลุ่มที่เป็นพนักงานออฟฟิศคนไทยมากกว่า การขยายสาขาหลังจากนั้นจึงเลือกสถานที่ที่ใกล้ออฟฟิศขึ้น ถึงจะอยู่ในห้างที่เดินทางง่ายแต่อาจจะไม่ได้เน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวเยอะเหมือนตอนแรก อีกอย่างที่ดูคือแบรนดิ้งของห้างด้วย เราไม่ได้มองว่าขนมของเราเป็นขนมไทยที่หาได้ทั่วไป จึงอาจจะไม่ได้ไปออกอีเวนต์ที่มันไทยมากๆ แต่จะหาห้างที่ positioning ไปกับเรา” พลอยเล่าเหตุผล

    PROMOTION

    เมื่อเราถามเรื่องการโปรโมต คำแรกที่ออกมาจากปากของทีมแก้วบูทีคคือ ‘ความจริงใจ’

    “พลอยว่าทุกคนในทีมจริงใจกับโปรดักต์และลูกค้ามากๆ เพราะฉะนั้นคอนเทนต์ของเราส่วนมากจึงเป็นออร์แกนิกหมด เราทั้งทำคอนเทนต์เอง มีการพาไปถ่ายหน้าเตาที่ค่อนข้างเรียล ไม่ได้มีโปรดักชั่นที่ยิ่งใหญ่มากมายด้วยข้อจำกัดของเราด้วย ยังมีคอนเทนต์ที่ลูกค้า หรือพี่ๆ KOL ที่เป็นลูกค้าของเราแท็กมาให้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราขอบคุณมากๆ” 

    นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่าวิธีการถ่ายรูป ภาษาที่ใช้ในแคปชั่น และคำพูดที่ใช้ในการตอบคอมเมนต์ของแก้ว Boutique ก็มีความเป็นวัยรุ่น ล้อไปกับทิศทางของแบรนด์ที่อยากเปลี่ยนภาพลักษณ์ขนมไทยเก่าแก่ให้เข้าถึงง่าย ในบางโอกาสพิเศษเช่นช่วงเปิดสาขาใหม่ พวกเขายังทำของกระจุกกระจิกอย่างตุ๊กตาขนมไทยออกมาแจก เพื่อตอบแทนแฟนคลับอีกด้วย

    PEOPLE

    P ที่ 5 ของแก้ว Boutique คือ People

    “ตั้งแต่ระดับผู้บริหาร เราต้องมีคนที่เชื่อใจกันได้ ทำงานส่งเสริมกันไปจนถึงทีมปฏิบัติการที่สนับสนุนการทำงานของเรา มีความเชื่อเหมือนกัน เชื่อว่าขนมของเรามีคุณภาพจริงๆ และแบรนด์ของเราควรค่าแก่การเป็นที่รู้จัก ถ้าไม่ได้ทำงานกับคนที่มีความเชื่อแบบเดียวกัน เราคงมาถึงทุกวันนี้ไม่ได้” แวนบอก ก่อนที่พลอยจะเสริมต่อ

    “พนักงานของเราอยู่กับแบรนด์มานานตั้งแต่รุ่นก่อนหน้า ตอนนี้เขาก็ปรับมาทำขนมแบบใหม่ ซึ่งถ้าเขาไม่ได้เชื่อในมัน ไม่ได้เข้าใจในจุดมุ่งหมายที่เราจะไป เขาก็จะไม่ได้อินกับสิ่งที่เขาทำอยู่ แต่พอเขาอิน เมนูทุกอย่างก็ออกมาราบรื่น เราโชคดีที่ทีมของเราเป็นคนที่พร้อมลุย พร้อมจะไปกับเราเสมอ”

    “การได้ต่อยอดแบรนด์แก้วเป็นแก้ว Boutique เป็นความภาคภูมิใจของเจนฯ เรานะ” เพชรสมทบ 

    “เคยมีคนเดินมาบอกว่าเราเป็นความภาคภูมิใจของกาญจนบุรี (Kanchanaburi pride) ทำให้ขนมไทยที่ไม่เคยถูกให้ค่ามากเท่ากับสินค้าอื่นๆ ได้เติบโต ดูสนุกและแปลกใหม่ คำพูดเหล่านี้แหละคือแก่นหลักที่ทำให้เราอยากทำแบรนด์แก้วบูทีคต่อไปเรื่อยๆ”

    เปิดจักรวาลธี่หยด เมื่อความหลอนคืบคลานสู่โลกธุรกิจ ปลุกกระแสหนังไทยไปยันบ้านผีสิง

    ถ้าพูดถึงจักรวาลเรื่องผีที่หลอกหลอนที่สุดในตอนนี้คงหนีไม่พ้น ‘ธี่หยด’ เรื่องสยองขวัญที่โด่งดังจากกระทู้พันทิป สู่เรื่องเล่าใน The Ghost Radio ก่อนจะกลายเป็นภาพยนตร์ไตรภาค ที่ภาค 3 เพิ่งเข้าโรงให้ได้ชมกันเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา

    ธี่หยดว่าด้วยเรื่องราวของผีชุดดำที่มาพร้อมกับเสียงปริศนาว่า ‘ธี่หยด’ พร้อมสะกดผู้คนในหมู่บ้านห่างไกลในจังหวัดกาญจนบุรีให้เจอกับจุดจบอันน่าสยดสยอง และความหลอนก็มาเคาะประตูบ้านของ ‘ยักษ์’ ทหารมือดีที่เพิ่งปลดประจำการ หลังจากที่เขาได้กลับบ้านเกิดก็พบว่า ‘แย้ม’ น้องสาว เริ่มมีอาการแปลกๆ เหมือนโดนผีสิงหลังจากที่เจอกับผีสาวชุดดำ ทำให้ยักษ์ต้องหาทางรับมือกับความสยองที่คลืบคลานเข้ามาสู่ครอบครัวของเขา

    ความน่ากลัวของธี่หยดยังคืบคลานเข้ามาสู่โลกธุรกิจ ที่หยิบเรื่องเล่ามาต่อยอดในแง่มุมมองต่างๆ และสร้างมูลค่ามหาศาล จนเรียกได้ว่าเป็นพล็อตที่ปลุกกระแสธุรกิจแบบผีๆ ในไทยให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เราจึงขอรวบรวมความกล้า พาไปล่าท้าผีที่ซ่อนอยู่ในโมเดลธุรกิจของธี่หยด ตั้งแต่จุดเริ่มต้น ไปจนถึงจุดพีคที่กลายเป็นกระแสไม่หยุดหย่อน และสะท้อนให้เห็นว่าเรื่องราวผีๆ ของไทยก็ขยายจักรวาลไปไกลถึงต่างประเทศได้

    1. #จากเรื่องเล่ากลายมาเป็นนิยายสุดหลอน

    ‘ธี่หยด’ เป็นเรื่องสยองขวัญที่ ‘กิตติศักดิ์ กิตติวิรยานนท์’ ได้รับฟังมาจากคุณแม่ของตนอีกทีหนึ่ง และนำมาโพสต์ลงกระทู้พันทิปเมื่อปี 2558 ซึ่งช่วงนั้นถือว่าเป็นยุครุ่งเรืองของกระทู้พันทิปที่มีคนชอบมาแชร์เรื่องราวต่างๆ จนกลายเป็นคอมมิวนิตี้ขนาดย่อม ทำให้หลังจากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ไปก็มีคอมเมนต์ปักหมุดรออ่านกว่า 2,273 คอมเมนต์ และขึ้นแท่นเป็นกระทู้แนะนำ

    ก่อนที่ในปี 2560 จะถูกนำไปตีพิมพ์เป็นนวนิยายในชื่อ ‘ธี่หยด…แว่วเสียงครวญคลั่ง’ โดยกิตติศักดิ์เป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องนี้ด้วยตัวเองผ่านนามปากกา ‘กฤตานนท์’  ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากจนตีพิมพ์ซ้ำถึง 5 ครั้ง หลังจากนั้นก็มีนวนิยายภาคต่อตามมาในชื่อ ‘ธี่หยด…สิ้นเสียงครวญคลั่ง’

    ถึงแม้เรื่องราวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงจะจบลงในเล่มนี้ แต่ผู้เขียนก็ได้หยิบคาแร็กเตอร์สุดห้าวของยักษ์ที่หลายคนอ่านแล้วหลงรัก มาผสมกับความเชื่อเรื่องผีของคนไทย เพื่อแต่งเติมเป็นเรื่องราวใหม่ในจักรวาลธี่หยดเพิ่มถึง 5 เรื่อง ได้แก่ สมิงเขาขวาง, กระสือยายเฟื้อง, อาถรรพ์บ้านไร่ และหญิงสาวชุดสีแดง

    2. #สู่หนังผีที่ทำรายได้ทะลุร้อยล้านเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์หนังไทย

    แรกเริ่มเดิมทีกระแสของเรื่องธี่หยด จะถูกเล่าผ่านตัวหนังสือและเป็นที่พูดถึงในหมู่นักอ่านเสียส่วนใหญ่ ก่อนที่เรื่องนี้จะกลับมาถูกพูดถึงอีกครั้งและกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น หลังจากที่กิตติศักดิ์ ผู้เป็นเจ้าของเรื่องได้โทรไปเล่าในรายการ The Ghost Radio เมื่อปี 2566 และมียอดวิวบนยูทูบถึง 20 ล้านวิว

    ด้วยความนิยมถล่มถลาย ทำให้ในปีนั้นเองธี่หยดกลายเป็นเรื่องเล่าเรื่องแรกใน The Ghost Radio ที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ผ่านการร่วมมือกันผลิตระหว่าง M Studio และช่อง 3 จนสร้างรายได้ทั่วประเทศกว่า 500 ล้านบาท รวมถึงยังทำสถิติใหม่ให้วงการภาพยนตร์ไทย ไม่ว่าจะเป็นสถิติการเปิดตัวสูงสุดในปี 2566 ทำรายได้ทั่วประเทศ 39 ล้านบาทใน 1 วัน เป็นภาพยนตร์ไทยที่ทำเงินร้อยล้านไวที่สุดแห่งปี ภายใน 3 วัน และภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ฉายในระบบ IMAX DMR โดยมียอดคนดูเปิดตัวสูงกว่าหนังฮอลลีวูดทุกเรื่องที่เข้าฉายในปี 2566 ถ้าจะบอกว่าธี่หยดถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนกลับมาดูหนังไทยก็คงไม่ผิดนัก เพราะปีนั้นถือเป็นปีแรกที่จำนวนคนดูภาพยนตร์ไทยมีสัดส่วนถึง 55% ซึ่งมากกว่าคนดูภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่มีเพียง 45%

    ความนิยมของธี่หยดไม่ได้หยุดอยู่แค่ในไทย แต่ได้รับความสนใจไปทั่วโลก โดยถูกนำไปฉายถึง 20 ประเทศ และเป็นภาพยนตร์ไทยที่มีรายได้สูงสุดในแต่ละประเทศที่ไปฉาย เช่น กัมพูชา เวียดนาม สิงคโปร์ ไต้หวัน ซึ่งรายได้รวมกันมากกว่า 100 ล้าน

    ก่อนที่ในปี 2567 จะสร้างภาคต่ออย่างธี่หยด 2 มาทุบสถิติใหม่กลายเป็นหนังที่ทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาทเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์หนังไทย และหลังจบรอบฉายโกยรายได้ไปถึง 730 ล้านบาท ชนะภาคแรกอย่างขาดลอย รวมถึงยังขายลิขสิทธิ์ไปกว่า 30 ประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในอาเซียน อเมริกา ยุโรป และออสเตรเลีย ถือเป็นหนังผีไทยอันดับที่ 3 ที่มีรายได้สูงที่สุด เป็นรองแค่สัปเหร่อ และพี่มาก..พระโขนง ที่มีรายได้ทะลุ 1,000 ล้านบาทเท่านั้น

    ในปี 2568 นี้เดินทางมาสู่ธี่หยด 3 ซึ่งหลังจากเข้าโรงภาพยนตร์ได้เพียง 1 สัปดาห์ก็สามารถสร้างรายได้ทะลุ 300 ล้านบาทไปเป็นที่เรียบร้อย และเป็นที่น่าติดตามต่อว่าหลังจบการฉายจะทุบสถิติภาคก่อนๆ ได้หรือไม่ รวมถึงหลังจากนี้จะมีการหยิบเรื่องราวในนิยายมาสร้างภาคต่ออีกหรือไม่

    3. #ปลุกกระแสบ้านผีสิงไทยให้ดังไกลไปถึงสิงคโปร์

    เรื่องราวของธี่หยุดถูกหยิบมาเป็นส่วนหนึ่งในงาน Thai Content Expo 2025 หรือ TCX ที่จัดขึ้นเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา ในโซน Horror House บ้านผีสุดหลอน โดยเปิดให้ผู้คนได้มาสวมบทเอาตัวรอดจากผีชุดดำ ผ่านเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง ที่หลายคนรีวิวในโซเชียลว่าน่ากลัวและสมจริงมาก

    ก่อนที่จะขยายการจัดงานให้ยิ่งใหญ่มากขึ้นผ่านการสร้าง ‘บ้านผีสิงธี่หยด’ ในศูนย์การค้าซีคอน บางแค ฮอลล์ โดยเนรมิตฉากไฮไลต์จากภาพยนตร์มาถ่ายทอดเป็นประสบการณ์สยองขวัญสมจริงให้ผู้ชมได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด เช่น ศาลธี่หยดและต้นไทรยักษ์, บ้านของยักษ์และครอบครัว, ห้องทำพิธีกรรม และดงโขมด

    พร้อมสร้างปรากฏการณ์เป็นหนังผีไทยเรื่องแรก ที่ถูกนำไปเป็นบ้านผีสิงในเทศกาล Halloween Horror Nights 13 ซึ่งถือเป็นงานฮาโลวีนที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และยังจัดอยู่ในในธีมพาร์กระดับโลกอย่าง Universal Studios สิงคโปร์ โดยยกกลิ่นอายและเรื่องราวจากฉากสำคัญถึง 8 ฉากในหนังธี่หยด ภาค 1 และ 2 มาถ่ายทอดอย่างสมจริงให้แฟนๆ ได้มาล่าท้าผีทดสอบความหลอนกันได้เต็มที่

    จักรวาลธี่หยดถือเป็นตัวอย่างของการรู้จักต่อยอดธุรกิจที่หยิบเรื่องเล่ามาดัดแปลงการนำเสนอเป็นรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่นวนิยาย โทรไปเล่าเรื่องในรายการ The Ghost Radio สู่ภาพยนตร์ที่ครองใจผู้ชมหลายคน ไปจนถึงการปลุกกระแสบ้านผีสิง และเป็นอีกเครื่อง​พิสูจน์ว่าความเชื่อ วัฒนธรรม และการเล่าเรื่องของไทยก็กลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์บนเวทีโลกได้เช่นกัน

    ที่มา :

    7 บทเรียนการทำธุรกิจแฟชั่นยั่งยืนของ SHE KNOWS ในวันที่รู้สึกว่ามาถูกทาง

    หลายคนอาจรู้จัก SHE KNOWS ในฐานะหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นผู้หญิงรุ่นบุกเบิกของไทยที่กล้าออกเสื้อผ้าเกือบ 20 ไซส์ เพื่อให้ผู้หญิงทุกคนได้ใส่เสื้อผ้าที่เหมาะกับตัวเอง และยังถูกพูดถึงในฐานะแบรนด์แฟชั่นยั่งยืนรุ่นแรกๆ ที่ทำให้คำว่า sustainable fashion เริ่มเป็นที่คุ้นหูในบ้านเรา 

    เวลาผ่านไปกว่า 7 ปี ภาพของ SHE KNOWS ก็เริ่มเปลี่ยนไป เราได้เห็นการเปิดตัว Willow Bag กระเป๋าที่ทั้งคุณภาพดี ดีไซน์สวย และราคาจับต้องได้ จนกลายเป็นสินค้าที่ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น รวมถึงการเล่าเรื่องราวเบื้องหลังผ่านคอนเทนต์ที่ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม

    ว่ากันว่าการทำธุรกิจไม่เคยง่าย แต่ถ้าเป็นธุรกิจแฟชั่นที่ยังต้องยั่งยืนด้วยแล้ว ยิ่งยากทวีคูณ ปีนี้ SHE KNOWS เหมือนกำลังยืนอยู่ในจังหวะสำคัญ เปรียบเหมือนผู้หญิงวัยสามสิบที่มั่นใจ และรู้ดีว่าเธออยากใช้ชีวิตแบบไหน

    จากแบรนด์เสื้อผ้า วันนี้ SHE KNOWS กำลังขยับขยายไปสู่แบรนด์ไลฟ์สไตล์มากขึ้น มีโปรเจกต์ใหม่ๆ ที่รอให้ทุกคนตื่นเต้นไปด้วยกัน โดยคอนเซปต์ที่เคยเป็น greener fashion ได้ต่อยอดจนกลายมาเป็นมิชชั่นใหม่อย่าง Made Better For People and Planet

    Made Better หมายถึงการทำเสื้อผ้าและของใช้ที่ใส่ได้ทุกวัน รายละเอียดสวย งานเนี้ยบ ใช้งานได้จริง และต้องผลิตอย่างยั่งยืน

    For Planet คือการลดผลกระทบเชิงลบต่อโลกให้ได้มากที่สุด

    For People คือการสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับลูกค้าและชุมชนช่างไทยที่อยู่เบื้องหลังการผลิต

    SHE KNOWS ยังมีเป้าหมายระยะยาวอย่างการเป็นแบรนด์ระดับนานาชาติ และเดินหน้าสู่ circular fashion ที่คิดเรื่องการรีไซเคิลตั้งแต่ขั้นตอนออกแบบไปจนถึงอนาคตที่อยากให้ลูกค้าสามารถส่งสินค้ากลับมาเพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกต้อง

    ทั้งหมดนี้เป็นความตั้งใจของผู้ก่อตั้งทั้งสามคนอย่าง เซน–ธัญญรัตน์ ตรีสุรมงคลโชติ Marketing Director & Co-founder, ปันปัน–ปานไพลิน พิพัฒนสกุล Creative Director & Co-founder และ Operations Director & Co-founder อย่าง Gordon Daniel Ovens 

    และในจุดเปลี่ยนสำคัญครั้งนี้ เราจึงชวนเซนและปันมาถอดบทเรียน 7 ข้อ ถึงความยาก ความเหนื่อย ความท้าทาย บทเรียน และความสุขที่ซ่อนอยู่ตลอดเส้นทางของแบรนด์แฟชั่นยั่งยืนสัญชาติไทยแบรนด์นี้

    1. มองลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และคิดแบบ Global Customer

    เซนและปันเล่าว่าหลักในการคิดผลิตสินค้าขึ้นมาในแต่ละครั้งเป็นการมองสินค้าชิ้นหนึ่งๆ ด้วยสายตาของการเป็น ‘customer’ หรือลูกค้า  

    “เราไม่ได้มองแค่ลูกค้าไทยด้วยนะ เพราะทุกวันนี้คนซื้อของได้จากทั่วโลก มีทั้งของจีน เวียดนาม อิตาลี ออสเตรเลีย เราเลยต้องคิดแบบ global customer ไปเลยว่าในฐานะลูกค้าทั่วโลก ราคานี้ คุณภาพนี้ เขาจะซื้อไหม ถ้าไม่ซื้อเพราะอะไรเหรอ แพงไป วัสดุไม่ดี ดีไซน์ไม่ได้ หรือถูกเกินไปจนไม่มั่นใจในสินค้า นี่คือคำถามที่เราจะถามตัวเองตลอดเวลา” เซนว่าอย่างนั้น

    อีกคำถามหนึ่งที่ปันบอกว่าพวกเธอมักจะถามกันบ่อยๆ คือสินค้าชิ้นนี้ตอบโจทย์อะไร เธอยังยกตัวอย่างกระเป๋า Willow Bag ที่เกิดจากความต้องการกระเป๋าที่ตอบโจทย์ชีวิตประจำวัน ไม่ติดลุคออฟฟิศมากเกินไป และยังดูแฟชั่นอยู่ จนได้เป็นกระเป๋าที่มีช่องหลากหลายให้เก็บของ มีขนาดที่พอเหมาะพอดีกับแล็ปท็อป แต่รูปลักษณ์ดูดีชนิดที่จะสะพายไปงานแต่งงานก็ยังได้

    “เราตั้งคำถามแบบนี้กับทุกโปรดักต์ แต่มันไม่มีคำถามตายตัวสำหรับทุกไอเทมนะ แต่ละชิ้นเราจะหาคำถามของมันเองว่า pain point ที่ลูกค้าเจอคืออะไร และเราจะแก้ยังไง นี่คือวิธีที่เราทำงานกับโปรดักต์ทุกตัว”

    2. รสนิยมเป็นตัวนำ ผสมผสานกับเทรนด์อีกนิดๆ หน่อยๆ

    หลายครั้งสินค้าชิ้นหนึ่งๆ ได้ไอเดียจากความต้องการของพวกเธอเอง เพราะหากตัวเธอเองที่เป็นหนึ่งในพลเมืองไทยหรือโลกต้องการอะไร ก็มีความเป็นไปได้ที่ลูกค้าอาจจะมองหาสิ่งนั้น หรือจะเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือความต้องการของเธออาจจะเป็นส่วนหนึ่งของเทรนด์แฟชั่นหรือเทรนด์โลกก็ได้ 

    ถึงอย่างนั้น สิ่งสำคัญมากกว่าเทรนด์ ‘รสนิยม’ ของเจ้าของแบรนด์ต่างหากที่จะเป็นตัวกำหนดแนวทางสินค้า

    “เมื่อก่อนเราใช้คำว่า ‘เทรนด์’ เยอะมาก แต่พอทำไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเห็นว่ารสนิยมของเราต่างหากที่สำคัญ เราโตขึ้น ตัวตนของแบรนด์ก็โตไปตามวัยของเรา ตอนเริ่ม SHE KNOWS เราอายุ 28-29 ตอนนี้เข้าเลขสาม เราก็รู้แล้วว่าเราเป็นคนแบบไหน ใส่เสื้อผ้าแบบไหน มันเลยกลายเป็นว่าโปรดักต์ส่วนใหญ่สะท้อนรสนิยมของเราเอง เทรนด์อาจเข้ามาบ้าง 20-30% เพื่อเพิ่มความสนุก แต่ไม่ใช่ทั้งหมด”

    แรงบันดาลใจแต่ละคอลเลกชั่นยังเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสิ่ง เช่น แค่เห็นว่ารูปยุค ’90s มีโทนสีที่สวยมาก พวกเธอก็นำมาพัฒนาต่อเป็นคอนเซปต์ได้ “ในแต่ละรุ่น อาจจะมีสีคลาสสิกอย่างดำ ครีม แต่ก็เติมสีอื่นๆ เข้าไปได้อีกนิดหน่อย หรือคิดเป็นสัก 30% ที่มาจากเทรนด์ ที่เหลือคือรสนิยมและความต้องการจริงๆ ของเรา”

    อีกตัวชี้วัดที่บอกได้ว่ารสนิยมของพวกเธอนั้นไปได้รอดหรือไม่คือการวิเคราะห์สต็อกสินค้าจากสถิติการสั่งซื้อ ปันบอกว่า “เราเป็นธุรกิจเล็ก เราไม่กล้าผลิตทีละพันชิ้น เราจะค่อยๆ ผลิตทีละน้อย แล้วดูตัวเลขตลอดว่าขายได้จริงไหม ถ้าเวิร์กก็ค่อยสั่งเพิ่ม วิธีนี้ทำให้เราไม่เจอปัญหาผลิตเกินตัว และไม่เกิดขยะด้วย”

    3. รู้จักบริหารพอร์ตสินค้า เพราะสิ่งที่ต้องแลกคือกำไรที่อาจน้อยกว่า 

    หลายคนที่อยากกระโดดเข้ามาทำธุรกิจแฟชั่นยั่งยืนอาจมีคำถามที่สงสัยว่าอะไรบ้างที่ต้องแลก สำหรับเซน เธอมองว่าคือ ‘กำไร’ ที่ SHE KNOWS ไม่สามารถตั้งราคาสูงเช่นเดียวกับแบรนด์ต่างประเทศทำได้ แม้ต้นทุนทั้งวัสดุและค่าแรงจะสูงลิบ 

    แทนที่จะใช้สูตร traditional mark-up มาปรับใช้กับ SHE KNOWS พวกเธอต้องเน้นการตั้งราคาให้เหมาะสมกับตลาดไทยที่เป็นตลาดหลัก แต่ไม่ใช่แค่กำไรที่ลดลง ยังรวมถึงการทุ่มเวลาและพลังในการคิดหาทางออกที่เหมาะสมที่สุด 

    เซนอธิบายว่า การจัดพอร์ตสินค้าให้หลากหลายจึงเป็นสิ่งจำเป็น พวกเธอต้องบาลานซ์ให้ได้ระหว่างสินค้าที่ทำเงิน กับสินค้าที่ยืนยันจะทำเพื่อความยั่งยืน แม้ลูกค้าจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดีกับสิ่งแวดล้อม 

    “เรามองว่ามันคือความรับผิดชอบและหน้าที่ของเรา ถ้าเลือกเส้นทางนี้ก็ต้องยอมรับว่ากำไรน้อยกว่าแต่ก็ยังเชื่อว่ามันคือทางที่ถูกต้อง ถึงอย่างนั้นก็ต้องดูตามโลกความเป็นจริงเหมือนกัน บางโปรเจกต์เราอยากไปให้ไกลกว่านี้ เช่น ล่าสุดพยายามพัฒนาคอตตอนรีไซเคิลมาทดแทนคอตตอนแบบเดิม แต่สุดท้ายต้องหยุดเพราะต้นทุนมันสูงเกินไป ถ้าไปต่อ margin มันจะเหลือน้อยจนทั้งแบรนด์ไปต่อไม่ได้” ปันบอกแบบนั้น

    “เซนว่าต้องมอง long game กำไรน้อยตอนนี้ ไม่ได้แปลว่ามันจะน้อยตลอดไป พอ scale ขึ้น ยอดขายก็จะเพิ่มขึ้นเอง ทุกวันนี้ SHE KNOWS อยู่ได้ก็เพราะคอนเซปต์นี้ ถึงไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก แต่มันก็ค่อยๆ โตมาจนยืนได้” 

    4. ฟังก์ชั่นควบคู่แฟชั่น เพื่อความยั่งยืนในระยะยาว

    เมื่อโจทย์ยากคือต้องขายสินค้าที่ต้นทุนสูงในราคาจับต้องได้ เพื่อให้แฟชั่นยั่งยืนแมสมากขึ้น อีกโจทย์สำคัญที่พวกเธอแก้สมการให้ได้ คือการบาลานซ์คุณภาพ ดีไซน์ ราคา และคุณค่าที่ลูกค้ารู้สึกว่าคุ้ม ทุกๆ สินค้าภายใต้ SHE KNOWS จะต้องคำนึงถึงฟังก์ชั่น ควบคู่ไปกับแฟชั่นยั่งยืนเสมอ

    “อย่างกางเกงตัวนี้ทำจากโพลีเอสเตอร์ ถึงจะไม่ยั่งยืนร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราใส่มาแล้ว 2–3 ปีก็ยังมีสภาพดีมากๆ ถ้าเป็นลินินนะซัก 3 ทีก็เป็นขุยแล้ว ต้องทิ้งเลย เราเลยต้องชั่งน้ำหนักกันตลอด ว่าฟังก์ชั่นต้องมากับดีไซน์และความยั่งยืน เพื่อให้ลูกค้าใส่ได้ซ้ำๆ และคุ้มกับเงินเขาจริงๆ

    “หรืออย่าง Willow Bag จริงๆ เราเคยทดลองกับวัสดุที่ชื่อว่า Better Leather ที่ปันไป source มาจากเม็กซิโก และเราก็ใช้กับไลน์เข็มขัดของแบรนด์ด้วย ตัวนี้จะเป็นหนัง plant-based จากต้นกระบองเพชร ใช้คาร์บอนและน้ำน้อยกว่า แล้วก็ย่อยสลายได้ อายุการใช้งาน 5-10 ปี ถ้าเทียบกับ PU ที่ต่ำกว่า 5 ปี หรือหนังแท้ที่ประมาณ 20-30 ปี เราก็เลยลองใช้ดู”

    ประมาณ 2 เดือนแรก กระเป๋ายังคงสวยงามตามที่ตั้งใจ แต่เซนบอกว่าไม่นานหลังจากนั้น หนังเริ่มมีสีออกเขียวและค่อนข้างย้วย พวกเธอจึงตัดสินใจว่าแม้จะดูดีกับโลกแต่ฟังก์ชั่นไม่ได้ก็จำต้องเลือกใช้หนังแท้ไปก่อน ส่วน PU หรือหนังเทียมนั้น ที่จริงแล้วก็คือพลาสติกดีๆ นี่เอง

    ด้วยราคาขายที่ไม่เกิน 7,000 บาท ตอนแรกหนังที่โรงงานเสนอให้เป็นหนังที่สัมผัสไม่ตอบโจทย์ สุดท้าย Willow Bag เลยเลือกใช้หนังวัวแท้จากอิตาลีที่ปันไปค้นหาจนเจอ แม้จะราคาสูงกว่า แต่เมื่อชั่งน้ำหนักดีๆ แล้วฟีลของกระเป๋ากว่า พวกเธอจึงยอมใช้และขายในราคาไม่เกิน 7,000 บาท ทั้งที่วัสดุพรีเมียมเช่นนี้สามารถขายราคา 20,000 บาทขึ้นไปได้สบายๆ

    “ถามว่าเราพอใจกับการขายหนังแท้ไหม ก็ตอบว่าแฮปปี้แหละ มันไม่ได้ great for the earth ขนาดนั้น แต่เราก็มองว่าถ้าลูกค้าจ่ายราคานี้ เราอยากให้เขาใช้ไปได้ 40 ปี ไม่ใช่ได้แค่ 2 เดือน ถ้าใช้แล้วพังเร็ว ๆ แบบนั้นมันไม่โอเคเลย 

    “ไม่ได้หมายความว่าเราจะหยุดอยู่แค่นี้นะ ในอนาคตก็ยังพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ พยายามหาทางเลือกอื่นๆ แต่เราจะใช้ชื่อว่า Better Leather หรือหนังที่ดีกว่า ไม่อยากใช้คำว่า vegan leather รู้สึกว่ามัน oversell เกินไป” เซนอธิบาย 

    5. อย่าปิดทองหลังพระ แต่ต้องรู้จักสื่อสารคุณค่าของแบรนด์

    SHE KNOWS เติบโตมาถึงวันนี้แบบแทบไม่ต้องพึ่งงบโฆษณามากนัก แบรนด์ใช้ organic marketing ที่เน้นการสื่อสารอย่างจริงใจ และปล่อยให้สินค้าพูดแทนตัวเอง จนเกิดการบอกปากต่อปาก แต่ยิ่งสินค้าของ SHE KNOWS เป็นสินค้าที่ต้นทุนสูงแต่ภายนอกอาจดูไม่รู้ว่าต้องผ่านกระบวนการอันแสนลำบากมากแค่ไหน การสื่อสารยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำ

    “ที่ผ่านมาเหมือนเราปิดทองหลังพระ เราโฟกัสกับการขายมากกว่า เนื่องจากออฟฟิศเราก็เล็กๆ เราอยากโตให้ได้ก่อน พอมีพื้นที่ให้โตแล้ว เราก็รู้สึกว่าควรใช้แพลตฟอร์มของเราเล่าเรื่องที่คนยังไม่รู้ พูดเรื่องวัสดุ โรงงาน ไปจนถึงการออกแบบ” เซน ผู้ที่มักจะเห็นเธออธิบายเรื่องราวของ SHE KNOWS ในโซเชียลมีเดียของแบรนด์ว่าแบบนั้น  

    ตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนคือการพัฒนากระเป๋ารุ่นใหม่ที่มาพร้อมตัวแบ่งช่องที่ทำจากผ้าไนลอนรีไซเคิล 100% ซึ่งผ่านการรับรองมาตรฐาน ทั้งคู่เล่าว่าโรงงานเองยังตั้งคำถามว่า SHE KNOWS จะเลือกใช้วัสดุนี้จริงหรือไม่ เพราะภายนอกนั้นมีลักษณะเหมือนไนลอนทั่วไป สิ่งเดียวที่ต่างคือต้นทุนที่สูงกว่า 3-5 เท่า

    “แต่สุดท้ายปันกับเซนก็เป็นแบบนี้ค่ะ เราจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดไว้ก่อน แล้วค่อย work back ว่าจะขายยังไง จะเล่าให้ลูกค้าเข้าใจยังไงว่าทำไมมันถึงดีกว่า” การโตด้วยการตลาดแบบออร์แกนิกจึงไม่ใช่เพราะต้องการประหยัดงบเท่านั้น แต่เพราะเป็นผลจากการที่ทั้งคู่ยึดคุณค่าเป็นตัวตั้ง และทำให้ความยั่งยืนเป็นพื้นฐานของแบรนด์ 

    “ปีนี้เป็นปีแรกที่เราโฟกัสกับคอนเทนต์จริงจัง ก่อนหน้านี้เราจะลงขายเลยว่าตัวนี้ทำจากอะไร มีไซส์ XS ถึง XL ราคาเท่าไหร่ แค่นั้น แต่ปีนี้เราค่อยๆ รวมเรื่องราว เล่าเบื้องหลังมากขึ้น

    “ถามว่าแล้วเราจะสื่อสารยังไงท่ามกลางทะเลคอนเทนต์ จริง ๆ มันคือการพูดซ้ำๆ มันมีคอนเซปต์ที่ว่าถ้าคุณพูดครั้งเดียว มันคือเมสเซจแต่ถ้าคุณพูดซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ มันคือแบรนด์ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องพยายามพูดสิ่งที่เราเชื่อเรื่อยๆ” เซนบอก

    “น้องๆ รุ่นใหม่ในทีมจะคอยบอกว่าตอนนี้คนทำอะไรกันอยู่ เราก็มาปรับให้เข้ากับสิ่งที่เราเป็น” ปันเสริม ทั้งหมดนี้สะท้อนการทำงานแบบลองผิดลองถูก  

    แม้การสื่อสารถึงสิ่งดีๆ ที่พวกเธอทุ่มเทเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่ได้หมายความว่าคอนเทนต์ทั้งหมดต้องเป็นเรื่องความยั่งยืนเท่านั้น เพราะเซนมองว่า “มันไม่ make sense ลูกค้าไม่ได้ซื้อเพราะมันรักษ์โลกอย่างเดียว เขาต้องชอบดีไซน์ด้วย เราอยากให้ sustainable fashion ดูคูล ดูเก๋ เป็น everyday present มากกว่า ซึ่งถ้าเราอยากให้คนเข้าใจสินค้าแบบที่เราเข้าใจ เราก็ต้องสื่อสารมันออกไป”  

    6. ไม่ต้องรอพร้อม แต่ค่อยๆ พัฒนาไปทีละ 1%

     ในช่วงแรก SHE KNOWS เริ่มต้นจากผ้าที่เหลือและเงินไม่กี่บาทจากแบรนด์เดิมที่พวกเธอทำแล้วไม่เวิร์ก ทำให้การเลือกสรรวัสดุมาทำแบรนด์ใหม่เต็มไปด้วยข้อจำกัด ในช่วงเวลาที่หลายสื่อสัมภาษณ์พวกเธอนั้น นับเป็นช่วงที่ท้าทายไม่น้อยในเชิงธุรกิจ

    “ตอนนั้นที่สื่อมาสัมภาษณ์เยอะๆ เราอาจจะมีแค่กำลังเดินไปหน้าร้านขายผ้า แล้วเลือกผ้าที่ดีที่สุดที่เราซื้อได้ตอนนั้น แต่พอมาถึงวันนี้ เรามีกำลังมากขึ้น เรามีศักยภาพพอที่จะไปสั่งทำเส้นด้ายออร์แกนิกคอตตอนเองได้ ซึ่งพอทำได้แบบนี้อิมแพกต์ที่เกิดขึ้นมันก็กว้างขึ้นตามไปด้วย”

    ปันกับเซนยืนยันว่าพวกเธอไม่เคยบอกว่า SHE KNOWS ตัวเองเป็นแบรนด์ที่ยั่งยืนที่สุด และพยายามเลือกใช้คำว่า Greener Fashion มาเสมอ เพื่อสื่อว่า SHE KNOWS กำลังเดินไปข้างหน้า เพราะพวกเธอมองว่าไม่มีอะไรที่ยั่งยืนได้ 100% ด้วยการผลิตเสื้อผ้าโดยตัวเองก็ย้อนแย้งกับความรักโลก

    “เราไม่ได้อยากให้ SHE KNOWS ถูกมองว่าเป็นเสื้อผ้ารักษ์โลกแค่นั้น สิ่งที่เราอยากทำคือเสื้อผ้าที่ใส่ได้ทุกวันแต่มี core concept และ core value ที่ยึดความรักษ์โลกอยู่ข้างใน เวลาพัฒนาสินค้า เราจึงมองเป็นไอเทมๆ”  

    ปันยกตัวอย่างว่าไอเทมล่าสุดที่เพิ่งทำสำเร็จคือการทำกระดุมรีไซเคิลจากฝาขวดน้ำที่ร่วมมือกับ YOLO แรกเริ่มเดิมที พวกเธอคิดจะนำฝาขวดน้ำมารีไซเคิลเป็นเมอร์แชนไดส์ ที่ลูกค้าจะได้รับเมื่อซื้อสินค้าครบราคาที่กำหนด 

    “แต่เราคิดว่ามันไม่ make sense มันเหมือนเราเอาขยะพลาสติกมาทำเป็นของฟรีอีกที สุดท้ายลูกค้าอาจไม่ได้อยากได้ กลายเป็นขยะอีกรอบ เราเลยคิดว่ามันควรเป็นการคิดสิ่งใหม่มาทดแทนสิ่งที่เราใช้อยู่แล้ว จนเกิดเป็นกระดุมรีไซเคิลเพื่อทดแทนกระดุมในเสื้อผ้าทั้งหมดทีละนิดๆ” เซนเสริม

     การค่อยๆ เติบโตของพวกเธอยังทำให้ SHE KNOWS ทำงานได้ง่ายขึ้น จากที่ช่างตัดเย็บเป็นกลุ่มช่างชั้นเยี่ยมที่ทำงานอิสระ พวกเธอก็ขยับขยายไปผลิตในโรงงานมากขึ้น เพื่อให้จัดการสต็อกได้ดีขึ้น แต่ยังคงคอนเซปต์การทำงานกับช่างอิสระอยู่บางส่วน

    ปันยังเล่าว่าในช่วงแรก กว่าที่ซัพพลายเออร์จะไว้วางใจ ยอมร่วมผลิตให้แบรนด์เล็กๆ เช่น SHE KNOWS ก็ใช้เวลาไม่น้อย พวกเธอยังทำให้งานยากยากขึ้นกว่าเดิม ด้วยการคัดเลือกโรงงานที่ใจตรงกัน ด้วยการลงไปดูให้เห็นกับตาว่าโรงงานนั้นๆ ปฏิบัติกับแรงงานยังไง มีระบบจัดการขยะและน้ำเสียแบบไหน สีที่ใช้ย้อมเส้นด้ายเป็นยังไง 

    “อย่างที่บอก ทำไปก่อน ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวเจอปัญหาก็แก้ไป SHE KNOWS เนี่ย ถ้ารอวันที่ทำได้ 100% จริงๆ คงยังไม่ได้เริ่มเลย เพราะมันใช้เงินเยอะ ธุรกิจก็ต้องเดินต่อ เราก็ต้องกินข้าว เพราะฉะนั้นทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น ค่อยๆ พัฒนาไปทุกวัน เพิ่มขึ้นวันละ 1% เดี๋ยวมันก็รวมกันเป็นสัดส่วนที่ใหญ่เอง” เซนยืนยันอีกครั้ง

    ปันเสริมว่า “แต่ต้องจริงใจและจริงจังกับคุณค่าของเรานะ เพราะมันง่ายมากที่จะถูก distract เห็นคนอื่นขายได้เป็นหมื่น กำไรเป็นร้อยล้าน พอถึงจังหวะที่เราต้องจ่ายต้นทุนแพงกว่า 5 เท่า มันก็มีความคิดแวบขึ้นมาว่าหรือจะเลิกดี แต่สุดท้ายเราก็ต้องตัดสินใจให้ดีที่สุด”

    7. หา key product ให้เจอ แล้วค่อยๆ เติบโตจากคุณค่าที่ยึดถือ  

    “ตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ ตอนไหนที่รู้สึกว่ามาถูกทาง” เมื่อยิงคำถามไปให้พวกเธอ ทั้งเซนและปันตอบได้ทันทีว่า ‘ตอนนี้ ปีนี้ (2568)’

    สิ่งที่เป็นเหมือน game changer ของแบรนด์ที่ทำให้ SHE KNOWS เป็นที่รู้จักมากขึ้นจนทำให้พวกเธอรู้สึกว่าตอนนี้แหละคือช่วงเวลาที่มาถูกทางก็คือเจ้ากระเป๋า Willow Bag ที่ทำให้เทสต์ของแบรนด์ชัดขึ้น ภาพรวมแบรนด์ชัดขึ้นว่านี่แหละคือ SHE KNOWS

    “พอมี key product ที่ขายดี มันก็ทำให้เรามีเงินมาหมุน มาพัฒนาทีม มาจ้างพนักงานเพิ่ม อย่างตอนเปลี่ยนจากแพ็กสินค้ากันเองเป็นการให้คลังแพ็กให้เนี่ย เดือนแรกๆ บิลจากคลังมาเป็นหลักแสน ปันยังตกใจเลยว่า เฮ้ย ทำไมมันแพงขนาดนี้ แต่พอเดือนถัดมา กระเป๋าใบนี้ขายได้เป็นพันใบ ก็รู้ว่าตัดสินใจถูกที่ลงทุน”

    สิ่งที่ทั้งคู่ได้เรียนรู้จาก key product นี้คือพวกเธอต้องสร้างสินค้าที่รู้สึกภูมิใจ และใช้เองจริงๆ อย่างต่อเนื่อง เซนบอกว่า “ถ้าของมันดี เราจะเล่าออกมาได้อย่างมั่นใจ อย่างใบนี้ภูมิใจมาก เพราะคุณภาพเทียบหลักหมื่น แต่ขายได้ในราคาหกพันกว่า” 

    “เราไม่ชอบขายของที่ตัวเองไม่เชื่อ ไม่อยากขายอะไรครึ่งๆ กลางๆ เพราะมันไม่ภูมิใจ เวลามองย้อนกลับมา เราอยากเห็นว่าสิ่งที่เราทำตอนนั้น มันคือการตัดสินใจที่ถูก” แต่ไม่ใช่แค่กระเป๋าใบนี้เท่านั้นที่ให้บทเรียน ปันขยายความว่าทุกโปรดักต์ใหม่จะสอนอะไรบางอย่างเสมอ สำหรับใบนี้ พวกเธอได้ลองทำหลายอย่างที่ไม่เคยทำ เช่น จัดอีเวนต์ ลงทุนกับอินฟลูเอนเซอร์มากขึ้น ซึ่งช่วยสร้างคอมมิวนิตี้คนรักแบรนด์ให้แข็งแรงขึ้น 

    เซนเปิดใจว่าก่อนหน้านี้ทุกคนในทีมผู้บริหารยังสงสัยว่าแบรนด์จะไปต่อได้แค่ไหน เพราะกำไรปลายปียังบางมาก “มันเลยต้องเชื่อมั่นในตัวเองมากๆ เพราะเวลาเห็นแบรนด์ใหม่ๆ ที่เพิ่งเปิดแต่ทำยอดเป็นสิบล้าน ร้อยล้านต่อเดือน เราก็อดรู้สึกหวั่นๆ ไม่ได้ แต่ก็เหมือนมาเจอจังหวะที่เกือบจะถอดใจแล้ว แล้วโชคก็เข้าข้างให้เราได้กำไรจริงจังเสียที” 

    “ที่ผ่านมา ทุกสิ้นปีเราจะมานั่งคุยกันว่าเพอร์ฟอร์แมนซ์ปีนี้ก็ยังแค่นี้เองหรอ มันจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไหมนะ แต่ปีนี้เหมือน fresh air เลย มันทำให้รู้สึกว่า โอเคแล้ว” ปันบอก

    แบรนด์เองยังอยู่ในขนาดที่ไม่เล็กเกินไปจนพัฒนาอะไรไม่ได้ แต่ก็ไม่ใหญ่เกินไปจนขยับตัวยาก ส่วนปันมองว่าด้วยขนาดที่พอดีทำให้พวกเธอตัดสินใจได้เร็ว ถ้าวันหนึ่งตื่นมาแล้วรู้สึกว่าสิ่งที่ทำอยู่ไม่ถูกต้อง ก็สามารถหยุดหรือเปลี่ยนได้ทันที

    แต่แม้ทุกวันนี้แบรนด์จะใหญ่ขึ้น เซนก็ย้ำว่าเป้าหมายของ SHE KNOWS ไม่ใช่การขายให้ได้มากที่สุดเสมอไป “เราไม่ได้มีเป้าว่าต้องขายได้ทุกวัน สิ่งที่ทำคือพยายามทำดีของเราต่อไป ถ้าใครเห็นดีไซน์ เห็นราคา เห็นคุณค่าของเราแล้วซื้อ นั่นคือความสุขที่สุด”  

    ก่อนที่ปันจะตอบทิ้งท้ายว่า “เราคิดว่าการทำธุรกิจ sustainable fashion มันไม่มีคำตอบเดียวหรอก มันมีดีเทลเยอะมาก แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องตั้งใจกับมันจริงๆ เหมือนสัญญากับตัวเองว่าเราจะทำให้ดีที่สุด และพยายามลงลึกไปเรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้พวกเราก็อยากเห็นแบรนด์ไปถึงระดับอินเตอร์เนชันแนล”

    What I’ve Learned

    ปัน : ธุรกิจแฟชั่นยั่งยืนเป็นเรื่องยาก ถ้าเข้ามาด้วยมายด์เซตที่คาดหวังว่าต้องเพอร์เฟกต์เลยร้อยเปอร์เซ็นต์ตั้งแต่แรกมันแทบทำไม่ได้หรอก เว้นแต่ว่าคุณมีทุนหนามากๆ แบรนด์เราก็ไม่ได้ใหญ่โตพอที่จะลองผิดลองถูกได้ขนาดนั้น เพราะฉะนั้นอยากให้คิดว่าเริ่มจากจุดเล็กๆ ทำให้ดีที่สุด แล้วค่อยๆ เปลี่ยนไป มันจะค่อยๆ สั่งสมจนกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในระยะยาว

    เซน : การเลือกพาร์ตเนอร์ทำธุรกิจมันก็เหมือนการเลือกคู่แต่งงานเลยนะ ไม่จำเป็นต้องมีนิสัยเหมือนกันก็ได้ แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องมีคุณค่าที่ยึดถือและเป้าหมายปลายทางเดียวกัน แม้จะเก่งกันคนละด้าน แต่ถ้าเป้าหมายใหญ่เหมือนกัน มันก็จะไปด้วยกันได้ แต่ถ้า value ต่างกันตั้งแต่แรก ต่อให้เก่งแค่ไหน ก็จะทำงานด้วยกันลำบากมากๆ

    เบื้องหลัง ‘Third Space’ พื้นที่ยั่งยืนที่โอบรับผู้คนด้วยความเข้าใจในแบบของวัน แบงค็อก

    ณ เวลานี้ต้องบอกว่าย่านลุมพินีกลายเป็นแหล่งทำเลทองที่น่าจับตามองลำดับต้นๆ ในประเทศไทย จากความเพียบพร้อมทั้งในแง่ระบบขนส่งสาธารณะ ที่พักอาศัยและอาคารสำนักงาน และศูนย์การค้าขนาดใหญ่ โดยมีแหล่งพื้นที่สีเขียวโอบรับล้อมรอบไว้ เมื่อมองภาพรวมพื้นที่ตรงบริเวณดังกล่าวจึงเหมาะแก่การเป็นเมืองแห่งความยั่งยืนในระยะยาว

    หนึ่งในจิ๊กซอว์ที่สร้างความยั่งยืนให้แก่พื้นที่บริเวณลุมพินี คือ ‘วัน แบงค็อก’ โครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่พัฒนาโดย บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่นอกจากจะเป็นทั้งศูนย์การค้า อาคารสำนักงานชั้นนำ หรือแลนด์มาร์กที่เป็นหมุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว ขณะเดียวกันยังมุ่งมั่นสร้างคุณค่าให้แก่ผู้คนและชุมชนในวงกว้าง ตามแนวคิด การสร้างเมืองสร้างสรรค์ที่เติบโตอย่างไม่หยุดนิ่ง

    ทั้งนี้ วันแบงค็อกได้ชูแนวคิดดังกล่าวผ่านงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) มหกรรมด้านความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ที่จัดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ โดยแนวคิดการเป็น ‘Third Space’ หรือ ‘พื้นที่ที่สาม’ ที่เสริมโครงสร้างสังคมเมืองให้แข็งแรงนั้นตรงกับหลัก 3 ประการในการสร้างคุณค่าทางสังคมของ กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ได้แก่

    1. ชุมชนที่เปิดกว้าง (Inclusive Community) 

    2. สุขภาวะแบบองค์รวม (Holistic Well-being) 

    3. การสร้างโอกาส (Enabling Opportunity)

    คำถามที่น่าสนใจคือวัน แบงค็อกทำยังไงให้แนวคิดที่กล่าวมาข้างต้นสามารถทำได้จริง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดจากกระบวนการทำงานทั้ง 4 ข้อ นั่นคือ

    1. สุขภาวะที่ดีสำหรับผู้คนและสถานที่ทำงาน : นิยามพื้นที่ทำงานในแบบของวัน แบงค็อก จะต้องส่งเสริมให้ผู้คนในพื้นที่โฟกัสกับการทำงาน ก่อเกิดความคิดสร้างสรรค์ ดังนั้นจึงมีการจัดกิจกรรมที่ส่ง

    เสริมสุขภาวะแบบองค์รวมของคนทำงาน เช่น โยคะ คลับนักวิ่ง และการออกกำลังกายแบบ HIIT (การออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูงในระยะเวลาสั้นๆ สลับกับการพัก) เป้าหมายของข้อนี้เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน สร้างสมดุลชีวิต ลดความเครียด และสร้างสังคมร่วมกันของคนทำงาน

    2. เสริมพลังเยาวชนด้วยโครงการ One Bangkok Football Camp : นับตั้งแต่ปี 2562 วัน แบงค็อก ร่วมมือกับ ThaiBev Football Academy จัดโครงการ One Bangkok Football Camp โดยร่วมมือกับ 6 ชุมชนใกล้เคียง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเยาวชนด้วยการออกกำลังกาย ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม และสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีต่อกัน 

    โดยปัจจุบัน มีเยาวชนหลายร้อยคนที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าว หลายคนมีโอกาสก้าวไปสู่ลีกเยาวชนระดับภูมิภาค เพิ่มโอกาสในการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

    3. เพลิดเพลินกับงานศิลปะ เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของพื้นที่ สู่การเชื่อมโยงชุมชนอันหลากหลาย : วัน แบงค็อกได้รังสรรค์ Art Loop เส้นทางเดินระยะทาง 2 กิโลเมตร ที่ผสมผสานศิลปะและวัฒนธรรมให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ผ่านผลงานศิลปะจากศิลปินไทยและต่างชาติ ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมอันหลากหลายต่อเนื่อง โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

    คอลเลกชั่นงานศิลปะสาธารณะ รวบรวมผลงานศิลปะระดับโลกมากมาย ที่เปิดให้เข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ประกอบด้วย ประติมากรรม ภาพจิตรกรรมฝาผนัง งานศิลปะดิจิทัลที่ล้ำสมัย และเฟอร์นิเจอร์สาธารณะที่ออกแบบอย่างพิถีพิถัน

    The Wireless House One Bangkok โครงการอนุรักษ์อาคารสถานีวิทยุโทรเลขแห่งแรกของประเทศไทย ที่สามารถใช้เป็นพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการทางวัฒนธรรมและศูนย์การศึกษา เชื่อมโยงคนรุ่นใหม่สู่อดีตอันรุ่งเรืองของกรุงเทพฯ โดยมีผู้เข้าชมแล้วเกือบ 100,000 คนนับตั้งแต่เปิดทำการ

    4. ปอดขนาดใหญ่ใจกลางเมือง พื้นที่เปิดโล่งขนาดใหญ่เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ : วัน แบงค็อก จัดสรรพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งภายในโครงการให้เป็นพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เปิดโล่ง รายล้อมด้วยต้นไม้ ดอกไม้นานาพันธุ์ และมุมพักผ่อนตามจุดต่าง ๆ ทั่วทั้งโครงการ เพื่อเชิญชวนผู้คนให้ออกไปเดินสูดอากาศบริสุทธิ์ หรือออกมาออกกำลังกายและทำกิจกรรมสร้างสรรค์ ไปจนถึงทำหน้าที่เป็นสถานที่พักพิงสาธารณะในยามฉุกเฉิน

    ทั้งหมดนี้เป็นวิธีที่วัน แบงค็อกสร้างพื้นที่แห่งความยั่งยืนที่พร้อมโอบรับผู้คนและธรรมชาติ ทั้งยังสร้างประโยชน์ต่อสังคมในวงกว้าง ซึ่งจะกลายเป็นโมเดลต้นแบบของคนทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต ที่ต้องพัฒนาชีวิตของผู้คนให้เพรียบพร้อมไม่แพ้งานสถาปัตยกรรมชั้นนำหรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน